File6
- 6. (นาที)
ภาค ๑ คําทําวัตรเชาและเย็น
คําบูชาพระรัตนตรัย (๐๑:๓๒)
ปุพพภาคนมการ (๐๑:๒๘)
คําทําวัตรเชา (๑๘:๕๓)
๑. พุทธาภิถุติ (๐๓:๓๑)
๒. ธัมมาภิถุติ (๐๑:๒๖)
๓. สังฆาภิถุติ (๐๒:๔๒)
๔. รตนัตตยัปปณามคาถา (๐๓:๒๐)
๕. สังเวคปริกิตตนปาฐะ (๐๗:๕๔)
คําทําวัตรเย็น (๑๗:๒๙)
๑. พุทธานุสสติ (๐๑:๕๐)
๒. พุทธาภิคีติ (๐๔:๑๖)
๓. ธัมมานุสสติ (๐๑:๐๖)
๔. ธัมมาภิคีติ (๐๔:๐๒)
๕. สังฆานุสสติ (๐๒:๒๐)
๖. สังฆาภิคีติ (๐๓:๕๕)
- 7. (นาที)
ภาค ๒ บทสวดมนตพิเศษ
บทพิเศษ ๑ (ตอนเชา) (๔๑:๒๕)
๑. สรณคมนปาฐะ (๐๑:๔๓)
๒. อัฏฐสิกขาปทปาฐะ (๐๒:๐๔)
๓. ท๎วัตติงสาการปาฐะ (๐๒:๒๙)
๔. เขมาเขมสรณทีปกคาถา (๐๒:๒๑)
๕. อริยธนคาถา (๐๑:๓๓)
๖. ติลักขณาทิคาถา (๐๓:๑๑)
๗. ภารสุตตคาถา (๐๑:๑๖)
๘. ภัทเทกรัตตคาถา (๐๒:๐๐)
๙. ธัมมคารวาทิคาถา (๐๒:๒๕)
๑๐. โอวาทปาฏิโมกขคาถา (๐๒:๐๙)
๑๑. ปฐมพุทธภาสิตคาถา (๐๑:๓๐)
๑๒. ธาตุปจจเวกขณปาฐะ (๐๖:๓๐)
๑๓. ปจฉิมพุทโธวาทปาฐะ (๐๐:๕๔)
๑๔. บทพิจารณาสังขาร (๐๒:๔๑)
๑๕. สัพพปตติทานคาถา (๐๒:๕๕)
๑๖. ปฏฐนฐปนคาถา (๐๕:๔๔)
เนื้อธรรม
- 8. (นาที)
บทพิเศษ ๒ (ตอนเย็น) (๓๔:๐๖)
๑๗. อริยอัฏฐังคิกมัคคปาฐะ (๑๕:๔๒)
๑๘. อตีตปจจเวกขณปาฐะ (๐๕:๐๒)
๑๙. ปพพชิตอภิณหปจจเวกขณปาฐะ (๐๕:๕๙)
๒๐. ปจฉิมพุทโธวาทปาฐะ (๐๐:๕๒)
๒๑. อุททิสสนาธิฏฐานคาถา (๐๖:๓๑)
บทพิเศษ ๓
๒๒. ตังขณิกปจจเวกขณปาฐะ (๐๕:๓๐)
๒๓. ปจจเวกขณอุโบสถศีล (๑๙:๔๘)
บทพิเศษ ๔
๒๔. บทแผเมตตา (๐๑:๔๑)
เนื้อธรรม
- 10. คําทําวัตรเชาและเย็น
(เริ่มตนดวย คําบูชาพระรัตนตรัย และ ปุพพภาคนมการ)
คําบูชาพระรัตนตรัย
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา,
พระผูมีพระภาคเจา, เปนพระอรหันต,
ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกขสิ้นเชิง, ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง;
พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ.
ขาพเจาอภิวาทพระผูมีพระภาคเจา, ผูรู ผูตื่น ผูเบิกบาน.
(กราบ ๑ ครั้ง)
ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,
พระธรรม เปนธรรมที่พระผูมีพระภาคเจา, ตรัสไวดีแลว;
ธัมมัง นะมัสสามิ.
ขาพเจานมัสการพระธรรม.
(กราบ ๑ ครั้ง)
สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
พระสงฆ สาวกของพระผูมีพระภาคเจา, ปฏิบัติดีแลว;
สังฆัง นะมามิ.
ขาพเจานอบนอมพระสงฆ.
(กราบ ๑ ครั้ง)
- 11. ปุพพภาคนมการ
(คํานมัสการ)
(หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความนอบนอมอันเปนสวนเบื้องตน แดพระผูมีพระภาคเจาเถิด.)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคเจา
พระองคนั้น;
อะระหะโต, ซึ่งเปนผูไกลจากกิเลส;
สัมมาสัมพุทธัสสะ. ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง.
(วา ๓ ครั้ง)
- 14. ๑. พุทธาภิถุติ
(คําสรรเสริญพระพุทธเจา)
(หันทะ มะยัง พุทธาภิถุติง กะโรมะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความชมเชยเฉพาะพระพุทธเจาเถิด.)
โย โส ตะถาคะโต, พระตถาคตเจานั้น พระองคใด;
อะระหัง, เปนผูไกลจากกิเลส;
สัมมาสัมพุทโธ, เปนผูตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง;
วิชชาจะระณะสัมปนโน, เปนผูถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ;
สุคะโต, เปนผูไปแลวดวยดี;
โลกะวิทู, เปนผูรูโลกอยางแจมแจง;
อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ,
เปนผูสามารถฝกบุรุษที่สมควรฝกได
อยางไมมีใครยิ่งกวา;
สัตถา เทวะมะนุสสานัง, เปนครูผูสอน ของเทวดาและมนุษย
ทั้งหลาย;
พุทโธ, เปนผูรู ผูตื่น ผูเบิกบานดวยธรรม;
ภะคะวา, เปนผูมีความจําเริญ จําแนกธรรม
สั่งสอนสัตว;
- 15. โย อิมัง โลกัง สะเทวะกัง สะมาระกัง สะพ๎รัห๎มะกัง,
สัสสะมะณะพ๎ราห๎มะณิง ปะชัง สะเทวะมะนุสสัง สะยัง
อะภิญญา สัจฉิกัต๎วา ปะเวเทสิ, พระผูมีพระภาคเจาพระองคใด,
ไดทรงทําความดับทุกขใหแจง ดวยพระปญญาอันยิ่งเองแลว,
ทรงสอนโลกนี้ พรอมทั้งเทวดา, มาร พรหม, และหมูสัตว
พรอมทั้งสมณพราหมณ, พรอมทั้งเทวดาและมนุษยใหรูตาม;
โย ธัมมัง เทเสสิ, พระผูมีพระภาคเจาพระองคใด,
ทรงแสดงธรรมแลว;
อาทิกัล๎ยาณัง, ไพเราะในเบื้องตน;
มัชเฌกัล๎ยาณัง, ไพเราะในทามกลาง;
ปะริโยสานะกัล๎ยาณัง, ไพเราะในที่สุด;
สาตถัง สะพ๎ยัญชะนัง เกวะละปะริปุณณัง ปะริสุทธัง
พ๎รัห๎มะจะริยัง ปะกาเสสิ, ทรงประกาศพรหมจรรย,
คือแบบแหงการปฏิบัติอันประเสริฐ บริสุทธิ์ บริบูรณ สิ้นเชิง,
พรอมทั้งอรรถะ (คําอธิบาย) พรอมทั้งพยัญชนะ (หัวขอ);
ตะมะหัง ภะคะวันตัง อะภิปูชะยามิ,
ขาพเจาบูชาอยางยิ่ง เฉพาะพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น;
ตะมะหัง ภะคะวันตัง สิระสา นะมามิ.
ขาพเจานอบนอมพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น ดวยเศียรเกลา.
(กราบระลึกพระพุทธคุณ)
- 16. ๒. ธัมมาภิถุติ
(คําสรรเสริญพระธรรม)
(หันทะ มะยัง ธัมมาภิถุติง กะโรมะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความชมเชยเฉพาะพระธรรมเถิด.)
