การสารวจลักษณะนาในแม่นาสะแกกรังที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์นา
นายจิรัฐวัฒน์ เลาหวรรณธนะ
โครงงานเล่มนีเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ว 31182
วิทยาศาสตร์ (ชีววิทยาพืนฐาน)
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558
ลิขสิทธิ์เป็นของโรงเรียนอุทัยวิทยาคม
กิตติกรรมประกาศ
โครงงานฉบับนี้สาเร็จลงได้ด้วยดี เนื่องจากได้รับความกรุณาอย่างสูงจาก ครูปฐมพงศ์
บัวเหมือน อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย ที่กรุณาให้คาแนะนาปรึกษา ตลอดจนปรับปรุงแก้ไข
ข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วยความเอาใจใส่อย่างดียิ่ง ผู้จัดทาตระหนักถึง ความตั้งใจจริงและความทุ่มเท
ของอาจารย์และขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้
อนึ่ง ผู้จัดทาหวังว่า โครงงานฉบับนี้จะมีประโยชน์อยู่ไม่น้อย จึงขอมอบส่วนดี ทั้งหมดนี้
ให้แก่เหล่าคณาจารย์ที่ได้ประสิทธิประสาทวิชาจนท าให้ผลงานวิจัยเป็น ประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง
และขอมอบความกตัญญูกตเวทิตาคุณ แด่บิดา มารดา และผู้มี พระคุณทุกท่าน สาหรับ
ข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น ผู้จัดทาขอน้อมรับผิดเพียง ผู้เดียว และยินดีที่จะรับฟัง
คาแนะนาจากทุกท่านที่ได้เข้ามาศึกษา เพื่อเป็นประโยชน์ใน การพัฒนาโครงงานต่อไป
จิรัฐิวัฒน์ เลาหวรรณธนะ
ชื่อเรื่อง การสารวจลักษณะน้าในแม่น้าสะแกกรังที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้า
ผู้ทาโครงงาน นายจิรัฐิวัฒน์ เลาหวรรณธนะ
ประธานที่ปรึกษา นายปฐมพงศ์ บัวเหมือน
คาสาคัญ ค่า DO ค่า BOD ค่า PH แม่น้าสะแกกรัง
บทคัดย่อ
เนื่องจากในปัจจุบันน้าในลาน้าหรือแม่น้าต่างๆเกิดปัญหาที่ว่า น้าในลาน้าเน่าเสียบ้าง น้า
ไม่สะอาดบ้าง น้าขาดออกซิเจนบ้าง ปัญหาเหล่านี้แหละคือสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์
น้าในแหล่งน้านั้นๆ ทาให้ตัวข้าพเจ้าอยากที่จะสารวจน้าในแหล่งน้าของชุมชน ว่ามีปัญหาใดหรือ
สาเหตุใดที่ส่งผลกระตบต่อพันธุ์สัตว์น้าที่ทาให้พันธุ์สัตว์น้าในเขตชุมชนของข้าพเจ้าลดจานวนลง
บ้างและวิธีการแก้ปัญหาให้แหล่งแหล่งน้ากลับมาดีดังเดิมหรือฟื้นฟูแหล่งน้าให้ดีดังเดิมเพื่อไม่ให้
ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้าของแหล่งน้าในชุมชน น้าเป็นสิ่งจาเป็นอย่างยิ่งสาหรับชีวิตทุกชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่ ตลอดจนพืชถ้าขาดน้าก็จะต้องแห้งเหี่ยวและเฉาตาย
ในที่สุด ในการเกษตรกรรม การทาเรือกสวนไร่นา ทาสวนครัว เลี้ยงสัตว์ ก็ต้องใช้เป็นองค์ประกอบ
ที่สาคัญทั้งสิ้น แม้แต่ในการอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ในการหล่อเย็น ในพลังไอน้าก็ดี พลังงานไฟฟ้า
ก็ดี การกาจัดน้าทิ้งและขยะก็ดี ตลอดจนถึงการดับไฟเมื่อเกิดไฟไหม้ น้าเป็นองค์ประกอบที่สาคัญ
ทั้งนั้นนอกจากนี้แหล่งน้ายังเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ สาหรับท่องเที่ยว ตกปลา ว่ายน้าตลอดจน
ใช้ประกอบอาชีพ เช่นการประมงอีกด้วยสรุปแล้วน้าจึงมีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์มาก
เป็นองค์ประกอบที่สาคัญสาหรับชีวิตอันดับที่สองรองจากอ๊อกซิเจนมนุษย์สามารถดารงชีวิตอยู่ได้
เมื่อขาดอาหารเป็นเดือนๆ ผลการสารวจออกมาว่า ค่า DO เฉลี่ย 3 พิกัดอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ค่า BOD
อยู่ในเกณฑ์พอใช้ และค่า PH อยู่ในเกณฑ์ดี จึงสรุปได้ว่าน้าในแม่น้า สะแกกรังยังไม่ส่งผลกระทบ
ต่อพันธุ์สัตว์น้ามากนัก กล่าวคือ ยังส่งผลกระทบไม่มาก ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายทาง
สภาพแวดล้อมและระบบนิเวศทางน้า
สารบัญ
บทที่ หน้า
1 บทนา
ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา 1
วัตถุประสงค์ของโครงงาน 2
สมมติฐานของโครงงาน 2
ขอบเขตของโครงงาน 2
นิยามศัพท์เฉพาะ 3
ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงงาน 5
2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
สภาพทั่วไปของลุ่มน้า 7
สภาพภูมิประเทศของลุ่มน้าสะแกกรัง 7
ระบบลุ่มน้าสะแกกรัง 9
สภาพอุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยา 13
ปริมาณน้าฝน 13
อุทกธรณีวิทยาและน้าใต้ดิน 16
ตะกอนดินของลุ่มน้าสะแกกรัง 19
ความหมายและค่ามาตรฐานของค่าวัดคุณภาพน้า 20
ค่า DO 20
ค่า BOD 21
ค่า PH 22
ค่ามาตรฐานของค่าวัดคุณภาพน้า 25
3 วิธีดาเนินการโครงงาน
เครื่องมือที่ใช้ในการทาโครงงาน 26
การเก็บรวบรวมข้อมูล 27
การวิเคราะห์ข้อมูล 27
สารบัญ (ต่อ)
บทที่ หน้า
4 ผลการสารวจ
ผลการสารวจจุดพิกัดที่ 1 29
ผลการสารวจจุดพิกัดที่ 2 30
ผลการสารวจจุดพิกัดที่ 3 31
5 บทสรุป
สรุปผลโครงงาน 33
อภิปรายผลโครงงาน 33
ข้อเสนอแนะ 34
บรรณานุกรม 35
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก 38
สารบัญตาราง
ตาราง หน้า
1 แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง
บริเวณจุดที่ 1 พิกัด 15°23'00.7"N 100°01'45.9"E 29
2 แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง
บริเวณจุดที่ 1 พิกัด 15°23'00.7"N 100°01'45.9"E 29
3 แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง
บริเวณจุดที่ 1 พิกัด 15°23'00.7"N 100°01'45.9"E 30
4 แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง
บริเวณจุดที่ 2 พิกัด 15°23'00.3"N 100°01'47.9"E 30
5 แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง
บริเวณจุดที่ 2 พิกัด 15°23'00.3"N 100°01'47.9"E 30
6 แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง
บริเวณจุดที่ 2 พิกัด 15°23'00.3"N 100°01'47.9"E 31
7 แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง
บริเวณจุดที่ 3 พิกัด 15°22'27.6"N 100°02'20.0"E 31
8 แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง
บริเวณจุดที่ 3 พิกัด 15°22'27.6"N 100°02'20.0"E 31
9 แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง
บริเวณจุดที่ 3 พิกัด 15°22'27.6"N 100°02'20.0"E 32
สารบัญภาพ
ภาพ หน้า
1 แสดงสภาพภูมิประเทศและลาน้าสาขาในลุ่มน้าสะแกกรัง 8
2 แสดงรายละเอียดของจังหวัดในลุ่มน้าสะแกกรัง 9
3 แสดงรายละเอียดของลุ่มน้าสาขาในลุ่มน้าสะแกกรัง 10
4 แสดงขอบเขตลุ่มน้าสาขาในลุ่มน้าสะแกกรัง 11
5 แสดงระบบลุ่มน้าสะแกกรัง (Schematic Diagram) 12
6 แสดงปริมาณฝนรายเดือนเฉลี่ยในลุ่มน้าสะแกกรัง 13
7 แสดงตาแหน่งสถานีวัดน้าฝน สถานีที่นามาวิเคราะห์
และเส้นชั้นน้าฝนรายปีเฉลี่ยในลุ่มน้าสะแกกรัง 14
8 แสดงเส้นชั้นน้าฝนรายเดือนเฉลี่ยในลุ่มน้าสะแกกรัง 15
9 แสดงรายละเอียดชั้นหินอุ้มน้าในลุ่มน้าสะแกกรัง 16
10 แสดงสภาพอุทกธรณีวิทยาในลุ่มน้าสะแกกรัง 17
11 แสดงปริมาณการให้น้าของชั้นหินในลุ่มน้าสะแกกรัง 18
12 แสดงปริมาณตะกอนแขวนลอยรายปีเฉลี่ยของแต่ละสถานีวัดน้า
ในลุ่มน้าสะแกกรัง 19
13 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณตะกอนแขวนลอยรายปีเฉลี่ย
กับพื้นที่รับน้าของแต่ละสถานีวัดน้าในลุ่มน้าสะแกกรัง 20
14 แสดงAerobic bacteria / แบคทีเรียที่ต้องการออกซิเจน 22
15 แสดงสเกล pH ของสารละลายที่มีความเข้มข้นต่างๆกัน 24
บทที่ 1
บทนา
ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา
น้า เป็นสารประกอบเคมีชนิดหนึ่ง มีสูตรเคมีคือ H2O โมเลกุลของน้าประกอบด้วย
ออกซิเจน 1 อะตอมและไฮโดรเจน 2 อะตอมเชื่อมติดกันด้วยพันธะโควาเลนต์น้าเป็นของเหลวที่
อุณหภูมิและความดันมาตรฐาน แต่พบบนโลกที่สถานะของแข็ง (น้าแข็ง)และสถานะแก๊ส (ไอน้า)
น้ายังมีในสถานะของผลึกของเหลวที่บริเวณพื้นผิวที่ขอบน้า
แม่น้า (อังกฤษ: river) เป็นทางน้าธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่ เป็นคาศัพท์ทั่วไปที่ในทาง
วิทยาศาสตร์หมายถึงกระแสน้าตามธรรมชาติทั้งหลาย รวมทั้งกระแสน้าขนาดเล็ก เช่น ลาธาร
คลอง เป็นต้น น้าฝนที่ตกลงบนพื้นดินจะไหลไปยังแม่น้าแล้วออกสู่มหาสมุทรหรือแอ่งน้าขนาดใหญ่
อื่น ๆ เช่น ทะเลสาบ แม่น้ามีส่วนประกอบโดยพื้นฐานหลายส่วน อาจมีแหล่งกาเนิดจากต้นน้าหรือ
น้าซับแล้วไหลสู่กระแสน้าหลัก ลาธารสายเล็กที่ไหลลงสู่แม่น้าเรียกว่าแคว โดยปกติกระแสน้าจะ
ไหลไปตามร่องน้าที่ขนาบข้างด้วยตลิ่ง ที่จุดสิ้นสุดของแม่น้าหรือปากแม่น้า มักมีลักษณะแผ่ขยาย
ออกเรียกพื้นที่บริเวณนี้ว่าดินดอนสามเหลี่ยม (Delta) หรือชะวากทะเล
น้าเป็นสิ่งจาเป็นอย่างยิ่งสาหรับชีวิตทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่
ตลอดจนพืชถ้าขาดน้าก็จะต้องแห้งเหี่ยวและเฉาตายในที่สุด ในการเกษตรกรรม การทาเรือกสวน
ไร่นา ทาสวนครัว เลี้ยงสัตว์ ก็ต้องใช้เป็นองค์ประกอบที่สาคัญทั้งสิ้น แม้แต่ในการอุตสาหกรรมต่าง
ๆ เช่น ในการหล่อเย็น ในพลังไอน้าก็ดี พลังงานไฟฟ้าก็ดี การกาจัดน้าทิ้งและขยะก็ดี ตลอดจนถึง
การดับไฟเมื่อเกิดไฟไหม้ น้าเป็นองค์ประกอบที่สาคัญทั้งนั้นนอกจากนี้แหล่งน้ายังเป็นที่พักผ่อน
หย่อนใจ สาหรับท่องเที่ยว ตกปลา ว่ายน้าตลอดจนใช้ประกอบอาชีพ เช่นการประมงอีกด้วยสรุป
แล้วน้าจึงมีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์มาก เป็นองค์ประกอบที่สาคัญสาหรับชีวิตอันดับที่
สองรองจากอ๊อกซิเจนมนุษย์สามารถดารงชีวิตอยู่ได้เมื่อขาดอาหารเป็นเดือนๆ
เนื่องจากในปัจจุบันน้าในลาน้าหรือแม่น้าต่างๆเกิดปัญหาที่ว่า น้าในลาน้าเน่าเสียบ้าง น้า
ไม่สะอาดบ้าง น้าขาดออกซิเจนบ้าง ปัญหาเหล่านี้แหละคือสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์
น้าในแหล่งน้านั้นๆ ทาให้ตัวข้าพเจ้าอยากที่จะสารวจน้าในแหล่งน้าของชุมชน ว่ามีปัญหาใดหรือ
สาเหตุใดที่ส่งผลกระตบต่อพันธุ์สัตว์น้าที่ทาให้พันธุ์สัตว์น้าในเขตชุมชนของข้าพเจ้าลดจานวนลง
บ้างและวิธีการแก้ปัญหาให้แหล่งแหล่งน้ากลับมาดีดังเดิมหรือฟื้นฟูแหล่งน้าให้ดีดังเดิมเพื่อไม่ให้
ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้าของแหล่งน้าในชุมชน ข้าพเจ้าจึงคิดทาโครงงานเล่มนี้ขึ้นมา
วัตถุประสงค์ของโครงงาน
1. เพื่อศึกษาลักษณะน้าในแม่น้าสะแกกรังที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้าที่ทาให้สัตว์
น้ามีจานวนลดลง
2. เพื่อหาแนวทางที่จะช่วยแก้ไขปัญหาของแม่น้าที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้า
ในแม่น้าสะแกกรัง
3. เพื่อทราบถึงผลกระทบหรือปัจจัยที่ส่งผลต่อพันธุ์สัตว์น้าในแม่น้าสะแกกรัง
สมมติฐานของโครงงาน
- น้าในแม่น้าสะแกกรังอาจมีปัจจัยบางชนิดดที่ส่งผลต่อพันธุ์สัตว์น้า
- น้าในแม่น้าสะแกกรังอาจมีออกซิเจนที่ต่ากว่าปกติ
ของเขตของโครงงาน
1. สิ่งที่ศึกษา : ปัญหาน้าในแม่น้าสะแกกรังที่ส่งกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้า
2. สถานที่ที่ศึกษา : โรงเรียนอุทัยวิทยาคม และ แม่น้าสะแกกรัง
3. ระยะเวลา : ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2558 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2559
นิยามศัพท์เฉพาะ
นา
น้า เป็นสารประกอบเคมีชนิดหนึ่ง มีสูตรเคมีคือ H2O โมเลกุลของน้าประกอบด้วย
ออกซิเจน 1 อะตอมและไฮโดรเจน 2 อะตอมเชื่อมติดกันด้วยพันธะโควาเลนต์ น้าเป็นของเหลวที่
อุณหภูมิและความดันมาตรฐาน แต่พบบนโลกที่สถานะของแข็ง (น้าแข็ง) และสถานะแก๊ส (ไอน้า)
น้ายังมีในสถานะของผลึกของเหลวที่บริเวณพื้นผิวที่ขอบน้า น้าปกคลุม 71% บนพื้นผิวโลก
และเป็นปัจจัยสาคัญต่อชีวิต น้าบนโลก 96.5% พบในมหาสมุทร 1.7% ในน้าใต้ดิน 1.7%
ในธารน้าแข็งและชั้นน้าแข็งของทวีปแอนตาร์กติกาและเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นเศษส่วนเล็กน้อย
บนผิวน้าขนาดใหญ่ และ 0.001% พบในอากาศเป็นไอน้า ก้อนเมฆ (ก่อตัวขึ้นจากอนุภาคน้าใน
สถานะของแข็งและของเหลวแขวนลอยอยู่บนอากาศ) และหยาดน้าฟ้า น้าบนโลกเพียง 2.5% เป็น
น้าจืดและ 98.8% ของน้าจานวนนั้นพบในน้าแข็งและน้าใต้ดิน น้าจืดน้อยกว่า 0.3% พบในแม่น้า
ทะเลสาบ และชั้นบรรยากาศ และน้าจืดบนโลกในปริมาณที่เล็กลงไปอีก (0.003%) พบในร่างกาย
