บทที่ 2
- 1. บทที่ 2
การสื่อสารข้อมูลและระบบเครือข่าย
แผนการสอน
1. ชื่อบท : การสื่อสารข้อมูลและระบบเครือข่าย
2. หัวข้อหลัก:
2.1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูล
2.1.1 องค์ประกอบพื้นฐานในการสื่อสารข้อมูล
2.1.2 ชนิดของการสื่อสาร
2.1.3 การสื่อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์
2.1.4 สื่อกลางการสื่อสาร (Transmission media)
2.1.5 อุปกรณ์สาหรับการสื่อสาร
2.2 ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
2.2.1 ประโยชน์การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์
2.2.2 ประเภทของระบบเครือข่าย
2.2.3 รูปแบบการเชื่อมต่อของระบบเครือข่าย(Network topology)
2.2.4 องค์ประกอบของระบบเครือข่าย
2.2.5 ข้อจากัดของระบบเครือข่าย
2.3 มาตรฐานของระบบเครือข่ายเฉพาะที่ (LAN)
2.3.1 อีเทอร์เน็ต(Ethernet)
2.3.2 ฟาสต์อีเทอร์เน็ต และ Gigabit Ethernet
2.3.3 โทเคนริง(Token Ring)
2.3.4 FDDI (Fiber Distributed Data Interface)
2.3.5 เครือข่ายแบบไร้สาย (Wireless LAN)
3. แนวคิด : เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูลและระบบเครือข่าย
4. วัตถุประสงค์ :
4.1 เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจถึงองค์ประกอบพื้นฐานของการสื่อสารข้อมูล
4.2 เพื่อให้ผู้เรียนสามารถอธิบายถึงความแตกต่างของระบบเครือข่ายแต่ละประเภทได้รวมถึงอธิ
บายรูปแบบการเชื่อมต่อของระบบเครือข่ายได้
4.3 เพื่อให้นักศึกษาทราบถึงลักษณะการทางานของเครือข่ายเฉพาะที่แต่ละประเภท
5. วิธีสอน :
รูปแบบการสอน : สอนแบบบรรยายและเน้นให้นักศึกษาศึกษาเพิ่มเติม
สื่อการสอน : Power Point, อุปกรณ์จริง
- 2. 6. การประเมินผล : แบบฝึกหัด, ทดสอบ, ทารายงาน
บทที่ 4
เทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูล
ในปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสาร
ทาให้เราหันมาให้ความสาคัญต่อการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ทาให้เราสามารถติดต่อเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันได้ทั่วโลก ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของอินเทอร์เน็ต
หรือด้านการติดต่อสื่อสารโทรคมนาคมในระยะไกลต่าง ๆ
ก่อให้เกิดการนาเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลมาใช้ในวงการธุรกิจต่าง ๆ
เป็นการนาความรู้จากข้อมูลข่าวสารที่ได้รับมาสร้างทางเลือกในการตัดสินใจในการดาเนินธุรกิจต่าง ๆ
ส่งผลให้เราสามารถลดต้นทุน ลดเวลาในการติดต่อสื่อสาร ส่งเสริมให้เกิดการใช้งานทรัพยากรร่วมกัน
ซึ่งเหมาะกับสภาพขององค์กรในปัจจุบันที่ต้องการการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง
จากจุดเริ่มแรกทาให้มีการใช้บริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมเพิ่มมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และเว็บไซต์เพื่อการพาณิชย์ต่าง ๆ
ส่งผลให้เกิดแรงผลักดันในการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นได้ง่าย ๆ
จากการเปลี่ยนแปลงจากการสื่อสารแบบอนาล็อกเป็นเทคโนโลยีเครือข่ายดิจิทัล
ทาให้มีความเร็วในการส่งข้อมูลสูงขึ้น และส่งข้อมูลได้เป็นจานวนมาก ลดความผิดพลาดในการส่งข้อมูล
ซึ่งสามารถส่งสารสนเทศทั้งที่เป็นข้อมูลประเภท เสียง และวิดีโอ ไปพร้อม ๆ กัน
อีกทั้งการใช้ดาวเทียมสื่อสารทาให้สามารถส่งข้อมูลภาพและเสียงข้ามซีกโลกได้อย่างรวดเร็ว
รวมทั้งการใช้เซลลูลาห์หรือเครือข่ายไร้สายอื่น ๆ
นับว่าเป็นการทาให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการใช้อุปกรณ์แบบพกพาแบบต่าง ๆ
ทาให้เราสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ทั่วโลก
4.1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูล
4.1.1 องค์ประกอบพื้นฐานในการสื่อสารข้อมูล
องค์ประกอบพื้นฐานของการสื่อสารข้อมูลสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ส่วนแสดงดังรูปที่ 4.1
- 3. รูปที่ 4.1 องค์ประกอบการสื่อสาร
1. ผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งข้อมูล (Sender)
เป็นแหล่งต้นทางของการสื่อสารโดยมีหน้าที่ในการให้กาเนิดข้อมูล หรือเตรียมข้อมูล เช่น ผู้พูด
คอมพิวเตอร์ต้นทาง เป็นต้น
2. ผู้รับหรืออุปกรณ์รับข้อมูล (Receiver) เป็นแหล่งปลายทางของการสื่อสาร
หรือเป็นอุปกรณ์สาหรับข้อมูลที่จะนาข้อมูลนั้นไปใช้ดาเนินการต่อไป เช่น ผู้รับ คอมพิวเตอร์ปลายทาง
เครื่องพิมพ์
