More Related Content
Similar to จิตวิทยาการเรียนรู้
Similar to จิตวิทยาการเรียนรู้ (20)
จิตวิทยาการเรียนรู้
- 2. แนวคิด ๑ . การเรียนรู้คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลที่เป็นผลเนื่องมาจากการได้รับประสบการณ์และทำให้บุคคลเผชิญกับสถานการณ์เดิมแตกต่างไปจากเดิม ๒ . การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยวุฒิภาวะ ลักษณะสำคัญที่แสดงให้เห็นว่ามีการเรียนรู้เกิดขึ้น คือ มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างคงทนถาวร ที่เป็นผลมาจากประสบการณ์หรือการฝึก การปฏิบัติซ้ำๆ และมีการเพิ่มพูนในด้านความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึกและความสามารถทั้งทางปริมาณและคุณภาพ ๓ . ทฤษฎีการเรียนรู้ต่างๆ ช่วยให้ครูจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- 3. วัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์ของบทเรียน เพื่อให้ผู้เข้ารับการศึกษาเข้าใจจิตวิทยาการเรียนรู้ สามารถนำความรู้ไปเป็นแนวทางในการสอนและการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เมื่อศึกษาจบบทเรียนผู้เข้ารับการศึกษาแต่ละคนสามารถ ๑ . บอกองค์ประกอบของการเรียนรู้ได้ถูกต้อง ๒ . อธิบายธรรมชาติของการเรียนรู้ได้ถูกต้อง ๓ . อธิบายการถ่ายโยงการเรียนรู้ได้ถูกต้อง
- 4. ความหมายของจิตวิทยาการเรียนรู จิตวิทยา ตรงกับภาษาอังกฤษวา Psychology มีรากศัพทมาจากภาษากรีก 2 คํา คือ Phyche แปลวา วิญญาณ กับ Logos แปลวา การศึกษาตามรูปศัพทจิตวิทยาจึงแปลวา วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับวิญญาณ แตในปจจุบันนี้ จิตวิทยาไดมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไป ความหมายของจิตวิทยาไดมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตามไปดว นั่นคือ จิตวิทยาเปนศาสตรที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย และสัตว
- 5. การเรียนรู ( Lrarning ) ตามความหมายทางจิตวิทยา หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลอยางคอนขางถาวร อันเปนผลมาจากการฝกฝนหรือการมีประสบการณ พฤติกรรม เปลี่ยนแปลงที่ไมจัดวาเกิดจากการเรียนรู ไดแก พฤติกรรมที่เปนการเปลี่ยนแปลงชั่วคราว และการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เนื่องมาจากวุฒิภาวะ
- 6. ธรรมชาติของการเรียนรู มี 4 ขั้นตอน คือ 1 ความตองการของผูเรียน ( Want ) คือ ผูเรียนอยากทราบอะไร เมื่อผูเรียนมีความตองการอยากรูอยากเห็นในสิ่งใดก็ตาม จะเปนสิ่งที่ยั่วยุใหผูเรียนเกิดการเรียนรูได 2 สิ่งเราที่นาสนใจ ( Stimulus ) กอนที่จะเรียนรูได จะตองมีสิ่งเราที่นาสนใจ และนาสัมผัสสําหรับมนุษย ทําใหมนุษยดิ้นรนขวนขวาย และใฝใจที่จะเรียนรูในสิ่งที่นาสนใจนั้น ๆ
- 7. 3. การตอบสนอง ( Response ) เมื่อมีสิ่งเราที่นาสนใจและนาสัมผัส มนุษยจะทําการสัมผัสโดยชประสาทสัมผัสตาง ๆ เชน ตาดู หูฟง ลิ้นชิม จมูกดม ผิวหนังสัมผัส และสัมผัสดวยใจ เปนตน ทําใหมีการแปลความหมายจากการสัมผัสสิ่งเรา เปนการรับรู จําได ประสานความรูเขาดวยกัน มีการเปรียบเทียบ และคิดอยางมีเหตุผล 4. การไดรับรางวัล ( Reward ) ภายหลังจากการตอบสนอง มนุษยอาจเกิดความพึงพอใจ ซึ่งเปนกําไรชีวิตอยางหนึ่ง จะไดนําไปพัฒนาคุณภาพชีวิต เชน การไดเรียนรู ในวิชาชีพชั้นสูง จนสามารถออกไปประกอบอาชีพชั้นสูง ( Professional ) ได นอกจากจะไดรับรางวัลทางเศรษฐกิจเปนเงินตราแลว ยังจะไดรับเกียรติยศจากสังคมเปนศักดิ์ศรี และความภาคภูมิใจทางสังคมไดประการหนึ่งดวย
- 8. การลําดับขั้นของการเรียนรู ในกระบวนการเรียนรูของคนเรานั้น จะประกอบดวยลําดับขั้นตอนพื้นฐานที่สําคัญ 3 ขั้นตอนดวยกัน คือ 1. ประสบการณ ( experiences ) ในบุคคลปกติทุกคนจะมีประสาทรับรูอยูดวยกันทั้งนั้น สวนใหญที่เปนที่เขาใจก็คือ ประสาทสัมผัสทั้งหา ซึ่งไดแก ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง ประสาทรับรูเหลานี้จะเปนเสมือนชองประตูที่จะใหบุคคลไดรับรูและตอบสนองตอสิ่งเราตาง ๆ 2. ความเขาใจ ( understanding ) หลังจากบุคคลไดรับประสบการณแลว ขั้นตอไปก็คือ ตีความหมายหรือสรางมโนมติ ( concept ) ในประสบการณนั้น กระบวนการนี้เกิดขึ้นในสมองหรือจิตของบุคคล เพราะสมองจะเกิดสัญญาณ ( percept ) และมีความทรงจํา ( retain ) ขึ้น ซึ่งเราเรียกกระบวนการนี้วา " ความเขาใจ "
