More Related Content
Similar to เรื่อง ระบบคอมพิวเตอร์กับเทคโนโลยีสารสนเทศ
Similar to เรื่อง ระบบคอมพิวเตอร์กับเทคโนโลยีสารสนเทศ (20)
เรื่อง ระบบคอมพิวเตอร์กับเทคโนโลยีสารสนเทศ
- 2. เรื่อง ระบบคอมพิวเตอร์กับเทคโนโลยีการสื่อสาร
• จากการเรียนที่ผ่านมาเราได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศมาแล้ว และได้รู้ว่าเทคโนโลยี
สารสนเทศ คือเทคโนโลยีที่ใช้จัดการกับข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารเหล่านั้น
สามารถถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบ และสามารส่งไปยังที่ต่าง ๆ ได้ตามต้องการอย่างรวดเร็วทันใจ
อีกทั้งผู้ต้องการใช้สารสนเทศยังสามารถสืบค้นหาข้อมูลและข่าวสารที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
เช่นกัน นอกจากนั้นนักเรียนยังได้เรียนรู้ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศเกิดจากการ
• รวมเทคโนโลยีสองอย่างเข้าด้วยกัน อย่างแรกคือเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และอย่างที่สองคือ
เทคโนโลยีการสื่อสาร คาว่า เทคโนโลยีในที่นี้หมายถึง ความรู้และวิธีการนาความรู้ไปใช้ สวน
ผลผลิตของเทคโนโลยีซึ่งทาให้เกิดการทางานที่เราต้องการนั้น เราเรียกว่า ระบบระบบ
สารสนเทศ ประกอบด้วยระบบคอมพิวเตอร์กับการสื่อสาร
- 3. • ระบบสารสนเทศที่ประกอบด้วยฝ่ายส่งข้อมูลและฝ่ายรับข้อมูล แต่ละฝ่ายประกอบด้วยระบบ
คอมพิวเตอร์กับระบบสื่อสาร และระบบสื่อสารของทั้งสองฝ่ายเชื่อมต่อถึงกันโดยสิ่งที่เรียกว่า
ช่องทางการสื่อสาร (Communication Channel) ซึ่งอาจเป็นสายโทรศัพท์ใยแก้วนา
แสง หรือคลื่นวิทยุก็ได้ในทางปฏิบัติ ระบบสารสนเทศอาจมีขนาดใหญ่กว่านี้ และอาจ
ประกอบด้วยฝ่ายส่งและฝ่ายรับอย่างละหลายร้อยหลายพันรายก็ได้ ตามตัวอย่างสมมุติฝ่ายส่ง
ข้อมูลต้องการส่งข้อมูลที่มีอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของฝ่ายตนไปให้แก่ฝ่ายรับ ฝ่ายส่งข้อมูลต้อง
จัดเตรียมข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบพร้อมส่ง และใช้โปรแกรมพิเศษ ไปควบคุมระบบสื่อสารให้ส่ง
ข้อมูลไปตามช่องทางการสื่อสาร ซึ่งในกรณีนี้ต่อสายตรงอยู่กับฝ่ายรับข้อมูลก็จะไปถึงฝ่ายรับ
ข้อมูลโดยตรง ระบบสื่อสารของฝ่ายรับข้อมูล เมื่อรับข้อมูลแล้วก็จะส่งต่อให้กับระบบ
คอมพิวเตอร์ของฝ่ายต้นข้อมูลก็จะปรากฏที่ระบบคอมพิวเตอร์นั้น
- 9. • 1. ซีพียู คือหน่วยประมวลผลกลางเปรียบเสมือนสมองกลของคอมพิวเตอร์ มีหน้าที่
คานวณคาสั่งต่างๆและสั่งให้แสดงผลลัพธ์ออกมา
• 2. เมนบอร์ด คือ แผงควบคุมระบบอิเล็กทรอนิกส์หลักของคอมพิวเตอร์เป็นที่ใช้ต่อ
เข้ากับอุปกรณ์ตัวอื่นๆ เช่น ซีพียู การ์ดจอ แรม
• 3. แรม คือ หน่วยความจาชั่วคราวสาหรับส่งข้อมูลให้ CPU คานวณ
• 4. ฮาร์ดดิสก์ คือ อุปกรณ์มีหน้าที่เก็บข้อมูลต่างๆ มีความจุและขนาดที่แตกต่างกัน
• 5. การ์ดแสดงผล คือ การ์ดที่ใช้ต่่อเข้ากับจอคอมพิวเตอร์เพื่อทาให้คอมพิวเตอร์
