More Related Content Similar to การสื่อสารข้อมูล Similar to การสื่อสารข้อมูล (20) การสื่อสารข้อมูล2. 1. ความหมายของการสือ สารข้อ มูล
่
การสื่อสารข้อมูล หมายถึง การโอนถ่าย (Transmission)
ข้อมูลหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างต้นทางกับปลาย
ทาง โดยใช้อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่อง
คอมพิวเตอร์ ซึ่งมีตัวกลาง เช่น ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์
สำาหรับควบคุมการส่งและการไหลของข้อมูลจากต้นทาง
ไปยังปลายทาง นอกจากนี้อาจจะมีผู้รับผิดชอบในการ
กำาหนดกฎเกณฑ์ในการส่งหรือรับข้อมูลตามรูปแบบที่
ต้องการ
3. 2. องค์ป ระกอบพืน ฐานของระบบ
้
สือ สารข้อ มูล
่
1. ผู้ส ่ง หรือ อุป กรณ์ส ่ง ข้อ มูล (Sender)
ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ต้นทางจะต้องจัดเตรียมนำาเข้าสู่อุปกรณ์
สำาหรับส่งข้อมูล ซึ่งได้แก่เครื่องพิมพ์ หรืออุปกรณ์
ควบคุมต่าง ๆ จานไมโครเวฟ จานดาวเทียม ซึ่งข้อมูล
เหล่านั้นถูกเปลียนให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถส่งข้อมูล
่
นั้นได้ก่อน
2. ผู้ร ับ หรือ อุป กรณ์ร ับ ข้อ มูล (Receiver)
ข้อมูลที่ถกส่งจากอุปกรณ์ส่งข้อมูลต้นทาง เมื่อไปถึง
ู
ปลายทางก็จะมีอุปกรณ์สำาหรับรับข้อมูลเหล่านั้นเพื่อนำา
ไปใช้ประโยชน์ต่อไป อุปกรณ์เหล่านี้ได้แก่ เครื่องพิมพ์
คอมพิวเตอร์ จานไมโครเวฟ จานดาวเทียม ฯลฯ
4. 3. โปรโตคอล (Protocol)
โปรโตคอล คือ กฎระเบียบ หรือวิธการใช้เป็นข้อกำาหนด
ี
สำาหรับการสื่อสาร เพื่อให้ผู้รับและผู้ส่งเข้าใจกันได้ ซึ่งมี
หลายชนิดให้เลือกใช้ เช่น TCP/IP, X.25, SDLC เป็นต้น
4. ซอฟต์แ วร์ (Software)
การส่งข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์จำาเป็นต้องมีโปรแกรม
สำาหรับดำาเนินการ และควบคุมการส่งข้อมูลเพื่อให้ได้
ข้อมูลตามที่กำาหนดไว้ ได้แก่ Novell's NetWare UNIX Windows
NT ฯลฯ
5. 5. ข่า วสาร (Message)
ข้อ มูล (Data) เป็นรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งถูกสร้าง
และจัดเก็บด้วยคอมพิวเตอร์ มีรูปแบบแน่นอน
ข้อ ความ (Text) อยู่ในรูปของเอกสารหรือตัวอักขระ ไม่มี
รูปแบบที่แน่นอน ชัดเจนนับจำานวนได้คอนข้างยาก และ
มีความสามารถในการส่งปานกลาง
รูป ภาพ (Image) เป็นข่าวสารที่อยู่ในรูปของภาพกราฟิก
แบบต่างๆ ซึ่งข้อมูลชนิดนี้จะต้องอาศัยสื่อสำาหรับเก็บ
และใช้หน่วยความจำาเป็นจำานวนมาก
เสีย ง (Voice) อยู่ในรูปของเสียงพูด เสียงดนตรี หรือเสียง
อื่น ๆ ข้อมูลชนิดนี้จะกระจัดกระจาย ไม่สามารถวัด
ขนาดที่แน่นอนได้ การส่งจะทำาได้ด้วยความเร็ว ค่อน
6. 6. ตัว กลาง (Medium)
เป็นตัวกลางหรือสื่อกลางที่ทำาหน้าที่นำาข่าวสารในรูป
แบบต่าง ๆ จากผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งต้นทางไปยังผู้รับ