3. ข่าวสาร(Massage) เป็นตัวเนื้อหาของข้อมูล ซึ่งมีได้หลายรูปแบบดังนี้ คือ
- ข้อความ(Text) ข้อมูลที่อยู่ในรูปอักขระ หรือเอกสาร เช่น ข้อความในหนังสือ เป็นต้น
- เสียง (Voice) ข้อมูลเสียงที่แหล่งต้นทางสร้างขึ้นมา
ซึ่งอาจจะเป็นเสียงที่มนุษย์หรืออุปกรณ์บางอย่างเป็นตัวสร้างก็ได้
- รูปภาพ (Image) เป็นข้อมูลที่ไม่เหมือนข้อความตัวอักษรที่เรียงติดต่อกัน
แต่จะมีลักษณะเหมือนรูปภาพ เช่น การสแกนภาพเข้าคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลรูปภาพกับข้อมูลข้อความ แล้วรูปภาพจะมีขนาดใหญ่กว่า
- สื่อผสม (Multimedia) ข้อมูลที่ผสมลักษณะของทั้งรูปภาพ เสียงและข้อความเข้าด้วยกัน
โดยสามารถเคลื่อนไหวได้ เช่น การเรียนผ่านระบบ VDO conference เป็นต้น โดยข้อมูลจะมีขนาดใหญ่มาก
4. สื่อกลางหรือตัวกลางในการนาส่งข้อมูล (Medium)
เป็นสื่อหรือช่องทางที่ใช้ในการนาข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง ซึ่งอาจเป็นตัวกลางที่มีสายสัญญาณ เช่น
สายไฟ หรือตัวกลางที่ไม่ใช้สายสัญญาณ เช่นอากาศ เป็นต้น
5. โปรโตคอล (Protocol)
เป็นข้อกาหนดหรือข้อตกลงถึงกฎระเบียบและวิธีการที่ใช้ในการสื่อสารเพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับมีความเข้าใจตรงกั
น
4.1.2 ชนิดของการสื่อสาร
- 4. การสื่อสารข้อมูลระหว่างผู้รับกับผู้ส่งสามารถแบ่งได้เป็น 3ประเภท
1. ก า ร สื่ อ ส า ร ข้ อ มู ล ทิ ศ ท า ง เ ดี ย ว ( Simplex Transmission)
เป็นการติดต่อสื่อสารเพียงทิศทางเดียว คือผู้ส่งจะส่งข้อมูลเพียงฝั่งเดียวและโดยฝั่งรับไม่มีการตอบกลับ เช่น
การกระจายเสียงของสถานีวิทยุ การส่ง e-mail เป็นต้น แสดงดังรูปที่ 4.2
รูปที่ 4.2 แสดงการสื่อสารข้อมูลทิศทางเดียว
2.การสื่อสารข้อมูลสองทิศทางสลับกัน (Half Duplex Transmission) เป็ นการสื่อสาร 2
ทิศทางแต่คนละเวลากัน เช่น วิทยุสื่อสาร เป็นต้น แสดงดังรูปที่ 4.3
รูปที่ 4.3 แสดงการสื่อสารข้อมูลสองทิศทางสลับกัน
3.การสื่อสารข้อมูลสองทิศทางพร้อมกัน (Full Duplex Transmission) เป็นการสื่อสาร 2
ทิศทาง โดยสามารถส่งข้อมูลในเวลาเดียวกันได้ เช่น การคุยโทรศัพท์ เป็นต้น แสดงดังรูปที่ 4.4
รูปที่ 4.4 แสดงการสื่อสารข้อมูลสองทิศทางพร้อมกัน
4.1.3 การสื่อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์
การสื่อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง การโอนถ่าย (Transmission)
ข้อมูลหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้ส่งต้นทางกับผู้รับปลายทาง ทั้งข้อมูลประเภท ข้อความ รูปภาพ เสียง
หรือข้อมูลสื่อผสม โดยผู้ส่งต้นทางส่งข้อมูลผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือคอมพิวเตอร์
- 5. ซึ่งมีหน้าที่แปลงข้อมูลเหล่านั้นให้อยู่ในรูปสัญญาณทางไฟฟ้า (Electronic data)
จากนั้นถึงส่งไปยังอุปกรณ์หรือคอมพิวเตอร์ปลายทาง
ประเภทของสัญญาณ
ข้อมูลที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ ต้องเป็นข้อมูลที่อยู่ในรูปสัญญาณทางไฟฟ้า
ซึ่งสามาถจาแนกสัญญาณได้ 2ลักษณะ
1. สัญญาณแบบดิจิทัล(Digitals signal)
เป็ น สั ญ ญ า ณ ที่ ถู ก แ บ่ ง เ ป็ น ช่ ว ง ๆ อ ย่า ง ไ ม่ต่อ เ นื่ อ ง ( Discrete)
โดยลักษณะของสัญญาณจะแบ่งออกเป็นสองระดับเพื่อแทนสถานะสองสถานะ คือ สถานะของบิต 0
และ ส ถาน ะ ข อง บิ ต 1 โดยแ ต่ละ ส ถาน ะ คื อ ก ารใ ห้ แรง ดัน ทาง ไฟ ฟ้ าที่ แต กต่าง กัน
การทางานในคอมพิวเตอร์ใช้สัญญาณดิจิทัล แสดงดังรูปที่ 4.5
รูปที่ 4.5 แสดงสัญญาณแบบดิจิทัล
2. สัญญาณอนาลอก(Analog Signal)
เป็นสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความต่อเนื่องของสัญญาณ
โดยไม่เปลี่ยนแปลงแบบทันที่ทันใดเหมือนกับสัญญาณดิจิทัล เช่น เสียงพูด
หรืออุณหภูมิในอากาศเมื่อเทียบกับเวลาที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง แสดงดังรูปที่ 4.6
รูปที่ 4.6 แสดงสัญญาณแบบอนาลอก
4.1.4 สื่อกลางการสื่อสาร (Transmission media)
การส่งข้อมูลจากผู้ส่งไปยังผู้รับให้ครบถ้วนและถูกต้องจาเป็นต้องอาศัยสื่อกลางในการเชื่อมต่อซึ่งสื่อ
ก ล า ง (Medium) ท า ห น้ า ที่ เ ป็ น เ ส้ น ท า ง เ ดิ น ข อ ง ข้ อ มู ล
โดยคุณภาพของสัญญาณที่ถูกส่งออกไปจะเกิดการสูญเสียความเข้มของสัญญาณระหว่างเส้นทางการสื่อสาร
ทาให้ข้อมูลฝั่ งรับเกิดข้อผิดพ ลาดและ เป็ น การลดทอน ประ สิ ทธิ ภ าพ ของ การสื่ อส ารลง
ซึ่งสื่อที่ใช้ใน การส่งผ่าน ข้อมูล (Transmissionmedium) จึงส่งผลต่อประสิ ทธิภ าพ ใน การส่งด้วย
