More Related Content
Similar to บทที่ 3 lkilogm l (20)
บทที่ 3 lkilogm l
- 3. ระบบย่อยของ
สารสนเทศเพื่อการจัดการ
1. ระบบย่อยของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
เราสามารถกล่าวได้ว่าหน้าที่หลักของ MIS คือ การเก็บรวบรวมข้อมูล
จากทั้งภายใน และภายนอกองค์การมาไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อทาการ
ประมวลผลและจัดรูปแบบข้อมูลให้ได้สารสนเทศที่เหมาะสม และจัดพิมพ์
เป็นรายงานส่งต่อให้ผู้ใช้ เพื่อช่วยให้การตัดสินใจและบริหารงานของเขาให้มี
ประสิทธิภาพ ถ้าพิจารณาในรายละเอียดหรือตามสภาพความเป็นจริงของ
องค์การ การที่ธุรกิจจะได้มาซึ่งสารสนเทศสาหรับผู้บริหาร จะต้องมีขั้นตอน
การปฏิบัติของแต่ละส่วนย่อย ๆ ในระบบแตกกระจายออกไป เพื่อรับผิดชอบ
การทางานเฉพาะในแต่ละหน้าที่ เพื่อให้ได้สารสนเทศที่เหมาะสมสาหรับผู้ใช้
ซึ่งเราสามารถกล่าวว่า กลุ่มของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (MIS
Subsystems) โดยที่เราสามารถแบ่งระบบย่อยของระบบสารสนเทศเพื่อ
การจัดการออกตามหน้าที่งานในองค์การได้เป็น 4 ระบบ ต่อไปนี้
- 4. ระบบย่อยของ
สารสนเทศเพื่อการจัดการ
1.1 ระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ (Transaction Processing System)
หรือที่เรียกว่า TPS หมายถึง ระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นเพื่อให้
ทางานเกี่ยวข้องกับการดาเนินงานภายในองค์การ โดยใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์
โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์เข้ามาเป็นอุปกรณ์หลักของระบบ โดยที่ TPS จะช่วย
สนับสนุนให้การดาเนินงานในแต่ละวันขององค์การให้เป็นไปอย่างเรียบร้อยและเป็น
ระบบ โดยเฉพาะปัจจุบันที่การดาเนินงานในแต่ละวันมักจะเกี่ยวข้องกับข้อมูลเป็น
จานวนมาก เพื่อให้การดาเนินธุรกิจเป็นไปอย่างสะดวก รอดเร็ว และสามารถ
ปฏิบัติงานได้โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้TPS ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียกสารสนเทศ
มาอ้างอิงอย่างสะดวกและถูกต้องในอนาคต
- 5. ระบบย่อยของ
สารสนเทศเพื่อการจัดการ
1.2 ระบบจัดทารายงานสาหรับการจัดการ (Management Reporting
System) หรือที่เรียกว่า MRS หมายถึง ระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและ
พัฒนาขึ้น เพื่อรวบรวม ประมวลผล จัดระบบและจัดทารายงาน หรือเอกสารสาหรับ
ช่วยในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร โดยที่ MRS จะจัดทารายงานหรือ
เอกสาร และส่งต่อไปยังฝ่ายจัดการตามระยะที่กาหนด หรือตามความต้องการของ
ผู้บริหาร เนื่องจากรายงานที่ถูกจัดทาอย่างเป็นระบบจะช่วยให้การบริหารงานมี
ประสิทธิภาพ โดยทั่วไปแล้วการทางานของระบบจัดออกรายงานสาหนับการจัดการจะ
ถูกใช้สาหรับการวางแผน การตรวจสอบ และการควบคุมการจัดการ
- 6. ระบบย่อยของ
สารสนเทศเพื่อการจัดการ
1.3 ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Supporting
System) หรือที่เรียกว่า DSS หมายถึง ระบบสารสนเทศที่จัดหารหรือ
จัดเตรียมข้อมูลสาคัญสาหรับผู้บริหาร เพื่อจะช่วยในการตัดสินใจแก้ปัญหา
หรือเลือกโอกาสที่เกิดขึ้น ปกติปัญหาของผู้บริหารจะมีลักษณะที่เป็นกึ่ง
โครงสร้าง (Semi-structure) และไม่มีโครงสร้าง (Nonstructure)
ซึ่งยากต่อการวางแนวทางรองรับ หรือแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ประการสาคัญ DSS จะไม่ทาการตัดสินใจให้กับผู้บริหาร แต่จะจัดหาและ
ประมวลสารสนเทศ หรือสิ่งต่าง ๆ ที่จาเป็นในการตัดสินใจกับผู้บริหาร
ปัจจุบัน DSS ได้รับการพัฒนาและนาไปใช้ในองค์การ เนื่องจากเป็นเรื่องที่
ได้รับความสนใจจากบุคคลจากหล่ายฝ่ายและเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้บริหาร
ซึ่งเราจะนาเสนอรายละเอียดในบทต่อไป
- 7. ระบบย่อยของ
สารสนเทศเพื่อการจัดการ
1.4 ระบบสารสนเทศสานักงาน (Office Information System)
หรือที่เรียกว่า OIS หมายถึง ระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้น
เพื่อช่วยให้การทางานในสานักงานมีประสิทธิภาพโดย OIS จะประกอบขึ้น
จากเทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีเครื่องใช้สานักงานที่ถูกออกแบบให้
ปฏิบัติงานร่วมกัน เพื่อให้การปฏิบัติงานในสานักงานเกิดผลสูงสุด หรือเรา
สามารถกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ระบบสารสนเทศสานักงานมีวัตถุประสงค์
เพื่อที่จะอานวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารระหว่างพนักงานภายใน
องค์การเดียวกัน และระหว่างองค์การ รวมทั้งการติดต่อกับสิ่งแวดล้อม
ภายนอกองค์การ
- 10. ระบบปฏิบัติงานทางธุรกิจ
1. การทาบัญชี (Bookeeping) ทาหน้าที่ในการเก็บบันทึการปฏิบัติงานหรือ
เหตุการณ์ทางการบัญชีที่เกิดขึ้นในแต่ละวันขององค์การ โดยการปฏิบัติงานที่เกิดขึ้น
มักจะเกี่ยวข้องกับบุคคล 2 กลุ่ม คือ ลูกค้า (Customer) และผู้ขายวัตถุดิบ
(Supplier) โดยที่องค์การต้องมีการลงบันทึกรายการขายสินค้าในแต่ละวันและ
บันทึกรายการซื้อสินค้ามาเข้าร้าน เป็นต้น
2. การออกเอกสาร (Document Issuance) ทาหน้าที่เกี่ยวกับการออก
เอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในแต่ละวันขององค์การ เช่น การออกใบ
รับส่งสินค้า (Invoice) การออกเช็ค ใบเสร็จรับเงิน หรือใบสั่งสินค้าต่าง ๆ เป็นต้น