โย โส ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,
พระธรรมนั้นใด, เปนสิ่งที่พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสไวดีแลว;
สันทิฏฐิโก,
เปนสิ่งที่ผูศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นไดดวยตนเอง;
อะกาลิโก,
เปนสิ่งที่ปฏิบัติได และใหผลได ไมจํากัดกาล;
เอหิปสสิโก,
เปนสิ่งที่ควรกลาวกะผูอื่นวา ทานจงมาดูเถิด;
โอปะนะยิโก,
เปนสิ่งที่ควรนอมเขามาใสตัว;
ปจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูหิ,
เปนสิ่งที่ผูรูก็รูไดเฉพาะตน;
ตะมะหัง ธัมมัง อะภิปูชะยามิ,
ขาพเจาบูชาอยางยิ่ง เฉพาะพระธรรมนั้น;
ตะมะหัง ธัมมัง สิระสา นะมามิ.
ขาพเจานอบนอมพระธรรมนั้น ดวยเศียรเกลา.
(กราบระลึกพระธรรมคุณ)
- 17. ๓. สังฆาภิถุติ
(คําสรรเสริญพระสงฆ)
(หันทะ มะยัง สังฆาภิถุติง กะโรมะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความชมเชยเฉพาะพระสงฆเถิด.)
โย โส สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจานั้น หมูใด, ปฏิบัติดีแลว;
อุชุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบัติตรงแลว;
ญายะปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด,
ปฏิบัติเพื่อรูธรรม เปนเครื่องออกจากทุกขแลว;
สามีจิปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบัติสมควรแลว;
ยะทิทัง,
ไดแกบุคคลเหลานี้คือ;
จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา,
คูแหงบุรุษ ๔ คู,* นับเรียงตัวบุรุษ ได ๘ บุรุษ;
เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
นั่นแหละ สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา;
- 18. อาหุเนยโย,
เปนสงฆควรแกสักการะที่เขานํามาบูชา;
ปาหุเนยโย,
เปนสงฆควรแกสักการะที่เขาจัดไวตอนรับ;
ทักขิเณยโย,
เปนผูควรรับทักษิณาทาน;
อัญชะลีกะระณีโย,
เปนผูที่บุคคลทั่วไปควรทําอัญชลี;
อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ,
เปนเนื้อนาบุญของโลก, ไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา;
ตะมะหัง สังฆัง อะภิปูชะยามิ,
ขาพเจาบูชาอยางยิ่ง เฉพาะพระสงฆหมูนั้น;
ตะมะหัง สังฆัง สิระสา นะมามิ.
ขาพเจานอบนอมพระสงฆหมูนั้น ดวยเศียรเกลา.
(กราบระลึกพระสังฆคุณ)
* ๔ คูคือ โสดาปตติมรรค, โสดาปตติผล, สกทาคามิมรรค, สกทาคามิผล,
อนาคามิมรรค, อนาคามิผล, อรหัตตมรรค, อรหัตตผล.
- 19. ๔. รตนัตตยัปปณามคาถา
(คาถานอบนอมพระรัตนตรัย)
(หันทะ มะยัง ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถาโย เจวะ สังเวคะปะริกิตตะนะปาฐัญจะ ภะณามะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย กลาวคํานอบนอมพระรัตนตรัยและบาลีที่กําหนดวัตถุเครื่องแสดงความสังเวชเถิด.)
พุทโธ สุสุทโธ กะรุณามะหัณณะโว,
พระพุทธเจาผูบริสุทธิ์ มีพระกรุณาดุจหวงมหรรณพ;
โยจจันตะสุทธัพพะระญาณะโลจะโน,
พระองคใด มีตาคือญาณอันประเสริฐหมดจดถึงที่สุด;
โลกัสสะ ปาปูปะกิเลสะฆาตะโก,
เปนผูฆาเสียซึ่งบาป และอุปกิเลสของโลก;
วันทามิ พุทธัง อะหะมาทะเรนะ ตัง,
ขาพเจาไหวพระพุทธเจาพระองคนั้น โดยใจเคารพเอื้อเฟอ;
ธัมโม ปะทีโป วิยะ ตัสสะ สัตถุโน,
พระธรรมของพระศาสดา สวางรุงเรืองเปรียบดวงประทีป;
โย มัคคะปากามะตะเภทะภินนะโก,
จําแนกประเภทคือ มรรค ผล นิพพาน, สวนใด;
โลกุตตะโร โย จะ ตะทัตถะทีปะโน,
ซึ่งเปนตัวโลกุตตระ, และสวนใดที่ชี้แนวแหงโลกุตตระนั้น;
วันทามิ ธัมมัง อะหะมาทะเรนะ ตัง,
ขาพเจาไหวพระธรรมนั้น โดยใจเคารพเอื้อเฟอ;
- 20. สังโฆ สุเขตตาภ๎ยะติเขตตะสัญญิโต,
พระสงฆเปนนาบุญ อันยิ่งใหญกวานาบุญอันดีทั้งหลาย;
โย ทิฏฐะสันโต สุคะตานุโพธะโก,
เปนผูเห็นพระนิพพาน, ตรัสรูตามพระสุคต, หมูใด;
โลลัปปะหีโน อะริโย สุเมธะโส,
เปนผูละกิเลสเครื่องโลเล เปนพระอริยเจา มีปญญาดี;
วันทามิ สังฆัง อะหะมาทะเรนะ ตัง,
ขาพเจาไหวพระสงฆหมูนั้น โดยใจเคารพเอื้อเฟอ;
อิจเจวะเมกันตะภิปูชะเนยยะกัง,
วัตถุตตะยัง วันทะยะตาภิสังขะตัง,
ปุญญัง มะยา ยัง มะมะ สัพพุปททะวา,
มา โหนตุ เว ตัสสะ ปะภาวะสิทธิยา.
บุญใด ที่ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งวัตถุ ๓,
คือพระรัตนตรัย อันควรบูชายิ่งโดยสวนเดียว,
ไดกระทําแลวเปนอยางยิ่งเชนนี้นี้,
ขออุปททวะ (ความชั่ว) ทั้งหลาย,
จงอยามีแกขาพเจาเลย,
ดวยอํานาจความสําเร็จ อันเกิดจากบุญนั้น.