สามารถแสดงผลได้
• 6. การ์ดเสียง คือ อุปกรณ์ที่ทาหน้าที่ควบคุมเรื่องเสียงซึ่งจะให้เสียงออกมาทาง
ลาโพง
• 7. เครื่องขับแผ่นบันทึกข้อมูล คือ เครื่องที่ใช้ในการอ่านและเขียนข้อมูลลงแผ่นฟล็อป
ปี้ดิสก์
• 8. เครื่องขับแผ่นซีดี คือ เครื่องที่ใช้ในการอ่านและเขียนข้อมูลลงในแผ่นซีดีอาจเป็น
งานเอกสาร รูปภาพ หรือภาพเคลื่อนไหว
• 9. การ์ดแลน คือ การ์ดที่สาหรับต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆตัวให้สามารถ
ติดต่อกันได้เรียกว่า ระบบ
- 10. • 1. กล่องใส่อุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพวเตอร์
• 2. จอภาพ
• 3. เมาส์
• 4. แป้ นพิมพ์หรือคีย์บอร์ด
• 1. กล่องใส่อุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพวเตอร์
• Case ( เคส ) เป็นกล่องใส่ส่วนประกอบภายในต่างๆ เครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น
เมนบอร์ด แรม ซีพียู การ์ดเสียง ฮาร์ดิสก์ เป็นต้น
• 2. จอภาพ
• จอภาพ เป็นอุปกรณ์ใช้แสดงผลการทางานให้เรามองเห็นข้อความ รูปภาพนิ่งหรือ
ภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น
• 3. เมาส์
• เมาส์ เป็นอุปกรณ์ช่วยให้การใช้งานง่ายขึ้นด้วยการใช้เมาส์เลื่อนตัวชี้ไปยังตาแหน่ง
ต่างๆ บนจอภาพ ในขณะที่สายตาจับอยู่ที่จอภาพก็สามารถใช้มือลากเมาส์ไปมาได้
• 4. แป้ นพิมพ์หรือคีย์บอร์ด
• แป้ นพิมพ์หรือคีย์บอร์ด เป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่จาเป็นในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ซึ่งจะรับ
ข้อมูลจากการกดแป้ นพิมพ์แล้งเปลี่ยนเป็นรหัสเพื่อส่งต่อไปให้กับคอมพิวเตอร์
- 11. • 1. เครื่องสแกนเนอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้อ่านภาพเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์
• 2. เครื่องพิมพ์ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้พิมพ์ข้อมูลต่างๆ สามารถพิมพ์ได้ทั้งตัวอักษรและรูปภาพ
•
• 3. ลาโพง เป็นอุปกรณ์ที่ใช้แสดงเสียงต่างๆ เหมาะสาหรับคอมพิวเตอร์ที่ต้องความบันเทิง
•
• 4.กล้องดิจิตอล เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ถ่ายภาพแบบไม่มีฟิล์ม เพราะเป็นการใช้หน่วยความจา
ภายในสาหรับจัดเก็บเป็นภาพ
•
• 5. แฟลชไดร์ เป็นหน่วยความจาที่มีความจุสูงแต่มีขนาดเล็ก สามารถพกพาข้อมูลไปได้ทุกที่
เพียงต่อเข้ากับพอร์ต USB ของเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กและใช้งานได้ทันที
•
• 6. เครื่องสารองไฟ ( UPS) เป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่สารองไฟไว้ใช้กรณีที่ไฟฟ้ าดับ และจะช่วย
กรองกระแสไฟฟ้ าในกรณีมีกระแสไฟฟ้ าเกินหรือขาด
•
• 7.ไมโครโฟน เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลในรูปแบบเสียง โดยจะแปลงสัญญาณเสียงเป็นดิจิตอลแล้ว
ส่งไปยังคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในปัจจุบัน เรียกว่า พีซี (PC) เป็น