ของสิ่งมีชีวิตและผลิตภัณฑ์ น้าบนโลกเคลื่อนที่ต่อเนื่องตามวัฏจักรของการระเหยเป็นไอและการ
คายน้า(การคายระเหย) การควบแน่น การตกตะกอน และการไหลผ่าน โดยปกติจะไปถึงทะเลการ
ระเหยและการคายน้านามาซึ่งการตกตะกอนลงสู่พื้นดิน
น้าดื่มสะอาดเป็นสิ่งจาเป็นสาหรับมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แม้ว่าน้าจะไม่มีแคลอรีหรือ
สารอาหารที่เป็นสารประกอบอินทรีย์ใดๆ การเข้าถึงน้าดื่มสะอาดได้เปลี่ยนแปลงไปในช่วงหลาย
ศตวรรษที่ผ่านมาในเกือบทุกส่วนของโลก แต่ประชากรประมาณ 1 พันล้านคนยังคงขาดแคลนน้า
ดื่มสะอาดและกว่า 2.5 พันล้านคนขาดแคลนสุขอนามัยที่เพียงพอ มีความเกี่ยวพันกันเรื่องน้า
สะอาดและค่า GDP ต่อคน อย่างไรก็ดี นักสังเกตบางคนประมาณไว้ว่าภายในปี ค.ศ. 2025
ประชากรโลกมากกว่าครึ่งหนึ่งจะประสบปัญหาความเสี่ยงที่เกี่ยวกับน้า รายงานล่าสุดเมื่อเดือน
พฤศจิกายน ค.ศ. 2009 รายงานว่า ภายในปี ค.ศ. 2030 ในพื้นที่ประเทศที่กาลังพัฒนาจะมีความ
ต้องการน้าจะเพิ่มขึ้นเกิดปริมาณน้าที่มีกว่า 50% น้ามีบทบาทสาคัญในเศรษฐกิจโลก เนื่องจากน้า
เป็นตัวทาละลายของสารเคมีหลากหลายชนิดและอานวยความสะดวกในเรื่องการให้ความเย็นใน
ภาคอุตสาหกรรมและการคมนาคม น้าจืดประมาณ 70% มนุษย์ใช้ไปกับเกษตรกรรม
แม่นา
แม่น้าเป็นทางน้าธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่ เป็นคาศัพท์ทั่วไปที่ในทางวิทยาศาสตร์หมายถึง
กระแสน้าตามธรรมชาติทั้งหลาย รวมทั้งกระแสน้าขนาดเล็ก เช่น ลาธาร คลอง เป็นต้น น้าฝนที่ตก
ลงบนพื้นดินจะไหลไปยังแม่น้าแล้วออกสู่มหาสมุทรหรือแอ่งน้าขนาดใหญ่อื่น ๆ เช่น ทะเลสาบ
แม่น้ามีส่วนประกอบโดยพื้นฐานหลายส่วน อาจมีแหล่งกาเนิดจากต้นน้าหรือน้าซับแล้วไหลสู่
กระแสน้าหลัก ลาธารสายเล็กที่ไหลลงสู่แม่น้าเรียกว่าแคว โดยปกติกระแสน้าจะไหลไปตามร่องน้า
ที่ขนาบข้างด้วยตลิ่ง ที่จุดสิ้นสุดของแม่น้าหรือปากแม่น้ามักมีลักษณะแผ่ขยายออกเรียกพื้นที่
บริเวณนี้ว่าดินดอนสามเหลี่ยมหรือชะวากทะเล
แม่นาสะแกกรัง
แม่น้าสะแกกรัง เป็นแม่น้ามีต้นกาเนิดอยู่ในเขตเทือกเขาโมโกจู ในเขตจังหวัดกาแพงเพชร
ไหลไปบรรจบกับแม่น้าเจ้าพระยาที่บ้านท่าซุง ตาบลท่าซุง อาเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี มีความ
ยาวประมาณ 225 กิโลเมตร
แม่น้าสะแกกรัง มีหลายชื่อตามท้องถิ่นที่แม่น้าไหลผ่านคือ
คลองแม่เร่ - แม่วง คือ ช่วงที่ไหลผ่านอาเภอคลองขลุง อาเภอขาณุวรลักษบุรี
จังหวัดกาแพงเพชร และอาเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์จนถึงเขาชนกัน
แม่น้าวังม้า คือ ช่วงที่ไหลผ่านอาเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ และอาเภอสว่าง
อารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี
แม่น้าตากแดด คือ ช่วงไหลผ่านเขตอาเภอสว่างอารมณ์ อาเภอทัพทัน และอาเภอเมือง ฯ
จนถึงปากคลองขุมทรัพย์
แม่น้าสะแกกรัง คือ ช่วงตั้งแต่ปากคลองขุมทรัพย์ หรือคลองอีเติ่ง ที่บ้านจักษาอาเภอ
เมือง ฯ หรือตรงปลายแม่น้าตากแดด ณ จุดที่แม่น้าตากแดดไหลมาบรรจบกับคลองขุมทรัพย์ ซึ่ง
น้าจะเป็นสองสี แล้วไหลผ่านตัวเมืองอุทัยธานี แล้วไหลไปบรรจบแม่น้าเจ้าพระยาที่อาเภอมโนรมย์
จังหวัดชัยนาทมีความยาวจากต้นน้าถึงจุดที่บรรจบแม่น้าเจ้าพระยาประมาณ 108 กิโลเมตร
พันธุ์สัตว์นา
พันธุ์สัตว์น้าหรือสัตว์น้า คือ สัตว์ที่อาศัยในน้าหรือมีวงจรชีวิตส่วนหนึ่งอยู่ในน้าหรืออาศัย
อยู่ในบริเวณที่น้าท่วมถึง เช่น ปลา กุ้ง ปู แมงดาทะเล หอย เต่า ตะพาบน้า จระเข้ รวมทั้งไข่ของ
สัตว์น้านั้น สัตว์น้าจาพวกเลี้ยงลูกด้วยนม ปลิงทะเล ฟองน้า หินปะการัง กัลปังหา และสาหร่าย
ทะเล ทั้งนี้ รวมทั้งซากหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของสัตว์น้าเหล่านั้น และหมายความรวมถึงพันธุ์ไม้น้า
ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีการะบุชื่อ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงสัตว์น้าต่างถิ่น สัตว์น้าต่างถิ่นในที่นี้คือ
สัตว์น้าที่ไม่ได้อยู่ หรือมีถิ่นกาเนิดในท้องที่หรือสิ่งแวดล้อมนั้นๆ โดยอาจจะถูกนามาทั้งด้วยความ
ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจของมนุษย์ หรืออาจมาอยู่ ณ สถานที่นั้นๆด้วยอุบัติเหตุทางธรรมชาติสาหรับสัตว์
น้าต่างถิ่นในประเทศไทย ได้มีการนาเข้ามาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา คือ ปลาเงินปลาทอง
(Carassiusauratus) เพื่อใช้เพาะเลี้ยงเป็นอาหารและสัตว์น้าสวยงาม ปัจจุบันพบว่ามีสัตว์น้าต่างถิ่น
ในประเทศไทยมากกว่า 1,100 ชนิด จากประเทศต่าง ๆ เช่น ปลา ประมาณ 1,000 ชนิดสัตว์สะเทิน
น้าสะเทินบก ประมาณ 50 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน ประมาณ 50 ชนิด หอย 3 ชนิด กุ้ง ปู 8 ชนิด
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงงาน
ทราบถึงผลกระทบหรือปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้าในแม่น้าสะแกกรังเพื่อรณรงค์
ให้ประชาชนที่อยู่ตามริมแม่น้าช่วยกันรักษาระบบนิเวศของแม่น้าสะแกกรังและจะได้หาแนวทางใน
การแก้ไขหรือฟื้นฟูสภาพของแหล่งน้าให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ดีเหมือนเดิม
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ในการศึกษาน้าในแม่น้าสะแกกรังที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้า กรณีศึกษา
แม่น้าสะแกกรัง ตาบลอุทัยใหม่ ตาบลท่าซุง อาเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี ผู้ศึกษาได้ศึกษา
เอกสารและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่างๆ เพื่อประกอบการวิจัยดังต่อไปนี้
2.1 สภาพทั่วไปของลุ่มน้า
2.1.1 สภาพภูมิประเทศของลุ่มน้าสะแกกรัง
2.1.2 ระบบลุ่มน้าสะแกกรัง
2.2 สภาพอุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยา
2.2.1 ปริมาณน้าฝน
2.2.2 อุทกธรณีวิทยาและน้าใต้ดิน
2.2.3 ตะกอนดินของลุ่มน้าสะแกกรัง
2.3 ความหมายและค่ามาตรฐานของค่าวัดคุณภาพน้า
2.3.1 ค่า DO
2.3.2 ค่า BOD
2.3.3 ค่า PH
2.3.4 ค่ามาตรฐานของค่าวัดคุณภาพน้า
2.1 สภาพทั่วไปของลุ่มน้า
2.1.1 สภาพภูมิประเทศของลุ่มน้าสะแกกรัง
ลุ่มน้าสะแกกรังตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศไทย มีพื้นที่ลุ่มน้ารวมทั้งสิ้น 4,906.53
ตร.กม. พื้นที่ส่วนใหญ่ครอบคลุม 3 จังหวัด ได้แก่ อุทัยธานี นครสวรรค์ และกาแพงเพชร ลักษณะ
ลุ่มน้าวางตัวตามแนวตะวันตก-ตะวันออก อยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 14°25' เหนือ ถึงเส้นรุ้งที่ 15°08'
เหนือและเส้นแวงที่ 99°05' ตะวันออกถึงเส้นแวงที่ 100°05' ตะวันออก ทิศเหนือของลุ่มน้าติดกับ
ลุ่มน้าปิงทิศใต้ติดกับลุ่มน้าท่าจีน ทิศตะวันตกติดกับลุ่มน้าแม่กลอง และทิศตะวันออกติดกับลุ่มน้า
เจ้าพระยา
บริเวณทิศตะวันตกของลุ่มน้าเป็นเทือกเขาสูง เป็นเขตต้นน้าของลาน้าสาขาที่สาคัญหลาย
สาย ได้แก่ น้าแม่วง คลองโพธิ์ และห้วยทับเสลา ต้นกาเนิดของลาน้าสะแกกรังคือเทือกเขาโมโกจู
ซึ่งเป็นแนวแบ่งเขตระหว่างจังหวัดตากและจังหวัดนครสวรรค์ ต้นน้าของลาน้าสาขาทั้ง 3 สายนี้จะ
มีความลาดชันค่อนข้างมากและค่อยๆ ลาดเทลงจนไหลออกสู่ทุ่งราบของลุ่มน้าเจ้าพระยาทางด้าน
ทิศตะวันออกของลุ่มน้า ลาน้าสาขาซึ่งเป็นต้นกาเนิดของลาน้าสะแกกรัง ได้แก่ ห้วยแม่วง ไหลผ่าน
กิ่งอาเภอแม่วงก์และอาเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ มาบรรจบกับห้วยคลองโพธิ์ ซึ่งไหลมาจาก
เทือกเขาบริเวณแนวแบ่งเขตระหว่างจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดอุทัยธานี ที่อาเภอสว่างอารมณ์
จังหวัดอุทัยธานี กลายเป็นแม่น้าตากแดด แล้วไหลลงมาบรรจบกับห้วยทับเสลา ในเขตอาเภอทัพ
ทัน จังหวัดอุทัยธานี เข้าเขตอาเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ไหลเลาะเลียบผ่านภูเขาสะแกกรังจึงได้ชื่อ
ว่าแม่น้าสะแกกรัง ก่อนไหลลงสู่แม่น้าเจ้าพระยาทางตอนเหนือของเขื่อนเจ้าพระยา (สถาบัน
สารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร:2556 )
ลักษณะของลุ่มน้านี้ ทางทิศตะวันตกเป็นเทือกเขาสูงที่เป็นต้นน้าของ ห้วยแม่วงก์ ห้วย
คลองโพธิ์ และห้วยทับเสลา ซึ่งมีความลาดชันค่อนข้างมากและค่อยๆ ลาดเทลงจนไหลออกสู่ทุ่ง
ราบของแม่น้าเจ้าพระยา
ต้นกาเนิดของลุ่มน้าสะแกกรังคือเทือกเขาโมโกจู ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างจังหวัด
ตากและนครสวรรค์ ลาน้าสาขาที่เป็นต้นกาเนิดของลุ่มน้าสะแกกรัง คือ ห้วยแม่วงก์ ซึ่งไหลผ่าน
จังหวัดนครสวรรค์และอุทัยธานี เลียบผ่านภูเขาสะแกกรัง ก่อนจะลงสู่แม่น้าเจ้าพระยาทางตอน
เหนือของเขื่อนเจ้าพระยา (สานักโครงการขนาดใหญ่ กรมชลประทาน: 2553)
ลุ่มน้าสะแกกรัง ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศไทย ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่
จังหวัดอุทัยธานี นครสวรรค์ และกาแพงเพชร มีพื้นที่ลุ่มน้าทั้งสิ้น 5,192 ตารางกิโลเมตร
ลักษณะลุ่มน้าวางตัวตามแนวตะวันตก-ตะวันออก บริเวณทิศตะวันตกของลุ่มน้าเป็นเทือกเขาสูง
และเป็นต้นน้าของลาน้าสาขาที่สาคัญหลายสาย ได้แก่ ห้วยแม่วงก์ ห้วยคลองโพธิ์ และห้วยทับ
เสลา ต้นกาเนิดของลาน้าสะแกกรังคือ เทือกเขาโมโกจู ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างจังหวัดตาก
และจังหวัดนครสวรรค์ ทางด้านต้นน้าของลาน้าสาขาทั้ง 3 สายนี้จะมีความลาดชันค่อนข้างมาก
และค่อยลาดเทลงจนไหลออกสู่ทุ่งราบของแม่น้าเจ้าพระยาทางด้านตะวันออกของลุ่มน้า ลาน้า
สาขาซึ่งเป็นต้นกาเนิดของลาน้าสะแกกรัง คือ ห้วยแม่วงก์ ไหลผ่านอาเภอแม่วงก์และอาเภอ
ลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ มาบรรจบกับห้วยคลองโพธิ์ซึ่งไหลมาจากเทือกเขาแนวแบ่งเขต
ระหว่างจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดอุทัยธานี ที่อาเภอสว่างอารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี กลายเป็น
น้าตากแดด แล้วไหลลงมาบรรจบกับห้วยทับเสลา ในเขตอาเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี เข้าเขต
อาเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ เลียบผ่านภูเขาสะแกกรัง จึงได้ชื่อว่าแม่น้าสะแกกรังก่อนจะลงสู่
แม่น้าเจ้าพระยาทางตอนเหนือของเขื่อนเจ้าพระยา (กรมทรัพยากรน้าบาดาล : 2554)
ภาพที่ 1 : แสดงสภาพภูมิประเทศและลาน้าสาขาในลุ่มน้าสะแกกรัง
ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
ภาพที่ 2: แสดงรายละเอียดของจังหวัดในลุ่มน้าสะแกกรัง
ที่มา :สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
2.1.2 ระบบลุ่มน้าสะแกกรัง
การแบ่งลุ่มน้าสาขาในลุ่มน้าสะแกกรังได้กาหนดตามผลการศึกษาของโครงการศึกษา
สารวจออกแบบสถานีอุทกวิทยา 25 ลุ่มน้าหลักของประเทศไทย ของกรมทรัพยากรน้า, 2548 โดย
พิจารณาหลักเกณฑ์การแบ่งขอบเขตลุ่มน้าสาขา การเรียกชื่อลุ่มน้า ลาน้า และการกาหนดรหัสลุ่ม
น้า โดยยึดถือ “มาตรฐานลุ่มน้าและลุ่มน้าสาขา” ของคณะอนุกรรมการศูนย์ข้อมูลสารสนเทศอุทก
วิทยา (น้าผิวดิน) ภายใต้คณะกรรมการอุทกวิทยาแห่งชาติ (ปัจจุบันได้รวมอยู่ในกรมทรัพยากรน้า)
ซึ่งปรากฏอยู่ในรายงานผลการวิจัย เรื่อง ทะเบียนประวัติ และแผนที่แสดงตาแหน่งสถานีอุทกวิทยา
และอุตุนิยมวิทยาในประเทศไทย (กุมภาพันธ์ 2539) เป็นแนวทางในการดาเนินงาน และได้ทาการ
ปรับเพิ่มเติมหลักเกณฑ์บางประการให้ชัดเจนและสมบูรณ์ขึ้น โดยมีการนาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ
มาพิจารณาร่วม ได้แก่ แผนที่การแบ่งขอบเขตลุ่มน้าของหน่วยงานต่างๆในระบบ GIS รายงาน
การศึกษา แผนที่แสดงขอบเขตพื้นที่ชลประทาน แนวคันกั้นน้าท่วม และการสารวจสนามในบาง
พื้นที่ รวมทั้งได้ใช้แผนที่ภูมิประเทศมาตราส่วน 1:50,000 ชุดปัจจุบันจากกรมแผนที่ทหารมาใช้ใน
การกาหนดขอบเขตลุ่มน้า ซึ่งแบ่งพื้นที่ลุ่มน้าสะแกกรังออกเป็น 4 ลุ่มน้าสาขา ได้แก่ น้าแม่วง
คลองโพธิ์ ห้วยทับเสลา แม่น้าสะแกกรังตอนล่าง (สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร :
6 พฤษภาคม 2556)