- 21. ๕. สังเวคปริกิตตนปาฐะ
(คําแสดงสังเวช)
อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปนโน,
พระตถาคตเจาเกิดขึ้นแลว ในโลกนี้;
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ,
เปนผูไกลจากกิเลส, ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง;
ธัมโม จะ เทสิโต นิยยานิโก,
และพระธรรมที่ทรงแสดง เปนธรรมเครื่องออกจากทุกข;
อุปะสะมิโก ปะรินิพพานิโก,
เปนเครื่องสงบกิเลส, เปนไปเพื่อปรินิพพาน;
สัมโพธะคามี สุคะตัปปะเวทิโต,
เปนไปเพื่อความรูพรอม, เปนธรรมที่พระสุคตประกาศ;
มะยันตัง ธัมมัง สุต๎วา เอวัง ชานามะ,
พวกเราเมื่อไดฟงธรรมนั้นแลว, จึงไดรูอยางนี้วา:–
ชาติป ทุกขา, แมความเกิด ก็เปนทุกข;
ชะราป ทุกขา, แมความแก ก็เปนทุกข;
มะระณัมป ทุกขัง, แมความตาย ก็เปนทุกข;
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาป ทุกขา,
แมความโศก ความร่ําไรรําพัน ความไมสบายกาย
ความไมสบายใจ ความคับแคนใจ ก็เปนทุกข;
- 22. อัปปเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข,
ความประสบกับสิ่งไมเปนที่รักที่พอใจ ก็เปนทุกข;
ปเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข,
ความพลัดพรากจากสิ่งเปนที่รักที่พอใจ ก็เปนทุกข;
ยัมปจฉัง นะ ละภะติ ตัมป ทุกขัง,
มีความปรารถนาสิ่งใด ไมไดสิ่งนั้น นั่นก็เปนทุกข;
สังขิตเตนะ ปญจุปาทานักขันธา ทุกขา,
วาโดยยอ อุปาทานขันธทั้ง ๕ เปนตัวทุกข;
เสยยะถีทัง,
ไดแกสิ่งเหลานี้คือ:–
รูปูปาทานักขันโธ,
ขันธ อันเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่น คือรูป;
เวทะนูปาทานักขันโธ,
ขันธ อันเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่น คือเวทนา;
สัญูปาทานักขันโธ,
ขันธ อันเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่น คือสัญญา;
สังขารูปาทานักขันโธ,
ขันธ อันเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่น คือสังขาร;
วิญญาณูปาทานักขันโธ,
ขันธ อันเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่น คือวิญญาณ;
- 23. เยสัง ปะริญญายะ,
เพื่อใหสาวกกําหนดรอบรูอุปาทานขันธ เหลานี้เอง;
ธะระมาโน โส ภะคะวา,
จึงพระผูมีพระภาคเจานั้น เมื่อยังทรงพระชนมอยู;
เอวัง พะหุลัง สาวะเก วิเนติ,
ยอมทรงแนะนําสาวกทั้งหลาย เชนนี้เปนสวนมาก;
เอวัง ภาคา จะ ปะนัสสะ ภะคะวะโต
สาวะเกสุ อะนุสาสะนี พะหุลา ปะวัตตะติ,
อนึ่ง คําสั่งสอนของพระผูมีพระภาคเจานั้น,
ยอมเปนไปในสาวกทั้งหลาย, สวนมาก,
มีสวนคือการจําแนกอยางนี้วา:–
รูปง อะนิจจัง, รูปไมเที่ยง;
เวทะนา อะนิจจา, เวทนาไมเที่ยง;
สัญญา อะนิจจา, สัญญาไมเที่ยง;
สังขารา อะนิจจา, สังขารไมเที่ยง;
วิญญาณัง อะนิจจัง, วิญญาณไมเที่ยง;
รูปง อะนัตตา, รูปไมใชตัวตน;
เวทะนา อะนัตตา, เวทนาไมใชตัวตน;
สัญญา อะนัตตา, สัญญาไมใชตัวตน;
สังขารา อะนัตตา, สังขารไมใชตัวตน;
วิญญาณัง อะนัตตา, วิญญาณไมใชตัวตน;
- 24. สัพเพ สังขารา อะนิจจา, สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไมเที่ยง;
สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ, ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไมใชตัวตน
ดังนี้;
เต (หญิงวา ตา) มะยัง โอติณณาม๎หะ,
พวกเราทั้งหลาย เปนผูถูกครอบงําแลว;
ชาติยา, โดยความเกิด;
ชะรามะระเณนะ, โดยความแกและความตาย;
โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ,
โดยความโศก ความร่ําไรรําพัน
ความไมสบายกาย ความไมสบายใจ
ความคับแคนใจ ทั้งหลาย;
ทุกโขติณณา,
เปนผูถูกความทุกข หยั่งเอาแลว;
ทุกขะปะเรตา,
เปนผูมีความทุกข เปนเบื้องหนาแลว;
อัปเปวะนามิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ
อันตะกิริยา ปญญาเยถาติ.
ทําไฉน การทําที่สุดแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้,
จะพึงปรากฏชัด แกเราได.
- 25. (สําหรับอุบาสก-อุบาสิกาสวด)
จิระปะรินิพพุตัมป ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คะตา,
เราทั้งหลาย ผูถึงแลวซึ่งพระผูมีพระภาคเจา,
แมปรินิพพานนานแลว พระองคนั้น เปนสรณะ;
ธัมมัญจะ สังฆัญจะ,
ถึงพระธรรมดวย ถึงพระสงฆดวย;
ตัสสะ ภะคะวะโต สาสะนัง ยะถาสะติ ยะถาพะลัง
มะนะสิกะโรมะ อะนุปะฏิปชชามะ,
จักทําในใจอยู ปฏิบัติตามอยู
ซึ่งคําสั่งสอนของพระผูมีพระภาคเจานั้น ตามสติกําลัง;
สา สา โน ปะฏิปตติ,
ขอใหความปฏิบัตินั้นๆ ของเราทั้งหลาย;
อิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ
อันตะกิริยายะ สังวัตตะตุ.
จงเปนไปเพื่อการทําที่สุดแหงกองทุกข ทั้งสิ้นนี้ เทอญ.
- 26. (สําหรับภิกษุ-สามเณรสวด)
จิระปะรินิพพุตัมป ตัง ภะคะวันตัง อุททิสสะ
อะระหันตัง สัมมาสัมพุทธัง,
เราทั้งหลาย อุทิศเฉพาะพระผูมีพระภาคเจา,
ผูไกลจากกิเลส, ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง,
แมปรินิพพานนานแลว พระองคนั้น;
สัทธา อะคารัส๎มา อะนะคาริยัง ปพพะชิตา,
เปนผูมีศรัทธา ออกบวชจากเรือน ไมเกี่ยวของดวยเรือนแลว;
ตัส๎มิง ภะคะวะติ พ๎รัห๎มะจะริยัง จะรามะ,
ประพฤติอยูซึ่งพรหมจรรย ในพระผูมีพระภาคเจา พระองคนั้น;
ภิกขูนัง สิกขาสาชีวะสะมาปนนา,
ถึงพรอมดวยสิกขาและธรรมเปนเครื่องเลี้ยงชีวิต
ของภิกษุทั้งหลาย;
ตัง โน พ๎รัห๎มะจะริยัง
อิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ
อันตะกิริยายะ สังวัตตะตุ.
ขอใหพรหมจรรยของเราทั้งหลายนั้น,
จงเปนไปเพื่อการทําที่สุดแหงกองทุกข ทั้งสิ้นนี้ เทอญ.
(จบคําทําวัตรเชา)
- 30. ๑. พุทธานุสสติ
(คําระลึกถึงพระพุทธเจา)
(หันทะ มะยัง พุทธานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความตามระลึกถึงพระพุทธเจาเถิด.)
ตัง โข ปะนะ ภะคะวันตัง เอวัง กัล๎ยาโณ
กิตติสัทโท อัพภุคคะโต,
ก็กิตติศัพทอันงามของพระผูมีพระภาคเจานั้น,
ไดฟุงไปแลวอยางนี้วา:–
อิติป โส ภะคะวา,
เพราะเหตุอยางนี้ๆ พระผูมีพระภาคเจานั้น;
อะระหัง, เปนผูไกลจากกิเลส;
สัมมาสัมพุทโธ, เปนผูตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง;
วิชชาจะระณะสัมปนโน, เปนผูถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ;
สุคะโต, เปนผูไปแลวดวยดี;
โลกะวิทู, เปนผูรูโลกอยางแจมแจง;
อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ, เปนผูสามารถฝกบุรุษที่สมควรฝกได
อยางไมมีใครยิ่งกวา;
สัตถา เทวะมะนุสสานัง, เปนครูผูสอน ของเทวดาและมนุษย
ทั้งหลาย;
พุทโธ, เปนผูรู ผูตื่น ผูเบิกบานดวยธรรม;
ภะคะวาติ. เปนผูมีความจําเริญ จําแนกธรรม
สั่งสอนสัตว, ดังนี้.
- 31. ๒. พุทธาภิคีติ
(คําสรรเสริญพระพุทธเจา)
(หันทะ มะยัง พุทธาภิคีติง กะโรมะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความขับคาถา พรรณนาเฉพาะพระพุทธเจาเถิด.)
พุทธ๎วาระหันตะวะระตาทิคุณาภิยุตโต,
พระพุทธเจาประกอบดวยคุณ,
มีความประเสริฐแหงอรหันตคุณ เปนตน;
สุทธาภิญาณะกะรุณาหิ สะมาคะตัตโต,
มีพระองคอันประกอบดวยพระญาณ, และพระกรุณาอันบริสุทธิ์;
โพเธสิ โย สุชะนะตัง กะมะลังวะ สูโร,
พระองคใด ทรงกระทําชนที่ดีใหเบิกบาน,
ดุจอาทิตยทําบัวใหบาน;
วันทามะหัง ตะมะระณัง สิระสา ชิเนนทัง,
ขาพเจาไหวพระชินสีห ผูไมมีกิเลสพระองคนั้น ดวยเศียรเกลา;
พุทโธ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง,
พระพุทธเจาพระองคใด เปนสรณะอันเกษมสูงสุด
ของสัตวทั้งหลาย;
ปะฐะมานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง,
ขาพเจาไหวพระพุทธเจาพระองคนั้น อันเปนที่ตั้งแหงความระลึก
องคที่หนึ่ง ดวยเศียรเกลา;
- 32. พุทธัสสาหัส๎มิ ทาโส (หญิงวา ทาสี) วะ
พุทโธ เม สามิกิสสะโร,
ขาพเจาเปนทาสของพระพุทธเจา,
พระพุทธเจาเปนนาย มีอิสระเหนือขาพเจา;
พุทโธ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม,
พระพุทธเจาเปนเครื่องกําจัดทุกข,
และทรงไวซึ่งประโยชนแกขาพเจา;
พุทธัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง,
ขาพเจามอบกายถวายชีวิตนี้ แดพระพุทธเจา;
วันทันโตหัง (หญิงวา ตีหัง) จะริสสามิ
พุทธัสเสวะ สุโพธิตัง,
ขาพเจาผูไหวอยูจักประพฤติตาม,
ซึ่งความตรัสรูดีของพระพุทธเจา;
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง,
สรณะอื่นของขาพเจาไมมี,
พระพุทธเจาเปนสรณะอันประเสริฐของขาพเจา;
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน,
ดวยการกลาวคําสัตยนี้,
ขาพเจาพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา;
พุทธัง เม วันทะมาเนนะ (หญิงวา มานายะ)
ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ,
ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งพระพุทธเจา, ไดขวนขวายบุญใดในบัดนี้;
- 33. สัพเพป อันตะรายา เม
มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา.