หรืออุปกรณ์รับปลายทาง ซึ่งมีหลายรูปแบบได้แก่ สาย
ไป ขดลวด สายเคเบิล สายไฟเบอร์ออฟติก ตัวกลางอาจ
จะอยู่ในรูปของคลื่นที่ส่งผ่านทางอากาศ เช่น คลื่น
ไมโครเวฟ คลื่นดาวเทียม หรือคลื่นวิทยุ เป็นต้น
7. 3. การเชือ มต่อ คอมพิว เตอร์
่
สำา หรับ สือ สารข้อ มูล
่
เป็นการเชือมโยงคอมพิวเตอร์ต้นทางเข้ากับ
่
คอมพิวเตอร์ปลายทาง โดยใช้ตัวกลางหรือสื่อกลาง
สำาหรับเชื่อมต่อ ขึ้นอยู่กับลักษณะของการใช้งาน
เป็นการเชือมต่อระยะไกลจากคอมพิวเตอร์ต้นทางไปยัง
่
ปลายทาง โดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะ
8. 4. การส่ง สัญ ญาณข้อ มูล (Transmission
Definition)
การส่งสัญญาณข้อมูล หมายถึง การส่งข้อมูลหรือ
ข่าวสารต่างๆ จากอุปกรณ์สำาหรับส่งหรือผู้ส่ง ผ่านทาง
ตัวกลางหรือสื่อกลางไปยังอุปกรณ์รับหรือผู้รับข้อมูล
หรือข่าว ซึ่งข้อมูลหรือข่าวสารที่ส่งไปอาจจะอยู่ในรูป
ของสัญญาณเสียง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือแสงก็ได้
โดยที่สื่อกลางหรือตัวกลางของสัญญาณนั้นแบ่งเป็น 2
ชนิด คือชนิดที่สามารถกำาหนดเส้นทางสัญญาณได้ เช่น
สายเกลียวคู่ (Twisted paire) สายโทรศัพท์ สายโคแอกเชีย
ล (Coaxial) สายใยแก้วนำาแสง (Fiber Optic) ส่วนตัวกลางอีก
ชนิดหนึ่งนั้นไม่สามารถกำาหนดเส้นทางของสัญญาณได้
เช่น สุญญากาศ นำ้า และ ชั้นบรรยากาศ เป็นต้น
9. แบบของการส่งสัญญาณข้อมูล
แบ่งได้เป็น 4 รูปแบบดังนี้
การส่ง สัญ ญาณทางเดีย ว (One-Way Transmission หรือ
Simplex)
- การส่งวิทยุกระจายเสียง การแพร่ภาพโทรทัศน์
การส่ง สัญ ญาณกึ่ง ทางคู่ (Half-Duplex หรือ Either-Way)
- วิทยุสนาม
การส่ง สัญ ญาณทางคู่ (Full-Duplex หรือ Both way
Transmission)
- การใช้โทรศัพท์
10. มาตรฐานสากล (International Standards)
ISO (The International Standards Organization)
พัฒนามาตรฐานสากลเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมเครือข่าย
CCITT (The Conseclitive Committee in International)
พัฒนามาตรฐาน V และ x โดยทีมาตรฐาน v ใช้สำาหรับวงจรโทรศัพท์และ
่
โมเด็ม เช่น v29, v34 ส่วนมาตรฐาน x ใช้กับเครือข่ายข้อมูลสาธารณะเช่น
เครือข่าย x.25 แพ็กเกจสวิตช์ (Package switch) เป็นต้น
ANSI (The American National Standards Institute)
พัฒนามาตรฐานเกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูลและระบบเครือข่ายมาตรฐาน
ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์ตัวเลขที่ใช้ในการติดต่อสือสาร
่
ข้อมูลและมาตรฐานเทอร์มนัล ิ
IEE (The Institute of Electronic Engineers)
มาตรฐานนี้จะเน้นไปทางด้านอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ไมโคร
โปรเซสเซอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในไมโครคอมพิวเตอร์ เช่น IEE