3. การทารายงานควบคุม (Control Riporting) ทาหน้าที่เกี่ยวกับการ
ออกเอกสารต่าง ๆ ที่มีผลมาจากการดาเนินงานขององค์การ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
ตรวจสอบและควบคุมการดาเนินงานขององค์การ เช่น การออกเช็คเงินเดือนพนักงาน
แต่ละคน ซึ่งก็จะสามารถทาการตรวจสอบความถูกต้องของจานวนเงินทีจ่ายออกไป
หรือการรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เป็นต้น
- 13. ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อ
การดาเนินงานทางธุรกิจ
1. ความผิดพลาดที่เกิดจากความสะเพร่า โดยทั่วไปการดาเนินงานโดยใช้แรงงานมนุษย์อาจเกิด
การผิดพลาดได้ง่าย ๆ เช่น การดูตัวเลขผิด การจดบันทึกข้อมูลสลับที่กัน หรือการหลงลืม เป็นต้น
ความผิดพลาดในลักษณะนี้จะพบได้บ่อยในการดาเนินงานที่ใช้แรงงานมนุษย์ โดยปราศจากการใช้
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดใด ๆ
2. ใช้แรงงานมาก บันทึกรายการของการดาเนินงานที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเป็นงานทที่ละเอียด
นอกจากนี้บางรายการต้องมีการบันทึกลงในระบบข้อมูลหลายประเภท ซึ่งการบันทึกจะเป็นการ
ทางานที่ซ้า ๆ กันและใช้แรงงานมาก การนาระบบสารสนเทศมาประยุกต์จะช่วยให้ไม่ต้องทางาน
ซ้าซ้อนและเสียแรงงานคนเกินความจาเป็น
3. การสูญหายของข้อมูล อาจเกิดจากการเก็บแฟ้ มเอกสารผิดพลาด ทาให้ไม่สามารถค้นหา
ข้อมูลไดเมื่อผู้ใช้เกิดความต้องการเมื่อต้องการ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาความล่าช้าในการเรียกใช้ข้อมูล
ตลอดจากความสูญหายของข้อมูลเพียงชั่วคราวหรืออย่างถาวร นอกจากนี้การจัดเก็บข้อมูลอย่างไม่
เป็นระบบระเบียบยังทาให้เสียเวลาในการค้นหาและทาให้ข้อมูลลดคุณค่าในการใช้งาน
4. การตอบสนองที่ล่าช้า การทางานโดยอาศัยแรงงานมนุษย์จะล่าช้ากว่าการใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศเข้าช่วยมาก การทางานโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์สนับสนุนทาให้การตอบสนองต่อ
สถานการณ์รวดเร็ว ตลอดจนช่วยให้การพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือการให้บริการมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
- 15. วงจรการทางานของระบบปฏิบัติงาน
ทางธุรกิจ
TPS จะถูกพัฒนาขึ้น เพื่อให้ทางานเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานประจาวันขององค์การ ซึ่งมี
ลักษณะร่วมที่ต้องปฏิบัติตามรอบระยะเวลา หรือขั้นตอนการปฏิบัติที่กาหนดไว้โดยที่ผู้ใช้
สามารถนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ให้การทางานสะดวกขึ้น ปกติวงจรการทางาน
ของระบบสารสนเทศสาหรับปฏิบัติการทางธุรกิจมี ดังนี้
1. การป้อนข้อมูล (Data Entry) เป็นส่วนแรกหรือจุดเริ่มต้นของวงจรการปฏิบัติงานทาง
ธุรกิจ โดยการป้อนข้อมูลจะเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกิดขึ้น แล้วทาการป้อนลงไปใน
ระบบคอมพิวเตอร์ หรือสื่อสารองสาหรับการเก็บข้อมูลที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถอ่านได้
เพื่อรอการนาไปใช้งาน โดยที่ข้อมูลส่วนมากจะเป็นข้อมูลที่ได้มาจากเอกสารที่เกิดจากการ
ดาเนินงานของธุรกิจในแต่ละวัน เช่น ใบสั่งซื้อสินค้า ใบส่งสินค้า และใบกากับสินค้า เป็น
ต้น
2. การประมวลผลหรือการปฏิบัติงานกับข้อมูล (Transaction Processing) หลังจากการ
ป้อนหรือเปลี่ยนรูปแบบข้อมูลให้เหมาะที่เครื่องคอมพิวเตอร์จะสามารถอ่านได้แล้ว ขั้น
ต่อไปจะเป็นการนาเอาข้อมูลที่จัดเก็บไปประมวลผล ซึ่งผู้ใช้สามารถทาได้2 วิธี ต่อไปนี้
- 16. วงจรการทางานของระบบปฏิบัติงานทางธุรกิจ
2.1 แบบครั้งต่อครั้ง (Batch) เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลไว้ระยะหนึ่ง เพื่อรอให้มี
ปริมาณข้อมูลเพียงพอแล้วจึงทาการประมวลผล เพื่อให้ได้สารสนเทศสาหรับการใช้งาน
การประมวลผลแบบครั้งต่อครั้งจะเหมาะที่จะใช้งานกับระบบสารสนเทศที่มิได้เชื่อมโยง
กับสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานโดยตรง หรือลักษณะงานที่ต้องใช้เวลาในการ
รวบรวมข้อมูล ตลอดจนไม่มีความเร่งด่วนในการใช้งานสารสนเทศ
2.2 แบบตามเวลาที่เกิดขึ้นจริง (Real Time) การประมวลผลข้อมูลจะเกิดขึ้นทันที
ที่ข้อมูลถูกป้ อนเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ระบบประมวลผลจะให้สารสนเทศที่เป็นจริงตาม
สถานการณ์โดยไม่ต้องทาการรวบรวมข้อมูลเข้าเป็นกลุ่ม การประมวลผลตามเวลาที่
เกิดขึ้นจริงจะเหมาะสาหรับธุรกิจที่ต้องตอบสนองกับสิ่งแวดล้อมอย่างรวดเร็ว ต่อไปการ
แข่งขันที่รุนแรงซับซ้อนในอนาคตจะทาให้ธุรกิจต้องการระบบประมวลผลข้อมูลแบบ
ตามเวลาที่เกิดจริงมากขึ้น เพื่อให้สามารถตัดสินใจอย่างถูกต้องภายใต้ข้อจากัดของ
ระยะเวลา
- 17. วงจรการทางานของระบบปฏิบัติงานทาง
ธุรกิจ
3. การปรับปรุงฐานข้อมูล (File / database Updating) ผลลัพธ์ที่
ได้จากการประมวลผลจะถูกนาไปปรับปรุง และจัดเก็บอย่างเป็นระบบใน
ฐานข้อมูลหือไฟล์ต่าง ๆ ซึ่งการปรับปรุงข้อมูลอาจทาเป็นระยะ ๆ เช่น
รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้งาน และความ
ทันสมัยของข้อมูลที่อยู่ในฐานข้อมูล
4. การผลิตรายงานและเอกสาร (Document and
Generation) เป็นการผลิตรายงานและเอกสารอ้างอิงภายในองค์การ
ซึ่งแสดงถึงการปฏิบัติงานที่เกิดขึ้นของระบบ โดยเอกสารต่าง ๆ ที่ผลิตขึ้น