- 9. 3 ความนึกคิด ( thinking ) ความนึกคิดถือวาเปนขั้นสุดทายของการเรียนรู ซึ่งเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นในสมอง Crow ( 1948 ) ไดกลาววา ความนึกคิดที่มีประสิทธิภาพนั้น ตองเปนความนึกคิดที่สามารถจัดระเบียบ ( organize ) ประสบการณเดิมกับประสบการณใหมที่ไดรับใหเขากันได สามารถที่จะคนหาความสัมพันธระหวางประสบการณทั้งเกาและใหม ซึ่งเปนหัวใจสําคัญที่จะทําใหเกิดบูรณาการการเรียนรูอยางแทจริง
- 10. ทฤษฎีการเรียนรู้ ( Theory of Learning ) ทฤษฎีการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไข ( Conditioning Theory ) การเรียนรู้แบบนี้ คือ การที่บุคคลมีความสัมพันธ์ต่อการตอบสนองต่างๆ ของอินทรีย์กับสิ่งแวดล้อมภายนอกอื่นๆ ที่มีความเข้มพอที่จะเร้าความสนใจได้ซึ่งการเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวรซึ่งเป็นผลของประสบการณ์และการทำบ่อยๆ หรือการทำแบบฝึกหัดแสดงให้เห็นว่าเรามีความเข้าใจเบื้องต้นว่าบุคคลได้เรียนอะไรบางอย่างเมื่อพฤติกรรมของเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางใดทางหนึ่งนักจิตวิทยาเชื่อว่า เงื่อนไข ( Conditioning ) เป็นกระบวนการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน การวางเงื่อนไขมี 2 อย่างคือ การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค ( classical Conditioning ) และการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ ( operant Conditioning )
- 11. ทฤษฎีสิ่งเสริมแรง (Reinforcement Theory ) เบอร์ฮัส เฟดเดอริค สกินเนอร์ (Burrhus Federick Skinner) นักจิตวิทยาพัฒนาทฤษฎีสิ่งเสรีมแรงเรียกว่า สิ่งเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) ใช้หลักการจูงใจแต่ละบุคคลให้ทำงานได้อย่างเหมาะสม โดยชการออกแบบและจัดสภาพแวดล้อมในการทำงานให้มีบรรยากาศน่าทำงาน ในการยกย่องชมเชยบุคคลที่มีประสิทธิภาพในการทำงานดี และใช้การลงโทษซึ่งทำให้เกิดผลลบแก่บุคคลที่มีประสิทธิภาพในการทำงานต่ำมาก
- 12. ประเภทของสิ่งล่อใจ (Types of Incentives ) ประเภทที่ 1 สิ่งล่อใจปฐมภูมิ (Primary Incentives) เป็นสิ่งล่อใจที่สามารถทำให้เกิดความพึงพอใจในด้านความต้องการทางด้านสรีระ เพื่อความมีชีวิตอยู่รอด ได้แก่ ปัจจัย 5 คือ อาหาร , เสื้อผ้า , ที่อยู่อาศัย , ยารักษาโรคและความต้องการทางเพศ ประเภทที่ 2 สิ่งล่อใจทุติยภูมิ (Secondary Incentives) เป็นสิ่งล่อใจที่ทำให้เกิดประสบการณ์แปลกใหม่ และมีการเร้าใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหน้าที่การทำงานที่ตรงกับความสนใจ ความถนัด ท้าทายความสามารถหรือเป็นงานใหม่ที่ลดความจำเจซ้ำซาก
- 13. ประเภทที่ 3 สิ่งล่อใจทางสังคม (Social Incentives) เป็นสิ่งล่อใจที่เกี่ยวกับการให้การยอมรับยกย่องนับถือ ให้ความไว้วางใจ ให้ความเชื่อถือ ให้อิสรภาพและการแสดงความคิดเห็นเสนอแนะที่ดีในการทำงาน โดยกระทำให้เป็นที่ปรากฏและรู้จักแก่เพื่อนร่วมงาน ผู้บริหารงาน ประเภทที่ 4 สิ่งล่อใจที่เป็นเงิน (Monetary Incentives) สิ่งล่อใจที่เป็นเงินเป็นการให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่บุคคลที่ทำงานมีผลงานดีหรือผลผลิตพิ่มขึ้น หรือมีผลกำไรเพิ่มมากขึ้นเพื่อเป็นสิ่งล่อใจให้บุคคลที่ทำงานดีอยู่แล้ว หรือบุคคลที่ทำงานยังไม่ถึงเกณฑ์ระดับดีได้มีของขวัญและกำลังใจเพิ่มขึ้น
- 14. ประเภทที่ 5 สิ่งล่อใจที่เป็นกิจกรรม (Activity Incentives) เป็นสิ่งล่อใจที่เกี่ยวกับกิจกรรมทำงานตามตำแหน่งหน้าที่ ผู้บริหารงานมีหน้าที่จะต้องจัดการให้ผู้ทำงานได้ทำงานตรงกับความรู้ความสามารถ ความสนใจ ความถนัด เพื่อเป็นการจูงใจในการทำงาน ผู้บริหารงานสามารถจัดให้มีการแข่งขันในการทำงาน โดยกำหนดเป้าหมายเป็นจำนวนผลงานหรือผลผลิตภายในเวลาเท่าใดและกำหนดการให้รางวัลแก่ผู้ทำงานที่สามารถทำงานได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ วิธีดังกล่าวนี้จะเป็นการจูงใจผู้ทำงานเกิดความรู้สึกอยากจะทำงานให้มีผลงานหรือผลผลิตเพิ่มขึ้น