802.3 ซึ่งใช้ระบบ LAN (Local Area Network)
EIA (The Electronics Industries Association)
11. 6. ลัก ษณะของสัญ ญาณที่ใ ช้ใ นการ
ส่ง สัญ ญาณข้อ มูล
2 ลัก ษณะดัง นี้
การส่ง สัญ ญาณแบบอนาลอก (Analog Transmission)
สัญญาณอนาลอกที่ส่งออกไปนั้นเมื่อระยะห่างออกไป
สัญญาณก็จะอ่อนลงเรื่อย ๆ -- Amplifier
- เกิด Noise ขึ้น
- แก้ไขโดยใช้ Filter
12. การส่ง สัญ ญาณแบบดิจ ิต อล (Digital Transmission)
การส่งสัญญาณแบบดิจิตอลจะใช้เมื่อต้องการข้อมูลที่
ถูกต้องชัดเจนแน่นอน ดังนั้นจึงจำาเป็นต้องสนใจราย
ละเอียดทุกอย่างที่บรรจุมากับสัญญาณ เมื่อระยะทางใน
การส่งมากขึ้น สัญญาณดิจิตอลก็จะจางลง ซึ่งสามารถ
แก้ไขได้โดยรีพีตเตอร์ (Repeater)
13. 7. รหัสที่ใช้สงสัญญาณข้อมูล (Transmission
่
Code)
แบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ แบบดิจิตอลและแบบอนาลอก
ตัวอักษร ตัวเลข เสียง และภาพต่าง ๆ ซึ่งข่าวสารเหล่านี้
จะอยู่ในรูปแบบอนาลอก แต่เมื่อต้องการนำาข้อมูลหรือ
ข่าวสารเหล่านี้มาใช้กับคอมพิวเตอร์ จะต้องเปลี่ยน
ข้อมูล หรือข่าวสารเหล่านี้ให้อยู่ในรูปแบบที่
คอมพิวเตอร์เข้าใจได้เสียก่อน ซึ่งคอมพิวเตอร์จะรับรู้
ข่าวสารที่เป็นแบบดิจิตอลเท่านั้น นั่นคือการเข้าสู่
กระบวนการเปลียนข่าวสารแบบอนาลอกให้เป็นข่าวสาร
่
แบบดิจิตอล
- ตัวอักษรที่พิมพ์เข้าไปจะต้องมีการเข้ารหัสโดยผ่านตัว
Encoder ให้อยู่ในรูปของสัญญาณที่สามารถส่งสัญญาณ
ต่อไปได้เมื่อสัญญาณถูกส่งไปยังเครื่องรับ จากนั้น
เครื่องรับก็จะตีความสัญญาณที่ส่งมาและผ่านตัว Decodes
14. 8. รูป แบบของรหัส
รหัสทีใช้ในการสื่อสารข้อมูลโดยทั่วไปจะอยู่ในรูปของไบนารี (Binary) หรือเลขฐานสอง
่
ซึ่งประกอบด้วยเลข 0 กับเลข 1 โดยใช้รหัสทีเป็นเลข 0 แทนการไม่มีสัญญาณไฟและเลข
่
1 แทนการมีสัญญาณไฟ ซึ่งเป็นไปตามหลักการของไฟฟ้าที่มลักษณะมีไฟและไม่มไฟี ี
อยู่ตลอดเวลา เรียกรหัสที่ประกอบด้วย 0 กับ 1 ว่าบิต (Binary Digit) แต่เนื่องจากข้อมูลหรือ
ข่าวสารทั่วไปประกอบด้วยตัวอักษร ตัวเลขและสัญลักษณ์มากมาย ถ้าจะใช้ 0 กับ 1 เป็น
รหัสแทนแล้วก็คงจะได้เพียง 2 ตัวเท่านั้น เช่น 0 แทนตัว A และ 1 แทนด้วย B
รหัส แอสกี (ASCll CODE) American Standard Code for Information Interchange ใช้สำาหรับส่ง
ข่าวสาร มีขนาด 8 บิต โดยใช้ 7 บิตแรกเข้ารหัสแทนตัวอักษร ส่วนบิตที่ 8 จะเป็นบิต
ตรวจสอบ (Parity Bit Check) รหัสแอสกีได้รับมาตรฐานของ CCITT หมายเลข 5 เป็นรหัสที่ได้
รับความนิยมในการสื่อสารข้อมูลอย่างกว้างขวาง เนื่องจากรหัสแอสกีใช้ 7 บิตแรกแทน
ตัวอักขระ แต่ละบิตจะประกอบด้วยตัวเลข 0 หรือเลข 1 ดังนั้นรหัสแอสกีจะมีรหัสทีแตก ่
ต่างกันได้เท่ากับ 27 หรือเท่ากับ 128 ตัวอักขระนั่นเองในจำานวนนี้จะแบ่งเป็นตัวอักษรที่
พิมพ์ได้ 96 อักขระ และเป็นตัวควบคุม (Control Characters) อีก 32 อักขระ ซึงใช้สำาหรับ
