SlideShare a Scribd company logo
1 of 23
ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าการ
เปลี่ยแปลงโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม จะต้องเปลี่ยนแปลง
แบบสันติ และจะต้องร่วมมือกันทุกหมู่เหล่าตั้งแต่ชนชั้นสูงร่วมมือกับ
ประชาชนทุกหมู่เหล่า
ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
( รัชกาลที่ 4 - รัชกาลที่ 6 )
1. ด้านการปกครอง
แม้ว่ารัชกาลที่ 4 จะทรงมีพระราชอำานาจเด็ดขาดตามแบบพระมหากษัตริย์
ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช แต่พระองค์ก็ได้ทรงเริ่มปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการ
ปฏิบัติบางอย่าง เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาราษฎร์ โดยเฉพาะในเรื่องความ
สัมพันธ์ระหว่างองค์พระมหากษัตริย์กับประชาชน รัชกาลที่ 4 ทรงพิจารณาว่าประเพณี
บางอย่างที่เคยปฏิบัติกันมาแต่เดิม เช่น ห้ามราษฎรเข้าใกล้ชิดรวมทั้งมีการยิงกระสุน
เวลาเสด็จพระราชดำาเนินและบังคับให้ราษฎรปิดประตูหน้าต่างบ้านเรือน เป็นประเพณี
ที่ล้าสมัย ประเทศตะวันตกที่มีการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็ไม่มี
ประเพณีตัดสิทธิราษฎรแบบนี้ จึงโปรดให้ยกเลิกประเพณีดังกล่าว อนุญาตให้ราษฎร
เข้าเฝ้าโดยสะดวกและเปิดโอกาสให้ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนถวายฎีการ้องทุกข์ใน
ขณะที่เสด็จพระราชดำาเนินด้วย
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อพระองค์ทรงบรรลุนิติภาวะใน พ.ศ.2416 และ
ทรงว่าราชการด้วยพระองค์เอง จึงทรงเริ่มปรับปรุงการปกครองซึ่งเรียกว่า “การปฏิรูป
การปกครอง”
1. การปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 แบ่งเป็น 2 ระยะคือ
1.1 การปรบปรุงการปกครองประเทศในตอนต้นรัชกาล ทรงตั้งสภาที่
ปรึกษาราชการแผ่นดิน หรือเรียกว่า “เคาน์ซิล ออฟ สเตท” (Council of State) และ
สภาที่ปรึกษาในพระองค์ หรือเรียกว่า “ปรีวี เคาน์ซิล” (Privy Council) สภาทั้งสองนี้
มีหน้าที่ในการออกกฎหมายและยกเลิกกฎหมาย รวมทั้งยกเลิกประเพณีโบราณต่างๆ ที่
เห็นว่าไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมในสมัยนั้น ปรากฏว่าสภาทั้ง 2 ดำาเนินงานไปได้ไม่
นาน ก็ต้องหยุดชะงักเพราะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่เรียกว่า“วิกฤตการณ์วังหน้า” (เป็น
ความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับกรมพระราชวังบวร
วิชัยชาญ ซึ่งดำารงตำาแหน่งวังหน้า อันเนื่องมาจากความหวาดระแวงซึ่งกันและกันจน
เกือบจะมีการประทะกันระหว่างกัน) ขึ้นในปลาย พ.ศ.2417 แต่ก็สามารถยุติลงได้
1.2 การปฏิรูปการปกครองในช่วงหลัง รัชกาลที่ 5 ทรงตระหนักถึง
ภยันตรายจากการแสวงหาอาณานิคมของประเทศมหาอำานาจตะวันตก และทรงเห็นว่า
ลักษณะการปกครองของไทยใช้มาแต่เดิมล้าสมัยไม่สอดคล้องกับความเจริญก้าวของ
บ้านเมือง ดังนั้นใน พ.ศ.2430 ทรงเริ่มการปฏิรูปการปกครองแผนใหม่ตามแบบตะวัน
ตก โดยเฉพาะในส่วนกลางมีการจัดแบ่งหน่วยงานการปกครองออกเป็น 12 กรม ซึ่งต่อ
มาเปลี่ยนไปใช้คำาว่า “กระทรวง” แทนโดยประกาศสถาปนากรมหรือกระทรวงต่างๆ
ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2435 และยังได้ประกาศตั้งเสนาบดีเจ้ากระทรวงต่างๆ ขึ้น ยุบ
ตำาแหน่งอัครมหาเสนาบดีและเสนาบดีจตุสดมภ์ทุกตำาแหน่ง มีสิทธิเท่าเทียมกันในที่
ประชุม ต่อจากนั้นได้ยุบกระทรวงและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเสียใหม่เหลือไว้เพียง 10
กระทรวง คือ
1. กระทรวงมหาดไทย
2. กระทรวงกลาโหม
3. กระทรวงการต่างประเทศ
4. กระทรวงวัง
5. กระทรวงเมือง (นครบาล)
6. กระทรวงเกษตราธิการ
7. กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ
8. กระทรวงยุติธรรม
9. กระทรวงธรรมการ
10.กระทรวงโยธาธิการ
11.(กระทรวงยุทธนาธิการ) ต่อมาไปอยู่กระทรวงกลาโหม เนื่องจาก
มีหน้าที่คล้ายคลึงกัน
12.(กระทรวงมุรธาธิการ) ต่อมาไปอยู่กระทรวงวัง เนื่องจากมีหน้าที่
คล้ายคลึงกัน
ส่วนภูมิภาค ได้ยกเลิกการจัดเมืองเป็นชั้นเอก โท ตรี จัตวา เปลี่ยนเป็นการ
ปกครองแบบเทศาภิบาล คือ รวมหัวเมืองหลายเมืองเข้าด้วยกันเป็นมณฑลๆ หนึ่ง โดยมี
ข้าหลวงเทศาภิบาล เป็นผู้ปกครองมณฑล ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย การจัดตั้ง
มณฑลเทศาภิบาลนี้เป็นการรวมอำานาจการปกครองทั้งด้านการเมือง และเศรษฐกิจเข้า
สู่ส่วนกลาง ทำาให้การปกครองหัวเมืองเป็นแบบเดียวกันและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ยังได้มีการแบ่งเขตการปกครองส่วนภูมิภาคออกเป็นเมือง(จังหวัด) อำาเภอ
ตำาบล และหมู่บ้าน ตามลำาดับ
แต่เนื่องจากระยะนี้บรรดาประเทศมหาอำานาจต่างกำาลังแสวงหา
อาณานิคม ประเทศไทยก็ถูกฝรั่งเศสคุกคามอย่างหนัก จนทำาให้การพัฒนาประเทศใน
สมัยรัชกาลที่ 5 ดำาเนินไปไม่ดีเท่าที่ควรและเกิดความล่าช้า เนื่องจากพื้นฐานทางด้าน
การศึกษา เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของไทยขัดต่อการพัฒนาประเทศตามแบบแผน
ใหม่ หรือตามแบบประเทศตะวันตก
2. การวางฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย ก่อนการเปลี่ยนแปลง
การปกครอง พ.ศ.2475 ไทยได้เริ่มมีการวางราฐานการปกคารองระบอบประชาธิปไตย
มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 โดยใช้แบบแผนการปกครองตามอย่างสมัยรัชกาลที่ 5 แล้วนำา
มาปรับปรุงใหม่ คือ ในส่วนกลาง ตั้งกระทรวงทหารเรือ กระทรวงพาณิชย์ ในส่วน
ภูมิภาค รวมมณฑลต่างๆ เข้าเป็นภาค มีอุปราชและ สมุหเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครอง
กรุงเทพฯ ก็นับเป็นมณฑลหนึ่งมีสมุหพระนครปกครองให้เรียกเมืองต่างๆว่า จังหวัด
และ พ.ศ.2461 ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองจำาลองขึ้นในบริเวณพระราชวังดุสิต ชื่อว่า
“ดุสิตธานี” และจัดการปกครองเป็นแบบเทศบาล แบ่งเขตการปกครองออกเป็นอำาเภอ
ตำาบล และหมู่บ้าน ตามกฎหมายลักษณะการปกครองท้องที่ มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักใน
การปกครอง เรียกว่า “ธรรมนูญลักษณะการปกครองคณะนคราภิบาล (ดุสิตธานี)
พุทธศักราช 2461” รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะทำาการทดลองการปกครอง
ในระบอบประชาธิปไตย โดยให้ข้าราชการบริพารได้เข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการ
ปกครองในระบอบนี้ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความ
คิดเห็นโดยผ่านทางหนังสือและอออกพระราชาบัญญัติประถมศึกษาอีกด้วย
3. การปฏิรูประบบกฎหมายและการศาล สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นระยะเวลาที่
ชาวยุโรปเริ่มแสวงหาอาณานิคมและแผ่อิทธิพลเข้ามาในเมืองไทย พระองค์จึงได้ทรง
ตรากฎหมายและประกาศต่างๆ ขึ้นใช้บังคับมากมาย เพื่อให้ทันสมัยเหมาะสมกับสภาพ
บ้านเมืองในขณะนั้น เช่น พระราชบัญญัติมรดกสินเดิมและสินสมรส ใน พ.ศ. 2394 พระ
ราชบัญญัติพระสงฆ์สามเณร และศิษย์วัด พ.ศ. 2402
ในการติดต่อกับต่างประเทศ ทำาให้ไทยเสีย “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต”
โดยต่างชาติอ้างว่ากฎหมายไทยป่าเถื่อนและรังเกียจวิธีการพิจารณาคดีแบบจารีต
นครบาล (คือวิธีการไต่สวนคดีของตุลาการอย่างทารุณ เช่น การตอกเล็บ บีบขมับ
รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯยกเลิก เมื่อ พ.ศ.2439) จึงไม่ยอมให้ใช้บังคับคนต่างชาติหรือ
คนในบังคับบัญชา ทำาให้ไทยต้องทำาการปฏิรูปกฎหมายในสมัยรัชกาลที่ 5
การปฏิรูปกฎหมายไทย การปฏิรูปกฎหมายไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มเมื่อ
พ.ศ.2440 โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชุรีดิเรกฤทธิ์ พระนามเดิมว่า พระองค์
เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและ
เจ้าจอมมารดาตลับ ได้ทรงศึกษาวิชากฎหมายจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศ
อังกฤษ ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมและได้รับยกย่องว่าเป็น “พร
ะบิดาแห่งกฎหมายและการศาลไทย” ทรงตั้งโรงเรียนสอนวิชากฎหมายขึ้น โดยดำาเนิน
การสอนเอง โรงเรียนกฎหมายแห่งนี้ต่อมาได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้
ตั้งคณะกรรมการตรวจชำาระและร่างกฎหมาย ได้แก่ กฎหมายลักษณะอาญา ประกาศ
ใช้ใน พ.ศ.2451 จัดเป็นกฎหมายฉบับใหม่และทันสมัยที่สุดฉบับแรกของไทย ต่อมาได้
ประกาศใช้กฎหมายอีกหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ.116
พระราชบัญญัติสิทธิ์ผู้แต่งหนังสือ ร.ศ.120 กฎหมายว่าด้วยการเลิกทาส พ.ศ 2448 ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีการปฏิรูปภาษากฎหมายไทยให้รัดกุม ชัดเจนและเหมาะสมยิ่งขึ้น
สมัยรัชกาลที่ 6 ได้โปรดเกล้าฯให้ดำาเนินงานร่างประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ต่อจากที่ทำาไว้ในสมัยรัชกาลที่ 5 และ พ.ศ.2466 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมร่าง
กฎหมายขึ้น
การศาล ในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้ตั้งกระทรวงยุติธรรมใน
พ.ศ.2434 เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ตุลาการขาดความยุติธรรม ทุจริตตัดสิน
คดีความล่าช้า เป็นต้น โดยแยกตุลาการออกจากฝ่ายธุรการ และรวมศาลที่กระจายอยู่
ตามกระทรวงต่างๆ มาไว้ที่กระทรวงยุติธรรมเพียงแห่งเดียว และใน พ.ศ.2435 ได้มีการ
เปลี่ยนแปลงงานด้านการศาล คือ รวมศาลอุทธรณ์คดีราษฎร์ ตั้งศาลราชทัณฑ์พิเฉท
ขึ้น ยกเลิกกรมรับฟ้องโดยตั้งจ่าศาลเป็นพนักงานรับฟ้องประจำาศาลต่างๆ ต่อมารวม
ศาลราชทัณฑ์พิเฉทกับศาลอาญา รวมศาลแพ่งเกษมกับศาลแพ่งไกรศรีเป็นศาลแพ่ง
ใน พ.ศ.2441 จัดแบ่งศาลออกเป็น 3 แผนก ได้แก่ ศาลฎีกา ศาลกรุงเทพฯ และศาลหัว
เมือง
ความสำาเร็จในการปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลของไทยนั้น นอกจาก
จะเป็นผลงานของพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการไทยที่มีความรู้ความสามารถ เช่น
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัฒนวิศิษฐ์ เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม องค์แรก และ
ขุนหลวงพระยาไกรสี ผู้พิพากษาไทยคนแรกที่เรียนวิชากฎหมายสำาเร็จได้เป็นเนติ
บัณฑิตอังกฤษแล้ว ไทยยังได้จ้างนักกฎหมายชาวต่างประเทศที่มีความรู้มาเป็นที่
ปรึกษากฎหมายอีกด้วย บุคคลสำาคัญ ได้แก่ นายโรลัง ยัคมินส์ ขาวเบลเยี่ยม นายโตกิจิ
มาซาโอะ ชาวญี่ปุ่น นายวิลเลียม อัลเฟรด ติลเลเก ชาวลังกา และนายยอร์ช ปาดู ชาว
ฝรั่งเศส
2. ด้านเศรษฐกิจ
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ไทยได้ทำาสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีการค้ากับ
อังกฤษ เมื่อ พ.ศ.2398 เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “สนธิสัญญาเบาว์ริง” หลังจากทำาสนธิ
สัญญาเบาว์ริงแล้วได้มีชาติอื่นๆ เข้ามาขอเจราจาทำาสนธิสัญญาตามแบบอย่างอังกฤษ
อีกหลายชาติ เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส โปรตุเกส เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น
เมื่อมีชาวต่างประเทศเดินทางมาค้าขายมากขึ้น สินค้าแปลกๆใหม่ๆ และวิทยาการ
ต่างๆ ก็แพร่หลายสู่ประชาชนทั่วไป ทำาให้มีการพัฒนาบ้านเมือง เพื่อให้ทันสมัย
ทัดเทียมกับต่างประเทศ เช่น มีการตัดถนนสายต่างๆ ได้แก่ ถนนเจริญกรุง หรือถนน
ใหม่ บำารุงเมือง เฟื่องนคร สีลม และมีการขุดคลองผดุงกรุงเกษม คลองดำาเนินสะดวก
ฯลฯ
ตามข้อความในสนธิสัญญาเบาว์ริงกำาหนดให้ไทยเรียกเก็บภาษีขาเข้าไม่
เกินร้อยละ 3 เท่านั้น แต่เนื่องจากมีเรือเข้ามาค้าขายมากกว่าแต่ก่อนถึงปีละ 103 ลำา
ทำาให้ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าทุกปี แต่การจัดเก็บภาษีในสมัยนี้ไม่รัดกุมพอ
เมื่อมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้ตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ขึ้นใน พ.ศ.2416 เพื่อ
รวบรวมภาษีอากรทุกชนิดจากทุกหน่วยงาน และได้ตรมพระราชบัญญัติเกี่ยวกับภาษี
อากรหลายฉบับ กำาหนดอำานาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่แบ่งงานในแต่ละกระทรวง กำาหนด
อัตราภาษีอากรที่แน่นอน ทำาให้รัฐมีรายได้เพิ่มมากขึ้นอีกมากมาย
เงินตรา ในสมัยรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงกษาปณ์ขึ้น
ใน พ.ศ.2403 ได้เปลี่ยนจากการใช้เงินพดด้วงเป็นเงินเหรียญ
ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนมาตราเงินไทยมาใช้ระบบ
ทศนิยมกำาหนดให้ 1 บาท มี 100 สตางค์ สร้างเหรียญสตางค์ทำาด้วยทองขาว และ
เหรียญทองแดง และได้โปรดเกล้าฯ ได้พิมพ์ธนบัตรขึ้นใช้อย่างจริงจัง โดยตราพระ
ราชบัญญัติธนบัตร ร.ศ.121 (พ.ศ.2445)และตั้งกรมธนบัตรขึ้น สังกัดกระทรวงพระคลัง
มหาสมบัติ นอกจากนี้ยังประกาศใช้พระราชบัญญัติมาตราทองคำา ร.ศ.127 (พ.ศ.2451)
โดยใช้ทองคำาเป็นมาตรฐานเงินตราแทนเงิน และในปีเดียวกันได้ประกาศยกเลิกการ
ใช้เงินพดด้วง เหรียญ เฟื้อง เบี้ยทองแดงต่างๆ เบี้ยสตางค์ทองขาว โดยให้ใช้เหรียญ
บาท สลึง และเหรียญสตางค์อย่างไหมแทน
การธนาคารและคลังออมสิน
สมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการจัดตั้งธนาคารขึ้นครั้งแรกใน พ.ศ.2431 ดำาเนิน
การโดยชาวต่างประเทศ ต่อมาใน พ.ศ.2449 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมหิศรราช
หฤทัย (พระองค์เจ้าไชยันตมงคล) ได้เป็นผู้ก่อตั้งธนาคารแห่งแรกที่ดำาเนินการโดยคน
ไทย ชื่อว่า “บุคคลัภย์” (BOOK Club) ต่อมาได้รับพระบรมราชานุญาตให้จดทะเบียน
ตั้งเป็นธนาคารได้ถูกต้องตามกฎหมาย ใช้ชื่อว่า “บริษัทแบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำากัด
(Siam Commercial Co,) ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “ธนาคารไทยพาณิชย์ จำากัด”
คลังออมสินจัดตั้งในสมัยรัชกาลที่ 6 ใน พ.ศ.2458 ตามพระราชบัญญัติ
ออมสิน และได้วิวัฒนาการเป็นธนาคารออมสิน
3. สภาพสังคมและการศึกษา
การเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงดำาริว่า การที่ประเทศไทยมี
ชนชั้นทาสมากเท่ากับเป็นการเสียเศรษฐกิจของชาติ และทำาให้ต่างชาติดูถูกและเห็น
ว่าประเทศไทยป่าเถื่อนด้อยความเจริญ ซึ่งมีผลทำาให้ประเทศมหาอำานาจต่างๆ คิดจะ
เข้าครอบครองไทย โดยอ้างว่า เพื่อช่วยพัฒนาประเทศไทยให้ทัดเทียมประเทศอื่นๆ ที่
เจริญแล้วทั้งหลาย
ดังนั้น ใน พ.ศ.2417 พระองค์จึงทรงเริ่มออกพระราชบัญญัติพิกัดกระเษียร
อายุลูกทาสลูกไทขึ้น โดยกำาหนดค่าตัวทาสอายุ 7-8 ปี มีค่าตัวสูงสุด 12-14 ตำาลึง แล้ว
ลดลงเรื่อยๆ เมื่อมีอายุ 21 ปี ค่าตัวจะเหลือเพียง 3 บาท ซึ่งทำาให้ทาสมีโอกาสไถ่ตัวเป็น
ไทได้มากและใน พ.ศ.2420 พระองค์ทรงบริจาคเงินจำานวนหนึ่งเพื่อไถ่ตัวทาสที่อยู่กับ
เจ้านายมาครบ 25 ปี จำานวน 45 คน พ.ศ.2443 ทรงออกกฎหมายให้ทาสสินไถ่อายุครบ
60 ปี พ้นจากการเป็นทาสและห้ามขายตัวเป็นทาสอีก พ.ศ.2448 ออกพระราชบัญญัติ
ทาส ร.ศ.124 บังคับทั่วประเทศ ห้ามมีการซื้อทาสต่อไป ให้ลดค่าตัวลงเดือนละ 4 บาท
จนครบจำานวนเงิน และให้บรรดาทาสเป็นไททั้งหมด
การเลิกทาสของพระองค์ประสบความสำาเร็จอย่างดี เป็นเพราะพระปรีชา
ญาณและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ทรงใช้ทางสายกลาง ค่อยๆดำาเนินงานไปที
ละขั้นตอน ทำาให้ไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงดังเช่นประเทศต่างๆ ที่เคยประสบมา
การศึกษา
ผู้มีบทบาทสำาคัญเกี่ยวกับการศึกษาสมัยใหม่ในระยะแรกของไทย คือ คณะ
มิชชันนารีอเมริกัน ซึ่งเข้ามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 แหม่มแมต
ตูน ภรรยามิชชันนารีอเมริกัน ได้ตั้งโรงเรียนขึ้นเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ.2395 ต่อมา
ได้รวมกับโรงเรียนของซินแส กีเอ็ง ก๊วยเซียน ซึ่งเป็นชาวจีนที่นับถือนิกายโปรเตส
แตนส์ โรงเรียนนี้รับนักเรียนชายล้วน มีครูใหญ่เป็นคนไทย และสอนด้วยภาษาไทยอยู่
ริมฝั่งแม่นำ้าเจ้ายาที่ตำาบลสำาเหร่ ชื่อว่า โรงเรียนสำาเหร่บอยคริสเตียนไฮสกูล ต่อมาย้าย
มาอยู่ที่ตำาบลสีลม เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย” นับเป็นโรงเรียน
ราษฎร์แห่งแรกของไทย
ส่วนโรงเรียนสตรีแห่งแรกในประเทศไทย คือ โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง ตั้งอยู่
ในบริเวณโรงพยาบาลศิริราช ตั้งโดยแหม่มเฮาส์ ใน พ.ศ.2417 ในต่างจังหวัด พวกมิช