โดยสื่อกลางในการส่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. สื่อกลางแบบมีสาย (Guidemedia)
- 6. เป็นสื่อซึ่งอาศัยวัสดุที่จับต้องได้เป็นตัวส่งผ่านสัญญาณ เช่น สายทองแดง สายคู่ตีเกลียว
(Twisted pair)
1.1 Twisted Pair (สายคู่ตีเกลียว)
สายคู่ตีเกลียวแบ่งออกเป็นสายคู่ตีเกลียวไม่หุ้มฉนวนเรียกสั้นๆ ว่า UTP (Unshielded
Twisted Pair) และสายคู่ตีเกลียวหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair)
- UTP (Unshielded Twisted Pair)
คู่สายในสายคู่ตีเกลียวไม่หุ้มฉนวนคล้ายสายโทรศัพท์ มีหลายเส้น
ซึ่งแต่ละเส้นก็จะมีสีแตกต่างไปและตลอดทั้งสายนั้นจะถูกหุ้มด้วยพลาสติก(Plastic Cover)
ซึ่งการตีเกลียวลักษณะนี้จะช่วยให้มันมีคุณสมบัติในการป้ องกันสัญญาณรบกวนจากอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ เช่น
จากเครื่องถ่ายเอกสารที่อยู่ใกล้ๆ เป็นต้น ปัจจุบันเป็นสายที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
เนื่องจากราคาถูกและติดตั้งได้ง่าย แสดงดังรูปที่ 4.7
รูปที่ 4.7 UTP (Unshielded Twisted Pair)
- STP (Shield Twisted Pair)
เป็ นสายคู่ลักษณะคล้ายกันกับสาย UTP แต่มีฉนวนป้ องกันสัญญาณรบกวน
ส า ย คู่ตี เ ก ลี ย ว หุ้ ม ฉ น ว น ที่ เ ป็ น โ ล ห ะ ถั ก เ ป็ น ร่ า ง แ ห โ ล ห ะ ห รื อ ฟ อ ย ส์
ซึ่งร่างแหนี้จะมีคุณสมบัติเป็นเกราะในการป้องกันสัญญาณรบกวนต่างๆ ภาษาเทคนิคเรียกเกราะนี้ว่า ชิลด์
(Shield) จะใช้ในกรณีที่เชื่อมต่อเป็นระยะทางไกลเกินกว่าระยะทางที่จะใช้สาย UTP แสดงดังรูปที่ 4.8
รูปที่ 4.8 สายคู่ตีเกลียวหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair)
1.2 สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable)
ลักษณะแกนกลางของสายโคแอกเชียลเป็นทองแดงแล้วหุ้มด้วยพลาสติกส่วนชั้นนอกหุ้มด้วยโลหะหรือฟอยล์
- 7. ที่ถักเป็นร่างแหเพื่อป้ องกันสัญญาณรบกวน สายโคแอกเชียลมี 2แบบ คือ แบบหนา (thick) และแบบบาง
(thin) ส่ ว น ใ ห ญ่ ใ ช้ กั บ ร ะ บ บ เ ค รื อ ข่ า ย แ บ บ Ethernet แ บ บ เ ดิ ม
ซึ่ ง ใ ช้เชื่ อมต่อระ ห ว่าง เค รื่ อง คอมพิ วเต อร์ โดยตรง ไม่ต้อง ใ ช้อุ ปก รณ์ รวมส าย (Hub)
แต่ในปัจจุบันมีการใช้น้อยลงเนื่องจากถูกแทนที่ด้วยสาย UTP ที่มีราคาถูกกว่าและสามารถติดตั้งได้ง่ายกว่า
แสดงดังรูปที่ 4.9
รูปที่ 4.9 สายโคแอกเชียล
1.3 ใยแก้วนาแสง (Fiber-Optic)
ลักษณะใยแก้วนาแสงจะส่งสัญญาณแสงวิ่งผ่านท่อแก้วหรือท่อพลาสติกเล็กๆซึ่งท่อแก้วนี้จะ
ถูกหุ้ มด้วยเจลห รื อพ ลาสติ ก เพื่ อ ป้ อง กัน ความเสี ยห ายและ ก ารสู ญ เสี ยของ สัญ ญ าณ
มีข้อดีตรงที่ส่งสัญญาณได้ระยะทางไกลโดยไม่มีสัญญาณรบกวน แสดงดังรูปที่ 4.10
รูปที่ 4.10 ใยแก้วนาแสง
2. สายกลางแบบไร้สาย (Unguided media)
เป็ น สื่ อ ก ล า ง ป ร ะ เ ภ ท ที่ ไ ม่ใ ช้ วัส ดุ ใ ด ๆ ใ น ก า ร น า สั ญ ญ า ณ
ซึ่งจะไม่มีการกาหนดเส้นทางให้สัญญาณเดินทาง เช่น คลื่นไมโครเวฟ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
2.1 ระบบคลื่นไมโครเวฟ
ร ะ บ บ สื่ อ ส า ร ด้ ว ย ค ลื่ น ไ ม โ ค ร เ ว ฟ
มักใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่อยู่ในพื้นที่ที่เชื่อมต่อด้วยสื่อประเภทอื่นลาบาก เช่น มีแม่น้าขวางกั้นอยู่
- 8. ห รื อ ก า ร สื่ อ ส า ร ข้ า ม อ า ค า ร เ ป็ น ต้ น
การส่งสัญ ญาณ ข้อมูลไปกับคลื่น ไมโครเวฟ เป็ น การส่ง สัญญ าณ ข้อมูลแบบรับช่วงต่อๆ
กัน จากสถานี รับส่ง สัญญ าณ ห นึ่ งไปยังอีกส ถานี ห นึ่ ง โดยสามารถเกิดสัญ ญาณ รบกวน
ซึ่งสภาพดินฟ้ าอากาศมีผลต่อการส่งคลื่นไมโครเวฟพอสมควร เช่นถ้าสภาพอากาศมีฝนหรือควันมาก
สั ญ ญ า ณ ไ ม โ ค ร เ ว ฟ จ ะ ถู ก ร บ ก ว น ไ ด้
ด้วยเหตุนี้ทาให้เครื่องส่งรับไมโครเวฟส่วนใหญ่จะถูกออกแบบมาให้ทางานในสภาพอากาศต่างๆ
ที่แตกต่างกัน แสดงดังรูปที่ 4.11
รูปที่ 4.11 ระบบคลื่นไมโครเวฟ
2.2 ระบบดาวเทียม
การสื่ อ สารผ่าน ดาวเที ยมเป็ น การสื่ อสารที่ส ถานี รับ -ส่ง ที่ อยู่บน พื้ น ดิ น
ส่ง ต ร ง ไ ป ยัง ด าว เที ย ม แ ล้ วส่ ง ก ลับ ม า ยัง ตัว รั บ ป ล าย ท า ง ที่ พื้ น ดิ น อี ก ค รั้ ง ห นึ่ ง
ลักษณะการสื่อสารระบบดาวเทียมเหมาะสาหรับการติดต่อสื่อสารระยะไกลที่ระบบสื่อสารอื่นๆ เข้าถึงลาบาก
เช่น เดินเรืออยู่กลางทะเล แสดงดังรูปที่ 4.12
รูปที่ 4.12 ระบบดาวเทียม
สัญญาณรบกวนและสภาพดินฟ้าอากาศก็นับว่ามีผลต่อการส่งข้อมูลจากสถานีพื้นโลกกับดาว