จากระบบปฏิบัติงานทางธุรกิจเรียกว่า เอกสารการปฏิบัติงาน ซึ่งสามารถ
แบ่งการผลิตรายงานและเอกสารออกเป็น 3 ประเภท ดังต่อไปนี้
- 18. วงจรการทางานของระบบปฏิบัติงานทางธุรกิจ
4.1 เอกสารที่เกี่ยวกับสารสนเทศ (Information Document) เป็นเอกสารที่แสดงให้เห็นรายละเอียดของการทางานในแต่ละ
กระบวนการที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบรายงานการสั่งซื้อสินค้า เป็นต้น ตลอดจนการรายงานถึงปัญหาหรือข้อผิดพลาดที่
เกิดขึ้นในการทางาน
4.2 เอกสารการปฏิบัติการ (Action Document) เป็นเอกสารที่ก่อให้เกิดการปฏิบัติงานของผู้รับเอกสาร เช่น ใบสั่งซื้อ
สินค้า เมื่อเอกสารนี้ถูกส่งไปถึงผู้ขายวัตถุดิบก็จะก่อให้เกิดการปฏิบัติงาน โดยที่ผู้ขายต้องจัดส่งสินค้าตามที่ระบุในใบสั่งซื้อสินค้าให้แก่ผู้
ซื้อให้ทันตามกาหนดหรือเช็คเงินสด เมื่อผู้รับนาเช็คไปถึงธนาคารก็จะก่อให้เกิดการทางาน คือสามารถขึ้นเงินได้ เป็นต้น
4.3 เอกสารหมุนเวียน (Circulating Document) เป็นเอกสารที่ถูกส่งออกไปแล้วจะมีการหมุนเวียนไปยังผู้เกี่ยวข้อง
ต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์การ เพื่อให้รับทราบหรือดาเนินงาน เมื่อถูกส่งไปถึงลูกค้าก็จะมีเอกสารบางส่วน หรือสาเนาเอกสารถูก
แยกออกแล้วส่งมายังเจ้าหนี้พร้อมกับจานวนเงินที่จ่าย เป็นต้น
5. การให้บริการสอบถาม (Inquiring Processing) ปกติองค์การธุรกิจจะจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการ
ปฏิบัติงานไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งเกี่ยวข้องทั้งกับลูกค้าและผู้ขายวัตถุดิบ นอกจากข้อมูลจะได้รับการประมวลผลและนาไปปรับปรุงให้ข้อมูล
เดิมในฐานข้อมูลให้มีความทันสมัยแล้ว เมื่อลูกค้าหรือผู้ขายวัตถุดิบมีความต้องการอยากทราบถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจก็จะทาการ
สอบถาม เช่น ยอดบัญชีค้างชาระ หรือยอดเงินฝากในบัญชีธนาคาร เป็นต้น โดยที่ TPS จะทาหน้าที่ตอบสนองตามที่ผู้เกี่ยวข้องร้องขอเข้า
มา หรืออีกนัยหนึ่ง TPS เป็นการใช้ข้อมูลและสารสนเทศที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ต่อการดาเนินงานในแต่ละวันของทั้งองค์การ และผู้ใช้งาน
สารสนเทศจากภายนอก
หัวข้อที่ผ่านมาแสดงให้เราเห็นว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะระบบรวบรวมและประมวลผลข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือที่
เรียกว่า คอมพิวเตอร์ ถูกนามาช่วยให้การทางานของธุรกิจสะดวก ถูกต้อง และรวดเร็วขึ้น ตลอดจนช่วยเพิ่มคุณค่าหรือก่อให้เกิดรูปแบบ
ใหม่ในการดาเนินงาน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญด้านสารสนเทศขององค์การที่ต้องประสานงานและกาหนดทางใน
การนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้กับองค์การ
- 19. 5. ระบบย่อยของระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ
การขยายตัวของธุรกิจในยุคโลกาภิวัฒน์ ทาให้องค์การต้องเกี่ยวข้องกับการบริหารข้อมูลที่มีปริมาณมาก
และมีความซับซ้อนขึ้น การปฏิบัติงานในองค์การมีความจาเป็นที่จะต้องใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการจัดเก็บ
ประมวลผลและจัดการข้อมูล ทาให้เราสามารถกล่าวได้ว่าระบบคอมพิวเตอร์จะช่วยให้การดาเนินธุรกิจ
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ TPS ที่สามารถนาระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยให้การทางานสะดวก
ขึ้น เนื่องจากลักษณะของงานจะมีโครงสร้างชัดเจนตามความต้องการของผู้ใช้ซึ่งเราสามารถแบ่ง TPS
ออกเป็นระบบย่อยตามหน้าที่ ต่อไปนี้
1. ระบบจ่ายเงินเดือน (Payroll Processing System) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทาหน้าที่ควบคุมการจ่ายเงินเดือน รวมทั้ง
คานวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายของพนักงานแต่ละคน ปัจจุบันระบบจ่ายเงินเดือนจะมีความสาคัญมากกับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีบุคลากร
มากและการดาเนินงานซับซ้อน เช่น มีการจัดระดับเงินเดือนหลายระบบ และมีการจ่ายเงินเดือนในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เป็นต้น
โดยระบบจ่ายเงินเดือนช่วยให้การดาเนินงานทางบัญชีและการเงินของธุรกิจสะดวก ปลอดภัย และประหยัด ไม่ต้องใช้กาลังคน
มาก และมีความรับผิดพลาดน้อยกว่าการใช้บุคคลเป็นผู้ดาเนินงานเพียงอย่างเดียว
2. ระบบบันทึกคาสั่งซื้อ (Order Entry System) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทาหน้าที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการบันทึกการสั่งซื้อ
สินค้าของลูกค้า ปกติการสั่งซื้ออาจจะมีได้หลายลักษณะ เช่น โทรศัพท์จดหมาย หรือโทรสาร เป็นต้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดการสูญ
หายหรือความซับซ้อนของข้อมูลทาให้การดาเนินงานผิดพลาดหรือเกิดความล่าช้า ดังนั้นธุรกิจจึงต้องมีการจัดระบบข้อมูลอย่าง
มีสถานการณ์ปัจจุบันที่ลูกค้าเป็นบุคคลสาคัญที่มีอิทธิพลต่อความอยู่รอดและการเจริญเติบโตของธุรกิจ
- 20. 5. ระบบย่อยของระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ
3. ระบบสินค้าคงคลัง (Inventory System) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทาหน้าที่ดูแลให้สินค้าแต่ละชนิดมีปริมาณและสภาพที่