ชันนารีได้ตั้งโรงเรียนขึ้นหลายแห่ง เช่น โรงเรียนปริ๊นส์รอแยลวิทยาลัย และดารา
วิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ โรงเรียนผดุงราษฎร์ จังหวัดพิษณุโลก โรงเรียนอรุณ
ประดิษฐ์ จังหวัดเพชรบุรี
การปฏิรูปการศึกษาสมัยรัชกาลที่ 5
สาเหตุที่ทำาให้เกิดการปฏิรูปการศึกษา คือ พระองค์ต้องการสร้างคนที่มีความ
รู้เพื่อเข้ารับราชการช่วยบริหารประเทศให้พัฒนามากขึ้น โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียน
หลวงแห่งแรกคือ โรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2414 ทรง
พระราชทานเสื้อผ้า อาหารกลางวันทุกวัน ครูก็ได้ค่าจ้าง ต่อมาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานพระตำาหนักเดิมที่สวนกุหลาบ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของพระบรมมหาราช
วัง ให้ชื่อว่า โรงเรียนพระตำาหนักสวนกุหลาบ โดยมีพระยาสุนทรโวหาร (น้อย อาจาร
ยางกูร) หรือหลวงสารประเสริฐเป็นอาจารย์ใหญ่ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนสอน
ภาษาอังกฤษในวัง มีฟรานซิส ยี แปตเตอร์สัน เป็นครู
อีกสาเหตุหนึ่งเนื่องมาจากการปลดปล่อยทาสให้เป็นไท พระองค์ทรงห่วงใย
มาก เพื่อที่จะไม่ให้กลับมาเป็นทาสอีก จึงเป็นต้องให้คนเหล่านั้นได้รับการศึกษา เพื่อ
ให้มีวิชาความรู้นำาไปประกอบอาชีพได้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนสำาหรับราษฎร
ขึ้น ชื่อ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม ใน พ.ศ.2427
แบบเรียนที่ใช้ในโรงเรียนขณะนั้นมีทั้งหมด 6 เล่ม ซึ่งเรียบเรียงโดยพระยา
ศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ได้แก่ มูลบทบรรพกิจ วาหนิติ์นิกร อักษรประโยค
สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์และพิศาลกานต์ ต่อมาได้จัดตั้งกรมศึกษาธิการขึ้น เมื่อวัน
ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2430 ภายหลังยกฐานะเป็นกระทรวงธรรมการ มีหน้าที่รับผิดชอบ
ด้านการศึกษา (สมัยรัชกาลที่ 6 เปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงศึกษาธิการ) และให้ใช้หนังสือ
แบบเรียนเร็วของกรมหมื่นดำารงราชานุภาพแทนแบบเรียนทั้ง 6 เล่ม ต่อได้มีการ
ประกาศใช้โครงการศึกษาชาติ อยู่ในความดูแลของเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี
(ม.ร.ว.เปีย มาลากุล) ตามแบบแผนของอังกฤษ และโปรดเกล้าฯ ให้มีการสอบชิงทุนเล่า
เรียนหลวงขึ้น เรียกว่า “คิงสกอลาชิป” ตั้งแต่ พ.ศ.2440 เป็นประจำาทุกๆ ปี ปีละ 2 คน
ส่งไปศึกษายังทวีปยุโรปหรืออเมริกา
การศึกษาแบบแผนใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการแบ่งการศึกษาออกเป็น
สามัญศึกษาเกี่ยวกับการศึกษาทั่วไปและวิสามัญศึกษาเกี่ยวกับวิชาชีพโดยเฉพาะ โดย
ขยายไปทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และโปรดเกล้าฯ ให้จัดระเบียบการศึกษาใน
โรงเรียนมหาดเล็กตามแบบอังกฤษแล้วเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียน “วชิราวุธวิทยาลัย”
พ.ศ.2464 ได้ตราพระราชบัญญัติประถมศึกษาขึ้นใช้ กำาหนดให้เด็กชาย-
หญิงทั่วพระราชอาณาจักรที่มีอายุตั้งแต่ 7-14 ปี เข้าเรียนในโรงเรียนโดยไม่ต้องเสียค่า
เล่าเรียน ทุกคนต้องจบชั้น ป.4 เมื่ออายุ 15 ปี ถ้าผู้ปกครองคนใดฝ่าฝืนจะมีโทษ (ครั้น
ถึง พ.ศ.2503 จึงได้มีขยายการศึกษาภาคบังคับออกเป็น 7 ปี และ 12 ปีในปัจจุบัน)
สำาหรับการศึกษาประชาบาลในแต่ละท้องถิ่น กำาหนดได้โดยอาศัยทุนทรัพย์ของคนใน
ท้องถิ่น ซึ่งเรียกว่า “เงินศึกษาพลี” และคนในท้องถิ่นเป็นผู้ตั้งโรงเรียนขึ้นเอง แต่อยู่ใน
การควบคุมดูแลของรัฐบาล
การตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รัชกาลที่ 6 ทรงยกฐานะโรงเรียน
ข้าราชการพลเรือนหรือโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเดิม ให้เป็นสถาบันอุดมศึกษา ให้ชื่อ
ว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย ใน พ.ศ.2459 เพื่อจะ
ได้ผลิตผู้มีความรู้ความสามารถสูงสำาหรับเป็นกำาลังในการพัฒนาประเทศ โดยไม่ต้อง
จ้างชาวต่างประเทศด้วยค่าจ้างแพง บางคนทำางานไม่ค่อยได้ผล เพราะขาดความรู้
ความเข้าใจ สภาพแวดล้อมและปัญหาที่ประเทศไทยกำาลังประสบอยู่
4. การศาสนาและขนบธรรมเนียมประเพณี
การศาสนา รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดต่างๆ ได้แก่
วัดมกุฏกษัตริยาราม วัดโสมนัสวิหาร วัดปทุมวนาราม และวัดราชประดิษฐ์
รัชกาลที่ 5 ทรงตั้งสถานศึกษาสำาหรับสงฆ์ คือ มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย
หรือมหาธาตุวิทยาลัยเป็นสถานศึกษาฝ่ายมหานิกาย และมหามกุฏราชวิทยาลัย ตั้งขึ้น
ใน พ.ศ.2436 เป็นสถานศึกษาฝ่ายธรรมยุติกนิกาย สำาหรับวัดที่ทรงสร้างในสมัยนี้
ได้แก่ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นต้น
ขนบธรรมเนียมประเพณี การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงประเพณี วัฒนธรรมของ
ชาติให้เป็นแบบอารยประเทศ ได้เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะ
สมกับกาลเวลาและเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ราษฎรในเวลาเดียวกันด้วย เป็นการ
เปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มที่ราชสำานักก่อน แล้วจึงขยายไปสู่ระดับ
ประชาชน แต่ผลกระทบของการรับประเพณีวัฒนธรรมแบบตะวันตกบางอย่างก็เห็นชัด
เฉพาะในเมืองหลวงเท่านั้น เพราะประชาชนส่วนใหญ่ตามหัวเมือง และในชนบทยังคง
ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิม
นับแต่ต้นรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนแปลงประเพณีเดิมเป็นแบบตะวัน
ตกหลายประการ คือ มีประกาศให้ข้าราชการสวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้า ให้ชาวตะวันตกที่
อยู่ในกรุงเทพฯ เข้าเฝ้าขณะเสด็จออกมหาสมาคมพร้อมกับข้าราชการไทยเป็นครั้ง
แรก ให้ชาวต่างประเทศถวายคำานับและนั่งเก้าอี้เวลาเข้าเฝ้าได้ ให้เสรีภาพแก่
ประชาชนในการนับถือศาสนาและการประกอบอาชีพ ในด้านสิทธิเสรีภาพของสตรี
รัชกาลที่ 4 ทรงพยายามยกฐานะของสตรีให้ดีขึ้น สำาหรับข้าราชการฝ่ายในที่ไม่สมัคร
ใจจะอยู่ในวังต่อไป ก็ทรงอนุญาตให้ลาออกจากราชการได้ ทรงริเริ่มให้สตรีในราช
สำานักได้มีโอกาสเล่าเรียนวิชาภาษาอังกฤษจากสตรีในคณะมิชชันนารีอเมริกัน นับ
เป็นการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดทางการศึกษาของสตรีอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
นอกจากนี้ยังทรงเริ่มใช้ชาวต่างประเทศเป็นข้าราชการในหน่วยงานต่างๆ เพื่อ
ปรับปรุงประเทศเป็นแบบตะวันตกด้วย
ประเพณี วัฒนธรรมของไทยได้มีการแก้ไขปรับปรุงครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่
5 อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเสด็จประพาสต่างประเทศทั้งในเอเชียและยุโรป คือให้
ผู้ชายไทยในราชสำานักเลิกไว้ผมทรงมหาดไทยเปลี่ยนเป็นไว้ผมยาวทั้งศีรษะอย่างฝรั่ง
ส่วนผู้หญิงให้เลิกไว้ผมปีก ให้ไว้ผมตัดยาวทรงดอกกระทุ่ม ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้ช่าง
ออกแบบตัดแปลงจากเสื้อนอกของฝรั่งเรียกว่า “เสื้อราชประแตน” และสวมหมวกอย่าง
ยุโรป ให้ข้าราชการทหารแต่งเครื่องแบบ นุ่งกางเกงอย่างทหารยุโรป แทนการนุ่งโจง
กระเบนแบบเก่า
รัชกาลที่ 5 ทรงแก้ไขประเพณีการสืบราชสันตติวงศ์ ยกเลิกตำาแหน่งกรม
พระราชวังบวรสถานมงคลใน พ.ศ.2429 โปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งตำาแหน่ง “สมเด็จ
พระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร” ตาแบบประเทศตะวันตก ที่เรียกองค์
รัชทายาทว่า “Crown Prince”
รัชกาลที่ 5 ทรงยกเลิกประเพณีวัฒนธรรมที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน
ที่สำาคัญคือ เลิกประเพณีหมอบคลานเข้าเฝ้าและให้ยืนเข้าเฝ้าแทน ยกเลิกการโกนผม
เมื่อพระมหากษัตริย์สวรรคต คงให้มีการไว้ทุกข์เพียงอย่างเดียว เปลี่ยนวิธีการไต่สวน
ของตุลาการแบบเก่า ยกเลิกจารีตนครบาล เพราะเป็นวิธีลงโทษที่ชาวตะวันตกรังเกียจ
ทารุณไร้อารยธรรม พระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ของรัชกาลที่ 5 ในการเปลี่ยนแปลง
ประเพณีและวัฒนธรรมของไทยให้เป็นไปตามคตินิยมตะวันตก คือ การเลิกทาสและ
เลิกระบบไพร่ อันเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงแก่ประชาราษฎรโดยตรง
ในสมัยรัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้ พระราชบัญญัตินามสกุล
พ.ศ.2455 ให้ใช้พุทธศักราช (พ.ศ.) เป็นศักราชทางราชการ พ.ศ.2456 แทนการใช้
รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) เพราะเป็นศักราชทางศาสนาที่ชาวไทยนับถือพระพุทธศาสนา
เช่นเดียวกับประเทศตะวันตกที่ใช้ศักราชของศาสนาที่ชนส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศักราช
(ค.ศ.) และเปลี่ยนแปลงการนับเวลาทางราชการเสียใหม่ให้สอดคล้องกับสากลนิยม
โดยถือเวลาหลังเที่ยงคืนเป็นเวลาเปลี่ยนวันใหม่ กำาหนดคำานำาหน้าสตรีที่ยังเป็นโสดว่า
“นางสาง” ผู้ที่มีสามีแล้ว ใช้คำาว่า “นาง” และกำาหนดคำานำาหน้านามเด็กว่า “เด็กชาย”
และ “เด็กหญิง” ขึ้นด้วย
นอกจากนี้เมื่อไทยส่งกองทหารอาสาไปสมทบกับกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรใน
ยุโรป พ.ศ. 2460 รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯให้ประดิษฐ์ธงชาติขึ้นใหม่ใช้ 3 สี คือ สีนำ้าเงิน
สีขาว และสีแดง ตามแบบสีธงชาติของอารยประเทศส่วนใหญ่ใช้กันอยู่ และพระราทาน
นามธงชาติแบบสามสีห้าริ้วที่ประกาศใช้ขึ้นใหม่ว่า “ธงไตรรงค์” ซึ่งยังคงใช้เป็น
ประจำาชาติมาจนทุกวันนี้
พ.ศ.2461 โปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติ
วงศ์ ตามแบบประเทศยุโรปที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข วางลำาดับผู้ที่จะทรงได้ราช
สมบัติไว้โดยละเอียด
ในด้านการแต่งกาย การเปลี่ยนแปลงการแต่งกายแบบตะวันตก ส่วนใหญ่
เป็นไปเฉพาะราชสำานักและในหมู่ข้าราชการชั้นสูงเท่านั้น ในสมัยรัชกาลที่ 7 สตรีไทย
หันไปแต่งกายแบบตะวันตกมากขึ้น นิยมนุ่งซิ่นแค่เข่า สวมเสื้อทรงกระบอกตัวยาวแขน
สั้น ไว้ผมบ๊อบ ส่วนการแต่งกายของชายที่เป็นข้าราชการพลเรือนยังคงนุ่งผ้าม่วง
สีนำ้าเงิน สวมเสื้อราชปะแตน รองเท้า สวมหมวกสักหลาดมีปีก หรือหมวกกะโล่
5. วรรณกรรรมและศิลปกรรรม
1. วรรณกรรม
1.1 สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นทั้งกวี มีความ
สามารถในด้านศาสนา โบราณคดี โหราศาสตร์ และภาษาอังกฤษ กวีและวรรณกรรม
ที่สำาคัญในสมัยรัชกาลที่ 4 มีดังนี้
1) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์บท
ละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอนพระรามเดินดง ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ประกาศและ
พระบรมราชาธิบายต่างๆ
2) หม่อมราโชทัย ได้แก่ จดหมายเหตุของหม่อมราโชทัย นิราลอน
ลอน
1.2 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยนี้มีการ
ปรับปรุงบ้านเมืองหลายอย่างที่ช่วยสนับสนุนให้งานวรรณกรรมก้าวหน้า คือ การตั้ง
โรงเรียน การพิมพ์หนังสือ การตั้งหอสมุดแห่งชาติและเกิดโบราณคดีสโมสรที่ช่วยส่ง
เสริมงานด้านการประพันธ์ การศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดี ประกอบกับได้รับ
อารยธรรมตะวันตกเผยแพร่เข้ามาอีกด้วย
กวีและวรรณกรรมที่สำาคัญในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้
1) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์
พระราชพิธีสิบสองเดือน ไกลบ้าน พระราชวิจารณ์ทรงจำาของกรมหลวงนรินทรเทวี
ลิลิตนิทราชาคริต บทละครเรื่องเงาะป่า กวีนิพนธ์เบ็ดเตล็ด
2) พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ได้แก่ แบบเรียน
ภาษาไทย 6 เล่ม
1.3 สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นระยะที่วรรณกรรม
ได้รับอิทธิพลของตะวันตกมากที่สุด วรรณกรรมทั้งร้อยแก้วและร้องกรองเจริญถึงขีด
สุด ทรงพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์และพระราชทานเสรีภาพในการประพันธ์
อย่างกว้างขวาง และยังทรงตั้งวรรณคดีสโมสรขึ้น เพื่อส่งเสริมการแต่งหนังสือไทยให้
ดีขึ้น
กวีและวรรณกรรมที่สำาคัญในสมัยรัชกาลที่ 6 มีดังนี้
1) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว วรรณกรรมที่ทรงพระ
ราชนิพนธ์ ได้แก่
ประวัติศาสตร์และโบราณคดี เช่น เที่ยวเมืองพระร่วง สงคราม
สืบราชสมบัติโปแลนด์ เที่ยวเมืองไอยคุปต์ นารายณ์สิบปาง ตำานานชาติฮั่น
บทละคร มีอยู่หลายเรื่อง เช่น หัวใจนักรบ มัทนะพาธา พระร่วง
วิวาห์ พระสมุทร ความเสียสละ เวนิสวานิช ตามใจท่าน เห็นแก่ลูก ท้าวแสนปม ศกุน
ตลา ฯลฯ
ปาฐกถาและบทความ เช่น เทศนาเสือป่า ปลุกใจเสือป่า ยิวแห่ง
บูรพาทิศ โคลนติดล้อ
ร้อยกรอง เช่น พระนลคำาหลวง ลิลิตพายัพ นิราศพระมะเหลเถ
ไถ กาพย์เห่เรือ มงคลสูตรคำาฉันท์
สารคดี เช่น บ่อเกิดรายเกียรติ์
2) สมเด็จฯ กรมพระยาดำารงราชนุภาพ ทรงนิพนธ์หลายเรื่อง เช่น
ไทยรับพม่า นิราศนครวัด เที่ยวเมืองพม่า นิทานโบราณคดี เสด็จประพาสต้น
จดหมายเหตุ เป็นต้น
3) กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เรื่องเด่นๆ ที่นิพนธ์ เช่น จดหมายจาง
วางหรำ่า ตลาดเงินตรา นิทานเวตาล พระนางฮองไทเฮา กนกนคร พระนลคำาฉันท์
เป็นต้น
4) พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนชีวะ) ได้แก่ ตำาราไวยากรณ์
อักขรวิธี วจีวิภาค วายกสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ สงครามภารตะคำากลอน รำาพึงในป่าช้า
หลังรัชกาลที่ 6 วรรณประเภทร้อยแก้วเจริญขึ้นมาก เช่น นวนิกาย
เรื่องสั้น บทความและสารคดี ซึ่งได้รับอิทธิพลจากยุโรป มีการแปลวรรณคดีและเรียบ
เรียงวรรณคดีของต่างประเทศหลายเรื่อง เช่น สาวเครือฟ้า ละครเรื่องเจ้าหญิงแสนหวี
ของหลวงวิจิตรวาทการ สี่แผ่นดินของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นต้น
2. ศิลปกรรม
2.1 สมัยรัชกาลที่ 4
1) ด้านสถาปัตยกรรม เริ่มนิยมตามแบบตะวันตก เช่น พระราชวัง
สราญรมย์ สถาปัตยกรรมแบบไทย เช่น ปราสาทพระเทพบิดร เจดีย์สำาคัญ เช่น พระ
ปฐมเจดีย์ พระมหาเจดีย์ในวัดพระเชตุพนฯ พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) พระสมุทร
เจดีย์ เป็นต้น
2) ด้านจิตรกรรม เช่น ภาพเขียนฝาผนังในพระอุโบสถและวิหารวัด
บวรนิเวศวิหาร ภาพเหมือนพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่
หัว ฝีมือขรัวอินโข่ง
2.2 สมัยรัชกาลที่ 5
1) ด้านสถาปัตยกรรม ได้รับอิทธิพลของตะวันตกมากขึ้น เช่น
พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระที่นั่งอนันตสมาคม พระรามราชนิเวศน์ จังหวัดเพชรบุรี
ศาลว่าการกระทรวงกลาโหม วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สถาปัตยกรรมแบบไทย เช่น วัดเบญจมบพิตรฯ วัดราชบพิตร วัด
เทพศิรินทราวาส พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ พระราชวังบางประอิน อำาเภอบางประ
อิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
2) ด้านประติมากรรม เช่น พระพุทธชิราชจำาลอง พระสัมพุทธ
พรรณี พระบรมรูป เช่น พระบรมรูปหล่อพระมหากษัตริย์ 4 รัชกาล ในปราสาทพระเทพ
บิดร พระบรมรูปทรงม้า
3) ด้านนาฏกรรม เกิดละครแบบใหม่ เช่น ละครพันทาง ละคร
ดึกดำาบรรพ์ ละครร้อง ละครพูด
4) ด้านจิตรกรรม เช่น ภาพเขียนเรื่องมหาเวสสันดรชาดก ใน
อุโบสถวัดราชาธิวาส
2.3 สมัยรัชกาลที่ 6
1) ด้านสถาปัตยกรรมสร้างตามแบบไทย เช่น หอประชุมโรงเรียน
วชิราวุธวิทยาลัย ตึกคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อนุสาวรีย์ทหารอาสา
สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก เช่น พระราชวังสนามจันทร์
พระราชวังพญาไท (ปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า)
2) ด้านจิตรกรรม เช่น ภาพเขียนผนังวิหารทิศที่พระปฐมเจดีย์ ภาพ
เขียนที่ผังพระที่นั่งอนันตสมาคม
3) ด้านประติมากรรม เช่น พระแก้วมรกตน้อย พระนิพพาน แม่พระ
ธรณีบีบมวยผม รูปปั้นหล่อด้วยปูนและโลหะ บริเวณพระที่นั่งอนันตสมาคม พระที่นั่ง
อัมพรสถาน พระตำาหนักจิตรลดารโหฐาน
4) ด้านนาฏกรรม ในสมัยนี้ศิลปะด้านโขนและละครและดนตรีเจริญ
ที่สุด มีการตั้งโรงเรียนหลวงสอนด้านนาฏศิลป์ ตั้งคณะละคร สร้างโรงละคร ทรงพระ
ราชนิพนธ์บทละครพูด ฝึกหัดประชาชนทั่วไปให้เล่นโขน มีทั้งโขนสมัครเล่น โขน
บรรดาศักดิ์และโขนเชลยศักดิ์
6. การต่างประเทศ
นโยบายต่างประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง มี
ดังนี้