เทียมอยู่พ อสมควร เพราะว่าสภาพ อากาศที่แปรปรวน จะ รบกวน สัญญาณให้ผิดเพี้ ยนไปได้
โดยส่วนใหญ่ดาวเทียมจะถูกออกแบบมาให้ชดเชยการรบกวนของสภาพอากาศที่แปรปรวนเหล่านั้นเช่น ฝน
หรือหมอก เป็นต้น
4.1.5 อุปกรณ์สาหรับการสื่อสาร
- 9. การสื่อสารข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์จาเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์ทางอิเล็คโทรนิกค์ช่วยในการส่งข้อมูล
จากผู้ส่งไปยังผู้รับ ไม่ว่าจะเป็นการแปลงข้อมูล เช่น ข้อความในกระดาษ รูปภาพ
ที่ไม่อยู่ในรูปสัญญาณทางไฟฟ้าให้เปลี่ยนอยู่ในรูปสัญญาณไฟฟ้าหรือสัญญาณดิจิทัล
อุปกรณ์ในการสื่อสารยังรวมถึงอุปกรณ์ที่ช่วยในการแก้ปัญหาสัญญาณอ่อนกาลัง
ปัญหาสัญญาณรบกวนเมื่อมีการส่งสัญญาณ
ดังนั้นระบบการสื่อสารข้อมูลจึงต้องมีอุปกรณ์การสื่อสารมาช่วยในการจัดการปัญหาต่างๆ
เหล่านี้เพื่อให้สามารถส่งข้อมูลได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
โดยในหัวข้อนี้จะขอยกตัวอย่างอุปกรณ์ที่มีการใช้กับมากในระบบการสื่อสารข้อมูล
1. เครื่องเทอร์มินอล (Terminal)
เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทางหรือปลายทางที่ทาหน้าที่ในการส่งและรับข้อมูล ได้แก่
เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วๆไป (Personal Computer)
2. โมเด็ม (Modem)
เมื่อต้องการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบเครือข่าย
ไปยังระบบอินเทอร์เน็ต(Internet) ต้องอาศัยอุปกรณ์ที่เรียกว่า โมเด็ม
ซึ่งทาหน้าที่แปลงสัญญาณจากสัญญาณดิจิทัลเป็นสัญญาณอนาล็อกแล้วส่งผ่านไปตามระบบโทรศัพท์
3. เครื่องทวนสัญญาณ (Repeater)
เป็นอุปกรณ์ทบทวนสัญญาณ และป้ องกันการขาดหายของสัญญาณ เนื่องจาก
การสื่อสารข้อมูลต้องใช้สัญญาณไฟฟ้าในการรับส่งข้อมูล
โดยตามปรกติเมื่อสัญญาณทางไฟฟ้าเดินทางจากจุดๆหนึ่งไปยังปลายทางจะเกิดการสูญเสียแรงดันทางไฟฟ้า
และส่งผลให้สัญญาณเกิดออ่อนกาลัง ดังนั้น จึงจาเป็นต้องมีรีพีตเตอร์มาช่วยในการรับส่งข้อมูล
โดยรีพีตเตอร์ทาหน้าที่ทบทวนสัญญาณไฟฟ้าขึ้นใหม่ให้เหมือนสัญญาณเดิมที่ถูกส่ง
4. เครื่องขยายสัญญาณ (Amplifier)
เป็นอุปกรณ์ขยายสัญญาณ โดยมีหน้าที่การทางานเหมือนกับรีพีตเตอร์
แต่จะใช้กับสัญญาณอนาล็อก
โดยเมื่อสัญญาณอนาล็อกอ่อนกาลังเครื่องขยายสัญญาณจะทาการขยายสัญญาณที่อ่อนกาลังให้มีค่าเพิ่มขึ้นใกล้
เคียงหรือมีค่าเท่ากับสัญญาณเดิม แต่ของเสียของเครื่องขยายสัญญาณคือ
มันจะขยายสัญญาณรบกวนที่ผสมมากับสัญญาณข้อมูลด้วย
4.2 ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network)
- 10. จากระบบการสื่อสารข้อมูลค้วยคอมพิวเตอร์ที่กล่าวไว้ข้างต้น
ซึ่งจะเป็นการสื่อสารข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ฝั่งส่งกับคอมพิวเตอร์ฝั่งรับ 2 เครื่อง
แต่เมื่อเราต้องการสื่อสารข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์มากกว่า 2 ตัว
โดยการนาคอมพิวเตอร์มาต่อร่วมกันหลายๆ เครื่อง เราจะเรียกว่า ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์(Computer
Network) ซึ่งในปัจจุบันระบบเครือข่ายมีความสาคัญเป็นอย่างมากทั้งทางด้านธุรกิจ หรือทางด้านการศึกษา
เช่น การใช้ระบบเครือข่ายของธนาคาร การใช้เครือข่ายในมหาวิทยาลัยเพื่อการค้นหนังสื่อ
หรือหาข้อมูลการวิจัย เป็นต้น
โดยการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์นั้นเป็นการเพิ่มความสามารถของระบบให้สูงขึ้นและเป็นการลดต้นทุนระบบโด
ยรวมลง ซี่งจะมีการแบ่งการใช้งานอุปกรณ์และข้อมูลต่าง ๆ ตลอดจนสามารถทางานร่วมกันได้ เช่น
สามารถการโอนย้ายข้อมูลระหว่างกัน หรือการนาข้อมูลไปใช้ประมวลผลในลักษณะแบ่งกันใช้ทรัพยากร เช่น
แบ่งกันใช้ซีพียู แบ่งกันใช้ฮาร์ดดิสก์ แบ่งกันใช้โปรแกรม และแบ่งกันใช้อุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีราคาแพง เป็นต้น
4.2.1 ประโยชน์การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์
การใช้ทรัพยากร (Resource) รวมกัน คือ สามารถใช้อุปกรณ์ที่มีราคาสูงร่วมกันได้
ทาให้ประหยัดค่าใช้จ่ายฮารด์แวร์ ลงไปได้มากเนื่องจากไม่ต้องมีอุปกรณ์เหล่านี้ในทุกๆ จุด เช่น
ซื้อเครื่องพิมพ์คุณภาพดีมาใช้ร่วมกัน ดีกว่าซื้อเครื่องพิมพ์ให้แก่คอมพิวเตอร์ทุกตัว
ดังนั้นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นเครือข่ายจึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้กว้างขวางและมากขึ้นจ