เครื่องคอมพิวเตอร์สาหรับใช้งานส่วนบุคคลแต่โดยรวมนั้นคอมพิวเตอร์ยังแบ่งออกได้เป็นหลาย
ประเภทตามขนาดประสิทธิภาพในการทางานประเภทต่างๆ
- 12. • คอมพิวเตอร์ที่เราควรรู้จักมีดังนี้
1. คอมพิวเตอร์ส่วนตัวหรือส่วนบุคคล ( Personal Computer) เพอร์ซันแนล
คอมพิวเตอร์
หรือเรียกย่อๆว่า พีซี หมายถึง คอมพิวเตอร์ที่ใช้งานส่วนตัวตามบ้านหรือสานักงาน
ทั่วไปซึ่งมักจะมีโครงสร้างเป็นมาตรฐานใกล้เคียงกัน ใช้โปรแกรมร่วมกันได้หมด
2. คอมพิวเตอร์สมุดพก ( Notebook) เป็นเครื่องที่มีความสามารถในระดับ
เดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ( PC) แต่ออกแบบมาให้มีขนาดเล็กน้าหนัก
เบาพอที่จะนาติดตัวไปไหนๆได้ด้วยสะดวกและมักจะใช้พลังงานไฟฟ้ าจากแบตเตอรี่
ได้ทาให้สามารถใช้งานได้ทุกสถานที่ไม่ว่าบนรถ เรือ เครื่องบิน
3.คอมพิวเตอร์แบบพกพา/คอมพิวเตอร์มือถือ เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่พกพาใส่
กระเป๋ าได้ เช่นที่เรียกกันว่า PDA หรือผู้ช่วยส่วนตัวแบบดิจิตตอลสามารถเป็น
คอมพิวเตอร์เก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ บันทึกรายชื่อ นัดหมายต่างๆ
- 14. • เรื่อง การพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในองค์กร
ปัจจุบันมีการกล่าวถึงวิธีการรื้อปรับระบบองค์กรใหม่ ในรูปแบบที่เรียกว่า
Business reinvention กล่าวคือ การปรับปรุงและสร้างองค์กรใหม่ โดย
นาเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้ในองค์กร สารสนเทศเป็นสิ่งที่มีความสาคัญยิ่ง
เราแบ่งระดับสารสนเทศออกเป็น 4 ระดับคือ ระดับส่วนบุคคล ระดับกลุ่มหรือแผนก
ระดับองค์กรและระดับระหว่างองค์กร โดยทุกระดับจะเกี่ยวข้องกับทรัพยากรที่
จาเป็นต้องนามาใช้เพื่อประกอบกัน และให้ได้ประโยชน์จากสารสนเทศ ประกอบด้วย
อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ได้แก่ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสาร ซอฟต์แวร์ ข้อมูล ชั้นตอน
การปฏิบัติงาน ได้แก่ กฎระเบียบต่าง ๆ และตัวบุคลากรเอง
ศูนย์สารสนเทศขององค์กร คือหน่วยงานที่จะบริหารและจัดการทรัพยากร
สารสนเทศ ที่ต้องลงทุนทั้ง 5 องค์ประกอบนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ศูนย์
สารสนเทศขององค์กรตามแนวความคิดใหม่ จึงต้องประสานกับธรรมชาติของการ
ทางานขององค์กรที่มีบุคลากรเป็นแกนนา เพราะบุคลากรทุกคนย่อมเป็นผู้ใช้
สารสนเทศ และยังต้องมองเลยไปเป็นระดับกลุ่ม ระดับองค์กร และระดับระหว่าง
องค์กร การทางานในทุกระดับจะต้องประสานการใช้ประโยชน์ให้เกิดกับองค์กรได้
สูงสุด
- 16. การใช้แบบเครื่องหลัก (Host base) ในยุคที่เครื่องคอมพิวเตอร์มีราคา
แพง เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นเมนเฟรม ซึ่งมีการจัดการฐานข้อมูลอยู่
ส่วนกลางและแบ่งการใช้งาน เครื่องคอมพิวเตอร์หลักเป็นเครื่องที่รวมทรัพยากร
ทั้งหมดไว้ที่ศูนย์กลาง ผู้ใช้เพียงแต่ต่อสายออนไลน์ และใช้กาลังการคานวณทั้งหมด