เหมาะสมต่อการดาเนินงานของธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจการผลิตหรือค้าขายที่มีสินค้าคงคลังมาก จึงมีความจาเป็นที่จะต้อง
บริหารสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพ ไม่ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา หรือค่าเสียโอกาสทางการค้าที่มากเกินไป
4. ระบบใบกากับสินค้า (Invoicing System) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทาหน้าที่ออกใบห่อของ (Packing Slip) และใบกากับสินค้า
ที่จะส่งไปยังลูกค้า เพื่อให้สะดวกต่อการอ้างอิงและตรวจสอบในการจัดส่งและตรวจรับสินค้า
5. ระบบส่งสินค้า (Shipping System) จะควบคุมให้การจัดส่งสินค้าที่ได้รับการบรรจุหีบห่ออย่างดีจากคลังสินค้าให้ถึง
มือผู้รับตามวิธีการที่กาหนด เช่น ทางอากาศ ทางเรือ หรือทางบก เป็นต้น ตลอดจนช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสภาพ
สินค้าในตาแหน่งต่าง ๆ เปรียบเทียบกันได้
6. ระบบบัญชีลูกหนี้ (Accounts Receivable System) ทาหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการสั่งซื้อสินค้า การชาระเงิน และยอดงบดุล
ของลูกค้าแต่ละคน ซึ่งจะทาให้ธุรกิจทราบสถานะของลูกค้า เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจขายสินค้า หรือการให้สินเชื่อ
อย่างมีประสิทธิภาพ
7. ระบบสั่งซื้อสินค้า (Purchasing System) ถูกพัฒนาให้มีหน้าที่จัดซื้อสินค้าตามความต้องการในการดาเนินธุรกิจของ
องค์การ ปัจจุบันธุรกิจสามารถต่อเชื่อมระบสั่งซื้อสินค้ากับทั้งผู้บายวัตถุดิบและลูกค้า เพื่อให้การซื้อขายและจัดส่งสินค้ามี
ประสิทธิภาพ
8. ระบบรับสินค้า (Receiving System) เป็นระบบสารสนเทศที่อยู่ในแผนกตรวจรับสินค้า โดยระบบรับสินค้าถูกพัฒนา
ให้ทาหน้าที่อานวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการตรวจรับสินค้าที่ส่งมาจากผู้ขายวัตถุดิบ พร้อมทั้งตรวจสอบคุณภาพของ
สินค้าก่อนที่จะรับ หรือทาการปฏิเสธที่จะรับสินค้า ถ้ามีสิ่งผิดปกติหรือสินค้าไม่ตรงกับความต้องการ
- 21. 5. ระบบย่อยของระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ
9. ระบบบัญชีเจ้าหนี้ (Account Payable) เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้นให้มีหน้าที่ช่วยผู้ใช้ดูแล
การจ่ายเงินให้แก่ผู้ขายวัตถุดิบตามใบกากับสินค้าที่ส่งมาพร้อมสินค้า ซึ่งจะรวมถึงการออกเช็คเพื่อจ่ายเงิน
และการกาหนดเวลาการจ่ายหนี้ที่เหมาะสม
10. ระบบบัญชีแยกประเภททั่วไป (General Ledger System) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลทางการ
บัญชีจากระบบย่อยอื่น ๆ โดยระบบบัญชีแยกประเภทจะถูกใช้สาหรับประมวลข้อมูลทางบัญชีการแผน
งบประมาณของธุรกิจ ตลอดจนเป็นแหล่งข้อมูลในการจัดทาสารสนเทศสาหรับการบริหาร
การบูรณาการของระบบย่อยของ TPS ช่วยให้การปฏิบัติงานประจาวันสะดวก รวดเร็วและใช้แรงงาน
น้อย ทาให้หลายธุรกิจนิยมนา TPS มาใช้งาน ซึ่งจะส่งผลต่อการประหยัดและใช้ทรัพยากรบุคคลในงานที่
เหมาะสม โดยเฉพาะในอนาคตที่ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทรัพยากรบุคคล โดยเฉพาะบุคลากรที่มีความรู้
(Knowledge Worker) จะเป็นจ่าใช้จ่ายที่มีราคาสูงสาหรับองค์การ อย่างไรก็ดีการที่ธุรกิจจะสามารถใช้งาน
ระบบปฏิบัติการที่มีอยู่อย่างเต็มประสิทธิภาพ องค์การจะต้องมีการฝึกฝนและพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มี
ความพร้อม และความชานาญในการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบอยู่เสมอและอย่างต่อเนื่อง
- 22. 6. ระบบจัดทารายงานเพื่อการจัดการ
ผู้จัดการเป็นบุคคลสาคัญของแต่ละหน่วยงาน เนื่องจากผู้จัดการจะมีหน้าที่ในการวางแผนจัดระบบงาน และ
ควบคุมให้งานบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ โดยผู้จัดการต้องตัดสินใจในปัญหา หรือทางเลือกในการดาเนินงานของ
หน่วยงาน แต่ผู้จัดการส่วนใหญ่จะมีเวลาจากัดในการตัดสินใจ ระบบจัดทารายงานเพื่อการจัดการหรือ MRS เป็นระบบ
สารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อรวบรวมและประมวลผลข้อมูล สาหรับจัดทาเป็นรายงานเสนอต่อผู้จัดการ เพื่อช่วยให้เขา
สามารถตัดสินใจในปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ
MRS จะรวบรวมและประมวลผลข้อมูลแล้วจัดผลลัพธ์ในรูปรายงานเสนอต่อผู้จัดการ โดยจัดทารายงาน
สรุปผลการดาเนินงานในแต่ละช่วงเวลา หรือจัดทารายงานตามความต้องการของผู้ใช้ปัจจุบัน MRS จะเป็นประโยชน์มาก
สาหรับผู้บริหารในการวางแผน การตรวจสอบ และการควบคุมให้การดาเนินงานของหน่วยงานเป็นไปตามที่ผู้จัดการ
กาหนด โดยปกติ MRS สมควรต้องมีคุณสมบัติสาคัญ ดังต่อไปนี้
1. สามารถที่จะสนับสนุนการตัดสินใจทั้งที่เป็นแบบโครงสร้างและกึ่งโครงสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากปัญหา
ขอผู้บริหารจะมีความหลากหลายและไม่มีรูปแบบที่แน่นอน ตลอดจนอาจขาดโครงสร้างที่ชัดเจน จึงต้องการสารสนเทศ
เฉพาะสาหรับแต่ละงาน ดังนั้น MRS จึงต้องมีความยืดหยุ่นในการจัดการสารสนเทศให้เหมาะสมกับความต้องการของ
งานและผู้ใช้
2. ผลิตเอกสารหรือรายงานตามตารางที่กาหนด และนาเสนอให้ผู้จัดการหรือผู้ใช้เพื่อทาการตรวจสอบ และเก็บไว้เป็หลัก
ฐานอ้างอิง
3. ถูกผลิตออกมาในรูปแบบที่คงที่หรือถูกกาหนดไว้เพื่อให้ผู้ใช้สามารถนาไปใช้งานตามความต้องการ ตลอดจนมีความ
คงที่ในการจัดเก็บและใช้งาน
- 23. 6. ระบบจัดทารายงานเพื่อการจัดการ