1. นโยบายต่างประเทศ เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา ประเทศไทย
ได้เริ่มมีสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำานาจตะวันตกอย่าง
กว้างขวาง มีการวางนโยบายแผนใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและรับ
สถานการณ์ต่างๆ ของโลกภายนอก ที่มีผลกระทบกระเทือนทั้งโดยตรงและโดยอ้อมต่อ
ประเทศไทย นโยบายต่างประเทศของไทยแต่ละรัชกาลพอจะสรุปได้ ดังนี้
1.1 นโยบายต่างประเทศสมัยรัชกาลที่ 4 สมัยนี้เป็นสมัยของการเริ่ม
ต้นเปิดประเทศครั้งใหญ่ของไทย รัฐบาลถูกบีบบังคับให้ทำาสนธิสัญญาที่ผูกมัดเอารัด
เอาเปรียบและไม่ธรรม แต่เพื่อความปลอดภัยและเอกราชของชาติ พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ใช้นโยบาย “ผ่อนสั้นผ่อนยาว” ขึ้นเป็นพระองค์แรก ซึ่ง
ทำาให้ไทยรอพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นและเป็นเอกราช มาจนปัจจุบัน และยังเป็น
แนวทางให้รัฐบาลสมัยต่อๆ มาได้ดำาเนินนโยบายตามอีกด้วย
1.2 นโยบายต่างประเทศสมัยรัชกาลที่ 5 ได้สร้างสัมพันธไมตรีอันดีต่อ
นานาประเทศ โดยเฉพาะประเทศตะวันตก โดยส่งเอกอัครราชทูตไปประจำาประเทศ
ต่างๆ เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศให้แน่นแฟ้นมากยิ่ง
ขึ้น และการส่งเอกอัครราชทูตไปประจำายังต่างประเทศนี้ก็ได้ปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน
ผลจากการมีสัมพันธไมตรีอันดีต่อนานานประเทศนี้ ทำาให้ความตึงเครียดทางด้าน
การเมืองของไทยกับต่างประเทศดีขึ้นเป็นลำาดับ ทำาให้ประเทศรอดพ้นจากการตกเป็น
เมืองขึ้นของประเทศมหาอำานาจบางประเทศ ซึ่งผิดกับประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบที่ต้อง
ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำานาจต่างๆ จนหมดสิ้น และยังเป็นแนวทางนำาไปสู่
การแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
2. การเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศตะวันตก
2.1 อังกฤษ พ.ศ.2398 สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย พระราชินีนาถของ
ประเทศอังกฤษ ได้แต่งตั้งให้ เซอร์ จอห์น เบาว์ริง เป็นอัครราชทูตผู้มีอำานาจเต็ม
อัญเชิญพระราชสาสน์มาขอเจราจาทำาสนธิสัญญาทางไมตรีกับไทย ซึ่งไทยก็ให้การ
ต้อนรับอย่างสมเกียรติ
สนธิสัญญาที่ไทยทำากับอังกฤษในครั้งนี้ เรียกว่า “สนธิสัญญาเบาว์ริง”
ทำาเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2398 ซึ่งมีสาระสำาคัญดังต่อไปนี้
1) อังกฤษขอตั้งศาลกงสุลในไทย เพื่อคอยดูแลผลประโยชน์ของ
คนอังกฤษและคนในบังคับอังกฤษ ถ้าเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนไทย หรือกระทำา
ความผิด ให้คนเหล่านี้ขึ้นศาลกงสุลอังกฤษเท่านั้น
2) คนอังกฤษมีสิทธิเช่าที่ดินในไทยได้ แต่ถ้าจะซื้อที่ดินต้องอยู่ใน
เมืองมาแล้ว 10 ปี ขึ้นไป
3) อังกฤษมีสิทธิสร้างวัดและเผยแผ่ศาสนาคริสต์ได้อย่างเสรี
4) ให้ไทยยกเลิกการเก็บภาษีปากเรือ ให้เก็บแต่เพียงภาษีขาเข้า
ได้ไม่เกินร้อยละ 3 ส่วนภาษีขาออกให้เสียเพียงครั้งเดียว
5) เปิดโอกาสให้พ่อค้าอังกฤษกับราษฎรไทยค้าขายกันอย่างเสรี
6) สินค้าต้องห้าม มี 3 อย่าง คือ ข้าว ปลา เกลือ และอังกฤษสามารถ
นำาฝิ่นเข้ามาขายให้แก่เจ้าภาษีโดยไม่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าเจ้าภาษีไม่ซื้อให้นำากลับออก
ไป ถ้าลักลอบขายจะถูกริบฝิ่น
7) ถ้าไทยทำาสนธิสัญญานี้กับชาติอื่น โดยยกประโยชน์ให้ชาตินั้นๆ
นอกเหนือจากที่ทำากับอังกฤษในครั้งนี้ ก็ต้องทำาให้อังกฤษด้วย
8) สนธิสัญญานี้จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขใดๆ ไม่ได้ นอกเหนือจาก
เวลาล่วงไปแล้ว 10 ปี หลังจากนั้นจะทำาการแก้ไขต้องตกลงยินยอมด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
และต้องบอกล่วงหน้า 1 ปี
ในการทำาสนธิสัญญาครั้งนี้ ไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมากมาย
เป็นการบีบบังคับโดยที่ไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และไทยไม่สามารถเปลี่ยนแปลง
แก้ไขได้ ข้อเสียเปรียบที่ไทยได้รับ มีดังต่อไปนี้
1. ทำาให้ไทยต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่คนอังกฤษและ
คนในบังคับอังกฤษ (คนในบังคับอังกฤษ หมายถึง คนอังกฤษ คนในชาติที่เป็นเมืองขึ้น
ของอังกฤษ และยังหมายถึงคนเอเชียที่มาขอจดทะเบียนเป็นคนในบังคับของอังกฤษ
โดยที่ประเทศตนไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษก็ตาม)
2. อังกฤษเป็นชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง ในการมีสิทธิ์พิเศษอื่นๆ
นอกเหนือจากสนธิสัญญาที่ไทยทำากับอังกฤษ ถ้าไทยทำาการตกลงกับชาติอื่นๆ
3. สนธิสัญญานี้อังกฤษเป็นฝ่ายได้เปรียบ จึงไม่ยอมทำาการแก้ไข
แต่สนธิสัญญานี้ก็ยังพอมี ผลดีอยู่บ้าง คือ
1. ทำาให้ไทยรอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
2. การค้าขายขยายตัวมากขึ้น ทำาให้ฐานะของประชาชนดีขึ้น รวมทั้ง
เศรษฐกิจของประเทศก็พลอยดีขึ้นตามไปด้วย
3. ทำาให้อิทธิพลของอารยธรรมตะวันตกแพร่หลายเข้ามาใน
ประเทศไทย และสามารถนำามาปรับปรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้ามากขึ้น
2.2 ประเทศอื่นๆ หลังจากไทยทำาสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษแล้ว ได้มีชา
ติอื่นๆ เข้ามาเจรจาขอทำาสนธิสัญญาตามแบบอย่างอังกฤษหลายชาติ ตามลำาดับดังต่อ
ไปนี้
1) พ.ศ.2399 ประธานาธิบดี แฟรงคลิน เพียส แห่งสหรัฐอเมริกา ส่ง
นายเทาน์เซนต์ แฮริส เป็นทูตมาขอแก้ไขสัญญากันไทย และในปีเดียวกันนี้เอง พระ
เจ้านโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศสได้ส่ง นายมองตินยี ราชทูตเข้ามาทำาสัญญากับไทย
2) พ.ศ.2401 ทำาสนธิสัญญากับโปรตุเกสและเดนมาร์ก
3) พ.ศ.2403 ทำาสนธิสัญญากับเนเธอร์แลนด์
4) พ.ศ.2404 ทำาสนธิสัญญากับปรัสเซีย
5) พ.ศ.2411 ทำาสนธิสัญญากับนอร์เว สวีเดน เบลเยี่ยม อิตาลี
6) พ.ศ. 2412 ทำาปฏิญญาว่าด้วยการค้าและการเดินเรือกับรุสเซีย
3. การส่งราชทูตไปยุโรป สมัยรัตนโกสินทร์ ใน พ.ศ.2400 พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้พระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) และหม่อ
มราโชทัย อัญเชิญพระราชสาสน์ไปถวายสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียที่ประเทศ
อังกฤษ
พ.ศ. 2404 โปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีพิพัฒนราชโกษาธิบดี (แพ บุนนาค)
เป็นอัครราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้านโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส
พ.ศ. 2410 ทรงแต่งตั้ง เซอร์ จอห์น เบาว์ริง เป็นอัครราชทูตไทยประจำา
ยุโรปคนแรก โดยได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยาสยามานุกูลกิจ สยามมิตร
มหายศ เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยในการทำาสนธิสัญญากับประเทศต่างๆ เช่น นอร์เว
สวีเดน เบลเยียม และอิตาลี
7. อิทธิพลของอายธรรมตะวันตกที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของไทยในด้านต่างๆ
1. จากการที่ไทยยอมเปิดประเทศในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยยอมทำาสนธิ
สัญญาทางการทูตและการค้ากับประเทศตะวันตก ทำาให้เกิดผลต่อประเทศ คือ
1.1 ทำาให้ประเทศไทยรอดพ้นจากเหตุการณ์ร้ายแรงที่จะเกิด
ตามมาได้โดยปลอดภัย โดยเฉพาะครั้งที่ เซอร์ จอห์น เบาว์ริง เดินทางเข้ามาขอทำา
สนธิสัญญากับไทย ถ้าไทยไม่ยอมหรือขัดขืนต่อข้อเรียกร้องของอังกฤษ อังกฤษก็จะ
ดำาเนินการขั้นเด็ดขาด ดังเช่นที่เคยทำากับจีนและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียมาแล้ว
1.2 จากข้อตกลงที่ทำากันทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนใหญ่ไทยมักเสียเปรียบ
ประเทศที่ทำาสัญญากับไทยจึงมีความเห็นอกเห็นใจ และยอมผ่อนผันข้อตกลงบาง
ประการให้ไทยบ้าง ทำาให้ไทยเสียผลประโยชน์น้อยกว่าที่คิดไว้
1.3 ไทยสามารถนำาเอาอารยธรรมและวิชาการความรู้สมัยใหม่
ที่ได้รับจากชาติตะวันตก มาพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น เช่น ด้านการศึกษา
ด้านการทหาร ยกเลิกประเพณีเก่าแก่ล้าสมัย ยอมรับความคิดแบบใหม่ ยกเลิกความ
เชื่อเก่าๆ ที่ไร้เหตุผล ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่เล็งเห็นการณ์
ไกล
1.4 จาการทำาสนธิสัญญาทางด้านการค้าขายกับต่างประเทศ
และการเปิดประเทศของไทยนี้ ทำาให้ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนยก
ระดับสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด
แต่สนธิสัญญานี้ไทยก็ถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างมากมาย ไทยถูกผูกมัด
และจำากัดอำานาจอธิปไตยหลายอย่าง ข้อเสียเปรียบต่างๆ มีดังนี้
1) ไทยต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต เมื่อคนต่างชาติหรือ
คนในบังคับต่างชาติกระทำาผิดต้องนำาขึ้นศาลกงสุลต่างชาติ ซึ่งทำาให้ไทยเสียเปรียบ
ในเรื่องอำานาจทางการศาล และสร้างความเดือดร้อนยุ่งยากในการปกครองเป็นอย่าง
มาก
2) ไทยถูกจำากัดการเก็บภาษีขาเข้าได้เพียงร้อยละ 3 ถ้าสินค้านั้น
ขายไม่ได้ถูกส่งกลับ ไทยต้องคืนค่าภาษีให้ด้วย ทำาให้รายได้ของประเทศน้อยลงกว่า
เดิม
3) สนธิสัญญาที่ทำากับนานาประเทศไม่มีกำาหนดเวลา ต้องใช้ตลอด
ไปไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีวิธีที่จะยกเลิกได้เลย นอกจากขอแก้ไข ซึ่งก็เป็นการลำาบากมาก
เพราะต้องได้รับการยินยอมจากทั้ง 2 ฝ่าย
4) หลังจากไทยทำาสนธิสัญญากับต่างประเทศแล้ว ทำาให้ต้องเลิก
การค้าระบบผูกขาด ทำาให้ประเทศชาติต้องสูญเสียประโยชน์ส่วนนี้ไป
2. สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงริเริ่มแต่งตั้งเอกอัครราชทูตไปประจำายังต่าง
ประเทศเป็นครั้งแรก เอกอัครราชทูตไทยคนแรก คือ พระองค์เจ้าปฤษฏางค์ ประจำาที่
กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ต่อมาได้ส่งไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต
และญี่ปุ่น ยอกจากนี้ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่ทรงเสด็จประพาส
ต่างประเทศ ซึ่งการเสด็จประพาสต่างประเทศนี้ก็ได้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ
มากมาย คือ
2.1 ทำาให้ไทยได้รับการถ่ายทอดขนบธรรมเนียมประเพณีและ
วัฒนธรรมของประเทศตะวันตกมาดัดแปลงและปรับปรุงให้เหมาะสมกับประเทศไทย
มากขึ้น เช่น เปลี่ยนการแต่งกายเป็นแบบสากลนิยมไว้ทรงผมแบบฝรั่ง ฯลฯ
2.2 ได้ทรงนำาเอาแบบฉบับการปกครองที่เหมาะสมมาใช้กับ
ประเทศไทย เช่น การตั้งกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ การศึกษา การทหาร การศาล
การสื่อสาร การคมนาคม การสุขาภิบาล ฯลฯ
2.3 ทำาให้ความตึงเครียดทางด้านการเมืองระหว่างประเทศลดน้อย
ลง เช่น ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส
2.4 การที่พระองค์ทรงมีสัมพันธ์ส่วนพระองค์กับประมุขของประเทศ
มหาอำานาจ เช่น เยอรมนี สหภาพโซเวียต ทำาให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการเป็นเมือง
ขึ้นของประเทศมหาอำานาจอื่นๆ ได้
2.5 สัมพันธไมตรีอันดีที่มีต่อกันระหว่างประเทศไทยกับประเทศ
ต่างๆ เป็นผลดีที่ทำาให้ไทยเรียกร้องขอแก้ไขสัญญา และยกเลิกสิทธิสภาพนอาณาเขต
ได้ในเวลาต่อมา
2.6 เป็นการประกาศความเป็นเอกราชของไทย และเผยแพร่
เกียรติคุณของประเทศให้แก่ประเทศต่างๆ ได้รู้จัก
2.7 เกิดบทพระราชนิพนธ์เนื่องจากการเสด็จประพาสต่างประเทศที่
สำาคัญ ๆ หลายเรื่อง เช่น ไกลบ้าน พระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ ที่ทรงพระราชทาน
แด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ฯลฯ
ครั้นถึงรัชกาลที่ 6 ทั่วโลกต้องเผชิญกับเหตุการณ์สำาคัญ คือ การเกิด
วิกฤตการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งไทยก็มีส่วนเข้าร่วมด้วย และในระหว่างสงครามนี้
ไทยได้เปลี่ยนธงชาติมาใช้ธงไตรรงค์ แทนธงช้างและใช้สืบต่อมาจนทุกวันนี้
8. การเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ในสมัยรัชกาลที่ 6
สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นสงครามครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งและครั้งแรกของ
โลกที่ทำาลายชีวิตมนุษย์ ทรัพย์สิน ทรัพยากรธรรมชาติ และจิตใจของผู้คนไปมากมาย
1. ประเทศที่เข้าร่วมสงคราม แบ่งออกเป็นสองฝ่าย
1.1 ฝ่ายพันธมิตรสามเส้า หรือมหาอำานาจกลาง ได้แก่ เยอรมนี
ออสเตรีย-ฮังการี และตุรกี
1.2 ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต
อิตาลี ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาและไทย ในตอนแรกไทยรักษาความเป็นกลางอย่างมั่นคง
แต่เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าอยู่หัว ทรงให้ความสนใจและติดตามข่าว
การสงครามอย่างใกล้ชิด พระองค์ทรงเล็งเห็นการณ์ไกลในการให้ประเทศไทย
ประกาศตัวเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรเพราะถ้าฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับชัยชนะ จะมีผล
ดีในการที่ประเทศไทยจะเรียกร้องสิทธิต่างๆ เช่น ขอแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมที่
ทำาไว้กับนานาประเทศ จึงได้ประกาศสงครามกับเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี ในวันที่
22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 โดยประกาศกระแสพระบรมราชโองการประณามว่า
“เยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี เป็นฝ่ายละเมิดเมตตาธรรมของมวลมนุษย์ มิได้มีความ
นับถือต่อประเทศเล็ก ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นผู้ก่อกวนความสุข
ของโลก” ซึ่งเหตุการณ์ก็เป็นดังที่พระองค์ทรงคาดไว้ คือ ฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับ
ชัยชนะ
การตัดสินพระทัยของพระองค์ในครั้งนั้น ปรากฏว่าได้รับการคัดค้าน
จากประชาชนทั่วไป เนื่องจากในสมัยนั้นมีคนไทยไปศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนีเป็น
จำานวนมาก จึงนิยมและเคารพเยอรมนีเป็นเสมือนครูบาอาจารย์ และเยอรมนีไม่เคย
สร้างความเจ็บชำ้านำ้าใจให้คนไทยมาก่อนเลย และในการรบระยะแรก เยอรมนีเป็น
ฝ่ายได้ชัยชนะมาตลอด ไม่น่าไปได้ว่าเยอรมนีจะเป็นฝ่ายแพ้สงครามในที่สุด ยุทธภูมิ
ในการรบครั้งนี้ก็ไกลมาก ส่วนใหญ่เกิดในทวีปยุโรป ประชาชนโดยทั่วไปมีความเห็น
ว่า เมืองไทยไม่น่ามีส่วนเกี่ยวพันด้วย ทั้งเมืองไทยก็ยังเป็นประเทศเล็กๆ ควรอยู่อย่าง
สงบดีกว่า
หลังจากที่ไทยประกาศสงครามกับเยอรมนีแล้ว ไทยก็เริ่มทำาการจับ
เชลยที่เป็นชาวเยอรมนีและออสเตรีย เพื่อป้องกันการก่อการไม่สงบ ยึดเรือเดินทะเล
ขนาดใหญ่ เรือบรรทุก เรือลำาเลียง จับลูกเรือเป็นเชลย และริบทรัพย์เชลยเหล่านี้เสีย
ต่อมาไทยได้ส่งกองทหารอาสาเข้าร่วมในสมรภูมิยุโรปด้วย
การส่งทหารไปร่วมรบในครั้งนี้มีผู้มาสมัครเป็นทหารอาสามากมาย
ไทยได้จัดส่งทหารไปเป็น 2 กอง คือ กองบินทหารบกประมาณ 400 คนเศษ และกอง
ทหารบกรถยนต์ประมาณ 850 คน เดินทางไปถึงเมืองท่ามาร์แชล ประเทศฝรั่งเศส ใน
วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 ซึ่งนับเป็นหน่วยทหารไทยกองแรกในประวัติศาสตร์ที่
ยาตราทัพเป็นระยะทางไกลที่สุดถึงทวีปยุโรป
กองทัพไทยถูกส่งประจำาการแนวหน้าทันที ทำาหน้าที่ลำาเลียงกำาลังให้
แก่กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างเข้มแข็งและกล้าหาญ ทั้งกลางวันและกลางคืน
ท่ามกลางหิมะ สามารถยึดดินแดนของเยอรมนีทางฝั่งซ้ายของแม่นำ้าไรน์มาได้ ร่วมกับ
กองทัพของฝ่ายสัมพันธมิตร รัฐบาลฝรั่งเศสจึงได้ให้ตรา “ครัวซ์เดอแกร์” มาประดับ
ธงชัยเฉลิมพล เพื่อเป็นเกียรติแก่กองทหารรถยนต์ไทย กับได้ให้ตรานี้แก่ทหารไทย 2
นายที่ได้ตรวจทางกระสุนปืนของข้าศึกด้วยความกล้าหาญ สำาหรับกองบินทหารบกนั้น
ไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมในสมรภูมิครั้งนี้ เพราะสงครามได้ยุติลงเสียก่อน
จากการเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ไทยได้สร้าง “อนุสาวรีย์ทหารอาสา”
และ “วงเวียน 22 กรกฎา” ไว้เป็นอนุสรณ์ที่ระลึกไว้ด้วย
2. ผลที่ไทยได้รับจากการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 มีดังนี้
2.1 ทำาให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักของนานาประเทศ โดยเฉพาะ
ประเทศในทวีปยุโรป
2.2 ทำาให้ได้รับการยกย่องว่ามีฐานะและสิทธิเท่าเทียมกับ
ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