จากเครื่องหลัก สถานีปลายทางจึงเป็นเพียงแค่เทอร์มินัลเท่านั้นการใช้งานแบบ
เครื่องหลัก เพื่อเป็นการสนับสนุนข้อมูลข่าวสารขององค์กร
การใช้งานแบบเครื่องเดี่ยว (Stand alone) เมื่อมีการพัฒนาพีซีให้เป็น
เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล จึงมีผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สนับสนุนพีซีให้ช่วยงานระดับ
บุคคล ดังนั้นการประยุกต์ใช้งานระดับบุคคลจึงเป็นที่นิยมแพร่หลาย ปัจจุบันมี
ซอฟต์แวร์พื้นฐานที่เรียกว่าโปรแกรมสาเร็จรูปให้ใช้งานได้มาก เช่น ใช้ช่วยในการ
พิมพ์เอกสารหรือเรียกว่า เวิร์ดโปรเซสเซอร์ ใช้คานวณบนตารางที่เรียกว่า สเปรตซีต
ใช้ในการเก็บข้อมูลในระบบฐานข้อมูลขนาดเล็ก ใช้เพื่อนาเสนผลงาน
- 17. • เครื่องพีซีทาให้เกิดระบบการจัดการข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลระบบแลนและ
ไคลแอนต์เซิร์ฟเวอร์ เมื่อพีซีมีขีดความสามารถสูงขึ้น ประกอบกับเทคโนโลยีได้
พัฒนาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ให้เชื่อมโยงเข้าถึงกัน และใช้งานร่วมกัน ระบบ
แลนที่ใช้จึงเริ่มจากการสนับสนุนงานระดับกลุ่ม ระดับแผนกที่มีการทางานร่วมกัน ใช้
ทรัพยากรบางอย่างร่วมกัน เช่น ใช้ไฟล์ใช้ข้อมูล ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์
ตลอดจนเครื่องพิมพ์ร่วมกัน สภาพการทางานบนเลนส่วนหนึ่งมีลักษณะการทางาน
แบบ ไคลแอนต์เซิร์ฟเวอร์ กล่าวคือมีสถานีบริการกลางที่ให้บริการร่วมกันทั้งกลุ่ม
โดยผู้ใช้จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีของตนเองเชื่อมโยงกับเครือข่ายแลน เครื่อง
คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้เรียกว่า ไคลแอนด์ ส่วนสถานีบริการกลางเรียกว่า เซิร์ฟเวอร์
เช่น ถ้ามีระบบฐานข้อมูลกลางที่ให้บริการกลางร่วมกันก็เรียกว่า ดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์
ผู้ใช้สามารถใช้เครื่องไคลแอนต์เรียกค้นข้อมูลข่าวสารจากเครื่องเซิร์ฟเวอร์ได ้้
รูปแบบการทางานแบบนี้จึงเป็นการลดขนาดของเซิร์ฟเวอร์ลงจากโฮสเบส เพราะ
สถานีย่อยคือไคลแอนต์สามารถช่วยดาเนินการบางอย่างเองได้ และการทางานใน
ระดับไคลแอนต์ที่สาคัญคือ มีส่วนช่วยในการติดต่อกับผู้ใช้ที่จะแสดงผลแบบ
กราฟฟิก
- 18. เครือข่ายแลนสนับสนุนการทางานเป็นกลุ่ม
การเชื่อมต่อแลนเป็นอินทราเน็ต เมื่อนาเวอร์กกรุ๊ปหรือเครือข่ายแลนย่อย ๆ
หลายเครือข่ายต่อเชื่อมกันเป็นเครือข่ายขององค์กร มีเส้นทางการเชื่อมโยงข้อมูล
ข่าวสารหลักที่เรียกว่าแบคโบน (backbone) เครือข่ายนี้จึงเป็นเครือข่ายที่
สนับสนุนการทางานขององค์กร ซึ่งอาจเรียกว่าเอ็นเตอร์ไพรสเน็ตเวอร์กหรือ
อินทราเน็ต ในระดับองค์กรจึงมีการบริหารจัดการเครือข่ายขององค์กร มีหน่วยงาน
ดูแลเครือข่ายกลาง และดูแลทรัพยากรที่สนับสนุนการใช้งานในองค์กร ลักษณะการ
เชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานอาจข้ามออกไปยังหน่วยงานที่อยู่ห่างไกล โดยเชื่อมต่อ