4. สารสนเทศที่บรรจุอยู่ในรายงานหรือเอกสารมักจะเป็นสารสนเทศทีเกิดขึ้นในอดีตมากกว่าที่จะ
สัมพันธ์กับอนาคต โดย MRS จะรวบรวมและประมวลผลข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้วเสนอต่อผู้จัดการ เพื่อ
ทาการศึกษา วิเคราะห์ และตัดสินใจ
5. บ่อยครั้งที่รายงานหรือเอกสารจะถูกผลิตในรูปของกระดาษ ซึ่งสรุปข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการรู้
โดยเฉพาะผู้จัดการที่ยังไม่มีความคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการทางาน เช่น ระบบ
สานักงานที่ไม่ใช้กระดาษ (Paperless Office) เป็นต้น นอกจากนี้ MRS ยังต้องจัดทารายงาน เพื่อใช้อ้างอิง
ประกอบการบริหารงานในอนาคต
เราจะเห็นได้ว่าระบบย่อยของ MIS ทั้ง TPS และ MRS ต่างก็มีการอออรายงานและเอกสาร ซึ่งดู
เหมือนว่าระบบสารสนเทศทั้งสองระบบจะทาหน้าที่ซ้าซ้อนกัน แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดเราจะพบว่า
เอกสารและรายงานที่ออกโดย TPS และ MRS จะมีข้อแตกต่างกัน คือ MRS จะออกรายงานที่มี
วัตถุประสงค์สาหรับสนับสนุนการบริหารและการจัดการของผู้บริหาร ขณะที่ TPS จะออกรายงานที่มี
วัตถุประสงค์เพื่อแสดงและควบคุมการปฏิบัติงานที่เกิดขึ้นในแต่ละวันต่อองค์การ
- 24. 7. ประเภทของรายงาน
รายงาน (Report) เป็นเอกสารที่จัดทาขึ้นโดยรวบรวมข้อมูลสาคัญในแต่ละเรื่อง เพื่อใช้ประกอบการปฏิบัติงานของผู้ใช้หรือการ
ตัดสินใจของผู้บริหาร ปกติผู้จัดการต้องการรายงานในเรื่องต่าง ๆ เช่น ยอดขาย สินค้ารับคืน หรือต้นทุนการดาเนินงาน เป็นต้น
เพื่อใช้ประกอบการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพ โดยที่เราสามารถแบ่งรายงานที่ผลิตโดย MRS ออกได้เป็น 4 ประเภท
ดังต่อไปนี้
1. รายงานที่ออกตามตาราง (Schedule Report) เป็นรายงานที่จัดทาขึ้นตามระยะเวลาที่กาหนดแน่นอน เช่น ประจาวัน ประจาสัปดาห์
หรือประจาเดือน เป็นต้น โดยรายงานตามตารางเวลาจะสรุปผลการดาเนินงานในแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านมา ปกติการจัดทารายงานตามรอบ
ระยะเวลามีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้จัดการในการวางแผน การตรวจสอบ และการควบคุมให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ
2. รายงานที่ออกในกรณีพิเศษ (Exception Report) เป็นรายงานที่จัดทาขึ้นเมื่อมีสิ่งผิดปกติหรือปัญหาเฉพาะหน้าเกิดขึ้น โดยการนาเสนอ
รายงานพิเศษมีวัตถุประสงค์ต้องการให้ผู้บริหารรับทราบและทาการตัดสินใจแก้ไข และควบคุมผลประโยชน์ขององค์การ เช่น รายชื่อลูกค้าที่
ค้างชาระ เป็นต้น
3. รายงานที่ออกตามความต้องการ (Demand Report) เป็นรายงานที่จัดทาขึ้นตามความต้องการของผู้บริหาร ซึ่งรายงานตามความต้องการ
จะแสดงข้อมูลเฉพาะเรื่องที่ผู้บริหารต้องการทราบ เพื่อให้ผู้บริหารเกิดความเข้าใจในปัญหาและสามารถตัดสินใจอย่างเหมาะสม
4. รายงานที่ออกเพื่อพยากรณ์ (Predictive Report) เป็นรายงานที่ให้ข้อสารสนเทศที่ช่วยในการตัดสินในของผู้บริหาร การพยากรณ์จะ
อาศัยเทคนิคการวิเคราะห์ทางสถิติ และคณิตศาสตร์ หรือที่เรียกว่าการวิจัยขึ้นดาเนินงาน (Operations Research) มาทาการประมวลผลข้อมูล
ในอดีต เพื่อช่วยให้ผู้บริหารสามารถมีแนวทางในการเลือกตัดสินใจว่า ถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนี้ อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป และสมควรดาเนินการ
อย่างไร หรือที่เรียกว่า “ถ้า…แล้ว…(What…if)”
รายงานเป็นรูปแบบสาคัญในการจดบันทึก ส่งผ่าน และอ้างอิงข้อมูลภายในขององค์การ ในอดีตการจัดทารายงานจะใช้ระยะเวลาและ
แรงงานมาก แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้การจัดทารายงานมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้บริหารสามารถใช้เวลาและข้อมูลให้เกิด
ประโยชน์ ในการทางานอย่างเต็มที
- 25. 8. คุณสมบัติของสารสนเทศในระบบจัดทารายงาน
ผู้จัดการส่วนมากจะมีงานที่หลากหลาย แต่มักจะมีเวลาที่จากัดในการแก้ปัญหา จึงมีความต้องการสารสนเทศที่ชัดเจน เข้าใจง่าย
และสะดวกต่อการใช้งาน ดังนั้นรายงานที่ออกโดยระบบจัดทารายงานสาควรจะบรรจุไปด้วยสารสนเทศที่มีคุณภาพ และเป็นที่
ต้องการของผู้จัดการหรือผู้ใช้ซึ่งสารสนเทศที่มีคุณภาพควรจะประกอบไปด้วยคุณสมบัติ ต่อไปนี้
1. ตรงประเด็น (Relevance) รายงานที่ออกควรที่จะบรรจุด้วยสารสนเทศที่เป็นที่ต้องการหรือเป็นประโยชน์ต่อเรื่องที่
ผู้บริหารกาลังทาการตัดสินใจอยู่
2. ความถูกต้อง (Accuracy) รายงานที่ออกควรบรรจุด้วนสารสนเทศที่ถูกต้องไม่มีข้อผิดพลาด และเป็นที่เชื่อถือได้ของ
ผู้บริหาร
3. ถูกเวลา (Timeliness) รายงานที่ออกควรจะบรรจุสารสนเทศทันสมัยและทันเวลา เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจที่กาลัง
กระทาอยู่ในขณะนั้น
4. สามารถพิสูจน์ได้(Verifiability) รายงานที่ออกควรบรรจุสารสนเทศที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาว่าเป็นข้อมูลจาก
แหล่งใด และมีความน่าเชื่อถือเพียงใด
ถ้าสารสนเทศในรายงานสาหรับผู้บริหารขาดคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง รายงานนั้นอาจเป็นรายงานที่ไม่มีคุณค่าเลยก็ได้
เพราะผู้บริหารไม่สามารถที่จะเชื่อถือสารสนเทศในรายงาน เมื่อไม่มีความเชื่อถือก็จะไม่สามารถนาสารสนเทศไปช่วยในการ