่
ควบคุมอุปกรณ์และการ ทำางานต่าง ๆ
รหัส โบคอต (Baudot Code) เป็นรหัสทีใช้กบระบบโทรเลข และเทเล็กซ์ ซึ่งอยู่ภายใต้
่ ั
มาตรฐานของ CCITT หมายเลข 2 เป็นรหัสขนาด 5 บิต สามารถมีรหัสทีแตกต่างกันได้ ่
เท่ากับ 25 หรือเท่ากับ 32 รูปแบบ ซึงไม่เพียงพอกับจำานวนอักขระทังหมด จึงมีการเพิ่ม
่ ้
อักขระพิเศษขึ้นอีก 2 ตัว คือ 11111 หรือ LS (Letter Shift Character) เพื่อเปลี่ยนกลุ่มตัวอักษรเป็น
ตัวพิมพ์เล็ก (Lower case) และ 11011 หรือ FS(Figured Shift Character) สำาหรับเปลี่ยนกลุ่มตัวอักษร
เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทำาให้มีรหัสเพิ่มขึนอีก 32 ตัว แต่มอักขระซำ้ากับอักขระเดิม 6 ตัว จึง
้ ี
สามารถใช้รหัสได้จริง 58 ตัว อีก 32 ตัว แต่มอักขระซำ้ากับอักขระเดิม 6 เดิม จึงสามารถ
ี
ใช้รหัสได้จริง 58 ตัว เนื่องจากรหัสโบคอตมีขนาด 5 บิต ซึงไม่มีบิตตรวจสอบจึงไม่นิยม
่
นำามาใช้กับคอมพิวเตอร์
รหัส EBCDIC (Extended Binary Coded Decimal Interchange Code) พัฒนาขึนโดยบริษัท IBM มีขนาด
้
8 บิตต่อหนึ่งอักขระ โดยใช้บิตที่ 9 เป็น บิตตรวจสอบ ดังนั้นจึงสามารถมีรหัสทีแตกต่าง ่
15. 9. รหัส แบบของการเชือ มต่อ เพื่อ การ
่
สือ สารข้อ มูล
่
1. การเชื่อ มต่อ แบบจุด ต่อ จุด (Point to Point Line)
เป็นการเชื่อมต่อแบบพืนฐาน โดยต่อจากอุปกรณ์รับหรือส่ง 2 ชุด
้
ใช้สายสือสารเพียงสายเดียวมีความยาวของสายไม่จำากัด เชื่อมต่อ
่
สายสื่อสารไว้ตลอดเวลา (Lease Line) ซึ่งสายส่งอาจจะเป็นชนิด
สายส่งทางเดียว (Simplex) สายส่งกึ่งทางคู่ (Half-duplex) หรือสายส่ง
ทางคู่แบบสมบูรณ์ (Full-duplex) ก็ได้ และสามารถส่งสัญญาณข้อมูล
ได้ทั้งแบบซิงโครนัสหรือแบบอซิงโครนัส
2. การเชื่อ มต่อ แบบหลายจุด (Multipoint or Multidrop)
เนื่องจากค่าเช่าช่องทางในการส่งผ่านข้อมูลต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง
การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุดนั้นสิ้นเปลืองสายสื่อสารมากการส่ง
ข้อมูลไม่ได้ใช้งานตลอดเวลา จึงมีแนวความคิดที่จะใช้สายสื่อสาร
เพียงสายเดียวแต่เชื่อมต่อกับหลายๆ จุด ซึ่งทำาให้ประหยัดค่าใช้
จ่ายได้มากกว่า
การเชื่อมต่อแบบหลายจุดแต่จุดจะมี Buffer ซึ่งเป็นที่พกเก็บข้อมูล
ั
ชั่วคราวก่อนทำาการส่ง โดยบัฟเฟอร์จะรับข้อมูลมาเก็บเรื่อย ๆ จน
16. 3. การเชื่อ มต่อ เครือ ข่า ยแบบสลับ ช่อ งทางการ
สื่อ สาร (Switched Network)
เครือข่ายแบบสลับช่องทางการสื่อสารที่เห็นโดย
ทั่วไปมี 4 รูปแบบดังนี้
เครือข่ายสื่อสารโทรศัพท์ (The Telephone Network)
เครือข่ายสื่อสารเทลเล็กช์ (The Telex/TWX Network)
เครือข่ายสื่อสารแพคเกตสวิตซ์ซิ่ง (package Switching
Network)
เครือข่ายสื่อสารสเปเซียลไลซ์ ดิจิตอล (Specialized Digital