ด้วยเครือข่ายสาธารณะแบบแวน (wan) สภาพการทางานภายในองค์กรยังมี
ลักษณะการใช้ทรัพยากรร่วมกันมีสถานีบริการที่เรียกว่าเซิร์ฟเวอร์ ผู้ใช้ใช้พีซีที่ต่ออยู่
บนเครือข่ายเชื่อมโยงเรียกใช้บริการเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ภายในองค์กรอาจมีฐานข้อมูล
เก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์กลางหรืออาจจะมีหลายเซิร์ฟเวอร์กระจายกันอยู่ก็ได้ ลักษณะการ
ใช้งานบนเครือข่ายจึงสนับสนุนการทางานตั้งแต่งานในระดับบุคคลที่ใช้พีซีของ
ตนเองเป็นหลัก เชื่อมต่อใช้งานร่วมกันเป็นเครือข่ายในแผนก ในกลุ่มงานของตน ใช้
สถานทีบริการเซิร์ฟเวอร์ในแผนกของตน และยังเชื่อมโยงกับองค์กรใช้งานใน
ลักษณะร่วมกับส่วนกลางขององค์กร ดังนั้นทุกคนในองค์กรที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายจึง
สามารถเลือกใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ข้อมูลข่าวสารทั้งของกลุ่มและขององค์กรได้
- 23. • คอมพิวเตอร์ประกอบด้วยส่วนสาคัญ 5 ส่วนด้วยกัน คือ
• 1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง สิ่งที่มองเห็นและจับต้องสัมผัสได้ทั้งหมดที่
เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ (Case) เมนบอร์ด (Main
board) และอุปกรณ์ต่อพ่วงรอบข้าง (Peripheral) ที่เกี่ยวข้อง เช่น ฮาร์ดดิสก์
แป้ นพิมพ์ เม้าส์ หน่วยประมวลผลกลาง จอภาพ เครื่องพิมพ์ และอุปกรณ์อื่น ๆ ฮาร์ดแวร์จะ
ไม่สามารถทางานด้วยตัวเองเดี่ยว ๆ ได้ จะต้องนามาต่อเชื่อมเพื่อทางานร่วมกันเป็นระบบที่
เรียกว่า "ระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System)" ที่มีโครงสร้างของระบบจะ
ทางานตามโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้น
• 2. ซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึง โปรแกรม (Program) หรือชุดคาสั่งที่ควบคุมให้
เครื่องคอมพิวเตอร์ทางานให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ซึ่งคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ที่ประกอบ
ออกมาจากโรงงานจะยังไม่สามารถทางานได้ในทันที ต้องมีซอฟต์แวร์ซึ่งเป็นโปรแกรมหรือ
ชุดคาสั่งที่สั่งให้ฮาร์ดแวร์ทางานตามต้องการได้ โดยโปรแกรมหรือชุดคาสั่งนั้นจะเขียนจาก
ภาษาต่าง ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น เรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์ (Programming
Language) ภาษาใดภาษาหนึ่ง และมีโปรแกรมเมอร์ (Programmer) หรือ
นักเขียนโปรแกรมเป็นผู้ใช้ภาษาคอมพิวเตอร์เหล่านั้นเขียนซอฟต์แวร์แบบต่าง ๆ ขึ้นมา
- 24. • ซอฟต์แวร์ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
• 1) ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) เป็นซอฟต์แวร์ที่ทาหน้าที่จัดการและ
ควบคุม ทรัพยากรต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ และอานวยความสะดวกด้านเครื่องมือ