More Related Content

Viewers also liked

Batel Levy's Portfolio
Batel Levy's PortfolioBatel Levy's Portfolio
Batel Levy's Portfoliobatelevy
 
Being Agile without Continuous Anything - does that make sense?
Being Agile without Continuous Anything - does that make sense?Being Agile without Continuous Anything - does that make sense?
Being Agile without Continuous Anything - does that make sense?Markus Jansen
 
Diferencias entre gastos publicos e inversion social
Diferencias entre gastos publicos e inversion socialDiferencias entre gastos publicos e inversion social
Diferencias entre gastos publicos e inversion socialRusmary Morales
 
Dignidad 110608141521-phpapp02
Dignidad 110608141521-phpapp02Dignidad 110608141521-phpapp02
Dignidad 110608141521-phpapp02angelica7878
 
Explorers
ExplorersExplorers
Explorerstbeth
 
Geom10point1.Doc
Geom10point1.DocGeom10point1.Doc
Geom10point1.Docherbison
 
Facto Congres 2016 - Samen bouwen aan een relatie van 30 jaar
Facto Congres 2016 - Samen bouwen aan een relatie van 30 jaarFacto Congres 2016 - Samen bouwen aan een relatie van 30 jaar
Facto Congres 2016 - Samen bouwen aan een relatie van 30 jaarFacto Magazine
 
Trabajo de informatica
Trabajo de informaticaTrabajo de informatica
Trabajo de informaticachurquiis
 

Viewers also liked (15)

Batel Levy's Portfolio
Batel Levy's PortfolioBatel Levy's Portfolio
Batel Levy's Portfolio
 
Delfina
DelfinaDelfina
Delfina
 
Being Agile without Continuous Anything - does that make sense?
Being Agile without Continuous Anything - does that make sense?Being Agile without Continuous Anything - does that make sense?
Being Agile without Continuous Anything - does that make sense?
 