อันตรายทั้งปวงอยาไดมีแกขาพเจา ดวยเดชแหงบุญนั้น.
(กราบหมอบลงวา)
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตตะสา วา,*
ดวยกายก็ดี ดวยวาจาก็ดี ดวยใจก็ดี;
พุทเธ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง,
กรรมนาติเตียนอันใด ที่ขาพเจากระทําแลว ในพระพุทธเจา;
พุทโธ ปะฏิคคัณ๎หะตุ อัจจะยันตัง,
ขอพระพุทธเจา จงงดซึ่งโทษลวงเกินอันนั้น;
กาลันตะเร สังวะริตุง วะ พุทเธ.
เพื่อการสํารวมระวัง ในพระพุทธเจา ในกาลตอไป.
* บทขอใหงดโทษนี้ มิไดเปนการขอลางบาป เปนเพียรการเปดเผยตัวเอง และคําวา
โทษในที่นี้ มิไดหมายถึงกรรม หมายถึงโทษเพียงเล็กนอยซึ่งเปน “สวนตัว”
ระหวางกัน ที่พึงอโหสิกันได การขอขมาชนิดนี้ สําเร็จผลไดในเมื่อผูขอตั้งใจทําจริงๆ
และเปนเพียงศีลธรรม หรือสิ่งที่ควรประพฤติ.
- 34. ๓. ธัมมานุสสติ
(คําระลึกถึงพระธรรม)
(หันทะ มะยัง ธัมมานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความตามระลึกถึงพระธรรมเถิด.)
ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,
พระธรรม เปนสิ่งที่พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสไวดีแลว;
สันทิฏฐิโก,
เปนสิ่งที่ผูศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นไดดวยตนเอง;
อะกาลิโก,
เปนสิ่งที่ปฏิบัติได และใหผลได ไมจํากัดกาล;
เอหิปสสิโก,
เปนสิ่งที่ควรกลาวกะผูอื่นวา ทานจงมาดูเถิด;
โอปะนะยิโก,
เปนสิ่งที่ควรนอมเขามาใสตัว;
ปจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูหีติ.
เปนสิ่งที่ผูรูก็รูไดเฉพาะตน, ดังนี้.
- 35. ๔. ธัมมาภิคีติ
(คําสรรเสริญพระธรรม)
(หันทะ มะยัง ธัมมาภิคีติง กะโรมะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความขับคาถา พรรณนาเฉพาะพระธรรมเถิด.)
ส๎วากขาตะตาทิคุณะโยคะวะเสนะ เสยโย,
พระธรรม เปนสิ่งที่ประเสริฐ เพราะประกอบดวยคุณ,
คือความที่พระผูมีพระภาคเจา ตรัสไวดีแลว เปนตน;
โย มัคคะปากะปะริยัตติวิโมกขะเภโท,
เปนธรรมอันจําแนกเปน มรรค ผล ปริยัติ และนิพพาน;
ธัมโม กุโลกะปะตะนา ตะทะธาริธารี,
เปนธรรมทรงไวซึ่งผูทรงธรรม จากการตกไปสูโลกที่ชั่ว;
วันทามะหัง ตะมะหะรัง วะระธัมมะเมตัง,
ขาพเจาไหวพระธรรมอันประเสริฐนั้น อันเปนเครื่องขจัดเสีย
ซึ่งความมืด;
ธัมโม โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง,
พระธรรมใด เปนสรณะอันเกษมสูงสุด ของสัตวทั้งหลาย;
ทุติยานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง,
ขาพเจาไหวพระธรรมนั้น อันเปนที่ตั้งแหงความระลึก
องคที่สอง ดวยเศียรเกลา;
- 36. ธัมมัสสาหัส๎มิ ทาโส (หญิงวา ทาสี) วะ
ธัมโม เม สามิกิสสะโร,
ขาพเจาเปนทาสของพระธรรม,
พระธรรมเปนนาย มีอิสระเหนือขาพเจา;
ธัมโม ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม,
พระธรรมเปนเครื่องกําจัดทุกข,
และทรงไวซึ่งประโยชนแกขาพเจา;
ธัมมัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตตัญจิทัง,
ขาพเจามอบกายถวายชีวิตนี้ แดพระธรรม;
วันทันโตหัง (หญิงวา ตีหัง) จะริสสามิ
ธัมมัสเสวะ สุธัมมะตัง,
ขาพเจาผูไหวอยูจักประพฤติตาม,
ซึ่งความเปนธรรมดีของพระธรรม;
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง
ธัมโม เม สะระณัง วะรัง,
สรณะอื่นของขาพเจาไมมี,
พระธรรมเปนสรณะอันประเสริฐของขาพเจา;
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน,
ดวยการกลาวคําสัตยนี้,
ขาพเจาพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา;
- 37. ธัมมัง เม วันทะมาเนนะ (หญิงวา มานายะ) ยัง
ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ,
ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งพระธรรม, ไดขวนขวายบุญใดในบัดนี้;
สัพเพป อันตะรายา เม
มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา.
อันตรายทั้งปวง อยาไดมีแกขาพเจา ดวยเดชแหงบุญนั้น.
(กราบหมอบลงวา)
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตตะสา วา,*
ดวยกายก็ดี ดวยวาจาก็ดี ดวยใจก็ดี;
ธัมเม กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง,
กรรมนาติเตียนอันใด ที่ขาพเจากระทําแลว ในพระธรรม;
ธัมโม ปะฏิคคัณ๎หะตุ อัจจะยันตัง,
ขอพระธรรม จงงดซึ่งโทษลวงเกินอันนั้น;
กาลันตะเร สังวะริตุง วะ ธัมเม.
เพื่อการสํารวมระวัง ในพระธรรม ในกาลตอไป.
* บทขอใหงดโทษนี้ มิไดเปนการขอลางบาป เปนเพียรการเปดเผยตัวเอง และคําวา
โทษในที่นี้ มิไดหมายถึงกรรม หมายถึงโทษเพียงเล็กนอยซึ่งเปน “สวนตัว”
ระหวางกัน ที่พึงอโหสิกันได การขอขมาชนิดนี้ สําเร็จผลไดในเมื่อผูขอตั้งใจทําจริงๆ
และเปนเพียงศีลธรรม หรือสิ่งที่ควรประพฤติ.
- 38. ๕. สังฆานุสสติ
(คําระลึกถึงพระสงฆ)
(หันทะ มะยัง สังฆานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความตามระลึกถึงพระสงฆเถิด.)
สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบัติดีแลว;
อุชุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบัติตรงแลว;
ญายะปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด,
ปฏิบัติเพื่อรูธรรม เปนเครื่องออกจากทุกขแลว;
สามีจิปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบัติสมควรแลว;
ยะทิทัง,
ไดแกบุคคลเหลานี้คือ;
จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา,
คูแหงบุรุษ ๔ คู,* นับเรียงตัวบุรุษ ได ๘ บุรุษ;
เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
นั่นแหละ สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา;
- 39. อาหุเนยโย,
เปนสงฆควรแกสักการะที่เขานํามาบูชา;
ปาหุเนยโย,
เปนสงฆควรแกสักการะที่เขาจัดไวตอนรับ;
ทักขิเณยโย,
เปนผูควรรับทักษิณาทาน;
อัญชะลีกะระณีโย,
เปนผูที่บุคคลทั่วไปควรทําอัญชลี;
อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ.