Network)
17. 10. สือ กลางที่ใ ช้ใ นการสือ สาร
่ ่
ข้อ มูล
2 ประเภท คือ สื่อกลางที่กำาหนดเส้นทางได้ เช่น สาย Coaxial
สายเกลียวคู่ (Twisted-pair) สาย Fiber Optic และสื่อกลางที่กำาหนด
เส้นทางไม่ได้ เช่น คลืนวิทยุ คลื่นดาวเทียม คลื่นไมโครเวฟ
่
เป็นต้น
สาย Coaxial Cable
นิยมใช้ในระบบการสื่อสารความถี่สูง เช่น สายอากาศของทีวี
สายชนิดนี้ถูกออกแบบมาให้มีค่าความต้านทาน 75 โอห์มและ
50 โอห์ม โดยสาย 75 โอห์ม ส่วนใหญ่ใช้กับสายอากาศทีวีและ
สาย 50 โอห์ม จะนำามาใช้กับการสื่อสารที่เป็นระบบดิจิตอล
- คุณสมบัติ ประกอบด้วยตัวนำาสองสาย โดยมีสายหนึ่งเป็น
แกนอยู่ตรงกลางและอีกเส้นเป็นตัวนำาล้อมรอบอยู่อกชั้น มีี
ขนาดของสาย 0.4 ถึง 1 นิ้ว
- มี 2 แบบ คือ แบบหนาและแบบบาง แบบหนาจะแข็ง การ
เดินสายทำาได้ค่อนข้างยาก แต่สามารถส่งสัญญาณได้ไกล
18. สายคู่บ ิด เกลีย ว ( Twisted-Pair)
สายมาตรฐานสองเส้นหุ้มด้วยฉนวนแล้วบิดเป็นเกลียว สามารถ
รับส่งข้อมูลได้ทั้งแบบ อนาลอกและแบบดิจิตอล สายชนิดนี้จะมี
ขนาด 0.015-0.056 นิ้ว ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็ว 10 เมกะบิตต่อ
วินาที ถ้าใช้ส่งสัญญาณแบบอนาลอกจะต้องใช้วงจรขยายหรือ
แอมพลิฟายเออร์ ทุก ๆ ระยะ 5-6 กม. แต่ถ้าต้องการส่งสัญญาณ
แบบดิจิตอลจะต้องใช้อปกรณ์ทำาซำ้าสัญญาณ (Repeater) ทุก ๆ
ุ
ระยะ 2-3 กม. การส่งข้อมูลแบบดิจิตอล สัญญาณที่ส่งเป็น
ลักษณะคลื่นสี่เหลี่ยม สายคู่บิดเกลียวสามารถใช้ส่งข้อมูลได้
หลายเมกะบิตต่อวินาทีในระยะทางได้ไกลหลายกิโลเมตร
เนื่องจากสายคู่เกลียว มีราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้ดี และ
มีนำ้าหนักเบา นอกจากนั้นยังง่ายต่อการติดตั้ง จึงถูกใช้งาน
อย่างกว้างขวางตัวอย่างของสายคู่บิดเกลียว คือ สายโทรศัพท์
สายคู่บิดเกลียวนั้นจะมีอยู่ 2 ชนิดคือ
สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair : STP) เป็นสาย
คู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่หนาอีกชั้นหนึ่ง เพื่อ
ป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
19. สายส่ง แบบ Fiber Optic
เป็นการส่งสัญญาณด้วยใยแก้ว และส่งสัญญาณด้วยแสงมี
ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสามารถส่งข้อมูลได้ด้วยเร็ว
เท่ากับแสง ไม่มีสัญญาณรบกวนจากภายนอก
- ประกอบด้วยเส้นใยแก้ว 2 ชนิด ชนิดหนึ่งอยู่ตรงแกนกลาง
อีกชนิดหนึ่งอยู่ด้านนอก โดยที่ใยแก้วทั้ง 2 นี้จะมีดัชนีใน
การสะท้อนแสงต่างกัน ทำาให้แสงที่ส่งจากปลายด้านหนึ่ง
ผ่านไปยังอีกด้านหนึ่งได้
20. 14. รูป แบบการประมวลผลแบบกระจาย
เครือ ข่า ย (Organizational Distributed Processing)
วิธการประมวลผลของเครือข่ายคอมพิวเตอร์มี 3 รูปแบบ คือ
ี
1.Terminal-to-Host Processing
2. File Server Processing
3. Client/Server