Atelier présentation1
Atelier présentation1Atelier présentation1
Atelier présentation1
 
54261517
5426151754261517
54261517
 
Diferencias entre gastos publicos e inversion social
Diferencias entre gastos publicos e inversion socialDiferencias entre gastos publicos e inversion social
Diferencias entre gastos publicos e inversion social
 
Contacto
ContactoContacto
Contacto
 
Dignidad 110608141521-phpapp02
Dignidad 110608141521-phpapp02Dignidad 110608141521-phpapp02
Dignidad 110608141521-phpapp02
 
Bc 0131 pg059
Bc 0131 pg059Bc 0131 pg059
Bc 0131 pg059
 
Explorers
ExplorersExplorers
Explorers
 
Gr cov june_2012_for_cm
Gr cov june_2012_for_cmGr cov june_2012_for_cm
Gr cov june_2012_for_cm
 
Geom10point1.Doc
Geom10point1.DocGeom10point1.Doc
Geom10point1.Doc
 
Facto Congres 2016 - Samen bouwen aan een relatie van 30 jaar
Facto Congres 2016 - Samen bouwen aan een relatie van 30 jaarFacto Congres 2016 - Samen bouwen aan een relatie van 30 jaar
Facto Congres 2016 - Samen bouwen aan een relatie van 30 jaar
 
WIDA CELLA
WIDA CELLAWIDA CELLA
WIDA CELLA
 
Trabajo de informatica
Trabajo de informaticaTrabajo de informatica
Trabajo de informatica
 

Similar to ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ผลงานนักเรียนชั้นม.6/1 เรื่องการสถาปนา สมัยสุโขทัย อยุธยาและธนบุรี
ผลงานนักเรียนชั้นม.6/1 เรื่องการสถาปนา สมัยสุโขทัย อยุธยาและธนบุรีผลงานนักเรียนชั้นม.6/1 เรื่องการสถาปนา สมัยสุโขทัย อยุธยาและธนบุรี
ผลงานนักเรียนชั้นม.6/1 เรื่องการสถาปนา สมัยสุโขทัย อยุธยาและธนบุรีPrincess Chulabhorn's College, Chiang Rai Thailand
 
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวSRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
 
กฎหมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 3
กฎหมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 3กฎหมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 3
กฎหมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 3AJ Por
 
การปกครองของไทย
การปกครองของไทยการปกครองของไทย
การปกครองของไทยsangworn
 
การปกครองของไทย
การปกครองของไทยการปกครองของไทย
การปกครองของไทยsangworn
 
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตรพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตรSRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
 
กฎหมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 3
กฎหมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 3กฎหมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 3
กฎหมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 3AJ Por
 
ขบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทย กับ การปฏิวัติประชาธิปไตย
ขบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทย กับ การปฏิวัติประชาธิปไตยขบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทย กับ การปฏิวัติประชาธิปไตย
ขบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทย กับ การปฏิวัติประชาธิปไตยThongkum Virut
 
กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์(พ.ศ.2417 – พ.ศ.2492
กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์(พ.ศ.2417 – พ.ศ.2492กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์(พ.ศ.2417 – พ.ศ.2492
กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์(พ.ศ.2417 – พ.ศ.2492SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
 
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตรพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตรSRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
 
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมชหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมชNing Rommanee
 
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมชหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมชNing Rommanee
 
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมชหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมชNing Rommanee
 
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยSRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
 
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยfernbamoilsong
 
ประวัติศาสตร์สุโขทัย
ประวัติศาสตร์สุโขทัยประวัติศาสตร์สุโขทัย
ประวัติศาสตร์สุโขทัยchatsawat265
 

Similar to ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (20)

ผลงานนักเรียนชั้นม.6/1 เรื่องการสถาปนา สมัยสุโขทัย อยุธยาและธนบุรี
ผลงานนักเรียนชั้นม.6/1 เรื่องการสถาปนา สมัยสุโขทัย อยุธยาและธนบุรีผลงานนักเรียนชั้นม.6/1 เรื่องการสถาปนา สมัยสุโขทัย อยุธยาและธนบุรี
ผลงานนักเรียนชั้นม.6/1 เรื่องการสถาปนา สมัยสุโขทัย อยุธยาและธนบุรี
 
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
 
กฎหมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 3
กฎหมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 3กฎหมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 3
กฎหมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 3
 
การปกครองของไทย
การปกครองของไทยการปกครองของไทย
การปกครองของไทย
 
การปกครองของไทย
การปกครองของไทยการปกครองของไทย
การปกครองของไทย
 
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตรพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
 
กฎหมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 3
กฎหมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 3กฎหมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 3
กฎหมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 3
 
พระราชประวัติ
พระราชประวัติพระราชประวัติ
พระราชประวัติ
 
ขบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทย กับ การปฏิวัติประชาธิปไตย
ขบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทย กับ การปฏิวัติประชาธิปไตยขบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทย กับ การปฏิวัติประชาธิปไตย
ขบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทย กับ การปฏิวัติประชาธิปไตย
 
กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์(พ.ศ.2417 – พ.ศ.2492
กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์(พ.ศ.2417 – พ.ศ.2492กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์(พ.ศ.2417 – พ.ศ.2492
กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์(พ.ศ.2417 – พ.ศ.2492
 
การปกครอง 604
การปกครอง 604การปกครอง 604
การปกครอง 604
 
กลุ่ม 1 การสถาปนา
กลุ่ม 1 การสถาปนากลุ่ม 1 การสถาปนา
กลุ่ม 1 การสถาปนา
 
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตรพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
 
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมชหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช
 
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมชหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช
 
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมชหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช
 
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
 
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
 
ประวัติศาสตร์สุโขทัย
ประวัติศาสตร์สุโขทัยประวัติศาสตร์สุโขทัย
ประวัติศาสตร์สุโขทัย
 