ภาพที่ 3 : แสดงรายละเอียดของลุ่มน้าสาขาในลุ่มน้าสะแกกรัง
ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
ภาพที่ 4 : แสดงขอบเขตลุ่มน้าสาขาในลุ่มน้าสะแกกรัง
ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
ภาพที่ 5 : แสดงระบบลุ่มน้าสะแกกรัง (Schematic Diagram)
ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
2.2 สภาพอุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยา
2.2.1 ปริมาณน้าฝน
รวบรวมข้อมูลปริมาณฝนรายเดือนของสถานีวัดน้าฝนที่รวบรวมโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
แห่งประเทศไทย จานวน 22 สถานี พบว่า มีเพียง 10 สถานี ที่มีช่วงเวลาของการจดบันทึกข้อมูลค่า
ปริมาณฝนรายเดือนเฉลี่ยของแต่ละสถานีครบตลอดทั้งปี และมีช่วงเวลาการเก็บมากกว่า 20 ปี
ในช่วงปี พ.ศ.2497-2548 นอกจากนี้ ยังนาค่าปริมาณฝนจากสถานีข้างเคียงของลุ่มน้ามาร่วม
วิเคราะห์เส้นชั้นน้าฝนและปริมาณฝนเฉลี่ยในลุ่มน้าสะแกกรังด้วย จากการวิเคราะห์ พบว่า มี
ปริมาณฝนเฉลี่ยรายปี 1,217 มิลลิเมตร การกระจายตัวของปริมาณฝนจะเกิดตั้งแต่เดือน
พฤษภาคมไปจนถึงเดือนกันยายน แสดงดังรูปที่ 1.2.2 สาหรับตาแหน่งสถานีวัดน้าฝน ตาแหน่ง
สถานีที่นามาวิเคราะห์ เส้นชั้นน้าฝนรายปีเฉลี่ย และเส้นชั้นน้าฝนรายเดือนเฉลี่ย
(สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร : 6 พฤษภาคม 2556)
ภาพที่ 6 : แสดงปริมาณฝนรายเดือนเฉลี่ยในลุ่มน้าสะแกกรัง
ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
ภาพที่ 7 : แสดงตาแหน่งสถานีวัดน้าฝน สถานีที่นามาวิเคราะห์
และเส้นชั้นน้าฝนรายปีเฉลี่ยในลุ่มน้าสะแกกรัง
ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
ภาพที่ 8 : แสดงเส้นชั้นน้าฝนรายเดือนเฉลี่ยในลุ่มน้าสะแกกรัง
ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
2.2.2 อุทกธรณีวิทยาและน้าใต้ดิน
การศึกษาข้อมูลแผนที่อุทกธรณีวิทยาของลุ่มน้าสะแกกรัง มาตราส่วน 1:100,000 จัดทา
โดยกรมทรัพยากรธรณี ปี พ.ศ.2544 พบว่า ลักษณะอุทกธรณีวิทยาของลุ่มน้าสะแกกรังพื้นที่ส่วน
ใหญ่เป็นชั้นหินอุ้มน้าตะกอนตะพักน้า (Ot) 615,532 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 20.07 ของพื้นที่ลุ่มน้าสะแก
กรัง รองลงมาคือ ชั้นหินอุ้มน้าหินแปร (SDmm) 521,503 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 17.01 ของพื้นที่ลุ่มน้า
สะแกกรัง รายละเอียดดังตารางที่ 1.2.4 สาหรับคาอธิบายสัญลักษณ์ของชั้นหินอุ้มน้าแต่ละชนิด
แสดงในภาคผนวก ข และสภาพอุทกธรณีวิทยาและปริมาณการให้น้าของชั้นหินในลุ่มน้าสะแกกรัง
(สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร : 6 พฤษภาคม 2556)
ภาพที่ 9 : แสดงรายละเอียดชั้นหินอุ้มน้าในลุ่มน้าสะแกกรัง
ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
ภาพที่ 10 : แสดงสภาพอุทกธรณีวิทยาในลุ่มน้าสะแกกรัง
ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
ภาพที่ 11 : แสดงปริมาณการให้น้าของชั้นหินในลุ่มน้าสะแกกรัง
ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
2.2.3 ตะกอนดินของลุ่มน้าสะแกกรัง
รวบรวมข้อมูลปริมาณตะกอนแขวนลอยจากสถานีวัดน้าในลุ่มน้าสะแกกรังของหน่วยงาน
ต่างๆ ได้แก่ กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จานวน
146 สถานี มีเพียง 3 สถานี ที่มีช่วงเวลาของการจดบันทึกข้อมูลค่าปริมาณตะกอนแขวนลอยครบ
ตลอดทั้งปี รายละเอียดของแต่ละสถานี ทาการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณตะกอน
แขวนลอยรายปีเฉลี่ยกับพื้นที่รับน้า
ภาพที่ 12 : แสดงปริมาณตะกอนแขวนลอยรายปีเฉลี่ยของแต่ละสถานีวัดน้า
ในลุ่มน้าสะแกกรัง
ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
ภาพที่ 13 : แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณตะกอนแขวนลอยรายปีเฉลี่ย
กับพื้นที่รับน้าของแต่ละสถานีวัดน้าในลุ่มน้าสะแกกรัง
2.3 ความหมายและค่ามาตรฐานของค่าวัดคุณภาพน้า
2.3.1 ค่า DO
ศูนย์วิจัยและส่งเสริมการนาน้ากลับมาใช้ใหม่( : ) กล่าวว่า ค่า DO หรือ (Dissolved-
-oxygen)คือ การหาปริมาณออกซิเจนซึ่งละลายอยู่ในน้าอันเป็นลักษณะที่จะบอกให้ทราบว่าน้านั้น
มีความเหมาะสมเพียงใดต่อการดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในน้า และแนวการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน
น้าว่าเป็นแบบใช้ออกซิเจนอิสระ (aerobic) หรือไม่ใช้ออกซิเจนอิสระ (anarobic) การหาค่าออกซิเจน
ละลายสามารถทาการวิเคราะห์ได้หลายวิธี เช่น วัดโดยใช้เครื่องมือดีโอมิเตอร์ (DO meter) หรือ
ออกซิเจนมิเตอร์ (Oxygen meter) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถวัดปริมาณออกซิเจนที่ละลายอยู่ใน
สารละลายได้โดยตรง หรือจะใช้วิธีทางเคมี เช่น วิธีเอไซด์โมดิฟิเคชั่นของไอโอโดเมตริก (Azide
Modification of Iodometric Method) ซึ่งเหมาะสมสาหรับใช้วิธีวิเคราะห์หาปริมาณออกซิเจนในน้าที่
สกปรก เช่น น้าทิ้ง น้าในแม่น้าลาคลอง
ทีมงานทรูปลูกปัญญา (21 พฤษภาคม 2557) กล่าวว่า ค่า DO (ดีโอ) ย่อมาจากคาว่า
Dissolved Oxygen หมายถึง ค่าของปริมาณออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้า โดยปกติในน้าบริสุทธิ์ที่
อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส จะมีออกซิเจนละลายอยู่ประมาณ 5 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เดซิเมตร
ซึ่งเป็นจานวนจากัด ส่วนในแหล่งน้าธรรมชาติที่สะอาด จะมีออกซิเจนละลายอยู่ประมาณ 7-8
มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เดซิเมตร ถ้ามีค่าต่ากว่านี้ ออกซิเจนในอากาศจะสามารถละลายน้าได้
หนังสือเรียนชีววิทยาเพิ่มเติม เล่ม 5 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6สถาบันส่งเสริมการสอน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(2554: 145) ระบุว่า ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้า หรือ
ดีโอ (Dissolved Oxygen ; DO) โดยปกติแก๊สออกซิเจนที่ละลายในน้าได้มาจากบรรยากาศและการ
สังเคราะห์ด้วยแสงของพืชน้า ปริมาณแก๊สออกซิเจนที่ละลายในน้าจะแปรผกผันกับอุณหภูมิและ
ความเข้มข้นของแร่ธาตุที่ละลายในน้า ถ้าหากอุณหภูมิของน้าและความเข้มข้นของแร่ธาตุในน้าสูง
จะทาให้แก๊สออกซิเจนละลายในน้าได้น้อยลง
2.3.2 ค่า BOD
ผศ.นงลักษณ์ สุวรรณพินิจ (2541 : 576) กล่าวว่า บีโอดี (BOD,Biochemical oxygen
demand) บีโอดีเป็นปริมาณของออกซิเจนที่ใช้ในการหายใจของจุลินทรีย์ที่จะออกซิไดร์สารอินทรีย์
ในน้าเสีย ปริมาณออกซิเจนจะแปรผันตามจานวนสารอินทรีย์ในน้า คือ ถ้ามีสารอินทรีย์มากจะใช้
ออกซิเจนมากเพื่อไปย่อยสลาย BOD มีหน่วยเป็น มิลลิกรัม/ลิตร
รศ.บัญญัติ สุขศรีงาม (พิมพ์ครั้งที่ 3 : 438-439) กล่าวว่า ค่า BOD ที่ได้นามาแปรผลได้
ว่า ถ้าค่า BOD มาก แสดงว่าปริมาณออกซิเจนในน้าถูกใช้ไปมาก นั่นคือ ในน้าจะมีอินทรีย์สาร
มากด้วย ตามปกติในแหล่งน้าธรรมชาติที่ไม่มีการเน่าเสียจะมี BOD ประมาณ 100-300
มิลลิกรัมต่อลิตร ส่วนอาหารเลี้ยงแบคทีเรียในห้องปฏิบัติการมีค่า BOD ประมาณ 2,000-7,000
มิลลิกรัมต่อลิตร
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นิธิยา รัตนาปนนท์ กล่าวว่า ความต้องการออกซิเจนทาง
ชีวเคมี (Biological Oxygen Demand, BOD) หมายถึง ปริมาณออกซิเจนที่จุลินทรีย์ใช้ในการย่อย
สลายสารอินทรีย์ในน้า น้าทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งมีสารอินทรีย์หลายๆ ชนิดละลาย
ปนอยู่ด้วย เช่น แป้ง น้าตาล โปรตีน กรดแอมิโน ไขมันและน้ามัน ถ้าน้าทิ้งนั้นค่าบีโอดีสูง แสดงว่า
น้ามีคุณภาพไม่ดี มีปริมาณสารอินทรีย์ปนเปื้อนมาก
การวัดค่า BOD
ในการวัดค่า BOD จะปล่อยให้แบคทีเรียที่ต้องการอากาศ (aerobic bacteria) ซึ่งอยู่
ในน้าย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้าเสียในภาวะที่มีออกซิเจน อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส โดยทั่วไปใน
อุตสาหกรรมใช้เวลา 5 วัน เรียกว่า ค่า BOD 5 บางกรณีอาจใช้ระยะเวลานานขึ้นถึง 20 วัน เรียกว่า
ค่า BOD 20 เพื่อให้สารอินทรีย์ที่ย่อยสลายยาก เช่น โปรตีน ให้ย่อยสลายได้อย่างสมบูรณ์
ประโยชน์ของค่า BOD
ความต้องการออกซิเจนทางชีวเคมี (Biological Oxygen Demand, BOD) ใช้เป็น
ค่ามาตรฐานที่บ่งชี้ว่าคุณภาพของน้ามีค่ามลภาวะของน้าทิ้ง น้าเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม
สามารถนามาใช้เป็นตัวแปรในการคานวณ เพื่อออกแบบระบบบาบัดน้าเสีย (waste water-
-treatment) และประเมินประสิทธิภาพของระบบบาบัดน้าเสียที่ใช้อยู่ ค่า BOD ของน้าเสียที่ผ่าน
การบาบัด ก่อนปล่อยสู่แหล่งน้าสาธารณะต้องมีค่า BOD ไม่เกิน 20 ส่วนในล้านส่วน (ppm)
ภาพที่ 14 : แสดงAerobic bacteria / แบคทีเรียที่ต้องการออกซิเจน
ที่มา : ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นิธิยา รัตนาปนนท์
2.3.3 ค่า PH
สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (2554) กล่าวว่า ค่า pH เป็นค่าที่
แสดงความเป็นกรด-เบส ของสารที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยค่า pH จะอยู่ในช่วง 1-14 ถ้าค่า pH
น้อยกว่า 7 สารชนิดนั้นก็จะมีฤทธิ์เป็นกรด และถ้าค่า pH มากกว่า 7 สารชนิดนั้นก็จะมีฤทธิ์เป็นเบส
หรือด่าง แต่ถ้าค่า pH นั้นมีค่าเท่ากับ 7 แสดงว่าสารชนิดนั้นเป็นกลางหรือที่เรียกว่า pH balance
หรือไม่เป็นกรดหรือเบสไม่ทาให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง การหาค่า pH ในสารต่างๆ
มีประโยชน์มากมายในด้านการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างด้านอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสาอาง
จนรวมไปถึงวงการการแพทย์ การเกษตร ฯลฯ
สถาบันนวัตกรรมและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล (2550) กล่าวว่า
pH ย่อมาจากคาว่า positive potential of the hydrogen ions คือ ค่าที่แสดงถึงความเข้มข้นของ
ไฮโดรเจนไอออน (H+
) หรือไฮโดรเนียมไอออน (H3O+
) ใช้บอกความเป็นกรดหรือเบสของ
สารละลาย โดยค่า pH ของสารละลายเป็นค่าลอการิทึมของความเข้มข้นของไฮโดรเจนไอออน
pH = -log [H3O+
]
หรือ [H3O] + = 10-pH โดยที่ [H3O+
] คือ ความเข้มข้นของ H3O+
หรือ H+
เป็นโมล/ลิตร
น้าบริสุทธิ์ ที่อุณหภูมิ 25°C จะมี [H3O+
] = 1 x 10 -7 โมล/ลิตร
ดังนั้น pH = -log [H3O+
] = -log [1 x 10 -7
] = 7
นั่นคือ pH ของน้าบริสุทธิ์ ที่อุณหภูมิ 25°C เท่ากับ 7 ถือว่ามีสภาพเป็นกลาง คือไม่มี
ความเป็นกรดหรือเบส
ถ้า [H3O+
] = 1 x 10 -5
; pH = -log [H3O+
] = -log [1 x 10 -5] = 5 (เป็นกรด)
ถ้า [H3O+]
= 1 x 10 -9
; pH = -log [H3O+] = -log [1 x 10 -9] = 9 (เป็นเบส)
ภาพที่ 15 : แสดงสเกล pH ของสารละลายที่มีความเข้มข้นต่างๆกัน
ที่มา : สถาบันนวัตกรรมและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล
2.3.4 ค่ามาตรฐานของค่าวัดคุณภาพน้า
2.3.4.1 ค่ามาตรฐานของค่า DO
ดี > 6.0 มก./ลิตร
พอใช้ > 4.0-6.0 มก./ลิตร
เสื่อมโทรม 2.0-4.0 มก./ลิตร
เสื่อมโทรมมาก < 2.0 มก./ลิตร
2.3.4.2 ค่ามาตรฐานของค่า BOD
ดี < 1.5 มก./ลิตร
พอใช้ 1.5-2.0 มก./ลิตร
เสื่อมโทรม > 2.0 - 4.0 มก./ลิตร
เสื่อมโทรมมาก > 4.0 มก./ลิตร
2.3.4.3 ค่ามาตรฐานของค่า PH
ค่า 1-6 คือมีความเป็นกรด
ค่า 7 คือมีความเป็นกลาง
ค่า 8-14 คือมีความเป็นเบส
บทที่ 3
วิธีดาเนินการโครงงาน
เครื่องมือที่ใช้ในการทาโครงงาน
การทาโครงงานครั้งนี้ใช้เครื่องมือประกอบด้วย แบบสารวจ จานวน 1 ฉบับ ดังนี้
ฉบับที่ 1 แบบสารวจคุณภาพน้าเพื่อหาสาเหตุของน้าในแม่น้าสะแกกรัง โดยการหา
ค่าเฉลี่ย
 โดยค่า PH จะมีค่าตั้งแต่ 1-14
ค่า 1-6 คือมีความเป็นกรด
ค่า 7 คือมีความเป็นกลาง
ค่า 8-14 คือมีความเป็นเบส
 ค่า DO
ดี > 6.0 มก./ลิตร
พอใช้ > 4.0-6.0 มก./ลิตร
เสื่อมโทรม 2.0-4.0 มก./ลิตร
เสื่อมโทรมมาก < 2.0 มก./ลิตร
 ค่า BOD
ดี < 1.5 มก./ลิตร
พอใช้ 1.5-2.0 มก./ลิตร
เสื่อมโทรม > 2.0 - 4.0 มก./ลิตร