เปนเนื้อนาบุญของโลก, ไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา, ดังนี้.
* ๔ คูคือ โสดาปตติมรรค, โสดาปตติผล, สกทาคามิมรรค, สกทาคามิผล,
อนาคามิมรรค, อนาคามิผล, อรหัตตมรรค, อรหัตตผล.
- 40. ๖. สังฆาภิคีติ
(คําสรรเสริญพระสงฆ)
(หันทะ มะยัง สังฆาภิคีติง กะโรมะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความขับคาถา พรรณนาเฉพาะพระสงฆเถิด.)
สัทธัมมะโช สุปะฏิปตติคุณาทิยุตโต,
พระสงฆที่เกิดโดยพระสัทธรรม,
ประกอบดวยคุณ มีความปฏิบัติดี เปนตน;
โยฏฐัพพิโธ อะริยะปุคคะละสังฆะเสฏโฐ,
เปนหมูแหงพระอริยบุคคลอันประเสริฐ ๘ จําพวก;
สีลาทิธัมมะปะวะราสะยะกายะจิตโต,
มีกายและจิต อันอาศัยธรรมมีศีล เปนตน อันบวร;
วันทามะหัง ตะมะริยานะคะณัง สุสุทธัง,
ขาพเจาไหวหมูแหงพระอริยเจาเหลานั้น อันบริสุทธิ์ดวยดี;
สังโฆ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง,
พระสงฆหมูใด เปนสะระณะอันเกษมสูงสุด ของสัตวทั้งหลาย;
ตะติยานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง,
ขาพเจาไหวพระสงฆหมูนั้น อันเปนที่ตั้งแหงความระลึก
องคที่สาม ดวยเศียรเกลา;
สังฆัสสาหัส๎มิ ทาโส (หญิงวา ทาสี) วะ
สังโฆ เม สามิกิสสะโร,
ขาพเจาเปนทาสของพระสงฆ,
พระสงฆเปนนาย มีอิสระเหนือขาพเจา;
- 41. สังโฆ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม,
พระสงฆเปนเครื่องกําจัดทุกข,
และทรงไวซึ่งประโยชนแกขาพเจา;
สังฆัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง,
ขาพเจามอบกายถวายชีวิตนี้ แดพระสงฆ;
วันทันโตหัง (หญิงวา ตีหัง) จะริสสามิ
สังฆัสโสปะฏิปนนะตัง,
ขาพเจาผูไหวอยูจักประพฤติตาม, ซึ่งความปฏิบัติดีของพระสงฆ;
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง
สังโฆ เม สะระณัง วะรัง,
สรณะอื่นของขาพเจาไมมี,
พระสงฆเปนสรณะอันประเสริฐของขาพเจา;
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน,
ดวยการกลาวคําสัตยนี้,
ขาพเจาพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา;
สังฆัง เม วันทะมาเนนะ (หญิงวา มานายะ)
ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ,
ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งพระสงฆ, ไดขวนขวายบุญใดในบัดนี้;
สัพเพป อันตะรายา เม
มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา.
อันตรายทั้งปวง อยาไดมีแกขาพเจา ดวยเดชแหงบุญนั้น.
- 42. (กราบหมอบลงวา)
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตตะสา วา,*
ดวยกายก็ดี ดวยวาจาก็ดี ดวยใจก็ดี;
สังเฆ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง,
กรรมนาติเตียนอันใด ที่ขาพเจากระทําแลว ในพระสงฆ;
สังโฆ ปะฏิคคัณ๎หะตุ อัจจะยันตัง,
ขอพระสงฆ จงงดซึ่งโทษลวงเกินอันนั้น;
กาลันตะเร สังวะริตุง วะ สังเฆ.
เพื่อการสํารวมระวัง ในพระสงฆ ในกาลตอไป.
* บทขอใหงดโทษนี้ มิไดเปนการขอลางบาป เปนเพียรการเปดเผยตัวเอง และคําวา
โทษในที่นี้ มิไดหมายถึงกรรม หมายถึงโทษเพียงเล็กนอยซึ่งเปน “สวนตัว”
ระหวางกัน ที่พึงอโหสิกันได การขอขมาชนิดนี้ สําเร็จผลไดในเมื่อผูขอตั้งใจทําจริงๆ
และเปนเพียงศีลธรรม หรือสิ่งที่ควรประพฤติ.
(จบคําทําวัตรเย็น)
- 48. ๑. สรณคมนปาฐะ
(คําระลึกถึงพระรัตนตรัย)
(หันทะ มะยัง ติสะระณะคะมะปาฐัง ภะณามะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาเพื่อระลึกถึงพระรัตนตรัยเถิด.)
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ,
ขาพเจาถือเอาพระพุทธเจาเปนสรณะ;
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ,
ขาพเจาถือเอาพระธรรมเปนสรณะ;
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ.
ขาพเจาถือเอาพระสงฆเปนสรณะ.
ทุติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ,
แมครั้งที่สอง ขาพเจาถือเอาพระพุทธเจาเปนสรณะ;
ทุติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ,
แมครั้งที่สอง ขาพเจาถือเอาพระธรรมเปนสรณะ;
ทุติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ.
แมครั้งที่สอง ขาพเจาถือเอาพระสงฆเปนสรณะ.
ตะติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ,
แมครั้งที่สาม ขาพเจาถือเอาพระพุทธเจาเปนสรณะ;
ตะติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ,
แมครั้งที่สาม ขาพเจาถือเอาพระธรรมเปนสรณะ;
ตะติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ.
แมครั้งที่สาม ขาพเจาถือเอาพระสงฆเปนสรณะ.
- 49. ๒. อัฏฐสิกขาปทปาฐะ
(คําแสดงศีล ๘)
(หันทะ มะยัง อัฏฐะสิกขาปะทะปาฐัง ภะณามะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคําแสดงศีล ๘ เถิด.)
ปาณาติปาตา เวระมะณี,
เจตนาเปนเครื่องเวนจากการฆา;
อะทินนาทานา เวระมะณี,
เจตนาเปนเครื่องเวนจากการถือเอาสิ่งของ
ที่เจาของไมไดใหแลว;
อะพ๎รัห๎มะจะริยา เวระมะณี,
เจตนาเปนเครื่องเวนจากการกระทําอันมิใชพรหมจรรย;
มุสาวาทา เวระมะณี,
เจตนาเปนเครื่องเวนจากการพูดไมจริง;
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี,
เจตนาเปนเครื่องเวนจากการดื่มสุรา และเมรัย,
อันเปนที่ตั้งของความประมาท;
วิกาละโภชะนา เวระมะณี,
เจตนาเปนเครื่องเวนจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล;
- 50. นัจจะ คีตะ วาทิตะ วิสูกะ ทัสสะนะ มาลาคันธะ วิเลปะนะ
ธาระณะ มัณทะนะ วิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี,
เจตนาเปนเครื่องเวนจากการฟอนรํา,
การขับเพลง การดนตรี,
การดูการเลนชนิดเปนขาศึกตอกุศล,
การทัดทรงสวมใส การประดับ การตกแตงตน,
ดวยพวงมาลา ดวยเครื่องกลิ่น และเครื่องผัดทา;
อุจจาสะยะนะ มะหาสะยะนา เวระมะณี.
เจตนาเปนเครื่องเวนจากการนั่งนอนบนที่นอนสูง
และที่นอนใหญ.
- 51. ๓. ท๎วัตติงสาการปาฐะ
(คําแสดงอาการ ๓๒ ในรางกาย)
(หันทะ มะยัง ท๎วัตติงสาการะปาฐัง ภะณามะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคําแสดงอาการ ๓๒ ในรางกายเถิด.)