ตัดสินใจในด้านการบริหารได้เลย ซึ่งจะชี้ให้เห็นว่าระบบจัดทารายงานขององค์การนั้นเกิดความล้มเหลวและทางานผิดพลาด
โดยสาเหตุอาจเกิดจากตัวระบบ หรือเป็นผลมาจากระบบอื่นที่เชื่อมโยงกัน หรืออาจเกิดขึ้นจากผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งต้องตรวจสอบ
และแก้ไขให้ระบบสามารถตอบสนองความต้องการของฝ่ายบริหารได้อย่างสมบูรณ์
- 26. 9. ประเภทของงานสานักงาน
ก่อนทีจะกล่าวถึงการใช้งานของระบบสารสนเทศสานักงาน ผู้เรียนสมควรเรียนรู้ถึงประเภทของงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารและการจัดการ
ต่าง ๆ ในสานักงาน เพื่อให้สามารถทาความเข้าใจ และมองเห็นภาพการทางานของระบบสารสนเทศสานักงานอย่างชัดเจน ปกติเราสามารถ
แบ่งประเภทของงานสานักงานออกเป็น 5 ประเภท ต่อไปนี้
1. การตัดสินใจ (Decision Making) ปกติแล้วงานหลักของผู้จัดการจะเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหา หรือการดาเนินงานที่ต้องอาศัยการ
ตัดสินใจ ดังนั้นผู้ช่วยนักบริหาร (Executive Assistant) ที่มีความสามารถจะต้องช่วยรวบรวมและจัดรูปแบบสารสนเทศให้ง่ายต่อผู้บริหารใน
การศึกษา วิเคราะห์ และการตัดสินใจ
2. การจัดการเอกสาร (Document Handling) ปัจจุบันแต่ละองค์การจะมีระบบเอกสารทั้งที่จัดทาอย่างเป็นทางการและตามความต้องการ
เช่น จดหมายเวียน บันทึก หรือคาสั่ง เป็นต้น ซึ่งต้องมีการจัดทา ตรวจสอบ และรับผิดชอบในการเก็บรักษาและจัดระบบให้เรียบร้อย
3. การเก็บรักษา (Storage) เป็นการจัดระบบ รวบรวม และรักษาประวัติ บันทึก หรือข้อมูลต่าง ๆ ไว้อย่างถูกต้องและปลอดภัย และพร้อม
ที่จะถูกเรียกกลับมาใช้งาน โดยการเก็บรักษาจะเป็นงานสาคัญที่ต้องจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
4. การจัดเตรียมข้อมูล (Data Manipulation) เป็นการจัดเตรียมข้อมูลสาหรับการใช้งาน เช่น การประชุม การเจรจากับลูกค้า เจ้าหนี้ หรือ
เจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นต้น การจัดเตรียมข้อมูลที่มีประสิทธิภาพในการทางานต้องอาศัยบุคคลที่มีความรู้ ความเข้าใจ และความชานาญในงาน
และสามารถจัดรูปแบบของข้อมูลได้อย่างสอดคล้องกับความต้องการของปัญหา
5. การติดต่อสื่อสาร (Communication) เวลาส่วนใหญ่ของการทางานเป็นการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูล เนื่องจากบุคลากรใน
สานักงานไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร ผู้จัดการ หัวหน้างาน หรือพนักงานจะใช้เวลาในการประชุม หรือติดต่อกับบุคคลอื่น เช่น โทรศัพท์โทรสาร
หรือส่งผ่านข้อมูลทางระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ซึ่งบางครั้งอาจใช้เวลามากกว่าครึ่งหนึ่งของเวลาทั้งหมดที่พวกเขาเหล่านั้นทางาน
ในสานักงาน
ปกติงานสานักงานจะมีความหลากหลายและมีความสาคัญที่แตกต่างกัน ทาให้พนักงานส่วนมกจะใช้เวลาหลายส่วนของแต่ละวันในการจัดการงานเหล่านี้
ถ้าองค์การมีระบบงานที่ช่วยให้การทางานสานักงานมีประสิทธิภาพ พนักงานจะสารารถใช้เวลาที่มีอยู่ในการปฏิบัติ หรือสร้างสรรค์งานที่เป็นประโยชน์ต่อ
องค์การ ระบบสารสนเทศสาหรับงานสานักงานจึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้การทางานประจาวันในแต่ละสานักงานง่ายขึ้น และบุคลากรมีเวลาในการปฏิบัติงาน
ตามหน้าที่ของตน ตลอดจนสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ
- 27. 10. ระบบสารสนเทศสาหรับสานักงาน
ระบบสารสนเทศสาหรับสานักงานหรือ OIS ถูกพัฒนาขึ้นโดยมีส่วนประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ
และเทคโนโลยีการออกแบบเครื่องใช้สานักงานตามหลักการยศาสตร์ (Ergonomics) เพื่อเพิ่มผลผลิตและ
ประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานในสานักงาน โดยที่ระบบสารสนเทศสานักงานมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะ
อานวยความสะดวกในการปฏิบัติงานและการติดต่อสื่อสารระหว่างพนักงานภายในหน่วยงานหรือ
องค์การเดียวกัน ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศได้ขยายขีดความสามารถของระบบสารสนเทศสานักงาน
ให้มีขอบเขตการปฏิบัติงานรวมทั้งการติดต่อกับสิ่งแวดล้อมภายนอกองค์การด้วย ระบบสารสนเทศ
สานักงานจะช่วยให้พนักงานแต่ละคน หรือกลุ่มของพนักงานสามารถที่จะประมวลข่าวสาร เก็บรักษา
ข่าวสาร และแลกเปลี่ยนข่าวสารซึ่งกันและกันผ่านทางอุปกรณ์การติดต่อสื่อสารต่าง ๆ โดยข่าวสารที่ว่า
นั้นอาจจะประกอบไปด้วยข้อมูลดิบ เอกสาร รูปภาพ เสียง และสัญญาณภาพวีดีโอ เป็นต้น โดยที่เรา
สามารถแบ่งแยกระบบสารสนเทศสานักงานตามหน้าที่ออกเป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้
- 28. 10. ระบบสารสนเทศสาหรับสานักงาน
1. ระบบจัดการเอกสาร (Document Management System) ถูกพัฒนาขึ้นให้มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการจัดทา กระจาย และเก็บรักษาเอกสารต่าง ๆ ภายใน
องค์การ โดยระบบจัดการเอกสารจะประกอบไปด้วยเครื่องมือสาคัญ ต่อไป
1.1 การประมวลคา (Word Processing) ปัจจุบันหน่วยงานต่าง ๆ มักจะพิมพ์เอกสารโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ และชุดคาสั่งสาหรับการประมวลภาษา
(Word Processor) โดยที่ชุดคาสั่งสาหรับประมวลภาษาจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการพิมพ์งาน เนื่องจากชุดคาสั่งคอมพิวเตอร์ช่วยผู้ใช้ให้