เสื่อมโทรมมาก > 4.0 มก./ลิตร
การเก็บรวบรวมข้อมูล
1. กาหนดหัวเรื่องที่จะสารวจ
2. เตรียมแบบสารวจให้พร้อมพร้อมที่จะทาการสารวจ
3. ออกทาการสารวจในพื้นที่ที่ได้วางแผนการสารวจไว้
4. ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลที่สารวจ
5. นาผลที่ได้จาการทดสอบและวัดมาตรวจดูความสมบูรณ์ของผล และนามาวิเคราะห์
ตามเกณฑ์
การวิเคราะห์ข้อมูล
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคาระข้อมูล
1.1 ค่าความถี่ (Frequency)
1.2 ค่าร้อยละ (Percentage)
1.3 ค่าเฉลี่ย (Mean) คานวณจากสูตรของบุญชม ศรีสะอาด (2547 : 55-56)
∑
เมื่อ xˉ แทน ค่าเฉลี่ยของผลการสารวจ
∑ แทน ผลรวมของข้อมูลทั้งหมด
N แทน จานวนผลการสารวจทั้งหมด
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต( xˉ ) จัดว่าเป็นค่าที่มีความสาคัญมากในวิชาสถิติ เพราะค่าเฉลี่ยเลข
คณิตเป็นค่ากลางหรือเป็นตัวแทนของข้อมูลที่ดีที่สุด เพราะ 1)เป็นค่าที่ไม่เอนเอียง 2)เป็นค่า
ที่มีความคงเส้นคงวา 3)เป็นค่าที่มีความแปรปรวนต่าที่สุด และ 4)เป็นค่าที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
แต่ค่าเฉลี่ยเลขคณิตก็มีข้อจากัดในการใช้ เช่น ถ้าข้อมูลมีการกระจายมาก หรือข้อมูลบางตัวมีค่า
มากหรือน้อยจนผิดปกติ หรือข้อมูลมีการเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ค่าเฉลี่ยเลขคณิตจะไม่สามารถเป็นค่า
กลางหรือเป็นตัวแทนที่ดีของข้อมูลได้
1.4 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) คานวณจากสูตรของบุญชม ศรีสะอาด
(2547 : 85-87)
√
∑ ∑
เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
∑ แทน ผลของการสารวจแต่ละตัวยกกาลังสอง
∑ แทน ผลรวมของผลการสารวจทั้งหมดยกกาลังสอง
N แทน จานวนผลการสารวจในกลุ่มนั้น
บทที่ 4
ผลการสารวจ
ผลการสารวจที่นาเสนอในบทนี้ เป็นผลการสารวจข้อมูลที่ได้จากการสารวจข้อมูลน้าใน
แม่น้าสะแกกรังที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้า ซึ่งนาเสนอในรูปของตารางดังนี้
ครั้งที่
วันที่
1 2 3 4 5 xˉ
18 มกราคม 2559 4.66 4.82 5.02 4.94 4.99 4.90
25 มกราคม 2559 4.88 4.85 4.83 5.00 5.05 5.00
1 กุมภาพันธ์ 2559 4.95 4.92 5.00 5.12 4.99 5.00
ตารางที่ 1 : แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง
บริเวณจุดที่ 1 พิกัด 15°23'00.7"N 100°01'45.9"E
ครั้งที่
วันที่
1 2 3 4 5 xˉ
18 มกราคม 2559 2.2 2.1 1.9 2.0 1.9 2.02
25 มกราคม 2559 1.8 1.9 2.3 2.1 2.0 2.00
1 กุมภาพันธ์ 2559 1.9 2.2 1.9 2.3 1.9 2.04
ตารางที่ 2 : แสดงผลการสารวจค่า BOD ในแม่น้าสะแกกรัง
บริเวณจุดที่ 1 พิกัด 15°23'00.7"N 100°01'45.9"E
ครั้งที่
วันที่
1 2 3 4 5 xˉ
18 มกราคม 2559 8.7 8.2 7.6 7.8 8.1 8.10
25 มกราคม 2559 8.4 8.4 8.2 7.6 7.4 8.00
1 กุมภาพันธ์ 2559 7.7 7.9 8.2 8.2 8.4 8.10
ตารางที่ 3 : แสดงผลการสารวจค่า PH ในแม่น้าสะแกกรัง
บริเวณจุดที่ 1 พิกัด 15°23'00.7"N 100°01'45.9"E
ครั้งที่
วันที่
1 2 3 4 5 xˉ
18 มกราคม 2559 5.66 5.82 5.54 5.58 5.92 5.70
25 มกราคม 2559 6.07 6.26 5.91 5.92 6.13 6.10
1 กุมภาพันธ์ 2559 6.74 6.59 6.87 7.25 6.96 6.90
ตารางที่ 4 : แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง
บริเวณจุดที่ 2 พิกัด 15°23'00.3"N 100°01'47.9"E
ครั้งที่
วันที่
1 2 3 4 5 xˉ
18 มกราคม 2559 1.6 1.5 1.5 1.5 1.3 1.49
25 มกราคม 2559 1.7 1.6 1.6 1.4 1.0 1.49
1 กุมภาพันธ์ 2559 1.2 0.9 0.9 1.0 1.1 1.00
ตารางที่ 5 : แสดงผลการสารวจค่า BOD ในแม่น้าสะแกกรัง
บริเวณจุดที่ 2 พิกัด 15°23'00.3"N 100°01'47.9"E
ครั้งที่
วันที่
1 2 3 4 5 xˉ
18 มกราคม 2559 8.6 8.4 7.8 7.8 8.5 8.22
25 มกราคม 2559 8.7 8.7 7.9 7.5 7.8 8.12
1 กุมภาพันธ์ 2559 7.9 8.2 8.0 8.4 8.2 8.14
ตารางที่ 6 : แสดงผลการสารวจค่า PH ในแม่น้าสะแกกรัง
บริเวณจุดที่ 2 พิกัด 15°23'00.3"N 100°01'47.9"E
ครั้งที่
วันที่
1 2 3 4 5 xˉ
19 มกราคม 2559 7.55 7.71 7.76 7.65 7.89 7.71
26 มกราคม 2559 7.98 7.98 8.08 8.26 7.84 8.03
2 กุมภาพันธ์ 2559 7.82 7.66 7.64 7.97 7.99 7.82
ตารางที่ 7 : แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง
บริเวณจุดที่ 3 พิกัด 15°22'27.6"N 100°02'20.0"E
ครั้งที่
วันที่
1 2 3 4 5 xˉ
19 มกราคม 2559 1.1 1.2 1.1 1.3 1.1 1.17
26 มกราคม 2559 1.4 1.5 1.4 1.7 1.6 1.52
2 กุมภาพันธ์ 2559 0.9 0.9 0.7 0.4 0.8 0.74
ตารางที่ 8 : แสดงผลการสารวจค่า BOD ในแม่น้าสะแกกรัง
บริเวณจุดที่ 3 พิกัด 15°22'27.6"N 100°02'20.0"E
ครั้งที่
วันที่
1 2 3 4 5 xˉ
19 มกราคม 2559 8.8 8.8 8.5 8.6 8.4 8.62
26 มกราคม 2559 8.7 8.9 8.5 8.6 7.9 8.52
2 กุมภาพันธ์ 2559 7.9 7.8 8.1 8.4 8.5 8.14
ตารางที่ 9 : แสดงผลการสารวจค่า PH ในแม่น้าสะแกกรัง
บริเวณจุดที่ 3 พิกัด 15°22'27.6"N 100°02'20.0"E
บทที่ 5
บทสรุป
จากการศึกษาและสารวจลักษณะน้าในแม่น้าสะแกกรังที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้า
เพื่อนามาวิเคราะหเปรียบเทียบผลที่ได้ออกมาแลวนั้น สามารถสรุปเปนภาพรวมได้ดังนี้
สรุปผลการดาเนินโครงงาน
จากการศึกษาและสารวจพบว่าน้าในแม่น้าสะแกกรังนั้นมิได้ส่งผลกระทบร้ายแรงใดๆต่อ
พันธุ์สัตว์น้า เพราะผลจากการสารวจออกมาว่า ค่า DO ในพิกัดที่ 1 อยู่ในเกณฑ์พอใช้ ซึ่งค่าเฉลี่ย
ของค่า DO พิกัดที่ 1 อยู่ที่ 5.00 ส่วนค่า BOD ในพิกัดที่ 1 อยู่ในเกณฑ์พอใช้อีกเช่นกันมีค่าเฉลี่ย
เท่ากับ 2.02 และค่าเฉลี่ยของ PH พิกัดที่ 1 อยู่ในเกณฑ์เป็นเบสอ่อนๆมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8.06
ส่วนพิกัดที่ 2 ค่า DO อยู่ในเกณฑ์ ดี มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 6.23 ค่า BOD อยู่ในเกณฑ์ ดี มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่
1.33 ค่า PH อยู่ในเกณฑ์เป็นเบสอ่อนๆ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 8.16 และพิกัดที่ 3 ค่า DO อยู่ในเกณฑ์ ดี มี
ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 7.85 ค่า BOD อยู่ในเกณฑ์ ดี มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.14 ค่า PH อยู่ในเกณฑ์เป็นเบสอ่อนๆ
มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 8.43
อภิปรายผลการดาเนินโครงงาน
จากตารางที่ 1 จะเห็นได้ว่าค่า DO ที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์พอใช้ เนื่องจาก บริเวณพิกัดที่ 1
เป็นบริเวณที่อยู่ติดกับบริเวณตลาดสดเทศบาลฯ เพราะตลาดสดเทศบาลฯทุกๆวันจะมีการปล่อย
น้าเสียหรือสิ่งปฏิกูลลงมาบริเวณพิกัดจุดที่ 1 จึงทาให้ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้าหรือ DO มี
จานวนลดลงด้วย
จากตารางที่ 2 จะเห็นได้ว่าค่า BOD ที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์พอใช้ เนื่องจาก บริเวณพิกัดที่
1 เป็นบริเวณที่อยู่ติดกับบริเวณตลาดสดเทศบาลฯ เพราะตลาดสดเทศบาลฯทุกๆวันจะมีการปล่อย
น้าเสียหรือสิ่งปฏิกูลลงมาบริเวณพิกัดจุดที่ 1 จึงทาให้ปริมาณของออกซิเจนที่ใช้ในการหายใจของ
จุลินทรีย์หรือ BOD มีจานวนเพิ่มมากขึ้น
จากตารางที่ 4 และ 7 จะเห็นได้ว่าค่า DO ที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจาก บริเวณพิกัด
ที่ 2 และ 3 เป็นบริเวณที่ไม่มีสิ่งปฏิกูลถูกทิ้งลงในแหล่ง ถ้ามีก็มีน้อยหรือไม่มีเลย ทั้งยังมี
ผักตบชวาที่ช่วยบาบัดน้าเสียได้อีกทางหนึ่งจึงทาให้ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้าหรือ DO มี
จานวนเพิ่มขึ้น
จากตารางที่ 5 และ 8 จะเห็นได้ว่าค่า BOD ที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจาก บริเวณ
พิกัดที่ 2 และ 3 เป็นบริเวณเป็นบริเวณที่มีความโล่งของแหล่งน้า ไม่มีสิ่งปฏิกูลที่เป็นแหล่งเพาะตัว
เป็นแหล่งอาหารให้เจริญเติบโตของสารอินทรีย์ในน้า จึงทาให้ออกซิเจนที่ใช้ในการหายใจของ
จุลินทรีย์ลดลงด้วย
จากตารางที่ 3,6 และ 9 จะเห็นได้ว่า ค่า PH ของพิกัดที่ 1 , 2 และ 3 มีค่าที่ใกล้เคียงกัน
เนื่องจากมีตะกอนดินที่นาพาแร่ธาตุต่างๆมาทับถมในแม่น้า แม่น้าสะแกกรังจึงมีความเป็นเบส
อ่อนๆ
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะในการนาผลการทาโครงงานไปใช้
ผู้ที่จะนาข้อมูลในโครงงานเล่มนี้ไปใช้ เพื่อการอ้างอิง เพื่อการหาความรู้ หรือเพื่อการอื่นๆ
ผู้ศึกษาควรที่จะปรับข้อมูลที่เป็นอยู่ให้เป็นปัจจุบัน ข้อมูลที่ผู้ศึกษาจะได้รับนั้นจะได้ไม่มีการ
คลาดเคลื่อนแต่อย่างใด
ข้อเสนอแนะในการทาโครงงานครังต่อไป
ผู้ที่จะทาหรือคิดที่จะโครงงานแบบสารวจน้าแบบที่ข้าพเจ้าทานี้ ผู้ที่จะศึกษาหรือจะ
สารวจหรือคิดที่จะทาควรหาข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งน้านั้นๆให้แม่นยาและมีความถูกต้องมากที่สุด
การสารวจต้องมีความเที่ยงตรงและใช้ผลการสารวจเฉลี่ยอย่างน้อย 5 ครั้ง จึงจะได้ค่าเฉลี่ยที่ดี
ที่สุด
บรรณานุกรม
บรรณานุกรม
บัญญัติ สุขศรีงาม. (มปป.). จุลชีววิทยาทั่วไป (พิมพ์ครั้งที่ 3). วังบูรพา กรุงเทพฯ:
สานักพิมพ์โอเดียนสโตร์.
บุญชม ศรีสะอาด. (2547). วิธีการทางสถิติสาหรับการวิจัย (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ:
สานักพิมพ์สุวีริยาสาส์น.
นงลักษณ์ สุวรรฯพินิจ. (2541). จุลชีววิทยาทั่วไป (พิมพ์ครั้งที่ 2). พญาไท กรุงเทฯ:
สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สถาบันนวัตกรรมและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล. (2550). บทเรียน
อิเล็กทรอนิกส์วิชาเคมี เรื่องกรด-เบส. สืบค้นเมื่อ 20 มกราคม 2559.
จาก (http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/acid-base/C7.HTM)
นิธิยา รัตนาปนนท์. (มปป.). Biological Oxygen Demand / ความต้องการออกซิเจนทาง
ชีวเคมี. สืบค้นเมื่อ 20 มกราคม 2559.จาก
(http://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/0795/biological-oxygen-demand-
ความต้องการออกซิเจนทางชีวเคมี)
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2554). การตรวจสอบมลพิษทางนา
(พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว.
ทรูปลูกปัญญา. (มปป.). ค่า DO ตืออะไร. สืบค้นเมื่อ 21 มกราคม 2559. จาก
(http://www.trueplookpanya.com/new/asktrueplookpanya/questiondetail/5046)
ศูนย์วิจัยและส่งเสริมการนาน้ากลับมาใช้ใหม่. (5 กันยายน 2556). ออกซิเจนที่ละลายในนา
(Dissolved oxygen,DO). สืบค้นเมื่อ 21 มกราคม 2559. จาก
http://www.softwarethai.co.th/waterreusecenter/index.php?option=com_content&view
=article&id=99%3A2013-06-17-06-18-44&catid=14%3Agis&Itemid=21
สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร. (12 มิถุนายน 2556). ลุ่มแม่นาสะแกกรัง. สืบค้น
เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2559. จาก (http://www.haii.or.th/wiki/index.php/ลุ่มน้าสะแกกรัง)
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก พิกัดจุดที่สารวจนา
พิกัดจุดที่ 1
บริเวณลานสะแกกรัง 15°23'00.7"N 100°01'45.9"E
พิกัดจุดที่ 2
บริเวณท่าน้าวัดอุโปสถาราม 15°23'00.6"N 100°01'48.2"E
พิกัดจุดที่ 3
บริเวณลานสุพรรณิการ์ 15°22'27.6"N 100°02'20.0"E
ประวัติผู้ทาโครงงาน
ประวัติผู้ทาโครงงาน
ชื่อ นามสกุล นายจิรัฐิวัฒน์ เลาหวรรณธนะ
วัน เดือน ปี เกิด 5 ตุลาคม 2542
ที่อยู่ปัจจุบัน 49/1 ถ.ศรีน้าซึม ต.อุทัยใหม่ อ.เมือง จ.อุทัยธานี 61000
ตาแหน่งหน้าที่ปัจจุบัน นักรียนชั้นมธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอุทัยวิทยาคม
ประวัติการศึกษา
พ.ศ. 2548 จบการศึกษาระดับอนุบาลปีที่ 3 จากโรงเรียนพิทักษ์ศิษย์วิทยา
พ.ศ. 2555 จบการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 6
จากโรงเรียนพิทักษ์ศิษย์วิทยา
พ.ศ. 2557 จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3
จากโรงเรียนอุทัยวิทยาคม
ปัจจุบัน กาลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอุทัยวิทยาคม

โครงงานชีววิทยา

  • 1.