การปกครองของไทย
การปกครองของไทยการปกครองของไทย
การปกครองของไทย
 

ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

  • 1. ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าการ เปลี่ยแปลงโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม จะต้องเปลี่ยนแปลง แบบสันติ และจะต้องร่วมมือกันทุกหมู่เหล่าตั้งแต่ชนชั้นสูงร่วมมือกับ ประชาชนทุกหมู่เหล่า ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ( รัชกาลที่ 4 - รัชกาลที่ 6 ) 1. ด้านการปกครอง แม้ว่ารัชกาลที่ 4 จะทรงมีพระราชอำานาจเด็ดขาดตามแบบพระมหากษัตริย์ ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช แต่พระองค์ก็ได้ทรงเริ่มปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการ ปฏิบัติบางอย่าง เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาราษฎร์ โดยเฉพาะในเรื่องความ สัมพันธ์ระหว่างองค์พระมหากษัตริย์กับประชาชน รัชกาลที่ 4 ทรงพิจารณาว่าประเพณี บางอย่างที่เคยปฏิบัติกันมาแต่เดิม เช่น ห้ามราษฎรเข้าใกล้ชิดรวมทั้งมีการยิงกระสุน เวลาเสด็จพระราชดำาเนินและบังคับให้ราษฎรปิดประตูหน้าต่างบ้านเรือน เป็นประเพณี ที่ล้าสมัย ประเทศตะวันตกที่มีการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็ไม่มี ประเพณีตัดสิทธิราษฎรแบบนี้ จึงโปรดให้ยกเลิกประเพณีดังกล่าว อนุญาตให้ราษฎร เข้าเฝ้าโดยสะดวกและเปิดโอกาสให้ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนถวายฎีการ้องทุกข์ใน ขณะที่เสด็จพระราชดำาเนินด้วย ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อพระองค์ทรงบรรลุนิติภาวะใน พ.ศ.2416 และ ทรงว่าราชการด้วยพระองค์เอง จึงทรงเริ่มปรับปรุงการปกครองซึ่งเรียกว่า “การปฏิรูป การปกครอง”
  • 2. 1. การปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 แบ่งเป็น 2 ระยะคือ 1.1 การปรบปรุงการปกครองประเทศในตอนต้นรัชกาล ทรงตั้งสภาที่ ปรึกษาราชการแผ่นดิน หรือเรียกว่า “เคาน์ซิล ออฟ สเตท” (Council of State) และ สภาที่ปรึกษาในพระองค์ หรือเรียกว่า “ปรีวี เคาน์ซิล” (Privy Council) สภาทั้งสองนี้ มีหน้าที่ในการออกกฎหมายและยกเลิกกฎหมาย รวมทั้งยกเลิกประเพณีโบราณต่างๆ ที่ เห็นว่าไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมในสมัยนั้น ปรากฏว่าสภาทั้ง 2 ดำาเนินงานไปได้ไม่ นาน ก็ต้องหยุดชะงักเพราะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่เรียกว่า“วิกฤตการณ์วังหน้า” (เป็น ความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับกรมพระราชวังบวร วิชัยชาญ ซึ่งดำารงตำาแหน่งวังหน้า อันเนื่องมาจากความหวาดระแวงซึ่งกันและกันจน เกือบจะมีการประทะกันระหว่างกัน) ขึ้นในปลาย พ.ศ.2417 แต่ก็สามารถยุติลงได้ 1.2 การปฏิรูปการปกครองในช่วงหลัง รัชกาลที่ 5 ทรงตระหนักถึง ภยันตรายจากการแสวงหาอาณานิคมของประเทศมหาอำานาจตะวันตก และทรงเห็นว่า ลักษณะการปกครองของไทยใช้มาแต่เดิมล้าสมัยไม่สอดคล้องกับความเจริญก้าวของ บ้านเมือง ดังนั้นใน พ.ศ.2430 ทรงเริ่มการปฏิรูปการปกครองแผนใหม่ตามแบบตะวัน ตก โดยเฉพาะในส่วนกลางมีการจัดแบ่งหน่วยงานการปกครองออกเป็น 12 กรม ซึ่งต่อ มาเปลี่ยนไปใช้คำาว่า “กระทรวง” แทนโดยประกาศสถาปนากรมหรือกระทรวงต่างๆ ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2435 และยังได้ประกาศตั้งเสนาบดีเจ้ากระทรวงต่างๆ ขึ้น ยุบ ตำาแหน่งอัครมหาเสนาบดีและเสนาบดีจตุสดมภ์ทุกตำาแหน่ง มีสิทธิเท่าเทียมกันในที่ ประชุม ต่อจากนั้นได้ยุบกระทรวงและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเสียใหม่เหลือไว้เพียง 10 กระทรวง คือ 1. กระทรวงมหาดไทย 2. กระทรวงกลาโหม 3. กระทรวงการต่างประเทศ 4. กระทรวงวัง 5. กระทรวงเมือง (นครบาล) 6. กระทรวงเกษตราธิการ 7. กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ 8. กระทรวงยุติธรรม 9. กระทรวงธรรมการ 10.กระทรวงโยธาธิการ 11.(กระทรวงยุทธนาธิการ) ต่อมาไปอยู่กระทรวงกลาโหม เนื่องจาก มีหน้าที่คล้ายคลึงกัน 12.(กระทรวงมุรธาธิการ) ต่อมาไปอยู่กระทรวงวัง เนื่องจากมีหน้าที่ คล้ายคลึงกัน ส่วนภูมิภาค ได้ยกเลิกการจัดเมืองเป็นชั้นเอก โท ตรี จัตวา เปลี่ยนเป็นการ ปกครองแบบเทศาภิบาล คือ รวมหัวเมืองหลายเมืองเข้าด้วยกันเป็นมณฑลๆ หนึ่ง โดยมี ข้าหลวงเทศาภิบาล เป็นผู้ปกครองมณฑล ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย การจัดตั้ง มณฑลเทศาภิบาลนี้เป็นการรวมอำานาจการปกครองทั้งด้านการเมือง และเศรษฐกิจเข้า สู่ส่วนกลาง ทำาให้การปกครองหัวเมืองเป็นแบบเดียวกันและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้มีการแบ่งเขตการปกครองส่วนภูมิภาคออกเป็นเมือง(จังหวัด) อำาเภอ ตำาบล และหมู่บ้าน ตามลำาดับ แต่เนื่องจากระยะนี้บรรดาประเทศมหาอำานาจต่างกำาลังแสวงหา อาณานิคม ประเทศไทยก็ถูกฝรั่งเศสคุกคามอย่างหนัก จนทำาให้การพัฒนาประเทศใน สมัยรัชกาลที่ 5 ดำาเนินไปไม่ดีเท่าที่ควรและเกิดความล่าช้า เนื่องจากพื้นฐานทางด้าน การศึกษา เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของไทยขัดต่อการพัฒนาประเทศตามแบบแผน
  • 3. ใหม่ หรือตามแบบประเทศตะวันตก 2. การวางฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย ก่อนการเปลี่ยนแปลง การปกครอง พ.ศ.2475 ไทยได้เริ่มมีการวางราฐานการปกคารองระบอบประชาธิปไตย มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 โดยใช้แบบแผนการปกครองตามอย่างสมัยรัชกาลที่ 5 แล้วนำา มาปรับปรุงใหม่ คือ ในส่วนกลาง ตั้งกระทรวงทหารเรือ กระทรวงพาณิชย์ ในส่วน ภูมิภาค รวมมณฑลต่างๆ เข้าเป็นภาค มีอุปราชและ สมุหเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครอง กรุงเทพฯ ก็นับเป็นมณฑลหนึ่งมีสมุหพระนครปกครองให้เรียกเมืองต่างๆว่า จังหวัด และ พ.ศ.2461 ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองจำาลองขึ้นในบริเวณพระราชวังดุสิต ชื่อว่า “ดุสิตธานี” และจัดการปกครองเป็นแบบเทศบาล แบ่งเขตการปกครองออกเป็นอำาเภอ ตำาบล และหมู่บ้าน ตามกฎหมายลักษณะการปกครองท้องที่ มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักใน การปกครอง เรียกว่า “ธรรมนูญลักษณะการปกครองคณะนคราภิบาล (ดุสิตธานี) พุทธศักราช 2461” รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะทำาการทดลองการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย โดยให้ข้าราชการบริพารได้เข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการ ปกครองในระบอบนี้ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความ คิดเห็นโดยผ่านทางหนังสือและอออกพระราชาบัญญัติประถมศึกษาอีกด้วย 3. การปฏิรูประบบกฎหมายและการศาล สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นระยะเวลาที่ ชาวยุโรปเริ่มแสวงหาอาณานิคมและแผ่อิทธิพลเข้ามาในเมืองไทย พระองค์จึงได้ทรง ตรากฎหมายและประกาศต่างๆ ขึ้นใช้บังคับมากมาย เพื่อให้ทันสมัยเหมาะสมกับสภาพ บ้านเมืองในขณะนั้น เช่น พระราชบัญญัติมรดกสินเดิมและสินสมรส ใน พ.ศ. 2394 พระ ราชบัญญัติพระสงฆ์สามเณร และศิษย์วัด พ.ศ. 2402 ในการติดต่อกับต่างประเทศ ทำาให้ไทยเสีย “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” โดยต่างชาติอ้างว่ากฎหมายไทยป่าเถื่อนและรังเกียจวิธีการพิจารณาคดีแบบจารีต นครบาล (คือวิธีการไต่สวนคดีของตุลาการอย่างทารุณ เช่น การตอกเล็บ บีบขมับ รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯยกเลิก เมื่อ พ.ศ.2439) จึงไม่ยอมให้ใช้บังคับคนต่างชาติหรือ คนในบังคับบัญชา ทำาให้ไทยต้องทำาการปฏิรูปกฎหมายในสมัยรัชกาลที่ 5 การปฏิรูปกฎหมายไทย การปฏิรูปกฎหมายไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มเมื่อ พ.ศ.2440 โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชุรีดิเรกฤทธิ์ พระนามเดิมว่า พระองค์ เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและ เจ้าจอมมารดาตลับ ได้ทรงศึกษาวิชากฎหมายจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศ อังกฤษ ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมและได้รับยกย่องว่าเป็น “พร ะบิดาแห่งกฎหมายและการศาลไทย” ทรงตั้งโรงเรียนสอนวิชากฎหมายขึ้น โดยดำาเนิน การสอนเอง โรงเรียนกฎหมายแห่งนี้ต่อมาได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ ตั้งคณะกรรมการตรวจชำาระและร่างกฎหมาย ได้แก่ กฎหมายลักษณะอาญา ประกาศ ใช้ใน พ.ศ.2451 จัดเป็นกฎหมายฉบับใหม่และทันสมัยที่สุดฉบับแรกของไทย ต่อมาได้ ประกาศใช้กฎหมายอีกหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ.116 พระราชบัญญัติสิทธิ์ผู้แต่งหนังสือ ร.ศ.120 กฎหมายว่าด้วยการเลิกทาส พ.ศ 2448 ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีการปฏิรูปภาษากฎหมายไทยให้รัดกุม ชัดเจนและเหมาะสมยิ่งขึ้น สมัยรัชกาลที่ 6 ได้โปรดเกล้าฯให้ดำาเนินงานร่างประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ต่อจากที่ทำาไว้ในสมัยรัชกาลที่ 5 และ พ.ศ.2466 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมร่าง กฎหมายขึ้น การศาล ในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้ตั้งกระทรวงยุติธรรมใน พ.ศ.2434 เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ตุลาการขาดความยุติธรรม ทุจริตตัดสิน คดีความล่าช้า เป็นต้น โดยแยกตุลาการออกจากฝ่ายธุรการ และรวมศาลที่กระจายอยู่ ตามกระทรวงต่างๆ มาไว้ที่กระทรวงยุติธรรมเพียงแห่งเดียว และใน พ.ศ.2435 ได้มีการ เปลี่ยนแปลงงานด้านการศาล คือ รวมศาลอุทธรณ์คดีราษฎร์ ตั้งศาลราชทัณฑ์พิเฉท
  • 4. ขึ้น ยกเลิกกรมรับฟ้องโดยตั้งจ่าศาลเป็นพนักงานรับฟ้องประจำาศาลต่างๆ ต่อมารวม ศาลราชทัณฑ์พิเฉทกับศาลอาญา รวมศาลแพ่งเกษมกับศาลแพ่งไกรศรีเป็นศาลแพ่ง ใน พ.ศ.2441 จัดแบ่งศาลออกเป็น 3 แผนก ได้แก่ ศาลฎีกา ศาลกรุงเทพฯ และศาลหัว เมือง ความสำาเร็จในการปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลของไทยนั้น นอกจาก จะเป็นผลงานของพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการไทยที่มีความรู้ความสามารถ เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัฒนวิศิษฐ์ เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม องค์แรก และ ขุนหลวงพระยาไกรสี ผู้พิพากษาไทยคนแรกที่เรียนวิชากฎหมายสำาเร็จได้เป็นเนติ บัณฑิตอังกฤษแล้ว ไทยยังได้จ้างนักกฎหมายชาวต่างประเทศที่มีความรู้มาเป็นที่ ปรึกษากฎหมายอีกด้วย บุคคลสำาคัญ ได้แก่ นายโรลัง ยัคมินส์ ขาวเบลเยี่ยม นายโตกิจิ มาซาโอะ ชาวญี่ปุ่น นายวิลเลียม อัลเฟรด ติลเลเก ชาวลังกา และนายยอร์ช ปาดู ชาว ฝรั่งเศส 2. ด้านเศรษฐกิจ ในสมัยรัชกาลที่ 4 ไทยได้ทำาสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีการค้ากับ อังกฤษ เมื่อ พ.ศ.2398 เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “สนธิสัญญาเบาว์ริง” หลังจากทำาสนธิ สัญญาเบาว์ริงแล้วได้มีชาติอื่นๆ เข้ามาขอเจราจาทำาสนธิสัญญาตามแบบอย่างอังกฤษ อีกหลายชาติ เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส โปรตุเกส เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น เมื่อมีชาวต่างประเทศเดินทางมาค้าขายมากขึ้น สินค้าแปลกๆใหม่ๆ และวิทยาการ ต่างๆ ก็แพร่หลายสู่ประชาชนทั่วไป ทำาให้มีการพัฒนาบ้านเมือง เพื่อให้ทันสมัย ทัดเทียมกับต่างประเทศ เช่น มีการตัดถนนสายต่างๆ ได้แก่ ถนนเจริญกรุง หรือถนน ใหม่ บำารุงเมือง เฟื่องนคร สีลม และมีการขุดคลองผดุงกรุงเกษม คลองดำาเนินสะดวก ฯลฯ ตามข้อความในสนธิสัญญาเบาว์ริงกำาหนดให้ไทยเรียกเก็บภาษีขาเข้าไม่
  • 5. เกินร้อยละ 3 เท่านั้น แต่เนื่องจากมีเรือเข้ามาค้าขายมากกว่าแต่ก่อนถึงปีละ 103 ลำา ทำาให้ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าทุกปี แต่การจัดเก็บภาษีในสมัยนี้ไม่รัดกุมพอ เมื่อมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้ตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ขึ้นใน พ.ศ.2416 เพื่อ รวบรวมภาษีอากรทุกชนิดจากทุกหน่วยงาน และได้ตรมพระราชบัญญัติเกี่ยวกับภาษี อากรหลายฉบับ กำาหนดอำานาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่แบ่งงานในแต่ละกระทรวง กำาหนด อัตราภาษีอากรที่แน่นอน ทำาให้รัฐมีรายได้เพิ่มมากขึ้นอีกมากมาย เงินตรา ในสมัยรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงกษาปณ์ขึ้น ใน พ.ศ.2403 ได้เปลี่ยนจากการใช้เงินพดด้วงเป็นเงินเหรียญ ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนมาตราเงินไทยมาใช้ระบบ ทศนิยมกำาหนดให้ 1 บาท มี 100 สตางค์ สร้างเหรียญสตางค์ทำาด้วยทองขาว และ เหรียญทองแดง และได้โปรดเกล้าฯ ได้พิมพ์ธนบัตรขึ้นใช้อย่างจริงจัง โดยตราพระ ราชบัญญัติธนบัตร ร.ศ.121 (พ.ศ.2445)และตั้งกรมธนบัตรขึ้น สังกัดกระทรวงพระคลัง มหาสมบัติ นอกจากนี้ยังประกาศใช้พระราชบัญญัติมาตราทองคำา ร.ศ.127 (พ.ศ.2451) โดยใช้ทองคำาเป็นมาตรฐานเงินตราแทนเงิน และในปีเดียวกันได้ประกาศยกเลิกการ ใช้เงินพดด้วง เหรียญ เฟื้อง เบี้ยทองแดงต่างๆ เบี้ยสตางค์ทองขาว โดยให้ใช้เหรียญ บาท สลึง และเหรียญสตางค์อย่างไหมแทน การธนาคารและคลังออมสิน สมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการจัดตั้งธนาคารขึ้นครั้งแรกใน พ.ศ.2431 ดำาเนิน การโดยชาวต่างประเทศ ต่อมาใน พ.ศ.2449 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมหิศรราช หฤทัย (พระองค์เจ้าไชยันตมงคล) ได้เป็นผู้ก่อตั้งธนาคารแห่งแรกที่ดำาเนินการโดยคน ไทย ชื่อว่า “บุคคลัภย์” (BOOK Club) ต่อมาได้รับพระบรมราชานุญาตให้จดทะเบียน ตั้งเป็นธนาคารได้ถูกต้องตามกฎหมาย ใช้ชื่อว่า “บริษัทแบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำากัด (Siam Commercial Co,) ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “ธนาคารไทยพาณิชย์ จำากัด” คลังออมสินจัดตั้งในสมัยรัชกาลที่ 6 ใน พ.ศ.2458 ตามพระราชบัญญัติ ออมสิน และได้วิวัฒนาการเป็นธนาคารออมสิน
  • 6. 3. สภาพสังคมและการศึกษา การเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงดำาริว่า การที่ประเทศไทยมี ชนชั้นทาสมากเท่ากับเป็นการเสียเศรษฐกิจของชาติ และทำาให้ต่างชาติดูถูกและเห็น ว่าประเทศไทยป่าเถื่อนด้อยความเจริญ ซึ่งมีผลทำาให้ประเทศมหาอำานาจต่างๆ คิดจะ เข้าครอบครองไทย โดยอ้างว่า เพื่อช่วยพัฒนาประเทศไทยให้ทัดเทียมประเทศอื่นๆ ที่ เจริญแล้วทั้งหลาย ดังนั้น ใน พ.ศ.2417 พระองค์จึงทรงเริ่มออกพระราชบัญญัติพิกัดกระเษียร อายุลูกทาสลูกไทขึ้น โดยกำาหนดค่าตัวทาสอายุ 7-8 ปี มีค่าตัวสูงสุด 12-14 ตำาลึง แล้ว ลดลงเรื่อยๆ เมื่อมีอายุ 21 ปี ค่าตัวจะเหลือเพียง 3 บาท ซึ่งทำาให้ทาสมีโอกาสไถ่ตัวเป็น ไทได้มากและใน พ.ศ.2420 พระองค์ทรงบริจาคเงินจำานวนหนึ่งเพื่อไถ่ตัวทาสที่อยู่กับ เจ้านายมาครบ 25 ปี จำานวน 45 คน พ.ศ.2443 ทรงออกกฎหมายให้ทาสสินไถ่อายุครบ 60 ปี พ้นจากการเป็นทาสและห้ามขายตัวเป็นทาสอีก พ.ศ.2448 ออกพระราชบัญญัติ ทาส ร.ศ.124 บังคับทั่วประเทศ ห้ามมีการซื้อทาสต่อไป ให้ลดค่าตัวลงเดือนละ 4 บาท จนครบจำานวนเงิน และให้บรรดาทาสเป็นไททั้งหมด การเลิกทาสของพระองค์ประสบความสำาเร็จอย่างดี เป็นเพราะพระปรีชา ญาณและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ทรงใช้ทางสายกลาง ค่อยๆดำาเนินงานไปที ละขั้นตอน ทำาให้ไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงดังเช่นประเทศต่างๆ ที่เคยประสบมา การศึกษา ผู้มีบทบาทสำาคัญเกี่ยวกับการศึกษาสมัยใหม่ในระยะแรกของไทย คือ คณะ มิชชันนารีอเมริกัน ซึ่งเข้ามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 แหม่มแมต ตูน ภรรยามิชชันนารีอเมริกัน ได้ตั้งโรงเรียนขึ้นเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ.2395 ต่อมา ได้รวมกับโรงเรียนของซินแส กีเอ็ง ก๊วยเซียน ซึ่งเป็นชาวจีนที่นับถือนิกายโปรเตส แตนส์ โรงเรียนนี้รับนักเรียนชายล้วน มีครูใหญ่เป็นคนไทย และสอนด้วยภาษาไทยอยู่ ริมฝั่งแม่นำ้าเจ้ายาที่ตำาบลสำาเหร่ ชื่อว่า โรงเรียนสำาเหร่บอยคริสเตียนไฮสกูล ต่อมาย้าย มาอยู่ที่ตำาบลสีลม เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย” นับเป็นโรงเรียน ราษฎร์แห่งแรกของไทย ส่วนโรงเรียนสตรีแห่งแรกในประเทศไทย คือ โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง ตั้งอยู่ ในบริเวณโรงพยาบาลศิริราช ตั้งโดยแหม่มเฮาส์ ใน พ.ศ.2417 ในต่างจังหวัด พวกมิช ชันนารีได้ตั้งโรงเรียนขึ้นหลายแห่ง เช่น โรงเรียนปริ๊นส์รอแยลวิทยาลัย และดารา วิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ โรงเรียนผดุงราษฎร์ จังหวัดพิษณุโลก โรงเรียนอรุณ ประดิษฐ์ จังหวัดเพชรบุรี การปฏิรูปการศึกษาสมัยรัชกาลที่ 5 สาเหตุที่ทำาให้เกิดการปฏิรูปการศึกษา คือ พระองค์ต้องการสร้างคนที่มีความ รู้เพื่อเข้ารับราชการช่วยบริหารประเทศให้พัฒนามากขึ้น โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียน หลวงแห่งแรกคือ โรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2414 ทรง พระราชทานเสื้อผ้า อาหารกลางวันทุกวัน ครูก็ได้ค่าจ้าง ต่อมาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระตำาหนักเดิมที่สวนกุหลาบ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของพระบรมมหาราช วัง ให้ชื่อว่า โรงเรียนพระตำาหนักสวนกุหลาบ โดยมีพระยาสุนทรโวหาร (น้อย อาจาร ยางกูร) หรือหลวงสารประเสริฐเป็นอาจารย์ใหญ่ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนสอน ภาษาอังกฤษในวัง มีฟรานซิส ยี แปตเตอร์สัน เป็นครู อีกสาเหตุหนึ่งเนื่องมาจากการปลดปล่อยทาสให้เป็นไท พระองค์ทรงห่วงใย มาก เพื่อที่จะไม่ให้กลับมาเป็นทาสอีก จึงเป็นต้องให้คนเหล่านั้นได้รับการศึกษา เพื่อ ให้มีวิชาความรู้นำาไปประกอบอาชีพได้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนสำาหรับราษฎร ขึ้น ชื่อ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม ใน พ.ศ.2427 แบบเรียนที่ใช้ในโรงเรียนขณะนั้นมีทั้งหมด 6 เล่ม ซึ่งเรียบเรียงโดยพระยา