อัตถิ อิมัส๎มิง กาเย, ในรางกายนี้มี:–
เกสา, ผมทั้งหลาย; โลมา, ขนทั้งหลาย;
นะขา, เล็บทั้งหลาย; ทันตา, ฟนทั้งหลาย;
ตะโจ, หนัง; มังสัง, เนื้อ;
นะหารู, เอ็นทั้งหลาย; อัฏฐี, กระดูกทั้งหลาย;
อัฏฐิมิญชัง, เยื่อในกระดูก; วักกัง, ไต;
หะทะยัง, หัวใจ; ยะกะนัง, ตับ;
กิโลมะกัง, พังผืด; ปหะกัง, มาม;
ปปผาสัง, ปอด; อันตัง, ลําไส;
อันตะคุณัง, ลําไสสุด; อุทะริยัง, อาหารในกระเพาะ;
กะรีสัง, อุจจาระ; ปตตัง, น้ําดี;
เสมหัง, เสลด; ปุพโพ, หนอง;
โลหิตัง, โลหิต; เสโท, เหงื่อ;
เมโท, มัน; อัสสุ, น้ําตา;
วะสา, น้ําเหลือง; เขโฬ, น้ําลาย;
สิงฆาณิกา, น้ําเมือก; ละสิกา, น้ําลื่นหลอขอ;
มุตตัง, น้ํามูตร;
มัตถะเก มัตถะลุงคัง, เยื่อมันสมอง ในกระโหลกศีรษะ;
อิติ. ดังนี้แล.
- 52. ๔. เขมาเขมสรณทีปกคาถา
(คาถาแสดงสรณะอันเกษมและไมเกษม)
(หันทะ มะยัง เขมาเขมะสะระณะทีปกะคาถาโย ภะณามะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาแสดงสรณะอันเกษมและไมเกษมเถิด.)
พะหุง เว สะระณัง ยันติ ปพพะตานิ วะนานิ จะ,
อารามะรุกขะเจต๎ยานิ มะนุสสา ภะยะตัชชิตา,
มนุษยเปนอันมาก เมื่อเกิดมีภัยคุกคามแลว,
ก็ถือเอาภูเขาบาง ปาไมบาง,
อารามและรุกขเจดียบาง เปนสรณะ;
เนตัง โข สะระณัง เขมัง เนตัง สะระณะมุตตะมัง,
เนตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ,
นั่น มิใชสรณะอันเกษมเลย, นั่น มิใชสรณะอันสูงสุด,
เขาอาศัยสรณะนั่นแลว ยอมไมพนจากทุกขทั้งปวงได;
โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะโต,
จัตตาริ อะริยะสัจจานิ สัมมัปปญญายะ ปสสะติ,
สวนผูใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ เปนสรณะแลว,
เห็นอริยสัจจ คือความจริงอันประเสริฐ ๔ ดวยปญญาอันชอบ;
ทุกขัง ทุกขะสะมุปปาทัง ทุกขัสสะ จะ อะติกกะมัง,
อะริยัญจัฏฐังคิกัง มัคคัง ทุกขูปะสะมะคามินัง,
คือเห็นความทุกข, เหตุใหเกิดทุกข, ความกาวลวงทุกขเสียได,
และหนทางมีองค ๘ อันประเสริฐ เครื่องถึงความระงับทุกข;
- 53. เอตัง โข สะระณัง เขมัง เอตัง สะระณะมุตตะมัง,
เอตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ.
นั่นแหละ เปนสรณะอันเกษม, นั่น เปนสรณะอันสูงสุด,
เขาอาศัยสรณะนั่นแลว ยอมพนจากทุกขทั้งปวงได.
๕. อริยธนคาถา
(คาถาสรรเสริญพระอริยเจา)
(หันทะ มะยัง อะริยะธะนะคาถาโย ภะณามะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาสรรเสริญพระอริยเจาเถิด.)
ยัสสะ สัทธา ตะถาคะเต อะจะลา สุปะติฏฐิตา,
ศรัทธา ในพระตถาคตของผูใด ตั้งมั่นอยางดี ไมหวั่นไหว;
สีลัญจะ ยัสสะ กัล๎ยาณัง อะริยะกันตัง ปะสังสิตัง,
และศีลของผูใดงดงาม เปนที่สรรเสริญที่พอใจ ของพระอริยเจา;
สังเฆ ปะสาโท ยัสสัตถิ อุชุภูตัญจะ ทัสสะนัง,
ความเลื่อมใสของผูใดมีในพระสงฆ, และความเห็นของผูใดตรง;
อะทะฬิทโทติ ตัง อาหุ อะโมฆันตัสสะ ชีวิตัง,
บัณฑิตกลาวเรียกเขาผูนั้นวา คนไมจน, ชีวิตของเขาไมเปนหมัน;
ตัส๎มา สัทธัญจะ สีลัญจะ ปะสาทัง ธัมมะทัสสะนัง,
อะนุยุญเชถะ เมธาวี สะรัง พุทธานะสาสะนัง.
เพราะฉะนั้น เมื่อระลึกได ถึงคําสั่งสอนของพระพุทธเจาอยู,
ผูมีปญญาควรกอสรางศรัทธา ศีล ความเลื่อมใส
และความเห็นธรรมใหเนืองๆ.
- 54. ๖. ติลักขณาทิคาถา
(คาถาแสดงพระไตรลักษณ)
(หันทะ มะยัง ติลักขะณาทิคาถาโย ภะณามะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาแสดงพระไตรลักษณเปนเบื้องตนเถิด.)
สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ ยะทา ปญญายะ ปสสะติ,
เมื่อใด บุคคลเห็นดวยปญญาวา สังขารทั้งปวงไมเที่ยง;
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา,
เมื่อนั้น ยอมเหนื่อยหนายในสิ่งที่เปนทุกข ที่ตนหลง,
นั่นแหละ เปนทางแหงพระนิพพาน อันเปนธรรมหมดจด;
สัพเพ สังขารา ทุกขาติ ยะทา ปญญายะ ปสสะติ,
เมื่อใด บุคคลเห็นดวยปญญาวา สังขารทั้งปวงเปนทุกข;
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา,
เมื่อนั้น ยอมเหนื่อยหนายในสิ่งที่เปนทุกข ที่ตนหลง,
นั้นแหละ เปนทางแหงพระนิพพาน อันเปนธรรมหมดจด;
สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปญญายะ ปสสะติ,
เมื่อใด บุคคลเห็นดวยปญญาวา ธรรมทั้งปวงเปนอนัตตา;
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา,
เมื่อนั้น ยอมเหนื่อยหนายในสิ่งที่เปนทุกข ที่ตนหลง,
นั่นแหละ เปนทางแหงพระนิพพาน อันเปนธรรมหมดจด;
อัปปะกา เต มะนุสเสสุ เย ชะนา ปาระคามิโน,
ในหมูมนุษยทั้งหลาย, ผูที่ถึงฝงแหงพระนิพพานมีนอยนัก;
- 55. อะถายัง อิตะรา ปะชา ตีระเมวานุธาวะติ,
หมูมนุษยนอกนั้น ยอมวิ่งเลาะอยูตามฝงในนี้เอง;
เย จะ โข สัมมะทักขาเต ธัมเม ธัมมานุวัตติโน,
ก็ชนเหลาใด ประพฤติสมควรแกธรรม ในธรรมที่ตรัสไวชอบแลว;
เต ชะนา ปาระเมสสันติ มัจจุเธยยัง สุทุตตะรัง,
ชนเหลานั้น จักถึงฝงแหงพระนิพพาน,
ขามพนบวงแหงมัจจุ ที่ขามไดยากนัก;
กัณ๎หัง ธัมมัง วิปปะหายะ สุกกัง ภาเวถะปณฑิโต,
จงเปนบัณฑิตละธรรมดําเสีย แลวเจริญธรรมขาว;
โอกา อะโนกะมาคัมมะ วิเวเก ยัตถะ ทูระมัง,
ตัต๎ราภิระติมิจเฉยยะ หิต๎วา กาเม อะกิญจะโน.
จงมาถึงที่ไมมีน้ํา จากที่มีน้ํา,
จงละกามเสีย, เปนผูไมมีความกังวล,
จงยินดีเฉพาะตอพระนิพพาน อันเปนที่สงัด
ซึ่งสัตวยินดีไดโดยยาก.
- 56. ๗. ภารสุตตคาถา
(คาถาแสดงภารสูตร)
(หันทะ มะยัง ภาระสุตตะคาถาโย ภะณามะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาแสดงภารสูตรเถิด.)
ภารา หะเว ปญจักขันธา,
ขันธทั้ง ๕ เปนของหนักเนอ;
ภาระหาโร จะ ปุคคะโล,
บุคคลแหละ เปนผูแบกของหนักพาไป;
ภาราทานัง ทุกขัง โลเก,
การแบกถือของหนัก เปนความทุกข ในโลก;
ภาระนิกเขปะนัง สุขัง,
การสลัดของหนัก ทิ้งลงเสีย เปนความสุข;
นิกขิปต๎วา คะรุง ภารัง,
พระอริยเจา สลัดทิ้งของหนัก ลงเสียแลว;
อัญญัง ภารัง อะนาทิยะ,
ทั้งไมหยิบฉวยเอาของหนักอันอื่น ขึ้นมาอีก;
สะมูลัง ตัณ๎หัง อัพพุย๎หะ,
ก็เปนผูถอนตัณหาขึ้นได กระทั่งราก;
นิจฉาโต ปะรินิพพุโต.
เปนผูหมดสิ่งปรารถนา ดับสนิทไมมีสวนเหลือ.
- 57. ๘. ภัทเทกรัตตคาถา
(คาถาแสดงผูมีราตรีเดียวเจริญ)
(หันทะ มะยัง ภัทเทกะรัตตะคาถาโย ภะณามะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาแสดงผูมีราตรีเดียวเจริญเถิด.)
อะตีตัง นาน๎วาคะเมยยะ นัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง,
บุคคลไมควรตามคิดถึงสิ่งที่ลวงไปแลว ดวยอาลัย,
และไมพึงพะวงถึงสิ่งที่ยังไมมาถึง;
ยะทะตีตัมปะหีนันตัง อัปปตตัญจะ อะนาคะตัง,
สิ่งเปนอดีตก็ละไปแลว, สิ่งเปนอนาคตก็ยังไมมา;
ปจจุปปนนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปสสะติ,
อะสังหิรัง อะสังกุปปง ตัง วิทธา มะนุพ๎รูหะเย,
ผูใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหนาในที่นั่นๆ อยางแจมแจง,
ไมงอนแงนคลอนแคลน, เขาควรพอกพูนอาการเชนนั้นไว;
อัชเชวะ กิจจะมาตัปปง โก ชัญญา มะระณัง สุเว,
ความเพียรเปนกิจที่ตองทําวันนี้, ใครจะรูความตาย แมพรุงนี้;
นะ หิ โน สังคะรันเตนะ มะหาเสเนนะ มัจจุนา,
เพราะการผัดเพี้ยนตอมัจจุราชซึ่งมีเสนามาก ยอมไมมีสําหรับเรา;
เอวังวิหาริมาตาปง อะโหรัตตะมะตันทิตัง,
ตัง เว ภัทเทกะรัตโตติ สันโต อาจิกขะเต มุนิ.
มุนีผูสงบ ยอมกลาวเรียก ผูมีความเพียรอยูเชนนั้น,
ไมเกียจครานทั้งกลางวันกลางคืนวา,
“ผูเปนอยูแมเพียงราตรีเดียว ก็นาชม”.
- 58. ๙. ธัมมคารวาทิคาถา
(คาถาแสดงความเคารพพระธรรม)
(หันทะ มะยัง ธัมมะคาระวาทิคาถาโย ภะณามะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาแสดงความเคารพพระธรรมเถิด.)
เย จะ อะตีตา สัมพุทธา เย จะ พุทธา อะนาคะตา,
โย เจตะระหิ สัมพุทโธ พะหุนนัง โสกะนาสะโน,
พระพุทธเจาบรรดาที่ลวงไปแลวดวย, ที่ยังไมมาตรัสรูดวย,
และพระพุทธเจาผูขจัดโศกของมหาชนในกาลบัดนี้ดวย;
สัพเพ สัทธัมมะคะรุโน วิหะริงสุ วิหาติ จะ,
อะถาป วิหะริสสันติ เอสา พุทธานะธัมมะตา,
พระพุทธเจาทั้งปวงนั้น ทุกพระองค เคารพพระธรรม,
ไดเปนมาแลวดวย, กําลังเปนอยูดวย, และจักเปนดวย,
เพราะธรรมดาของพระพุทธเจาทั้งหลาย เปนเชนนั้นเอง;
ตัส๎มา หิ อัตตะกาเมนะ มะหัตตะมะภิกังขะตา,
สัทธัมโม คะรุกาตัพโพ สะรัง พุทธานะสาสะนัง,
เพราะฉะนั้น บุคคลผูรักตน หวังอยูเฉพาะคุณเบื้องสูง,
เมื่อระลึกไดถึงคําสั่งสอนของพระพุทธเจาอยู,
จงทําความเคารพพระธรรม;
นะ หิ ธัมโม อะธัมโม จะ อุโภ สะมะวิปากิโน,
ธรรมและอธรรม จะมีผลเหมือนกันทั้งสองอยาง หามิได;
อะธัมโม นิระยัง เนติ ธัมโม ปาเปติ สุคะติง,
อธรรม ยอมนําไปนรก, ธรรม ยอมนําใหถึงสุคติ;
- 59. ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง,
ธรรมแหละ ยอมรักษาผูประพฤติธรรมเปนนิจ;
ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหาติ,
ธรรมที่ประพฤติดีแลว ยอมนําสุขมาใหตน;
เอสานิสังโส ธัมเม สุจิณเณ.
นี่เปนอานิสงส ในธรรมที่ตนประพฤติดีแลว.
- 60. ๑๐. โอวาทปาฏิโมกขคาถา
(คาถาแสดงพระโอวาทปาติโมกข)
(หันทะ มะยัง โอวาทะปาติโมกขะคาถาโย ภะณามะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาแสดงพระโอวาทปาติโมกขเถิด.)
สัพพะปาปสสะ อะกะระณัง, การไมทําบาปทั้งปวง;
กุสะลัสสูปะสัมปะทา, การทํากุศลใหถึงพรอม;
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง, การชําระจิตของตนใหขาวรอบ;
เอตัง พุทธานะสาสะนัง.
ธรรม ๓ อยางนี้ เปนคําสั่งสอนของพระพุทธเจาทั้งหลาย.
ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา,
ขันติ คือความอดกลั้น เปนธรรมเครื่องเผากิเลสอยางยิ่ง;
นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา,
ผูรูทั้งหลาย กลาวพระนิพพานวาเปนธรรมอันยิ่ง;
นะ หิ ปพพะชิโต ปะรูปะฆาตี,
ผูกําจัดสัตวอื่นอยู ไมชื่อวาเปนบรรพชิตเลย;
สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต.
ผูทําสัตวอื่นใหลําบากอยู ไมชื่อวาเปนสมณะเลย.
- 61. อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต, การไมพูดราย, การไมทําราย;
ปาติโมกเข จะ สังวะโร, การสํารวมในปาติโมกข;
มัตตัญุตา จะ ภัตตัส๎มิง, ความเปนผูรูประมาณในการบริโภค;
ปนตัญจะ สะยะนาสะนัง, การนอน การนั่ง ในที่อันสงัด;
อะธิจิตเต จะ อาโยโค, ความหมั่นประกอบในการทําจิต
ใหยิ่ง;
เอตัง พุทธานะสาสะนัง.
ธรรม ๖ อยางนี้ เปนคําสั่งสอนของพระพุทธเจาทั้งหลาย.
- 62. ๑๑. ปฐมพุทธภาสิตคาถา
(คาถาพุทธภาษิตครั้งแรกของพระพุทธเจา)
(หันทะ มะยัง ปะฐะมะพุทธะภาสิตะคาถาโย ภะณามะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาพุทธภาษิตครั้งแรกของพระพุทธเจาเถิด.)
อะเนกะชาติสังสารัง สันธาวิสสัง อะนิพพิสัง,
เมื่อเรายังไมพบญาณ, ไดแลนทองเที่ยวไปในสงสารเปนอเนกชาติ;
คะหะการัง คะเวสันโต ทุกขา ชาติ ปุนัปปุนัง,
แสวงหาอยูซึ่งนายชางปลูกเรือน, คือตัณหาผูสรางภพ,
การเกิดทุกคราว เปนทุกขร่ําไป;
คะหะการะกะ ทิฏโฐสิ ปุนะ เคหัง นะ กาหะสิ,
นี่แนะ นายชางปลูกเรือน, เรารูจักเจาเสียแลว,
เจาจะทําเรือนใหเราไมไดอีกตอไป;
สัพพา เต ผาสุกา ภัคคา คะหะกูฏัง วิสังขะตัง,
โครงเรือนทั้งหมดของเจาเราหักเสียแลว, ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแลว;
วิสังขาระคะตัง จิตตัง ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคา.