    การสารวจลักษณะนาในแม่นาสะแกกรังที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์นา นายจิรัฐวัฒน์ เลาหวรรณธนะ โครงงานเล่มนีเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ว31182 วิทยาศาสตร์ (ชีววิทยาพืนฐาน) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 ลิขสิทธิ์เป็นของโรงเรียนอุทัยวิทยาคม
  • 2.
    กิตติกรรมประกาศ โครงงานฉบับนี้สาเร็จลงได้ด้วยดี เนื่องจากได้รับความกรุณาอย่างสูงจาก ครูปฐมพงศ์ บัวเหมือนอาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย ที่กรุณาให้คาแนะนาปรึกษา ตลอดจนปรับปรุงแก้ไข ข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วยความเอาใจใส่อย่างดียิ่ง ผู้จัดทาตระหนักถึง ความตั้งใจจริงและความทุ่มเท ของอาจารย์และขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ อนึ่ง ผู้จัดทาหวังว่า โครงงานฉบับนี้จะมีประโยชน์อยู่ไม่น้อย จึงขอมอบส่วนดี ทั้งหมดนี้ ให้แก่เหล่าคณาจารย์ที่ได้ประสิทธิประสาทวิชาจนท าให้ผลงานวิจัยเป็น ประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง และขอมอบความกตัญญูกตเวทิตาคุณ แด่บิดา มารดา และผู้มี พระคุณทุกท่าน สาหรับ ข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น ผู้จัดทาขอน้อมรับผิดเพียง ผู้เดียว และยินดีที่จะรับฟัง คาแนะนาจากทุกท่านที่ได้เข้ามาศึกษา เพื่อเป็นประโยชน์ใน การพัฒนาโครงงานต่อไป จิรัฐิวัฒน์ เลาหวรรณธนะ
  • 3.
    ชื่อเรื่อง การสารวจลักษณะน้าในแม่น้าสะแกกรังที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้า ผู้ทาโครงงาน นายจิรัฐิวัฒน์เลาหวรรณธนะ ประธานที่ปรึกษา นายปฐมพงศ์ บัวเหมือน คาสาคัญ ค่า DO ค่า BOD ค่า PH แม่น้าสะแกกรัง บทคัดย่อ เนื่องจากในปัจจุบันน้าในลาน้าหรือแม่น้าต่างๆเกิดปัญหาที่ว่า น้าในลาน้าเน่าเสียบ้าง น้า ไม่สะอาดบ้าง น้าขาดออกซิเจนบ้าง ปัญหาเหล่านี้แหละคือสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์ น้าในแหล่งน้านั้นๆ ทาให้ตัวข้าพเจ้าอยากที่จะสารวจน้าในแหล่งน้าของชุมชน ว่ามีปัญหาใดหรือ สาเหตุใดที่ส่งผลกระตบต่อพันธุ์สัตว์น้าที่ทาให้พันธุ์สัตว์น้าในเขตชุมชนของข้าพเจ้าลดจานวนลง บ้างและวิธีการแก้ปัญหาให้แหล่งแหล่งน้ากลับมาดีดังเดิมหรือฟื้นฟูแหล่งน้าให้ดีดังเดิมเพื่อไม่ให้ ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้าของแหล่งน้าในชุมชน น้าเป็นสิ่งจาเป็นอย่างยิ่งสาหรับชีวิตทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่ ตลอดจนพืชถ้าขาดน้าก็จะต้องแห้งเหี่ยวและเฉาตาย ในที่สุด ในการเกษตรกรรม การทาเรือกสวนไร่นา ทาสวนครัว เลี้ยงสัตว์ ก็ต้องใช้เป็นองค์ประกอบ ที่สาคัญทั้งสิ้น แม้แต่ในการอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ในการหล่อเย็น ในพลังไอน้าก็ดี พลังงานไฟฟ้า ก็ดี การกาจัดน้าทิ้งและขยะก็ดี ตลอดจนถึงการดับไฟเมื่อเกิดไฟไหม้ น้าเป็นองค์ประกอบที่สาคัญ ทั้งนั้นนอกจากนี้แหล่งน้ายังเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ สาหรับท่องเที่ยว ตกปลา ว่ายน้าตลอดจน ใช้ประกอบอาชีพ เช่นการประมงอีกด้วยสรุปแล้วน้าจึงมีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์มาก เป็นองค์ประกอบที่สาคัญสาหรับชีวิตอันดับที่สองรองจากอ๊อกซิเจนมนุษย์สามารถดารงชีวิตอยู่ได้ เมื่อขาดอาหารเป็นเดือนๆ ผลการสารวจออกมาว่า ค่า DO เฉลี่ย 3 พิกัดอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ค่า BOD อยู่ในเกณฑ์พอใช้ และค่า PH อยู่ในเกณฑ์ดี จึงสรุปได้ว่าน้าในแม่น้า สะแกกรังยังไม่ส่งผลกระทบ ต่อพันธุ์สัตว์น้ามากนัก กล่าวคือ ยังส่งผลกระทบไม่มาก ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายทาง สภาพแวดล้อมและระบบนิเวศทางน้า
  • 4.
    สารบัญ บทที่ หน้า 1 บทนา ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา1 วัตถุประสงค์ของโครงงาน 2 สมมติฐานของโครงงาน 2 ขอบเขตของโครงงาน 2 นิยามศัพท์เฉพาะ 3 ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงงาน 5 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สภาพทั่วไปของลุ่มน้า 7 สภาพภูมิประเทศของลุ่มน้าสะแกกรัง 7 ระบบลุ่มน้าสะแกกรัง 9 สภาพอุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยา 13 ปริมาณน้าฝน 13 อุทกธรณีวิทยาและน้าใต้ดิน 16 ตะกอนดินของลุ่มน้าสะแกกรัง 19 ความหมายและค่ามาตรฐานของค่าวัดคุณภาพน้า 20 ค่า DO 20 ค่า BOD 21 ค่า PH 22 ค่ามาตรฐานของค่าวัดคุณภาพน้า 25 3 วิธีดาเนินการโครงงาน เครื่องมือที่ใช้ในการทาโครงงาน 26 การเก็บรวบรวมข้อมูล 27 การวิเคราะห์ข้อมูล 27
  • 5.
    สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 4ผลการสารวจ ผลการสารวจจุดพิกัดที่ 1 29 ผลการสารวจจุดพิกัดที่ 2 30 ผลการสารวจจุดพิกัดที่ 3 31 5 บทสรุป สรุปผลโครงงาน 33 อภิปรายผลโครงงาน 33 ข้อเสนอแนะ 34 บรรณานุกรม 35 ภาคผนวก ภาคผนวก ก 38
  • 6.
    สารบัญตาราง ตาราง หน้า 1 แสดงผลการสารวจค่าDO ในแม่น้าสะแกกรัง บริเวณจุดที่ 1 พิกัด 15°23'00.7"N 100°01'45.9"E 29 2 แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง บริเวณจุดที่ 1 พิกัด 15°23'00.7"N 100°01'45.9"E 29 3 แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง บริเวณจุดที่ 1 พิกัด 15°23'00.7"N 100°01'45.9"E 30 4 แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง บริเวณจุดที่ 2 พิกัด 15°23'00.3"N 100°01'47.9"E 30 5 แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง บริเวณจุดที่ 2 พิกัด 15°23'00.3"N 100°01'47.9"E 30 6 แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง บริเวณจุดที่ 2 พิกัด 15°23'00.3"N 100°01'47.9"E 31 7 แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง บริเวณจุดที่ 3 พิกัด 15°22'27.6"N 100°02'20.0"E 31 8 แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง บริเวณจุดที่ 3 พิกัด 15°22'27.6"N 100°02'20.0"E 31 9 แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง บริเวณจุดที่ 3 พิกัด 15°22'27.6"N 100°02'20.0"E 32
  • 7.
    สารบัญภาพ ภาพ หน้า 1 แสดงสภาพภูมิประเทศและลาน้าสาขาในลุ่มน้าสะแกกรัง8 2 แสดงรายละเอียดของจังหวัดในลุ่มน้าสะแกกรัง 9 3 แสดงรายละเอียดของลุ่มน้าสาขาในลุ่มน้าสะแกกรัง 10 4 แสดงขอบเขตลุ่มน้าสาขาในลุ่มน้าสะแกกรัง 11 5 แสดงระบบลุ่มน้าสะแกกรัง (Schematic Diagram) 12 6 แสดงปริมาณฝนรายเดือนเฉลี่ยในลุ่มน้าสะแกกรัง 13 7 แสดงตาแหน่งสถานีวัดน้าฝน สถานีที่นามาวิเคราะห์ และเส้นชั้นน้าฝนรายปีเฉลี่ยในลุ่มน้าสะแกกรัง 14 8 แสดงเส้นชั้นน้าฝนรายเดือนเฉลี่ยในลุ่มน้าสะแกกรัง 15 9 แสดงรายละเอียดชั้นหินอุ้มน้าในลุ่มน้าสะแกกรัง 16 10 แสดงสภาพอุทกธรณีวิทยาในลุ่มน้าสะแกกรัง 17 11 แสดงปริมาณการให้น้าของชั้นหินในลุ่มน้าสะแกกรัง 18 12 แสดงปริมาณตะกอนแขวนลอยรายปีเฉลี่ยของแต่ละสถานีวัดน้า ในลุ่มน้าสะแกกรัง 19 13 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณตะกอนแขวนลอยรายปีเฉลี่ย กับพื้นที่รับน้าของแต่ละสถานีวัดน้าในลุ่มน้าสะแกกรัง 20 14 แสดงAerobic bacteria / แบคทีเรียที่ต้องการออกซิเจน 22 15 แสดงสเกล pH ของสารละลายที่มีความเข้มข้นต่างๆกัน 24
  • 8.
    บทที่ 1 บทนา ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา น้า เป็นสารประกอบเคมีชนิดหนึ่งมีสูตรเคมีคือ H2O โมเลกุลของน้าประกอบด้วย ออกซิเจน 1 อะตอมและไฮโดรเจน 2 อะตอมเชื่อมติดกันด้วยพันธะโควาเลนต์น้าเป็นของเหลวที่ อุณหภูมิและความดันมาตรฐาน แต่พบบนโลกที่สถานะของแข็ง (น้าแข็ง)และสถานะแก๊ส (ไอน้า) น้ายังมีในสถานะของผลึกของเหลวที่บริเวณพื้นผิวที่ขอบน้า แม่น้า (อังกฤษ: river) เป็นทางน้าธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่ เป็นคาศัพท์ทั่วไปที่ในทาง วิทยาศาสตร์หมายถึงกระแสน้าตามธรรมชาติทั้งหลาย รวมทั้งกระแสน้าขนาดเล็ก เช่น ลาธาร คลอง เป็นต้น น้าฝนที่ตกลงบนพื้นดินจะไหลไปยังแม่น้าแล้วออกสู่มหาสมุทรหรือแอ่งน้าขนาดใหญ่ อื่น ๆ เช่น ทะเลสาบ แม่น้ามีส่วนประกอบโดยพื้นฐานหลายส่วน อาจมีแหล่งกาเนิดจากต้นน้าหรือ น้าซับแล้วไหลสู่กระแสน้าหลัก ลาธารสายเล็กที่ไหลลงสู่แม่น้าเรียกว่าแคว โดยปกติกระแสน้าจะ ไหลไปตามร่องน้าที่ขนาบข้างด้วยตลิ่ง ที่จุดสิ้นสุดของแม่น้าหรือปากแม่น้า มักมีลักษณะแผ่ขยาย ออกเรียกพื้นที่บริเวณนี้ว่าดินดอนสามเหลี่ยม (Delta) หรือชะวากทะเล น้าเป็นสิ่งจาเป็นอย่างยิ่งสาหรับชีวิตทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่ ตลอดจนพืชถ้าขาดน้าก็จะต้องแห้งเหี่ยวและเฉาตายในที่สุด ในการเกษตรกรรม การทาเรือกสวน ไร่นา ทาสวนครัว เลี้ยงสัตว์ ก็ต้องใช้เป็นองค์ประกอบที่สาคัญทั้งสิ้น แม้แต่ในการอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ในการหล่อเย็น ในพลังไอน้าก็ดี พลังงานไฟฟ้าก็ดี การกาจัดน้าทิ้งและขยะก็ดี ตลอดจนถึง การดับไฟเมื่อเกิดไฟไหม้ น้าเป็นองค์ประกอบที่สาคัญทั้งนั้นนอกจากนี้แหล่งน้ายังเป็นที่พักผ่อน หย่อนใจ สาหรับท่องเที่ยว ตกปลา ว่ายน้าตลอดจนใช้ประกอบอาชีพ เช่นการประมงอีกด้วยสรุป แล้วน้าจึงมีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์มาก เป็นองค์ประกอบที่สาคัญสาหรับชีวิตอันดับที่ สองรองจากอ๊อกซิเจนมนุษย์สามารถดารงชีวิตอยู่ได้เมื่อขาดอาหารเป็นเดือนๆ เนื่องจากในปัจจุบันน้าในลาน้าหรือแม่น้าต่างๆเกิดปัญหาที่ว่า น้าในลาน้าเน่าเสียบ้าง น้า ไม่สะอาดบ้าง น้าขาดออกซิเจนบ้าง ปัญหาเหล่านี้แหละคือสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์ น้าในแหล่งน้านั้นๆ ทาให้ตัวข้าพเจ้าอยากที่จะสารวจน้าในแหล่งน้าของชุมชน ว่ามีปัญหาใดหรือ
  • 9.
    สาเหตุใดที่ส่งผลกระตบต่อพันธุ์สัตว์น้าที่ทาให้พันธุ์สัตว์น้าในเขตชุมชนของข้าพเจ้าลดจานวนลง บ้างและวิธีการแก้ปัญหาให้แหล่งแหล่งน้ากลับมาดีดังเดิมหรือฟื้นฟูแหล่งน้าให้ดีดังเดิมเพื่อไม่ให้ ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้าของแหล่งน้าในชุมชน ข้าพเจ้าจึงคิดทาโครงงานเล่มนี้ขึ้นมา วัตถุประสงค์ของโครงงาน 1. เพื่อศึกษาลักษณะน้าในแม่น้าสะแกกรังที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้าที่ทาให้สัตว์ น้ามีจานวนลดลง 2.เพื่อหาแนวทางที่จะช่วยแก้ไขปัญหาของแม่น้าที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้า ในแม่น้าสะแกกรัง 3. เพื่อทราบถึงผลกระทบหรือปัจจัยที่ส่งผลต่อพันธุ์สัตว์น้าในแม่น้าสะแกกรัง สมมติฐานของโครงงาน - น้าในแม่น้าสะแกกรังอาจมีปัจจัยบางชนิดดที่ส่งผลต่อพันธุ์สัตว์น้า - น้าในแม่น้าสะแกกรังอาจมีออกซิเจนที่ต่ากว่าปกติ ของเขตของโครงงาน 1. สิ่งที่ศึกษา : ปัญหาน้าในแม่น้าสะแกกรังที่ส่งกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้า 2. สถานที่ที่ศึกษา : โรงเรียนอุทัยวิทยาคม และ แม่น้าสะแกกรัง 3. ระยะเวลา : ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2558 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2559
  • 10.