สามารถทางานได้มากกว่าการใช้งานเครื่องพิมพ์ดีดธรรมดา เช่น การจัดรูปแบบงานพิมพ์การทาตาราง การจัดเรียงหน้า การจัดทาสารบัญ และการตรวจสอบ
คาผิด เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้การออกเอกสารมีคุณภาพ รวดเร็ว ถูกต้อง และเป็นมืออาชีพขึ้น
1.2 การผลิตเอกสารหลายชุด (Repropaphics) เป็นการผลิตเอกสารแบบเดียวกันหลาย ๆ ชุด เพื่อที่จะเผยแพร่ทั้งภายในและภายนอกสานักงาน ปัจจุบัน
มีการใช้ระบบที่เรียกว่า “ระบบอัดสาเนาอัจฉริยะ (Intelligence Copier System)” คือ ระบบจัดทาเอกสารที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อเข้ากับเครื่องอัดสาเนา
อัจฉริยะ (Intelligence Copier) เมื่อเอกสารถูกจัดทาและตรวจสอบบนเครื่องคอมพิวเตอร์เรียบร้อยแล้ว ผู้ใช้ก็จะส่งข้อมูลการพิมพ์ไปที่เครื่องอัดสาเนา เพื่อทา
การออกเอกสารตามรูปแบบและปริมาณที่กาหนด
1.3 การออกแบบเอกสาร (Desktop Publishing) เป็นชุดคาสั่งที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถผลิตเอกสารและสิ่งพิมพ์ให้มีคุณภาพใกล้เคียงกับการผลิตโดยมือ
อาชีพ เพราะชุดคาสั่งนี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถออกแบบ และจัดรูปแบบของเอกสารได้ตามใจของตน โดยสามารถใส่ตัวหนังสือ รูปภาพ หรือลวดลายต่าง ๆ ลง
บนหน้ากระดาษ ตลอดจนจัดเรียงและทดสอบตัวอย่างจนกว่าจะพอใจ
1.4 การประมวลรูปภาพ (Image Processing) เป็นการอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถที่จะนารูปภาพจากเอกสารต่าง ๆ มาเก็บไว้ในฐานข้อมูล และสามารถ
เรียกกลับมาทาการดัดแปลงเพื่อใช้งานได้บางครั้งการประมวลรูปภาพจะถูกเรียกว่า “ระบบการจัดการรูปภาพ (Image Management System)” เนื่องจากระบบนี้
จะช่วยให้การเก็บบันทึกสารสนเทศที่มีลักษณะเป็นรูปภาพต่าง ๆ เป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และเป็นระบบรวมทั้งช่วยให้การกระจายข่าวสารออกไปจาก
แหล่งผลิตมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย
1.5 การเก็บรักษา (Archival Storage) เป็นการเก็บรักษาข้อมูลในหน่วยความจาสารอง เช่น เทปแม่เหล็ก ไมโครฟิลม์ (Microfilm) แผ่นจานแม่เหล็ก
หรือแผ่น CD เป็นต้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลปริมาณและรูปแบบหลากหลายที่ องค์การจึงต้องเก็บรักษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ มิ
ให้เกิดการสูญหาย ความล่าช้าในการใช้งาน การทาลายข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ หรือการโจรกรรม ซึ่งจะส่งผลต่อการดาเนินงานของธุรกิจได้
- 29. 10. ระบบสารสนเทศสาหรับสานักงาน
2. ระบบควบคุมและส่งผ่านข่าวสาร (Message-handling System) เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อควบคุมการ
กระจายและการใช้งานข่าวสารในสานักงานโดยการจัดการข้อมูลให้เป็นระบบ ซึ่งประกอบด้วยรูปแบบในการส่งผ่านข่าวสารที่
สาคัญ ต่อไปนี้
2.1 โทรสาร (Facsimile) หรือที่เรียกว่าเครื่องแฟกซ์ (FAX) เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทีรู้จักกันดีในสานักงาน
ปัจจุบัน เครื่องโทรสารช่วยให้ข่าวสารข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยข้อความและรูปภาพบนกระดาษหรือในระบบข้อมูลขององค์การ
ถูกส่งจากแหล่งหนึ่งไปสู่อีกแหล่งหนึ่งอย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ เทคโนโลยีเครื่องโทรสารช่วยให้การทางานในสานักงาน
คล่องตัว ธุรกิจไม่ต้องรอเวลาใสการส่งไปรษณีย์หรือใช้พนักงานเดือนเอกสาร (Massager) ตลอดจนสามารถแน่ใจว่าผู้รับ
ข่าวสารตามเวลาที่กาหนด
2.2 ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail) หรือที่เรียกว่า E-mail เป็นเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และระบบสื่อสารที่
ใช้ในการส่งข่าวสารจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง และถูกเก็บรักษาไว้จนกระทั่งมีการเรียกดูจากผู้รับ นอกจากนี้ผู้รับยังสามารถ
จัดพิมพ์ข้อมูลนั้นเป็นเอกสารตามที่ต้องการได้เช่นกัน ปัจจุบัน E-mail ได้รับความนิยมในหลายองค์การ เนื่องจากช่วยให้การ
ทางานในสานักงานสะดวก รวดเร็ว และไม่สิ้นเปลือง โดยเฉพาะการส่งบันทึกข้อความ และจดหมายเวียนที่ไม่ต้องใช้กระดาษ
และแรงงานมาก ตลอดจนสามารถแน่ใจว่าผู้รับส่วนใหญ่จะได้รับข่าวสารตามที่ผู้ส่งต้องการ
2.3 ไปรษณีย์เสียง (Voice Mail) เป็นการส่งผ่านข่าวสารที่เป็นเสียงจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง โดยผ่านระบบโทรศัพท์
ซึ่งเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่แปลงสัญญาณเสียงเป็นสัญญาณดิจิตอล และส่งผ่านไปตามสายโทรศัพท์จนถึงปลายทาง แล้วจึง
ถูกจัดเก็บไว้ในหน่วยความจาก่อนที่จะแปลงกลับเป็นสัญญาณเสียง เมื่อผู้รับต้องการฟัง
- 30. 10. ระบบสารสนเทศสาหรับสานักงาน
3. ระบบประชุมทางไกล (Teleconferencing) เป็นระบบเชื่อมโยงบุคคลตั้งแต่ 2 คน ซึ่งอยู่กันคนละที่ให้สามารถประชุมหรือโต้ตอบกันได้โดยไม่
จาเป็นต้องเดินทางไปอยู่ในสถานที่เดียวกัน ระบบประชุมทางไกลแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท ต่อไปนี้
3.1 การประชุมทางไกลที่ใช้ทั้งภาพและเสียง (Video Teleconferencing) เป็นระบบที่สนับสนุนให้คู่สนทนาสามารถมองเห็นและได้ยินเสียงซึ่งกัน
และกันได้โดยรวมเอาเทคโนโลยีทางด้านเสียงและภาพโทรทัศน์เข้าด้วยกัน ทาให้บุคคลที่อยู่ห่างกันไปสามารถสื่อสารและแสดงความคิดเห็นโต้ตอบกันอย่าง