จิตของเราถึงแลวซึ่งสภาพที่อะไรปรุงแตงไมไดอีกตอไป,
มันไดถึงแลวซึ่งความสิ้นไปแหงตัณหา, คือถึงนิพพาน.
- 63. ๑๒. ธาตุปจจเวกขณปาฐะ
(คําพิจารณาปจจัย ๔ ใหเห็นเปนของไมงาม)
(หันทะ มะยัง ธาตุปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคําพิจารณาปจจัย ๔ ใหเห็นเปนของไมงามเถิด.)
(พิจารณาจีวร)
ยะถาปจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง,
สิ่งเหลานี้ นี่เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติเทานั้น,
กําลังเปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ;
ยะทิทัง จีวะรัง, ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล,
สิ่งเหลานี้ คือ จีวร, และคนผูใชสอยจีวรนั้น;
ธาตุมัตตะโก, เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ;
นิสสัตโต, มิไดเปนสัตวะอันยั่งยืน;
นิชชีโว, มิไดเปนชีวะอันเปนบุรุษบุคคล;
สุญโญ, วางเปลาจากความหมายแหงความเปนตัวตน;
สัพพานิ ปะนะ อิมานิ จีวะรานิ อะชิคุจฉะนียานิ,
ก็จีวรทั้งหมดนี้, ไมเปนของนาเกลียดมาแตเดิม;
อิมัง ปูติกายัง ปต๎วา,
ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเปนนิจนี้แลว;
อะติวิยะ ชิคุจฉะนียานิ ชายันติ.
ยอมกลายเปนของนาเกลียดอยางยิ่งไปดวยกัน.
- 64. (พิจารณาอาหาร)
ยะถาปจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง,
สิ่งเหลานี้ นี่เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติเทานั้น,
กําลังเปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ;
ยะทิทัง ปณฑะปาโต, ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล,
สิ่งเหลานี้ คือ บิณฑบาต, และคนผูบริโภคบิณฑบาตนั้น;
ธาตุมัตตะโก, เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ;
นิสสัตโต, มิไดเปนสัตวะอันยั่งยืน;
นิชชีโว, มิไดเปนชีวะอันเปนบุรุษบุคคล;
สุญโญ, วางเปลาจากความหมายแหงความเปนตัวตน;
สัพโพ ปะนายัง ปณฑะปาโต อะชิคุจฉะนีโย,
ก็บิณฑบาตทั้งหมดนี้, ไมเปนของนาเกลียดมาแตเดิม;
อิมัง ปูติกายัง ปต๎วา,
ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเปนนิจนี้แลว;
อะติวิยะ ชิคุจฉะนีโย ชายะติ.
ยอมกลายเปนของนาเกลียดอยางยิ่งไปดวยกัน.
- 65. (พิจารณาที่อยูอาศัย)
ยะถาปจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง,
สิ่งเหลานี้ นี่เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติเทานั้น,
กําลังเปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ;
ยะทิทัง เสนาสะนัง, ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล,
สิ่งเหลานี้ คือ เสนาสนะ, และคนผูใชสอยเสนาสนะนั้น;
ธาตุมัตตะโก, เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ;
นิสสัตโต, มิไดเปนสัตวะอันยั่งยืน;
นิชชีโว, มิไดเปนชีวะอันเปนบุรุษบุคคล;
สุญโญ, วางเปลาจากความหมายแหงความเปนตัวตน;
สัพพานิ ปะนะ อิมานิ เสนาสะนานิ อะชิคุจฉะนียานิ,
ก็เสนาสนะทั้งหมดนี้, ไมเปนของนาเกลียดมาแตเดิม;
อิมัง ปูติกายัง ปต๎วา,
ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเปนนิจนี้แลว;
อะติวิยะ ชิคุจฉะนียานิ ชายันติ.
ยอมกลายเปนของนาเกลียดอยางยิ่งไปดวยกัน.
- 66. (พิจารณายารักษาโรค)
ยะถาปจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง,
สิ่งเหลานี้ นี่เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติเทานั้น,
กําลังเปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ;
ยะทิทัง คิลานะปจจะยะเภสัชชะปะริกขาโร,
ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล,
สิ่งเหลานี้ คือ เภสัชบริขารอันเกื้อกูลแกคนไข,
และคนผูบริโภคเภสัชบริขารนั้น;
ธาตุมัตตะโก, เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ;
นิสสัตโต, มิไดเปนสัตวะอันยั่งยืน;
นิชชีโว, มิไดเปนชีวะอันเปนบุรุษบุคคล;
สุญโญ, วางเปลาจากความหมายแหงความเปนตัวตน;
สัพโพ ปะนายัง คิลานะปจจะยะเภสัชชะปะริกขาโร อะชิคุจฉะนีโย,
ก็คิลานเภสัชบริขารทั้งหมดนี้, ไมเปนของนาเกลียดมาแตเดิม;
อิมัง ปูติกายัง ปต๎วา,
ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเปนนิจนี้แลว;
อะติวิยะ ชิคุจฉะนีโย ชายะติ.
ยอมกลายเปนของนาเกลียดอยางยิ่งไปดวยกัน.
- 67. ๑๓. ปจฉิมพุทโธวาทปาฐะ
(คําแสดงพระโอวาทครั้งสุดทายของพระพุทธเจา)
(หันทะ มะยัง ปจฉิมะพุทโธวาทะปาฐัง ภะณามะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคําแสดงพระโอวาทครั้งสุดทายของพระพุทธเจาเถิด.)
หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว,
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, บัดนี้, เราขอเตือนทานทั้งหลายวา;
วะยะธัมมา สังขารา,
สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเปนธรรมดา;
อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ,
ทานทั้งหลาย, จงทําความไมประมาทใหถึงพรอมเถิด;
อะยัง ตะถาคะตัสสะ ปจฉิมา วาจา.
นี้เปนพระวาจามีในครั้งสุดทาย ของพระตถาคตเจา.
- 68. ๑๔. บทพิจารณาสังขาร
(คาถาพิจารณาธรรมสังเวช)
(หันทะ มะยัง ธัมมะสังเวคะปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.)
(เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาพิจารณาธรรมสังเวชเถิด.)
สัพเพ สังขารา อะนิจจา,
สังขาร คือรางกาย จิตใจ,
แลรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น,
มันไมเที่ยง, เกิดขึ้นแลวดับไป, มีแลวหายไป;
สัพเพ สังขารา ทุกขา,
สังขาร คือรางกาย จิตใจ,
แลรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น,
มันเปนทุกข ทนยาก, เพราะเกิดขึ้นแลว แก เจ็บ ตายไป;
สัพเพ ธัมมา อะนัตตา,
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง,
ทั้งที่เปนสังขาร แลมิใชสังขาร ทั้งหมดทั้งสิ้น,
ไมใชตัวไมใชตน,
ไมควรถือวาเรา วาของเรา วาตัว วาตนของเรา;
อะธุวัง ชีวิตัง, ชีวิตเปนของไมยั่งยืน;
ธุวัง มะระณัง, ความตายเปนของยั่งยืน;
อะวัสสัง มะยา มะริตัพพัง, อันเราจะพึงตายเปนแท;
มะระณะปะริโยสานัง เม ชีวิตัง, ชีวิตของเรามีความตาย
เปนที่สุดรอบ;
- 69. ชีวิตัง เม อะนิยะตัง, ชีวิตของเราเปนของไมเที่ยง;
มะระณัง เม นิยะตัง, ความตายของเราเปนของเที่ยง;
วะตะ, ควรที่จะสังเวช;
อะยัง กาโย, รางกายนี้;
อะจิรัง, มิไดตั้งอยูนาน;
อะเปตะวิญญาโณ, ครั้นปราศจากวิญญาณ;
ฉุฑโฑ, อันเขาทิ้งเสียแลว;
อะธิเสสสะติ, จักนอนทับ;
ปะฐะวิง, ซึ่งแผนดิน;
กะลิงคะรัง อิวะ, ประดุจดังวาทอนไมและทอนฟน;
นิรัตถัง. หาประโยชนมิได.