    นิยามศัพท์เฉพาะ นา น้า เป็นสารประกอบเคมีชนิดหนึ่ง มีสูตรเคมีคือH2O โมเลกุลของน้าประกอบด้วย ออกซิเจน 1 อะตอมและไฮโดรเจน 2 อะตอมเชื่อมติดกันด้วยพันธะโควาเลนต์ น้าเป็นของเหลวที่ อุณหภูมิและความดันมาตรฐาน แต่พบบนโลกที่สถานะของแข็ง (น้าแข็ง) และสถานะแก๊ส (ไอน้า) น้ายังมีในสถานะของผลึกของเหลวที่บริเวณพื้นผิวที่ขอบน้า น้าปกคลุม 71% บนพื้นผิวโลก และเป็นปัจจัยสาคัญต่อชีวิต น้าบนโลก 96.5% พบในมหาสมุทร 1.7% ในน้าใต้ดิน 1.7% ในธารน้าแข็งและชั้นน้าแข็งของทวีปแอนตาร์กติกาและเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นเศษส่วนเล็กน้อย บนผิวน้าขนาดใหญ่ และ 0.001% พบในอากาศเป็นไอน้า ก้อนเมฆ (ก่อตัวขึ้นจากอนุภาคน้าใน สถานะของแข็งและของเหลวแขวนลอยอยู่บนอากาศ) และหยาดน้าฟ้า น้าบนโลกเพียง 2.5% เป็น น้าจืดและ 98.8% ของน้าจานวนนั้นพบในน้าแข็งและน้าใต้ดิน น้าจืดน้อยกว่า 0.3% พบในแม่น้า ทะเลสาบ และชั้นบรรยากาศ และน้าจืดบนโลกในปริมาณที่เล็กลงไปอีก (0.003%) พบในร่างกาย ของสิ่งมีชีวิตและผลิตภัณฑ์ น้าบนโลกเคลื่อนที่ต่อเนื่องตามวัฏจักรของการระเหยเป็นไอและการ คายน้า(การคายระเหย) การควบแน่น การตกตะกอน และการไหลผ่าน โดยปกติจะไปถึงทะเลการ ระเหยและการคายน้านามาซึ่งการตกตะกอนลงสู่พื้นดิน น้าดื่มสะอาดเป็นสิ่งจาเป็นสาหรับมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แม้ว่าน้าจะไม่มีแคลอรีหรือ สารอาหารที่เป็นสารประกอบอินทรีย์ใดๆ การเข้าถึงน้าดื่มสะอาดได้เปลี่ยนแปลงไปในช่วงหลาย ศตวรรษที่ผ่านมาในเกือบทุกส่วนของโลก แต่ประชากรประมาณ 1 พันล้านคนยังคงขาดแคลนน้า ดื่มสะอาดและกว่า 2.5 พันล้านคนขาดแคลนสุขอนามัยที่เพียงพอ มีความเกี่ยวพันกันเรื่องน้า สะอาดและค่า GDP ต่อคน อย่างไรก็ดี นักสังเกตบางคนประมาณไว้ว่าภายในปี ค.ศ. 2025 ประชากรโลกมากกว่าครึ่งหนึ่งจะประสบปัญหาความเสี่ยงที่เกี่ยวกับน้า รายงานล่าสุดเมื่อเดือน พฤศจิกายน ค.ศ. 2009 รายงานว่า ภายในปี ค.ศ. 2030 ในพื้นที่ประเทศที่กาลังพัฒนาจะมีความ ต้องการน้าจะเพิ่มขึ้นเกิดปริมาณน้าที่มีกว่า 50% น้ามีบทบาทสาคัญในเศรษฐกิจโลก เนื่องจากน้า เป็นตัวทาละลายของสารเคมีหลากหลายชนิดและอานวยความสะดวกในเรื่องการให้ความเย็นใน ภาคอุตสาหกรรมและการคมนาคม น้าจืดประมาณ 70% มนุษย์ใช้ไปกับเกษตรกรรม
  • 11.
    แม่นา แม่น้าเป็นทางน้าธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่ เป็นคาศัพท์ทั่วไปที่ในทางวิทยาศาสตร์หมายถึง กระแสน้าตามธรรมชาติทั้งหลาย รวมทั้งกระแสน้าขนาดเล็กเช่น ลาธาร คลอง เป็นต้น น้าฝนที่ตก ลงบนพื้นดินจะไหลไปยังแม่น้าแล้วออกสู่มหาสมุทรหรือแอ่งน้าขนาดใหญ่อื่น ๆ เช่น ทะเลสาบ แม่น้ามีส่วนประกอบโดยพื้นฐานหลายส่วน อาจมีแหล่งกาเนิดจากต้นน้าหรือน้าซับแล้วไหลสู่ กระแสน้าหลัก ลาธารสายเล็กที่ไหลลงสู่แม่น้าเรียกว่าแคว โดยปกติกระแสน้าจะไหลไปตามร่องน้า ที่ขนาบข้างด้วยตลิ่ง ที่จุดสิ้นสุดของแม่น้าหรือปากแม่น้ามักมีลักษณะแผ่ขยายออกเรียกพื้นที่ บริเวณนี้ว่าดินดอนสามเหลี่ยมหรือชะวากทะเล แม่นาสะแกกรัง แม่น้าสะแกกรัง เป็นแม่น้ามีต้นกาเนิดอยู่ในเขตเทือกเขาโมโกจู ในเขตจังหวัดกาแพงเพชร ไหลไปบรรจบกับแม่น้าเจ้าพระยาที่บ้านท่าซุง ตาบลท่าซุง อาเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี มีความ ยาวประมาณ 225 กิโลเมตร แม่น้าสะแกกรัง มีหลายชื่อตามท้องถิ่นที่แม่น้าไหลผ่านคือ คลองแม่เร่ - แม่วง คือ ช่วงที่ไหลผ่านอาเภอคลองขลุง อาเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกาแพงเพชร และอาเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์จนถึงเขาชนกัน แม่น้าวังม้า คือ ช่วงที่ไหลผ่านอาเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ และอาเภอสว่าง อารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี แม่น้าตากแดด คือ ช่วงไหลผ่านเขตอาเภอสว่างอารมณ์ อาเภอทัพทัน และอาเภอเมือง ฯ จนถึงปากคลองขุมทรัพย์ แม่น้าสะแกกรัง คือ ช่วงตั้งแต่ปากคลองขุมทรัพย์ หรือคลองอีเติ่ง ที่บ้านจักษาอาเภอ เมือง ฯ หรือตรงปลายแม่น้าตากแดด ณ จุดที่แม่น้าตากแดดไหลมาบรรจบกับคลองขุมทรัพย์ ซึ่ง น้าจะเป็นสองสี แล้วไหลผ่านตัวเมืองอุทัยธานี แล้วไหลไปบรรจบแม่น้าเจ้าพระยาที่อาเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาทมีความยาวจากต้นน้าถึงจุดที่บรรจบแม่น้าเจ้าพระยาประมาณ 108 กิโลเมตร พันธุ์สัตว์นา พันธุ์สัตว์น้าหรือสัตว์น้า คือ สัตว์ที่อาศัยในน้าหรือมีวงจรชีวิตส่วนหนึ่งอยู่ในน้าหรืออาศัย อยู่ในบริเวณที่น้าท่วมถึง เช่น ปลา กุ้ง ปู แมงดาทะเล หอย เต่า ตะพาบน้า จระเข้ รวมทั้งไข่ของ สัตว์น้านั้น สัตว์น้าจาพวกเลี้ยงลูกด้วยนม ปลิงทะเล ฟองน้า หินปะการัง กัลปังหา และสาหร่าย ทะเล ทั้งนี้ รวมทั้งซากหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของสัตว์น้าเหล่านั้น และหมายความรวมถึงพันธุ์ไม้น้า
  • 12.
    ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีการะบุชื่อ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงสัตว์น้าต่างถิ่น สัตว์น้าต่างถิ่นในที่นี้คือ สัตว์น้าที่ไม่ได้อยู่หรือมีถิ่นกาเนิดในท้องที่หรือสิ่งแวดล้อมนั้นๆ โดยอาจจะถูกนามาทั้งด้วยความ ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจของมนุษย์ หรืออาจมาอยู่ ณ สถานที่นั้นๆด้วยอุบัติเหตุทางธรรมชาติสาหรับสัตว์ น้าต่างถิ่นในประเทศไทย ได้มีการนาเข้ามาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา คือ ปลาเงินปลาทอง (Carassiusauratus) เพื่อใช้เพาะเลี้ยงเป็นอาหารและสัตว์น้าสวยงาม ปัจจุบันพบว่ามีสัตว์น้าต่างถิ่น ในประเทศไทยมากกว่า 1,100 ชนิด จากประเทศต่าง ๆ เช่น ปลา ประมาณ 1,000 ชนิดสัตว์สะเทิน น้าสะเทินบก ประมาณ 50 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน ประมาณ 50 ชนิด หอย 3 ชนิด กุ้ง ปู 8 ชนิด ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงงาน ทราบถึงผลกระทบหรือปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้าในแม่น้าสะแกกรังเพื่อรณรงค์ ให้ประชาชนที่อยู่ตามริมแม่น้าช่วยกันรักษาระบบนิเวศของแม่น้าสะแกกรังและจะได้หาแนวทางใน การแก้ไขหรือฟื้นฟูสภาพของแหล่งน้าให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ดีเหมือนเดิม
  • 13.
    บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาน้าในแม่น้าสะแกกรังที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้า กรณีศึกษา แม่น้าสะแกกรังตาบลอุทัยใหม่ ตาบลท่าซุง อาเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี ผู้ศึกษาได้ศึกษา เอกสารและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่างๆ เพื่อประกอบการวิจัยดังต่อไปนี้ 2.1 สภาพทั่วไปของลุ่มน้า 2.1.1 สภาพภูมิประเทศของลุ่มน้าสะแกกรัง 2.1.2 ระบบลุ่มน้าสะแกกรัง 2.2 สภาพอุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยา 2.2.1 ปริมาณน้าฝน 2.2.2 อุทกธรณีวิทยาและน้าใต้ดิน 2.2.3 ตะกอนดินของลุ่มน้าสะแกกรัง 2.3 ความหมายและค่ามาตรฐานของค่าวัดคุณภาพน้า 2.3.1 ค่า DO 2.3.2 ค่า BOD 2.3.3 ค่า PH 2.3.4 ค่ามาตรฐานของค่าวัดคุณภาพน้า
  • 14.
    2.1 สภาพทั่วไปของลุ่มน้า 2.1.1 สภาพภูมิประเทศของลุ่มน้าสะแกกรัง ลุ่มน้าสะแกกรังตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศไทยมีพื้นที่ลุ่มน้ารวมทั้งสิ้น 4,906.53 ตร.กม. พื้นที่ส่วนใหญ่ครอบคลุม 3 จังหวัด ได้แก่ อุทัยธานี นครสวรรค์ และกาแพงเพชร ลักษณะ ลุ่มน้าวางตัวตามแนวตะวันตก-ตะวันออก อยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 14°25' เหนือ ถึงเส้นรุ้งที่ 15°08' เหนือและเส้นแวงที่ 99°05' ตะวันออกถึงเส้นแวงที่ 100°05' ตะวันออก ทิศเหนือของลุ่มน้าติดกับ ลุ่มน้าปิงทิศใต้ติดกับลุ่มน้าท่าจีน ทิศตะวันตกติดกับลุ่มน้าแม่กลอง และทิศตะวันออกติดกับลุ่มน้า เจ้าพระยา บริเวณทิศตะวันตกของลุ่มน้าเป็นเทือกเขาสูง เป็นเขตต้นน้าของลาน้าสาขาที่สาคัญหลาย สาย ได้แก่ น้าแม่วง คลองโพธิ์ และห้วยทับเสลา ต้นกาเนิดของลาน้าสะแกกรังคือเทือกเขาโมโกจู ซึ่งเป็นแนวแบ่งเขตระหว่างจังหวัดตากและจังหวัดนครสวรรค์ ต้นน้าของลาน้าสาขาทั้ง 3 สายนี้จะ มีความลาดชันค่อนข้างมากและค่อยๆ ลาดเทลงจนไหลออกสู่ทุ่งราบของลุ่มน้าเจ้าพระยาทางด้าน ทิศตะวันออกของลุ่มน้า ลาน้าสาขาซึ่งเป็นต้นกาเนิดของลาน้าสะแกกรัง ได้แก่ ห้วยแม่วง ไหลผ่าน กิ่งอาเภอแม่วงก์และอาเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ มาบรรจบกับห้วยคลองโพธิ์ ซึ่งไหลมาจาก เทือกเขาบริเวณแนวแบ่งเขตระหว่างจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดอุทัยธานี ที่อาเภอสว่างอารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี กลายเป็นแม่น้าตากแดด แล้วไหลลงมาบรรจบกับห้วยทับเสลา ในเขตอาเภอทัพ ทัน จังหวัดอุทัยธานี เข้าเขตอาเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ไหลเลาะเลียบผ่านภูเขาสะแกกรังจึงได้ชื่อ ว่าแม่น้าสะแกกรัง ก่อนไหลลงสู่แม่น้าเจ้าพระยาทางตอนเหนือของเขื่อนเจ้าพระยา (สถาบัน สารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร:2556 ) ลักษณะของลุ่มน้านี้ ทางทิศตะวันตกเป็นเทือกเขาสูงที่เป็นต้นน้าของ ห้วยแม่วงก์ ห้วย คลองโพธิ์ และห้วยทับเสลา ซึ่งมีความลาดชันค่อนข้างมากและค่อยๆ ลาดเทลงจนไหลออกสู่ทุ่ง ราบของแม่น้าเจ้าพระยา ต้นกาเนิดของลุ่มน้าสะแกกรังคือเทือกเขาโมโกจู ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างจังหวัด ตากและนครสวรรค์ ลาน้าสาขาที่เป็นต้นกาเนิดของลุ่มน้าสะแกกรัง คือ ห้วยแม่วงก์ ซึ่งไหลผ่าน จังหวัดนครสวรรค์และอุทัยธานี เลียบผ่านภูเขาสะแกกรัง ก่อนจะลงสู่แม่น้าเจ้าพระยาทางตอน เหนือของเขื่อนเจ้าพระยา (สานักโครงการขนาดใหญ่ กรมชลประทาน: 2553) ลุ่มน้าสะแกกรัง ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศไทย ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุทัยธานี นครสวรรค์ และกาแพงเพชร มีพื้นที่ลุ่มน้าทั้งสิ้น 5,192 ตารางกิโลเมตร
  • 15.
    ลักษณะลุ่มน้าวางตัวตามแนวตะวันตก-ตะวันออก บริเวณทิศตะวันตกของลุ่มน้าเป็นเทือกเขาสูง และเป็นต้นน้าของลาน้าสาขาที่สาคัญหลายสาย ได้แก่ห้วยแม่วงก์ ห้วยคลองโพธิ์ และห้วยทับ เสลา ต้นกาเนิดของลาน้าสะแกกรังคือ เทือกเขาโมโกจู ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างจังหวัดตาก และจังหวัดนครสวรรค์ ทางด้านต้นน้าของลาน้าสาขาทั้ง 3 สายนี้จะมีความลาดชันค่อนข้างมาก และค่อยลาดเทลงจนไหลออกสู่ทุ่งราบของแม่น้าเจ้าพระยาทางด้านตะวันออกของลุ่มน้า ลาน้า สาขาซึ่งเป็นต้นกาเนิดของลาน้าสะแกกรัง คือ ห้วยแม่วงก์ ไหลผ่านอาเภอแม่วงก์และอาเภอ ลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ มาบรรจบกับห้วยคลองโพธิ์ซึ่งไหลมาจากเทือกเขาแนวแบ่งเขต ระหว่างจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดอุทัยธานี ที่อาเภอสว่างอารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี กลายเป็น น้าตากแดด แล้วไหลลงมาบรรจบกับห้วยทับเสลา ในเขตอาเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี เข้าเขต อาเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ เลียบผ่านภูเขาสะแกกรัง จึงได้ชื่อว่าแม่น้าสะแกกรังก่อนจะลงสู่ แม่น้าเจ้าพระยาทางตอนเหนือของเขื่อนเจ้าพระยา (กรมทรัพยากรน้าบาดาล : 2554) ภาพที่ 1 : แสดงสภาพภูมิประเทศและลาน้าสาขาในลุ่มน้าสะแกกรัง ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
  • 16.
    ภาพที่ 2: แสดงรายละเอียดของจังหวัดในลุ่มน้าสะแกกรัง ที่มา:สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร 2.1.2 ระบบลุ่มน้าสะแกกรัง การแบ่งลุ่มน้าสาขาในลุ่มน้าสะแกกรังได้กาหนดตามผลการศึกษาของโครงการศึกษา สารวจออกแบบสถานีอุทกวิทยา 25 ลุ่มน้าหลักของประเทศไทย ของกรมทรัพยากรน้า, 2548 โดย พิจารณาหลักเกณฑ์การแบ่งขอบเขตลุ่มน้าสาขา การเรียกชื่อลุ่มน้า ลาน้า และการกาหนดรหัสลุ่ม น้า โดยยึดถือ “มาตรฐานลุ่มน้าและลุ่มน้าสาขา” ของคณะอนุกรรมการศูนย์ข้อมูลสารสนเทศอุทก วิทยา (น้าผิวดิน) ภายใต้คณะกรรมการอุทกวิทยาแห่งชาติ (ปัจจุบันได้รวมอยู่ในกรมทรัพยากรน้า) ซึ่งปรากฏอยู่ในรายงานผลการวิจัย เรื่อง ทะเบียนประวัติ และแผนที่แสดงตาแหน่งสถานีอุทกวิทยา และอุตุนิยมวิทยาในประเทศไทย (กุมภาพันธ์ 2539) เป็นแนวทางในการดาเนินงาน และได้ทาการ ปรับเพิ่มเติมหลักเกณฑ์บางประการให้ชัดเจนและสมบูรณ์ขึ้น โดยมีการนาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ มาพิจารณาร่วม ได้แก่ แผนที่การแบ่งขอบเขตลุ่มน้าของหน่วยงานต่างๆในระบบ GIS รายงาน การศึกษา แผนที่แสดงขอบเขตพื้นที่ชลประทาน แนวคันกั้นน้าท่วม และการสารวจสนามในบาง พื้นที่ รวมทั้งได้ใช้แผนที่ภูมิประเทศมาตราส่วน 1:50,000 ชุดปัจจุบันจากกรมแผนที่ทหารมาใช้ใน การกาหนดขอบเขตลุ่มน้า ซึ่งแบ่งพื้นที่ลุ่มน้าสะแกกรังออกเป็น 4 ลุ่มน้าสาขา ได้แก่ น้าแม่วง คลองโพธิ์ ห้วยทับเสลา แม่น้าสะแกกรังตอนล่าง (สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร : 6 พฤษภาคม 2556)
  • 17.