สาหรับการทางานพื้นฐานต่าง ๆ ตั้งแต่ผู้ใช้เริ่มเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ การทางานจะ
เป็นไปตามชุดคาสั่งที่เขียนขึ้น ตลอดจนควบคุมการสื่อสารข้อมูลในระบบเครือข่าย
คอมพิวเตอร์
• 2) ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่สร้าง
หรือพัฒนาขึ้น เพื่อใช้งานด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะตามที่ผู้ใช้ต้องการ เช่น งานด้าน
การจัดทาเอกสาร การทาบัญชี การจัดเก็บข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนงานด้านอื่น ๆ
ตามแต่ผู้ใช้ต้องการ
• 3. ข้อมูล/สารสนเทศ (Data/Information) คือ ข้อมูลต่างๆ ที่เรานามาให้
คอมพิวเตอร์ทาการประมวลผลคานวณ หรือกระทาการอย่างใดอย่างหนึ่งให้ได้มา
เป็นผลลัพธ์ที่เราต้องการ ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลบุคลากรเกี่ยวกับรายละเอียดประวัติ
ส่วนตัว ประวัติการศึกษาหรือ ประวัติการทางาน ซึ่งอาจนามาจาแนกเป็นรายงาน
ต่างๆ เกี่ยวกับบุคลากรในหน่วยงานได้ หรือข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลขมาตรๆ ไฟฟ้ าของ
บ้านแต่ละหลัง ก็ใช้สาหรับคานวณเป็นปริมาณไฟฟ้ า ที่ใช้ในแต่ละเดือน แล้วคิดเป็น
เงิน ที่จะต้องชาระให้กับการไฟฟ้ าฯ
- 25. • 4. บุคคลากร (People ware) คือ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานต่างๆ และผู้ใช้เครื่อง
คอมพิวเตอร์ในหน่วยงานนั้นๆ บุคลากรด้านคอมพิวเตอร์นั้น มีความสาคัญมาก
เพราะการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทางานต่างๆ นั้นจะต้องมีการจัดเตรียมเปลี่ยนระบบ
จัดเตรียมโปรแกรมดาเนินการต่างๆ หลายอย่าง ซึ่งไม่สามารถทาด้วยตัวเองได้ ถ้า
หากไม่ใช่ผู้ที่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์มากนัก เราจึงถือว่าบุคลากร เป็นส่วนประกอบที่
สาคัญของ ระบบคอมพิวเตอร์ด้วย ซึ่งสามารถสรุปเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
• - เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ (Operator)
• - บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับระบบ (System)
• - ผู้จัดการศูนย์ประมวลผลคอมพิวเตอร์ (Electronic Data Processing
Manager)
• - ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ (Computer user)
• 5. กระบวนการทางาน (Documentation/Procedure) เป็นขั้นตอนการ
ทางานเพื่อให้ได้ ผลลัพธ์หรือข้อสนเทศจากคอมพิวเตอร์ ในการทางานกับ
คอมพิวเตอร์จาเป็นที่จะต้องให้ผู้ใช้เข้าใจขั้นตอนการทางาน ต้องมีระเบียบปฏิบัติให้
เป็นแบบเดียวกัน มีการจัดทาคู่มือการใช้คอมพิวเตอร์ให้ทุกคนเรียนรู้และใช้อ้างอิงได้
นอกจากนั้นเมื่อการใช้มาตรฐาน ช่วยให้การประสานงาน ระหว่างหน่วยงานย่อยๆ
ราบรื่น การจัดซื้อจัดหา ตลอดจนการบารุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ และซอฟต์แวร์ก็
จะง่ายขึ้นเพราะทุกหน่วยงานใช้มาตรฐานเดียวกัน