ากเดิม และการเชื่อมต่อเครือข่ายนั้นยังไม่ได้จากัดอยู่ที่การเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น
แต่ยังรวมไปถึงการเชื่อมต่ออุปกรณ์รอบข้าง เช่น การเชื่อมต่อกับระบบโทรศัพท์ เป็นต้น
การใช้ข้อมูลในไฟล์รวมกัน
เป็นการเข้าถึงข้อมูลและแบ่งปันข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวใดก็ได้ที่เชื่อมต่อกัน
โดยไม่ต้องใช้แผ่นดิกส์หรืออุปกรณ์เก็บข้อมูลแบบอื่นช่วยในการโอนย้ายข้อมูล เช่น
การใช้ฟอร์มงานเอกสารต่างๆ ร่วมกัน หรือการถ่ายโอนข้อมูล เป็นต้น
4.2.2 ประเภทของระบบเครือข่าย
1. ระบบเครือข่ายเฉพาะที่(LAN)
คือ เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายขนาดเล็กในพื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก เช่น ภายในห้อง
หรือภายในตัวอาคาร แสดงดังรูปที่ 4.13
- 11. รูปที่ 4.13 ระบบเครือข่ายเฉพาะที่
2. ระบบเครือข่ายระหว่างเมือง(MAN)
คือ เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่า LAN มักเกิดจากการเเชื่อมโยงเครือข่าย
LAN ในบริเวณเดียวกันเข้าด้วยกัน เช่นการเชื่อมต่อระบบระหว่างองค์กรกับองค์กรที่อยู่ แสดงดังรูปที่ 4.14
รูปที่ 4.14 ระบบเครือข่ายระหว่างเมือง
3. ระบบเครือข่ายระยะไกล (WAN)
เป็นเครือข่ายบริเวณกว้าง ซึ่งอาจมีขอบเขตการเชื่อมต่อที่กว้างไกลขึ้นจาก LAN และ MAN
ซึ่งเมื่อเชื่อมต่อแล้วจะก่อให้เกิดเป็นระบบเครือข่ายในระดับจังหวัด ประเทศ หรือข้ามทวีปได้ แสดงดังรูปที่
4.15
รูปที่ 4.15 ระบบเครือข่ายระยะไกล
4. อินเทอร์เน็ต
คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่มาก โดยเกิดจากการรวมเอาเครือข่าย LAN MAN
และ WAN ย่อยๆ จานวนมากเข้าด้วยกัน ทาให้คอมพิวเตอร์ทุกตัวสามารถรับ-ส่งข้อมูลซึ่งกันและกันได้
แสดงดังรูปที่ 4.16
- 12. รูปที่ 4.16 อินเทอร์เน็ต
4.2.3 รูปแบบการเชื่อมต่อของระบบเครือข่าย (Network topology)
1. การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบดาว
ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องมาเชื่อมต่อในลักษณะแบบดาว คือ
มีคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งที่เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ และอุปกรณ์ที่เหลือ
โดยเครื่องศูนย์กลางจะทาหน้าที่ในการควบคุมการสื่อสาร ทั้งการกาหนดเส้นทางการสื่อสาร
หรือการดูแลอุปกรณ์ที่จะใช้งานร่วมกัน กล่าวคือ คอมพิวเตอร์ตัวใด
จะติดต่อสื่อสารกันจะต้องผ่านคอมพิวเตอร์ตัวกลางนี้ตลอด หรือ คอมพิวเตอร์ตัวใด ต้องการพิมพ์งาน
ก็จะต้องติดต่อกับเครื่องพิมพ์ผ่านคอมพิวเตอร์ตัวกลางก่อน
ซึ่งถ้าคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางเกิดเสียหายจะทาให้ทั้งระบบไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ แสดงดังรูปที่ 4.17
รูปที่ 4.16 การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบดาว
2. การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบบัส
เป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ทั้งหมดบนสายสื่อสารเพียงเส้นเดียว เช่น
สายคู่บิตเกลียว สายโคแอ็กเซียว หรือสายใยแก้วนาแสง
โดยสัญญานที่ถูกส่งออกมาจากอุปกรณ์หรือคอมพิวเตอร์ตัวใดก็ตามจะเป็นลักษณะการกระจายข่าว
( Broadcast) คือ
ส่งออกไปทั้งสองทิศทางไปยังทุกส่วนของระบบเครือข่ายนั้นโดยมีซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งกับอุปกรณ์แต่ละตัวเป็น
ตัวควบคุมการสื่อสาร ซึ่งเป็นการทางานที่ไม่มีอุปกรณ์ตัวใดทาหน้าที่เป็นผู้ควบคุมระบบเลย
ในกรณีนี่ถ้าอุปกรณ์ใดก็ตามหยุดการทางานไปก็จะไม่มีผลกระทบต่ออุปกรณ์ที่ยังคงทางานอยู่
- 13. แต่อย่างไรก็ตาม ณ ขณะเวลาๆ หนึ่งระบบนี้จะมีอุปกรณ์เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งสัญญาณออกมาได้
โดยอุปกรณ์ตัวอื่นที่ต้องการส่งสัญญาณจะต้องหยุดรอจนกว่าในระบบจะไม่มีผู้ใดส่งสัญญาณจึงจะสามารถเริ่
มส่งสัญญาณของตนเองออกมาได้
ถ้ามีอุปกรณ์ตั้งแต่สองตัวขึ้นไปส่งสัญญาณออกมาพร้อมกันก็จะเกิดปัญหาสัญญาณชนกัน (Collision)
ซึ่งจะทาให้สัญญาณของทุกฝ่ายเสียหายไม่สามารถนาไปใช้งานได้ระบบนี้จะมีประสิทธิภาพต่าในกรณีที่มีอุป
กาณ์เชื่อมต่ออยู่เป็นจานวนมาก แสดงดังรูปที่ 4.18
รูปที่ 4.18 การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบบัส
3. การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบวงแหวน
เป็นการเชื่อมต่อที่มีลักษณะเป็นวงแหวน การรับส่งข้อมูลจะเป็นไปในทิศทางเดียว โดยใช้