    ภาพที่ 3 :แสดงรายละเอียดของลุ่มน้าสาขาในลุ่มน้าสะแกกรัง ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
  • 18.
    ภาพที่ 4 :แสดงขอบเขตลุ่มน้าสาขาในลุ่มน้าสะแกกรัง ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
  • 19.
    ภาพที่ 5 :แสดงระบบลุ่มน้าสะแกกรัง (Schematic Diagram) ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
  • 20.
    2.2 สภาพอุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยา 2.2.1 ปริมาณน้าฝน รวบรวมข้อมูลปริมาณฝนรายเดือนของสถานีวัดน้าฝนที่รวบรวมโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทยจานวน 22 สถานี พบว่า มีเพียง 10 สถานี ที่มีช่วงเวลาของการจดบันทึกข้อมูลค่า ปริมาณฝนรายเดือนเฉลี่ยของแต่ละสถานีครบตลอดทั้งปี และมีช่วงเวลาการเก็บมากกว่า 20 ปี ในช่วงปี พ.ศ.2497-2548 นอกจากนี้ ยังนาค่าปริมาณฝนจากสถานีข้างเคียงของลุ่มน้ามาร่วม วิเคราะห์เส้นชั้นน้าฝนและปริมาณฝนเฉลี่ยในลุ่มน้าสะแกกรังด้วย จากการวิเคราะห์ พบว่า มี ปริมาณฝนเฉลี่ยรายปี 1,217 มิลลิเมตร การกระจายตัวของปริมาณฝนจะเกิดตั้งแต่เดือน พฤษภาคมไปจนถึงเดือนกันยายน แสดงดังรูปที่ 1.2.2 สาหรับตาแหน่งสถานีวัดน้าฝน ตาแหน่ง สถานีที่นามาวิเคราะห์ เส้นชั้นน้าฝนรายปีเฉลี่ย และเส้นชั้นน้าฝนรายเดือนเฉลี่ย (สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร : 6 พฤษภาคม 2556) ภาพที่ 6 : แสดงปริมาณฝนรายเดือนเฉลี่ยในลุ่มน้าสะแกกรัง ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
  • 21.
    ภาพที่ 7 :แสดงตาแหน่งสถานีวัดน้าฝน สถานีที่นามาวิเคราะห์ และเส้นชั้นน้าฝนรายปีเฉลี่ยในลุ่มน้าสะแกกรัง ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
  • 22.
    ภาพที่ 8 :แสดงเส้นชั้นน้าฝนรายเดือนเฉลี่ยในลุ่มน้าสะแกกรัง ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
  • 23.
    2.2.2 อุทกธรณีวิทยาและน้าใต้ดิน การศึกษาข้อมูลแผนที่อุทกธรณีวิทยาของลุ่มน้าสะแกกรัง มาตราส่วน1:100,000 จัดทา โดยกรมทรัพยากรธรณี ปี พ.ศ.2544 พบว่า ลักษณะอุทกธรณีวิทยาของลุ่มน้าสะแกกรังพื้นที่ส่วน ใหญ่เป็นชั้นหินอุ้มน้าตะกอนตะพักน้า (Ot) 615,532 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 20.07 ของพื้นที่ลุ่มน้าสะแก กรัง รองลงมาคือ ชั้นหินอุ้มน้าหินแปร (SDmm) 521,503 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 17.01 ของพื้นที่ลุ่มน้า สะแกกรัง รายละเอียดดังตารางที่ 1.2.4 สาหรับคาอธิบายสัญลักษณ์ของชั้นหินอุ้มน้าแต่ละชนิด แสดงในภาคผนวก ข และสภาพอุทกธรณีวิทยาและปริมาณการให้น้าของชั้นหินในลุ่มน้าสะแกกรัง (สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร : 6 พฤษภาคม 2556) ภาพที่ 9 : แสดงรายละเอียดชั้นหินอุ้มน้าในลุ่มน้าสะแกกรัง ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
  • 24.
    ภาพที่ 10 :แสดงสภาพอุทกธรณีวิทยาในลุ่มน้าสะแกกรัง ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
  • 25.
    ภาพที่ 11 :แสดงปริมาณการให้น้าของชั้นหินในลุ่มน้าสะแกกรัง ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
  • 26.
    2.2.3 ตะกอนดินของลุ่มน้าสะแกกรัง รวบรวมข้อมูลปริมาณตะกอนแขวนลอยจากสถานีวัดน้าในลุ่มน้าสะแกกรังของหน่วยงาน ต่างๆ ได้แก่กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จานวน 146 สถานี มีเพียง 3 สถานี ที่มีช่วงเวลาของการจดบันทึกข้อมูลค่าปริมาณตะกอนแขวนลอยครบ ตลอดทั้งปี รายละเอียดของแต่ละสถานี ทาการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณตะกอน แขวนลอยรายปีเฉลี่ยกับพื้นที่รับน้า ภาพที่ 12 : แสดงปริมาณตะกอนแขวนลอยรายปีเฉลี่ยของแต่ละสถานีวัดน้า ในลุ่มน้าสะแกกรัง ที่มา : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร
  • 27.
    ภาพที่ 13 :แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณตะกอนแขวนลอยรายปีเฉลี่ย กับพื้นที่รับน้าของแต่ละสถานีวัดน้าในลุ่มน้าสะแกกรัง 2.3 ความหมายและค่ามาตรฐานของค่าวัดคุณภาพน้า 2.3.1 ค่า DO ศูนย์วิจัยและส่งเสริมการนาน้ากลับมาใช้ใหม่( : ) กล่าวว่า ค่า DO หรือ (Dissolved- -oxygen)คือ การหาปริมาณออกซิเจนซึ่งละลายอยู่ในน้าอันเป็นลักษณะที่จะบอกให้ทราบว่าน้านั้น มีความเหมาะสมเพียงใดต่อการดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในน้า และแนวการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน น้าว่าเป็นแบบใช้ออกซิเจนอิสระ (aerobic) หรือไม่ใช้ออกซิเจนอิสระ (anarobic) การหาค่าออกซิเจน ละลายสามารถทาการวิเคราะห์ได้หลายวิธี เช่น วัดโดยใช้เครื่องมือดีโอมิเตอร์ (DO meter) หรือ ออกซิเจนมิเตอร์ (Oxygen meter) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถวัดปริมาณออกซิเจนที่ละลายอยู่ใน สารละลายได้โดยตรง หรือจะใช้วิธีทางเคมี เช่น วิธีเอไซด์โมดิฟิเคชั่นของไอโอโดเมตริก (Azide Modification of Iodometric Method) ซึ่งเหมาะสมสาหรับใช้วิธีวิเคราะห์หาปริมาณออกซิเจนในน้าที่ สกปรก เช่น น้าทิ้ง น้าในแม่น้าลาคลอง
  • 28.
    ทีมงานทรูปลูกปัญญา (21 พฤษภาคม2557) กล่าวว่า ค่า DO (ดีโอ) ย่อมาจากคาว่า Dissolved Oxygen หมายถึง ค่าของปริมาณออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้า โดยปกติในน้าบริสุทธิ์ที่ อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส จะมีออกซิเจนละลายอยู่ประมาณ 5 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เดซิเมตร ซึ่งเป็นจานวนจากัด ส่วนในแหล่งน้าธรรมชาติที่สะอาด จะมีออกซิเจนละลายอยู่ประมาณ 7-8 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เดซิเมตร ถ้ามีค่าต่ากว่านี้ ออกซิเจนในอากาศจะสามารถละลายน้าได้ หนังสือเรียนชีววิทยาเพิ่มเติม เล่ม 5 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6สถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(2554: 145) ระบุว่า ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้า หรือ ดีโอ (Dissolved Oxygen ; DO) โดยปกติแก๊สออกซิเจนที่ละลายในน้าได้มาจากบรรยากาศและการ สังเคราะห์ด้วยแสงของพืชน้า ปริมาณแก๊สออกซิเจนที่ละลายในน้าจะแปรผกผันกับอุณหภูมิและ ความเข้มข้นของแร่ธาตุที่ละลายในน้า ถ้าหากอุณหภูมิของน้าและความเข้มข้นของแร่ธาตุในน้าสูง จะทาให้แก๊สออกซิเจนละลายในน้าได้น้อยลง 2.3.2 ค่า BOD ผศ.นงลักษณ์ สุวรรณพินิจ (2541 : 576) กล่าวว่า บีโอดี (BOD,Biochemical oxygen demand) บีโอดีเป็นปริมาณของออกซิเจนที่ใช้ในการหายใจของจุลินทรีย์ที่จะออกซิไดร์สารอินทรีย์ ในน้าเสีย ปริมาณออกซิเจนจะแปรผันตามจานวนสารอินทรีย์ในน้า คือ ถ้ามีสารอินทรีย์มากจะใช้ ออกซิเจนมากเพื่อไปย่อยสลาย BOD มีหน่วยเป็น มิลลิกรัม/ลิตร รศ.บัญญัติ สุขศรีงาม (พิมพ์ครั้งที่ 3 : 438-439) กล่าวว่า ค่า BOD ที่ได้นามาแปรผลได้ ว่า ถ้าค่า BOD มาก แสดงว่าปริมาณออกซิเจนในน้าถูกใช้ไปมาก นั่นคือ ในน้าจะมีอินทรีย์สาร มากด้วย ตามปกติในแหล่งน้าธรรมชาติที่ไม่มีการเน่าเสียจะมี BOD ประมาณ 100-300 มิลลิกรัมต่อลิตร ส่วนอาหารเลี้ยงแบคทีเรียในห้องปฏิบัติการมีค่า BOD ประมาณ 2,000-7,000 มิลลิกรัมต่อลิตร ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นิธิยา รัตนาปนนท์ กล่าวว่า ความต้องการออกซิเจนทาง ชีวเคมี (Biological Oxygen Demand, BOD) หมายถึง ปริมาณออกซิเจนที่จุลินทรีย์ใช้ในการย่อย สลายสารอินทรีย์ในน้า น้าทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งมีสารอินทรีย์หลายๆ ชนิดละลาย ปนอยู่ด้วย เช่น แป้ง น้าตาล โปรตีน กรดแอมิโน ไขมันและน้ามัน ถ้าน้าทิ้งนั้นค่าบีโอดีสูง แสดงว่า น้ามีคุณภาพไม่ดี มีปริมาณสารอินทรีย์ปนเปื้อนมาก
  • 29.
    การวัดค่า BOD ในการวัดค่า BODจะปล่อยให้แบคทีเรียที่ต้องการอากาศ (aerobic bacteria) ซึ่งอยู่ ในน้าย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้าเสียในภาวะที่มีออกซิเจน อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส โดยทั่วไปใน อุตสาหกรรมใช้เวลา 5 วัน เรียกว่า ค่า BOD 5 บางกรณีอาจใช้ระยะเวลานานขึ้นถึง 20 วัน เรียกว่า ค่า BOD 20 เพื่อให้สารอินทรีย์ที่ย่อยสลายยาก เช่น โปรตีน ให้ย่อยสลายได้อย่างสมบูรณ์ ประโยชน์ของค่า BOD ความต้องการออกซิเจนทางชีวเคมี (Biological Oxygen Demand, BOD) ใช้เป็น ค่ามาตรฐานที่บ่งชี้ว่าคุณภาพของน้ามีค่ามลภาวะของน้าทิ้ง น้าเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม สามารถนามาใช้เป็นตัวแปรในการคานวณ เพื่อออกแบบระบบบาบัดน้าเสีย (waste water- -treatment) และประเมินประสิทธิภาพของระบบบาบัดน้าเสียที่ใช้อยู่ ค่า BOD ของน้าเสียที่ผ่าน การบาบัด ก่อนปล่อยสู่แหล่งน้าสาธารณะต้องมีค่า BOD ไม่เกิน 20 ส่วนในล้านส่วน (ppm) ภาพที่ 14 : แสดงAerobic bacteria / แบคทีเรียที่ต้องการออกซิเจน ที่มา : ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นิธิยา รัตนาปนนท์ 2.3.3 ค่า PH สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (2554) กล่าวว่า ค่า pH เป็นค่าที่ แสดงความเป็นกรด-เบส ของสารที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยค่า pH จะอยู่ในช่วง 1-14 ถ้าค่า pH น้อยกว่า 7 สารชนิดนั้นก็จะมีฤทธิ์เป็นกรด และถ้าค่า pH มากกว่า 7 สารชนิดนั้นก็จะมีฤทธิ์เป็นเบส หรือด่าง แต่ถ้าค่า pH นั้นมีค่าเท่ากับ 7 แสดงว่าสารชนิดนั้นเป็นกลางหรือที่เรียกว่า pH balance หรือไม่เป็นกรดหรือเบสไม่ทาให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง การหาค่า pH ในสารต่างๆ
  • 30.
    มีประโยชน์มากมายในด้านการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างด้านอาหาร เครื่องดื่มเครื่องสาอาง จนรวมไปถึงวงการการแพทย์ การเกษตร ฯลฯ สถาบันนวัตกรรมและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล (2550) กล่าวว่า pH ย่อมาจากคาว่า positive potential of the hydrogen ions คือ ค่าที่แสดงถึงความเข้มข้นของ ไฮโดรเจนไอออน (H+ ) หรือไฮโดรเนียมไอออน (H3O+ ) ใช้บอกความเป็นกรดหรือเบสของ สารละลาย โดยค่า pH ของสารละลายเป็นค่าลอการิทึมของความเข้มข้นของไฮโดรเจนไอออน pH = -log [H3O+ ] หรือ [H3O] + = 10-pH โดยที่ [H3O+ ] คือ ความเข้มข้นของ H3O+ หรือ H+ เป็นโมล/ลิตร น้าบริสุทธิ์ ที่อุณหภูมิ 25°C จะมี [H3O+ ] = 1 x 10 -7 โมล/ลิตร ดังนั้น pH = -log [H3O+ ] = -log [1 x 10 -7 ] = 7 นั่นคือ pH ของน้าบริสุทธิ์ ที่อุณหภูมิ 25°C เท่ากับ 7 ถือว่ามีสภาพเป็นกลาง คือไม่มี ความเป็นกรดหรือเบส ถ้า [H3O+ ] = 1 x 10 -5 ; pH = -log [H3O+ ] = -log [1 x 10 -5] = 5 (เป็นกรด) ถ้า [H3O+] = 1 x 10 -9 ; pH = -log [H3O+] = -log [1 x 10 -9] = 9 (เป็นเบส)
  • 31.
    ภาพที่ 15 :แสดงสเกล pH ของสารละลายที่มีความเข้มข้นต่างๆกัน ที่มา : สถาบันนวัตกรรมและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • 32.
    2.3.4 ค่ามาตรฐานของค่าวัดคุณภาพน้า 2.3.4.1 ค่ามาตรฐานของค่าDO ดี > 6.0 มก./ลิตร พอใช้ > 4.0-6.0 มก./ลิตร เสื่อมโทรม 2.0-4.0 มก./ลิตร เสื่อมโทรมมาก < 2.0 มก./ลิตร 2.3.4.2 ค่ามาตรฐานของค่า BOD ดี < 1.5 มก./ลิตร พอใช้ 1.5-2.0 มก./ลิตร เสื่อมโทรม > 2.0 - 4.0 มก./ลิตร เสื่อมโทรมมาก > 4.0 มก./ลิตร 2.3.4.3 ค่ามาตรฐานของค่า PH ค่า 1-6 คือมีความเป็นกรด ค่า 7 คือมีความเป็นกลาง ค่า 8-14 คือมีความเป็นเบส
  • 33.