  • 7. ศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ได้แก่ มูลบทบรรพกิจ วาหนิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์และพิศาลกานต์ ต่อมาได้จัดตั้งกรมศึกษาธิการขึ้น เมื่อวัน ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2430 ภายหลังยกฐานะเป็นกระทรวงธรรมการ มีหน้าที่รับผิดชอบ ด้านการศึกษา (สมัยรัชกาลที่ 6 เปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงศึกษาธิการ) และให้ใช้หนังสือ แบบเรียนเร็วของกรมหมื่นดำารงราชานุภาพแทนแบบเรียนทั้ง 6 เล่ม ต่อได้มีการ ประกาศใช้โครงการศึกษาชาติ อยู่ในความดูแลของเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (ม.ร.ว.เปีย มาลากุล) ตามแบบแผนของอังกฤษ และโปรดเกล้าฯ ให้มีการสอบชิงทุนเล่า เรียนหลวงขึ้น เรียกว่า “คิงสกอลาชิป” ตั้งแต่ พ.ศ.2440 เป็นประจำาทุกๆ ปี ปีละ 2 คน ส่งไปศึกษายังทวีปยุโรปหรืออเมริกา การศึกษาแบบแผนใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการแบ่งการศึกษาออกเป็น สามัญศึกษาเกี่ยวกับการศึกษาทั่วไปและวิสามัญศึกษาเกี่ยวกับวิชาชีพโดยเฉพาะ โดย ขยายไปทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และโปรดเกล้าฯ ให้จัดระเบียบการศึกษาใน โรงเรียนมหาดเล็กตามแบบอังกฤษแล้วเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียน “วชิราวุธวิทยาลัย” พ.ศ.2464 ได้ตราพระราชบัญญัติประถมศึกษาขึ้นใช้ กำาหนดให้เด็กชาย- หญิงทั่วพระราชอาณาจักรที่มีอายุตั้งแต่ 7-14 ปี เข้าเรียนในโรงเรียนโดยไม่ต้องเสียค่า เล่าเรียน ทุกคนต้องจบชั้น ป.4 เมื่ออายุ 15 ปี ถ้าผู้ปกครองคนใดฝ่าฝืนจะมีโทษ (ครั้น ถึง พ.ศ.2503 จึงได้มีขยายการศึกษาภาคบังคับออกเป็น 7 ปี และ 12 ปีในปัจจุบัน) สำาหรับการศึกษาประชาบาลในแต่ละท้องถิ่น กำาหนดได้โดยอาศัยทุนทรัพย์ของคนใน ท้องถิ่น ซึ่งเรียกว่า “เงินศึกษาพลี” และคนในท้องถิ่นเป็นผู้ตั้งโรงเรียนขึ้นเอง แต่อยู่ใน การควบคุมดูแลของรัฐบาล การตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รัชกาลที่ 6 ทรงยกฐานะโรงเรียน ข้าราชการพลเรือนหรือโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเดิม ให้เป็นสถาบันอุดมศึกษา ให้ชื่อ ว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย ใน พ.ศ.2459 เพื่อจะ ได้ผลิตผู้มีความรู้ความสามารถสูงสำาหรับเป็นกำาลังในการพัฒนาประเทศ โดยไม่ต้อง จ้างชาวต่างประเทศด้วยค่าจ้างแพง บางคนทำางานไม่ค่อยได้ผล เพราะขาดความรู้ ความเข้าใจ สภาพแวดล้อมและปัญหาที่ประเทศไทยกำาลังประสบอยู่
  • 8. 4. การศาสนาและขนบธรรมเนียมประเพณี การศาสนา รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดต่างๆ ได้แก่ วัดมกุฏกษัตริยาราม วัดโสมนัสวิหาร วัดปทุมวนาราม และวัดราชประดิษฐ์ รัชกาลที่ 5 ทรงตั้งสถานศึกษาสำาหรับสงฆ์ คือ มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย หรือมหาธาตุวิทยาลัยเป็นสถานศึกษาฝ่ายมหานิกาย และมหามกุฏราชวิทยาลัย ตั้งขึ้น ใน พ.ศ.2436 เป็นสถานศึกษาฝ่ายธรรมยุติกนิกาย สำาหรับวัดที่ทรงสร้างในสมัยนี้ ได้แก่ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นต้น ขนบธรรมเนียมประเพณี การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงประเพณี วัฒนธรรมของ ชาติให้เป็นแบบอารยประเทศ ได้เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะ สมกับกาลเวลาและเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ราษฎรในเวลาเดียวกันด้วย เป็นการ เปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มที่ราชสำานักก่อน แล้วจึงขยายไปสู่ระดับ ประชาชน แต่ผลกระทบของการรับประเพณีวัฒนธรรมแบบตะวันตกบางอย่างก็เห็นชัด เฉพาะในเมืองหลวงเท่านั้น เพราะประชาชนส่วนใหญ่ตามหัวเมือง และในชนบทยังคง ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิม นับแต่ต้นรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนแปลงประเพณีเดิมเป็นแบบตะวัน ตกหลายประการ คือ มีประกาศให้ข้าราชการสวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้า ให้ชาวตะวันตกที่ อยู่ในกรุงเทพฯ เข้าเฝ้าขณะเสด็จออกมหาสมาคมพร้อมกับข้าราชการไทยเป็นครั้ง แรก ให้ชาวต่างประเทศถวายคำานับและนั่งเก้าอี้เวลาเข้าเฝ้าได้ ให้เสรีภาพแก่ ประชาชนในการนับถือศาสนาและการประกอบอาชีพ ในด้านสิทธิเสรีภาพของสตรี รัชกาลที่ 4 ทรงพยายามยกฐานะของสตรีให้ดีขึ้น สำาหรับข้าราชการฝ่ายในที่ไม่สมัคร ใจจะอยู่ในวังต่อไป ก็ทรงอนุญาตให้ลาออกจากราชการได้ ทรงริเริ่มให้สตรีในราช สำานักได้มีโอกาสเล่าเรียนวิชาภาษาอังกฤษจากสตรีในคณะมิชชันนารีอเมริกัน นับ เป็นการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดทางการศึกษาของสตรีอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน นอกจากนี้ยังทรงเริ่มใช้ชาวต่างประเทศเป็นข้าราชการในหน่วยงานต่างๆ เพื่อ ปรับปรุงประเทศเป็นแบบตะวันตกด้วย
  • 9. ประเพณี วัฒนธรรมของไทยได้มีการแก้ไขปรับปรุงครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเสด็จประพาสต่างประเทศทั้งในเอเชียและยุโรป คือให้ ผู้ชายไทยในราชสำานักเลิกไว้ผมทรงมหาดไทยเปลี่ยนเป็นไว้ผมยาวทั้งศีรษะอย่างฝรั่ง ส่วนผู้หญิงให้เลิกไว้ผมปีก ให้ไว้ผมตัดยาวทรงดอกกระทุ่ม ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้ช่าง ออกแบบตัดแปลงจากเสื้อนอกของฝรั่งเรียกว่า “เสื้อราชประแตน” และสวมหมวกอย่าง ยุโรป ให้ข้าราชการทหารแต่งเครื่องแบบ นุ่งกางเกงอย่างทหารยุโรป แทนการนุ่งโจง กระเบนแบบเก่า รัชกาลที่ 5 ทรงแก้ไขประเพณีการสืบราชสันตติวงศ์ ยกเลิกตำาแหน่งกรม พระราชวังบวรสถานมงคลใน พ.ศ.2429 โปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งตำาแหน่ง “สมเด็จ พระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร” ตาแบบประเทศตะวันตก ที่เรียกองค์ รัชทายาทว่า “Crown Prince” รัชกาลที่ 5 ทรงยกเลิกประเพณีวัฒนธรรมที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน ที่สำาคัญคือ เลิกประเพณีหมอบคลานเข้าเฝ้าและให้ยืนเข้าเฝ้าแทน ยกเลิกการโกนผม เมื่อพระมหากษัตริย์สวรรคต คงให้มีการไว้ทุกข์เพียงอย่างเดียว เปลี่ยนวิธีการไต่สวน ของตุลาการแบบเก่า ยกเลิกจารีตนครบาล เพราะเป็นวิธีลงโทษที่ชาวตะวันตกรังเกียจ ทารุณไร้อารยธรรม พระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ของรัชกาลที่ 5 ในการเปลี่ยนแปลง ประเพณีและวัฒนธรรมของไทยให้เป็นไปตามคตินิยมตะวันตก คือ การเลิกทาสและ เลิกระบบไพร่ อันเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงแก่ประชาราษฎรโดยตรง ในสมัยรัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้ พระราชบัญญัตินามสกุล พ.ศ.2455 ให้ใช้พุทธศักราช (พ.ศ.) เป็นศักราชทางราชการ พ.ศ.2456 แทนการใช้ รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) เพราะเป็นศักราชทางศาสนาที่ชาวไทยนับถือพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับประเทศตะวันตกที่ใช้ศักราชของศาสนาที่ชนส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศักราช (ค.ศ.) และเปลี่ยนแปลงการนับเวลาทางราชการเสียใหม่ให้สอดคล้องกับสากลนิยม โดยถือเวลาหลังเที่ยงคืนเป็นเวลาเปลี่ยนวันใหม่ กำาหนดคำานำาหน้าสตรีที่ยังเป็นโสดว่า “นางสาง” ผู้ที่มีสามีแล้ว ใช้คำาว่า “นาง” และกำาหนดคำานำาหน้านามเด็กว่า “เด็กชาย” และ “เด็กหญิง” ขึ้นด้วย นอกจากนี้เมื่อไทยส่งกองทหารอาสาไปสมทบกับกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรใน ยุโรป พ.ศ. 2460 รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯให้ประดิษฐ์ธงชาติขึ้นใหม่ใช้ 3 สี คือ สีนำ้าเงิน สีขาว และสีแดง ตามแบบสีธงชาติของอารยประเทศส่วนใหญ่ใช้กันอยู่ และพระราทาน นามธงชาติแบบสามสีห้าริ้วที่ประกาศใช้ขึ้นใหม่ว่า “ธงไตรรงค์” ซึ่งยังคงใช้เป็น ประจำาชาติมาจนทุกวันนี้ พ.ศ.2461 โปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติ วงศ์ ตามแบบประเทศยุโรปที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข วางลำาดับผู้ที่จะทรงได้ราช สมบัติไว้โดยละเอียด ในด้านการแต่งกาย การเปลี่ยนแปลงการแต่งกายแบบตะวันตก ส่วนใหญ่ เป็นไปเฉพาะราชสำานักและในหมู่ข้าราชการชั้นสูงเท่านั้น ในสมัยรัชกาลที่ 7 สตรีไทย หันไปแต่งกายแบบตะวันตกมากขึ้น นิยมนุ่งซิ่นแค่เข่า สวมเสื้อทรงกระบอกตัวยาวแขน สั้น ไว้ผมบ๊อบ ส่วนการแต่งกายของชายที่เป็นข้าราชการพลเรือนยังคงนุ่งผ้าม่วง สีนำ้าเงิน สวมเสื้อราชปะแตน รองเท้า สวมหมวกสักหลาดมีปีก หรือหมวกกะโล่
  • 10. 5. วรรณกรรรมและศิลปกรรรม 1. วรรณกรรม 1.1 สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นทั้งกวี มีความ สามารถในด้านศาสนา โบราณคดี โหราศาสตร์ และภาษาอังกฤษ กวีและวรรณกรรม ที่สำาคัญในสมัยรัชกาลที่ 4 มีดังนี้ 1) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์บท ละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอนพระรามเดินดง ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ประกาศและ พระบรมราชาธิบายต่างๆ 2) หม่อมราโชทัย ได้แก่ จดหมายเหตุของหม่อมราโชทัย นิราลอน ลอน 1.2 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยนี้มีการ ปรับปรุงบ้านเมืองหลายอย่างที่ช่วยสนับสนุนให้งานวรรณกรรมก้าวหน้า คือ การตั้ง โรงเรียน การพิมพ์หนังสือ การตั้งหอสมุดแห่งชาติและเกิดโบราณคดีสโมสรที่ช่วยส่ง เสริมงานด้านการประพันธ์ การศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดี ประกอบกับได้รับ อารยธรรมตะวันตกเผยแพร่เข้ามาอีกด้วย กวีและวรรณกรรมที่สำาคัญในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้ 1) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ พระราชพิธีสิบสองเดือน ไกลบ้าน พระราชวิจารณ์ทรงจำาของกรมหลวงนรินทรเทวี ลิลิตนิทราชาคริต บทละครเรื่องเงาะป่า กวีนิพนธ์เบ็ดเตล็ด 2) พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ได้แก่ แบบเรียน ภาษาไทย 6 เล่ม 1.3 สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นระยะที่วรรณกรรม ได้รับอิทธิพลของตะวันตกมากที่สุด วรรณกรรมทั้งร้อยแก้วและร้องกรองเจริญถึงขีด สุด ทรงพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์และพระราชทานเสรีภาพในการประพันธ์ อย่างกว้างขวาง และยังทรงตั้งวรรณคดีสโมสรขึ้น เพื่อส่งเสริมการแต่งหนังสือไทยให้ ดีขึ้น
  • 11. กวีและวรรณกรรมที่สำาคัญในสมัยรัชกาลที่ 6 มีดังนี้ 1) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว วรรณกรรมที่ทรงพระ ราชนิพนธ์ ได้แก่ ประวัติศาสตร์และโบราณคดี เช่น เที่ยวเมืองพระร่วง สงคราม สืบราชสมบัติโปแลนด์ เที่ยวเมืองไอยคุปต์ นารายณ์สิบปาง ตำานานชาติฮั่น บทละคร มีอยู่หลายเรื่อง เช่น หัวใจนักรบ มัทนะพาธา พระร่วง วิวาห์ พระสมุทร ความเสียสละ เวนิสวานิช ตามใจท่าน เห็นแก่ลูก ท้าวแสนปม ศกุน ตลา ฯลฯ ปาฐกถาและบทความ เช่น เทศนาเสือป่า ปลุกใจเสือป่า ยิวแห่ง บูรพาทิศ โคลนติดล้อ ร้อยกรอง เช่น พระนลคำาหลวง ลิลิตพายัพ นิราศพระมะเหลเถ ไถ กาพย์เห่เรือ มงคลสูตรคำาฉันท์ สารคดี เช่น บ่อเกิดรายเกียรติ์ 2) สมเด็จฯ กรมพระยาดำารงราชนุภาพ ทรงนิพนธ์หลายเรื่อง เช่น ไทยรับพม่า นิราศนครวัด เที่ยวเมืองพม่า นิทานโบราณคดี เสด็จประพาสต้น จดหมายเหตุ เป็นต้น 3) กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เรื่องเด่นๆ ที่นิพนธ์ เช่น จดหมายจาง วางหรำ่า ตลาดเงินตรา นิทานเวตาล พระนางฮองไทเฮา กนกนคร พระนลคำาฉันท์ เป็นต้น 4) พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนชีวะ) ได้แก่ ตำาราไวยากรณ์ อักขรวิธี วจีวิภาค วายกสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ สงครามภารตะคำากลอน รำาพึงในป่าช้า หลังรัชกาลที่ 6 วรรณประเภทร้อยแก้วเจริญขึ้นมาก เช่น นวนิกาย เรื่องสั้น บทความและสารคดี ซึ่งได้รับอิทธิพลจากยุโรป มีการแปลวรรณคดีและเรียบ เรียงวรรณคดีของต่างประเทศหลายเรื่อง เช่น สาวเครือฟ้า ละครเรื่องเจ้าหญิงแสนหวี ของหลวงวิจิตรวาทการ สี่แผ่นดินของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นต้น 2. ศิลปกรรม 2.1 สมัยรัชกาลที่ 4 1) ด้านสถาปัตยกรรม เริ่มนิยมตามแบบตะวันตก เช่น พระราชวัง สราญรมย์ สถาปัตยกรรมแบบไทย เช่น ปราสาทพระเทพบิดร เจดีย์สำาคัญ เช่น พระ ปฐมเจดีย์ พระมหาเจดีย์ในวัดพระเชตุพนฯ พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) พระสมุทร เจดีย์ เป็นต้น 2) ด้านจิตรกรรม เช่น ภาพเขียนฝาผนังในพระอุโบสถและวิหารวัด บวรนิเวศวิหาร ภาพเหมือนพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว ฝีมือขรัวอินโข่ง 2.2 สมัยรัชกาลที่ 5 1) ด้านสถาปัตยกรรม ได้รับอิทธิพลของตะวันตกมากขึ้น เช่น พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระที่นั่งอนันตสมาคม พระรามราชนิเวศน์ จังหวัดเพชรบุรี ศาลว่าการกระทรวงกลาโหม วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สถาปัตยกรรมแบบไทย เช่น วัดเบญจมบพิตรฯ วัดราชบพิตร วัด เทพศิรินทราวาส พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ พระราชวังบางประอิน อำาเภอบางประ อิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2) ด้านประติมากรรม เช่น พระพุทธชิราชจำาลอง พระสัมพุทธ พรรณี พระบรมรูป เช่น พระบรมรูปหล่อพระมหากษัตริย์ 4 รัชกาล ในปราสาทพระเทพ บิดร พระบรมรูปทรงม้า 3) ด้านนาฏกรรม เกิดละครแบบใหม่ เช่น ละครพันทาง ละคร
  • 12. ดึกดำาบรรพ์ ละครร้อง ละครพูด 4) ด้านจิตรกรรม เช่น ภาพเขียนเรื่องมหาเวสสันดรชาดก ใน อุโบสถวัดราชาธิวาส 2.3 สมัยรัชกาลที่ 6 1) ด้านสถาปัตยกรรมสร้างตามแบบไทย เช่น หอประชุมโรงเรียน วชิราวุธวิทยาลัย ตึกคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อนุสาวรีย์ทหารอาสา สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก เช่น พระราชวังสนามจันทร์ พระราชวังพญาไท (ปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า) 2) ด้านจิตรกรรม เช่น ภาพเขียนผนังวิหารทิศที่พระปฐมเจดีย์ ภาพ เขียนที่ผังพระที่นั่งอนันตสมาคม 3) ด้านประติมากรรม เช่น พระแก้วมรกตน้อย พระนิพพาน แม่พระ ธรณีบีบมวยผม รูปปั้นหล่อด้วยปูนและโลหะ บริเวณพระที่นั่งอนันตสมาคม พระที่นั่ง อัมพรสถาน พระตำาหนักจิตรลดารโหฐาน 4) ด้านนาฏกรรม ในสมัยนี้ศิลปะด้านโขนและละครและดนตรีเจริญ ที่สุด มีการตั้งโรงเรียนหลวงสอนด้านนาฏศิลป์ ตั้งคณะละคร สร้างโรงละคร ทรงพระ ราชนิพนธ์บทละครพูด ฝึกหัดประชาชนทั่วไปให้เล่นโขน มีทั้งโขนสมัครเล่น โขน บรรดาศักดิ์และโขนเชลยศักดิ์ 6. การต่างประเทศ นโยบายต่างประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง มี ดังนี้ 1. นโยบายต่างประเทศ เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา ประเทศไทย ได้เริ่มมีสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำานาจตะวันตกอย่าง กว้างขวาง มีการวางนโยบายแผนใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและรับ สถานการณ์ต่างๆ ของโลกภายนอก ที่มีผลกระทบกระเทือนทั้งโดยตรงและโดยอ้อมต่อ ประเทศไทย นโยบายต่างประเทศของไทยแต่ละรัชกาลพอจะสรุปได้ ดังนี้ 1.1 นโยบายต่างประเทศสมัยรัชกาลที่ 4 สมัยนี้เป็นสมัยของการเริ่ม ต้นเปิดประเทศครั้งใหญ่ของไทย รัฐบาลถูกบีบบังคับให้ทำาสนธิสัญญาที่ผูกมัดเอารัด เอาเปรียบและไม่ธรรม แต่เพื่อความปลอดภัยและเอกราชของชาติ พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ใช้นโยบาย “ผ่อนสั้นผ่อนยาว” ขึ้นเป็นพระองค์แรก ซึ่ง ทำาให้ไทยรอพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นและเป็นเอกราช มาจนปัจจุบัน และยังเป็น