Token ซึ่งเป็นตัวอนุญาตให้คอมพิวเตอร์ตัวใดมีสิทธิ์ส่งข้อมูลเพื่อไม่ให้เกิดการชนกันของข้อมูล
โดยถ้าคอมพิวเตอร์ตัวใดต้องการส่งข้อมูลก็จะไปจับ Token มาและใส่ข้อมูลไปกับ Token ซึ่งในขณะที่ Token
ไม่ว่างคอมพิวเตอร์ตัวอื่น ก็ไม่สามารถส่งข้อมูลได้ จึงจาเป็นต้องรอให้ Token ว่าง ซึ่ง Token
จะว่างก็ต่อเมื่อส่งข้อมูลได้ถูกต้องเรียบร้อยแล้ว แสดงดังรูปที่ 4.19
รูปที่ 4.19 การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบดาว
4. เครือข่ายแบบผสม(Mesh Network)
เป็นเครือข่ายที่ไม่มีรูปร่างที่แน่นอน เป็นการผสมเครือข่ายหลายๆแบบเข้าด้วยกัน เช่น
เครือข่ายแบบบัสผสมแบบวงแหวนผสมแบบดาว แสดงดังรูปที่ 4.20
- 14. รูปที่ 4.20 การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบผสม
4.2.4 องค์ประกอบของระบบเครือข่าย
ในหัวข้อนี้จะเป็นการพูดถึงอุปกรณ์ใดบ้างที่จาเป็นต้องใช้ในการสร้างเครือข่าย
เพื่อให้เห็นภาพรวมของระบบเครือข่ายกับสิ่งที่ได้กล่าวไปทั้งหมด โดยจะเน้นที่เครือข่ายเฉพาะที่ (LAN)
เป็นตัวอย่าง
1. อุปกรณ์ฮารด์แวร์
1.1 NIC (Network Interface Card)
เป็นการ์ดที่ใช้ในการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์กับสายสื่อสาร แสดงดังรูปที่ 4.21
รูปที่ 4.21 การ์ดแลน
1.2 HUB
เป็นอุปกรณ์ที่จาเป็นในการต่อสาย LAN แบบ UTP (Unshielded Twisted Pair) โดย
HUB แต่ละตัวจะมีพอร์ตในการเชื่อมต่อกับสาย UTP ในจานวนที่แตกต่างกัน เช่น 8, 16, 24 หรือมากกว่านั้น
ข้อดีของการใช้ HUB คือ
ถ้ามีเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวใดหรือสายสัญญาณเส้นใดมีปัญหาผิดปกติก็สามารถดึงออกได้โดยง่าย
สามารถสลับเครื่อง เพิ่ม-ลดจานวน รวมถึงสะดวกในการโยกย้ายสายสัญญาณ
เพราะสายสัญญาณทั้งหมดนั้นรวมที่เดียวกันหมด
ซึ่งอาจทาเป็นห้องหรือตู้ขึ้นมาเก็บสายสัญญาณให้เรียบร้อยได้ แสดงดังรูปที่ 4.22
- 15. รูปที่ 4.22 รูปแสดง Hub ที่ใช้ในการเชื่อมต่อ
1.3 Bridge
เป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่ติดต่อสื่อสารข้อมูลระหว่างเครือข่าย LAN 2 เครือข่าย
โดยบริดจ์จะรับข้อมูลจากเครือข่ายต้นทาง แล้วทาการตรวจสอบตาแหน่งของเครือข่ายปลายทาง
จากนั้นจะทาการส่งข้อมูลไปยังเครือข่ายปลายทาง แสดงดังรูปที่ 4.23
รูปที่ 4.23 รูปแสดง Bridge ที่ใช้ในการเชื่อมต่อ
1.4 Router
เราเตอร์ เหมือนกับบริดจ์ แต่จะมีประสิทธิภาพมากกว่า
โดยสามารถจัดหาเส้นทางข้อมูล เพื่อส่งไปให้ยังสถานีปลายทางได้อย่างถูกต้อง
ปัจจุบันได้มีการรวมหน้าที่การทางานของ Gateway ไว้ใน Router แล้วทาให้สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นๆ
ได้อย่างไม่มีข้อจากัดทางด้านรูปแบบของแพ็คเก็ต เช่นRouter สามารถแปลงรูปแบบของ Apple talk ไปเป็น
TCP/IP ได้เป็นต้น แสดงดังรูปที่ 4.24
รูปที่ 4.24 รูปแสดง Router ที่ใช้ในการเชื่อมต่อ
2. ซอฟต์แวร์
ระบบปฏิบัติการของระบบเครือข่าย เรียกว่า NOS (Network Operating System)
เป็นตัวติดต่อระหว่างสถานีผู้ใช้ กับ ไฟล์เซิร์ฟเวอร์ เช่น Novell’s NetWare OS/2 LAN Server, Microsoft
Windows NT Server, Microsoft Windows NT 2000, AppleShare, Unix, Linux เป็นต้น
- 16. 3. ตัวกลางนาข้อมูล
ตัวกลางที่ใช้ในระบบเครือข่าย สามารถเป็นได้หลายชนิด เช่น สาย Coaxial, UTP
(Unshielded Twisted-Pairs), สายไฟเบอร์อ๊อฟติค หรืออาจเป็นคลื่นวิทยุที่ใช้กับ Wireless LAN
4.2.5 ข้อจากัดของระบบเครือข่าย
ข้อจากัดของระบบเครือข่ายมีหลายประการ ประการแรก คือ
การเรียกใช้ข้อมูลในไฟล์ผ่านระบบเครื่อข่ายนั้นจะมีความเร็วที่ช้ากว่าการเรียกใช้ข้อมูลกับฮาร์ดดิสก์ในเครื่อง
ของตนเอง ทั้งนี้เนื่องจากข้อจากัดของสายสัญญาณและระยะทางที่ใช้ในการส่งข้อมูล ประเด็นที่สอง คือ
การแบ่งทรัพยากรกันใช้นั้นอาจไม่สามารถใช้ทรัพยากรนั้นๆได้ทันทีทันใด
เพราะหากมีการเรียกใช้ทรัพยากรเดียวกันจากคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องพร้อมกัน เช่น
การใช้เครื่องพิมพ์โดยเครื่องพิมพ์นั้นมีการใช้งานจากคอมพิวเตอร์ตัวอื่นอยู่ก่อนหน้าแล้ว
งานพิมพ์ของเราก็จะต้องเข้าคิวรอการทางาน ประเด็นที่สาม
การดูแลระบบความปลอดภัยของเครือข่ายนั้นมีความยากกว่าการดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทางานตัวเดียว
เพราะจะมีโอกาสที่จะถูกผู้อื่นแอบเข้ามาเอาข้อมูลได้จากหลายๆที่
4.3 มาตรฐานของระบบเครือข่ายเฉพาะที่ (LAN)
ระบบ LAN
ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันทั่วไปมีฮาร์ดแวร์ที่ยึดมาตรฐานของสถาบันวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ขอ
งสหรัส หรือ IEEE (Institute of Electrical and Electronics Engineering) โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้
4.3.1 อีเทอร์เน็ต (Ethernet)
อีเทอร์เน็ต (Eternet) เป็นระบบ LAN ที่พัฒนาขึ้นโดย 3 บริษัทใหญ่คือบริษัท Xerox Corporation,
Digital Equipment Corporation (DEC) และ Intel ในปี ค.ศ1976 เริ่มจากศูนย์วิจัย PARC (Palo Alto Research
Center ของ Xerox) ซึ่งถูกจัดเป็นมาตรฐานรหัส 802.3 ของ IEEE ปัจจุบันมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย
โดยในระยะแรกอีเทอร์เน็ตใช้สาย Coaxial เป็นหลักต่อมาได้พัฒนาและเปลี่ยนไปใช้สายแบบ
UTP(Unshielded Twisted Pair) มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีราคาและสามารถติดตั้งได้ง่าย
รวมถึงความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลถูกทาให้เพิ่มขึ้นจาก 10Mbps ไปเป็น 100-1000 Mbps(1 Gbps)
ในปัจจุบันและอาจถึง10 Gbps
ลักษณะสาคัญของอีเทอร์เน็ต คือ ข้อมูลทุกอย่างจะถูกส่งผ่านตัวกลางที่เชื่อมระหว่างทุกๆ เครื่อง
ซึ่งก็คือสาย Coaxial นั่นเอง ดังนั้น Ethernet ในยุคแรกจึงใช้การต่อสายแบบบัส (Bus)
ที่วิ่งผ่านทุกเครื่องและต่อมาค่อยๆเปลี่ยนไปสู่การต่อแบบดาว (Star) ที่รวมสายเข้าศูนย์กลาง เมื่อมีการใช้สาย
UTP และต่อผ่านอุปกรณ์ฮัป (Hub) มาตรฐานที่สาคัญของ Ethernet ได้แก่ 10Base-5, 10Base-2,10Base-T
โดยรหัสแต่ละตัวมีความหมายแสดงดังรูปที่ 4.25
10Base-5
ความเร็ว สายที่ใช้
- 17. รูปที่ 4.25 ความหมายของรหัสแต่ละตัว
ความเร็ว เป็นตัวบอกความเร็วสูงสุดที่ระบบทาได้ในกรณีที่ไม่มีอุปสรรคใดๆ มาทาให้ความเร็วลดลง
โดยในระบบทางานจริงๆ ไม่สามารถทาได้ ปัจจุบันมีที่ใช้กันคือ 10, 100, 1000 เมกะบิตต่อวินาที
วิธีส่งสัญญาณ เป็นตัวบอกลักษณะการส่งสัญญาณทางไฟฟ้า จะมี 2 ลักษณะคือ Baseband และ
Broadband โดย Baseband คือวิธีการส่งสัญญาณแบบดิจิทัล 0 และ 1
จะไม่มีการผสมสัญญาณนี้เข้ากับสัญญาณความถี่สูงอื่นใด ส่วน Broadband คือ การส่งสัญญาณแบบอนาล็อก
ที่มีการผสมสัญญาณระหว่างสัญญาณข้อมูลแบบอนาล็อกกับสัญญาณคลื่นพา (Carrier Signal)
เพื่อให้ส่งได้ไกลและมีความเพี้ยนน้อยกว่าแบบแรก
สายที่ใช้ รหัสที่ใช้แต่ละตัวมีความหมายดังนี้
5 หมายถึง การใช้สายแบบ Thick coaxial ซึ่งมีขนาดใหญ่โยงถึงกัน สายแบบนี้ลากไปไกลได้ไม่เกิน
500 เมตร จึงใช้เลข5
2 หมายถึง การใช้สายแบบ Thin coaxial ซึ่งมีขนาดเล็กโยงถึงกัน สายแบบนี้ลากไปไกลได้ไม่เกิน 200
เมตร จึงใช้เลข2
T หมายถึง การใช้สาย UTP (Unshielded Twisted-Pair) แบบที่เรียกว่า Category 5 (CAT 5)
โดยทาการต่อเชื่อมทุกเครื่องเข้าหาอุปกรณ์รวมสายหรือ hub สายแบบนี้ลากไปไกลได้ไม่เกิน 100 เมตร
F เป็นระบบที่ใช้สาย Fiber-optic ซึ่งสามารถลากไปได้ไกลหลายร้อยเมตรขึ้นไป
4.3.2 ฟาสต์อีเทอร์เน็ต และ Gigabit Ethernet
Ethernet ในปัจจุบันได้รับการพัฒนาให้มีความเร็วเพิ่มจาก 10 Mbps ขึ้นเป็น 100 และ 1000 Mbps
หรือกว่านั้น ซึ่งถูกนามาใช้กับการส่งข้อมูลขนาดใหญ่หรือภาพ (Image)
รวมทั้งข้อมูลที่ต้องรับส่งให้ได้ตามเวลาจริง (Real-time) เช่น ภาพเคลื่อนไหวและเสียง โดยมาตรฐานของ
Ethernet ความเร็วสูงจัดเป็นกลุ่มดังนี้
100Base-T เป็นระบบที่พัฒนาโดยใช้สายที่ดีขึ้นกว่า 10Base-T เดิม คือ ใช้เป็นสาย
UTP ที่ดีกว่าเช่นสาย CAT5+ หรือ CAT5e โดย Hub ต้องรองรับความเร็ว 100Mbps ด้วย ระบบเครือข่าย LAN
รุ่นใหม่จะใช้มาตรฐานนี้เป็นหลัก โดยสายที่ใช้กับระบบ 100Base-T นี้จะแยกรับส่งข้อมูลเป็น 4 คู่สาย
ด้วยความเร็วคู่สายละ 25Mbps รวมเป็น 25 x 4= 100Mbps
Gigabit Ethernet หรือเรียกกันเป็น 1000Base-T (สาย UTB) หรือ 1000Base-F (สาย
Fiber optic) เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่จะทาให้สามารถส่งข้อมูลได้ในระดับความเร็ว 1000 Mbps หรือ 1 Gbps
ซึ่งกาลังจะเป็นมาตรฐานใหม่ของระบบเครือข่ายสาหรับงานที่ต้องการความเร็วสูงมาก เช่นงานกราฟิก
- 18. 10 Gigabit Ethernet เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่จะสามารถรับส่งข้อมูล ได้ในระดับความเร็ว
10000 Mbps หรือ 10 Gbps คาดว่าระยะแรกจะใช้กับการเชื่อมต่อระหว่างเมือง หรือ WAN
แต่ต่อไปก็คงเข้ามาอยู่ในระดับเครื่องเซิร์ฟเวอร์และเดสก็ท็อปตามลาดับ รายละเอียดแสดงตามตารางที่ 4.1
ตารางที่4.1 รายละเอียดของ Ethernet แต่ละชนิด
ชนิด สายเคเบิล
ควายาว
สูงสุด
(เมตร)
จานวนโ
หนด
ข้อดี ข้อเสีย
10Base5 สายโคแอกเชียลแบบหนา 500 100 ใช้เป็นเครือข่ายกระดูก
สันหลังภายในตึก
ถ้าสายเคเบิลขาดหรือหัวต่
อหลวมจะทาให้ระบบเสีย
หาย
10Base2 สายโคแอกเชียลแบบบาง 200 30 ถูกสุด เหมือนกับ 10Base5
10Base-T สายคู่ตีเกลียว 100 1024 ดูแลรักษาง่าย ความยาวของสายถึงฮับสั้
นและฮับขนาดใหญ่ราคา
แพง
10Base-F สายใยแก้วนาแสง 1024 1024 เชื่อมโยงระหว่างตึก
ทนทานต่อการถูกรบกว
นได้เป็นอย่างดี
ราคาแพง
4.3.3 โทเคนริง (Token Ring)
เป็นการต่อ LAN ในแบบวงแหวน (Ring) โดยมีวิธีควบคุมการส่งข้อมูลแบบ Token-passing
ที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัทไอบีเอ็ม โดยในรุ่นแรกๆจะมีความเร็วเพียง 4 Mbps แต่ต่อมาได้ปรับปรุงเป็น 16Mbps
จุดอ่อนของ Token-Ring คือ ถ้าสายเส้นใดเส้นหนึ่งขาดวงแหวน จะไม่ครบวงและทางานไม่ได้ แสดงดังรูปที่
4.26
รูปที่ 4.26 รูปแสดง Token Ring
4.3.4 FDDI (Fiber Distributed Data Interface)
- 19. FDDI เป็นมาตรฐานการต่อระบบเครือข่ายโดยใช้สาย Fiber optic
ซึ่งสามารถรับส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงถึง 100 Mbps เท่ากับ Fast Ethernet ลักษณะของ FDDI
จะต่อเป็นวงแหวน โดย FDDI เหมาะที่จะใช้เป็น backbone ที่เชื่อมต่อระบบ LAN หลายๆวงเข้าด้วยกัน
โดยแต่ละวง LAN จะต้องมีตัวรวมสาย (concentrator) หรืออุปกรณ์ Router ที่ใช้ต่อระหว่าง LAN
ทั้งวงเข้าเป็นสถานี
ในวงของ FDDI มีสายสองชั้นเดินคู่ขนานกัน
เพื่อสารองในกรณีเกิดสายขาดขึ้นวงจรจะได้ตัดส่วนที่ขาดออกแล้ววนสายที่เหลือให้ครบรอบเป็น ring
ตามเดิม ลักษณะการรับส่งข้อมูลของ FDDI ก็ใช้วิธี Token-passing เช่น เดียวกับ Token Ring แสดงดังรูปที่
4.27
รูปที่ 4.27 รูปแสดง FDDI
เครือข่าย LAN ไร้สาย (Wireless LAN)
เครือข่าย LAN ไร้สาย คือ เครือข่ายที่อาศัยคลื่นวิทยุ (Radio Frequency) ในการรับส่งข้อมูล
ซึ่งมีประโยชน์ที่เห็นได้ชัด คือ เรื่องของการไม่ต้องเดินสายเหมือน LAN แบบอื่นๆ
ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในบ้านหรือสถานทีที่ไม่สะดวกในการเดินสาย เช่น ที่บ้าน
โดยคุณอาจเล่นอินเทอร์เน็ตผ่านเครื่องเครื่องหนึ่งที่ทาหน้าที่เชื่อมต่อผ่านโมเด็มได้จากทุกห้องในบ้าน หรือ
แม้แต่บริเวณหน้าบ้าน โดยสามารถเชื่อมต่อได้ทุกที่ทุกจุดภายในระยะทาการ
เนื่องจากคลื่นวิทยุนี้มีคุณสมบัติในการทะลุทะลวงสิ่งกีดขวางต่างๆได้ดี ไม่ว่าจะเป็นผนัง กาแพง เพดาน
แต่ปัญหาสาหรับระบบเครือข่ายไร้สายคือเรื่องการรบกวนของสัญญาณวิทยุ แสดงดังรูปที่ 4.28
รูปที่ 4.28 รูปแสดง Wireless LAN
- 20. ปัจจุบันเครือข่ายแบบไร้สายมี 2 มาตรฐาน คือ HomeRF (Home Radio Frequency) และ IEEE 802.11
โดย IEEE 802.11นั้นสามารถแตกย่อยออกเป็นหลายมาตาฐานย่อยตามสัญลักษณ์ตัวสุดท้าย เช่น IEEE
802.11a, IEEE802.11b, IEEE802.11g เป็นต้น แต่ที่กาลังเป็นที่นิยมและแพร่หลายกันอยู่คือ IEEE 802.11b
หรือ Wireless LAN เรียกสั้นๆว่า” WLAN” เครื่องโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่หลายยี่ห้อก็ให้อุปกรณ์ Wireless LAN
แบบนี้มาในตัวเลย สาหรับความถี่ของคลื่นที่ได้รับจัดสรรมาให้ใช้จะมี 3ช่วง ดังรูป ซึ่งเรียกว่าเป็น ISMBands
(ISM= Industrial, Scientific และ Medical) โดยขณะนี้กาลังใช้ความถี่ระหว่าง 2.4 – 2.4835 GHz
เอกสารอ้างอิง
กิตติ ภักดีวัฒนะกุล. คัมภีร์ระบบสารสนเทศ. พิมพ์ครั้งที่ 1 เคทีพี คอมพ์ แอนด์ คอนซัลท์.พฤศจิกายน 2546.
สถาบันราชภัฎสวนดุสิต. เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้. พิมพ์ครั้งที่ 1 ศูนย์หนังสือสถาบันราชภัฎ
สวนดุสิต. กรกฎาคม 2544.
สัลยุทธ์ สว่างวรรณ. ระบบสารสนเทสเพื่อการจัดการ. พิมพ์ครั้งที่ 2. สานักพิมพ์เพียร์สัน เอ็ดดูเคชั่น อินโด-
ไชน่า. 2545
สุขุม เฉลยทรัพย์, จิตติมา เทียมบุญประเสริฐ, วิชชา ฉิมพลี และ สาทิพย์ ธรรมชีวีวงศ์. เทคโนโลยีสารสนเทศ
เพื่อชีวิต. พิมพ์ครั้งที่ 1 ศูนย์หนังสือสถาบันราชภัฎสวนดุสิต. กรกฎาคม 2544.
อนิรุทธิ์ รัชตะวราห์ และวศิน เพิ่มทรัพย์. ผ่า!คอมพิวเตอร์ ฉบับสมบูรณ์. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ โปรวิชั่น.
สิงหาคม 2545.
Behrouz A.Forouzan. Data Communications andNetworking. Second Edition. Mc Graw Hill . 2000