รวดเร็ว โดยต่างมีความรู้สึกเสมือนพบปะกันจริง
3.2 การประชุมทางไกลใช้เฉพาะเสียง (Audio Teleconferencing) เป็นระบบที่สนับสนุนให้คู่สนทนาสามารถได้ยินเสียง และโต้ตอบกันอย่างมี
ประสิทธิภาพ แต่อาจขาดความสมบูรณ์เท่ากับระบบทั้งภาพและเสียง เนื่องจากมนุษย์เราชอบที่จะสื่อสาร โดยใช้ประสาทสัมผัสแบบผสมผสาน
3.3 การประชุมโดยใช้คอมพิวเตอร์ (Computer Conferencing) เป็นระบบที่ใช้ส่งข่าวสาร หรือช่วยให้คู่สนทนาสามารถโต้ตอบ และแลกเปลี่ยนข้อมูล
ระหว่างกัน โดยผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ นอกจากการประชุมผ่านระบบคอมพิวเตอร์จะช่วยให้ผู้ร่วมประชุมสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่าง
กันอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ระบบคอมพิวเตอร์ยังสามารถประมวลผลและแสดงผลข้อมูล เพื่อนาเสนอให้ที่ประชุม ตลอดจนช่วยจาลองสถานการณ์ เพื่อให้ที่
ประชุมตัดสินใจในทางเลือกอย่างมีประสิทธิภาพ
3.4 โทรทัศน์ภายใน (In-house Television) การสร้างห้องส่งและออกอากาศรายการโทรทัศน์ภายในองค์การ โดยอาจเป็นการถ่ายทอดสดหรือการ
บันทึกเทปและนามาออกอากาศหมุนเวียนกัน เพื่อให้สมาชิกภายในองค์การได้รับทราบ และแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันตลอดจนได้ผ่อนคลายความเครียดจาก
งานในช่วงเวลาพัก ปัจจุบันระบบนี้ได้รับความนิยมจากองค์การขนาดใหญ่ และองค์การที่มีหลายสาขาซึ่งบางครั้งต้องดาเนินการโดยอาศัยเทคโนโลยีการ
สื่อสารผ่านดาวเทียมเข้าช่วย
3.5 การปฏิบัติงานผ่านระบบสื่อสารทางไกล (Telecommuting) เป็นระบบที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีทางการสื่อสาร ช่วยให้พนักงานสามารถที่จะ
ปฏิบัติงานที่บ้านหรือในพื้นที่ห่างไกล โดยต่อเชื่อมคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์การทางานเข้ากับระบบเครือข่ายของสานักงาน ซึ่งจะช่วยให้บุคคลสามารถทางาน
อย่างเต็มที่ โดยที่ไม่เสียเวลาให้กับการเดินทาง ปัจจุบันมีผู้ประมาณการว่าในอนาคตจะมีบุคลากรหลายประเภทที่สามารถปฏิบัติงานกับองคืการ โดยไม่
จาเป็นต้องเดินทางมาทางานที่สานักงานทุกวัน แต่จะใช้ระบบสื่อสารทางไกลช่วย ดังนั้นองค์การสมัยใหม่จึงต้องศึกษา และพัฒนาระบบตรวจสอบ และควบคุม
การทางานระยะไกล เพื่อให้สามารถประเมินผลงานและกาหนดผลตอบแทนที่เหมาะสมกับผลงานของบุคลากรแต่ละคน
- 31. 10. ระบบสารสนเทศสาหรับสานักงาน
ปัจจุบันสถาบันการศึกษา หน่วยราชการ และบริษัทเอกชนได้นาเทคโนโลยีการประชุมทางไกลมาใช้งาน เนื่องจากช่วยให้ผู้ใช้ประหยัดเวลา
และค่าใช้จ่ายในการดาเนินงาน ถึงแม้จะมีต้นทุนในการติดตั้งระบบและการดาเนินงานค่อนข้างสูง แต่ผู้ใช้ที่อยู่ห่างไกลกันจะได้ประโยชน์
จากการใช้งาน ภายใต้ระยะเวลาใช้งานไม่นานนัก ดังจะเห็นได้จากบริษัทข้ามชาติ (Multinational Corporation) หรือ MNC
หลายแห่งได้นาระบบประชุมทางไกลมาใช้กับการประชุมของผู้บริหารในแต่ละส่วนของโลก ซึ่งช่วยให้ผู้บริหารไม่ต้องเสียเวลาและประหยัด
ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
- 32. 10. ระบบสารสนเทศสาหรับสานักงาน
4. ระบบสนับสนุนการดาเนินงานในสานักงาน (Office Support System) เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อช่วยให้
พนักงานในสานักงานเดียวกันใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในสานักงานให้เกิดประโยชน์ในการทางานร่วมกันอย่างเต็มที่ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย
ในการลงทุน และช่วยให้การดาเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ โดยที่เราสามารถแบ่งระบบสนับสนุนการดาเนินงานใน
สานักงานออกได้เป็นหลายระดับ ดังต่อไปนี้
4.1 ชุดคาสั่งสาหรับกลุ่ม (Group Ware) เป็นระบบที่ถูกพัฒนาขึ้น โดยประกอบด้วยชุดคาสั่งประยุกต์รวมกัน เพื่อที่จะ
สนับสนุนให้พนักงานสามารถใช้บริการของอุปกรณ์หรือชุดคาสั่งที่ช่วยอานวยความสะดวกในองค์การร่วมกัน เช่น E-mail, Word
processing, Fax และ Voice Mail เป็นต้น
4.2 ระบบจัดระเบียบงาน (Desktop Organizers) เป็นระบบที่ประกอบด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ
จัดการกับตารางเวลา จดบันทึก และรายชื่อ ตลอดจนเลขหมายโทรศัพท์ของบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ
4.3 คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบ (Computer Aided Design, CAD) เป็นระบบสารสนเทศในการทางานที่นา
คอมพิวเตอร์มาช่วยในการออกแบบ โดยผู้ใช้สามารถออกแบบดูภาพเสมือน และทดสอบผลงานบนหน้าจอ นอกจานี้ผู้ใช้ยังสามารถโต้ตอบ
และเรียกใช้ข้อมูลเฉพาะที่เก็บในฐานข้อมูลได้ด้วย
4.4 การนาเสนอประกอบภาพ (Presentation Graphics) ช่วยให้การจัดเตรียมและการนาเสนองานมีประสิทธิภาพ โดย
ผู้ใช้สามารถวางแผน จัดขึ้นตอนการนาเสนอข้อมูล และรูปภาพอย่างสอดคล้องกัน ปัจจุบันได้มีการพัฒนาชุดคาสั่งสาหรับการนาเสนองาน
ให้สะดวกต่อการใช้งาน ทาให้ผู้ใช้สามารถจัดทาและนาเสนอผลงานอย่างมีประสิทธิภาพ
4.5 กระดานข่าวสารในสานักงาน (In-house Electronic Bulletin Board) เป็นระบบการเผยแพร่ข่าวสารทาง
อิเล็กทรอนิกส์ภายในสานักงานผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อกระจายและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารภายในหน่วยงานโดยไม่เสียเวลา
และทรัพยากร