  • 13. แนวทางให้รัฐบาลสมัยต่อๆ มาได้ดำาเนินนโยบายตามอีกด้วย 1.2 นโยบายต่างประเทศสมัยรัชกาลที่ 5 ได้สร้างสัมพันธไมตรีอันดีต่อ นานาประเทศ โดยเฉพาะประเทศตะวันตก โดยส่งเอกอัครราชทูตไปประจำาประเทศ ต่างๆ เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศให้แน่นแฟ้นมากยิ่ง ขึ้น และการส่งเอกอัครราชทูตไปประจำายังต่างประเทศนี้ก็ได้ปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน ผลจากการมีสัมพันธไมตรีอันดีต่อนานานประเทศนี้ ทำาให้ความตึงเครียดทางด้าน การเมืองของไทยกับต่างประเทศดีขึ้นเป็นลำาดับ ทำาให้ประเทศรอดพ้นจากการตกเป็น เมืองขึ้นของประเทศมหาอำานาจบางประเทศ ซึ่งผิดกับประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบที่ต้อง ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำานาจต่างๆ จนหมดสิ้น และยังเป็นแนวทางนำาไปสู่ การแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม 2. การเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศตะวันตก 2.1 อังกฤษ พ.ศ.2398 สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย พระราชินีนาถของ ประเทศอังกฤษ ได้แต่งตั้งให้ เซอร์ จอห์น เบาว์ริง เป็นอัครราชทูตผู้มีอำานาจเต็ม อัญเชิญพระราชสาสน์มาขอเจราจาทำาสนธิสัญญาทางไมตรีกับไทย ซึ่งไทยก็ให้การ ต้อนรับอย่างสมเกียรติ สนธิสัญญาที่ไทยทำากับอังกฤษในครั้งนี้ เรียกว่า “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ทำาเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2398 ซึ่งมีสาระสำาคัญดังต่อไปนี้ 1) อังกฤษขอตั้งศาลกงสุลในไทย เพื่อคอยดูแลผลประโยชน์ของ คนอังกฤษและคนในบังคับอังกฤษ ถ้าเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนไทย หรือกระทำา ความผิด ให้คนเหล่านี้ขึ้นศาลกงสุลอังกฤษเท่านั้น 2) คนอังกฤษมีสิทธิเช่าที่ดินในไทยได้ แต่ถ้าจะซื้อที่ดินต้องอยู่ใน เมืองมาแล้ว 10 ปี ขึ้นไป 3) อังกฤษมีสิทธิสร้างวัดและเผยแผ่ศาสนาคริสต์ได้อย่างเสรี 4) ให้ไทยยกเลิกการเก็บภาษีปากเรือ ให้เก็บแต่เพียงภาษีขาเข้า ได้ไม่เกินร้อยละ 3 ส่วนภาษีขาออกให้เสียเพียงครั้งเดียว 5) เปิดโอกาสให้พ่อค้าอังกฤษกับราษฎรไทยค้าขายกันอย่างเสรี 6) สินค้าต้องห้าม มี 3 อย่าง คือ ข้าว ปลา เกลือ และอังกฤษสามารถ นำาฝิ่นเข้ามาขายให้แก่เจ้าภาษีโดยไม่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าเจ้าภาษีไม่ซื้อให้นำากลับออก ไป ถ้าลักลอบขายจะถูกริบฝิ่น 7) ถ้าไทยทำาสนธิสัญญานี้กับชาติอื่น โดยยกประโยชน์ให้ชาตินั้นๆ นอกเหนือจากที่ทำากับอังกฤษในครั้งนี้ ก็ต้องทำาให้อังกฤษด้วย 8) สนธิสัญญานี้จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขใดๆ ไม่ได้ นอกเหนือจาก เวลาล่วงไปแล้ว 10 ปี หลังจากนั้นจะทำาการแก้ไขต้องตกลงยินยอมด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย และต้องบอกล่วงหน้า 1 ปี ในการทำาสนธิสัญญาครั้งนี้ ไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมากมาย เป็นการบีบบังคับโดยที่ไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และไทยไม่สามารถเปลี่ยนแปลง แก้ไขได้ ข้อเสียเปรียบที่ไทยได้รับ มีดังต่อไปนี้ 1. ทำาให้ไทยต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่คนอังกฤษและ คนในบังคับอังกฤษ (คนในบังคับอังกฤษ หมายถึง คนอังกฤษ คนในชาติที่เป็นเมืองขึ้น ของอังกฤษ และยังหมายถึงคนเอเชียที่มาขอจดทะเบียนเป็นคนในบังคับของอังกฤษ โดยที่ประเทศตนไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษก็ตาม) 2. อังกฤษเป็นชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง ในการมีสิทธิ์พิเศษอื่นๆ นอกเหนือจากสนธิสัญญาที่ไทยทำากับอังกฤษ ถ้าไทยทำาการตกลงกับชาติอื่นๆ 3. สนธิสัญญานี้อังกฤษเป็นฝ่ายได้เปรียบ จึงไม่ยอมทำาการแก้ไข แต่สนธิสัญญานี้ก็ยังพอมี ผลดีอยู่บ้าง คือ
  • 14. 1. ทำาให้ไทยรอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ 2. การค้าขายขยายตัวมากขึ้น ทำาให้ฐานะของประชาชนดีขึ้น รวมทั้ง เศรษฐกิจของประเทศก็พลอยดีขึ้นตามไปด้วย 3. ทำาให้อิทธิพลของอารยธรรมตะวันตกแพร่หลายเข้ามาใน ประเทศไทย และสามารถนำามาปรับปรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้ามากขึ้น 2.2 ประเทศอื่นๆ หลังจากไทยทำาสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษแล้ว ได้มีชา ติอื่นๆ เข้ามาเจรจาขอทำาสนธิสัญญาตามแบบอย่างอังกฤษหลายชาติ ตามลำาดับดังต่อ ไปนี้ 1) พ.ศ.2399 ประธานาธิบดี แฟรงคลิน เพียส แห่งสหรัฐอเมริกา ส่ง นายเทาน์เซนต์ แฮริส เป็นทูตมาขอแก้ไขสัญญากันไทย และในปีเดียวกันนี้เอง พระ เจ้านโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศสได้ส่ง นายมองตินยี ราชทูตเข้ามาทำาสัญญากับไทย 2) พ.ศ.2401 ทำาสนธิสัญญากับโปรตุเกสและเดนมาร์ก 3) พ.ศ.2403 ทำาสนธิสัญญากับเนเธอร์แลนด์ 4) พ.ศ.2404 ทำาสนธิสัญญากับปรัสเซีย 5) พ.ศ.2411 ทำาสนธิสัญญากับนอร์เว สวีเดน เบลเยี่ยม อิตาลี 6) พ.ศ. 2412 ทำาปฏิญญาว่าด้วยการค้าและการเดินเรือกับรุสเซีย 3. การส่งราชทูตไปยุโรป สมัยรัตนโกสินทร์ ใน พ.ศ.2400 พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้พระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) และหม่อ มราโชทัย อัญเชิญพระราชสาสน์ไปถวายสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียที่ประเทศ อังกฤษ พ.ศ. 2404 โปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีพิพัฒนราชโกษาธิบดี (แพ บุนนาค) เป็นอัครราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้านโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส พ.ศ. 2410 ทรงแต่งตั้ง เซอร์ จอห์น เบาว์ริง เป็นอัครราชทูตไทยประจำา ยุโรปคนแรก โดยได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยาสยามานุกูลกิจ สยามมิตร มหายศ เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยในการทำาสนธิสัญญากับประเทศต่างๆ เช่น นอร์เว สวีเดน เบลเยียม และอิตาลี 7. อิทธิพลของอายธรรมตะวันตกที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของไทยในด้านต่างๆ 1. จากการที่ไทยยอมเปิดประเทศในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยยอมทำาสนธิ สัญญาทางการทูตและการค้ากับประเทศตะวันตก ทำาให้เกิดผลต่อประเทศ คือ 1.1 ทำาให้ประเทศไทยรอดพ้นจากเหตุการณ์ร้ายแรงที่จะเกิด ตามมาได้โดยปลอดภัย โดยเฉพาะครั้งที่ เซอร์ จอห์น เบาว์ริง เดินทางเข้ามาขอทำา สนธิสัญญากับไทย ถ้าไทยไม่ยอมหรือขัดขืนต่อข้อเรียกร้องของอังกฤษ อังกฤษก็จะ ดำาเนินการขั้นเด็ดขาด ดังเช่นที่เคยทำากับจีนและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียมาแล้ว 1.2 จากข้อตกลงที่ทำากันทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนใหญ่ไทยมักเสียเปรียบ ประเทศที่ทำาสัญญากับไทยจึงมีความเห็นอกเห็นใจ และยอมผ่อนผันข้อตกลงบาง ประการให้ไทยบ้าง ทำาให้ไทยเสียผลประโยชน์น้อยกว่าที่คิดไว้ 1.3 ไทยสามารถนำาเอาอารยธรรมและวิชาการความรู้สมัยใหม่ ที่ได้รับจากชาติตะวันตก มาพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น เช่น ด้านการศึกษา
  • 15. ด้านการทหาร ยกเลิกประเพณีเก่าแก่ล้าสมัย ยอมรับความคิดแบบใหม่ ยกเลิกความ เชื่อเก่าๆ ที่ไร้เหตุผล ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่เล็งเห็นการณ์ ไกล 1.4 จาการทำาสนธิสัญญาทางด้านการค้าขายกับต่างประเทศ และการเปิดประเทศของไทยนี้ ทำาให้ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนยก ระดับสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด แต่สนธิสัญญานี้ไทยก็ถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างมากมาย ไทยถูกผูกมัด และจำากัดอำานาจอธิปไตยหลายอย่าง ข้อเสียเปรียบต่างๆ มีดังนี้ 1) ไทยต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต เมื่อคนต่างชาติหรือ คนในบังคับต่างชาติกระทำาผิดต้องนำาขึ้นศาลกงสุลต่างชาติ ซึ่งทำาให้ไทยเสียเปรียบ ในเรื่องอำานาจทางการศาล และสร้างความเดือดร้อนยุ่งยากในการปกครองเป็นอย่าง มาก 2) ไทยถูกจำากัดการเก็บภาษีขาเข้าได้เพียงร้อยละ 3 ถ้าสินค้านั้น ขายไม่ได้ถูกส่งกลับ ไทยต้องคืนค่าภาษีให้ด้วย ทำาให้รายได้ของประเทศน้อยลงกว่า เดิม 3) สนธิสัญญาที่ทำากับนานาประเทศไม่มีกำาหนดเวลา ต้องใช้ตลอด ไปไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีวิธีที่จะยกเลิกได้เลย นอกจากขอแก้ไข ซึ่งก็เป็นการลำาบากมาก เพราะต้องได้รับการยินยอมจากทั้ง 2 ฝ่าย 4) หลังจากไทยทำาสนธิสัญญากับต่างประเทศแล้ว ทำาให้ต้องเลิก การค้าระบบผูกขาด ทำาให้ประเทศชาติต้องสูญเสียประโยชน์ส่วนนี้ไป 2. สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงริเริ่มแต่งตั้งเอกอัครราชทูตไปประจำายังต่าง ประเทศเป็นครั้งแรก เอกอัครราชทูตไทยคนแรก คือ พระองค์เจ้าปฤษฏางค์ ประจำาที่ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ต่อมาได้ส่งไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต และญี่ปุ่น ยอกจากนี้ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่ทรงเสด็จประพาส ต่างประเทศ ซึ่งการเสด็จประพาสต่างประเทศนี้ก็ได้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ มากมาย คือ 2.1 ทำาให้ไทยได้รับการถ่ายทอดขนบธรรมเนียมประเพณีและ วัฒนธรรมของประเทศตะวันตกมาดัดแปลงและปรับปรุงให้เหมาะสมกับประเทศไทย มากขึ้น เช่น เปลี่ยนการแต่งกายเป็นแบบสากลนิยมไว้ทรงผมแบบฝรั่ง ฯลฯ 2.2 ได้ทรงนำาเอาแบบฉบับการปกครองที่เหมาะสมมาใช้กับ ประเทศไทย เช่น การตั้งกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ การศึกษา การทหาร การศาล
  • 16. การสื่อสาร การคมนาคม การสุขาภิบาล ฯลฯ 2.3 ทำาให้ความตึงเครียดทางด้านการเมืองระหว่างประเทศลดน้อย ลง เช่น ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส 2.4 การที่พระองค์ทรงมีสัมพันธ์ส่วนพระองค์กับประมุขของประเทศ มหาอำานาจ เช่น เยอรมนี สหภาพโซเวียต ทำาให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการเป็นเมือง ขึ้นของประเทศมหาอำานาจอื่นๆ ได้ 2.5 สัมพันธไมตรีอันดีที่มีต่อกันระหว่างประเทศไทยกับประเทศ ต่างๆ เป็นผลดีที่ทำาให้ไทยเรียกร้องขอแก้ไขสัญญา และยกเลิกสิทธิสภาพนอาณาเขต ได้ในเวลาต่อมา 2.6 เป็นการประกาศความเป็นเอกราชของไทย และเผยแพร่ เกียรติคุณของประเทศให้แก่ประเทศต่างๆ ได้รู้จัก 2.7 เกิดบทพระราชนิพนธ์เนื่องจากการเสด็จประพาสต่างประเทศที่ สำาคัญ ๆ หลายเรื่อง เช่น ไกลบ้าน พระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ ที่ทรงพระราชทาน แด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ฯลฯ ครั้นถึงรัชกาลที่ 6 ทั่วโลกต้องเผชิญกับเหตุการณ์สำาคัญ คือ การเกิด วิกฤตการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งไทยก็มีส่วนเข้าร่วมด้วย และในระหว่างสงครามนี้ ไทยได้เปลี่ยนธงชาติมาใช้ธงไตรรงค์ แทนธงช้างและใช้สืบต่อมาจนทุกวันนี้ 8. การเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ในสมัยรัชกาลที่ 6 สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นสงครามครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งและครั้งแรกของ โลกที่ทำาลายชีวิตมนุษย์ ทรัพย์สิน ทรัพยากรธรรมชาติ และจิตใจของผู้คนไปมากมาย
  • 17. 1. ประเทศที่เข้าร่วมสงคราม แบ่งออกเป็นสองฝ่าย 1.1 ฝ่ายพันธมิตรสามเส้า หรือมหาอำานาจกลาง ได้แก่ เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และตุรกี 1.2 ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต อิตาลี ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาและไทย ในตอนแรกไทยรักษาความเป็นกลางอย่างมั่นคง แต่เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าอยู่หัว ทรงให้ความสนใจและติดตามข่าว การสงครามอย่างใกล้ชิด พระองค์ทรงเล็งเห็นการณ์ไกลในการให้ประเทศไทย ประกาศตัวเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรเพราะถ้าฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับชัยชนะ จะมีผล ดีในการที่ประเทศไทยจะเรียกร้องสิทธิต่างๆ เช่น ขอแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมที่ ทำาไว้กับนานาประเทศ จึงได้ประกาศสงครามกับเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี ในวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 โดยประกาศกระแสพระบรมราชโองการประณามว่า “เยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี เป็นฝ่ายละเมิดเมตตาธรรมของมวลมนุษย์ มิได้มีความ นับถือต่อประเทศเล็ก ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นผู้ก่อกวนความสุข ของโลก” ซึ่งเหตุการณ์ก็เป็นดังที่พระองค์ทรงคาดไว้ คือ ฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับ ชัยชนะ การตัดสินพระทัยของพระองค์ในครั้งนั้น ปรากฏว่าได้รับการคัดค้าน จากประชาชนทั่วไป เนื่องจากในสมัยนั้นมีคนไทยไปศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนีเป็น จำานวนมาก จึงนิยมและเคารพเยอรมนีเป็นเสมือนครูบาอาจารย์ และเยอรมนีไม่เคย สร้างความเจ็บชำ้านำ้าใจให้คนไทยมาก่อนเลย และในการรบระยะแรก เยอรมนีเป็น ฝ่ายได้ชัยชนะมาตลอด ไม่น่าไปได้ว่าเยอรมนีจะเป็นฝ่ายแพ้สงครามในที่สุด ยุทธภูมิ ในการรบครั้งนี้ก็ไกลมาก ส่วนใหญ่เกิดในทวีปยุโรป ประชาชนโดยทั่วไปมีความเห็น ว่า เมืองไทยไม่น่ามีส่วนเกี่ยวพันด้วย ทั้งเมืองไทยก็ยังเป็นประเทศเล็กๆ ควรอยู่อย่าง สงบดีกว่า หลังจากที่ไทยประกาศสงครามกับเยอรมนีแล้ว ไทยก็เริ่มทำาการจับ เชลยที่เป็นชาวเยอรมนีและออสเตรีย เพื่อป้องกันการก่อการไม่สงบ ยึดเรือเดินทะเล ขนาดใหญ่ เรือบรรทุก เรือลำาเลียง จับลูกเรือเป็นเชลย และริบทรัพย์เชลยเหล่านี้เสีย ต่อมาไทยได้ส่งกองทหารอาสาเข้าร่วมในสมรภูมิยุโรปด้วย การส่งทหารไปร่วมรบในครั้งนี้มีผู้มาสมัครเป็นทหารอาสามากมาย ไทยได้จัดส่งทหารไปเป็น 2 กอง คือ กองบินทหารบกประมาณ 400 คนเศษ และกอง ทหารบกรถยนต์ประมาณ 850 คน เดินทางไปถึงเมืองท่ามาร์แชล ประเทศฝรั่งเศส ใน วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 ซึ่งนับเป็นหน่วยทหารไทยกองแรกในประวัติศาสตร์ที่
  • 18. ยาตราทัพเป็นระยะทางไกลที่สุดถึงทวีปยุโรป กองทัพไทยถูกส่งประจำาการแนวหน้าทันที ทำาหน้าที่ลำาเลียงกำาลังให้ แก่กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างเข้มแข็งและกล้าหาญ ทั้งกลางวันและกลางคืน ท่ามกลางหิมะ สามารถยึดดินแดนของเยอรมนีทางฝั่งซ้ายของแม่นำ้าไรน์มาได้ ร่วมกับ กองทัพของฝ่ายสัมพันธมิตร รัฐบาลฝรั่งเศสจึงได้ให้ตรา “ครัวซ์เดอแกร์” มาประดับ ธงชัยเฉลิมพล เพื่อเป็นเกียรติแก่กองทหารรถยนต์ไทย กับได้ให้ตรานี้แก่ทหารไทย 2 นายที่ได้ตรวจทางกระสุนปืนของข้าศึกด้วยความกล้าหาญ สำาหรับกองบินทหารบกนั้น ไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมในสมรภูมิครั้งนี้ เพราะสงครามได้ยุติลงเสียก่อน จากการเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ไทยได้สร้าง “อนุสาวรีย์ทหารอาสา” และ “วงเวียน 22 กรกฎา” ไว้เป็นอนุสรณ์ที่ระลึกไว้ด้วย 2. ผลที่ไทยได้รับจากการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 มีดังนี้ 2.1 ทำาให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักของนานาประเทศ โดยเฉพาะ ประเทศในทวีปยุโรป 2.2 ทำาให้ได้รับการยกย่องว่ามีฐานะและสิทธิเท่าเทียมกับ