    บทที่ 3 วิธีดาเนินการโครงงาน เครื่องมือที่ใช้ในการทาโครงงาน การทาโครงงานครั้งนี้ใช้เครื่องมือประกอบด้วย แบบสารวจจานวน 1 ฉบับ ดังนี้ ฉบับที่ 1 แบบสารวจคุณภาพน้าเพื่อหาสาเหตุของน้าในแม่น้าสะแกกรัง โดยการหา ค่าเฉลี่ย  โดยค่า PH จะมีค่าตั้งแต่ 1-14 ค่า 1-6 คือมีความเป็นกรด ค่า 7 คือมีความเป็นกลาง ค่า 8-14 คือมีความเป็นเบส  ค่า DO ดี > 6.0 มก./ลิตร พอใช้ > 4.0-6.0 มก./ลิตร เสื่อมโทรม 2.0-4.0 มก./ลิตร เสื่อมโทรมมาก < 2.0 มก./ลิตร  ค่า BOD ดี < 1.5 มก./ลิตร พอใช้ 1.5-2.0 มก./ลิตร เสื่อมโทรม > 2.0 - 4.0 มก./ลิตร เสื่อมโทรมมาก > 4.0 มก./ลิตร
  • 34.
    การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. กาหนดหัวเรื่องที่จะสารวจ 2. เตรียมแบบสารวจให้พร้อมพร้อมที่จะทาการสารวจ 3.ออกทาการสารวจในพื้นที่ที่ได้วางแผนการสารวจไว้ 4. ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลที่สารวจ 5. นาผลที่ได้จาการทดสอบและวัดมาตรวจดูความสมบูรณ์ของผล และนามาวิเคราะห์ ตามเกณฑ์ การวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคาระข้อมูล 1.1 ค่าความถี่ (Frequency) 1.2 ค่าร้อยละ (Percentage) 1.3 ค่าเฉลี่ย (Mean) คานวณจากสูตรของบุญชม ศรีสะอาด (2547 : 55-56) ∑ เมื่อ xˉ แทน ค่าเฉลี่ยของผลการสารวจ ∑ แทน ผลรวมของข้อมูลทั้งหมด N แทน จานวนผลการสารวจทั้งหมด ค่าเฉลี่ยเลขคณิต( xˉ ) จัดว่าเป็นค่าที่มีความสาคัญมากในวิชาสถิติ เพราะค่าเฉลี่ยเลข คณิตเป็นค่ากลางหรือเป็นตัวแทนของข้อมูลที่ดีที่สุด เพราะ 1)เป็นค่าที่ไม่เอนเอียง 2)เป็นค่า ที่มีความคงเส้นคงวา 3)เป็นค่าที่มีความแปรปรวนต่าที่สุด และ 4)เป็นค่าที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ค่าเฉลี่ยเลขคณิตก็มีข้อจากัดในการใช้ เช่น ถ้าข้อมูลมีการกระจายมาก หรือข้อมูลบางตัวมีค่า มากหรือน้อยจนผิดปกติ หรือข้อมูลมีการเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ค่าเฉลี่ยเลขคณิตจะไม่สามารถเป็นค่า กลางหรือเป็นตัวแทนที่ดีของข้อมูลได้
  • 35.
    1.4 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (StandardDeviation) คานวณจากสูตรของบุญชม ศรีสะอาด (2547 : 85-87) √ ∑ ∑ เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑ แทน ผลของการสารวจแต่ละตัวยกกาลังสอง ∑ แทน ผลรวมของผลการสารวจทั้งหมดยกกาลังสอง N แทน จานวนผลการสารวจในกลุ่มนั้น
  • 36.
    บทที่ 4 ผลการสารวจ ผลการสารวจที่นาเสนอในบทนี้ เป็นผลการสารวจข้อมูลที่ได้จากการสารวจข้อมูลน้าใน แม่น้าสะแกกรังที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้าซึ่งนาเสนอในรูปของตารางดังนี้ ครั้งที่ วันที่ 1 2 3 4 5 xˉ 18 มกราคม 2559 4.66 4.82 5.02 4.94 4.99 4.90 25 มกราคม 2559 4.88 4.85 4.83 5.00 5.05 5.00 1 กุมภาพันธ์ 2559 4.95 4.92 5.00 5.12 4.99 5.00 ตารางที่ 1 : แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง บริเวณจุดที่ 1 พิกัด 15°23'00.7"N 100°01'45.9"E ครั้งที่ วันที่ 1 2 3 4 5 xˉ 18 มกราคม 2559 2.2 2.1 1.9 2.0 1.9 2.02 25 มกราคม 2559 1.8 1.9 2.3 2.1 2.0 2.00 1 กุมภาพันธ์ 2559 1.9 2.2 1.9 2.3 1.9 2.04 ตารางที่ 2 : แสดงผลการสารวจค่า BOD ในแม่น้าสะแกกรัง บริเวณจุดที่ 1 พิกัด 15°23'00.7"N 100°01'45.9"E
  • 37.
    ครั้งที่ วันที่ 1 2 34 5 xˉ 18 มกราคม 2559 8.7 8.2 7.6 7.8 8.1 8.10 25 มกราคม 2559 8.4 8.4 8.2 7.6 7.4 8.00 1 กุมภาพันธ์ 2559 7.7 7.9 8.2 8.2 8.4 8.10 ตารางที่ 3 : แสดงผลการสารวจค่า PH ในแม่น้าสะแกกรัง บริเวณจุดที่ 1 พิกัด 15°23'00.7"N 100°01'45.9"E ครั้งที่ วันที่ 1 2 3 4 5 xˉ 18 มกราคม 2559 5.66 5.82 5.54 5.58 5.92 5.70 25 มกราคม 2559 6.07 6.26 5.91 5.92 6.13 6.10 1 กุมภาพันธ์ 2559 6.74 6.59 6.87 7.25 6.96 6.90 ตารางที่ 4 : แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง บริเวณจุดที่ 2 พิกัด 15°23'00.3"N 100°01'47.9"E ครั้งที่ วันที่ 1 2 3 4 5 xˉ 18 มกราคม 2559 1.6 1.5 1.5 1.5 1.3 1.49 25 มกราคม 2559 1.7 1.6 1.6 1.4 1.0 1.49 1 กุมภาพันธ์ 2559 1.2 0.9 0.9 1.0 1.1 1.00 ตารางที่ 5 : แสดงผลการสารวจค่า BOD ในแม่น้าสะแกกรัง บริเวณจุดที่ 2 พิกัด 15°23'00.3"N 100°01'47.9"E
  • 38.
    ครั้งที่ วันที่ 1 2 34 5 xˉ 18 มกราคม 2559 8.6 8.4 7.8 7.8 8.5 8.22 25 มกราคม 2559 8.7 8.7 7.9 7.5 7.8 8.12 1 กุมภาพันธ์ 2559 7.9 8.2 8.0 8.4 8.2 8.14 ตารางที่ 6 : แสดงผลการสารวจค่า PH ในแม่น้าสะแกกรัง บริเวณจุดที่ 2 พิกัด 15°23'00.3"N 100°01'47.9"E ครั้งที่ วันที่ 1 2 3 4 5 xˉ 19 มกราคม 2559 7.55 7.71 7.76 7.65 7.89 7.71 26 มกราคม 2559 7.98 7.98 8.08 8.26 7.84 8.03 2 กุมภาพันธ์ 2559 7.82 7.66 7.64 7.97 7.99 7.82 ตารางที่ 7 : แสดงผลการสารวจค่า DO ในแม่น้าสะแกกรัง บริเวณจุดที่ 3 พิกัด 15°22'27.6"N 100°02'20.0"E ครั้งที่ วันที่ 1 2 3 4 5 xˉ 19 มกราคม 2559 1.1 1.2 1.1 1.3 1.1 1.17 26 มกราคม 2559 1.4 1.5 1.4 1.7 1.6 1.52 2 กุมภาพันธ์ 2559 0.9 0.9 0.7 0.4 0.8 0.74 ตารางที่ 8 : แสดงผลการสารวจค่า BOD ในแม่น้าสะแกกรัง บริเวณจุดที่ 3 พิกัด 15°22'27.6"N 100°02'20.0"E
  • 39.
    ครั้งที่ วันที่ 1 2 34 5 xˉ 19 มกราคม 2559 8.8 8.8 8.5 8.6 8.4 8.62 26 มกราคม 2559 8.7 8.9 8.5 8.6 7.9 8.52 2 กุมภาพันธ์ 2559 7.9 7.8 8.1 8.4 8.5 8.14 ตารางที่ 9 : แสดงผลการสารวจค่า PH ในแม่น้าสะแกกรัง บริเวณจุดที่ 3 พิกัด 15°22'27.6"N 100°02'20.0"E
  • 40.
    บทที่ 5 บทสรุป จากการศึกษาและสารวจลักษณะน้าในแม่น้าสะแกกรังที่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้า เพื่อนามาวิเคราะหเปรียบเทียบผลที่ได้ออกมาแลวนั้น สามารถสรุปเปนภาพรวมได้ดังนี้ สรุปผลการดาเนินโครงงาน จากการศึกษาและสารวจพบว่าน้าในแม่น้าสะแกกรังนั้นมิได้ส่งผลกระทบร้ายแรงใดๆต่อ พันธุ์สัตว์น้าเพราะผลจากการสารวจออกมาว่า ค่า DO ในพิกัดที่ 1 อยู่ในเกณฑ์พอใช้ ซึ่งค่าเฉลี่ย ของค่า DO พิกัดที่ 1 อยู่ที่ 5.00 ส่วนค่า BOD ในพิกัดที่ 1 อยู่ในเกณฑ์พอใช้อีกเช่นกันมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 2.02 และค่าเฉลี่ยของ PH พิกัดที่ 1 อยู่ในเกณฑ์เป็นเบสอ่อนๆมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8.06 ส่วนพิกัดที่ 2 ค่า DO อยู่ในเกณฑ์ ดี มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 6.23 ค่า BOD อยู่ในเกณฑ์ ดี มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.33 ค่า PH อยู่ในเกณฑ์เป็นเบสอ่อนๆ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 8.16 และพิกัดที่ 3 ค่า DO อยู่ในเกณฑ์ ดี มี ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 7.85 ค่า BOD อยู่ในเกณฑ์ ดี มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.14 ค่า PH อยู่ในเกณฑ์เป็นเบสอ่อนๆ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 8.43 อภิปรายผลการดาเนินโครงงาน จากตารางที่ 1 จะเห็นได้ว่าค่า DO ที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์พอใช้ เนื่องจาก บริเวณพิกัดที่ 1 เป็นบริเวณที่อยู่ติดกับบริเวณตลาดสดเทศบาลฯ เพราะตลาดสดเทศบาลฯทุกๆวันจะมีการปล่อย น้าเสียหรือสิ่งปฏิกูลลงมาบริเวณพิกัดจุดที่ 1 จึงทาให้ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้าหรือ DO มี จานวนลดลงด้วย จากตารางที่ 2 จะเห็นได้ว่าค่า BOD ที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์พอใช้ เนื่องจาก บริเวณพิกัดที่ 1 เป็นบริเวณที่อยู่ติดกับบริเวณตลาดสดเทศบาลฯ เพราะตลาดสดเทศบาลฯทุกๆวันจะมีการปล่อย น้าเสียหรือสิ่งปฏิกูลลงมาบริเวณพิกัดจุดที่ 1 จึงทาให้ปริมาณของออกซิเจนที่ใช้ในการหายใจของ จุลินทรีย์หรือ BOD มีจานวนเพิ่มมากขึ้น
  • 41.
    จากตารางที่ 4 และ7 จะเห็นได้ว่าค่า DO ที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจาก บริเวณพิกัด ที่ 2 และ 3 เป็นบริเวณที่ไม่มีสิ่งปฏิกูลถูกทิ้งลงในแหล่ง ถ้ามีก็มีน้อยหรือไม่มีเลย ทั้งยังมี ผักตบชวาที่ช่วยบาบัดน้าเสียได้อีกทางหนึ่งจึงทาให้ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้าหรือ DO มี จานวนเพิ่มขึ้น จากตารางที่ 5 และ 8 จะเห็นได้ว่าค่า BOD ที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจาก บริเวณ พิกัดที่ 2 และ 3 เป็นบริเวณเป็นบริเวณที่มีความโล่งของแหล่งน้า ไม่มีสิ่งปฏิกูลที่เป็นแหล่งเพาะตัว เป็นแหล่งอาหารให้เจริญเติบโตของสารอินทรีย์ในน้า จึงทาให้ออกซิเจนที่ใช้ในการหายใจของ จุลินทรีย์ลดลงด้วย จากตารางที่ 3,6 และ 9 จะเห็นได้ว่า ค่า PH ของพิกัดที่ 1 , 2 และ 3 มีค่าที่ใกล้เคียงกัน เนื่องจากมีตะกอนดินที่นาพาแร่ธาตุต่างๆมาทับถมในแม่น้า แม่น้าสะแกกรังจึงมีความเป็นเบส อ่อนๆ ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนาผลการทาโครงงานไปใช้ ผู้ที่จะนาข้อมูลในโครงงานเล่มนี้ไปใช้ เพื่อการอ้างอิง เพื่อการหาความรู้ หรือเพื่อการอื่นๆ ผู้ศึกษาควรที่จะปรับข้อมูลที่เป็นอยู่ให้เป็นปัจจุบัน ข้อมูลที่ผู้ศึกษาจะได้รับนั้นจะได้ไม่มีการ คลาดเคลื่อนแต่อย่างใด ข้อเสนอแนะในการทาโครงงานครังต่อไป ผู้ที่จะทาหรือคิดที่จะโครงงานแบบสารวจน้าแบบที่ข้าพเจ้าทานี้ ผู้ที่จะศึกษาหรือจะ สารวจหรือคิดที่จะทาควรหาข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งน้านั้นๆให้แม่นยาและมีความถูกต้องมากที่สุด การสารวจต้องมีความเที่ยงตรงและใช้ผลการสารวจเฉลี่ยอย่างน้อย 5 ครั้ง จึงจะได้ค่าเฉลี่ยที่ดี ที่สุด
  • 42.
  • 43.
    บรรณานุกรม บัญญัติ สุขศรีงาม. (มปป.).จุลชีววิทยาทั่วไป (พิมพ์ครั้งที่ 3). วังบูรพา กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์โอเดียนสโตร์. บุญชม ศรีสะอาด. (2547). วิธีการทางสถิติสาหรับการวิจัย (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์สุวีริยาสาส์น. นงลักษณ์ สุวรรฯพินิจ. (2541). จุลชีววิทยาทั่วไป (พิมพ์ครั้งที่ 2). พญาไท กรุงเทฯ: สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สถาบันนวัตกรรมและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล. (2550). บทเรียน อิเล็กทรอนิกส์วิชาเคมี เรื่องกรด-เบส. สืบค้นเมื่อ 20 มกราคม 2559. จาก (http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/acid-base/C7.HTM) นิธิยา รัตนาปนนท์. (มปป.). Biological Oxygen Demand / ความต้องการออกซิเจนทาง ชีวเคมี. สืบค้นเมื่อ 20 มกราคม 2559.จาก (http://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/0795/biological-oxygen-demand- ความต้องการออกซิเจนทางชีวเคมี) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2554). การตรวจสอบมลพิษทางนา (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว. ทรูปลูกปัญญา. (มปป.). ค่า DO ตืออะไร. สืบค้นเมื่อ 21 มกราคม 2559. จาก (http://www.trueplookpanya.com/new/asktrueplookpanya/questiondetail/5046) ศูนย์วิจัยและส่งเสริมการนาน้ากลับมาใช้ใหม่. (5 กันยายน 2556). ออกซิเจนที่ละลายในนา (Dissolved oxygen,DO). สืบค้นเมื่อ 21 มกราคม 2559. จาก http://www.softwarethai.co.th/waterreusecenter/index.php?option=com_content&view =article&id=99%3A2013-06-17-06-18-44&catid=14%3Agis&Itemid=21 สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้าและการเกษตร. (12 มิถุนายน 2556). ลุ่มแม่นาสะแกกรัง. สืบค้น เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2559. จาก (http://www.haii.or.th/wiki/index.php/ลุ่มน้าสะแกกรัง)
  • 44.
  • 45.
    ภาคผนวก ก พิกัดจุดที่สารวจนา พิกัดจุดที่1 บริเวณลานสะแกกรัง 15°23'00.7"N 100°01'45.9"E
  • 46.
  • 47.
  • 48.
  • 49.
    ประวัติผู้ทาโครงงาน ชื่อ นามสกุล นายจิรัฐิวัฒน์เลาหวรรณธนะ วัน เดือน ปี เกิด 5 ตุลาคม 2542 ที่อยู่ปัจจุบัน 49/1 ถ.ศรีน้าซึม ต.อุทัยใหม่ อ.เมือง จ.อุทัยธานี 61000 ตาแหน่งหน้าที่ปัจจุบัน นักรียนชั้นมธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอุทัยวิทยาคม ประวัติการศึกษา พ.ศ. 2548 จบการศึกษาระดับอนุบาลปีที่ 3 จากโรงเรียนพิทักษ์ศิษย์วิทยา พ.ศ. 2555 จบการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนพิทักษ์ศิษย์วิทยา พ.ศ. 2557 จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนอุทัยวิทยาคม ปัจจุบัน กาลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอุทัยวิทยาคม