Download free for 30 days
Sign in
Upload
Language (EN)
Support
Business
Mobile
Social Media
Marketing
Technology
Art & Photos
Career
Design
Education
Presentations & Public Speaking
Government & Nonprofit
Healthcare
Internet
Law
Leadership & Management
Automotive
Engineering
Software
Recruiting & HR
Retail
Sales
Services
Science
Small Business & Entrepreneurship
Food
Environment
Economy & Finance
Data & Analytics
Investor Relations
Sports
Spiritual
News & Politics
Travel
Self Improvement
Real Estate
Entertainment & Humor
Health & Medicine
Devices & Hardware
Lifestyle
Change Language
Language
English
Español
Português
Français
Deutsche
Cancel
Save
Submit search
EN
Uploaded by
โรงเรียนประชาบำรุง อำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง
627 views
การพัฒนาชุดการเรียนเรื่อง เสียงในภาษาไทย
รายงานวิจัยในชั้นเรียน
Education
◦
Read more
1
Save
Share
Embed
Embed presentation
Download
Downloaded 10 times
1
/ 114
2
/ 114
3
/ 114
4
/ 114
5
/ 114
Most read
6
/ 114
Most read
7
/ 114
8
/ 114
9
/ 114
10
/ 114
11
/ 114
Most read
12
/ 114
13
/ 114
14
/ 114
15
/ 114
16
/ 114
17
/ 114
18
/ 114
19
/ 114
20
/ 114
21
/ 114
22
/ 114
23
/ 114
24
/ 114
25
/ 114
26
/ 114
27
/ 114
28
/ 114
29
/ 114
30
/ 114
31
/ 114
32
/ 114
33
/ 114
34
/ 114
35
/ 114
36
/ 114
37
/ 114
38
/ 114
39
/ 114
40
/ 114
41
/ 114
42
/ 114
43
/ 114
44
/ 114
45
/ 114
46
/ 114
47
/ 114
48
/ 114
49
/ 114
50
/ 114
51
/ 114
52
/ 114
53
/ 114
54
/ 114
55
/ 114
56
/ 114
57
/ 114
58
/ 114
59
/ 114
60
/ 114
61
/ 114
62
/ 114
63
/ 114
64
/ 114
65
/ 114
66
/ 114
67
/ 114
68
/ 114
69
/ 114
70
/ 114
71
/ 114
72
/ 114
73
/ 114
74
/ 114
75
/ 114
76
/ 114
77
/ 114
78
/ 114
79
/ 114
80
/ 114
81
/ 114
82
/ 114
83
/ 114
84
/ 114
85
/ 114
86
/ 114
87
/ 114
88
/ 114
89
/ 114
90
/ 114
91
/ 114
92
/ 114
93
/ 114
94
/ 114
95
/ 114
96
/ 114
97
/ 114
98
/ 114
99
/ 114
100
/ 114
101
/ 114
102
/ 114
103
/ 114
104
/ 114
105
/ 114
106
/ 114
107
/ 114
108
/ 114
109
/ 114
110
/ 114
111
/ 114
112
/ 114
113
/ 114
114
/ 114
More Related Content
PDF
Chapter 1
by
sujira123
DOCX
หลักสูตรเรณูนครฯปี51
by
Manchai
PDF
School curiculum
by
mr.somsak phoolpherm
PDF
R บทที่ 1
by
khuwawa
DOC
ทักษะกระบวนการวิทย์
by
สุรัชนี ภัทรเบญจพล
PDF
บทที่ 2 แนวคิดทฤษฎีของนักการศึกษา 55
by
Decode Ac
PDF
บทที่ 6 การจัดการศึกษาปฐมวัยในปัจจุบัน 55
by
Decode Ac
DOCX
บทที่ 7
by
kanwan0429
Chapter 1
by
sujira123
หลักสูตรเรณูนครฯปี51
by
Manchai
School curiculum
by
mr.somsak phoolpherm
R บทที่ 1
by
khuwawa
ทักษะกระบวนการวิทย์
by
สุรัชนี ภัทรเบญจพล
บทที่ 2 แนวคิดทฤษฎีของนักการศึกษา 55
by
Decode Ac
บทที่ 6 การจัดการศึกษาปฐมวัยในปัจจุบัน 55
by
Decode Ac
บทที่ 7
by
kanwan0429
Similar to การพัฒนาชุดการเรียนเรื่อง เสียงในภาษาไทย
PDF
Botkwam
by
ว่าที่ร้อยตรีหญิงอโนทัย รัตนไทย
PDF
Botkwam
by
ว่าที่ร้อยตรีหญิงอโนทัย รัตนไทย
PDF
Botkwam
by
ว่าที่ร้อยตรีหญิงอโนทัย รัตนไทย
PDF
บทที่ 2วิจัยการอ่าน
by
Kanjana Pothinam
DOCX
แบบรายงานการใช้หลักสูตรสถานศึกษา โสภิญญา
by
SophinyaDara
PDF
เครื่องมือวัดคุณภาพผู้เรียนตามจุดเน้น
by
Lathika Phapchai
PDF
หลักสูตรแกนกลาง 51
by
Suwanan Nonsrikham
PDF
E-Book_Intensive_Reading_Chapter1
by
Oraya Chongtangsatchakul
PPT
Compare 4451
by
Sirirat Faiubon
PDF
แบบรายงานการสร้างนวัตกรรม โสภิญญา.pdf
by
SophinyaDara
PDF
ครูปฏิบัติการ
by
Pamkritsaya3147
PDF
ผลการดำเนินงานจุดเน้นที่ 2
by
โรงเรียนมหาธิคุณวิทยา
PDF
ผลการดำเนินงานจุดเน้นที่ 2
by
โรงเรียนมหาธิคุณวิทยา
PDF
Mep swot-2555
by
Paksorn Runlert
PDF
นำเสนอ23สิงหาคม
by
Atima Teraksee
PDF
งานนำเสนอ อ อ ญญปารย 333
by
Chirinee Deeraksa
PDF
คู่มือNt ป.3
by
นางชินานาฏ โหราฤทธิ์
PDF
คู่มือสอบ Nt 55
by
Patchanida Yadawong
PDF
คู่มือ Nt
by
Nirut Uthatip
PDF
บรรณานุกรม
by
krupornpana55
Botkwam
by
ว่าที่ร้อยตรีหญิงอโนทัย รัตนไทย
Botkwam
by
ว่าที่ร้อยตรีหญิงอโนทัย รัตนไทย
Botkwam
by
ว่าที่ร้อยตรีหญิงอโนทัย รัตนไทย
บทที่ 2วิจัยการอ่าน
by
Kanjana Pothinam
แบบรายงานการใช้หลักสูตรสถานศึกษา โสภิญญา
by
SophinyaDara
เครื่องมือวัดคุณภาพผู้เรียนตามจุดเน้น
by
Lathika Phapchai
หลักสูตรแกนกลาง 51
by
Suwanan Nonsrikham
E-Book_Intensive_Reading_Chapter1
by
Oraya Chongtangsatchakul
Compare 4451
by
Sirirat Faiubon
แบบรายงานการสร้างนวัตกรรม โสภิญญา.pdf
by
SophinyaDara
ครูปฏิบัติการ
by
Pamkritsaya3147
ผลการดำเนินงานจุดเน้นที่ 2
by
โรงเรียนมหาธิคุณวิทยา
ผลการดำเนินงานจุดเน้นที่ 2
by
โรงเรียนมหาธิคุณวิทยา
Mep swot-2555
by
Paksorn Runlert
นำเสนอ23สิงหาคม
by
Atima Teraksee
งานนำเสนอ อ อ ญญปารย 333
by
Chirinee Deeraksa
คู่มือNt ป.3
by
นางชินานาฏ โหราฤทธิ์
คู่มือสอบ Nt 55
by
Patchanida Yadawong
คู่มือ Nt
by
Nirut Uthatip
บรรณานุกรม
by
krupornpana55
การพัฒนาชุดการเรียนเรื่อง เสียงในภาษาไทย
1.
1 บทที่ 1 บทนา 1. ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พุทธศักราช 2542 มีความมุ่งหมายในการจัดการศึกษา ตามมาตรา 6 การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดํารงชีวิต สามารถ อยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ, 2542 : 7) แนวการจัดการศึกษา ในมาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสําคัญที่สุด กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถ พัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2542 : 13) และมาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียน ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการดังต่อไปนี้ (1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคํานึงถึงความแตกต่างระหว่างผู้เรียน (2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ ความรู้มาใช้เพื่อป้ องกันและแก้ไขปัญหา (3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกปฏิบัติให้ทําได้ คิดเป็น ทําเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง (4) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา (5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมสื่อการเรียน และ อํานวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัย เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อ การเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ (6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่ าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2542 : 14) และมาตรา 26 ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียนโดย พิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน
2.
2 การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไป ในกระบวนการเรียนการสอนตามความเหมาะสม ของแต่ละระดับและรูปแบบของการศึกษา จากการศึกษาพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช
2542 ดังที่กล่าวมานี้ พอจะสรุปได้ว่า การจัดการศึกษาต้องถือว่าผู้เรียนสําคัญที่สุด จัดเนื้อหาและกิจกรรมตาม ความสนใจ ความถนัดและคํานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล บูรณาการกระบวนการเรียนรู้ เนื้อหาสาระ คุณธรรม ค่านิยม คุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยจัดบรรยากาศและสื่อการเรียน ที่ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตลอดได้เวลา เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทั้งความรู้ ทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การนําความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการดําเนินชีวิตจริงของผู้เรียน จัดกิจกรรมให้ผู้เรียน ได้ฝึกปฏิบัติจริง คิดเป็น ทําเป็น รักการอ่าน ใฝ่เรียนรู้ และจัดการวัดผลประเมินผลตามสภาพจริง อย่างหลากหลายเพื่อพัฒนาผู้เรียน ควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอน จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ทําให้มีการพัฒนาหลักสูตร เพื่อใช้จัดการศึกษาของชาติ จึงเกิดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 เป็น หลักสูตรแกนกลางที่มีกรอบและแนวทางในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียน โดยกําหนดสาระ การเรียนรู้ออกเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยถูกกําหนดให้เป็น 1 ใน 8 กลุ่มสาระ การเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ซึ่งสอดคล้องกับ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 มาตรา 23 (4) พอสรุปความได้ว่า การจัดการศึกษาต้องเน้นความสําคัญความรู้ด้านคณิตศาสตร์และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษา อย่างถูกต้อง (กระทรวงศึกษาธิการ, 2542 : 13) จะเห็นได้ว่า พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ให้ความสําคัญต่อความรู้ด้านภาษา และการใช้ภาษาไทย ในส่วนของ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยยังให้ ความสําคัญของการสอนภาษาไทย จะต้องเน้นการรักษาภาษาไทยในฐานะเป็นวัฒนธรรม และ ถ่ายทอดวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์ในรูปของหลักภาษา ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์การใช้ภาษา วรรณคดี และวรรณกรรม ผู้เรียนจะต้องมีทักษะการใช้ภาษาได้ถูกต้องสละสลวย ตามหลักภาษา (กระทรวงศึกษาธิการ, 2544 : 1) หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย กล่าวถึงธรรมชาติของภาษาไทยไว้ว่า ภาษาไทย เป็นเครื่องมือการสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันและตรงตามจุดมุ่งหมายในการแสดง ความคิด ความรู้สึก และความต้องการ คําในภาษาไทยย่อมประกอบด้วยเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ (กระทรวงศึกษาธิการ,2544 : 7) และภาษาไทยมีคุณสมบัติ 3 ประการ คือ
3.
3 ประการแรก คําที่ใช้พูดประกอบเสียงและความหมาย มีการใช้ถ้อยคําที่เป็นระบบมีระเบียบ และมีแบบแผนที่เป็นกฎเกณฑ์ทางภาษา
(กระทรวงศึกษาธิการ, 2544 : 13) นอกจากนี้หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย กําหนดวิสัยทัศน์การเรียนการสอน ภาษาไทยที่เกี่ยวกับหลักภาษาพอจะสรุปได้ว่า ภาษาไทยเป็นวิชาทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิด ความชํานาญ สามารถเลือกใช้คําเรียบเรียงความคิด ความรู้ให้ชัดเจน ใช้ภาษาได้ถูกต้อง ตามหลักภาษาใช้ถ้อยคําตรงตามความหมาย ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้หลักภาษาและใช้ให้ถูกต้อง ตามกฎเกณฑ์ทางภาษาหรือหลักการใช้ภาษา (กระทรวงศึกษาธิการ, 2544 : 9) จากการศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ในส่วนของ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย พอสรุปความได้ว่า หลักสูตรให้ความสําคัญกับการเรียนรู้ ภาษาไทย ในเรื่องกฎเกณฑ์ทางภาษาหรือหลักภาษา คําในภาษา เสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ อยู่มากพอสมควรเพราะถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานสําคัญในการใช้ภาษา ในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการสื่อสารและเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ ภาษาไทยจึงมีความสําคัญ ผู้เรียนจําเป็นต้องตระหนักถึงความสําคัญของภาษาไทยต้องทําความเข้าใจและศึกษาหลักเกณฑ์ ทางภาษาและฝึกฝนให้มีทักษะ ฟัง พูด อ่านและเขียนภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพเพื่อนําไปใช้ ในการสื่อสาร การเรียนรู้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2544 : 7) เห็นได้ว่าภาษาไทยเป็นวิชาที่มีความสาคัญต่อผู้เรียน แต่จากประสบการณ์ การจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยของผู้วิจัยในฐานะครูสอนวิชาภาษาไทย พบว่ายังไม่ ประสบผลสาเร็จตามจุดประสงค์เท่าที่ควร ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าผู้เรียนไม่ใส่ใจและไม่ชอบเรียน วิชาภาษาไทย โดยเฉพาะหลักภาษาไทย มักจะพบปัญหาในการสอนหลักภาษา ปัญหาเหล่านี้ อาจมาจากสาเหตุหลายประการ เช่น เนื้อหาหลักภาษายาก วิธีสอนไม่น่าสนใจขาดความสนุก ความเพลิดเพลินในการเรียนหลักภาษา ขาดสื่อการเรียนการสอนที่น่าสนใจ นักเรียนไม่ อยากเรียนเพราะเห็นว่าเป็นภาษาของตน ถือว่าไม่ต้องเรียนหลักเกณฑ์ก็ใช้ภาษาได้ดี เป็นต้น นอกจากนี้สุจริต เพียรชอบและสายใจ อินทรัมพรรย์ (อ้างในสมศักดิ์ ทองบ่อ, 2549 : 3-4) ได้ศึกษาปัญหาเกี่ยวกับการสอนหลักภาษาพอสรุปได้ดังนี้ (1) ครูชอบสอนหลักภาษาไทยน้อยกว่าสาระอื่นๆ ในวิชาภาษาไทยด้วยกัน (2) ครูมีความคิดเห็นว่าหลักภาษาไทยสอนยาก (3) อุปกรณ์และตําราที่ใช้ประกอบการสอนมีไม่เพียงพอ (4) ครูใช้วิธีสอนแบบเดิม คืออธิบายแล้วบอกให้นักเรียนจด ไม่ค่อยได้ทากิจกรรม ประกอบการสอนหลักภาษาไทย
4.
4 (5) ครูเกิดความท้อแท้ใจ เพราะไม่ได้รับการยกย่องจากผู้บริหาร
เพื่อนครู และนักเรียน (6) เนื้อหาที่ปรากฏในหลักสูตรและแบบเรียนมีความซ้าซ้อนกันในทุกระดับชั้น ทาให้ เกิดการซ้าซากน่าเบื่อหน่าย (7) เนื้อหาหลักภาษาไทยยากและไม่ค่อยเป็นประโยชน์ต่อการใช้ภาษาในชีวิตประจาวัน ของนักเรียน (8) นักเรียนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อวิชาภาษาไทย และไม่ชอบเรียนหลักภาษาไทย (9) นักเรียนมีความคิดเห็นว่า เนื้อหาที่เรียนในวิชาหลักภาษาไทยยาก เรียนยาก ไม่สนุก และไม่น่าสนใจ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหลักภาษาไทยประสบปัญหาหลายประการ โดยเฉพาะ โรงเรียนในชนบทผู้เรียนขาดหนังสือ ตาราเรียน และอุปกรณ์การเรียนการสอนโดยเฉพาะ อย่างยิ่งสื่อที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ปัญหาที่สาคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ความพร้อมและความแตกต่าง ระหว่างบุคคลของผู้เรียน ซึ่งเป็นปัญหาที่ครูผู้สอนจะต้องจัดบทเรียนให้มีความเหมาะสมและ สอดคล้องกับความมุ่งหมายของหลักสูตร การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนจึงต้องคานึงถึง ความพร้อมของผู้เรียน โดยการสารวจความรู้พื้นฐาน และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ตามสภาพความพร้อมและพัฒนาผู้เรียนได้เต็มตามศักยภาพ สภาพการจัดการเรียนการสอนหลักภาษาไทย ขาดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ฝึกคิดหาคาตอบ ด้วยตัวเอง ครูมักจะบอกจดแล้วให้ผู้เรียนทาแบบฝึกหัด ผู้เรียนเบื่อหน่ายเพราะขาดกิจกรรม ที่เร้าใจ ขาดสื่อการเรียนการสอนผู้เรียนไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ด้วยเอ ผู้เรียนขาดปฏิสัมพันธ์ต่อกัน เพราะต่างคนต่างเรียน ผู้เรียนที่มีความพร้อมก็พอจะทาแบบฝึกหัดได้ แต่ผู้เรียนที่ขาดความพร้อม ก็ทาไม่ได้ บางคนอาจจะไม่ทาเลย บางคนก็ลอกของคนอื่น ไม่ได้ก่อให้เกิดการเรียนรู้ ผลการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจึงต่า ผู้เรียนขาดพื้นฐานความรู้ในการเรียนเนื้อหาที่สูงขึ้น ผู้เรียนไม่เข้าใจเนื้อหา จึงทาให้ผู้เรียนขาดความกระตือรือร้นในการเรียน เพราะกิจกรรมการเรียน การสอนและสื่อการเรียนการสอนไม่น่าสนใจ ผู้เรียนจึงมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการเรียน หลักภาษาไทย จะเห็นได้ว่าปัญหาการเรียนการสอนหลักภาษาไทยนั้น เกิดจากขาดสื่อการเรียน การสอน ครูเป็นผู้กาหนดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยยึดเอาเนื้อหาเป็นหลัก โดยไม่ได้ คานึงถึงความพร้อมและความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน บทบาทสาคัญในกิจกรรม การเรียนการสอนอยู่ที่ครู ผู้เรียนไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ ทั้งที่ความเป็นจริง
5.
5 การเรียนหลักภาษาไทยต้องอาศัยทักษะการฝึกฝน การร่วมมือกันเรียนรู้ระหว่างผู้เรียน ต้องให้ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้
มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนต่อผู้เรียน และระหว่าง ผู้เรียนต่อผู้สอน ครูต้องจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าและ เรียนรู้ด้วยตัวเอง ใช้กระบวนการกลุ่มในการเรียนรู้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดี ต่อกัน และต้องสร้างสื่อการเรียนการสอนที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง บนพื้นฐาน ความแตกต่างระหว่างบุคคลและศักยภาพของผู้เรียนแต่ละคน การแก้ปัญหาการเรียนการสอนหลักภาษาไทยต้อง ให้ผู้เรียนเห็นความสาคัญของ หลักภาษา ทาให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจที่จะเรียนหลักภาษาไทย ซึ่งกระทาได้โดยการเพิ่ม ประสิทธิภาพในจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหลักภาษา คือ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ เรียนรู้ตาม ความสามารถและคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน และผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ที่ดี ต่อกัน ด้วยการได้ร่วมกันเรียนรู้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันระหว่างผู้เรียนที่เรียนเก่ง ปานกลางและอ่อน ฉะนั้นครูต้องสร้างสื่อการเรียนการสอนที่เร้าความสนใจของผู้เรียนให้อยากเรียนรู้ และหาเทคนิค รูปแบบวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้มีบทบาทในการเรียนรู้ด้วยตนเอง จากความต้องการแก้ปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยเห็นว่า ชุดการเรียน น่าจะแก้ปัญหาดังกล่าวได้ เพราะชุดการเรียนเป็นนวัตกรรมการศึกษาอย่างหนึ่ง ที่สามารถจัดเนื้อหาสาระการเรียนรู้ ให้ไปตามลาดับความยากง่าย แบ่งเป็นชุด ๆ ให้ผู้เรียนได้ศึกษาเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และ ใช้กระบวนการกลุ่มให้เรียนรู้แบบร่วมมือ สอดคล้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียน เป็นสาคัญ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ของชุดการเรียน ช่วยให้ผู้เรียนสนใจบทเรียนมากยิ่งขึ้น ตอบสนอง ความต้องการในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ผู้เรียนได้รับความรู้ แนวเดียวกัน ส่งเสริมกระบวนการกลุ่ม เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ได้ฝึกแก้ปัญหา การฝึกให้มีทักษะการทางานกลุ่ม เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ครูสามารถวัดผลประเมินผล ผู้เรียนได้ตรงตามหลักสูตร และแก้ปัญหาการขาดหนังสือ ตาราเรียนได้ เพราะในชุดการเรียน จะมีเนื้อหา กิจกรรมฝึกทักษะ คาถามและคาตอบ ให้นักเรียนได้ตรวจสอบผลการเรียนรู้ได้ ด้วยตนเอง จากปัญหาการจัดการเรียนการสอนดังกล่าว ผู้วิจัยจึงได้วางแนวการจัดการเรียน การสอนและจัดการเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็นสําคัญ โดยมุ่งให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง เรียนรู้ จากการปฏิบัติจริง ด้วยวิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย จากสื่อการเรียนรู้ที่ผู้เรียนและผู้สอนร่วมกัน
6.
6 พัฒนาขึ้นมาเอง ตามความเหมาะสม เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
การวัดผลและ ประเมินผลการเรียนรู้เป็นกระบวนการควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อพัฒนา คุณภาพผู้เรียน และวัดความก้าวหน้าทั้งด้านความรู้ ความคิด ด้านทักษะกระบวนการ และ ด้านคุณธรรม จริยธรรมของผู้เรียน ใช้วิธีการวัดผลและประเมินผลที่หลากหลาย เน้นการปฏิบัติ ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสาระการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ดําเนินการอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปในกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยประเมินพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรม ชิ้นงานควบคู่ไปกับการทดสอบ โดยผู้เรียน ผู้สอน ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการประเมินเพื่อให้ ได้ข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นผลสัมฤทธิ์ของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนแต่ละคนทราบ ความก้าวหน้า ความสําเร็จและคุณภาพของตนเอง ครูผู้สอนเข้าใจความต้องการของผู้เรียนและ ให้ระดับคะแนนหรือจัดกลุ่มผู้เรียน รวมทั้งประเมินผลการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของ ตนเองได้ และเพื่อพัฒนาการเรียนหลักภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพ จากความเป็นมาและปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดวางแผน ออกแบบจัดการเรียนรู้ ที่สนองความต้องการข้างต้น จึงสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้วิธีการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิคกลุ่มช่วยเหลือ การเรียนรายบุคคล หรือ TAI (Team Assisted Individualization) เป็นแนวทางในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อนําไปจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในวิชาภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนประชาบํารุง อําเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2.1 เพื่อหาประสิทธิภาพของ ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2.2 เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการใช้นวัตกรรม ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2.3 เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนต่อการใช้ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2.4 ศึกษาระดับคุณภาพของผู้เรียนจากการประเมินตามสภาพจริง ด้วยการใช้ ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
7.
7 3. สมมุติฐานของการวิจัย 3.1 คุณภาพของนวัตกรรม
ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อยู่ในระดับดีขึ้นไป มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์กําหนด 80/80 และมี ค่าดัชนีประสิทธิผลไม่น้อยกว่า 0.50 3.2 เมื่อใช้ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย จัดกิจกรรมการเรียนรู้นักเรียนแล้ว ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3.3 ผู้เรียนมีความคิดเห็นต่อการใช้ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย อยู่ในระดับ มากขึ้นไป 3.4 ระดับคุณภาพของผู้เรียนจากการประเมินตามสภาพจริงด้วยการใช้ ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย อยู่ในระดับดีขึ้นไป 4. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 4.1 ได้ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 และมีค่าดัชนีประสิทธิผลไม่น้อยกว่า 0.50 4.2 ได้ทราบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่จัด กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.3 ได้ทราบความคิดเห็นของนักเรียนต่อการใช้ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.4 ได้ทราบระดับคุณภาพของผู้เรียนจากการประเมินตามสภาพจริง ด้วยการใช้ ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.5 ใช้เป็นข้อมูล และแนวทางการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ประเภท ชุดการเรียน 4.6 ใช้เป็นข้อมูล และแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง เสียงในภาษาไทย 5. ขอบเขตของการวิจัย 5.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา ศึกษาวิเคราะห์จากสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษา มาตรฐาน ท 4.1 : เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษาและรักษาภาษาไทยไว้เป็น สมบัติของชาติ ในเรื่อง เสียงในภาษาไทย ซึ่งประกอบด้วยอวัยวะในการออกเสียง เสียงสระ
8.
8 พยัญชนะ วรรณยุกต์และการประสมเสียงเป็นพยางค์และคา โดยกาหนดชุดการเรียน
เรื่อง เสียงในภาษาไทย มีเนื้อหาสาระ คือ 5.1.1 ระบบเสียงและอวัยวะในการเกิดเสียงในภาษา 5.1.2 เสียงสระ 5.1.3 เสียงพยัญชนะ 5.1.4 เสียงวรรณยุกต์ 5.1.5 การประกอบเสียงเป็นพยางค์และคํา 5.2 ประชากรที่ศึกษา นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียน ประชาบํารุง จํานวน 42 คน 5.3 ตัวแปรที่ศึกษา 5.3.1 ตัวแปรต้น ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 5.3.2 ตัวแปรตาม 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 2) ความคิดเห็นต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ดัวย ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) ระดับคุณภาพของผู้เรียน จากการประเมินตามสภาพจริง 6. ข้อตกลงเบื้องต้นในการวิจัย 6.1 เครื่องมือที่ใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีจํานวน 30 ข้อ 6.2 แบบประเมินความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย เป็นระดับความรู้สึกของนักเรียน 6.3 ระดับคุณภาพ ของนักเรียน เป็นระดับคะแนนที่ประเมินจากสภาพจริงโดยตรวจ ชิ้นงาน และพฤติกรรมในการร่วมกิจกรรมของนักเรียน คะแนนที่นําไปวิเคราะห์หาค่าทางสถิติ เป็นคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนรายบุคคล 6.4 กลุ่มประชากรที่ร่วมกิจกรรมเป็นกลุ่มประชากรทั้งหมด ไม่ได้แยกเป็นกลุ่มทดลอง
9.
9 7. คานิยามศัพท์เฉพาะ 7.1 ชุดการเรียน
เรื่อง เสียงในภาษาไทย หมายถึง สื่อการเรียนรู้ที่ผู้สอนสร้างขึ้นเพื่อ ใช้เป็นสื่อในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วย ชุดการเรียน 5 ชุด คือ 1) ระบบเสียงและอวัยวะในการออกเสียงในภาษา 2) เสียงสระ 3) เสียงพยัญชนะ 4) เสียงวรรณยุกต์ 5) การประกอบเสียงเป็นพยางค์และคํา 7.2 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิคกลุ่มช่วยเหลือ การเรียนรายบุคคล หรือ TAI (Team Assisted Individualization) หมายถึง การจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ให้นักเรียนรวมกลุ่มกันปฏิบัติกิจกรรม สมาชิกทุกคนในกลุ่มช่วยเหลือกัน นักเรียนมี ปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทําให้เกิดผลดีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และมีทักษะการอยู่ร่วมกันทาง สังคม ช่วยกันดาเนินกิจกรรมไปอย่างมีประสิทธิภาพ คือได้งาน ความรู้สึกและความสัมพันธ์ที่ ดีระหว่างสมาชิกในกลุ่ม 7.3 นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียน ประชาบํารุง จํานวน 42 คน 7.4 ความคิดเห็น หมายถึง ความรู้สึกของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทยโดยใช้แบบสอบถามความคิดเห็นจํานวน 15 รายการ ระดับความรู้สึก 5 ระดับ 7.5 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เป็นคะแนนสอบด้วยแบบทดสอบ เรื่อง เสียงในภาษาไทย วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียน ประชาบํารุง 7.6 ระดับคุณภาพของนักเรียนเป็นคะแนนที่ได้จากแบบประเมินตามสภาพจริง 3 ด้าน คือด้านทักษะกระบวนการ ประเมินจากการร่วมกิจกรรมกลุ่ม ด้านคุณธรรมจริยธรรม ประเมิน จากการสังเกตพฤติกรรมและคุณลักษณะในการร่วมกิจกรรมกลุ่ม ด้านความรู้ความคิดประเมิน จากการตรวจผลงานบัตรคําถามกิจกรรม
10.
10 8. กรอบแนวคิดสาหรับการศึกษาวิจัย การพัฒนาชุดการเรียน เรื่อง
เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยได้นําแนวคิดและทฤษฎีที่ได้จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง มาสร้างกรอบแนวคิด สําหรับการวิจัยดังต่อไปนี้ 8.1 การปฏิรูปการเรียนรู้ตามแนวพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ยึดหลักว่าผู้เรียนมีความสามารถเรียนรู้และ พัฒนาตนเองได้ ถือว่าผู้เรียนสําคัญที่สุด จัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถ พัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มศักยภาพ เน้นความรู้คู่คุณธรรม ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ตามความถนัดและความสนใจ เรียนรู้จากการปฏิบัติกิจกรรมและวิธีการเรียนที่หลากหลาย ประเมินผลจากพัฒนาการของผู้เรียน และวัดความก้าวหน้าของผู้เรียนทั้งด้านความรู้ความคิด ด้านทักษะกระบวนการ และด้านคุณธรรม จริยธรรม ประเมินผลจากสภาพจริง โดยการสังเกต พฤติกรรม ชิ้นงานควบคู่ไปกับการทดสอบ 8.2 ทฤษฎีการเรียนรู้ และแนวการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบต่างๆ ที่นํามาบูรณาการ เข้าด้วยกันเพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ดังนี้ 8.2.1 แนวการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ 8.2.2 การจัดการเรียนรู้ด้วยชุดการเรียน 8.2.3 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคกลุ่มช่วยสอนเป็นรายบุคคล TAI (Team Assisted Individualization) 8.2.4 การประเมินผลตามสภาพจริง 8.3 ดําเนินการสร้างชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าในเรื่อง ธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย
11.
11 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุดการเรียน
เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยมีรายละเอียด ตามลําดับดังนี้ 1. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 2. หลักการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง เสียงในภาษาไทย 4. แนวคิด ทฤษฎีและหลักการเกี่ยวกับชุดการเรียน 5. แนวคิด ทฤษฎีและหลักการเกี่ยวกับการสอนแบบร่วมมือ 6. แนวคิด ทฤษฎีและหลักการเกี่ยวกับการวัดและประเมินผลการเรียน 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ผู้วิจัยได้ศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เพื่อเป็นแนวทางในการวิจัยพอสรุปได้ดังนี้ 1.1 ความสาคัญของภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจาชาติไทย เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมทาให้เกิดความเป็น เอกภาพและแสดงความเป็นไทยเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร ใช้ในการประกอบกิจธุระ การงานและดารงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือใน การเรียนรู้ ค้นหาประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่างๆ เพื่อพัฒนาความรู้ ความคิด วิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้า ทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ เป็นสื่อแสดงภูมิปัญญาไทยด้านต่าง ๆ โดยบันทึกไว้เป็นวรรณคดีและวรรณกรรม ภาษาไทย จึงเป็นสมบัติของชาติที่ควรค่าแก่การเรียนรู้ เพื่ออนุรักษ์และสืบสานให้อยู่คู่ชาติไทย 1.2 ธรรมชาติของภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเครื่องมือใช้สื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันและตรงตาม จุดมุ่งหมาย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความคิด ความต้องการและความรู้สึก คาในภาษาไทยย่อมประกอบด้วย
12.
12 เสียง รูปพยัญชนะ สระ
วรรณยุกต์ และความหมาย ส่วนประโยคเป็นการเรียงคาตามหลักเกณฑ์ ของภาษา และประโยคหลายประโยคเรียงกันเป็นข้อความ นอกจากนั้นคาในภาษาไทยยังมี เสียงหนักเบา มีระดับของภาษา ซึ่งต้องใช้ให้เหมาะแก่กาลเทศะและบุคคล ภาษาย่อมมี การเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ตามสภาพวัฒนธรรมของกลุ่มคน ตามสภาพของสังคมและ เศรษฐกิจ การใช้ภาษาเป็นทักษะที่ผู้ใช้ต้องฝึกฝนให้เกิดความชานาญ ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน การเขียน การพูด การฟัง และการดูสื่อต่าง ๆ รวมทั้งต้องใช้ให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทางภาษา เพื่อสื่อสารให้เกิดประสิทธิภาพและใช้อย่างคล่องแคล่ว มีวิจารณญาณและมีคุณธรรม 1.3 วิสัยทัศน์การเรียนการสอนภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเครื่องมือของคนในชาติ เพื่อการสื่อสารทาความเข้าใจกันและใช้ภาษา ในการประกอบกิจการงานทั้งส่วนตนและส่วนร่วม เป็นเครื่องมือการเรียนรู้ การบันทึก เรื่องราวจากอดีตถึงปัจจุบัน และเป็นวัฒนธรรมของชาติ ดังนั้นการเรียนภาษาไทย จึงต้อง เรียนรู้เพื่อให้เกิดทักษะอย่างถูกต้อง เหมาะสมในการสื่อสาร เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ แสวงหาความรู้และประสบการณ์ เรียนรู้ในฐานะเป็นวัฒนธรรมทางภาษาให้เกิดความชื่นชม ซาบซึ้ง และภูมิใจในภาษาไทย โดยเฉพาะคุณค่าของวรรณคดี และภูมิปัญญาทางภาษาของ บรรพบุรุษที่ได้สร้างสรรค์ไว้ อันเป็นส่วนเสริมสร้างความงดงามในชีวิต การเรียนรู้ภาษาไทยต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิดสร้างสรรค์ คิดวิพากษ์วิจารณ์ คิดตัดสินใจแก้ปัญหา และวินิจฉัยอย่างมีเหตุผล ใช้ภาษาอย่างมีเหตุผล ใช้ในทางสร้างสรรค์ และใช้ภาษาอย่างสละสลวยงดงาม ช่วยเสริมบุคลิกภาพของผู้ใช้ภาษาให้สง่างาม ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชานาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การอ่านและการฟังเป็นทักษะของการรับรู้เรื่องราว ความรู้และประสบการณ์ ส่วนการพูด และการเขียนเป็นทักษะของการแสดงออกด้วยการแสดงความคิด ความเห็น ความรู้และประสบการณ์ การเรียนภาษาไทยต้องเรียนเพื่อการสื่อสารให้สามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างพินิจพิเคราะห์ สามารถเลือกใช้คาเรียบเรียงความคิด ความรู้ และใช้ภาษาได้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ ได้ตรง ตามความหมายและถูกต้องตามกาลเทศะ บุคคล และมีประสิทธิภาพ ภาษาไทยเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ส่วนที่เป็นศาสตร์คือ เนื้อหาสาระ กฎเกณฑ์ทางภาษา ผู้ใช้ภาษาจะต้องเรียนรู้และใช้ภาษาให้ถูกต้อง ส่วนที่เป็นศิลป์ คือวรรณคดีและวรรณกรรม เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่มีคุณค่า การเรียนภาษาไทยจึงต้องเรียนวรรณคดี วรรณกรรม ภูมิปัญญาทางภาษาที่ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราว
13.
13 ของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษาในบทประพันธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองประเภท ต่างๆ เพื่อให้เกิดความซาบซึ้ง
ภาคภูมิใจ และตระหนักในการสืบทอดอนุรักษ์ภาษาไทย นอกจากนี้เพื่อให้ทันต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสื่อสารสนเทศประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ผู้เรียนต้องมีความคิดในการพัฒนาภาษาไทยเพื่อรองรับ การเปลี่ยนแปลงของภาษาในอนาคต 1.4 คุณภาพของผู้เรียน 1.4.1 คุณภาพผู้เรียนเมื่อจบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว ผู้เรียนต้องมี ความรู้ ความสามารถดังนี้ 1) สามารถใช้ภาษาสื่อสารได้อย่างดี 2) สามารถอ่าน เขียน ฟัง ดู และพูด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผลและคิดเป็นระบบ 4) มีนิสัยรักการอ่าน การเขียน การแสวงหาความรู้และใช้ภาษาใน การพัฒนาตน และสร้างสรรค์งานอาชีพ 5) ตระหนักในวัฒนธรรมการใช้ภาษาและความเป็นไทย ภูมิใจและ ชื่นชมในวรรณคดีและวรรณกรรมซึ่งเป็นภูมิปัญญาของคนไทย 5) สามารถนาทักษะทางภาษามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมี ประสิทธิภาพและถูกต้องตามกาลเทศะและบุคคล 7) มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี และสร้างความสามัคคีในความเป็นชาติไทย 8) มีคุณธรรมจริยธรรม มีวิสัยทัศน์ โลกทัศน์ที่กว้างไกลและลึกซึ้ง 1.4.2 คุณภาพของผู้เรียนภาษาไทยเมื่อจบช่วงชั้นที่ 3 มัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3 ดังต่อไปนี้ 1) สามารถอ่านอย่างมีสมรรถภาพและอ่านได้เร็วยิ่งขึ้น 2) เข้าใจวงคําศัพท์ที่กว้างขึ้น สํานวนและโวหารที่ลึกซึ้ง แสดงความคิดเห็นเชิงวิเคราะห์ ประเมินค่าเรื่องที่อ่านอย่างมีเหตุผล 3) เลือกอ่านหนังสือและสื่อสารสนเทศ 4) เขียนเรียงความ ย่อความ และจดหมาย เขียนอธิบาย ชี้แจง รายงาน เขียนแสดงความคิดเห็น แสดงการโต้แย้ง และเขียนเชิงสร้างสรรค์ 5) สามารถสรุปความ จับประเด็นสําคัญ วิเคราะห์ วินิจฉัยข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น และจุดประสงค์ของเรื่องที่ฟังและดู
14.
14 6) รู้จักเลือกใช้ภาษาเรียบเรียงข้อความได้อย่างประณีต จัดลําดับ ความคิดขั้นตอนในการนําเสนอตามรูปแบบของงานเขียนประเภทต่าง
ๆ 7) พูดนําเสนอความรู้ ความคิด การวิเคราะห์ และการประเมิน เรื่องราวต่าง ๆ พูดเชิญชวน อวยพร และพูดในโอกาสต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม 8) เข้าใจธรรมชาติของภาษาและการนําภาษาต่างประเทศมาใช้ ในภาษาไทย 9) สามารถใช้ภาษาแสดงความคิดเห็น สร้างความเข้าใจ โน้มน้าวใจ ปฏิเสธ เจรจาต่อรอง ด้วยภาษาและกิริยาท่าทางที่สุภาพ 10)ใช้ทักษะทางภาษาในการแสวงหาความรู้ การทํางาน และใช้อย่าง สร้างสรรค์เป็นประโยชน์ 11) ใช้หลักการพินิจคุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรม พิจารณา วรรณคดีและวรรณกรรมให้เห็นคุณค่าและนําประโยชน์ไปใช้ในชีวิต 12) สามารถแต่งกาพย์ กลอน และโคลง 13) สามารถร้องเล่นหรือถ่ายทอดเพลงพื้นบ้านและบทกล่อมเด็ก ในท้องถิ่น 14) มีมารยาทการอ่าน การเขียน การฟัง การดู และการพูด และมีนิสัย รักการอ่าน การเขียน 1.5 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ภาษาไทย กาหนดไว้ดังนี้ สาระที่ 1 : การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 :ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดไปใช้ ตัดสินใจ แก้ปัญหาและสร้างวิสัยทัศน์ในการดาเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ 2 : การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 : ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงาน การศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ สาระที่ 3 : การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 : สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูด แสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์
15.
15 สาระที่ 4 :
หลักการใช้ภาษา มาตรฐาน ท 4.1 : เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็น สมบัติของชาติ มาตรฐาน ท 4.2 : สามารถใช้ภาษาแสวงหาความรู้ เสริมสร้าง ลักษณะนิสัย บุคลิกภาพ และความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรม อาชีพ สังคม และ ชีวิตประจาวัน สาระที่ 5 : วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 : เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและ วรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่า และนามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 1.6 กระบวนการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ภาษาไทย ผู้สอนจะต้องดาเนินการ ดังนี้ 1.6.1. เลือกรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สอนต้องเลือกรูปแบบ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย และเหมาะสมกับผู้เรียน 1.6.2. คิดค้นเทคนิคกลวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สอนสามารถคิดค้น รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบต่าง ๆ และนามาใช้ให้เหมาะสม 1.6.3. จัดกระบวนการเรียนรู้ การจัดกระบวนการเรียนรู้โดยคานึงถึงสภาพ และลักษณะของผู้เรียน เน้นให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติตามกระบวนการเรียนรู้อย่างมีความสุข ดังนี้ 1) การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง ให้รู้ วิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเอง รู้จักวิธีการวางแผน คิดวิเคราะห์ ประเมินผลการปฏิบัติงานได้ด้วย ตนเอง และฝึกการเป็นผู้นาและผู้ตาม ลักษณะของโครงงาน เป็นเรื่องของการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง ตรวจสอบ สมมติฐาน โดยอาศัยการศึกษา วิเคราะห์ ใช้ทักษะกระบวนการ 2) การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ เป็นวิธีการ ที่จะช่วยให้การดาเนินงานเป็นกลุ่มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คือ ได้ผลงาน ความรู้สึกและ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ร่วมงาน เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีโอกาสเข้าร่วม ในกิจกรรมการเรียนยึดกลุ่มเป็นแหล่งความรู้ที่สาคัญ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ช่วยให้เกิดการเรียนรู้พฤติกรรมของตนเองและผู้อื่น
16.
16 ผู้เรียนค้นหาคาตอบได้ด้วยตนเองจนสามารถนาความรู้ ความเข้าใจจากการปฏิบัติงานไปใช้ใน ชีวิตประจาวันและอยู่ในสังคมได้อย่างสันติสุข 3) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความคิด
มีวิธีการหลากหลาย วิธีการหนึ่งคือ การใช้คาถาม การตั้งคาถาม โดยใช้หมวกความคิด 6 ใบ เป็นการใช้คาถามอย่าง สร้างสรรค์ 4) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร เพื่อให้ผู้เรียนมีสมรรถภาพในการใช้ภาษาทั้งการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ด้วยการ จัดกิจกรรมในห้องเรียน ในโรงเรียนและในชุมชน เช่น การเล่าเรื่อง การอภิปราย การวิจารณ์ การโต้วาที การคัดลายมือ การเขียนเรียงความ การทําโครงงาน การประกวด การอ่าน การศึกษาค้นคว้า การแข่งขันตอบคําถาม การอ่านทํานองเสนาะ 5) การพัฒนาการเรียนรู้หลักการใช้ภาษา จะทาให้ผู้เรียนเข้าใจธรรมชาติ ของภาษาและวัฒนธรรมการใช้ภาษาไทย เกิดความตระหนักว่าภาษามีความสาคัญและมีพลัง กิจกรรมการพัฒนาการเรียนรู้หลักการทางภาษา จาเป็นต้องจัดควบคู่และสัมพันธ์กับกิจกรรม พัฒนาทักษะการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารทุกกิจกรรม 6) การพัฒนาการเรียนรู้วรรณคดีและวรรณกรรม ให้เห็นถึงวิถีชีวิต ของคนไทยในยุคสมัยต่างๆ และเป็นการปลูกฝังเกิดความซาบซึ้งในสุนทรียภาพของภาษาไทย เพื่อประโยชน์ในการดารงชีวิต เน้นให้ผู้เรียนใช้ทักษะภาษาเพื่อเรียนรู้เนื้อหาสาระด้วยการอ่าน พิจารณา วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินค่าวรรณกรรมและวรรณคดีอย่างมีเหตุผล มีการนาเสนอ ความเข้าใจ ความซาบซึ้ง ข้อคิดและประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งนี้จะเกิดผลทาให้ผู้เรียน มีนิสัยรักการอ่านและการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองเป็นแนวทางในการผลิตผลงานเพื่อพัฒนา ตนเองและสังคม 7) การพัฒนาการเรียนรู้ภูมิปัญญาทางภาษาช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจวิถีชีวิต และ ศิลปะการใช้ภาษาของคนในท้องถิ่น เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาภูมิปัญญาทางภาษา วิธีการที่กล่าวมานี้ ผู้สอนสามารถนามาปรับใช้ให้เหมาะสม โดยใช้เทคนิค วิธีการ อย่างหลากหลายที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ คือ ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนและเรียน อย่างมีความสุข ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพความพร้อมของผู้เรียนและธรรมชาติของสาระการเรียนรู้ ที่เรียน เพื่อให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ 1.7 การวัดผลประเมินผล
17.
17 การวัดผลและประเมินการเรียนรู้ภาษาไทย ผู้สอนต้องเข้าใจหลักการของการเรียนรู้ ภาษา เพื่อเป็นพื้นฐานในการวัดผลประเมินผล
มีหลักการสาคัญ ดังนี้ 1.7.1 หลักการเรียนรู้ภาษา 1) ทักษะทางภาษา ฟัง พูด อ่าน เขียน ดู มีความสาคัญเท่า ๆ กัน และทักษะเหล่านี้มีความเกี่ยวเนื่องกัน และความก้าวหน้าของทักษะหนึ่ง จะมีผลต่อพัฒนาการ ทักษะอื่น ๆ 2) ผู้เรียนต้องได้รับการพัฒนาความสามารถทางภาษา เช่นเดียวกับ ทักษะการคิด ทักษะทางสังคม เมื่อผู้เรียนมีโอกาสใช้ภาษาตามความต้องการที่แท้จริงของตนเอง และในสภาพการณ์จริงทั้งในบริบททางวิชาการในห้องเรียน และชุมชนที่กว้างออกไป 3) ผู้เรียนต้องเรียนรู้การใช้ภาษาพูด ภาษาเขียนอย่างถูกต้อง ด้วย การฝึกฝน มิใช่การเรียนรู้กฎเกณฑ์ทางภาษาแต่อย่างเดียว การเรียนการใช้ภาษาที่ประกอบด้วย ไวยากรณ์ การสะกดคา และเครื่องหมายต่าง ๆ จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น เมื่อผู้เรียนได้พัฒนาทักษะ ทางภาษาของตน 4) ผู้เรียนทุกคนต้องผ่านขั้นตอนการพัฒนาทางภาษาเช่นเดียวกัน แต่จะต่างกันในจังหวะก้าว และวิธีการเรียนรู้ของแต่ละคน โดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่าง บุคคล 5) ภาษา และวัฒนธรรม มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด หลักสูตร ที่ให้ความสาคัญ ให้ความเคารพ และเห็นคุณค่าของเชื้อชาติ วัฒนธรรม ภูมิหลังทางภาษา และความหลากหลายของภาษาจะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตนเอง และกระตุ้น ให้ผู้เรียนเรียนรู้ 1.7.2 หลักการของการประเมินผลในชั้นเรียนที่มีประสิทธิภาพ 1) การประเมินผลในชั้นเรียนที่มีประสิทธิภาพจะต้องส่งเสริม การเรียนรู้ของผู้เรียน 2) การประเมินผลจะต้องใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย 3) การประเมินผลจะต้องมีความเที่ยงตรง เชื่อถือได้และยุติธรรม 1.7.3 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลผลการเรียนของผู้เรียน วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ถูกนามาใช้ในการประเมินโดยทั่วไป เช่น การสังเกต การตรวจงานหรือผลงาน การทดสอบความรู้ การตรวจสอบการปฏิบัติและการแสดงออกอย่างไร ก็ตามมีการนาเสนอแนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยพิจารณาจากเป้ าประสงค์ของการประเมิน
18.
18 ที่เฉพาะเจาะจงในรายละเอียด เพื่อข้อมูลที่ได้จะสามารถนามาใช้ประโยชน์ต่อการปรับปรุง พัฒนากระบวนการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง ดังนี้ 1)
การให้ตอบแบบทดสอบ ทั้งในลักษณะที่เป็นแบบเลือกคาตอบ ได้แก่ ข้อสอบแบบเลือกตอบ ถูก – ผิด และข้อสอบชนิดให้ผู้สอบสร้างคาตอบ ได้แก่ เติมข้อความในช่องว่าง คาตอบสั้นเป็นประโยค เป็นข้อความ เป็นแผนภูมิ 2) การดูจากผลงาน เช่น เรียงความ รายงานการวิจัย บันทึกประจาวัน รายงานการทดลอง บทละคร บทร้อยกรอง แฟ้มผลงาน เป็นต้น ผลงานจะเป็นสิ่งแสดงให้เห็น การนาความรู้และทักษะไปใช้ในการปฏิบัติงานของผู้เรียน 3) สังเกตการปฏิบัติ สังเกตการนาทักษะและความรู้ไปใช้โดยตรงใน สถานการณ์ที่ให้ปฏิบัติจริง วิธีการนี้ถูกนาไปใช้อย่างกว้างขวางในการประเมิน การปฏิบัติที่มี ระเบียบ ข้อบังคับ เช่น การร้องเพลง ดนตรี พลศึกษา การโต้วาที การกล่าวสุนทรพจน์ ละครเวที 4) สังเกตกระบวนการ วิธีการนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการเรียนรู้ กระบวนการคิดของผู้เรียนมากกว่าที่จะดูผลงาน หรือการปฏิบัติ ซึ่งจะทาให้กระบวนการคิด ที่ผู้เรียนใช้วิธีการที่พบว่าครูผู้สอนใช้อยู่เป็นประจาในกระบวนการเรียนการสอน คือ การให้ นักเรียนคิดดัง ๆ การตั้งคาถามให้นักเรียนตอบ โดยครูจะเป็นผู้สังเกตวิธีการคิดของผู้เรียน วิธีการเช่นนี้เป็นกระบวนการที่จะให้ข้อมูลเพื่อการวินิจฉัย และเป็นข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียน โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหมาะกับการประเมินพัฒนาการด้านคุณธรรม จริยธรรม และลักษณะนิสัย (กระทรวงศึกษาธิการ, 2544 : 1 - 22) สรุปได้ว่า หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ต้องการสอนภาษาเพื่อใช้เป็น เครื่องมือในการสื่อสาร ใช้ภาษาไทยในการแสวงหาความรู้ เพื่อนาความรู้มาพัฒนาตนเอง สอนภาษาไทยในด้านกฎเกณฑ์ทางภาษาเพื่อให้ใช้ภาษาได้ถูกต้อง สละสลวย และเน้นให้ศึกษา วรรณกรรมและวรรณคดีเพื่อให้เข้าใจสภาพสังคมและวัฒนธรรมรวมถึงภูมิปัญญาทางภาษา โดยวิธีการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ และคานึงศักยภาพและความแตกต่างระหว่างบุคคล จัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยสื่อนวัตกรรมอย่างหลากหลาย และวัดผลประเมินผลจากแหล่งข้อมูล หลากหลายตามสภาพจริงเพื่อส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพและความแตกต่างระหว่าง บุคคล
19.
19 2. หลักการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย การจัดกิจกรรมการรู้เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2544 เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ มุ่งให้ ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง จากการปฏิบัติกิจกรรมและวิธีการเรียนที่หลากหลาย เรียนรู้จากสื่อ รู้วิธีการแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง ส่งเสริมให้ผู้เรียนสรุปองค์ความรู้ และประเมินตนเอง โดยครูผู้สอนเปลี่ยนบทบาทจากการบอก บรรยาย เป็นการวางแผนจัดกิจกรรม แนะแนวทาง วิธีการเรียนรู้ ให้หลักการและสร้างสื่อการเรียนรู้ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรม จนผู้เรียน ค้นพบความรู้ด้วยตนเอง การจัดการเรียนรู้ควรคํานึงถึงความสําคัญในเรื่องต่อไปนี้ 2.1 การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ 2.1.1 การเรียนรู้อย่างมีความสุข จัดกิจกรรมการเรียนการสอนในบรรยากาศ ที่เป็นอิสระแต่มีระเบียบวินัยในตนเอง ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล ส่งเสริมผู้เรียน ให้ประสบความสําเร็จตามศักยภาพของตน เกิดความภาคภูมิใจอันเกิดจากความสําเร็จ เรียนรู้ จากสื่อที่เหมาะสม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ผู้สอนกับผู้เรียน และผู้เรียนด้วยกันเอง มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน 2.1.2 การเรียนรู้แบบองค์รวม บูรณาการสาระการเรียนรู้และ กระบวนการเรียนรู้เข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งครอบคลุมปัญหา และ มีความหมายต่อการดํารงชีวิต 2.1.3 การเรียนรู้ต้องปรับวัฒนธรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน ผู้เรียนต้องมีลีลา การเรียนรู้ของตนเอง มีอิสระในการเรียน มีความรับผิดชอบสูง มีวินัยในตนเอง มีความพยายาม และมุ่งมั่นต่อความสําเร็จ มีคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งครูต้องปลูกฝังและสร้างให้เกิดแก่ผู้เรียน ควบคู่ไปกับกระบวนการเรียนรู้ 2.1.4 การเรียนรู้จากการคิดและการปฏิบัติจริง เรียนรู้โดยการประมวลข้อมูล ความรู้จากประสบการณ์ต่างๆ แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ มาสรุปสร้างเป็นองค์ความรู้ ด้วยตนเอง 2.1.5 การเรียนรู้ร่วมกับบุคคลอื่น การเรียนรู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ข้อมูล ความคิด ทําให้เกิดการเรียนรู้ที่หลากหลาย ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เป็นการปลูกฝังคุณธรรมการอยู่ร่วมกัน ทําให้เกิดการพัฒนาทักษะทางสังคม 2.1.6 การเรียนรู้โดยมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนและผลงาน เปิดโอกาสให้ ผู้เรียนร่วมกันวางแผนการจัดการเรียนรู้ ปฏิบัติกิจกรรม และสร้างชิ้นงานร่วมกัน ผู้เรียน
20.
20 จะเกิดการเรียนรู้ทักษะกระบวนการ และการทํางานร่วมกัน รู้บทบาทหน้าที่และความ รับผิดชอบต่อส่วนร่วม 2.1.7
การเรียนรู้กระบวนการเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้ลีลาการเรียนรู้และ ความถนัดของแต่ละคนทําให้ผู้เรียนค้นพบความสามารถ ความถนัดของตน เพื่อพัฒนา ให้เกิดประโยชน์ต่อไป 2.2 คุณลักษณะและบทบาทของผู้สอนต่อการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย 2.2.1 คุณลักษณะของผู้สอน 1) มีความรู้ความเข้าใจในการจัดหลักสูตรโดยเฉพาะกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย 2) มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาภาษาไทยเป็นอย่างดี 3) ใช้ภาษาไทยในการสื่อสารได้ดี เป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่น 4) มีความริเริ่มสร้างสรรค์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 5) เป็นผู้ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองให้ทันสมัย ทันเหตุการณ์อยู่เสมอ 6) มีความสามารถในการวัดผลและประเมินผล การเรียนภาษาไทย หลายรูปแบบ ตามหลักการวัดผลและประเมินผล 7) มีความรู้ความเข้าใจด้านจิตวิทยา เข้าใจลักษณะธรรมชาติและ ความต้องการของผู้เรียนเป็นอย่างดี 8) มีคุณลักษณะของครูดีที่พึงประสงค์ ได้แก่ ใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอารมณ์ขัน พูดจาไพเราะ มีเมตตา ขยัน อดทน เอาใจใส่ผู้เรียนอย่างทั่วถึง มีเวลาให้ผู้เรียน เข้าพบและปรึกษาหารือ มีความเป็นมิตร มีความยุติธรรม ใจกว้างยอมรับความคิดเห็น ของผู้เรียน และไวต่อความคิด ความรู้สึกของผู้เรียนและมีคุณธรรม 9) เป็นแบบอย่างที่ดีด้านความประพฤติ และมีบุคลิกภาพที่สง่างาม 2.2.2 บทบาทหน้าที่ของผู้สอน 1) ทําหน้าที่พัฒนาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยร่วมกับ คณะครูในกลุ่ม โดยทําหน้าที่ 4 ประการ คือ พัฒนาหลักสูตร ใช้หลักสูตร วิจัยและประเมิน หลักสูตรและปรับปรุงหลักสูตร 2) จัดบรรยากาศและกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข
21.
21 ได้แก่ 2.1) ยอมรับในศักยภาพของผู้เรียนว่าสามารถเรียนรู้ได้เท่าเทียมกัน 2.2) ส่งเสริมให้ผู้เรียนยอมรับนับถือ
ภาคภูมิใจในความสามารถ และปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ 2.3) ส่งเสริมให้ผู้เรียนเลือกเรียนรายวิชาต่างๆ ตามความถนัด ความสามารถ และความสนใจของตนเอง 2.4) ส่งเสริมให้ผู้เรียนค้นพบความสามารถของตนและมีโอกาส ได้แสดงความสามารถ และรู้จักวางแผนการจัดการเรียนรู้ได้เอง 2.5) จัดบทเรียนที่มีความหมาย มีประโยชน์ เหมาะสมกับวุฒิภาวะ และความสามารถที่ทําให้ผู้เรียนมีโอกาสประสบความสําเร็จ 2.6) จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย จูงใจให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพตามศักยภาพและมีความสุข 2.7) ใช้ภาษาที่ถูกต้องตามวัฒนธรรมการใช้ภาษาในการจัด กระบวนการเรียนการสอนและปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนทุกโอกาส 2.8) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนประเมินตนเอง เพื่อปรับปรุงและพัฒนา ความรู้ ความสามารถของตนเอง 3) จัดสภาพห้องเรียนให้เอื้อต่อการเรียนรู้ ห้องเรียนควรเป็น แหล่งเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ทั้งความรู้ ทักษะกระบวนการ คุณธรรม จริยธรรมและค่านิยม เกิดความคิดสร้างสรรค์ มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและหมู่คณะ เป็นการฝึกการอยู่ร่วมกัน ในสังคมอย่างมีความสุข มีบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่ดี เอื้อต่อการพัฒนาการเรียนรู้ทุกด้าน ฝึกให้ผู้เรียนทํางานเป็นกลุ่ม ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีมนุษยสัมพันธ์ ฝึกภาวะผู้นํา ความรับผิดชอบต่อส่วนร่วม การแก้ปัญหาร่วมกัน การยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน การให้เกียรติผู้อื่น ความมีระเบียบวินัยมีมารยาทในสังคม การจัดห้องเรียนควรให้มีความสะดวก สะอาด สวยงาม เอื้อต่อการปฏิบัติกิจกรรม มีสื่อวัสดุอุปกรณ์พร้อมที่จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ และมีแหล่งค้นคว้า เช่น มุมหนังสือ (กระทรวงศึกษาธิการ , 2544 : 48 – 53) สรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยเป็นการจัดการเรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ ผู้เรียนได้เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้และสื่อที่หลากหลาย ด้วยการลงมือ ปฏิบัติกิจกรรม จนค้นพบความรู้และผู้เรียนสามารถสรุปองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง
22.
22 3. เอกสารเกี่ยวกับเรื่อง เสียงในภาษาไทย หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2544 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย กําหนดสาระการเรียน ( Strand ) และมาตรฐานการเรียน (Standard)ไว้ 5 สาระ คือ สาระที่ 1 การอ่าน สาระที่ 2 การเขียน สาระที่ 3 การฟัง การดู และการฟัง สาระที่ 4 หลักการใช้ ภาษา สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม แต่ละสาระการเรียนกําหนดมาตรฐานการเรียนรู้ ช่วงชั้น (Benchmark) ซึ่งเป็นแกนกลาง ให้ครูนําไปวิเคราะห์ จัดทําเนื้อหา และหลักสูตรของ แต่ละโรงเรียนเอง เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสภาพการเรียนรู้ ความพร้อมและศักยภาพของ นักเรียนแต่ละโรงเรียนที่มีความแตกต่างกันตามสภาพของท้องถิ่น (กระทรวงศึกษาธิการ , 2544 : 17 – 28) เรื่อง เสียงในภาษาไทย ผู้วิจัยได้ศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรและสาระมาตรฐานการเรียน พบว่าอยู่ในสาระที่ 4 หลักการใช้ภาษา มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและ หลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษาและรักษา ภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ ผู้วิจัยวิเคราะห์พบว่า การจะเข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลัก ภาษา ผู้เรียนต้องมีความรู้พื้นฐานสําคัญในเรื่อง เสียงในภาษาเสียก่อน ผู้วิจัยจึงสร้างนวัตกรรม การเรียนรู้ ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย มาจัดการเรียนรู้ โดยมีเนื้อหารายละเอียดที่ เกี่ยวกับ เรื่อง เสียงในภาษาไทย ดังต่อไปนี้ 3.1 ความหมายของเสียงในภาษา สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (2543 : 340) กล่าวไว้ สรุปความได้ว่า เสียงที่เปล่งออกมา เป็นคําพูดในภาษาเป็นสัญลักษณ์ ใช้แทนความหมายที่ตกลงร่วมกันของกลุ่มคน มีระบบ ระเบียบแบบแผน กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2544 :1) ให้ความหมายของ เสียงในภาษา หมายถึง เสียงที่มนุษย์เปล่งออกมาเพื่อสื่อความหมายระหว่างมนุษย์ด้วยกัน เพื่อสนอง ความต้องการต่าง ๆ เช่น เพื่อขอความช่วยเหลือ เพื่อขอความรู้ หรือเพื่อแสดงความรู้สึกพอใจ หรือไม่พอใจ เป็นต้น กาญจนา นาคสกุลและคณะ (2545 :19) กล่าวถึง เสียงในภาษา สรุปความได้ว่า กระบวนการออกเสียงพูด เริ่มขึ้นที่สมองสั่งการให้อวัยวะที่มีหน้าที่ออกเสียงพูด บังคับลมหายใจ ออก ให้ผ่านเส้นเสียงในตําแหน่งที่ทําให้เกิดเสียง แล้วผ่านขึ้นสู่ช่องปาก ภายในช่องปากมีอวัยวะ ต่าง ๆ เช่น ลิ้น ริมฝีปาก เป็นต้น ซึ่งจะดัดแปลงลม ให้เกิดเป็นเสียงตามที่ต้องการและตามที่มี ในระบบของภาษา
23.
23 วิจินตน์ ภาณุพงศ์ (2522
: 6) ให้คําจํากัดความของ เสียงในภาษา ว่า เสียงพูดที่มี ระเบียบและมีความหมาย ซึ่งมนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือสําหรับสื่อสาร ความคิด ความรู้สึก ความต้องการและใช้ในการประกอบกิจกรรมร่วมกัน วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ ( 2551 : 148) กล่าวถึง เสียงในภาษา ไว้ว่า เป็นระบบ การสื่อสารที่มนุษย์ใช้ติดต่อกัน โดยธรรมชาติแล้วภาษาเป็นเสียงเป็นการพูด เป็นสิ่งที่ทาให้ มนุษย์แตกต่างไปจากสัตว์โลกอื่น ๆ ทั้งปวง สมศักดิ์ ทองบ่อ (2549 : 17) ให้ความหมายของ เสียงในภาษา หมายถึง เสียงที่มนุษย์ ใช้ในการสื่อสารกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน โดยใช้อวัยวะต่าง ๆ ช่วยในการออกเสียง จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า เสียงในภาษา หมายถึง เสียงที่มนุษย์เปล่งออกมา เพื่อใช้สื่อความหมาย ความเข้าใจ ความรู้สึก ความนึกคิดระหว่างมนุษย์ด้วยกัน โดยลมจากปอด ผ่านมายังเส้นเสียง ผ่านช่องปากและอวัยวะต่าง ๆ ในช่องปากช่วยกล่อมเกลาให้เป็นเสียงต่าง ๆ ออกมาทางช่องปากหรือช่องจมูก 3.2 อวัยวะในการออกเสียงในภาษา จินดา เฮงสมบูรณ์ (2542 : 54) กล่าวไว้ว่า อวัยวะในการออกเสียงในภาษา แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) ปอดและหลอดลม 2) กล่องเสียงและเส้นเสียง 3) อวัยวะที่อยู่เหนือเส้นเสียง กาญจนา นาคสกุลและคณะ (2545 : 15 – 17) กล่าวถึง อวัยวะในการออกเสียงไว้ดังนี้ 1) ปอด ภายในปอดจะมีถุงลมเล็ก ๆ จํานวนมาก เมื่อต้องการเปล่งเสียงต้องอาศัย ลมจากปอด ระบายลมออกมา เพื่อนํามาใช้ในการเปล่งเสียงพูด 2) กระบังลม เป็นกล้ามเนื้อผืนใหญ่กั้นอยู่ในช่องท้องอยู่ใต้ปอด เมื่อหายใจเข้า กระบังลมจะเคลื่อนตัวลงตํ่าทําให้เกิดพื้นที่กักเก็บลมมากขึ้น เมื่อหายใจออกกระบังลมจะถูกยก สูงขึ้น อากาศภายในจะถูกผลักออกมาทางหลอดลม ช่องจมูกและปาก 3) หลอดลม เป็นช่องทางเดินของลมจากปอดมาสู่กล่องเสียง 4) เส้นเสียง เป็นอวัยวะสําคัญที่ทําให้เกิดเสียง ประกอบด้วยเส้นเอ็นและ กล้ามเนื้อเป็นแผ่น 2 แผ่น เมื่อจะเปล่งเสียงลมผ่านเส้นเสียง เส้นเสียงสั่นจึงทําให้เกิดเสียง เส้นเสียงตั้งอยู่ตรงกลางกล่องเสียง กล่องเสียง คือ ส่วนที่อยู่เหนือหลอดลมขึ้นมา ตรงที่เราเรียกว่า ลูกกระเดือก
24.
24 5) ลิ้น เป็นส่วนที่เคลื่อนไหวได้มากที่สุดในการออกเสียง
เป็นอวัยวะที่ควบคุม ช่องทางเดินของลม จึงทําให้เกิดเป็นเสียงในลักษณะต่าง ๆ 6) ลิ้นไก่ เป็นก้อนเนื้อเล็ก ๆ อยู่ต่อปลายเพดานอ่อนตรงกลางระหว่างช่องปากกับ ช่องจมูก 7) ช่องจมูก เป็นโพรงในช่องจมูกอยู่เหนือลิ้นไก่ขึ้นไป เป็นช่องทางเดินลม เมื่อต้องการออกเสียงนาสิก เช่น เสียงพยัญชนะ /น/ /ง/ /ม/ 8) เพดานอ่อน เป็นส่วนของเพดานปากต่อกับลิ้นไก่ ใช้ในการออกเสียง โดยการ เอาลิ้นไปแตะเพื่อควบคุมลมในการออกเสียงบางเสียง เช่น เสียงพยัญชนะ /ก/ /ค/ 9) เพดานแข็ง เป็นส่วนของเพดานปากต่อกับเพดานอ่อน ใช้ในการออกเสียง โดยการเอาลิ้นไปแตะเพื่อควบคุมลมในการออกเสียงบางเสียง เช่นเดียวกับเพดานอ่อน เช่น เสียงพยัญชนะ /ย/ /จ/ /ช/ 10) ปุ่มเหงือก เป็นส่วนที่นูนออกมาตรงบริเวณโคนฟันบนด้านใน ลิ้นแตะ อยู่ใกล้บริเวณปุ่มเหงือก เมื่อออกเสียงพยัญชนะ เช่น เสียงพยัญชนะ /ด/ /น/ /ล/ 11) ฟัน เป็นอวัยวะซึ่งเป็นฐานหรือตําแห่งที่เกิดของเสียงหลายชนิด เช่น เมื่อใช้ ฟันบนกับริมฝีปากล่างควบคุมทางเดินลมให้ลอดช่องพอจะผ่านได้ทําให้เกิดเสียงพยัญชนะ /ฟ/ หรือใช้ลิ้นแตะฟันบนก็สามารถออกเสียงพยัญชนะ /ต/ /ท/ 12) ริมฝีปาก เป็นอวัยวะที่สําคัญในการออกเสียงซึ่งทําให้เกิดเสียงแตกต่างกันมาก เช่นใช้ริมฝีปากบนและริมฝีปากล่างปิดกักลมไว้ชั่วครู่ แล้วปล่อยก็จะได้เสียงพยัญชนะ /บ/ /ป/ /พ/ /ม/ /ว/ หากออกเสียงสระก็ใช้ริมฝีปากกับลิ้นควบคุมลมออกเสียงได้ทั้งหมด เช่น ทําปาก ห่อกลมลิ้นส่วนหลังอยู่ในระดับสูง กลาง ตํ่า ก็จะได้เสียงสระ อุ อู โอะ โอ เอาะ ออ ตามลําดับ สรุปว่า อวัยวะที่ทําให้เกิดเสียงในภาษา ได้แก่ ปอด หลอดลม เส้นเสียงซึ่งอยู่ ในกล่องเสียง ลิ้นไก่ เพดานปาก ลิ้น ฟัน ปุ่มเหงือก ริมฝีปาก และช่องจมูก ดังภาพต่อไปนี้
25.
25 ภาพที่ 1 แสดงอวัยวะในการออกเสียง 3.3
เสียงและหน่วยเสียงในภาษาไทย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2544 : 3) กล่าวว่าเสียงในภาษาไทย มี 3 ชนิด คือ เสียงสระ เสียงพยัญชนะ เสียงวรรณยุกต์ 1) เสียงสระ คือ เสียงที่เกิดจากลมผ่านเส้นเสียง ซึ่งเกร็งตัวชิดกัน ปิดช่องทางเดินลมจนสั่นสะบัดแล้วออกไปทางช่องปากหรือจมูก โดยที่ไม่ถูกสกัดกั้น ณ ที่ใด ที่หนึ่งในช่องทางเดินลม แต่มีการใช้ลิ้นและริมฝีปากกล่อมเกลาเสียงให้แตกต่างกันไป ได้หลายเสียง ลักษณะสําคัญของเสียงสระมี 2 อย่าง คือ เป็นเสียงสั่นสะบัดหรือเสียงก้อง และเป็น เสียงผ่านออกไปโดยตรง บางครั้งจึงได้ชื่อว่า เสียงแท้ 2) เสียงพยัญชนะ คือ เสียงที่เกิดจากลมผ่านเส้นเสียง ซึ่งอาจสั่นสะบัดหรือไม่ ก็ได้ แล้วถูกสกัดกั้นทั้งหมดหรือบางส่วน ณ ที่ใดที่หนึ่งในช่องทางเดินลม เช่น เพดานอ่อน เพดานแข็ง ปุ่มเหงือก ฟัน ริมฝีปากและลิ้น ก่อนจะปล่อยออกมาทางช่องปากหรือช่องจมูก ลักษณะสําคัญของเสียงพยัญชนะ คือ เป็นเสียงที่ถูกสกัดกั้นก่อนที่จะผ่านออกไปทาง ช่องปากหรือช่องจมูก บางครั้งเรียกว่า เสียงแปร
26.
26 3) เสียงวรรณยุกต์ คือ
เสียงที่มีการเปลี่ยนระดับสูงตํ่าโดยเส้นเสียง และเปล่ง ออกมาพร้อมกับเสียงสระ บางครั้งเรียกว่า เสียงดนตรี จงชัย เจนหัตถการกิจ (2552 : 14) กล่าวว่า เสียงในภาษาไทย มี 3 ชนิด คือ 1) เสียงแท้ หรือ เสียงสระ เป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากลําคอโดยตรง ไม่ถูกสกัดกั้นในฐานใด ๆ แต่มีการเปลี่ยนแปลงระดับของลิ้นและรูปริมฝีปากทําให้ลมกระทบ ฐานเพียงเล็กน้อย ลมผ่านเส้นเสียงทําให้เป็นเสียงสั้นสะเทือน เกิดเป็นเสียงก้อง 2) เสียงแปร หรือ เสียงพยัญชนะ เป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากลําคอ แล้วถูก สกัดกั้นจากฐานต่างๆ เกิดเป็นเสียงก้องและไม่ก้อง 3) เสียงดนตรี หรือ เสียงวรรณยุกต์ เป็นเสียงที่มีระดับสูงตํ่าประดุจเสียงดนตรี ทําให้เกิดความหมายต่างกันไป นาวินี หลําประเสริฐและคณะ (2552 : 6) กล่าวถึง เสียงในภาษาไทย สรุปความได้ว่า การแบ่งประเภทของเสียงในภาษา นักภาษาศาสตร์นําลักษณะการเคลื่อนที่ของลมมาเป็น เกณฑ์แบ่งประเภทของเสียงในภาษา ซึ่งเสียงในภาษาไทย แบ่งได้ 3 ประเภท คือ เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และเสียงวรรณยุกต์ กาญจนา นาคสกุลและคณะ (2545 : 25) กล่าวถึง เสียงและหน่วยเสียงในภาษาไทย ไว้ว่า หน่วยเสียงที่ใช้ในภาษาไทย แบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ หน่วยเสียงสระ หน่วยเสียง พยัญชนะ และหน่วยเสียงวรรณยุกต์ สรุปความได้ว่า เสียงในภาษาไทย มี 3 ประเภท คือ เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และ เสียงวรรณยุกต์ โดยนําลักษณะการเคลื่อนที่ของลมขณะออกเสียงเป็นเกณฑ์ในการแบ่งประเภท ของเสียงในภาษาไทย 3.4 หน่วยเสียงสระ นาวินี หลําประเสริฐและคณะ (2552 : 6) กล่าวว่า เสียงสระเป็นเสียงที่มีความดัง หรือก้อง เพราะลมถูกบีบผ่านจากเส้นเสียงที่วางชิดกัน ก่อให้เกิดการสั่นสะบัดอย่างรุนแรง ลมดังกล่าวจะเคลื่อนผ่านอวัยวะในช่องปากโดยไม่ถูกสกัดกั้น เนื่องจากอวัยวะดังกล่าวจัดวางอยู่ ในตาแหน่งที่ทาให้โพรงปากมีลักษณะต่างกัน เสียงสระในภาษาไทย จึงมีความแตกต่างกันถึง 21 หน่วยเสียง โดยแบ่งเป็นหน่วยเสียงสระเดี่ยว 18 หน่วยเสียง และหน่วยเสียงสระประสม 3 หน่วยเสียง กาญจนา นาคสกุลและคณะ (2545 : 25) กล่าวว่า เสียงสระ คือ เสียงก้องซึ่งเปล่งออกมา โดยไม่ทําให้อวัยวะเหนือเส้นเสียงขึ้นไปสั่นสะบัด และลมที่ออกมานั้นออกมาทางปากโดย
27.
27 ไม่ถูกกักหรือถูกบีบจนเกิดเป็นเสียงเสียดแทรก เสียงสระในภาษาไทยมี 2
ประเภท คือ สระ เดี่ยว และสระประสม สระเดี่ยว คือ สระที่ออกเสียงโดยอวัยวะในช่องปากอยู่ในตําแหน่งเดียวตลอดเสียง เช่น เสียงสระในคําต่อไปนี้ สี เปล แค่ มือ เจอ นา ดู โต สระประสม คือ สระที่ออกเสียงโดยอวัยวะที่ใช้ออกเสียงอยู่ในตาแหน่งมากกว่า 1 ตําแหน่ง สรุปความได้ว่า หน่วยเสียงสระ คือ เสียงที่เปล่งออกมาจากปอด หลอดลม กล่องเสียง ผ่านลาคอ ช่องปาก ช่องจมูก โดยสะดวก ลมที่เปล่งออกมาจะไม่ถูกสกัดกั้นจากอวัยวะใด ๆ ในปาก แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงระดับของลิ้นและรูปริมฝีปาก ขณะที่ออกเสียง เส้นเสียงที่อยู่ ในกล่องเสียงจะปิดและเปิดอย่างรวดเร็ว เส้นเสียงจึงมีความสั่นสะเทือน เกิดความกังวาน ซึ่ง เรียกว่า เสียงก้อง เสียงสระจะออกเสียงได้ยาวนาน เช่น อา อี อู โอ เราเรียกเสียงนี้ว่า เสียงแท้ เสียงสระเป็นเสียงที่ช่วยให้พยัญชนะออกเสียงได้ เพราะเสียงพยัญชนะจะต้องอาศัยเสียงสระช่วย ในการออกเสียง เสียงสระในภาษาไทยมี 2 ประเภท คือ สระเดี่ยว 18 หน่วยเสียง และ สระประสม 3 หน่วยเสียง 3.4.1 หน่วยเสียงสระเดี่ยว หน่วยเสียงสระเดี่ยวในภาษาไทยมี 18 หน่วยเสียง มีตําแหน่งของลิ้นที่อยู่สูงสุด ระดับความสูงของลิ้น ความสั้นยาว และลักษณะ ของริมฝีปากดังต่อไปนี้ (กาญจนา นาคสกุลและคณะ , 2545 : 25 - 28) 1) หน่วยเสียงสระ อิ /i/ เป็นหน่วยเสียงสระหน้า สูง สั้น ริมฝีปากไม่ห่อ เช่น เสียงสระในคําว่า กิน ดิบ สิ่ง 2) หน่วยเสียงสระ อี /ii/ เป็นหน่วยเสียงสระหน้า สูง ยาว ริมฝีปาก ไม่ห่อ เช่น เสียงสระในคําว่า ฉีก ดี มีด 3) หน่วยเสียงสระ เอะ /e/ เป็นหน่วยเสียงสระหน้า กลาง สั้น ริมฝีปากไม่ห่อ เช่น เสียงสระในคําว่า เตะ เห็น เพ็ญ 4) หน่วยเสียงสระ เอ /ee/ เป็นหน่วยเสียงสระหน้า กลาง ยาว ริมฝีปากไม่ห่อ เช่น เสียงสระในคําว่า เลน เท เมล์ 5) หน่วยเสียงสระ แอะ /ε/ เป็นหน่วยเสียงสระหน้า ตํ่า สั้น ริมฝีปาก ไม่ห่อ เช่น เสียงสระในคําว่า แฉะ และ แนะ 6) หน่วยเสียงสระ แอ /εε/ เป็นหน่วยเสียงสระหน้า ตํ่า ยาว
28.
28 ริมฝีปากไม่ห่อ เช่น เสียงสระในคําว่า
แต่ แส้ แปล 7) หน่วยเสียงสระ อึ / / เป็นหน่วยเสียงสระกลางค่อนไปหลัง สูง สั้น ริมฝีปากไม่ห่อ เช่น เสียงสระในคําว่า ดึก จึง มึน 8) หน่วยเสียงสระ อื / / เป็นหน่วยเสียงสระกลางค่อนไปหลัง สูง ยาว ริมฝีปากไม่ห่อ เช่น เสียงสระในคําว่า ชื่อ สืบ ยืม 9) หน่วยเสียงสระ เออะ / / เป็นหน่วยเสียงสระกลางค่อนไปหลัง กลาง สั้น ริมฝีปากไม่ห่อ เช่น เสียงสระในคําว่า เยอะ เลอะ เปรอะ 10) หน่วยเสียงสระ เออ / / เป็นหน่วยเสียงสระกลางค่อนไปหลัง กลาง ยาว ริมฝีปากไม่ห่อ เช่น เสียงสระในคําว่า เธอ เขิน เกิน 11) หน่วยเสียงสระ อะ /a/ เป็นหน่วยเสียงสระกลาง ตํ่า สั้น ริมฝีปากไม่ห่อ เช่น เสียงสระในคําว่า ดัก พระ จะ 12) หน่วยเสียงสระ อา /aa/ เป็นหน่วยเสียงสระกลาง ตํ่า ยาว ริมฝีปากไม่ห่อ เช่น เสียงสระในคําว่า ปาง ยาม สาน 13) หน่วยเสียงสระ อุ /u/ เป็นหน่วยเสียงสระหลัง สูง สั้น ริมฝีปากห่อ เช่น เสียงสระในคําว่า ขุน จุด สุข 14) ) หน่วยเสียงสระ อู /uu/ เป็นหน่วยเสียงสระหลัง สูง ยาว ริมฝีปากห่อ เช่น เสียงสระในคําว่า ดูด จูบ รูป 15) หน่วยเสียงสระ โอะ /o/ เป็นหน่วยเสียงสระหลัง กลาง สั้น ริมฝีปากห่อ เช่น เสียงสระในคําว่า จด สน รก 16) หน่วยเสียงสระ โอ /oo/ เป็นหน่วยเสียงสระหลัง กลาง ยาว ริมฝีปากห่อ เช่น เสียงสระในคําว่า โต โสม โลก 17) หน่วยเสียงสระ เอาะ / / เป็นหน่วยเสียงสระหลัง ตํ่า สั้น ริมฝีปากห่อ เช่น เสียงสระในคําว่า เพราะ เงาะ เกาะ 18) หน่วยเสียงสระออ / / เป็นหน่วยเสียงสระหลัง ตํ่า ยาว ริมฝีปากห่อ เช่น เสียงสระในคําว่า ขอ สอง ตอน 3.4.1 หน่วยเสียงสระประสม นาวินี หลําประเสริฐและคณะ (2552 : 6) กล่าวถึง เสียงสระประสม สรุปความได้ว่า
29.
29 เกิดจากลมซึ่งเคลื่อนผ่านอวัยวะในช่องปากที่มีการเปลี่ยนหรือเลื่อนตําแหน่ง ขณะที่ออก เสียงลิ้นมีการเปลี่ยนระดับและริมฝีปากเปลี่ยนลักษณะ มีจํานวน
3 หน่วยเสียง เป็นสระเสียง ยาวทั้งหมด คือ เอีย /iia/ เอือ อัว /uua/ จินดา เฮงสมบูรณ์ (2542 : 88 - 89) กล่าวถึง เสียงสระประสม สรุปได้ดังนี้ สระประสม หรือ สระเลื่อนในภาษาไทย เป็นสระสองส่วนและเป็นสระเลื่อนลง บางท่านเรียกว่า สระประสมเสียงตก มี 5 เสียง คือ เอียะ เอีย เอือ อัวะ อัว แต่นักภาษาศาสตร์สรุปว่าเป็น หน่วยเสียงสระ 3 หน่วยเสียง คือ 1) หน่วยเสียง /iia/ มีเสียงย่อยเป็น เอียะ [ia] (สั้น) และเอีย [iia] (ยาว) 2) หน่วยเสียง มีเสียงย่อยเป็น เอือ [ ] ] เสียงเดียว 3) หน่วยเสียง /uua/ มีเสียงย่อยเป็นอัวะ [ua](สั้น)และ อัว [uua] (ยาว) และนิยมเขียน /ia/ หมายถึง หน่วยเสียงเอีย ยาว / / หมายถึง หน่วยเสียงเอือ ยาว และ /ua/ หมายถึง หน่วยเสียงอัว ยาว กาญจนา นาคสกุลและคณะ (2545 : 28-30) กล่าวว่า หน่วยเสียงสระประสมใน ภาษาไทยมี 3 หน่วยเสียง คือ 1) หน่วยเสียงสระประสม เอีย เป็นเสียงสระประสมสระ /ii/ กับ สระ /a/ เช่น เสียงสระในคําว่า เปีย เรียน เปียก เสีย เกี้ยะ เผียะ 2) หน่วยเสียงสระประสม เอือ เป็นเสียงสระประสมสระ / / กับ สระ /a/ เช่น เสียงสระในคําว่า เกลือ เมื่อ เชื่อ เหลือ 3) หน่วยเสียงสระประสม อัว เป็นเสียงสระประสมสระ /uu/ กับ สระ /a/ เช่น เสียงสระในคําว่า ตัว กลัว ดวง บวก นวล ผัวะ จั๊วะ เมื่อพิจารณาคําภาษาไทยจะพบว่าสระประสมเสียงสั้น เช่น เสียงสระ เอียะ [ia] เอือะ [ ] และ อัวะ [ua] มักเกิดในคําเลียนเสียง เช่น เผียะ เปรี๊ยะ เอือะ ชัวะ ผลัวะ หรือ ในคํายืมจากภาษาอื่น เช่น เจี๊ยะ ยัวะ ไม่มีคําปรกติในภาษาไทยแท้ๆ เลย สระประสมเสียงสั้น ไม่เคยปรากฏในคู่เทียบเสียงกับสระประสมเสียงยาว พยางค์ที่มีเสียงสระประสมในภาษาไทย จะออกเสียงเป็นสระเสียงสั้นหรือเสียงยาวก็มักจะคงอยู่คําเช่นนั้น และจะไม่สามารถหาคําอีกคํา หนึ่งที่มีสระประสมและเสียงอื่นๆ เหมือนกัน ต่างกันเพียงความสั้นยาวและมีความหมาย แตกต่างกันมาเทียบได้ เมื่อไม่มีคู่เทียบเสียงสระประสมเสียงสั้นกับสระประสมเสียงยาว จึงเป็น สิ่งยืนยันว่าสระประสมเสียงสั้นกับเสียงยาวในแต่ละคู่นั้นไม่ใช่หน่วยเสียงสระ 2 หน่วย
30.
30 หน่วยเสียงสระประสมในภาษาไทยจึงมีเพียง 3 หน่วย
แม้ว่าส่วนมากเสียงสระประสม จะปรากฏเป็นเสียงยาว แต่เมื่อไม่มีสระประสมเสียงสั้นปรากฏมากนัก จึงใช้รูปเสียงสั้นเป็น ตัวแทนหน่วยเสียงสระประสมในภาษาไทย 3 หน่วยเสียง คือ /ia/ / / และ /ua / (กาญจนา นาคสกุลและคณะ,2545 :30) สรุปว่า หน่วยเสียงสระประสมในภาษาไทย มี 3 หน่วยเสียง คือ 1) หน่วยเสียงสระประสม /ia/ เป็นหน่วยเสียงสระที่เริ่มต้นที่สระสูง หน้า ริมฝีปากไม่ห่อ แล้วเลื่อนไปยังตําแหน่งสระตํ่า กลาง ริมฝีปากไม่ห่อ ระยะเวลาเปล่ง เสียงยาว เช่น เสียงสระในคําว่า เรียน เสียง 2) หน่วยเสียงสระประสม / / เป็นหน่วยเสียงสระที่เริ่มต้นที่สระ สูง กลาง ริมฝีปากไม่ห่อ แล้วเลื่อนไปยังตําแหน่งสระตํ่า กลาง ริมฝีปากไม่ห่อ ระยะเวลาเปล่งเสียงยาว เช่น เสียงสระในคําว่า เรือ เมื่อ 3) หน่วยเสียงสระประสม /ua/ เป็นหน่วยเสียงสระที่เริ่มต้นที่สระ สูง หลัง ริมฝีปากห่อ แล้วเลื่อนไปยังตําแหน่งสระตํ่า กลาง ริมฝีปากไม่ห่อ ระยะเวลา เปล่งเสียงยาว เช่น เสียงสระในคําว่า ปวง ตัว 3.5 หน่วยเสียงพยัญชนะ เสียงพยัญชนะ คือ การที่ลมออกมาจากปอด ผ่านหลอดลม กล่องเสียง เส้นเสียง สู่ช่องปาก หรือช่องจมูก โดยใช้ลิ้นกล่อมเกลาเสียงให้กระทบกับเพดาน ปุ่มเหงือก ฟัน หรือ ให้ริมฝีปากกระทบกัน เสียงที่เกิดขึ้นจะถูกสกัดกั้นในลําคอ ช่องปากหรือช่องจมูก โดยอาจจะ ถูกสกัดกั้นไว้ทั้งหมดหรือถูกสกัดกั้นเพียงบางส่วน เสียงที่เกิดขึ้นลักษณะนี้เรียกว่า เสียงแปร เสียงพยัญชนะในภาษาไทย แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มตามลักษณะลมที่ทําให้เกิดเสียง หน่วยเสียง พยัญชนะสามารถใช้เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะต้นมี 21 หน่วยเสียง เสียงพยัญชนะควบกลํ้า 11 หน่วยเสียง และทําหน้าที่เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะท้าย 9 หน่วยเสียง (นาวินี หลําประเสริฐ และคณะ ,2552 :10) กาญจนา นาคสกุลและคณะ(2545 :30) กล่าวว่าเสียงพยัญชนะคือเสียงที่ต่างจากเสียงสระ หรือเสียงที่ไม่ใช่เสียงสระ เสียงพยัญชนะมีทั้งที่เป็นเสียงก้องและไม่ก้อง เสียงที่ออกทางปาก และทางจมูกเสียงที่ถูกลมกัก เสียงที่ลมถูกบีบให้เป็นเสียงเสียดแทรก เสียงที่ออกทางข้างลิ้น เสียงที่ลิ้นรัว และเสียงเลื่อน เสียงพยัญชนะจึงมีลักษณะต่างกันหลายแบบ หน่วยเสียงพยัญชนะ ในภาษาไทยมี 21 หน่วยเสียง
31.
31 เสนีย์ วิลาวรรณและคณะ (2542
:13) กล่าวถึง เสียงพยัญชนะ ไว้ว่า เสียงพยัญชนะ เกิดจากกระแสลมจากปอดผ่านเส้นเสียงเช่นเดียวกับเสียงสระ แต่กระแสลมไม่อาจเคลื่อนไป โดยสะดวกอย่างเสียงสระ ลมถูกสกัดกั้นชั่วครู่ไว้ทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน แล้วปล่อยให้ ออกไปทางปากหรือทางจมูก ขณะที่กระแสลมเคลื่อนผ่านเส้นเสียงซึ่งถ้าอยู่ในสภาพคลายตัว ตามปกติจะเกิดเสียงพยัญชนะไม่ก้องหรืออโฆษะ หากเส้นเสียงเกร็งตัวมีการสั่นสะบัดจะทําให้ เกิดเสียงพยัญชนะก้องหรือโฆษะ โดยทั่วไปเสียงพยัญชนะจะผ่านออกทางช่องปาก แต่มี พยัญชนะบางเสียงผ่านออกทางช่องจมูก เสียงพยัญชนะจําพวกนี้ เรียกว่า เสียงพยัญชนะนาสิก จินดา เฮงสมบูรณ์ (2542 : 64- 81) กล่าวถึงเสียงพยัญชนะในภาษาไทย สรุปความได้ ดังนี้ การศึกษาเรื่องเสียงพยัญชนะมีสิ่งสําคัญที่ต้องพิจารณา 3 ประการ คือ 1) การทํางานของเส้นเสียง มี 2 ลักษณะ คือเสียงก้องและเสียงไม่ก้อง 2) ฐานที่เกิดของเสียง มี 12 ฐาน คือ ริมฝีปาก ริมฝีปากและฟัน ฟัน ฟัน-ปุ่มเหงือก ปุ่มเหงือก ปลายลิ้น-เพดานแข็งด้านหน้า ปุ่มเหงือก-เพดานแข็ง เพดานแข็ง-ปุ่มเหงือก เพดานแข็ง เพดานอ่อน ลิ้นไก่ เส้นเสียง 3) ลักษณะการออกเสียงมี 8 ลักษณะ คือ เสียงกัก เสียงเสียดแทรก เสียงกักเสียดแทรก เสียงนาสิก เสียงข้างลิ้น เสียงรัว เสียงกระทบ เสียงเปิด สรุปได้ว่า หน่วยเสียงพยัญชนะ คือ เสียงที่กระแสลมออกมาจากปอด ผ่าน หลอดลม กล่องเสียง เส้นเสียง สู่ช่องปาก หรือช่องจมูก โดยใช้ลิ้นกล่อมเกลาเสียงให้ กระทบกับเพดาน ปุ่มเหงือก ฟัน หรือให้ริมฝีปากกระทบกัน เสียงที่เกิดขึ้นจะถูกสกัดกั้นใน ลําคอ ช่องปากหรือช่องจมูก โดยอาจจะถูกสกัดกั้นไว้ทั้งหมดหรือถูกสกัดกั้นเพียงบางส่วน เสียงที่เกิดขึ้นลักษณะนี้เรียกว่า เสียงแปร เสียงพยัญชนะในภาษาไทย แบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ตามลักษณะลมที่ทําให้เกิดเสียง หน่วยเสียงพยัญชนะสามารถใช้เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะต้นมี 21 หน่วยเสียง เสียงพยัญชนะควบกลํ้า 11 หน่วยเสียง และทําหน้าที่เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะ ท้าย 9 หน่วยเสียง ซึ่งมีลักษณะและคุณสมบัติของเสียงพยัญชนะมีลักษณะต่างๆ กันจาแนกดัง รายละเอียดต่อไปนี้ 1) อวัยวะทาให้เกิดเสียงพยัญชนะต่างกัน พยัญชนะเกิดจากลมที่ถูกดันออกมาจากปอดผ่านมาตามหลอดลม กระทบเส้นเสียงใน หลอดลม แล้วผ่านมาถึงลาคอ ลมที่ออกมานี้จะถูกกักกันไว้ในส่วนต่างๆ ของปากบางส่วนหรือ ถูกกักไว้ทั้งหมด แล้วจึงปล่อยลมนั้นออกมาทางปากหรือขึ้นจมูกก็ได้ ทาให้เรารู้สึกว่า การออกเสียงพยัญชนะไม่สะดวกเท่ากับการออกเสียงสระ จุดที่ลมถูกสกัดกั้นแล้วปล่อยให้ลม
32.
32 ออกมานั้นเป็นที่เกิดของเสียงพยัญชนะ เราเรียกว่า ที่เกิด
ที่ตั้ง หรือฐานกรณ์ พยัญชนะมีที่เกิด หลายแห่งดังนี้ 1.1) เส้นเสียง ใช้เส้นเสียงทั้งสองกักลม แล้วปล่อยออกมา เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะ /อ/ /ฮ/ 1.2) เพดานอ่อน ใช้ลิ้นกับเพดานอ่อนกักลมแล้วปล่อยออกมา จากลาคอเป็นหน่วยเสียงพยัญชนะ /ก/ /ค/ /ง/ /ว/ 1.3) ปุ่มเหงือก-เพดานแข็ง ใช้ลิ้นไปแตะปุ่มเหงือก-เพดานแข็ง กักลมแล้วปล่อยลมออกมาเป็นหน่วยเสียงพยัญชนะ /จ/ /ช/ 1.4) เพดานแข็ง ใช้ลิ้นไปแตะที่เพดานแข็งกักลมแล้วปล่อยลม ออกมากเป็นหน่วยเสียงพยัญชนะ /ย/ 1.5) ปุ่มเหงือก ใช้ลิ้นแตะที่ปุ่มเหงือกกักลมแล้วปล่อยออกมา เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะ /ซ/ /ด/ /น/ /ร/ /ล/ 1.6) ฟันบน-ปุ่มเหงือก ใช้ลิ้นไปแตะที่ฟันบน-ปุ่มเหงือกกัก ลม แล้วปล่อยออกมาเป็นหน่วยเสียงพยัญชนะ /ต/ /ท/ 1.7) ริมฝีปากล่างและฟันบน ใช้ริมฝีปากล่างกับฟันบนกักลม ไว้บางส่วนเกิดเป็นหน่วยเสียงพยัญชนะ /ฟ/ 1.8) ริมฝีปาก ใช้ริมฝีปากบนและริมฝีปากล่างกักลมแล้ว ปล่อยออกมาเป็นหน่วยเสียงพยัญชนะ /บ/ /ป/ /พ/ /ม/ /ว/ 2) คุณสมบัติและประเภทของเสียงพยัญชนะ 2.1) คุณสมบัติของเสียงพยัญชนะ แบ่งเป็น 4 ลักษณะดังนี้ 2.1.1) พยัญชนะเสียงก้อง(โฆษะ) คือ เสียงที่เกิดขึ้น จากการที่ลมถูกดันออกมากระทบเส้นเสียงอย่างแรง ทาให้เส้นเสียงสะบัดมาก เสียงที่เกิดขึ้นจะ มีลักษณะเสียงก้อง มี 9 เสียง คือ /บ/ /ด/ /น/ /ม/ /ง/ /ร/ /ล/ /ว/ /ย/ 2.1.2) พยัญชนะเสียงไม่ก้อง (อโฆษะ) คือ เสียงที่เกิด จากลมที่ถูกดันออกมาขณะที่เส้นเสียงอยู่ในลักษณะเปิดลมพุ่งออกมาโดยสะดวก ไม่สั่นสะเทือน แรงมากนัก จะมีลักษณะเสียงไม่ก้องมี 12 เสียง คือ /ก/ /ค/ /ป/ /พ/ /ต/ /ท/ /จ/ /ช/ /ฟ/ /ซ/ / ฮ/ /อ/ 2.1.3) พยัญชนะเสียงหนัก (ธนิต) คือ พยัญชนะเสียง ไม่ก้อง ขณะที่ออกเสียงมีลมจานวนหนึ่งพุ่งออกมาด้วย มี 4 เสียง คือ /พ/ /ท/ /ช/ /ค/
33.
33 2.1.4) พยัญชนะเสียงเบา (สิถิล)
คือ พยัญชนะที่ ขณะออกเสียงไม่มีกลุ่มลมพุ่งตามมา มี 4 เสียง คือ /ป/ /ต/ /จ/ /ก/ 2.2) ประเภทของเสียงพยัญชนะ สามารถแยกได้เป็น 6 ประเภท ดังนี้ 2.2.1) เสียงพยัญชนะระเบิด คือ พยัญชนะที่เกิดจาก ลมถูกกักไว้ในช่องปาก แล้วให้ลมพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว มี 11 เสียง คือ /ก/ /ค/ /จ/ /ช/ /ด/ /ต/ /ท/ /บ/ /ป/ /พ/ /อ/ 2.2.2) พยัญชนะเสียงเสียดแทรก คือ พยัญชนะที่เกิด จากลมที่พุ่งออกมา แล้วถูกบีบตัวให้เสียดแทรกออกมา คือ เสียง /ฟ/ /ซ/ /ฮ/ 2.2.3) พยัญชนะเสียงนาสิก คือ พยัญชนะที่เกิดจาก ลมดันออกมาทางจมูก คือ เสียง /ง/ /ม/ /น/ 2.2.4) พยัญชนะเสียงกระทบ คือ พยัญชนะที่เกิดจาก เสียงที่ลมผ่านออกมาแล้วกระทบลิ้นที่กระดกขึ้นไปแตะปุ่มเหงือกแล้วสะบัดลงอย่างรวดเร็ว เพียงครั้งเดียว ได้แก่ เสียง /ร/ 2.2.5) พยัญชนะข้างลิ้น คือ เสียงพยัญชนะที่เกิดจาก ลมที่ลิ้นกักเอาไว้ แล้วยกขึ้นไปแตะปุ่ มเหงือก ปล่อยให้ลมออกมาทางข้างลิ้น เรียกว่า พยัญชนะข้างลิ้น ได้แก่ เสียง /ล/ 2.2.6) พยัญชนะกึ่งสระ คือ เสียงพยัญชนะที่เกิดขึ้น จากลาคอและเปล่งเสียงออกมา โดยไม่ถูกสกัดกั้นคล้ายเสียงสระ ได้แก่ เสียง /ว/ /ย/ 3.5.1 เสียงพยัญชนะต้นเดี่ยว มี 21 หน่วยเสียง ดังนี้ 1) ป /p/ หน่วยเสียงพยัญชนะระเบิด ไม่ก้อง ไม่มีลม เกิดที่ริมฝีปาก เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า ปา ปี่ ปู เปีย ปอก 2) ต /t/ หน่วยเสียงพยัญชนะระเบิด ไม่ก้อง ไม่มีลม เกิดที่ฟันหรือ ฟันหรือฟัน-ปุ่มเหงือก เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า ตา ตอ ตง ตอง แต้ม 3) จ /c/ หน่วยเสียงพยัญชนะระเบิด ไม่ก้อง ไม่มีลม เกิดที่ เพดานแข็ง เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า จ่า จูง จาน จริง จอม จาก จิต 4) ก /k/ หน่วยเสียงพยัญชนะระเบิด ไม่ก้องไม่มีลม เกิดที่ เพดานอ่อน เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า กา แก่ ก้อง แก้ว ไก่ 5) อ /?/ หน่วยเสียงพยัญชนะระเบิด ไม่ก้อง ไม่มีลม เกิดที่
34.
34 ช่องระหว่างเส้นเสียง เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า
อา อู่ เอียง เอน อบ 6) พ /ph/ หน่วยเสียงพยัญชนะระเบิด ไม่ก้อง มีลม เกิดที่ริมฝีปาก เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า พา ไพ พูน ผึ้ง ผา ภู ภาพ 7) ท /th/ หน่วยเสียงพยัญชนะระเบิด ไม่ก้อง มีลม เกิดที่ฟันหรือ ฟัน-ปุ่มเหงือก เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า ทํา เทา ถั่ว ถู ธง เธอ ฐาน เฒ่า 8) ช /ch/ หน่วยเสียงพยัญชนะระเบิด ไม่ก้อง มีลม เกิดที่เพดานแข็ง เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า ฉัน ฉาย ชา ชาย ชง เฌอ 9) ค /kh/ หน่วยเสียงพยัญชนะระเบิด ไม่ก้อง มีลม เกิดที่เพดานอ่อน เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า คู คาน ขา ขับ ฆ่า ฆ้อง 10) บ /b/ หน่วยเสียงพยัญชนะระเบิด ก้อง มีลม เกิดที่ริมฝีปาก เช่น พยัญชนะหน่วยเสียงพยัญชนะระเบิด ก้อง มีลม เกิดที่บ้า ใบ บน บัว 11) ด /d/ หน่วยเสียงพยัญชนะระเบิด ก้อง มีลม เกิดที่ฟันหรือ ฟัน-ปุ่มเหงือก เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า ดู ดี ดวง โดม 12) ม /m/ หน่วยเสียงพยัญชนะนาสิก ก้อง เกิดที่ริมฝีปาก เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า มี แม่ มา 13) น /n/ หน่วยเสียงพยัญชนะนาสิก ก้อง เกิดที่ฟันหรือ ฟัน-ปุ่มเหงือก เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า นา น้อง เนื้อ เณร 14) ง / / หน่วยเสียงพยัญชนะนาสิก ก้อง เกิดที่เพดานอ่อน เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า งู งา เงิน งาม 15) ล /l/ หน่วยเสียงพยัญชนะข้างลิ้น ก้อง เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า ลา ลอง เลีย เลือน 16) ร /r/ หน่วยเสียงพยัญชนะกระทบ ก้อง เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า รา รู้ เรียน เรือ 17) ฟ /f/ หน่วยเสียงพยัญชนะเสียดแทรก ไม่ก้อง เกิดที่ริมฝีปากกับ ฟัน เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า ฟ้า ฟัน ฝน ฝาก 18) ซ /s/ หน่วยเสียงพยัญชนะเสียดแทรก ไม่ก้อง เกิดที่ฟัน เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า ซา ซาง ซื้อ ศรี สาม สร้าง ทรง ทราย 19) ฮ /h/ หน่วยเสียงพยัญชนะเสียดแทรก ไม่ก้อง เกิดที่ช่องระหว่าง เส้นเสียง เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า ฮูก เฮฮา หาว หวง แห่
35.
35 20) ว /w/
หน่วยเสียงพยัญชนะกึ่งสระ ก้อง เกิดที่ริมฝีปาก เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า วา ว่าง วัว แวว 21) ย /j/ หน่วยเสียงพยัญชนะกึ่งสระ ก้อง เกิดที่เพดานแข็ง เช่น พยัญชนะต้นในคําว่า ยา ยัก ญาติ 3.5.2 เสียงพยัญชนะควบกล้า กาญจนา นาคสกุลและคณะ ( 2545 : 33-35) กล่าวถึง พยัญชนะควบกล้า สรุปความ ได้ว่า พยัญชนะควบกล้า ในภาษาไทยมีหน่วยเสียงพยัญชนะที่สามารถออกเสียงควบกล้า คือ ออกเสียงพยัญชนะ 2 เสียง ติดต่อกันโดยไม่มีเสียงสระคั่นกลาง และปรากฏเป็นพยัญชนะต้น ของพยางค์ได้ 11 คู่ ดังนี้ 1) ปร /pr/ เช่น เสียงพยัญชนะต้นในคําว่า ปรง แปร ปรก ปรับปรุง 2) ปล /pl/ เช่น เสียงพยัญชนะต้นในคําว่า ปลา แปลก เปลี่ยนแปลง 3) ตร /tr/ เช่น เสียงพยัญชนะต้นในคําว่า ตรา ตรง ตรัง ไตร แตร 4) กล /kl/ เช่น เสียงพยัญชนะต้นในคําว่า กลาง กลวง กล้า ไกล 5) กร /kr/ เช่น เสียงพยัญชนะต้นในคําว่า กรง กรุง เกรียว กรับ กรู 6) กว /kw/ เช่น เสียงพยัญชนะต้นในคําว่า กวาง กวาด เกวียน ไกว 7) พล /phl/ เช่น เสียงพยัญชนะต้นในคําว่า พลาด พลิก ผลิ โผล่ 8) พร /phr/ เช่น เสียงพยัญชนะต้นในคําว่า พราน ไพร พฤกษ์ พริก 9) คล /khl/ เช่น เสียงพยัญชนะต้นในคําว่า คลาน เคลื่อน เขลา ขลาด 10) คร /khr/ เช่น เสียงพยัญชนะต้นในคําว่า ครอง ใคร่ ขริบ ขรึม 11) คว /khw/ เช่น เสียงพยัญชนะต้นในคําว่า ความ คว้า ขวาง ขวาน และมีคํายืมจากภาษาอังกฤษที่ใช้ในภาษาไทยหลายคําที่ทําให้มีการออกเสียงพยัญชนะ ควบกลํ้าเพิ่มขึ้นอีกหลายคู่ เช่น พยัญชนะต้นควบกลํ้า ดังต่อไปนี้ 1) บร /br/ เช่น เสียงพยัญชนะต้นในคําว่า เบรก บรอนซ์ 2) บล /bl/ เช่น เสียงพยัญชนะต้นในคําว่า เบลอ บล็อก 3) ดร /dr/ เช่น เสียงพยัญชนะต้นในคําว่า ดราฟต์ ไดร์ฟ 4) ทร /thr/ เช่น เสียงพยัญชนะต้นในคําว่า ทรัมเป็ต แทรกเตอร์ 5) ฟร /fr/ เช่น เสียงพยัญชนะต้นในคําว่า ฟรี เฟรนซ์ฟราย 6) ฟล /fl/ เช่น เสียงพยัญชนะต้นในคําว่า ฟลุค แฟลต 7) ซตร /str/ เช่น เสียงพยัญชนะต้นในคําว่า สตริง สไตร์ค
36.
36 คํายืมซึ่งมีเสียงพยัญชนะต้นเป็นเสียงควบกลํ้า ทร ทําให้คําภาษาสันสกฤตซึ่งเดิม ออกเป็นเสียง
/s/ บางคํามาออกเสียงควบกลํ้า /thr/ ด้วย เช่น นิทรา อินทรา จันทรา และมีคําอื่นออกเสียงควบกลํ้า /thr/ ด้วย คือ ภัทรา ทฤษฎี 3.5.3 เสียงพยัญชนะท้าย หน่วยเสียงพยัญชนะที่สามารถปรากฏตามหลังสระ เป็นพยัญชนะท้ายได้ มี 9 หน่วยเสียง ดังนี้ 1) ป /p/ เช่น เสียงพยัญชนะท้ายในคําว่า ดิบ ลาภ โลภ นพ บาป 2) ต /t/ เช่น เสียงพยัญชนะท้ายในคําว่า อาจ ราช นาฏ กรด นิตย์ รถ อิฐ วิทย์ ครุฑ พุธ ปราศ พิษ 3) ก /k/ เช่น เสียงพยัญชนะท้ายในคําว่า มาก สุข ปลุก นาค เมฆ 4) อ /?/ เช่น เสียงพยัญชนะท้ายในคําว่า ติ เตะ แฉะ ผุ ปุ ปะ ปริ 5) ม /m/ เช่น เสียงพยัญชนะท้ายในคําว่า ราม ริม คุม คราม ดํา นํา 6) น /n/ เช่น เสียงพยัญชนะท้ายในคําว่า วัน บิน ควร การ หาญ นิล วาฬ 7) ง / / เช่น เสียงพยัญชนะท้ายในคําว่ายัง คลัง ลุง ตรง จริง น้อง 8) ย / j / เช่น เสียงพยัญชนะท้ายในคําว่า นัย ขาย รวย วัย ไป ใจ 9) ว /w/ เช่น เสียงพยัญชนะท้ายในคําว่า ขาว หิว เร็ว แผ้ว เดา เป่า พยัญชนะท้าย / ? / เป็นเสียงที่ไม่มีรูปเขียนชัดเจนในหลักอักขรวิธีของไทย เสียงนี้ จะปรากฏในพยางค์ที่ประสมสระเสียงสั้น และออกเสียงเป็นพยางค์หนัก เช่น แฉะ แกะ ติ ปริ แต่หากคําหรือพยางค์ที่มีหน่วยเสียงสระเสียงสั้นอยู่ในตําแหน่งที่ออกเสียงเบา หรือกึ่งมาตรา ถือว่าไม่มีหน่วยเสียงพยัญชนะท้าย / ? / เช่น กะทิ ชนะ พยางค์ กะ และ ชะ เป็นพยางค์ ออกเสียงเบาถือว่าไม่มีหน่วยเสียงพยัญชนะท้าย / ? / แต่พยางค์ ทิ และ นะ ออกเสียงหนัก จึงมีหน่วยเสียงพยัญชนะ / ? / เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะท้าย (นาวินี หลําประเสริฐและคณะ, 2552 : 13) ปัจจุบันมีคํายืมจากภาษาอังกฤษหลายคํา ทําให้เกิดเสียงพยัญชนะท้ายเพิ่มขึ้น ใน ภาษาไทย เช่น เสียงพยัญชนะท้าย ซ ฟ ล ในคําต่อไปนี้ 1) ซ /s/ เช่น เสียงพยัญชนะท้ายในคําว่า แก๊ส ก๊าซ แจ๊ส รถบัส 2) ฟ /f/ เช่น เสียงพยัญชนะท้ายในคําว่า กอล์ฟ ปรู๊ฟ ออฟฟิศ 3) ล /l/ เช่น เสียงพยัญชนะท้ายในคําว่า บิล เจล คูล เพิร์ล แรลลี (กาญจนา นาคสกุลและคณะ, 2545 : 35)
37.
37 สรุปได้ว่า หน่วยเสียงพยัญชนะในภาษาไทย มี
21 หน่วยเสียง ปรากฏเป็นพยัญชนะต้น ได้ทุกหน่วยเสียง เป็นเสียงพยัญชนะควบกลํ้าในภาษาไทย 11 หน่วยเสียง เป็นเสียงพยัญชนะ ควบกลํ้าที่เป็นคํายืมจากภาษาอื่น 7 หน่วยเสียง เป็นเสียงพยัญชนะท้ายในภาษาไทย 9 หน่วยเสียง และเป็นเสียงพยัญชนะท้ายที่เป็นคํายืมในภาษาอื่น 3 หน่วยเสียง 3.6 หน่วยเสียงวรรณยุกต์ กาญจนา นาคสกุลและคณะ( 2545 : 36) กล่าวถึง หน่วยเสียงวรรณยุกต์ ไว้ว่า วรรณยุกต์ หมายถึง ระดับสูงตํ่าของเสียงที่ปรากฏในพยางค์หรือคํา หน่วยเสียงวรรณยุกต์ใน ภาษาไทยมี 5 หน่วยเสียง คือ เสียงสามัญ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี และเสียงจัตวา เสนีย์ วิลาวรรณ (2542 : 20) กล่าวว่า ภาษาไทยเป็นภาษาเสียงวรรณยุกต์ คือ คําทุก คําต้องมีระดับเสียงวรรณยุกต์อย่างใดอย่างหนึ่ง คําที่ประกอบด้วยเสียงพยัญชนะและเสียงสระ อย่างเดียวกัน เมื่อระดับเสียงวรรณยุกต์เปลี่ยนไปความหมายของคํานั้นๆ จะแตกต่างกันไป หรือไม่ก็กลายเป็นเสียงที่ไม่มีความหมายเลย วรรณยุกต์ เป็นระดับเสียงที่เป็นองค์ประกอบของพยางค์เช่นเดียวกับ พยัญชนะและ สระในภาษาที่มีเสียงวรรณยุกต์ คําจะเปลี่ยนความหมายหากระดับเสียงของพยางค์เปลี่ยนไป เสียงวรรณยุกต์จะปรากฏร่วมกับเสียงก้องทุกเสียง ระดับเสียงสูงตํ่าของวรรณยุกต์และ ทํานองเสียงจะขึ้นอยู่กับความถี่ในการสั่นสะเทือนของเส้นเสียง ถ้าเส้นเสียงมีความถี่ ในการสั่นสะเทือนสูง เสียงจะอยู่ในระดับสูง ถ้าความถี่ตํ่าเสียงก็จะอยู่ในระดับตํ่า (จินดา เฮงสมบูรณ์ , 2542 : 91) นาวินี หลําประเสริฐ (2552 : 14) กล่าวว่า เสียงวรรณยุกต์เป็นเสียงสูงตํ่า เกิดจาก การสั่นสะเทือนของเส้นเสียงในอัตราต่างๆ กันขณะที่ออกเสียงสระ เสียงวรรณยุกต์จึงมีลักษณะ พิเศษ คือ ต้องเกิดขึ้นร่วมหรือซ้อนกับเสียงสระเสมอ ภาษาไทยถือว่าเสียงวรรณยุกต์เป็น ลักษณะสําคัญในภาษาไทย เพราะเมื่อเปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์ในพยางค์หรือคํา ความหมายของ คําก็จะเปลี่ยนไปด้วย หน่วยเสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมี 5 หน่วยเสียง สรุปความได้ว่า เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงที่มีทํานองสูง ตํ่า เหมือนเสียงดนตรี เราจะ ได้ยินเสียงวรรณยุกต์ขณะที่เราออกเสียงพยัญชนะ หรือออกเสียงสระ เสียงวรรณยุกต์ขณะ ออกเสียงจะใช้ลิ้นกล่อมเกลาเสียง ให้เกิดเป็นเสียงสูงตํ่า บางเสียงอยู่ระหว่างเสียงสูงกับเสียงตํ่า บางทีก็เป็นเสียงตํ่าแล้วค่อย ๆ เลื่อนไปสู่เสียงสูง เราเรียกเสียงสูงตํ่าเหมือนเสียงดนตรีนี้ว่า เสียงวรรณยุกต์ หรือ เสียงดนตรี เสียงวรรณยุกต์มี 5 เสียง คือ เสียงสามัญ เสียงเอก เสียงโท
38.
38 เสียงตรี และเสียงจัตวา เสียงวรรณยุกต์มีความสําคัญมาก
เพราะเสียงที่มีระดับเสียงตํ่าสูง ต่างกัน ทําให้ความหมายของคําเปลี่ยนไป 3.6.1 ลักษณะของเสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทย จินดา เฮงสมบูรณ์ (2542:92-93) กล่าวถึง ประเภทของเสียงวรรณยุกต์ไว้ดังต่อไปนี้ เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมี 2 ประเภท คือ เสียงวรรณยุกต์ระดับ และเสียงวรรณยุกต์เปลี่ยน ระดับ มีรายละเอียดต่อไปนี้ 1) วรรณยุกต์เสียงระดับ เป็นเสียงที่มีความถี่ค่อนข้างคงที่ตลอด ต้นพยางค์จะมีลักษณะเสียงสูงกว่าปลายพยางค์เล็กน้อย เสียงวรรณยุกต์ระดับในภาษาไทย มี 3 เสียง ได้แก่ 1.1) เสียงวรรณยุกต์ กลาง-ระดับ / /คือ เสียงวรรณยุกต์สามัญ เสียงวรรณยุกต์นี้ เริ่มออกเสียงในระดับปานกลางประมาณ 120 Hz. และมีระดับคงที่ตลอดไป แล้วค่อยๆ ลดระดับตํ่าลงเล็กน้อยเมื่อใกล้จบพยางค์ประมาณ 118 Hz. เช่น เสียงวรรณยุกต์ ในคําว่า กา นอน ใน 1.2) เสียงวรรณยุกต์ ต่า-ระดับ /`/ คือ เสียงวรรณยุกต์เอก เสียงวรรณยุกต์เอก เริ่มออกเสียงในระดับระดับต่ากว่าเสียงสามัญเล็กน้อยประมาณ 118 Hz. แล้วค่อยๆ ลดระดับตํ่าลงเล็กน้อยเมื่อใกล้จบพยางค์ประมาณ 110 Hz. เช่น เสียงวรรณยุกต์ ในคําว่า ป่า ขัด อาบ อย่า 1.3) เสียงวรรณยุกต์ สูง-ระดับ /´/ คือ เสียงวรรณยุกต์ตรี เสียงวรรณยุกต์ตรี เริ่มออกเสียงในระดับสูงกว่าเสียงสามัญเล็กน้อยประมาณ 125 Hz. แล้ว ค่อยๆ สูงขึ้นประมาณ 135-140 Hz. จนกระทั่งใกล้จบพยางค์เสียงจึงลดต่าลงเล็กน้อย เช่น เสียงวรรณยุกต์ในคําว่า ก๊าซ น้า โต๊ะ คับ 2) วรรณยุกต์เสียงเปลี่ยนระดับ หรือวรรณยุกต์เสียงเลื่อน เป็นเสียง วรรณยุกต์ที่มีความถี่เปลี่ยนแปลงมากระหว่างต้นพยางค์และท้ายพยางค์ ในภาษาไทยมี 2 เสียง คือ 2.1) เสียงวรรณยุกต์ สูง-ตก /ˆ/ คือ เสียงวรรณยุกต์โท
39.
39 เสียงวรรณยุกต์โท เริ่มต้นออกเสียงในระดับสูงประมาณ 140
Hz. เสียงจะสูงขึ้นเล็กน้อย แล้วลดต่าลงอย่างรวดเร็วจนถึงระดับต่าสุดเมื่อจบพยางค์ประมาณ 100 Hz. เช่น เสียง วรรณยุกต์ในคําว่า ป้ า ข้าง ค่า นาค ชาติ แก้ว 2.2) เสียงวรรณยุกต์ ต่า-ขึ้น /ˇ/คือ เสียงวรรณยุกต์จัตวา เสียงวรรณยุกต์จัตวา เริ่มต้นออกเสียงในระดับประมาณ 110 Hz. เสียงจะลดระดับลงเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนเป็นสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และสูงสุดเมื่อจบพยางค์ประมาณ 140 Hz. เช่น เสียง วรรณยุกต์ในคําว่า หนู เห็น เขา สูง ไหม ลักษณะของเสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยเขียนเป็นเค้าโครงได้ดังภาพที่ 3 ภาพที่ 2 แสดงระดับเสียงวรรณยุกต์ ความถี่เสียง (Hz) ความยาวของเสียงหนึ่งช่วงพยางค์ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 3.6.2 ความสาคัญของเสียงวรรณยุกต์ เสียงวรรณยุกต์เป็นตัวกาหนดความหมายของคาให้มีความแตกต่างกัน และช่วยให้ สาเนียงการพูดมีระดับเสียงสูงต่าเกิดความไพเราะ ความถี่ของเสียงเป็นHz.
40.
40 3.6.3 ข้อสังเกตเกี่ยวกับวรรณยุกต์ 1) คาไทยทุกคาต้องมีเสียงวรรณยุกต์
คาที่ใช้ในภาษาไทย มีทั้งคา ที่มีและไม่มีรูปวรรณยุกต์กากับ แต่ทุกคาจะต้องมีเสียงวรรณยุกต์ ซึ่งเสียงวรรณยุกต์อาจไม่ตรง กับรูปวรรณยุกต์ที่กากับอยู่ก็ได้ 1.1) คาที่มีรูปวรรณยุกต์และเสียงตรงกับรูปวรรณยุกต์ เช่น - คาว่า “ การ” ไม่มีรูปวรรณยุกต์ เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงสามัญ - คาว่า “ สิ่ง” มีรูปวรรณยุกต์เอก เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงเอก - คาว่า “ห้าม” มีรูปวรรณยุกต์โท เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงโท - คาว่า “โต๊ะ” มีรูปวรรณยุกต์ตรี เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงตรี - คาว่า “ป๋ า” มีรูปวรรณยุกต์จัตวา เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงจัตวา 1.2) คาที่ออกเสียงวรรณยุกต์ไม่ตรงกับรูปวรรณยุกต์ เช่น - คาว่า “แพร่ น่า เที่ยว” มีรูปวรรณยุกต์เอก แต่ออกเสียงเป็นวรรณยุกต์โท - คาว่า “น้า ค้า ไม้” มีรูปวรรณยุกต์โท แต่ออกเสียงเป็นวรรณยุกต์ตรี 1.3) คาในภาษาไทยทุกคาจะมีเสียงวรรณยุกต์ทั้งหมด แม้ว่า คานั้นจะไม่มีรูปวรรณยุกต์ก็ตาม เช่น - คาว่า “ ยาย” ไม่มีรูปวรรณยุกต์ เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงสามัญ - คาว่า “ปัด” ไม่มีรูปวรรณยุกต์ เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงเอก - คาว่า “นาค” ไม่มีรูปวรรณยุกต์ เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงโท - คาว่า “คิด” ไม่มีรูปวรรณยุกต์ เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงตรี - คาว่า “สาย” ไม่มีรูปวรรณยุกต์ เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงจัตวา 2) คาที่ประสมด้วยสระเสียงยาว เมื่อเติมวรรณยุกต์แล้ว อาจจะออก เสียงสั้น หรืออาจจะคงเสียงยาวตามเดิมก็ได้ 2.1) เติมรูปวรรณยุกต์แล้วออกเสียงสั้น เช่น เดน - เด่น, เลน - เล่น 2.2)เติมรูปวรรณยุกต์แล้วยังคงออกเสียงยาวตามเดิม เช่น หาม - ห้าม, ดวง - ด้วง 3.7 การประกอบเสียงเป็นพยางค์และคาในภาษาไทย กาญจนา นาคสกุลและคณะ( 2545 : 36) กล่าวถึง พยางค์และคําในภาษาไทย สรุปความ ได้ว่า พยางค์ คือ กลุ่มเสียงที่เปล่งออกมาครั้งหนึ่งๆ อาจมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้
41.
41 พยางค์จะมีเสียงที่ดังเด่นอยู่ 1 เสียง
เสียงที่ดังเด่นนั้นมักจะเป็นเสียงสระ ลักษณะการประกอบ เสียงเข้าเป็นพยางค์และคําในภาษาไทยมีสิ่งที่น่าสังเกต คือ พยางค์เป็นหน่วยสําคัญ ในการออกเสียง คําอาจมีพยางค์เดียว สองพยางค์ หรือหลายพยางค์ การออกเสียงในภาษาไทยมีการลงนํ้าหนักพยางค์และคําตามลักษณะของพยางค์ ความหมายของคํา และจังหวะเสียง โดยทั่วไปพยางค์ที่อยู่หน้าพยางค์หนักมักเป็นพยางค์เบา หรือพยางค์ลดนํ้าหนัก พยางค์ที่ปรากฏท้ายประโยค ท้ายวลี ท้ายคําจะลงเสียงหนัก การออกเสียงคําส่วนใหญ่จึงมักออกเสียงพยางค์หนักที่มีพยางค์เบาคั่นตามจังหวะ ของเสียงและความหมายของคํา 3.7.1 ลักษณะพยางค์ในภาษาไทย กาญจนา นาคสกุลและคณะ( 2545 : 37-41) กล่าวถึง ลักษณะพยางค์ในภาษาไทยว่ามี ลักษณะที่สําคัญและน่าสังเกตดังต่อไปนี้ พยางค์ในภาษาไทย มี 4 แบบ คือ 1) พยางค์หนัก เป็นพยางค์ที่ออกเสียงได้โดยลําพัง เป็นพยางค์ที่ สมบูรณ์ มี 5 แบบ คือ 1.1) พยางค์ซึ่งประกอบด้วยพยัญชนะต้นเดี่ยว (ใช้สัญลักษณ์ พ) หรือควบกลํ้า (ใช้สัญลักษณ์ พพ) สระเสียงยาวหรือสระประสม (ใช้สัญลักษณ์ สส) มีเสียงวรรณยุกต์สามัญ (0 ) เอก (1 ) โท (2 ) ตรี (3 ) หรือจัตวา (4 ) พยางค์แบบที่ 1.1) มีองค์ประกอบ ดังนี้ พสส0 – 4 และ พพสส0 – 4 ตัวอย่างพยางค์แบบ พสส0 – 4 แบบ พสส0 เช่น เก ดู ตี มา เรือ แบบ พสส1 เช่น แต่ สี่ อย่า โหว่ ปู่ แบบ พสส2 เช่น พี่ คู่ ป้ า หน้า หญ้า แบบ พสส3 เช่น เก๊ ชู้ ล้า เนื้อ รั้ว แบบ พสส4 เช่น ขา โถ แห เหลือ เสีย ตัวอย่างพยางค์แบบ พพสส0 – 4 แบบ พพสส0 เช่น ปลา พรู กรอ กลัว เคลีย แบบ พพสส1 เช่น กว่า ปร่า โผล่ เกลี่ย เตร่ แบบ พพสส2 เช่น กล้า แคร่ ครู่ เพรื่อ พลั่ว แบบ พพสส3 เช่น คว้า พร้า โพล้เพล้ เพลี้ย
42.
42 แบบ พพสส4 เช่น ขวา
ขรัว ปร๋อ ปรื๋อ 1.2)พยางค์ซึ่งประกอบด้วยพยัญชนะต้นเดี่ยวหรือควบกลํ้า (พ หรือพพ) สระเสียงสั้น (ส) มีพยัญชนะท้ายเป็นเสียงนาสิกหรือพยัญชนะกึ่งสระ (น) มีเสียง วรรณยุกต์สามัญ (0 ) เอก (1 ) โท (2 ) ตรี (3 ) หรือจัตวา (4 ) พยางค์แบบที่ 1.2) มีองค์ประกอบ ดังนี้ พสน0 – 4 และ พพสน0 – 4 ตัวอย่างพยางค์แบบ พสน0 – 4 แบบ พสน0 เช่น วัน ยิง ดม คํา ไป เยา แบบ พสน1 เช่น ปิ่น หล่ม เหล่า ตุ่ม ไข่ แบบ พสน2 เช่น ปั้น คํ่า พึ่ง ห้อย ไข้ เล่า แบบ พสน3 เช่น ชั้น ชํ้า ล้ม รุ้ง เค้า แบบ พสน4 เช่น หัน หิว ขํา ผม หลัง ตัวอย่างพยางค์แบบ พพสน0 – 4 แบบ พพสน0 เช่น กรุง ตรง ปลิว ควัน ใคร แบบ พพสน1 เช่น ปล่อง แกร่ว กร่อย กรุ่น กล่อม แบบ พพสน2 เช่น กลุ้ม พร่อง ปล้อน ควํ่า ใกล้ แบบ พพสน3 เช่น พริ้ม ครั้ง ครั้น คลุ้ง เคล้า แบบ พพสน4 เช่น ขวัญ ขลัง เขลา ขรึม 1.3)พยางค์ซึ่งประกอบด้วยพยัญชนะต้นเดี่ยวหรือควบกลํ้า (พ หรือ พพ) สระเสียงสั้น (ส) มีพยัญชนะท้ายเป็นเสียงกัก (ก) มีเสียงวรรณยุกต์ เอก (1 ) หรือ ตรี (3 ) พยางค์แบบที่ 1.3) มีองค์ประกอบ ดังนี้ พสก1,3 และ พพสก1,3 ตัวอย่างพยางค์แบบ พสก1,3 และ พพสก1,3 แบบ พสก1 เช่น กัด กับ แปะ จุก ผุ ดิบ แบบ พสก3 เช่น รัก คิด ซุก ริ เละ แวะ ละ แบบ พพสก1 เช่น ปลิด ผลัก ผลัด ขริบ ปรุ แบบ พพสก3 เช่น พริก พลบ ควัก คลุก ครบ 1.4)พยางค์ซึ่งประกอบด้วยพยัญชนะต้นเดี่ยวหรือควบกลํ้า (พ หรือ พพ) สระเสียงยาวหรือสระประสม (สส) มีพยัญชนะท้ายเป็นเสียงพยัญชนะนาสิกหรือ พยัญชนะกึ่งสระ (น) มีเสียงวรรณยุกต์สามัญ (0 ) เอก (1 ) โท (2 ) ตรี (3 ) หรือจัตวา (4 )
43.
43 พยางค์แบบที่ 1.4) มีองค์ประกอบ
ดังนี้ พสสน0 – 4 และ พพสสน0 – 4 ตัวอย่างพยางค์แบบ พสสน0 – 4 แบบ พสสน0 เช่น ตาม พูน ลาง เดน ปูม รวย เกียง แบบ พสสน1 เช่น ป่าม ห่าม ขื่น บ่วง เหวี่ยง เปื่อย แบบ พสสน2 เช่น ล่าง ด้าน อ้อม เลี่ยง ช่วง เลื่อย แบบ พสสน3 เช่น ร้าง ท้วม แค้น ล้วน ย้วย เลี้ยว เลื้อย แบบ พสสน4 เช่น หวาน แหลม ถอง หาย เขียว หวย ตัวอย่างพยางค์แบบ พพสสน0 – 4 แบบ พพสสน0 เช่น ครอง พรวน ปราม คราง พราย เพรียว แบบ พพสสน1 เช่น กร่าง โปร่ง เปลี่ยว เกลื่อน เปรื่อง แบบ พพสสน2 เช่น กว้าง พล่าน พล่าม กล้าย เปรี้ยว แบบ พพสสน3 เช่น คล้อง คว้าง แคว้น เคลิ้ม พร้อย พร้าว แบบ พพสสน4 เช่น ขวาง ขวาน ผลาญ แขวง โขลง เขลง 1.5)พยางค์ซึ่งประกอบด้วยพยัญชนะต้นเดี่ยวหรือควบกลํ้า (พ หรือ พพ) สระเสียงยาวหรือสระประสม (สส) มีพยัญชนะท้ายเป็นเสียงพยัญชนะกัก (ก) มีเสียงวรรณยุกต์ เอก (1 ) หรือโท (2 ) พยางค์แบบที่ 1.5) จึงมีองค์ประกอบ ดังนี้ พสสก1,2 และ พพสสก1,2 ตัวอย่างพยางค์แบบ พสสก1,2 และ พพสสก1,2 แบบ พสสก1 เช่น กาก แจก บวบ เฉียด ปวด เหยียด เหยือก แบบ พสสก2 เช่น ยาก เลข รวบ นวด ลวด เทียบ เลือก แบบ พพสสก1 เช่น กราบ ขลาด เปรียบ ปลวก เกลียด เกลือก แบบ พพสสก2 เช่น ครูด พลาด พราก ครอบ เครียด เพรียก 2) พยางค์เบา เป็นพยางค์ที่ออกเสียงไม่ลงนํ้าหนักและตามปรกติไม่ ออกเสียงตามลําพัง ต้องมีพยางค์หนักมารับข้างหลัง พยางค์เบาประกอบด้วย พยัญชนะต้นเดี่ยว หรือควบกลํ้า (พ หรือ พพ) สระเสียงสั้น (ส) วรรณยุกต์มักจะเป็นเสียงสามัญ (0 ) จึงมีโครงสร้าง แบบ พส0 หรือ พพส0 เช่น พยางค์หน้าในคําสองพยางค์ ต่อไปนี้ กะทิ กระทะ ขจร ชะมด ชะรอย ตะโพก ตลบ ถวาย ถนน ทยอย พนม มะนาว มะม่วง สบาย ละลาย ระรื่น ละเอียด และคําที่ยืมจากภาษาบาลีสันสกฤต มีพยางค์มีพยางค์เบาที่อาจมีเสียงวรรณยุกต์เอก หรือ ตรี (พส1 หรือ พส3 ) เช่น พยางค์หน้าในคําต่อไปนี้ สุภาพ ดิถี เสน่ห์ วิชา วจี ฤดู
44.
44 พยางค์เบาจะปรากฏเป็นพยางค์หน้าในคําสองพยางค์และจะมีพยางค์หนักมาต่อท้าย เสมอ ในคําหลายพยางค์ พยางค์เบาอาจปรากฏในตําแหน่งใดๆ
ก็ได้ แต่ไม่ปรากฏในตําแหน่ง สุดท้าย เช่น พยางค์หน้าของคําสามพยางค์ต่อไปนี้ อนุญาต สวัสดี สโมสร สมาคม ประชากร มติชน วจีกรรม มโนกรรม ในคําสามพยางค์ต่อไปนี้ พยางค์เบาอยู่ระหว่างพยางค์หนัก 2 พยางค์ ราชการ วรรณยุกต์ สรรพคุณ ศักราช วัฒนา ศักดินา 3) พยางค์ลดนํ้าหนัก เป็นพยางค์ที่มีส่วนประกอบเช่นเดียวกับ พยางค์หนัก แต่เมื่อปรากฏในตําแหน่งที่มีพยางค์ลงเสียงหนักมาต่อท้าย พยางค์หนักนั้นอาจ กลายเสียงเป็นพยางค์ลดนํ้าหนัก ซึ่งจะออกเสียงเบาและเสียงที่ประกอบกันเป็นพยางค์นั้นอาจ แปรเปลี่ยนไป เช่น พยางค์ที่ขีดเส้นใต้ในข้อความต่อไปนี้ เธอทําอย่างนี้ได้อย่างไร อาจแปรเลี่ยนเป็น เธอทํายังงี้ได้ยังไง ฉันชอบรองเท้าคู่นี้มากกว่าคู่นั้น อาจแปรเลี่ยนเป็น ชั้นชอบร็องเท้าคู่นี้มากกว่ะคู่นั้น 4) พยางค์เน้นหนัก เป็นพยางค์ที่ผู้พูดต้องการเน้นเสียงบางพยางค์ อย่างจงใจ เช่น เมื่อต้องการโต้แย้ง ต้องการแสดงข้อเปรียบเทียบ หรือต้องการให้เกิดความ สนใจคําหรือพยางค์นั้นเป็นพิเศษ การออกเสียงพยางค์เน้นหนักจะออกเสียงด้วยอาการที่ตั้งใจ อวัยวะที่ใช้ในการออกเสียงจะเกร็งตัวและทําหน้าที่อย่างแข็งขัน เช่น พยางค์ที่ขีดเส้นใต้ใน ข้อความต่อไปนี้ ฉันขอดินสอแดงไม่ใช่ดินสอดํา ฉันบอกให้เธอทําเดี๋ยวนี้ (กาญจนา นาคสกุลและคณะ , 2545 : 37-41) สรุปว่า การประกอบเสียงเป็นพยางค์และคาในภาษาไทย มีลักษณะที่ควรสังเกตใน ประเด็นต่อไปนี้ คือ พยางค์ และคา พยางค์ คือ เสียงที่เปล่งออกมาครั้งหนึ่งๆ ซึ่งมีเสียงพยัญชนะต้น เสียงสระ เสียง วรรณยุกต์และบางพยางค์อาจจะมีเสียงพยัญชนะท้าย พยางค์อาจจะเป็นคาก็ได้ถ้าพยางค์นั้นมี ความหมาย ดังตัวอย่างต่อไปนี้ กิน เป็น 1 พยางค์ 1 คา สามี เป็น 2 พยางค์ 1 คา นาฬิกา เป็น 3 พยางค์ 1 คา พยางค์ในภาษาไทยมีองค์ประกอบสาคัญอย่างน้อย 3 ส่วน คือ
45.
45 1) เสียงพยัญชนะต้น ได้แก่
เสียงพยัญชนะที่เปล่งออกมาก่อนเสียงอื่น พยัญชนะต้นอาจเป็นพยัญชนะต้นเดี่ยว หรือพยัญชนะต้นควบ เช่น ก้าง กับ กว้าง พราน หนา 2) เสียงสระ ได้แก่ เสียงที่ออกตามเสียงพยัญชนะอย่างรวดเร็ว ทาให้ พยัญชนะต้นออกเสียงได้ชัดเจน เสียงสระอาจเป็นสระเดี่ยว หรือสระประสมเสียงใดเสียงหนึ่ง 3) เสียงวรรณยุกต์ ได้แก่เสียงสูงต่าที่เปล่งออกมาพร้อมๆ กับเสียงสระ 4) เสียงพยัญชนะท้ายหรือเสียงตัวสะกด ซึ่ง องค์ประกอบนี้บางพยางค์ อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ พยางค์ที่ไม่มีพยัญชนะท้าย เรียกว่า พยางค์เปิด พยางค์ที่มีพยัญชนะ ท้าย เรียกว่า พยางค์ปิด คา คือ พยางค์ที่มีความหมาย คาอาจมีพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ก็ได้ เช่น คาพยางค์เดียว เช่น ลุง ป้ า น้า พ่อ แม่ พี่ น้อง กิน นั่ง นอน เดิน คาหลายพยางค์ เช่น บิดา มารยาท ศีรษะ นาฬิกา สบาย ทะเล คามีองค์ประกอบเพิ่มจากพยางค์ คือ คาทุกคาต้องมีความหมาย 1) เสียงพยัญชนะต้น 2) เสียงสระ 3) เสียงวรรณยุกต์ 4) เสียงพยัญชนะท้าย หรือเสียงตัวสะกด ซึ่งอาจจะมีหรือไม่มีก็ แล้วแต่คา 5) ความหมาย ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สาคัญของคาที่ต้องมีทุกคา สรุปว่า เสียงในภาษาไทย มี 3 ชนิด คือ เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และเสียงวรรณยุกต์ เสียงสระ มี 21 หน่วยเสียง ประกอบด้วยเสียงสระเดี่ยว 18 หน่วยเสียง เสียงสระประสม 3 หน่วยเสียง เสียงพยัญชนะ 21 หน่วยเสียง เป็นพยัญชนะต้นเดี่ยวได้ทั้ง 21 หน่วยเสียง ปรากฏ เป็นพยัญชนะควบกล้าต้นพยางค์ในภาษาไทยได้ 11 หน่วยเสียง และปรากฏในคายืมภาษาอื่น ที่ใช้ในภาษาไทยอีก 7 หน่วยเสียง ปรากฏเป็นเสียงพยัญชนะท้าย 9 หน่วยเสียง เสียงวรรณยุกต์ 5 หน่วยเสียง แบ่งเป็น วรรณยุกต์ระดับ 3 หน่วยเสียง คือ วรรณยุกต์สามัญ วรรณยุกต์เอก วรรณยุกต์ตรี วรรณยุกต์เปลี่ยนระดับ 2 หน่วยเสียง คือ วรรณยุกต์โท และวรรณยุกต์จัตวา
46.
46 เสียงในภาษาไทยทั้ง 3 ชนิด
ประกอบกันเป็นพยางค์ พยางค์ในภาษาไทยมี 4 แบบ คือ พยางค์หนักมี 5 แบบ พยางค์เบา พยางค์ลดน้าหนัก และพยางค์เน้นหนัก พยางค์ที่มี ความหมายจะเป็นคา คาอาจมีพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ก็ได้ 4. แนวคิด ทฤษฎีและหลักการเกี่ยวกับชุดการเรียน (Instructional Packages) 4.1 ความหมายของชุดการเรียน ชุดการเรียนหรือชุดการสอน มีการให้ความหมายและรายละเอียดไว้หลายที่ เช่น ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2521 : 191) ให้ความหมาย ชุดการสอน ไว้ว่า การนาระบบสื่อ ประสม ที่สอดคล้องกับเนื้อหาและประสบการณ์ของแต่ละหน่วย มาช่วยให้การเปลี่ยน พฤติกรรม การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ชุดการสอนนิยมจัดไว้ในกล่องหรือ ซองเป็นหมวดๆ ภายในชุดการสอนจะประกอบด้วย คู่มือการใช้ชุดการสอน สื่อการสอนที่ สอดคล้องกับเนื้อหาและประสบการณ์ อาทิ รูปภาพ สไลด์ เทป ภาพยนตร์ขนาด 8 ม.ม. แผ่นคา บรรยาย วัสดุอุปกรณ์ การสาธิต (หากมี) ฯลฯและการมอบหมายงานเพื่อให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ กว้างขวางขึ้น สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2547 : 1) ชุดการสอนหรือบางครั้งเรียกชุดการเรียน เป็นสื่อ ประเภทหนึ่งซึ่งมีจุดมุ่งหมายเฉพาะเรื่องที่จะสอนเท่านั้น ชุดการสอนจึงเป็นนวัตกรรมการใช้สื่อ การสอนแบบประสมโดยอาศัยระบบบูรณาการสื่อหลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน เพื่อเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมของผู้เรียนในหน่วยการเรียนนั้น ๆ นั่นคือชุดการสอนชุดหนึ่ง ๆ จะมีระบบการใช้สื่อ การสอนแบบประสมเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามเป้ าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2545 : 36) ได้กล่าวไว้ว่า ชุดการเรียนการสอน ประกอบด้วย สื่อหลายๆ ชนิด จัดรวมไว้เป็นชุด เช่น คู่มือแนะนําการใช้ชุดการเรียนการสอน หนังสือเรียน หนังสืออ้างอิง ใบงาน แบบฝึก/แบบกิจกรรม สรุปได้ว่า ชุดการเรียนคือ สื่อนวัตกรรมการเรียนการสอนที่สร้างขึ้น ใช้จัดกิจกรรม การเรียนการสอน เพื่อเปลี่ยนแปลง ส่งเสริมพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ โดยผู้เรียนได้ลงมือ ปฏิบัติกิจกรรม หรือแสวงหาองค์ความรู้ด้วยตนเอง 4.2 ประเภทของชุดการเรียน กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2544 : 104 - 107)ได้ให้รายละเอียดของชุดการเรียน ไว้ดังต่อไปนี้
47.
47 ชุดการเรียนเป็นนวัตกรรมการศึกษาอย่างหนึ่ง ซึ่งช่วยเปลี่ยนแปลงและส่งเสริม พฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้สื่อให้เหมาะสมกับ จุดประสงค์การเรียนรู้
ชุดการเรียน แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 4.2.1 ชุดการเรียนประกอบคําบรรยาย เป็นชุดการเรียนสําหรับครูที่กําหนด กิจกรรมและสื่อการเรียนให้ครูได้ใช้ประกอบการสอนแบบบรรยาย มีหัวข้อเนื้อหาที่จะบรรยาย และประกอบกิจกรรมจัดไว้ตามลําดับขั้น 4.2.2 ชุดการเรียนสําหรับกิจกรรมกลุ่ม มุ่งให้ผู้เรียนได้ทํากิจกรรมร่วมกัน อาจจัดการเรียนแบบศูนย์การเรียน โดยวางเค้าโครงเรื่อง จัดประเด็นเนื้อหาหน่วยความรู้ที่เป็น อิสระจากกัน เรียนรู้จบในแต่ละหน่วย สัดส่วนเนื้อหาใกล้เคียงกัน มีสื่อการเรียน บทเรียน แบบฝึก ครบตามจํานวนผู้เรียน 4.2.3 ชุดการเรียนรายบุคคล เป็นชุดการเรียนสําหรับนักเรียน เพื่อให้เรียนรู้ ด้วยตนเองตามลําดับความสามารถของแต่ละคน เมื่อเรียนจบแล้วจะทดสอบประเมินผล ความก้าวหน้าแล้วจึงศึกษาชุดอื่น ๆ ต่อไปตามลําดับ ผู้เรียนสามารถปรึกษากันได้ โดยผู้สอน พร้อมจะช่วยเหลือแนะนํา ชุดการสอนแบบนี้ช่วยส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล ให้พัฒนาการเรียนรู้ของตนเอง 4.3 องค์ประกอบของชุดการเรียน ชุดการเรียนมีส่วนประกอบที่สําคัญ 4 ส่วน คือ 4.3.1 คู่มือและแบบฝึกปฏิบัติ สําหรับผู้สอนและผู้เรียน 4.3.2 บัตรคําสั่งหรือบัตรมอบหมายงาน เพื่อกําหนดแนวทางแก่ผู้เรียน 4.3.3 เนื้อหา อยู่ในรูปของสื่อการสอนแบบประสมและกิจกรรมการเรียนรู้ทั้ง แบบกลุ่มและรายบุคคล ซึ่งกําหนดไว้ตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ 4.3.4 การประเมินผล เป็นการประเมินผลจากกระบวนการเรียนรู้ได้แก่ พฤติกรรม แบบฝึกหัด ชิ้นงาน แบบทดสอบ 4.4 ขั้นตอนการสร้างชุดการเรียน 4.4.1 ศึกษาเนื้อหาสาระของเรื่องที่จะสอน สิ่งที่จะนํามาทําเป็นชุดการเรียน มุ่งเน้นให้เกิดหลักการของการเรียนรู้อะไรบ้าง วิเคราะห์แบ่งออกเป็นชุดการเรียนย่อย ๆ การแบ่งควรคํานึงถึงเนื้อหาก่อนหลังและเรียงตามลําดับและธรรมชาติของเรื่องนั้น ๆ 4.4.2 กําหนดชุดการเรียนย่อย โดยคํานึงถึงเวลา ความสนุกน่าเรียน และผล การเรียนที่คาดหวัง แล้วดึงเอาสาระของเรื่องออกมาให้ได้
48.
48 4.4.3 กําหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ให้ผู้เรียนสามารถแสดงออกมาให้ผู้สอนวัดได้ และครอบคลุมเนื้อหาสาระการเรียนรู้ 4.4.4
นําผลการเรียนรู้ที่คาดหวังมาวิเคราะห์หากิจกรรมการเรียนการสอน จัดลําดับให้เหมาะสม 4.4.5 เตรียมสื่อการเรียนให้พร้อม สื่อการเรียนอาจจะเป็นวัสดุอุปกรณ์ หรือ ต้องสร้างขึ้นมาเอง และต้องเขียนบอกวิธีใช้ให้ชัดเจนในคู่มือครู 4.4.6 กําหนดการวัดผลประเมิน เมื่อเรียนจบต้องมีการประเมินผลหลังเรียน เพื่อดูพัฒนาการของผู้เรียน 4.4.7 ทดลองใช้ชุดการเรียนเพื่อหาประสิทธิภาพ โดยนําไปทดลองกับกลุ่ม เล็กก่อน เพื่อตรวจสอบหาข้อบกพร่องและแก้ไขปรับปรุงอย่างดี จึงนําไปใช้กับผู้เรียนทั้งชั้น 4.5 คุณค่าของชุดการเรียน ชุดการเรียนเป็นสื่อที่ส่งเสริมกระบวนการจัดการเรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ มีคุณค่าและประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้หลายประการ ดังนี้ 4.5.1 ช่วยแก้ปัญหาความแตกต่างระหว่างบุคคล และส่งเสริมการศึกษา รายบุคคลทําให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจ 4.5.2 ช่วยลดปัญหาการขาดแคลนครู เนื่องจากเป็นสื่อที่นักเรียนสามารถศึกษา ได้ด้วยตนเอง หรือต้องการความช่วยเหลือจากครูเพียงเล็กน้อย 4.5.3 ช่วยลดเวลาสอนของครู และลดภาระในการจัดการเรียนการสอน เมื่อมี สื่อครูเพียงดําเนินการตามขั้นตอนที่กําหนดไว้ในสื่อ ไม่ต้องเสียเวลาทําสื่อใหม่ เพียงอาจจะต้อง ปรับปรุงบ้างเพื่อให้ยุคทันสมัยและเหมาะสมกับสภาพผู้เรียนแต่ละกลุ่ม 4.5.4 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการศึกษา เพราะสื่อดังกล่าวสามารถ นําไปศึกษาได้ทุกสถานที่และทุกเวลา ผู้เรียนสามารถยืมไปเรียนเองได้ สามารถใช้สอน ซ่อมเสริมได้เป็นอย่างดี 4.5.5 ช่วยให้ผู้เรียนได้รับความรู้ในแนวเดียวกัน เนื่องจากชุดการเรียนมี จุดประสงค์ที่ชัดเจน มีคําแนะนําในการทํากิจกรรม มีแบบประเมินผลผู้เรียน และแบบเฉลยไว้ อย่างพร้อมมูล (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ , 2544 :104 - 107) นคร พันธุ์ณรงค์ (2548:31-32)ให้รายละเอียดไว้ว่า การเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอน คือ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ได้รับการออกแบบและจัดเป็นระบบ อันประกอบด้วยจุดมุ่งประสงค์ การเรียนรู้ เนื้อหา และวัสดุอุปกรณ์ โดยกิจกรรมต่าง ๆ ดังกล่าว ได้รับการรวบรวมไว้เป็น ระเบียบในกล่องเพื่อเตรียมไว้ให้ผู้เรียนได้ศึกษาจากประสบการณ์ทั้งหมด
49.
49 ชุดการสอน เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่อยู่บนพื้นฐานหลักการและทฤษฎี การใช้สื่อ ประสม
และ การใช้วิธีวิเคราะห์ระบบ โดยมีการแบ่งชุดการสอนออกเป็น 3 ประเภท คือ 1) ชุดการสอนรายบุคคล 2) ชุดการสอนสาหรับการเรียนเป็นกลุ่มย่อย 3) ชุดการสอนประกอบการบรรยายของครู การเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอน มีขั้นตอนและองค์ประกอบ ดังนี้ 1) ชุดการสอนรายบุคคล 1.1) ครูแนะนาภาพรวมของชุดการสอน เพื่อเป็นแนวทางให้ ผู้เรียนได้เข้าใจ เช่น ลักษณะส่วนประกอบ แนะนาการใช้บัตรคาชี้แจง เป็นต้น 1.2)ให้ผู้เรียนศึกษาด้วยตนเองจากบัตรคาชี้แจง และ ดาเนินการตามกิจกรรมของบัตรคาชี้แจงจนครบกระบวนการ 2) ชุดการสอนสาหรับการเรียนเป็นกลุ่มย่อย 2.1) ครูแนะนาชุดการสอนเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้เรียนเข้าใจ วิธีใช้ 2.2) ให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มย่อยตามจานวนชุดการสอน 2.3) ให้ผู้เรียนปฏิบัติตามบัตรคาชี้แจงที่อยู่ในชุดการสอน โดยเริ่มต้นพร้อมเพรียงกัน ภายในชุดการสอนจะกาหนดคาชี้แจง กิจกรรม การประเมินผล ภายในกรอบของเวลา 2.4) เมื่อผู้เรียนกลุ่มใดปฏิบัติกิจกรรมเสร็จแล้ว ให้สลับกับ กลุ่มอื่น ๆ และปฏิบัติตามคาชี้แจงในชุดการสอนชุดใหม่ที่กาหนด ในกรณีที่ยังสลับกลุ่มไม่ได้ ก็ควรปฏิบัติกิจกรรมในชุดการสอนสารองโดยมากจะเป็นกิจกรรมเดิม 3) ชุดการสอนประกอบการบรรยายของครู 3.1) ครูจะต้องทาความเข้าใจอย่างถ่องแท้กับบัตรคาชี้แจง บัตรเนื้อหาและบัตรกิจกรรม 3.2) ครูต้องเตรียมการใช้วัสดุอุปกรณ์ในการนาเสนอหรือ สาธิต และฝึกให้เกิดทักษะก่อนการนาไปใช้จริง 3.3) ครูต้องประเมินผลการใช้ชุดการสอน เพื่อเป็นข้อมูล สาหรับการปรับปรุงในโอกาสต่อไป (นคร พันธุ์ณรงค์ , 2548 : 31-32)
50.
50 สรุปได้ว่า ชุดการเรียนหรือชุดการสอน เป็นสื่อนวัตกรรมที่ผู้สอนพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ จัดกิจกรรมการเรียนการสอน
เพื่อให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ จนเกิดการเรียนรู้และสร้าง องค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง 5. แนวคิดทฤษฎีและหลักการเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Theory of Co-operative or Collaborative Learning) การสอนด้วยวิธีการเรียนแบบร่วมมือกัน เป็นเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่ให้นักเรียน ทํางานร่วมกันในกลุ่มย่อย ประกอบด้วยนักเรียนที่เก่ง ปานกลาง และอ่อน นักเรียนจะให้ความ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการเรียน เพื่อให้สมาชิกในกลุ่มบรรลุจุดประสงค์ในการเรียนแต่ละ ครั้งซึ่งจะได้กล่าวถึงลักษณะและองค์ประกอบพื้นฐานของการสอนด้วยวิธีการเรียนแบบร่วมมือ กันและเทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน ดังต่อไปนี้ 5.1 แนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการสอนแบบร่วมมือกัน ทิศนา แขมมณี (2551 : 98 –99) กล่าวว่า การสอนแบบร่วมมือกันเป็นวิธีการ จัดการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนใช้ความสามารถเฉพาะตัวและศักยภาพในตนเองร่วมมือกัน แก้ปัญหาต่าง ๆ ให้บรรลุผลสําเร็จได้ โดยที่สมาชิกในกลุ่มตระหนักว่า แต่ละคนเป็นส่วนหนึ่ง ของกลุ่ม ดังนั้นความสําเร็จหรือความล้มเหลวของกลุ่ม สมาชิกในกลุ่มต้องรับผิดชอบร่วมกัน สมาชิกจะมีการพูดคุยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผู้เรียนจะได้ความรู้จากเพื่อน และสิ่งที่เป็น ผลพลอยได้จากการใช้วิธีแบบร่วมมือกันอีกประการหนึ่งก็คือ การที่นักเรียนรู้สึกถึงคุณค่าของ ตนเองที่เพิ่มขึ้นทั้งนี้เพราะว่านักเรียนได้มีส่วนร่วมในการทํากิจกรรมกลุ่ม ซึ่งแต่ละคนจะมี บทบาทต่อความสําเร็จของกลุ่ม และเมื่อประสบผลสําเร็จในการทํางาน หรือความเข้าใจกับ เนื้อหา แล้วจะเพิ่มความสนใจในการทํากิจกรรมการเรียนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลให้นักเรียนรู้สึกถึง คุณค่าของตนเองในชั้นเรียนนอกจากนั้น การสอนแบบร่วมมือกันยังก่อให้เกิดบรรยากาศที่ นักเรียนได้คุยกัน เป็นการช่วยให้นักเรียนเข้าใจปัญหาชัดเจนขึ้น แม้บางครั้งจะไม่สามารถหา คําตอบได้แต่ระดับการติดตามปัญหาจะสูงกว่าการที่ครูเป็นผู้กําหนดให้นักเรียนทําคนเดียว และ การที่นักเรียนสามารถอธิบายให้เพื่อนฟังได้ ก็จะเป็นการยกระดับความเข้าใจให้สูงขึ้นถึงระดับ การถ่ายทอดความคิด การเรียบเรียงถ้อยคําออกมาจะช่วยปรับความเข้าใจให้ชัดเจนแน่นเฟ้น ยิ่งขึ้น สําหรับบทบาทของครูจะเปลี่ยนไปจากเดิม คือ ต้องไม่ถือว่าตนเองเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ ในชั้นเรียนเดียวกัน แต่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมวิธีดําเนินการที่เอื้ออํานวยให้นักเรียนสามารถ
51.
51 ค้นหาความรู้ได้จากการร่วมมือกัน ซึ่งเกิดจากการกระทําของตนเองและจากเพื่อนนักเรียน ด้วยกัน การสอนด้วยวิธีการการเรียนแบบร่วมมือกันมีหลักที่ผู้สอนต้องคํานึงถึงอยู่ 3
ประการ ได้แก่ 5.1.1 มีรางวัล หรือเป้ าหมายของกลุ่ม ในการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนจะต้อง ตั้งเป้ าหมายหรือรางวัลไว้เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความพยายามในการเรียนรู้มากขึ้น และพยายาม ปรับพฤติกรรมของตนเพื่อความสําเร็จของกลุ่ม รางวัลที่กําหนดอาจเป็นสิ่งของ ประกาศนียบัตร คําชมเชย การเชิดชูเกียรติ 5.1.2 ความหมายของแต่ละบุคคลในกลุ่มการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ถึงแม้จะอยู่ในรูปกลุ่ม แต่จะต้องมีขั้นตอนที่สามารถบอกถึงความสามารถของสมาชิกแต่ละคน ได้ว่าเข้าใจบทเรียนมากน้อยเพียงใด ในการเรียนแต่ละครั้งต้องมั่นใจว่าสมาชิกทุกคนในกลุ่ม เข้าใจเนื้อหาที่เรียน เป้ าหมายของกลุ่มจะประสบผลสําเร็จได้ ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของทุก คนในกลุ่ม 5.1.3 สมาชิกในกลุ่มมีโอกาสในการช่วยให้กลุ่มประสบผลสําเร็จของกลุ่มได้ เท่าเทียมกัน นักเรียนทุกคนในกลุ่มมีส่วนช่วยเหลือกลุ่มของตนเองให้ผ่านกิจกรรมไปได้เท่า เทียมกันทั้งคนเก่ง คนปานกลาง และคนอ่อน (ทิศนา แขมมณี , 2551 : 98 –99) 5.2 ลักษณะของการสอนด้วยวิธีการเรียนแบบร่วมมือ สุวิทย์ มูลคํา และอรทัย มูลคํา (2547 : 134-135) กล่าวว่า การสอนด้วยวิธีการเรียน แบบร่วมมือกัน เป็นการเรียนที่แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย ประกอบด้วยสมาชิกที่มี ความสามารถในการเรียนที่แตกต่างกัน สมาชิกในกลุ่มมีเป้ าหมายในการทํางานร่วมกัน ช่วยกัน กําหนดวิธีการ เอกสาร สื่อ มีการประเมินเป็นระบบ มีการช่วยเหลือกันและกันเพื่อให้งานบรรลุ เป้ าหมาย องค์ประกอบที่สําคัญของการสอนด้วยวิธีการเรียนแบบร่วมมือกันที่จะทําให้การจัด การเรียนประสบผลสําเร็จมีอยู่ 5 ประการ ดังนี้ 5.2.1 ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก คือการพึ่งพาอาศัยกัน ของสมาชิกในกลุ่มในการทํางานที่มี เป้ าหมายร่วมกัน มีการทํางานร่วมกัน โดยสมาชิกในกลุ่ม ทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมในการทํางานนั้น ๆ มีการแบ่งปันวัสดุ อุปกรณ์ในการทํางาน ทุกคนมี บทบาทและประสบความสําเร็จร่วมกัน สมาชิกในกลุ่มจะมีความรู้สึกว่าตนเองจะประสบ ความสําเร็จได้ ต่อเมื่อสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสําเร็จด้วย 5.2.2 การปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างสมาชิกในกลุ่ม ได้แก่ การที่
52.
52 สมาชิกต้องให้ความสนใจ เอาใจใส่ รับฟัง
และเสนอความคิดเห็นต่อกลุ่ม 5.2.3 ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน ที่จะช่วยให้กลุ่มมีสัมฤทธิ์ผล สูงสุดในการทํางาน ซึ่งสัมฤทธิ์ผลของกลุ่มก็ขึ้นอยู่กับสัมฤทธิ์ผลของสมาชิกแต่ละคน และ อาจประเมินได้จากผลการทดสอบของสมาชิก การสุ่มเลือกสมาชิกเป็นตัวแทนรายงานผลงาน ของกลุ่ม 5.2.4 การใช้ทักษะระหว่างบุคคล และทักษะการทํางานเป็นกลุ่มหรือ ทักษะทางสังคม เป็นทักษะที่สําคัญที่จะทําให้การทํางานของกลุ่มประสบความสําเร็จ นักเรียน ควรได้รับการฝึกและส่งเสริมให้ใช้ทักษะนี้เสียก่อน 5.2.5 กระบวนการกลุ่ม หรือกระบวนการทํางานเป็นกลุ่มที่มีขั้นตอน ในการทํางานเพื่อบรรลุเป้ าหมายของกลุ่มที่วางไว้(สุวิทย์ มูลคํา และอรทัย มูลคํา , 2547 : 134- 135) 5.3 องค์ประกอบพื้นฐานของการสอนด้วยวิธีการเรียนแบบร่วมมือ ทิศนา แขมมณี (2551 : 99 -101) กล่าวว่า การสอนด้วยวิธีการเรียนแบบร่วมมือ มีองค์ประกอบที่สําคัญอยู่ 5 ประการ ถ้าขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งจะเป็น การทํางานเป็นกลุ่ม (group work) และไม่ใช่เป็นการสอนด้วยวิธีการเรียนแบบร่วมมือ (cooperative learning) องค์ประกอบทั้ง 5 ได้แก่ 5.3.1 Face to Face lnteraction เป็นการจัดนักเรียนเข้ากลุ่มในลักษณะคละกัน ทั้งเพศ อายุ ความสามารถอื่น ๆ เพื่อให้นักเรียนได้ช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน ในการทํางานร่วมกัน 5.3.2 Individual Accountability นักเรียนแต่ละคนต้องมีความรับผิดชอบ ร่วมกันในการทํางานเพื่อให้งานสําเร็จลุล่วงมาด้วยดี จึงเป็นหน้าที่ของแต่ละกลุ่มที่ต้องคอย ตรวจสอบดูว่าสมาชิกทุกคนได้เรียนรู้หรือไม่ โดยมีการประเมินว่า ทุกคนรู้เรื่องหรือเห็นด้วย หรือไม่กับงานของกลุ่ม อาจมีการสุ่มถามนักเรียนคนใดคนหนึ่งให้รายงานผลว่าเป็นอย่างไร ซึ่งอาจมีบางคนไม่เข้าใจหรือสับสน นักเรียนคนอื่น ๆ ในกลุ่มก็จะได้ช่วยกันอธิบายจนเข้าใจ สมาชิกคนใดคนหนึ่งในกลุ่มสามารถอธิบายได้ทันทีเมื่อมีการเรียกให้รายงานหน้าชั้นเรียน 5.3.3 Cooperative Social Skills นักเรียนต้องใช้ทักษะความร่วมมือ ในการทํางานให้มีประสิทธิภาพซึ่งได้แก่ทักษะการสื่อความหมาย การแบ่งบัน การช่วยเหลือซึ่ง กันและกันร่วมมือกัน งานจะบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายอย่างมีประสิทธิภาพสูง ถ้าทุกคนไว้วางใจ และยอมรับความคิดเห็นของกันและกัน
53.
53 5.3.4 Positive Interdependence
นักเรียนต้องเข้าใจว่าความสําเร็จของแต่ละ คนในกลุ่มขึ้นอยู่กับความสําเร็จของกลุ่ม งานจะบรรลุจุดประสงค์หรือไม่ขึ้นอยู่กับสมาชิกใน กลุ่มที่จะต้องช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยที่ครูต้องกําหนดวัตถุประสงค์ของงานให้ ชัดเจนตลอดจนกําหนดบทบาทการทํางานของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มให้แน่ชัดว่า สมาชิกคนใด มีหน้าที่และความรับผิดชอบอะไรกับงานของกลุ่ม 5.3.5 Group Processing นักเรียนต้องช่วยกันประเมินประสิทธิภาพการทํางาน ของกลุ่ม และประเมินว่าสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มสามารถปรับปรุงการทํางานของตนเองให้ดีขึ้น ได้อย่างไร สมาชิกทุกคนในกลุ่มควรช่วยกันแสดงความคิดเห็นและตัดสินใจได้ว่า งานครั้งต่อไป จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ หรือควรปฏิบัติเช่นเดิมอีก หรือขั้นตอนการทํางานขั้นตอนใดที่ยัง ขาดตกบกพร่องและยังไม่ดี ควรมีการปรับปรุงแก้ไขอะไร อย่างไร (ทิศนา แขมมณี , 2551 : 99 - 101) สรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือกันนั้นเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ นักเรียนรวมกลุ่มกันทํางาน สมาชิกทุกคนในกลุ่มช่วยเหลือกันดี นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทําให้เกิดผลดีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและมีทักษะการอยู่ร่วมกันทางสังคมของนักเรียนดีขึ้น 5.4 เทคนิคการสอนแบบร่วมมือ การสอนด้วยวิธีการเรียนแบบร่วมมือเป็นวิธีสอนที่ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายและ เป็นวิธีสอนที่มีรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย ตามที่สํานักวิชาการและมาตรฐาน การศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (2549 : 33 – 42) ได้กล่าวถึงรูปแบบการสอนแบบร่วมมือไว้ว่า วิธีสอนแบบร่วมมือประกอบด้วยเทคนิควิธีสอนหลาย ๆ แบบที่ใช้อยู่อย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็น แนวคิดของนักการศึกษาหลายท่าน เช่น Slavin, Johnson และ Johnson และ Kogan เป็นต้น ซึ่ง เทคนิคต่าง ๆ ดังกล่าวคือเทคนิค STAD (Student Teams – Achievement Division) หรือที่เรียกว่า เทคนิคกลุ่มผลสัมฤทธิ์, เทคนิค TGT (Team – Games – Tournament) หรือที่เรียกว่า เทคนิคทีม การแข่งขัน,เทคนิค TAI (Team Assisted Individualized Instruction) หรือที่เรียกว่า เทคนิคกลุ่ม ช่วยสอนเป็นรายบุคคล, เทคนิค CIRC (Cooperative Integrated Reading and Composition) หรือ เรียกว่าเทคนิคกลุ่มผสมผสานการอ่านและการเขียนเรียงความ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) และ เทคนิคการศึกษาแบบกลุ่ม (Group Investigation) เป็นต้น ซึ่งแต่ละเทคนิคมีรายละเอียดดังนี้ 5.4.1. Learning together (LT) เน้นการร่วมมือกันเรียนรู้ เทคนิค LT ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐาน 5 ประการ คือ ๑) การพึ่งพาอาศัยกัน นั่นคือนักเรียนจะเชื่อว่าเขาต้องรับผิดชอบ
54.
54 ต่อการเรียนของตนเองและของเพื่อนร่วมทีมด้วย ๒) การมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกัน นั่นคือนักเรียนจะอธิบายให้เพื่อน และช่วยเพื่อนทําแบบฝึกหัด 3)
รับผิดชอบต่อตนเอง มีผลงานชัดเจนแสดงให้เห็น นั่นคือนักเรียน สามารถแสดงออกให้เห็นว่าตนเองรู้และเข้าใจ 4) ทักษะทางสังคม นั่นคือนักเรียนสามารถสื่อความหมายได้ชัดเจน สร้างความเชื่อถือให้มีต่อกันและแก้ปัญหาข้อขัดแย้ง 5) กระบวนการกลุ่ม กลุ่มจะมีการประเมินผลความก้าวหน้าของตนเอง รวมทั้งประสิทธิภาพของงานด้วย ขนาดกลุ่ม 4-5 คนคละความสามารถ 5.4.2. Student Teams – Achievement Division (STAD) นักเรียน 4 คน เรียนรู้และปฏิบัติร่วมกัน (จัดกลุ่มคละเพศ เชื้อชาติ และความสามารถในการเรียน) ครูจะเสนอ เนื้อหาสาระของบทเรียนแก่นักเรียนทั้งชั้นก่อนและมอบหมายให้แต่ละกลุ่มทํางานตามที่กําหนด ตามวัตถุประสงค์ในแผนการจัดการเรียนรู้ เมื่อสมาชิกในกลุ่มช่วยกันปฏิบัติและทําแบบฝึกหัด หรือทบทวนเนื้อหาตามที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้ว ครูจะให้นักเรียนทุกคนทําแบบทดสอบ ประมาณ 20 นาที คะแนนที่ได้จากการทดสอบจะถูกแปลงเป็นคะแนนกลุ่มของแต่ละกลุ่ม 5.4.3. Team – Games – Tournament (TGT) มีวิธีดําเนินการเช่นเดียวกับ STAD แต่จะมีการเพิ่มการทดสอบด้วยการแข่งขันกันเป็นรายสัปดาห์ โดยให้สมาชิกกลุ่มเล่นเกม ทางวิชาการแข่งขันกับสมาชิกกลุ่มอื่น เพื่อเพิ่มคะแนนให้กับทีมของตนเอง โดยผู้ที่ได้คะแนน สูงสุดในแต่ละครั้งจะได้คะแนนมาเพิ่มให้กับกลุ่มของตนเอง กลุ่มที่มีคะแนนจากการแข่งขัน สูงสุดจะอยู่ในกลุ่มดีเยี่ยมและได้รับรางวัลตามที่ตกลงกันไว้ 5.4.4. Jigsaw I จัดนักเรียนเข้าเป็นกลุ่ม ๆ ละ 6 คน ให้ศึกษาตามหัวเรื่อง ย่อยๆ ที่ครูกําหนดให้แต่ละคนในกลุ่มจะอ่านเรื่องย่อยคนละ 1 เรื่อง และจะต้องเข้าไปเรียน ร่วมกับกลุ่มอื่นๆ ในหัวข้อที่ต่างกันออกไป หลังจากนั้นจะกลับมาที่กลุ่มของตนเองและสอน เพื่อนในกลุ่มเกี่ยวกับสิ่งที่ตนไปเรียนร่วมกับสมาชิกของกลุ่มอื่น ๆ ต่อจากนั้นจะมีการทดสอบ คิดคะแนนเป็นรายบุคคล 5.4.5. Jigsaw II เป็นวิธีสอนที่ได้รับการปรับปรุงจาก Jigsaw I มีการจัด กลุ่มคละความสามารถ 5-6 คน สมาชิกในกลุ่ม 1 คน จะได้รับมอบหมายงานหรือสาระให้ ศึกษาค้นคว้า หลังจากนั้นสมาชิกที่ได้รับมอบหมายงานแต่ละกลุ่มจะมารวมกันเป็นกลุ่ม มี การศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน จนสามารถเข้าใจในทุกเรื่องแล้วกลับไป
55.
55 อธิบายให้กลุ่มตนเองฟัง ต่อจากนั้นครูทดสอบเป็นรายบุคคล คิดคะแนนพัฒนาแล้วเฉลี่ยเป็น คะแนนกลุ่ม
ซึ่งต่างจากวิธีคิดคะแนนของ Jigsaw I ที่คิดคะแนนเป็นรายบุคคล 5.4.6. Team Assisted Individualized Instruction (TAI) จัดกลุ่มร่วมมือกัน เรียนรู้ลักษณะเดียวกับกลุ่มแบบ TGT และ STAD แต่จะแตกต่างจาก STAD และ TGT ตรงที่ การเรียนรู้ของนักเรียนจะเป็นการเชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้เป็นรายบุคคลและการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ กลุ่มจะมีหน้าที่ช่วยเหลือบุคคลที่มีปัญหา สนับสนุนส่งเสริมให้ได้รับความสําเร็จใน การเรียนโดยในขั้นสุดท้ายของกิจกรรมจะมีการทดสอบเป็นรายบุคคล 5.4.7. Cooperative Integrated Reading and Composition (CIRC) การเรียนรู้แบบร่วมมือกัน เทคนิคบูรณาการการอ่านและการเขียน ออกแบบเพื่อใช้สอนการอ่าน เขียน และการสะกดคําโดยเฉพาะตั้งแต่ระดับประถมถึงมัธยมปลายเป็นต้นไป โดยจัดกลุ่ม นักเรียนออกเป็นกลุ่มทางการอ่าน 2 - 3 กลุ่ม ครูจะสอนอ่านให้แก่นักเรียนที่เรียนเก่งของกลุ่ม เพียง 2 - 3 คน แล้วให้นักเรียนที่เก่งไปถ่ายทอดการสอนของครูให้กับเพื่อนในกลุ่มฉะนั้น นักเรียนจะต้องวางแผนในการร่างแก้ไข และเป็นบรรณาธิการให้กับงานของสมาชิกในกลุ่ม บทเรียนในการฝึกทักษะการเขียน จะเป็นเหมือนกับการปรับปรุงแก้ไขการเขียนเป็นการจัด ระเบียบของเรื่องที่เขียนให้เห็นชัดเจนขึ้นและได้รับการทักษะที่เป็นโครงสร้างทางภาษา จะทํา ให้นักเรียนเป็นผู้ที่มีความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ได้หลังจากเรียนและปฏิบัติกิจกรรม ในเรื่องหนึ่ง ๆ จบ นักเรียนจะได้รับการทดสอบเกี่ยวกับความเข้าใจในเนื้อเรื่อง เขียนอธิบายเรื่อง นิยามศัพท์ที่สําคัญ เป็นต้น โดยจะต้องทําแบบทดสอบด้วยตัวเอง คะแนนแต่ละคนจะนํามาเป็น คะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม 5.4.8. Group Investigation (GI) จับกลุ่มตามความสนใจในเรื่องเดียวกัน นักเรียนร่วมกันวางแผนการศึกษา วิจัย แบ่งงานภายในกลุ่ม สังเคราะห์ สรุปข้อค้นพบ และ นําเสนอผลหรือสิ่งที่ค้นพบให้กับนักเรียนทั้งชั้น การประเมินผลอาจทําเป็นรายบุคคลโดย การประเมินสาระความรู้ที่นักเรียนเลือกศึกษาหรือนํามาเสนอ (สํานักวิชาการและมาตรฐาน การศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ , 2549 : 33 – 42) 5.5. รูปแบบการสอนแบบร่วมมือ ทิศนา แขมมณี (2551 : 99 – 101) ได้กล่าวถึงรูปแบบการสอนแบบร่วมมือ แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้ 5.5.1. รูปแบบการสอนแบบร่วมมือ ตามแนวคิดของ โรเบิร์ต สลาวิน
56.
56 และคณะจาก John Hopkins
University ซึ่งสลาวิน ได้พัฒนาเทคนิคการสอนแบบร่วมมือ จาก ผลวิธีการสอนในทุกรูปแบบของสลาวินจะยึดหลักของการสอนแบบร่วมมือกันมี 3 ประการ ด้วยกัน คือ รางวัลและเป้ าหมายของกลุ่ม ความหมายของแต่ละบุคคล และโอกาสในการช่วยให้ กลุ่มประสบผลสําเร็จเท่าเทียมกัน จากผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า รางวัลของกลุ่มและความหมายของ แต่ละบุคคลต่อกลุ่ม เป็นลักษณะที่จําเป็นและสําคัญต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน รูปแบบการสอนร่วมมือกันของสลาวิน เป็นที่ยอมรับกันแพร่หลายมีดังต่อไปนี้ 1) การแบ่งกลุ่ม – กลุ่มสัมฤทธิ์ STAD (Student Teams - Achievement Division) เป็นรูปแบบการสอนที่สามารถดัดแปลงใช้ได้เกือบทุกวิชาและทุกระดับชั้น เพื่อเป็น การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะทางสังคมเป็นสําคัญ 2) การแบ่งกลุ่ม เล่นเกม เกมการแข่งขัน หรือ TGT (Team Game Tournament) เป็นรูปแบบการสอนที่คล้ายกับ STAD แต่เป็นการจูงใจในการเรียนเพิ่มขึ้นโดย การใช้การแข่งขันเกมแทนการทดสอบย่อย 3) การใช้กลุ่มช่วยเหลือการเรียนรายบุคคล หรือ TAI (Team Assisted Individualization) เป็นรูปแบบการสอนที่ผสมผสานแนวความคิดระหว่างการร่วมมือ กับ การสอนรายบุคคล (Individualization Instruction) รูปแบบของ TAI 4) การร่วมมือเพื่อบูรณาการการอ่านและการเขียนเรียงความ หรือ CIRC (Cooperative Integrated Reading and Composition) เป็นรูปแบบการสอนแบบร่วมมือ เรียนแบบผสมผสาน ที่มุ่งพัฒนาขึ้นเพื่อสอนการอ่านและเขียน 5) การต่อบทเรียน หรือ Jigsaw II ผู้ที่คิดค้นการสอนแบบ Jigsaw เริ่มแรกคือ อีลเลียท อารอนสัน และคณะ หลังจากนั้น สลาวิน ได้นําแนวคิดดังกล่าวปรับขยาย เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการสอนแบบร่วมมือเรียนรู้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นรูปแบบการสอน ที่เหมาะกับวิชาที่เกี่ยวข้องกับการบรรยาย เช่น สังคมศึกษา วรรณคดี บางส่วนของวิชา วิทยาศาสตร์ รวมทั้งวิชาอื่น ๆ ที่เน้นพัฒนาความรู้ความเข้าใจมากกว่าพัฒนาทักษะ 5.5.2.รูปแบบการสอนแบบร่วมมือกันตามแนวคิดของ เดวิด จอห์นสัน และ คณะ จากมหาวิทยาลัยมินเนสโซต้า (Minessota) ได้พัฒนารูปแบบการสอนแบบร่วมมือกัน โดยยึดหลักการเบื้องต้น 5 ประการ คือ 1) การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (Positive Interdependence) 2) การปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัว (Face to Face Promative Interaction) 3) ความหมายและความสามารถของแต่ละบุคคลในกลุ่ม (Individual
57.
57 Accountibility) 4) ทักษะทางสังคม (Social
Skills) 5) ทักษะทางกลุ่ม (Group Processing) 5.5.3.รูปแบบการสอนแบบร่วมมือกันในงานเฉพาะอย่าง เช่น ของชโลโมและ เบล ชาเรน, Co-Op Co-Op (ทิศนา แขมมณี , 2551 : 99 – 101) 5.6 ประโยชน์และความสําคัญของการสอนด้วยวิธีการเรียนแบบร่วมมือกัน สุมณฑา พรหมบุญ และคณะ (2540 : 38-39) ได้กล่าวถึงความสําคัญของการสอนด้วย วิธีการเรียนแบบร่วมมือไว้ดังนี้ 5.6.1. ความรู้และความจริงเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในโลกถูกค้นพบใหม่เสมอ ๆ ความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในสังคมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ผู้เรียนจึงต้องเรียนรู้ วิธีที่จะแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง 5.6.2. การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ช่วยเตรียมผู้เรียนให้พร้อมที่จะเผชิญกับชีวิต จริงเพราะลักษณะของการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม เปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับผิดชอบต่อ การเรียนรู้ที่มีความสัมพันธ์สอดคล้องกับชีวิตจริงของผู้เรียนมากที่สุดวิธีการหนึ่ง 5.6.3. การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดี ช่วยให้นักเรียนได้ฝึกฝนความเป็นประชาธิปไตย ฝึกการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ฝึกการอยู่ร่วมกัน อย่างเป็นสุข ช่วยให้ผู้เรียนเกิดทัศนคติที่ดีต่อการเรียน ต่อครู ต่อสถานที่ศึกษา และต่อสังคม 5.6.4. การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ช่วยลดปัญหาทางวินัยในชั้นเรียนเพราะ นักเรียนทุกคนจะได้ฝึกฝนจนกระทั่งเกิดวินัยในตนเอง ผู้เรียนแต่ละคนจะได้รับการยอมรับ จากครู จากเพื่อนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ทําให้เกิดการยอมรับตนเอง และเกิดความสุข ในการอยู่ร่วมกับเพื่อน ๆ ปัญหาทางวินัยจึงลดน้อยลงและหมดไปในที่สุด 5.6.5. การเรียนแบบมีส่วนร่วม ช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนโดยเฉลี่ย ของผู้เรียนทั้งชั้นสูงขึ้น การช่วยเหลือกันในกลุ่มเพื่อนทําให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เรียน ได้ดียิ่งขึ้น (สุมณฑา พรหมบุญ และคณะ , 2540 : 38-39) สรุปได้ว่า การสอนด้วยวิธีการเรียนแบบร่วมมือจะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ มีทักษะในการแสวงหาความรู้ มีทักษะการคิด มีทักษะการแสดงออก และมีทักษะการทํางานกลุ่ม สามารถนํามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจําวันได้
58.
58 5.7 วิธีการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิคกลุ่มช่วยเหลือ
การเรียนรายบุคคล หรือ TAI (Team Assisted Individualization) ทิศนา แขมมณี (2551 : 67 – 68) ได้กล่าวถึง วิธีการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิค กลุ่มช่วยเหลือ การเรียนรายบุคคล หรือ TAI ไว้ว่า คําว่า “TAI” มาจาก “Team –Assisted Individualization” ซึ่งมีกระบวนการดังนี้ 5.7.1 จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง-กลาง-อ่อน) กลุ่มละ 4 คน และเรียกกลุ่มนี้ว่า กลุ่มบ้านของเรา (home group) 5.7.2 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราได้รับเนื้อหาสาระและศึกษาเนื้อหาสาระ ร่วมกัน 5.7.3 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา จับคู่กันทําแบบฝึกหัด 1) ถ้าใครทําแบบฝึกหัดได้ 75 % ขึ้นไปให้ไปรับการทดสอบรวบยอด ครั้งสุดท้ายได้ 2) ถ้ายังทําแบบฝึกหัดได้ไม่ถึง 75 % ให้ทําแบบฝึกหัดซ่อมจนกระทั่ง ทําได้แล้วจึงไปรับการทดสอบรวบยอดครั้งสุดท้าย 3) สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราแต่ละคนนําคะแนนทดสอบรวบยอด มารวมกันเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มใดได้คะแนนสูงสุดกลุ่มนั้นได้รับรางวัล (ทิศนา แขมมณี, 2551 : 67 – 68) สรุปได้ว่า การจัดกิจกรรการเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นการจัดกลุ่มผู้เรียนที่มีความสามารถ แตกต่างกัน 4- 6 ช่วยกันเรียนรู้เพื่อสู่เป้ าหมายของกลุ่ม ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ศึกษา ค้นคว้าด้วยตนเองและการเรียนรู้จากสมาชิกในกลุ่มผ่านการสนทนา อภิปราย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทั้งกลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ ผู้เรียนจะมีความสัมพันธ์และเกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน มีทั้งการแข่งขัน การร่วมมือและการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ซึ่งเป็นการฝึกทักษะทางสังคมที่จําเป็น ต่อการดํารงชีวิตประจําวันของผู้เรียนเอง 5.8 บทบาทของครูกับการจัดกิจกรรมการสอนด้วยวิธีการเรียนแบบร่วมมือ ทิศนา แขมมณี (2551 : 103 – 106) ได้กล่าวถึง บทบาทของครูในการสอนด้วย วิธีการเรียนแบบร่วมมือไว้ว่า บทบาทของครูเปลี่ยนจากการเป็นผู้ควบคุมชั้นเป็นผู้แนะนํา ให้นักเรียนใช้ข้อมูลทั้งหลายที่ต้องการ ครูเป็นผู้จัดบรรยากาศให้เอื้ออํานวยต่อการเรียนได้ดี ในบรรยากาศที่เป็นกันเอง ที่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือครูก็สามารถทําผิดได้ ครูและ
59.
59 นักเรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความรู้สึกซึ่งกันและกันครูเป็นบุคคลสําคัญในการสร้าง บรรยากาศซึ่งอาจกระทําได้โดย 5.8.1.ให้งานที่ท้าทายความสามารถของนักเรียนมากกว่าที่จะเป็นงานที่แข่งขัน กัน 5.8.2.ให้นักเรียนได้มีโอกาสเลือกและตัดสินใจในงานที่ทําถึงแม้ว่าจะเป็น ความคิดที่จํากัด 5.8.3. ส่งเสริมให้นักเรียนแสดงออกซึ่งความเห็นของตนเอง
ซึ่งอาจจะออกมา ในรูปแบบต่างๆ เช่น วาดภาพ ระบายสี แสดงบทบาทสมมุติ เขียนบรรยาย และอื่น ๆ 5.8.4. ยอมรับความผิดพลาดของนักเรียน 5.8.4.เผยแพร่ข้อเขียนหรือผลงานของนักเรียนในรูปแบบของจดหมาย หนังสือของห้อง หรือหนังสือพิมพ์ของห้อง หรือหนังสือพิมพ์ของโรงเรียน 5.8.5.กระตุ้นส่งเสริมทักษะทางด้านความคิดแก่นักเรียนโดยใช้แหล่งข้อมูล ต่าง ๆ และสื่อการสอน เช่น หนังสืออ้างอิง ภาพยนตร์ วารสาร เป็นต้น (ทิศนา แขมมณี, 2551 : 103 – 106) สรุปได้ว่า บทบาทที่สําคัญของครูในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบร่วมมือกัน โดยครูเป็นผู้มีบทบาทในด้านการวางแผน กําหนดเป้ าหมายของการสอน กําหนดจํานวนสมาชิก ในกลุ่ม สร้างบรรยากาศในการเรียนการสอน ชี้แนะและให้คําปรึกษาแก่นักเรียนโดยเสนอแนะ แนวทางการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกินความสามารถของนักเรียน และมีบทบาทในการวัดและ การประเมินผลตามจุดประสงค์การเรียนรู้ 6. แนวคิด ทฤษฎีและหลักการเกี่ยวกับการวัดและประเมินผลการเรียน 6.1 การวัดและประเมินผลการเรียนภาษาไทย จากคู่มือการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย (กรมวิชาการ กระทรวง ศึกษาธิการ, 2544 : 87-98 ) กล่าวถึง การวัดและประเมินผลการเรียน สรุปความได้ว่า การวัด และประเมินผล เป็นส่วนหนึ่งของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งต้องดําเนินการควบคู่ กันไป การบูรณาการหรือการประสมประสานการวัดและประเมินผลกับการเรียนการสอนเข้า ด้วยกัน จะส่งผลต่อการพัฒนาการศึกษาหลายประการ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียน ซึ่งเป็น ศูนย์กลางของการพัฒนานั้น การวัดและการประเมินผลจะมีบทบาทสําคัญต่อการเรียนรู้ ของผู้เรียน ทั้งนี้เพราะการวัดและประเมินผลและการเรียนรู้มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
60.
60 โดยการประเมินจะมีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการเรียนรู้ทางตรงก็คือ จะให้ข้อมูลย้อนกลับ ที่สําคัญเพื่อนําไปสู่การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ส่วนผลทางอ้อมคือ
จะเป็นสิ่งชี้นําการเรียน การสอน ดังนั้นผู้จัดการศึกษาจึงสามารถนําผลทั้งสอง ลักษณะที่เกิดขึ้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่างแท้จริงต่อการจัดการศึกษาได้ 6.1.1 หลักการของการเรียนรู้ภาษาเพื่อเป็นพื้นฐานการวัดผลและประเมินผล การวัดผลและประเมินการเรียนรู้ด้านภาษา เป็นงานที่ต้องการความเข้าใจที่ถูกต้อง แท้จริงเกี่ยวกับการทํางานของภาษาและการพัฒนาทางภาษา ผู้ปฏิบัติหน้าที่วัดผลการเรียนรู้ ด้านภาษา จําเป็นต้องเข้าใจหลักการของการเรียนรู้ภาษา เพื่อเป็นพื้นฐานการดําเนินงาน ดังนี้ 1) ทักษะทางภาษา ฟัง พูด อ่าน เขียน ดู มีความสําคัญเท่าๆ กัน และทักษะเหล่านี้มีความเกี่ยวเนื่องกัน และความก้าวหน้าของทักษะหนึ่ง จะมีผลต่อพัฒนาการ ทักษะอื่น ๆ 2) ผู้เรียนต้องได้รับการพัฒนาความสามารถทางภาษา เช่น เดียวกับ ทักษะการคิด ทักษะทางสังคม เมื่อผู้เรียนมีโอกาสใช้ภาษาตามความต้องการที่แท้จริงของตนเอง และในสภาพการณ์จริงทั้งในบริบททางวิชาการในห้องเรียน และชุมชนที่กว้างออกไป 3) ผู้เรียนต้องเรียนรู้การใช้ภาษาพูด ภาษาเขียนอย่างถูกต้อง ด้วยการฝึกฝนมิใช่การเรียนรู้กฎเกณฑ์ทางภาษาแต่อย่างเดียวการเรียนการใช้ภาษาที่ประกอบด้วย ไวยากรณ์ การสะกดคําและเครื่องหมายต่าง ๆ จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น เมื่อผู้เรียนได้พัฒนาทักษะ ทางภาษาของตน 4) ผู้เรียนทุกคนต้องผ่านขั้นตอนการพัฒนาทางภาษาเช่นเดียวกัน แต่ จะต่างกันในจังหวะก้าว และวิธีการเรียนรู้ 5) ภาษา และวัฒนธรรม มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด หลักสูตร ที่ให้ความสําคัญ ให้ความเคารพ และเห็นคุณค่าของเชื้อชาติ วัฒนธรรม ภูมิหลังทางภาษา และความหลากหลายของภาษาจะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตนเอง และกระตุ้น ให้ผู้เรียนเรียนรู้ 6) ภาษาไทยเป็นเครื่องมือของการเรียนรู้ และทุกกลุ่มสาระการเรียน จะต้องใช้ภาษาไทยเป็นเครื่องมือการสื่อสารและแสวงหาความรู้ ดังนั้นครูทุกคนจะต้องเป็น แบบแผน เป็นตัวอย่างที่ดีแก่นักเรียนและต้องสอนการใช้ภาษาแก่ผู้เรียนด้วย 6.1.2 หลักการของการประเมินผลในชั้นเรียนที่มีประสิทธิภาพ 1) การประเมินผลในชั้นเรียนที่มีประสิทธิภาพ จะต้องส่งเสริม
61.
61 การเรียนรู้ของผู้เรียน เพราะเป้ าหมายของการประเมินในชั้นเรียน
คือ การได้ข้อมูลเพื่อพัฒนา การเรียนรู้ของผู้เรียน และการพัฒนาการสอน การประเมินต้องอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ ตั้งแต่ เริ่มต้นบทเรียนเพื่อตรวจสอบความรู้พื้นฐาน ประเมินผลระหว่างการเรียนการสอนอย่าง สมํ่าเสมอ เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน ใน กระบวนการประเมิน ต้องตั้งเกณฑ์ไว้ล่วงหน้า และอธิบายเกณฑ์ให้ผู้เรียนทราบ แจ้งผลการ ประเมินให้ผู้เรียนทราบอย่างสมํ่าเสมอ เพื่อผู้เรียนจะได้พัฒนาตนเองไปสู่เป้ าหมายตามเกณฑ์ หรือใช้เกณฑ์ในการประเมินตนเอง 2) การประเมินผลจะต้องใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ด้วยวิธีการต่างๆ ที่สอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการวัด และสภาพที่แท้จริง ที่มีผลกับการตัดสินใจ โดยรวม 3) การประเมินผลจะต้องมีความเที่ยงตรง เชื่อถือได้และยุติธรรม 3.1) ความเที่ยงตรงของเครื่องมือเป็นผลอันเนื่องมาจากการใช้ เครื่องมือวัดผลการเรียนรู้ที่สามารถวัดสิ่งที่ต้องการวัด 3.2) ความเชื่อได้หรือความเชื่อมั่น หมายถึง ความคงเส้นคงวา ของผลการประเมิน หากประเมินผู้เรียนคนเดียวกันด้วยเครื่องมืออย่างเดียวกัน ย่อมให้ผล ที่เหมือนกัน การกําหนดเกณฑ์ที่ชัดเจนจะช่วยให้ผลการประเมินมีความเชื่อถือได้มากขึ้น 3.3) ความยุติธรรม หมายถึง การให้ผู้เรียนทุกคนมีโอกาส แสดงสิ่งที่เขารู้และสามารถทําได้ 6.1.3 การวางแผนการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการประเมินผลการเรียน ผู้สอนจะต้องพิจารณากําหนดวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลผลการเรียนรู้ที่ได้จากการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ดังกล่าว โดยพิจารณาองค์ประกอบสําคัญ ต่อไปนี้ 1) ผลการเรียนรู้ที่ต้องการจากกิจกรรมการเรียนรู้ ได้มาจาก มาตรฐานการเรียนรู้ ระดับต่าง ๆ ซึ่งถูกกําหนดไว้โดยครอบคลุมความรู้ ทักษะ และคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมต่าง ๆ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง จะนําไปสู่การเลือกวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ที่มีประสิทธิภาพ 2) ความมุ่งหมายของการประเมิน และผู้จะนําผลการประเมินไปใช้ จะช่วยให้สามารถเลือกใช้วิธีการประเมินได้เหมาะสม รวมทั้งสามารถกําหนดแนวทาง ในการรายงานผลการประเมินได้ การประเมินเพื่อวินิจฉัยจุดเด่น – ด้อย ในการเรียน กับการประเมินเพื่อตัดสินผล
62.
62 การเรียนมีความมุ่งหมายต่างกัน การประเมินเพื่อวินิจฉัย ต้องการข้อมูลเพื่อการปรับปรุง พัฒนาผู้เรียน
ดังนั้น วิธีการประเมินจะมีลักษณะที่มุ่งเน้นในรายละเอียดทุกขั้นตอน แห่งการเรียนรู้ เพื่อเป็นข้อมูลในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการเรียนของผู้เรียน เหมาะที่จะนํามาใช้ ระหว่างกระบวนการเรียนรู้ ส่วนการประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียนจะเป็นการประเมินสรุปผล การเรียนรู้ ทั้งหมด แนวทางการวัดจึงมีลักษณะที่นํามาเฉพาะเป้ าหมายหลักสําคัญที่จะแสดง ภาพรวมเกี่ยวกับสัมฤทธิผลของผู้เรียนตามความคาดหวังมาประเมิน เป็นต้น 6.1.4 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลผลการเรียนของผู้เรียน วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ถูกนํามาใช้ในการประเมินโดยทั่วไป เช่น การสังเกต การตรวจงานหรือผลงาน การทดสอบความรู้ การตรวจสอบการปฏิบัติและการแสดงออก อย่างไรก็ตาม มีการนําเสนอแนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยพิจารณาจากเป้าประสงค์ ของการประเมินที่เฉพาะเจาะจงในรายละเอียด เพื่อข้อมูลที่ได้จะสามารถนํามาใช้ประโยชน์ ต่อการปรับปรุงพัฒนากระบวนการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง ดังนี้ 1) การให้ตอบแบบทดสอบ ทั้งในลักษณะที่เป็นแบบเลือกคําตอบ ได้แก่ ข้อสอบแบบเลือกตอบ ถูก – ผิด และข้อสอบชนิดให้ผู้สอบสร้างคําตอบ ได้แก่ เติมข้อความในช่องว่าง คําตอบสั้นเป็นประโยค เป็นข้อความ เป็นแผนภูมิ 2) การดูจากผลงาน เช่น เรียงความ รายงานการวิจัย บันทึกประจําวัน รายงานการทดลอง บทละคร บทร้อยกรอง แฟ้มผลงาน เป็นต้น ผลงานจะเป็นสิ่งแสดงให้เห็น การนําความรู้และทักษะไปใช้ในการปฏิบัติงานของผู้เรียน 3) การปฏิบัติ โดยผู้สอนสามารถสังเกตการนําทักษะและความรู้ไปใช้ โดยตรงในสถานการณ์ที่ให้ปฏิบัติจริง วิธีการนี้ถูกนําไปใช้อย่างกว้างขวางในการประเมิน การปฏิบัติที่มีระเบียบ ข้อบังคับ เช่น การร้องเพลง ดนตรี พลศึกษา การโต้วาที การกล่าว สุนทรพจน์ ละครเวที 4) ดูกระบวนการ วิธีการนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการเรียนรู้ กระบวนการคิดของผู้เรียนมากกว่าที่จะดูผลงาน หรือการปฏิบัติ ซึ่งจะทําให้กระบวนการคิดที่ ผู้เรียนใช้วิธีการที่พบว่าครูผู้สอนใช้อยู่เป็นประจําในกระบวนการเรียนรู้ คือ การให้นักเรียนคิด ดัง ๆ การตั้งคําถามให้นักเรียนตอบโดยครูจะเป็นผู้สังเกตวิธีการคิดของผู้เรียน วิธีการเช่นนี้ เป็นกระบวนการที่จะให้ข้อมูลเพื่อการวินิจฉัย และเป็นข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียน โดยการเก็บ รวบรวมข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหมาะกับการประเมินพัฒนาการด้านคุณธรรม จริยธรรม และ ลักษณะนิสัย
63.
63 จากแนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการประเมินผลการเรียนรู้ดังกล่าวข้างต้น สามารถนํามาพิจารณากําหนดแนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูลทักษะทางภาษาได้ โดยการสังเกต ผ่านพฤติกรรมการปฏิบัติต่าง ๆ
เช่นการเล่าเรื่อง การให้คําชี้แจง การเล่าประสบการณ์ การร่วม กิจกรรมต่าง ๆ การปฏิสัมพันธ์กับกลุ่ม/บุคคล หากผลการเรียนรู้ที่ต้องการจากการเรียน คือ ความรู้ ความคิดเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของภาษา การใช้ภาษา วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อ การประเมินที่เหมาะสม คือ การใช้ข้อสอบ ซึ่งอาจเป็นแบบเลือกตอบ หรือให้สร้างคําตอบ 6.1.5 การรายงานผลการประเมิน วิธีการรายงานผลการประเมิน มีหลายลักษณะ ซึ่งจะเป็นไปตามลักษณะผลการเรียนรู้ ที่ต้องการประเมิน วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล จุดประสงค์ของการประเมินและผู้ใช้ข้อมูล ผลการประเมิน รูปแบบที่ใช้โดยทั่วไปขณะนี้ คือ 1) การรายงานในรูปคะแนน ได้แก่ คะแนนร้อยละ คะแนนรวม 2) ระดับผลการเรียน เป็นตัวอักษร ตัวเลข 3) มาตรวัดที่แสดงพัฒนาการ / ความสามารถ ในลักษณะ rubric 4) รายงานโดยเขียนบอกเล่า 5) การให้ข้อคิดเห็นโดยการเขียน 6) การรายงานด้วยวาจา (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ , 2544 : 87-98 ) สรุปว่าการวัดและประเมินผลการเรียนภาษาไทย ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ จัดการเรียนรู้ ต้องพัฒนาทักษะทางภาษาไปพร้อมๆ กันกับพัฒนาความคิดแบบบูรณาการ อาศัย การฝึกฝน เรียนรู้ที่แตกต่างกันของผู้เรียนแต่ละคน ต้องตระหนักว่าภาษานอกจากจะเป็น เครื่องมือในการสื่อสารและเครื่องมือในการเรียนรู้แล้วภาษายังเป็นวัฒนธรรมของชาติ การประเมินความรู้ความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน ความสามารถในการใช้ภาษา สามารถประเมินได้จากการรวบรวมข้อมูลผ่านการสังเกตการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้เรียนได้ อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ทั้งในขณะที่ผู้สอนจัดกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งถือว่าอยู่ในบริบทที่ ผู้สอนได้จัดหรือจําลองขึ้นมาและในขณะที่ผู้เรียนได้ปฏิบัติในสภาพที่เป็นจริง จากการมี ปฏิสัมพันธ์กับบุคคลต่าง ๆ รอบตัว ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่สะท้อนความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน ได้เป็นอย่างดีพร้อม ๆ กับการประเมินความรู้ความสามารถทางภาษา ผู้สอนสามารถ ประเมินพัฒนาการด้าน คุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่ต้องการปลูกฝังให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียน ด้วยและผู้สอนต้องนําผลการประเมินมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุง และพัฒนาผู้เรียน
64.
64 อย่างจริงจัง มิใช่การประเมินเพื่อนํามาใช้เพื่อการตัดสินเพื่อเลื่อนชั้น หรือเพื่อการผ่านแต่ ประการเดียว
เพราะหลักการประเมินผลการเรียนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ ความสําคัญต่อการประเมินเพื่อปรับปรุงและพัฒนาผู้เรียนเป็นประเด็นหลัก 6.2 การประเมินผลตามสภาพจริง การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment ) หมายถึง การประเมินที่เปิดโอกาส ให้ผู้เรียนปฏิบัติงานที่เหมือนการปฏิบัติงานในชีวิตจริง มีเวลาเพียงพอสําหรับวางแผน การลงมือ ทํางาน จนได้งานที่เสร็จสมบูรณ์ มีโอกาสประเมินผลการทํางานด้วยตนเองและมีการปรึกษา ร่วมกับผู้เรียน การประเมินลักษณะเช่นนี้ จึงจําเป็นต้องใช้การประเมินที่หลากหลายมีการตัดสิน โดยใช้เกณฑ์ (criteria) หรือมาตรฐาน (standard) เดียวกับเกณฑ์ หรือมาตรฐานที่ใช้ตัดสิน การทํางานในชีวิตจริงในชิ้นงานเดียวกัน หรือประเภทเดียวกัน เช่น การกําหนดให้ผู้เรียนจัดทํา นิทรรศการวิชาการ การจัดทําหนังสือเล่มเล็กเกี่ยวกับชุมชน (สํานักวิชาการและมาตรฐาน การศึกษา , 2549 : 1) จากหนังสือ แนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนตามแนวทางปฏิรูปการศึกษา (หน่วยศึกษานิเทศก์ , 2544 : 13) กล่าวว่า การประเมินตามสภาพจริง คือ การประเมินความคิด พฤติกรรม และการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนการสอนที่ครูและนักเรียนร่วมกันกําหนด ซึ่งสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยการสังเกต สัมภาษณ์ การประเมินการปฏิบัติงาน การติดต่อสื่อสารโดยตรงกับผู้เรียน และการประเมินจากผลงาน ฯลฯ กิจกรรมการเรียน การสอนนั้นเป็นสถานการณ์ที่ครูและนักเรียนร่วมกันกําหนดจากสถานการณ์จริง หรือจําลองให้ ใกล้เคียงชีวิตจริงมากที่สุดและควรเป็นสถานการณ์ที่ซับซ้อน มีความหมาย ท้าทายให้ผู้เรียนต้อง ใช้ทักษะการคิดระดับสูงเพื่อแก้ปัญหา รวมถึงการประเมินแฟ้มสะสมผลงานและจัดทําโครงงาน เพื่อตรวจสอบความสามารถในการนําทักษะต่างๆ ไปบูรณาการของผู้เรียน สรุปความว่า การประเมินตามสภาพจริง หมายถึง กระบวนการสังเกต การบันทึกและ การรวบรวมข้อมูลจากงานและวิธีการที่ผู้เรียนทํา เพื่อเป็นพื้นฐานของการตัดสินใจในการศึกษา ถึงผลกระทบต่อผู้เรียนเหล่านั้น การประเมินตามสภาพจริง จะไม่เน้นการประเมินเฉพาะทักษะ พื้นฐาน แต่จะเน้นการประเมินทักษะการคิดที่ซับซ้อนในการทํางานของผู้เรียน ความสามารถ ในการแก้ปัญหา และการแสดงออกที่เกิดจากการปฏิบัติในสภาพจริงในการเรียนการสอน ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ เป็นผู้ค้นพบและเสาะแสวงหาความรู้ ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติจริง รวมทั้ง เน้นพัฒนาการเรียนรู้ของผูกเรียนเพื่อสนองเป้ าหมายของการจัดการศึกษาและความต้องการของ สังคม
65.
65 การประเมินตามสภาพจริง จะแตกต่างจากการประเมินผลการเรียน หรือการประเมิน เพื่อรับรองผลและตัดสินผลการเรียน
เพราะเน้นการพัฒนาผู้เรียนมากกว่าการตัดสินผู้เรียน การให้ความช่วยเหลือและการประสบความสําเร็จของผู้เรียนแต่ละคนมากกว่าที่จะมุ่งให้คะแนน ผลผลิต และจัดลําดับที่ แล้วเปรียบเทียบกับกลุ่ม จะแตกต่างจากการทดสอบทั่วไป เนื่องจาก เป็นการวัดผลโดยตรงในสภาพการแสดงออกจริงในเนื้อหาวิชา ซึ่งการทดสอบจะวัดได้เฉพาะ ความรู้ และทักษะบางส่วนอันเป็นการวัดโดยอ้อมเท่านั้น การประเมินตามสภาพจริง จะมีความ ต่อเนื่องในการให้ข้อมูลในเชิงคุณภาพที่เป็นประโยชน์ต่อครู ได้ใช้เป็นแนวทางการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนให้เหมาะสมแต่ละบุคคลได้ 6.2.1 ความสําคัญของการประเมินตามสภาพจริง สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2549 : 3-6) กล่าวถึง ความสําคัญของ การประเมินตามสภาพจริง สรุปความได้ดังต่อไปนี้ 1) การเรียนรู้และการวัดประเมินผลจากสภาพจริง จะเอื้ออํานวยให้ นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพแต่ละบุคคล เพราะจะเน้นลักษณะสําคัญดังนี้ 1.1) เน้นให้นักเรียนได้แสดงออก / สร้างสรรค์ / ผลิตผลงาน 1.2) ดึงเอาความคิดขั้นสูงความคิดซับซ้อนและทักษะ การแก้ปัญหาออกมาได้ 1.3) ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนเป็นผลจากการเรียนรู้ที่สอดคล้อง กับความเป็นจริงในชีวิตประจําวัน 1.4) กระตุ้นให้เกิดการประยุกต์สู่โลกของความเป็นจริง 2) การประเมินตามสภาพจริง จะเอื้อต่อการจัดการเรียนการสอนที่เน้น ผู้เรียนเป็นสําคัญ โดยครูเป็นผู้ชี้แนะว่าควรจัดเนื้อหาสาระอย่างไร นักเรียนจะเรียนรู้ จากการกระทํามากขึ้น มีความสนใจในบทเรียนมากขึ้น การบ่งชี้ความสามารถที่แท้จริงของ ผู้เรียน มิใช่เป็นเพียงทําข้อสอบได้คะแนนสูงเท่านั้น การประเมินตามสภาพจริงจะแสดง ให้เห็นว่านักเรียนทําอะไรได้มากกว่าจะบอกว่านักเรียนรู้อะไร 3) สังคมมนุษย์ในปัจจุบันและอนาคต เป็นสังคมที่รวมกันเป็น กลุ่มใหญ่ไร้ขอบเขต เนื่องจากความเจริญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ คนในสังคมจะมี การแข่งขันอย่างเสรี วิถีชีวิตมีความซับซ้อนมากขึ้น การจัดการศึกษาให้ผู้เรียนแยกเป็นส่วน ๆ โดยการทําแบบฝึกหัดหรือใบงาน แล้วตอบคําถาม ไม่น่าจะเพียงพอสําหรับการเตรียมเยาวชน ให้ดํารงชีวิตในสังคมอย่างปกติสุข
66.
66 ดังนั้นการให้ผู้เรียนได้สร้างงาน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการพัฒนา การเรียนและบูรณาการวิชาต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นโครงการ
ภาระงาน จึงจําเป็นอย่างยิ่งในการให้ การศึกษาแก่เยาวชนของชาติในปัจจุบัน ซึ่งครูต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วย การปรับเปลี่ยนวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและการประเมินผลให้สามารถตอบสนอง ความต้องการของสังคม ด้วยผลงานของนักเรียนที่ปรากฏ จะเป็นหลักฐานที่สําคัญอันแสดงถึง ความรับผิดชอบของครู 4) โดยทั่วไปครูมักจะมองภาพการสอน การเรียนรู้ของนักเรียนและ การประเมินผลเป็นงานที่แยกออกจากกัน โดยครูให้ความรู้ข้อมูลต่างๆ พอเห็นว่านักเรียนเกิด การเรียนรู้แล้วจึงทําการประเมินผล ซึ่งใช้วิธีเรียกว่าสอบ ทําให้นักเรียนมีความวิตกกังวล ไม่มี ความสุขในการเรียน เพราะการสอบจะเป็นการเน้นการจับผิดหาจุดด้อยของผู้เรียน ในขณะที่ เจตนาที่แท้จริงของการประเมินผล คือช่วยพัฒนาการเรียนรู้นักเรียนและการสอนของครู การค้นหาจุดเด่นของนักเรียน เพื่อสร้างเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ ดังนั้น การประเมินผลการเรียนรู้ การสอน จึงมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและเกิดขึ้นในเวลา เดียวกัน 5) ในการเรียนเพื่อสร้างองค์ความรู้ และสร้างลักษณะนิสัยให้ผู้เรียน ดี เก่ง และมีความสุข โดยการจัดเป็นหน่วยการเรียนรู้ และการประเมินตามสภาพจริง จะช่วย แก้ปัญหาและภาระของครูในกรณีที่นักเรียนไม่ผ่านจุดประสงค์ ต้องคอยซ่อมเสริมและสอบ แก้ตัวอยู่บ่อยๆ ปัญหานี้จะหมดไป เพราะการประเมินตามสภาพจริง จะมีหลักฐาน การปฏิบัติงานของนักเรียน ซึ่งจะได้รับการพัฒนาและแก้ไขอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งมีการบันทึก การปฏิบัติงาน การรายงานแสดงความคิดเห็นต่างๆ ของผู้เรียน เพื่อน ผู้ปกครองและครู รวมทั้ง ผลผลิต การทํางานเพื่อยืนยันความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน แสดงให้เห็นว่าผู้เรียน สามารถทําอะไรได้บ้าง มากกว่าจะบอกได้ว่าผู้เรียนรู้อะไร 6) การประเมินตามสภาพจริง เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสําหรับ การวัดผลและประเมินผลทางการศึกษา เนื่องจากหลักการสําคัญของการวัดผล คือ กระบวนการในการรวบรวมเหตุการณ์ ข้อมูลที่นักเรียนสามารถทําได้ และการประเมินผล คือ กระบวนการแปลความหมายของเหตุการณ์ หรือข้อมูลและตัดสินจากข้อมูลพื้นฐานเหล่านั้น การประเมินตามสภาพจริง จะบรรยายถึงงานที่ให้นักเรียนแสดงออกหรือผลิตความรู้ในสภาพ จริงของการเรียนการสอน มากกว่าที่จะวัดความรู้ด้วยการทดสอบ เพราะการทดสอบไม่สามารถ แสดงสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้หรือความสามารถที่แท้จริงของนักเรียนได้ดีเท่าที่ควรจะเป็น แต่
67.
67 การประเมินตามสภาพจริงจะสะท้อนถึงความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนออกมาในรูปของ ผลผลิตหรือชิ้นงาน ที่สามารถวัดและประเมินผลได้หลายประการ เช่น
ความรู้ความสามารถ ทักษะความชํานาญ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ระเบียบวินัย กระบวนการทํางาน ลักษณะผู้นํา ผู้ตาม ปฏิกิริยาโต้ตอบในกลุ่ม ลักษณะเด่น ลักษณะด้อยที่ต้องพัฒนา ฯลฯ ซึ่งรวมแล้วก็คือ ลักษณะที่พึงประสงค์ที่เน้นให้เกิดแก่ผู้เรียน 3 ประการคือ ดี เก่ง และมีความสุข (สํานัก วิชาการและมาตรฐานการศึกษา , 2549 : 3-6) สรุปได้ว่า การประเมินจากสภาพจริง อาจประเมินได้จากหลายอย่าง เป็นการประเมิน จากพฤติกรรมและชิ้นงานนักเรียน ซึ่งสามารถวัดและประเมินผู้เรียนได้อย่างชัดเจน ครบถ้วน ทุกอย่างที่ครูต้องการประเมินนักเรียน และเป็นการประเมินในเชิงพัฒนาผู้เรียนมากกว่าประเมิน เพื่อตัดสิน อันเป็นหลักการสําคัญที่จะพัฒนาผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ ความแตกต่างระหว่าง บุคคลของผู้เรียน 7.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้ พัชรี แซ่สุ้น (2545) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การสร้างชุดการสอนเพื่อใช้เสริมสมรรถภาพ การอ่านในใจ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยมีวัตถุประสงค์ สร้างชุดการสอน เพื่อเสริม สมรรถภาพการอ่านในใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 เพื่อหาประสิทธิภาพของ ชุดการสอนเสริมสมรรถภาพการอ่านในใจตามเกณฑ์ 80/80 และเพื่อเปรียบเทียบสมรรถภาพ การอ่านในใจของนักเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียน โดยใช้ชุดการสอนเสริมสมรรถภาพ การอ่านในใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 เครื่องมือที่ใช้ คือ ชุดการสอนเสริม สมรรถภาพ การอ่านในใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ การอ่านในใจ ผลการวิจัยพบว่า ชุดการสอนเสริมสมรรถภาพการอ่านในใจของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 82.33/80.63 ซึ่งสูงกว่าเกินเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 จึงมีประสิทธิภาพดีมาก สมรรถภาพการอ่านในใจของนักเรียนจากการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนด้วยการใช้ ชุดการสอนสูงกว่าก่อนใช้ และเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนกับ หลังเรียน ปรากฏว่าคะแนนสอบหลังเรียนสูงกว่าคะแนนสอบก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.01 เชษฐธวัช ชวกาญจนกิจ (2547) ได้ศึกษาวิจัย เรื่อง การพัฒนาชุดการสอนวิชาภาษา
68.
68 อังกฤษเรื่องการอ่านเพื่อจับใจความสําคัญสําหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ หาประสิทธิภาพของชุดการสอนที่พัฒนาขึ้น
กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2546 จํานวน 60 คน โรงเรียนลาซาน กรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ชุดการสอนวิชาภาษาอังกฤษเรื่องการอ่านเพื่อจับใจความสําคัญสําหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 แบบฝึกหัดระหว่างเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินคุณภาพ ชุดการสอน ผลการวิจัยพบว่า ชุดการสอนวิชาภาษาอังกฤษเรื่องการอ่านเพื่อจับใจความสําคัญ สําหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 มีประสิทธิภาพ 87.33/87.79 ผลการประเมินคุณภาพชุดการสอนอยู่ ในระดับเหมาะสมมากที่สุด สมศักดิ์ ทองบ่อ (2549) ได้ศึกษาวิจัย เรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทยเรื่องรูปและเสียงในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอน โดยการเรียนแบบร่วมมือกันเทคนิค STAD กับการสอนแบบปกติ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่องรูปและเสียงในภาษาไทย ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือกันเทคนิค STAD กับการสอนแบบ ปกติ เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อวิธีสอนโดยการเรียนแบบ ร่วมมือกัน เทคนิค STAD ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน วิมุตยารามพิทยากร กรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2549 จํานวน 64 คน จาก 2 ห้องเรียน ห้องเรียนละ 32 คน กลุ่มทดลองสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือกันเทคนิค STAD กลุ่มควบคุม สอนโดยวิธีสอนแบบปกติเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง รูปและ เสียงในภาษาไทยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน และ แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อวิธีสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือกัน เทคนิค STAD ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องรูปและเสียงในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนแบบร่วมมือกันเทคนิค STAD กับนักเรียน ที่ได้รับการสอนแบบปกติแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยนักเรียนที่ได้รับ การสอนแบบร่วมมือกันเทคนิคSTAD มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอน แบบปกติ นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือกันมีความคิดเห็นต่อการเรียน แบบร่วมมือกันเทคนิค STAD ในระดับเหมาะสมมาก วรรณวิศา หนูเจริญ (2544) ได้ศึกษาวิจัย เรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่สอนด้วยการเรียน แบบร่วมมือกันและการสอนตามแนวคู่มือครู โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์
69.
69 ทางการเรียนวิชา ส 20110
พระพุทธศาสนาเรื่องหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่สอนด้วยการเรียนแบบร่วมมือกันและการสอนตามแนวคู่มือครู และเพื่อ ศึกษา ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการสอนด้วยการเรียนแบบร่วมมือกัน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2544 โรงเรียนวัดราชบพิธ กรุงเทพมหานคร ใช้วิธี สุ่มอย่างง่าย เป็นกลุ่มทดลอง 1 ห้องเรียน จํานวน 40 คน สอนด้วย การเรียนแบบร่วมมือกัน โดยใช้ 4 เทคนิค คือ 1) เทคนิค Jigsaw ll สอนเรื่องอริยสัจ 4 2) เทคนิค TGT สอนเรื่องทุจริต 3 3) เทคนิค STAD สอนเรื่องสุจริต 3 4) เทคนิค TAI สอนเรื่องบุญกิริยาวัตถุ 3 และกลุ่มควบคุม 1 ห้องเรียน จํานวน 40 คน สอนตามแนวคู่มือครู ใช้เวลาในการทดลอง 4 สัปดาห์ ๆ ละ 2 คาบ คาบละ 50 นาที รวมทั้งสิ้น 8 คาบเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการ จัดการเรียนรู้ ด้วยการเรียนแบบร่วมมือกัน ประกอบด้วยเทคนิค Jigsaw ll , TGT , STAD และ TAI แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคู่มือครู แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ แบบสอบถามความคิดเห็น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ค่าเฉลี่ย ( X ), ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D) , การวิเคราะห์เนื้อหา , t-test แบบ dependence และ t-test แบบ independence ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่สอนด้วยการเรียนแบบร่วมมือกับนักเรียนที่ได้รับการสอน ตามแนว คู่มือครู มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา แตกต่างกันอย่างมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยกลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงกว่ากลุ่มควบคุม นักเรียนที่สอนด้วยการเรียนแบบร่วมมือมีความคิดเห็นว่า การเรียนแบบร่วมมือเป็นการจัดการเรียนการสอนที่ช่วยให้เกิดความสามัคคี เข้าใจบทเรียนได้ ดีขึ้น มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อกลุ่ม มีการช่วย เหลือซึ่งกันและ กัน รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น จิตรา ยิ้มหงส์ (2550) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง รายงานการใช้แบบฝึกการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิคกลุ่มช่วยเหลือ การเรียนรายบุคคล หรือ TAI (Team Assisted Individualization)เพื่อ พัฒนาความสามารถด้านการเขียนคําที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา สาระการเรียนรู้ภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างแบบฝึกการเรียนแบบ ร่วมมือ เทคนิคกลุ่มช่วยเหลือ การเรียนรายบุคคล หรือ TAI (Team Assisted Individualization) เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการเขียนคําที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา สาระการเรียนรู้ภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การเขียนคําที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา สาระการ เรียนรู้ภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการใช้แบบฝึกการเรียน
70.
70 แบบร่วมมือ เทคนิคกลุ่มช่วยเหลือ การเรียนรายบุคคล
หรือ TAI (Team Assisted Individualization)กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/3 โรงเรียน พระตําหนักสวนกุหลาบ มหามงคล อําเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ปีการศึกษา 2550 จํานวน 39 คน ได้มาด้วยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบฝึกการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิคกลุ่มช่วยเหลือ การเรียนรายบุคคล หรือ TAI (Team Assisted Individualization) และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สําหรับสถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าอํานาจจําแนก ค่าความ ยากง่าย ค่าความเชื่อมั่น และค่าที (t-test Dependent) ผลการวิจัยพบว่า 1)ประสิทธิภาพแบบ ฝึกการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิคกลุ่มช่วยเหลือ การเรียนรายบุคคล หรือ TAI (Team Assisted Individualization) เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการเขียนคําที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา มีค่าเท่ากับ 87.87/86.58 เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่ตั้งไว้ปรากฏว่าแบบฝึกที่สร้างขึ้นมี ประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานของการวิจัยที่ตั้งไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การเขียนคําที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา สาระการเรียนรู้ภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการใช้แบบฝึกวิธีการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิคกลุ่มช่วยเหลือ การเรียนรายบุคคล หรือ TAI (Team Assisted Individualization) พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่ง สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ จีรพันธ์ โมสิกะและคณะ(2550) ได้ศึกษาวิจัย เรื่อง การศึกษาประสิทธิผลของการสอน โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ (TAI) ด้วยสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง กราฟ สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนา รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ (TAI) ด้วยสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง กราฟ สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากการเรียนโดยใช้ รูปแบบวิธีการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิคกลุ่มช่วยเหลือ การเรียนรายบุคคล หรือ TAI (Team Assisted Individualization) ด้วยสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กับการเรียนแบบปกติ 3) เพื่อ ศึกษาระดับความพึงพอใจในการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการใช้รูปแบบการ เรียนการสอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ (TAI) ด้วยสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง กราฟ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเนินสง่าวิทยา สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาชัยภูมิ เขต 3 ภาคเรียน ที่ 2
71.
71 ปีการศึกษา 2549 โดยสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย
จํานวน 2 ห้อง ประกอบด้วย กลุ่มทดลองที่สอนด้วย รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ (TAI) ด้วยสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จํานวน 1 ห้องเรียน และกลุ่มควบคุมสอนตามปกติ จํานวน 1 ห้องเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (TAI) ด้วยสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน แบบทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ และแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบ การเรียนรู้แบบร่วมมือ (TAI) ด้วยสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าทดสอบที ค่าร้อยละ ผลการวิจัย พบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (TAI) ด้วยสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน รายวิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง กราฟ สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีประสิทธิภาพ 80.34/77.81 สูง กว่าเกณฑ์ 75/75 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนกลุ่มที่เรียนด้วยรูปแบบการเรียนรู้ แบบร่วมมือ (TAI) ด้วยสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กับกลุ่มที่เรียนตามปกติแตกต่างกัน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการเรียนรู้ แบบร่วมมือ (TAI) ด้วยสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน พบว่านักเรียนมีระดับความพึงพอใจ รูปแบบการเรียนรู้ แบบร่วมมือ (TAI) ด้วยสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนอยู่ในระดับมาก ทัศนีย์ มโนสมุทร (2546) ได้ศึกษาการวิจัยเรื่องผลของการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ในวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เรขาคณิตวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4โรงเรียนดาราวิทยาลัย ปีการศึกษา 2546 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการเรียนแบบ ร่วมมือ (Cooperative Learning) ที่มีต่อการเรียนการสอน ในวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเรขาคณิต วิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 4 โรงเรียนดาราวิทยาลัย ปีการศึกษา 2546 การวัดผล การเรียนรู้ หลังจากนักเรียนได้ศึกษาจากบทเรียนเรียบร้อยแล้ว จะเป็นการวัดรายบุคคลแล้วนํา คะแนนของแต่ละคนมารวมเป็นคะแนนกลุ่ม แต่ทําได้เพียง 2 ห้อง คือ ห้อง ม.4/1 และ ห้อง ม.4/3 ส่วนห้อง ม.4/2 สถานที่ไม่อํานวยจึงได้จัดให้นั่งสอบเป็นกลุ่มช่วยกัน จึงพบว่าคะแนน แต่ละกลุ่มของห้อง ม.4/2 ค่อนข้างสูง ซึ่งมี 1 กลุ่มที่ทําคะแนนได้เต็ม และทุกกลุ่มสอบผ่าน ทําคะแนนได้เกินครึ่งหนึ่งของคะแนนเต็มทั้งสิ้น ทั้งนี้เป็นเพราะการระดมความคิด ช่วยกัน แก้ปัญหา ส่งผลให้นักเรียนทําคะแนนได้สูง ไม่ว่าจะเป็นคะแนนเฉลี่ยของห้องก็สูงกว่า และ แม้แต่คะแนนเฉลี่ยของกลุ่มที่ได้คะแนนตํ่าสุด คะแนนของห้อง ม.4/2 ก็สูงกว่าเช่นกัน นพนภา อ๊อกด้วง (2547) ได้ศึกษาการวิจัย เรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง คําและหน้าที่ของคําในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับ
72.
72 การสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือกัน เทคนิค STAD
กับการสอนแบบปกติ โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง คําและหน้าที่ของคําในภาษาไทย ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือกัน เทคนิค STAD กับการสอน แบบปกติ 2) ศึกษาความเห็นของนักเรียนที่มีต่อการสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือกันเทคนิค STAD ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนศาลาตึกวิทยา จังหวัดนครปฐม ที่กําลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2547 จํานวน 48 คน จาก 2 ห้องเรียน ห้องเรียนละ 24 คน โดยให้ห้องหนึ่งเรียนโดยการเรียนแบบร่วมมือกันด้วยเทคนิค STAD และ อีกห้องหนึ่งเรียนโดยการสอนแบบปกติ ใช้เวลาในการทดลอง 14 คาบ คาบละ 50 นาที เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน และแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการสอนโดยการเรียน แบบร่วมมือกันเทคนิค STAD การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย (X) ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) และทดสอบค่าเฉลี่ยโดยใช้การทดสอบ paired-samples t test ผลการวิจัย 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง คําและหน้าที่ของคําในภาษาไทยของนักเรียนที่ได้รับการสอน โดยการเรียนแบบร่วมมือกันเทคนิค STAD กับนักเรียนที่ได้รับการสอนแบบปกติแตกต่างกัน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยกลุ่มที่ได้รับการสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือกัน เทคนิค STAD สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการสอนแบบปกติ 2) นักเรียนมีความพอใจต่อการเรียน แบบร่วมมือกันเทคนิค STAD ในระดับมากที่สุด จะเห็นได้ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยชุดการเรียนหรือชุดการสอนได้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงขึ้น ทั้งความคิดเห็นของผู้เรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วย ชุดการเรียน และการเรียนแบบร่วมมืออยู่ในระดับดีในหลาย ๆ ด้าน คุณภาพของผู้เรียนสูงขึ้น จึงสรุปได้ว่า การใช้ชุดการเรียนและการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นการจัดการศึกษา ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ และส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองเต็มตามศักยภาพและความแตกต่าง ระหว่างบุคคล
73.
73 บทที่ 3 วิธีดาเนินการวิจัย ผู้วิจัยได้ดําเนินการศึกษาค้นคว้าตามหัวข้อต่อไปนี้ 1.ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2.เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ 4.การดําเนินการวิจัย 5.การวิเคราะห์ข้อมูล 6.สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้
เป็นนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนประชาบํารุง อําเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง จํานวน 42 คน ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ใช้ประชากรทั้งหมดเพราะเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนสอนใน ชั้นเรียนปกติจึงต้องการให้นักเรียนทุกคนได้รับนวัตกรรมอย่างเท่าเทียมกันบนพื้นฐานด้าน คุณธรรมจริยธรรม 2.เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 2.1 ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย จํานวน 5 ชุด 2.2 แผนการจัดการเรียนรู้ จํานวน 5 แผน 2.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ เรื่อง เสียงในภาษาไทย จํานวน 1 ชุด เป็นแบบทดสอบ ปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จํานวน 30 ข้อ 2.4 แบบวัดความคิดเห็นของนักเรียนต่อการใช้ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย เป็น มาตราส่วนประมาณค่า จํานวน 15 ข้อ 2.5 แบบบันทึกการประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียน เพื่อประเมินระดับคุณภาพของ นักเรียน 3 ด้าน คือ ด้านความรู้ความคิด ด้านคุณธรรมจริยธรรม และด้านทักษะกระบวนการ
74.
74 3. การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ 3.1 ชุดการเรียน
เรื่อง เสียงในภาษาไทย ผู้วิจัยได้ดําเนินการสร้างชุดการเรียนตามขั้นตอนต่อไปนี้ 3.1.1 ศึกษาเทคนิควิธีและรายละเอียดเกี่ยวกับหลักการสร้างชุดการเรียนจาก เอกสาร ตํารา และงานวิจัย เพื่อเป็นแนวทางในการจัดเนื้อหาและการสร้างชุดการเรียน 3.1.2 ศึกษาพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 หลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 คู่มือพัฒนาสื่อการเรียนรู้ แนวทางการวัดผล ประเมินผลตามสภาพจริง สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ คู่มือการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย หนังสือเรียนภาษาไทย และหนังสือตําราเกี่ยวกับหลักภาษาไทย เพื่อกําหนด ขอบเขตเนื้อหาและกําหนดพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน 3.1.3 จากการศึกษาวิเคราะห์สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ได้นําเอาสาระที่ 4 หลักการใช้ภาษา มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลง ของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษาและรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ โดย เลือกเอา เรื่อง เสียงในภาษาไทยเพราะถือว่าเป็นความรู้พื้นฐานที่ผู้เรียนควรรู้และนําไปใช้ใน การเข้าใจในธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย ชุดการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นชุดการเรียนประเภทชุดการเรียนรายบุคคล ที่มุ่งให้ ผู้เรียนสามารถศึกษาด้วยตนเอง ตามความแตกต่างระหว่างบุคคล แต่ผู้วิจัยได้นําไปปรับใช้กับ การจัดกิจกรรมเรียนการสอนแบบร่วมมือ เทคนิคการใช้กลุ่มช่วยเหลือการเรียนรายบุคคล หรือ TAI (Team Assisted Individualized Instruction) เป็นรูปแบบการสอนที่ผสมผสานแนวความคิด ระหว่างการร่วมมือ กับการสอนรายบุคคล โดยจัดกลุ่มผู้เรียนกลุ่มละ 4-6 คน คละเก่งปานกลาง อ่อน (1 : 3 : 1) การเรียนรู้ของนักเรียนจะเป็นการเชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้เป็นรายบุคคลและ การเรียนรู้แบบร่วมมือ กลุ่มจะมีหน้าที่ช่วยเหลือบุคคลที่มีปัญหา สนับสนุนส่งเสริมให้ได้รับ ความสําเร็จในการเรียนโดยในขั้นสุดท้ายของกิจกรรมจะมีการทดสอบเป็นรายบุคคล การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบร่วมมือ เทคนิคการใช้กลุ่มช่วยเหลือการเรียน รายบุคคล หรือ TAI (Team Assisted Individualized Instruction)นี้ ผู้วิจัยนํามาใช้จัดกิจกรรม การเรียนการสอนเพื่อแก้ปัญหาผู้เรียนที่เรียนอ่อน เนื่องจากสภาพความเป็นจริงของผู้เรียน ในโรงเรียนประชาบํารุงเป็นโรงเรียนมัธยมประจําตําบล ผู้เรียนมีความหลากหลายและมีความ แตกต่างกันมาก 3.1.4 สร้างสื่อการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอนที่สร้างขึ้นเพื่อใช้
75.
75 จัดกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละชุดการเรียนประกอบด้วย บัตรรายชื่อสมาชิกกลุ่ม บัตรคําสั่ง บัตรเนื้อหา
บัตรคําถามกิจกรรม บัตรเฉลยกิจกรรม นําสื่อต่างๆ มาเย็บเล่มรวมกัน เป็นชุดการเรียนแต่ละชุด (ยกเว้นบัตรเฉลยกิจกรรม ให้ผู้เรียนมารับหลังจากตอบคําถามเสร็จ แล้ว) 3.1.5 สร้างชุดการเรียน ตามลําดับขั้นตอนต่อไปนี้ 1) กําหนด เนื้อหาสาระ ที่นํามาสร้างชุดการเรียน โดยผู้วิจัยใช้ เนื้อหาสาระที่ 4 หลักการใช้ภาษา มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและ หลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษาและรักษา ภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ โดยเลือกเอาเรื่อง เสียงในภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 2) กําหนดหน่วยการสอน โดยการแบ่งเนื้อหาสาระออกเป็น ชุดการเรียนเพื่อให้ผู้วิจัยสามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียน โดยกําหนดเป็น ชุดการเรียนใช้เวลาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนชุดการเรียนละประมาณ 2 ถึง 4 คาบเรียน 3) กําหนดหัวเรื่อง ผู้วิจัยกําหนด เรื่อง เสียงในภาษาไทย แบ่งเนื้อหา ออกเป็น 5 ชุดการเรียน คือ ชุดการเรียนที่ 1 ระบบเสียงและอวัยวะในการออกเสียง ชุดการเรียนที่ 2 เสียงสระ ชุดการเรียนที่ 3 เสียงพยัญชนะ ชุดการเรียนที่ 4 เสียงวรรณยุกต์ ชุดการเรียนที่ 5 การประกอบเสียงเป็นพยางค์และคํา 4) กําหนดมโนคติ และหลักการ ให้สอดคล้องกับชุดการเรียนและ หัวเรื่อง โดยสรุปรวม แนวคิด สาระและหลักเกณฑ์สําคัญไว้เพื่อเป็นแนวทางในการนําเสนอ เนื้อหาที่จะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกัน 5) กําหนดวัตถุประสงค์ ในการผลิตชุดการเรียนนี้ผู้วิจัยได้กําหนด วัตถุประสงค์ตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวังที่ผ่านการวิเคราะห์มาจากสาระการเรียนรู้และมาตรฐาน การเรียนรู้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 6) กําหนดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้วิจัยกําหนดให้มีความสอดคล้องกับผล การเรียนรู้ที่คาดหวัง โดยศึกษาวิเคราะห์จากหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544
76.
76 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 4
หลักการใช้ภาษา และศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวกับ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย เพื่อให้เหมาะกับเนื้อหาสาระ ความรู้ ความสามารถ ของผู้เรียน และเพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างยั่งยืน 7) กําหนดแบบประเมินผล ผู้วิจัยกําหนดแบบประเมินผล เริ่มตั้งแต่ การกําหนดแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อประเมินระดับความรู้พื้นฐาน บัตรคําถามกิจกรรมแต่ละ ชุดการเรียนที่สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เป็นการประเมินเพื่อทราบพัฒนาการ ของผู้เรียน และแบบทดสอบหลังเรียนเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นอกจากนี้ยังประเมิน จากพฤติกรรมการร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน กิจกรรมกลุ่มแบบร่วมมือ และประเมินจาก ชิ้นงานของผู้เรียนแต่ละคน 8) ดําเนินการผลิตชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งชุดการเรียนแต่ละชุดประกอบด้วย (1) ปกหน้า (2) ปกใน (3) คําชี้แจงสําหรับนักเรียน (4) จุดประสงค์การเรียนรู้ (5) บัตรคําสั่ง (6) บัตรเนื้อหา (7) บัตรคําถาม (8) บัตรเฉลย (9) ปกหลัง 9) สร้างคู่มือการใช้นวัตกรรม ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประกอบด้วย (1) ปกหน้า (2) ปกใน (3) คํานํา (4) สารบัญ (5) คําแนะนําการใช้ชุดการเรียน (5.1) สิ่งที่ครูต้องเตรียมก่อนนําชุดการเรียนไปใช้ (5.2) ขั้นตอนการใช้ชุดการเรียน
77.
77 (5.3) บทบาทของครูบทบาทของนักเรียน (5.4) บทบาทของนักเรียน (5.5)
การจัดชั้นเรียน (6) บัตรรายชื่อสมาชิกกลุ่ม (7) แบบทดสอบก่อนเรียน (8) แผนการจัดการเรียนรู้ 5 แผน ตามชุดการเรียน 5 ชุด คือ (8.1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ระบบเสียงและ อวัยวะในการออกเสียง (8.2) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง เสียงสระ (8.3) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง เสียงพยัญชนะ (8.4) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง เสียงวรรณยุกต์ (8.5) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง การประกอบ เสียงเป็นพยางค์และคํา (9) แบบทดสอบหลังเรียน (10) แบบประเมินผลงาน (11) แบบบันทึกการประเมินผลการเรียนรู้ (12) เกณฑ์การประเมินผล (13) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรม ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 (14) ปกหลัง 10) สร้างสมุดบันทึกผลการเรียนรู้ 11) สร้างแบบประเมินคุณภาพของของเครื่องมือ สําหรับผู้เชี่ยวชาญ แบบประเมินคุณภาพ มี 5 ระดับ คือ ดีมาก ให้ 5 คะแนน ดี ให้ 4 คะแนน ปานกลาง ให้ 3 คะแนน พอใช้ ให้ 2 คะแนน ปรับปรุง ให้ 1 คะแนน
78.
78 เกณฑ์การให้ความหมายค่าเฉลี่ย กําหนดเกณฑ์ดังนี้ คะแนนเฉลี่ย การแปลผล 4.21
– 5.00 ดีมาก 3.41 – 4.20 ดี 2.61 – 3.40 ปานกลาง 1.81 – 2.60 พอใช้ 1.00 – 1.80 ปรับปรุง 12) นํานวัตกรรม ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ที่สร้างขึ้นพร้อม ด้วยคู่มือการใช้นวัตกรรม ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย แผนการจัดการเรียนรู้ และแบบ ประเมินคุณภาพของเครื่องมือเสนอผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ประเมินคุณภาพในด้านต่างๆ ได้แก่ เนื้อหา การใช้ภาษา กิจกรรมการเรียนการสอน การวัดผลประเมินผลและรูปแบบของ นวัตกรรม ซึ่งผู้เชี่ยวชาญประกอบด้วย (1) นางสงวน มณีนิล ตําแหน่ง ครู คศ. 4 วิทยฐานะ ครูเชี่ยวชาญ โรงเรียนพัทลุง เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 12 คุณวุฒิการศึกษา การศึกษาบัณฑิต วิชาเอกภาษาไทย (2) นายสมพร ศรีนวล ตําแหน่ง ครู คศ. 3 วิทยฐานะ ครูชํานาญการพิเศษ โรงเรียนพัทลุง เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 12 คุณวุฒิการศึกษา การศึกษาบัณฑิต วิชาเอกภาษาไทย (3) นางคําพรรณ พงศ์ชู ตําแหน่ง ครู คศ. 3 วิทยฐานะ ครูชํานาญการพิเศษโรงเรียนบ้านแม่ขรี เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 คุณวุฒิการศึกษา การศึกษาบัณฑิต วิชาเอกภาษาไทย ผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญพบว่า ระดับคะแนนเฉลี่ยของนวัตกรรม ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย เท่ากับ 4.27 มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก (รายละเอียดดังภาคผนวก ค) 11) นําชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไข และผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว นําไปทดสอบหาประสิทธิภาพ (E1/E2) กําหนดเกณฑ์ 80/80 และค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I)ไม่น้อยกว่า 0.50 กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปี การศึกษา 2552 โรงเรียนประชาบํารุง ที่ยังไม่เคยเรียนเนื้อหา เรื่อง เสียงในภาษาไทย มาก่อน โดยดําเนินการ ต่อไปนี้
79.
79 11.1) ทดลองหาประสิทธิภาพแบบหนึ่งต่อหนึ่ง (One
to One Testing) ทดลองใช้กับนักเรียนจํานวน 3 คน โดยเลือกนักเรียนที่มีผลการเรียนภาษาไทย สูง ปานกลาง และตํ่า อย่างละ 1 คน ซึ่งผู้เรียนทั้ง 3 คนบ้านอยู่ใกล้โรงเรียนมาจัดกิจกรรม การเรียนรู้ในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ ผลปรากฏว่า ได้ค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) 79.33/72.22 ค่า ดัชนีประสิทธิผล (E.I) 0.46 แล้วทําการพัฒนา ปรับปรุง แก้ไขข้อบกพร่องของชุดการเรียน คือ เพิ่มคําถามในบัตรคําถามบางกิจกรรม เพิ่มภาพการ์ตูนประกอบเพื่อให้เกิดความเพลิดเพลิน ในการเรียนและปรับเปลี่ยนรูปแบบในการนําเสนอให้น่าสนใจมาขึ้น 11.2) ทดลองหาประสิทธิภาพแบบกลุ่มเล็ก (Small Group Testing) ทดลองใช้กับนักเรียนจํานวน 12 คน โดยเลือกนักเรียนที่มีผลการเรียนภาษาไทย ระดับสูงจํานวน 3 คน ระดับปานกลางจํานวน 6 คน และระดับตํ่าจํานวน 3 คน มาจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ ผลปรากฏว่า ได้ค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) 82.25/81.94 ค่าดัชนี ประสิทธิผล (E.I) 0.67 12) นํานวัตกรรม ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ไปจัดพิมพ์เป็น ฉบับที่สมบูรณ์ เพื่อนําไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้กับนักเรียนกลุ่มเป้ าหมายต่อไป 3.2 แผนการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยได้ดําเนินการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ตามลําดับขั้นตอนดังนี้ 3.2.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 และงานวิจัย ที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง เสียงในภาษาไทย คู่มือครู หนังสือ ตํารา และเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับ วิธีการเรียนแบบร่วมมือและชุดการเรียน 3.2.2 ศึกษาขั้นตอนการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ 3.2.3 ศึกษาเนื้อหาเรื่อง เสียงในภาษาไทย จากหนังสือเรียน คู่มือครู ตําราและ เอกสารต่างๆ 3.2.4 นําเนื้อหาเรื่อง เสียงในภาษาไทย มาเป็นสาระการเรียนรู้ของแผนการ จัดการเรียนรู้แบ่งเป็น 5 แผน จัดกิจกรรมการเรียนรู้ 16 คาบ ดังนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ระบบเสียงและอวัยวะ ในการออกเสียง จัดกิจกรรมการเรียนรู้ 3 คาบ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง เสียงสระ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2 คาบ 3) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง เสียงพยัญชนะ
80.
80 จัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4 คาบ 4)
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง เสียงวรรณยุกต์ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ 3 คาบ 5) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง การประสมเสียงเป็นพยางค์ และคํา จัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4 คาบ 3.2.5 จัดพิมพ์แผนการเรียนรู้ร่วมไปกับคู่มือการใช้นวัตกรรม ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้ผู้เชี่ยวชาญประเมิน 3.2.5 นําแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้รับการประเมินและให้ข้อเสนอแนะจาก ผู้เชี่ยวชาญมาพิจารณาปรับปรุงและแก้ไข 3.2.6 นําแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขแล้ว มาจัดพิมพ์เป็น ฉบับที่สมบูรณ์ เพื่อนําไปใช้กับนักเรียนต่อไป 3.3 แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษา ที่ใช้ในการวิจัย ครั้งนี้ สร้างขึ้นเพื่อใช้ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ผู้วิจัยได้ดําเนินการตามลําดับดังนี้ 3.3.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษา ช่วงชั้นที่ 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3.3.2 ศึกษาหลักการวัดผลประเมินผล และวิธีการสร้างแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากหนังสือ เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบทดสอบ 3.3.3 กําหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ให้สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง เสียงในภาษาไทย 3.3.4 วิเคราะห์เนื้อหาแต่ละชุดการเรียน นําไปสร้างแบบทดสอบที่มีความ สอดคล้องกัน 3.3.5 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย เป็น แบบเลือกตอบ ชนิด 4 ตัวเลือก จํานวน 30 ข้อ โดยให้ครอบคลุมเนื้อหา และผลการเรียนรู้ที่ คาดหวัง 3.3.6 นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ให้ ผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ตรวจสอบดูความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยพิจารณาความสอดคล้องรายข้อ ของแบบทดสอบกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยกําหนดคะแนนความคิดเห็นดังนี้
81.
81 + 1 =
แน่ใจว่าข้อสอบวัดจุดประสงค์ข้อนั้น 0 = ไม่แน่ใจว่าข้อสอบวัดจุดประสงค์ข้อนั้น - 1 = แน่ใจว่าข้อสอบไม่วัดจุดประสงค์ข้อนั้น 3.3.7 แล้วนําความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.33 – 1.00 ดังภาคผนวก ค 3.3.8 นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางเรียนที่ได้รับการตรวจสอบจาก ผู้เชี่ยวชาญแล้วมาปรับปรุงแก้ไขอีกครั้ง 3.3.9 นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางเรียน ที่ผ่านการคัดเลือกและแก้ไข ปรับปรุงมาแล้วไปทดลองทดสอบนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนประชาบํารุง ซึ่งผ่าน การเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทยมาแล้ว จํานวน 80 คน คัดเลือกกระดาษคําตอบนักเรียนใน กลุ่มที่ได้คะแนนสูง 27 คน และกระดาษคําตอบนักเรียนในกลุ่มที่ได้คะแนนตํ่า 27 คน นํามาวิเคราะห์หาค่ายากง่าย (p) ค่าอํานาจจําแนก (r) ค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ด้วย โปรแกรมคอมพิวเตอร์วิเคราะห์ข้อสอบด้วยวิธีหาค่าดัชนีจําแนก B (B-Index) ได้ค่ายากง่าย (p) ตั้งแต่ 0.21 ถึง 0.83 ค่าอํานาจจําแนก (r) ตั้งแต่ 0.16 ถึง 0.73 ค่าความเชื่อมั่น (Reliability) 0.79 3.3.10 นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางเรียน ที่ผ่านการวิเคราะห์มาปรับปรุง อีกครั้ง โดยเฉพาะบางข้อที่ค่าความยากง่าย (p) ไม่อยู่ในเกณฑ์ ตั้งแต่ 0.20 ถึง 0.80 และ ค่าอํานาจจําแนก (r) ตํ่ากว่า 0.20 โดยการปรับปรุงตัวเลือกให้เหมาะสมยิ่งขึ้น 3.3.11 นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางเรียน ที่ผ่านการวิเคราะห์และปรับปรุง แล้ว ไปใช้ทดสอบกับผู้เรียนที่จัดกิจกรรมการเรียนการสอน จากนั้นนํากระดาษคําตอบนักเรียน มาวิเคราะห์หาค่ายากง่าย (p) ค่าอํานาจจําแนก (r) ค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ด้วยโปรแกรม คอมพิวเตอร์วิเคราะห์ข้อสอบด้วยวิธีหาค่าดัชนีจําแนก B (B-Index) 3.4 แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ด้วยชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ผู้วิจัยดําเนินการสร้างดังต่อไปนี้ 3.4.1 ศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการสร้างแบบสอบถามความคิดเห็นตามแบบ ของ ลิเคอร์ท (Likert) (กองวิจัยทางการศึกษา, 2545 : 78) 3.4.2 สร้างแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน ด้วยชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย จํานวน 15 ข้อ กําหนดค่าคะแนน ของช่วงนํ้าหนัก 5 ระดับ ดังนี้
82.
82 5 หมายถึง มากที่สุด 4
หมายถึง มาก 3 หมายถึง ปานกลาง 2 หมายถึง น้อย 1 หมายถึง น้อยที่สุด 3.4.3 นําแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน ด้วยชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ที่สร้างขึ้นให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ หาความสอดคล้องของคําถามกับพฤติกรรม แล้วหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างคําถามกับ พฤติกรรม (IOC) ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องดังภาคผนวก ค 3.4.4 นําแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน ด้วยชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย มาปรับปรุงตามคําแนะนํา ของผู้เชี่ยวชาญ 3.4.5 แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เรียน ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนด้วยชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทยที่ผ่านการปรับปรุงแล้วไปสอบถามความคิดเห็น ของนักเรียนที่จัดกิจกรรมการเรียนการสอน ด้วยชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย และนําผลมาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (X) 3.5 แบบบันทึกการประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียน ใช้สําหรับเก็บข้อมูลระหว่างเรียน ของนักเรียน เพื่อนําไปวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) โดยแบ่งการประเมิน ดังต่อไปนี้ 3.5.1 ประเมินด้านความรู้ ความคิด ประเมินจาก บัตรคําถามกิจกรรม 5 ชุด ชุดละ 10 คะแนน ดังต่อไปนี้ บัตรคําถามกิจกรรมชุดที่ คะแนนเต็ม 1.ระบบเสียงและอวัยวะในการออกเสียง 10 2.เสียงสระ 10 3.เสียงพยัญชนะ 10 4.เสียงวรรณยุกต์ 10 5.การประกอบเสียงเป็นพยางค์และคํา 10 รวม 50
83.
83 3.5.2 ประเมินด้านทักษะกระบวนการ ประเมินจากพฤติกรรมการปฏิบัติงาน ในกลุ่มการเรียนของนักเรียน
5 ประเด็น 25 คะแนน ดังต่อไปนี้ ประเด็นการประเมิน คะแนน 1.คณะทํางานในกลุ่ม 5 2.ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ 5 3.กระบวนการทํางานของกลุ่ม 5 4.การใช้เวลาในการทํางานกลุ่ม 5 5.ความร่วมมือในกลุ่ม 5 รวม 25 3.5.3 ประเมินด้านคุณธรรม จริยธรรม ประเมินจากคุณลักษณะและพฤติกรรม การร่วมกิจกรรมเป็นรายบุคคลของผู้เรียน 5 ประเด็น 25 คะแนน ดังต่อไปนี้ ประเด็นการประเมิน คะแนน 1.ความรับผิดชอบ 5 2.ความมีระเบียบวินัย 5 3.ความเสียสละ 5 4.การให้ความร่วมมือ 5 5.การแสดงออก 5 รวม 25 นําคะแนนทั้ง 3 ส่วน มารวมกันได้ 100 คะแนน นําไปวิเคราะห์หาประสิทธิภาพ ของกระบวนการ (E1) และประเมินระดับคุณภาพของนักเรียน โดยวิเคราะห์ข้อมูลหาค่าทางสถิติ ด้วยค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย (X) 4. การดาเนินการวิจัย 4.1 รูปแบบการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ เป็นการใช้นวัตกรรมกับกลุ่มประชากรทั้งหมด แล้วเก็บข้อมูล
84.
84 มาวิเคราะห์หาค่าทางสถิติ ข้อมูลที่ใช้มีอยู่ด้วยกัน 3
ส่วน ซึ่งแต่ละส่วนมีรูปแบบดังต่อไปนี้ 4.1.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยการเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนกับคะแนน หลังเรียนของนักเรียน รูปแบบการทดลอง สอบ ใช้นวัตกรรม สอบ 4.1.2 ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนต่อการใช้นวัตกรรม รูปแบบการทดลอง ใช้นวัตกรรม สอบ 4.1.3 ศึกษาคะแนนจากแบบบันทึกผลการเรียนรู้ รูปแบบการทดลอง ใช้นวัตกรรม สอบ 4.2 วิธีการดําเนินการวิจัย 4.2.1 ชี้แจงผู้เรียนให้เข้าใจเกี่ยวกับ การจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิคกลุ่มช่วยเหลือ การเรียนรายบุคคล หรือ TAI (Team Assisted Individualization)โดยใช้ ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ผู้วิจัยต้องอธิบายหลักการ วิธีการ จุดประสงค์การเรียนรู้ ผลการเรียนที่คาดหวัง วิธีการวัดผลประเมิน บทบาทหน้าที่ของแต่ละคนรวมทั้งวัตถุประสงค์ ของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 4.2.2 ให้ผู้เรียนทําแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ตรวจ ประเมินผลแล้วจัดกลุ่มผู้เรียนตามคะแนนจากการทําแบบทดสอบก่อนเรียน กลุ่มละ 4-6 คน คละระดับเก่ง ปานกลาง อ่อน ตามสัดส่วน 1:3:1 O 1 X O 2 X O X O
85.
85 4.2.3 นํานวัตกรรม ชุดการเรียน
เรื่อง เสียงในภาษาไทย วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนนักเรียน ตามลําดับขั้นดําเนินการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบร่วมมือ เทคนิคการใช้กลุ่มช่วยเหลือการเรียนรายบุคคล หรือ TAI (Team Assisted Individualized Instruction) ผู้วิจัยประเมินคุณลักษณะ จากการสังเกต พฤติกรรมขณะที่นักเรียนร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ และประเมินจากชิ้นงานของนักเรียน เก็บ ข้อมูลการประเมินผลระหว่างเรียนไปวิเคราะห์หาค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) และ วิเคราะห์หาระดับคุณภาพของผู้เรียนด้วยค่าร้อยละและค่าเฉลี่ย ( X ) 4.2.4 ให้ผู้เรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อนําคะแนนที่ได้ไปวิเคราะห์หาค่า ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) 4.2.5 ให้ผู้เรียนตอบแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เรียนที่มีต่อจัดกิจกรรม การเรียนการสอนนําผลที่ได้ไปวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ( X ) 4.3 ระยะเวลาในการดําเนินการ การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ดําเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2552 โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียน เรื่อง เสียงใน ภาษาไทย ที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้น จํานวน 5 แผน ใช้เวลาจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จํานวน 16 คาบ ในเวลาเรียนปกติตามตารางสอน ดังนี้ 4.3.1 ทดสอบก่อนเรียน จํานวน 1 คาบ 4.3.2 จัดกิจกรรมการเรียนรู้ จํานวน 14 คาบ 4.3.3 ทดสอบหลังเรียน จํานวน 1 คาบ 5. การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลตามลําดับ ดังนี้ 5.1 หาความเที่ยงตรงของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เรื่อง เสียงในภาษาไทย ดังนี้ 5.1.1 หาความเที่ยงตรงของแบบทดสอบ โดยการหาค่าเฉลี่ยเพื่อดูค่าดัชนี ความสอดคล้อง (IOC) 5.1.2 หาค่าความยากง่าย (p) อํานาจจําแนกของ (r) และค่าความเชื่อมั่น ของแบบทดสอบ 5.2 หาประสิทธิภาพของชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 โดยใช้สูตร E1/E2
86.
86 5.3 เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยทดสอบค่าที แบบไม่เป็นอิสระ
(t-test for dependent sample) 5.4 หาค่าความเที่ยงตรงของแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียน ดังนี้ 5.4.1 หาความเที่ยงตรงของแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียน โดยการหา ค่าเฉลี่ยเพื่อดูค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) 5.1.2 หาค่าเฉลี่ยของคะแนนความคิดเห็นของนักเรียน ( X ) 5.5 ประเมินระดับคุณภาพของนักเรียน โดยวิเคราะห์ข้อมูลหาค่าทางสถิติด้วยค่าร้อยละ 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 6.1 คุณภาพของนวัตกรรม ให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินตามแบบประเมินชุดการเรียน แล้ว นํามาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ( X ) หรือตัวกลางเลขคณิต จากนั้นนําชุดการเรียนไปจัดกิจกรรม การเรียนการสอนแล้วนําค่าคะแนนต่าง ๆ ที่ได้มาหาค่าประสิทธิภาพ (Efficiency) ของนวัตกรรม และค่าดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index) 6.1.1 ตัวกลางเลขคณิตหรือค่าเฉลี่ย ( X ) โดยใช้สูตรดังนี้ (พิสณุ ฟองศรี ,2550 : 163) n x X X หมายถึง ตัวกลางเลขคณิต หรือ ค่าเฉลี่ย x หมายถึง ผลรวมของข้อมูลทั้งหมด n หมายถึง จํานวนข้อมูลทั้งหมด เกณฑ์การแปลความหมายค่าเฉลี่ย ( X ) จากแบบประเมินชุดการเรียน ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยให้ค่าช่วงคะแนน ดังตารางที่ 1
87.
87 ตารางที่ 1 แสดงเกณฑ์การแปลความหมายค่าเฉลี่ย
คุณภาพนวัตกรรม ระดับคุณภาพ ค่าระดับคะแนน ค่าช่วงคะแนน ปรับปรุง 1 1.00 - 1.80 พอใช้ 2 1.81 - 2.60 ปานกลาง 3 2.61 - 3.40 ดี 4 3.41 - 4.20 ดีมาก 5 421 – 5.00 6.1.2 วิเคราะห์หาประสิทธิภาพ(Efficiency) ของนวัตกรรมด้วย ค่า E1/E2 กําหนดเกณฑ์ที่ 80/80 ขึ้นไป โดยใช้สูตรดังนี้ (พิสณุ ฟองศรี, 2550 : 185) 1001 A N x E 1E หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการ x หมายถึง ผลรวมของคะแนนที่ได้จากการวัดระหว่างเรียน N หมายถึง จํานวนผู้เรียน A หมายถึง คะแนนเต็มจากการวัดระหว่างเรียน 1002 B N y E 2E หมายถึง ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ได้จากคะแนนเฉลี่ยของ การทําแบบทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนทั้งหมด y หมายถึง ผลรวมของคะแนนที่ได้จากการทดสอบ หลังเรียนเรียน N หมายถึง จํานวนผู้เรียน A หมายถึง คะแนนเต็มจากการการทดสอบหลังเรียนเรียน
88.
88 6.1.3 วิเคราะห์หาค่าดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness
Index) ของนวัตกรรม โดยค่าดัชนีประสิทธิผลไม่ตํ่ากว่า 0.50 โดยใช้สูตรดังนี้ (พิสณุ ฟองศรี, 2550 : 187) ผลรวมของคะแนนหลังเรียนทุกคน – ผลรวมของคะแนนก่อนเรียนทุกคน (จํานวนนักเรียน X คะแนนเต็ม) – ผลรวมของคะแนนก่อนเรียนทุกคน 6.2 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เป็นข้อสอบปรนัยแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จํานวน 30 ข้อ นํากระดาษคําตอบมาวิเคราะห์แบบทดสอบ หาค่าดัชนีจําแนก (r) ค่าความยากง่าย (p) และค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์วิเคราะห์ ข้อสอบด้วยวิธีหาค่าดัชนีจําแนก B (B-Index) โดยใช้สูตร ดังนี้ (สาคร แสงผึ้ง , ม.ป.ป. : 2) 6.2.1 ค่าอํานาจจําแนก (r) 2 nLnH RLRH r 6.2.2 ค่าความยากง่าย (p) nLnH RLRH p r หมายถึง ค่าอํานาจจําแนกของข้อสอบแต่ละข้อ p หมายถึง ค่าความยากง่ายของข้อสอบแต่ละข้อ RH หมายถึง จํานวนผู้ตอบข้อสอบถูกแต่ละข้อในกลุ่มสูง RL หมายถึง จํานวนผู้ตอบข้อสอบถูกแต่ละข้อในกลุ่มตํ่า nH หมายถึง จํานวนนักเรียนกลุ่มสูง nL หมายถึง จํานวนนักเรียนกลุ่มตํ่า 6.2.3 ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ 22 22 CX CXr r o ott cc E.I =
89.
89 rcc หมายถึง ความเชื่อมั่นของ
Criterion Referenced Test rtt หมายถึง ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ 2 o หมายถึง ความแปรปรวนของคะแนนการสอบ X หมายถึง ค่าเฉลี่ยของคะแนน C หมายถึง คะแนนเกณฑ์ (Criterion Score) 6.3 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน คะแนนที่ได้เป็นคะแนนรายบุคคลหาค่าเฉลี่ย แล้วหาค่าทางสถิติโดยคิดค่าร้อยละของคะแนนที่ เพิ่มขึ้น ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และใช้การทดสอบ t แบบไม่เป็นอิสระ (t - test for dependent sample ) โดยใช้โปรแกรม Microsoft Excel และเครื่องคิดเลข ในการคํานวณ ค่าต่างๆ 6.3.1 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยใช้สูตรดังนี้ (พิสณุ ฟองศรี, 2550 : 165) 1 .. 2 n XX DS ..DS หมายถึง ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน X หมายถึง ข้อมูลแต่ละจํานวน X หมายถึง ค่าเฉลี่ยของคะแนน n หมายถึง จํานวนข้อมูล 6.3.2 การทดสอบ “ที” แบบไม่เป็นอิสระ ( t-test for dependent sample ) โดยใช้สูตรดังนี้ (พิสณุ ฟองศรี, 2550 : 174) 1 22 n DDn D t
90.
90 t หมายถึง การทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระ D
หมายถึง ผลต่างระหว่างข้อมูลแต่ละคู่ n หมายถึง จํานวนกลุ่มตัวอย่างหรือจํานวนคู่ D หมายถึง ผลรวมทั้งหมดของผลต่างระหว่างข้อมูลแต่ละคู่ 2 D หมายถึง ผลรวมทั้งหมดของผลต่างระหว่างข้อมูลแต่ละคู่ ยกกําลังสอง 6.4 ความคิดเห็นของนักเรียน เป็นระดับความรู้สึก ของผู้เรียนต่อการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนด้วยชุดการเรียน ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบหาความสอดคล้องของคําถามกับ พฤติกรรม และค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างคําถามกับพฤติกรรม (IOC) ให้ผู้เรียนตอบ แบบสอบถามแล้วนํามาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ( X ) หรือตัวกลางเลขคณิต 6.4.1 ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างคําถามกับพฤติกรรม (IOC) โดยใช้สูตร ดังนี้ (พิสณุ ฟองศรี, 2550 : 179) n R IOC IOC หมายถึง ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างคําถามกับพฤติกรรม R หมายถึง ผลรวมคะแนนของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด n หมายถึง จํานวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 6.4.2 ตัวกลางเลขคณิตหรือค่าเฉลี่ย ( X ) โดยใช้สูตรดังนี้ (พิสณุ ฟองศรี, 2550 : 163) n x X X หมายถึง ตัวกลางเลขคณิต หรือ ค่าเฉลี่ย x หมายถึง ผลรวมของข้อมูลทั้งหมด n หมายถึง จํานวนข้อมูลทั้งหมด เกณฑ์การแปลความหมายค่าเฉลี่ย ( X ) จากแบบประเมินความคิดเห็น ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยให้ค่าช่วงคะแนน ดังตารางที่ 2
91.
91 ตารางที่ 2 แสดงเกณฑ์การแปลความหมายค่าเฉลี่ยระดับความคิดเห็น ระดับความพึงพอใจ
ค่าระดับคะแนน ค่าช่วงคะแนน น้อยที่สุด 1 1.00 - 1.80 น้อย 2 1.81 - 2.60 ปานกลาง 3 2.61 - 3.40 มาก 4 3.41 - 4.20 มากที่สุด 5 4.21 - 5.00 6.5 ระดับคุณภาพของผู้เรียน คะแนนที่ได้จากการประเมินตามสภาพจริง 3 ด้าน จํานวน 100 คะแนน ดังนี้ 6.5.1 ด้านความรู้ ความคิด ( 50 คะแนน) ประเมินจาก บัตรบันทึกการปฏิบัติ กิจกรรม 5 ชุด 6.5.2 ด้านทักษะกระบวนการทํางาน ( 25 คะแนน) ประเมินจากการปฏิบัติงานใน กลุ่มของผู้เรียน 6.5.3 ด้านคุณธรรม จริยธรรม ( 25 คะแนน) ประเมินจาก คุณลักษณะและ พฤติกรรมการร่วมกิจกรรมเป็นรายบุคคล ซึ่งเป็นการประเมินตามสภาพจริง แล้วไปวิเคราะห์ ข้อมูลหาค่าทางสถิติด้วยค่าร้อยละ เปรียบเทียบเกณฑ์คุณภาพ 5 ระดับ ดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3 แสดงระดับคุณภาพและช่วงค่าคะแนนร้อยละ ระดับคุณภาพ ช่วงค่าคะแนน ต้องปรับปรุง 0 - 49.9 พอใช้ 50 - 59.9 ปานกลาง 60 - 69.9 ดี 70 - 79.9 ดีมาก 80 - 100
92.
92 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล จากการศึกษาวิจัย การพัฒนาชุดการเรียน
เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนประชาบํารุง อําเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง มีวัตถุประสงค์เพื่อหา ประสิทธิภาพของชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยการใช้นวัตกรรม ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยการ ใช้ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย และเพื่อศึกษาระดับคุณภาพของผู้เรียนจากการประเมิน ตามสภาพจริง ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลําดับดังนี้ 1. นวัตกรรมการเรียนการสอนที่ได้จากการศึกษาวิจัย ได้นวัตกรรมการเรียนการสอน คือ ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประกอบด้วยชุดการเรียน 5 ชุดได้แก่ ชุดการเรียนที่ 1 ระบบเสียงและอวัยวะในการออกเสียง ชุดการเรียนที่ 2 เสียงสระ ชุดการเรียนที่ 3 เสียงพยัญชนะ ชุดการเรียนที่ 4 เสียงวรรณยุกต์ ชุดการเรียนที่ 5 การประกอบเสียงเป็นพยางค์และคํา 1.1 คุณภาพของนวัตกรรม 1.1.1 คุณภาพของชุดการเรียนจากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ได้ผลดัง ตารางที่ 4 ตารางที่ 4 แสดงผลการประเมินคุณภาพของชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย จากผู้เชี่ยวชาญ
93.
93 รายการประเมิน ค่าเฉลี่ย ระดับคุณภาพ 1.
เนื้อหา 1.1 สอดคล้องตามหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 4.67 ดีมาก 1.2 ถูกต้องตามหลักวิชา 4.67 ดีมาก 1.3 มีความยากง่ายเหมาะสมกับวัยผู้เรียน 4.33 ดีมาก 1.4 ปริมาณเนื้อหาพอเหมาะกับเวลาเรียน 4.00 ดี 2. การใช้ภาษา 2.1 ถูกต้องตามหลักภาษา 4.67 ดีมาก 2.2 สื่อความหมาย อ่านเข้าใจง่าย ถูกต้องชัดเจน 4.33 ดีมาก 2.3 ใช้ภาษาเหมาะสมกับวัยผู้เรียน 4.33 ดีมาก 3. กิจกรรมการเรียนการสอน 3.1 สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 4.33 ดีมาก 3.2 ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในบทเรียนและนําไปปฏิบัติได้ 4.67 ดีมาก 3.3 ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ 4.67 ดีมาก 3.4 ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดทักษะกระบวนการ 4.67 ดีมาก 3.5 กิจกรรมการเรียนไปตามลําดับขั้นตอนและสอดคล้องกับเนื้อหา 4.00 ดี 4. การวัดผลประเมินผล 4.1 จํานวนเหมาะสมสอคล้องกับเนื้อหาและเวลา 4.00 ดี 4.2 มีความเที่ยงตรงตามเนื้อหา 3.67 ดี 4.3 มีความน่าเชื่อถือจําแนกความแตกต่างของผู้เรียนได้ 3.33 ปานกลาง 4.4 มีความยากง่ายเหมาะสมกับเนื้อหาและสอดคล้องกับวัยของผู้เรียน 4.00 ดี 5. รูปแบบของนวัตกรรม 5.1 ถูกต้องตามองค์ประกอบของชุดการเรียน 4.33 ดีมาก 5.2 คําชี้แจงสําหรับครูเข้าใจง่ายนําไปปฏิบัติได้จริง 4.33 ดีมาก 5.3 คําชี้แจงสําหรับนักเรียนเข้าใจง่ายปฏิบัติได้ตามลําดับขั้นตอน 4.33 ดีมาก 5.4 บัตรคําสั่งชัดเจนปฏิบัติได้ตามลําดับขั้นตอน 4.33 ดีมาก 5.5 บัตรเนื้อหาครบถ้วนสมบูรณ์ตรงตามหลักสูตรและหลักวิชา 4.33 ดีมาก 5.6 บัตรคําถามเหมาะสมตรงตามเนื้อหาและวัดได้จริง 4.00 ดี 5.7 บัตรเฉลยครบถ้วนสมบูรณ์ถูกต้องชัดเจน 4.33 ดีมาก ค่าเฉลี่ยรวม 4.27 ดีมาก
94.
94 จากตารางที่ 4 แสดงให้เห็นว่าคุณภาพของชุดการเรียนจากการประเมินของ ผู้เชี่ยวชาญ
3 คน พบว่าผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าชุดการเรียนมีคุณภาพโดยรวมมีค่าเฉลี่ย 4.27 ซึ่ง อยู่ในระดับดีมาก หากพิจารณารายข้อ พบว่าข้อ 1.1 ,2.1 ,3.2 ,3.3 และ 3.4 มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ 4.67 อยู่ในระดับดีมากและ ข้อ 4.3 มีค่าเฉลี่ยตํ่าสุดคือ 3.33 อยู่ในระดับปานกลาง 1.1.2 ค่าประสิทธิภาพ และค่าดัชนีประสิทธิผลของนวัตกรรม ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์ 80/80 ปรากฏผลดัง ตารางที่ 5 , 6 และ 7 ตารางที่ 5 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างเรียน จํานวน คะแนนรวม คะแนนเฉลี่ย ประสิทธิภาพของ นักเรียน (คน) (คะแนนเต็ม 4,200 คะแนน) (คะแนนเต็ม 100 คะแนน) กระบวนการเรียน (E1) 42 3,467 82.55 82.55 จากตารางที่ 5 พบว่า ประสิทธิภาพของนวัตกรรม ชุดการเรียน เรื่อง เสียงใน ภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีคะแนนระหว่างจัด กระบวนการเรียนด้วยชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ทั้ง 5 ชุด มีประสิทธิภาพ ของกระบวนการเรียน (E1) เท่ากับ 82.55 แสดงให้เห็นว่าชุดการเรียน เรื่อง เสียงใน ภาษาไทย มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80 ตัวแรก ที่กําหนดไว้ ตารางที่ 6 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียน
95.
95 จํานวน คะแนนรวม คะแนนเฉลี่ย
ประสิทธิภาพ นักเรียน (คน) (คะแนนเต็ม 1,260 คะแนน) (คะแนนเต็ม 30 คะแนน) ของผลลัพธ์ (E2) 42 1,022 24.33 81.11 จากตารางที่ 6 พบว่า ประสิทธิภาพของนวัตกรรม ชุดการเรียน เรื่อง เสียงใน ภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีคะแนนของ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการทําแบบทดสอบหลังเรียนด้วยชุดการเรียน เรื่อง เสียงใน ภาษาไทย มีประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 81.11 แสดงให้เห็นว่าชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80 ตัวหลัง โดยมี ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 24.33 ตารางที่ 7 ผลการวิเคราะห์หาค่าดัชนีประสิทธิผลของชุดการเรียน เรื่อง เสียงใน ภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จํานวน คะแนนรวมก่อนเรียน คะแนนรวมหลังเรียน ค่าดัชนี นักเรียน (คน) (คะแนนเต็ม 1,260 คะแนน) (คะแนนเต็ม 1,260 คะแนน) ประสิทธิผล(E.I) 42 604 1022 0.64 จากตารางที่ 7 พบว่า ค่าดัชนีประสิทธิผลของนวัตกรรม ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีค่าดัชนี ประสิทธิภาพ (E.I) เท่ากับ 0.64
96.
96 เมื่อพิจารณาจากตารางที่ 5 ,
6 และ 7 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่าประสิทธิภาพของ กระบวนการเรียนโดยพิจารณาจากคะแนนระหว่างเรียน ได้ประสิทธิภาพตัวแรกเท่ากับ 82.55 ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ซึ่งเป็นการประเมินโดยนําคะแนนจากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนจากการทําแบบทดสอบหลังเรียน ได้ประสิทธิภาพตัวหลังเท่ากับ 81.11 และค่า ดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.64 ดังนั้นสรุปได้ว่า ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่กําหนดไว้ โดยได้เกณฑ์ประสิทธิภาพเท่ากับ 82.55/81.11 และค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.64 สูงกว่าเกณฑ์ที่ยอมรับได้ 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและ หลังเรียนโดยการใช้ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและ หลังเรียน ดังต่อไปนี้ ตารางที่ 8 แสดงคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางเรียนของผู้เรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย วิชาภาษาไทย ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนประชาบํารุง คะแนน จํานวนนักเรียน (คน) X S.D ∑D ∑D2 t ก่อนเรียน 42 14.38 3.46 418 4476 23.236 ** หลังเรียน 42 24.33 2.03 **ค่า t มีนัยสําคัญที่ระดับ .01 (ค่าวิกฤตของ t ที่ระดับ .01 , df 40 = 2.423) จากตารางที่ 8 พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนที่ร่วม กิจกรรม ซึ่งเป็นคะแนนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จํานวน 42 คน เมื่อพิจารณา คะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนแล้ว ปรากฏว่า นักเรียนจํานวน 42 คนได้คะแนน
97.
97 สูงขึ้น คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนได้ 14.38
ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3.46 คะแนนเฉลี่ยหลัง เรียนได้ 24.33 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.03 แสดงว่าคะแนนสอบก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย น้อยกว่าคะแนนสอบหลังเรียนและการกระจายของคะแนนสอบก่อนเรียนมีค่ามากกว่า การกระจายของคะแนนสอบหลังเรียนแสดงว่าผู้เรียนก่อนได้รับนวัตกรรมมีความ แตกต่างกันมากแต่เมื่อผู้เรียนได้รับนวัตกรรมแล้วความแตกต่างระหว่างผู้เรียนลด น้อยลง และ ค่า t เท่ากับ 23.236 สูงกว่าค่า t จากตารางแสดงว่าคะแนนเฉลี่ย การสอบของผู้เรียนหลังจากได้รับนวัตกรรมสูงกว่าการสอบก่อนเรียน อย่างมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.01 3. ความคิดเห็นของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นการวัดระดับความรู้สึก ของนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรม ดังตารางที่ 9 ตารางที่ 9 แสดงค่าเฉลี่ยระดับความคิดเห็นต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้นวัตกรรมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย วิชาภาษาไทย ข้อที่ รายการ ค่าเฉลี่ย (X) ระดับคุณภาพ 1 ได้เรียนรู้ตามขั้นตอนเป็นระบบเกิดกระบวนการ 3.97 มาก 2 ได้ฝึกปฏิบัติเป็นรายบุคคลและหมู่คณะ 3.65 มาก 3 ได้ฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่องทั้งในและนอกห้องเรียน 3.71 มาก 4 จัดการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ 3.92 มาก 5 ผู้เรียนเห็นประโยชน์ในการนําความรู้ไปใช้ 4.00 มาก 6 ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน 4.20 มาก 7 กิจกรรมการเรียนหลากหลายตามสภาพความพร้อม และความแตกต่างของผู้เรียน 3.61 มาก 8 มีการใช้สื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัย 3.57 มาก 9 สื่อการเรียนการสอนเหมาะสมกับเนื้อหา 4.18 มาก 10 สื่อเร้าความสนใจและช่วยพัฒนาการเรียนรู้ 3.90 มาก
98.
98 ตารางที่ 9 (ต่อ) ข้อที่
รายการ ค่าเฉลี่ย (X) ระดับคุณภาพ 11 กิจกรรมการเรียนการสอนตอบสนองความต้องการ ของผู้เรียน 3.81 มาก 12 กิจกรรมการเรียนการสอนมุ่งให้ผู้เรียนเกิดความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์และมีเหตุผล 3.90 มาก 13 กิจกรรมการเรียนการสอนมุ่งส่งเสริม และสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม 3.15 ปานกลาง 14 การวัดผลประเมินเหมาะสมตามสภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน 3.77 มาก 15 การวัดผลมีความน่าเชื่อถือสามารถประเมินและ จําแนกความแตกต่างของผู้เรียนได้ชัดเจน 3.84 มาก รวม 3.81 มาก จากตารางที่ 9 แสดงให้เห็นว่า ความคิดเห็นของนักเรียนที่ร่วมกิจกรรม โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.81 ซึ่งอยู่ในระดับมาก หากพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า นักเรียนมีความคิดเห็นต่อข้อ 6 ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน อยู่ใน ระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ 4.20 ข้อ 13 กิจกรรมการเรียนการสอนมุ่ง ส่งเสริมและสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม มีค่าเฉลี่ยตํ่าที่สุด คือ 3.15 อยู่ในระดับ ปานกลาง ส่วนความคิดเห็นในรายการอื่นๆ อีก 12 ข้อ อยู่ในระดับมากทุกรายการ แสดงว่าผู้เรียนมีความคิดเห็นที่ดีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2.4 ระดับคุณภาพของผู้เรียน คะแนนที่ได้จากการประเมินตามสภาพจริง ด้านความรู้ ความคิด ด้านทักษะกระบวนการทํางาน และด้านคุณธรรม จริยธรรม ดังตารางที่ 10 ตารางที่ 10 แสดงคะแนนและระดับคุณภาพของผู้เรียนจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้นวัตกรรมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยชุดการเรียน เรื่อง เสียง ในภาษาไทย วิชาภาษาไทย
99.
99 เลข ด้านความรู้ ด้านคุณธรรม
ด้านทักษะ คะแนน ระดับ ที่ ความคิด จริยธรรม กระบวนการ รวม ร้อยละ คุณภาพ (50) (25) (25) (100) 1 40 19 21 80 80 ดีมาก 2 39 20 17 76 76 ดี 3 41 20 22 83 83 ดีมาก 4 43 21 20 84 84 ดีมาก 5 37 19 19 75 75 ดี 6 42 21 20 83 83 ดีมาก 7 39 19 19 77 77 ดี 8 45 21 22 88 88 ดีมาก 9 42 20 22 84 84 ดีมาก 10 41 20 23 84 84 ดีมาก 11 42 21 25 88 88 ดีมาก 12 42 18 20 80 80 ดีมาก 13 41 20 23 84 84 ดีมาก 14 43 23 23 89 89 ดีมาก 15 41 24 22 87 87 ดีมาก 16 43 25 24 92 92 ดีมาก 17 43 22 22 87 87 ดีมาก 18 40 20 20 80 80 ดีมาก 19 43 23 24 90 90 ดีมาก 20 41 19 20 80 80 ดีมาก 21 40 24 23 87 87 ดีมาก 22 40 20 19 79 79 ดี 23 42 20 21 83 83 ดีมาก 24 40 20 18 78 78 ดี 25 39 19 18 42 42 ดี 26 41 20 17 78 78 ดี
100.
100 ตารางที่ 10 (ต่อ) เลข
ด้านความรู้ ด้านคุณธรรม ด้านทักษะ คะแนน ระดับ ที่ ความคิด จริยธรรม กระบวนการ รวม ร้อยละ คุณภาพ (50) (25) (25) (100) 27 43 20 19 82 82 ดีมาก 28 42 22 21 85 85 ดีมาก 29 42 20 20 82 82 ดีมาก 30 42 20 20 82 82 ดีมาก 31 41 17 18 76 76 ดี 32 42 18 18 78 78 ดี 33 42 20 18 80 80 ดีมาก 34 41 20 20 81 81 ดีมาก 35 40 20 21 81 81 ดีมาก 36 42 20 20 82 82 ดีมาก 37 43 21 20 84 84 ดีมาก 38 42 23 20 85 85 ดีมาก 39 42 22 20 84 84 ดีมาก 40 42 20 20 82 82 ดีมาก 41 42 23 21 86 86 ดีมาก 42 42 22 21 85 85 ดีมาก ค่าเฉลี่ย 41.88 20.5 19.81 82.19 82.19 ดีมาก จากตารางที่ 10 แสดงให้เห็นว่า ระดับคุณภาพของผู้เรียน 42 คน จากการ ประเมินตามสภาพจริง พบว่า อยู่ในระดับ ดี 9 คน และดีมาก 33 คน โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 82.19 อยู่ในระดับคุณภาพดีมาก
101.
101 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล
และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอ ดังนี้ 1. วัตถุประสงค์ ของการวิจัย 1.1 เพื่อหาประสิทธิภาพของชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 1.2 เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยการใช้ นวัตกรรม ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย 1.3 เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยการ ใช้ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย 1.4 เพื่อศึกษาระดับคุณภาพของผู้เรียนจากการประเมินตามสภาพจริง โดย การใช้ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน ประชาบํารุง จํานวน 42 คน 2. สมมุติฐานของการวิจัย 2.1 คุณภาพของนวัตกรรม ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อยู่ในระดับดีขึ้นไป มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์กําหนด 80/80 และมีค่าดัชนีประสิทธิผลไม่น้อยกว่า 0.50 2.2 เมื่อใช้ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย จัดกิจกรรมการเรียนรู้กับ นักเรียนแล้วผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2.3 ผู้เรียนมีความคิดเห็นต่อการใช้ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย อยู่ใน ระดับมากขึ้นไป 2.4 ระดับคุณภาพของผู้เรียนจากการประเมินตามสภาพจริงด้วยการใช้ ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย อยู่ในระดับดีขึ้นไป
102.
102 2. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนประชาบํารุง อําเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง จํานวน 42 คน 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 3.1 ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย จํานวน 5 ชุด 3.2 แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย จํานวน 5 แผน 3.3 แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งเป็นข้อสอบแบบเลือกตอบชนิด 4 ตัวเลือก จํานวน 30 ข้อ 3.4 แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ด้วย ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย จํานวน 15 ข้อ 3.5 แบบบันทึกการประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียน 4. วิธีการดาเนินการวิจัย 4.1 ชี้แจงผู้เรียนให้เข้าใจเกี่ยวกับ การจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิคกลุ่มช่วยเหลือ การเรียนรายบุคคล หรือ TAI (Team Assisted Individualization) โดยใช้ ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ผู้วิจัยต้องอธิบายหลักการ วิธีการ จุดประสงค์การเรียนรู้ ผลการเรียนที่คาดหวัง วิธีการวัดผลประเมิน บทบาทหน้าที่ของแต่ละคนรวมทั้งวัตถุประสงค์ ของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 4.2 ให้ผู้เรียนทําแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ตรวจ ประเมินผลแล้วจัดกลุ่มผู้เรียนตามคะแนนจากการทําแบบทดสอบก่อนเรียน กลุ่มละ 4-6 คน คละระดับเก่ง ปานกลาง อ่อน ตามสัดส่วน 1:3:1 4.3 นํานวัตกรรม ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนนักเรียน ตามลําดับขั้นดําเนินการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคการใช้กลุ่มช่วยเหลือการเรียนรายบุคคล หรือ TAI (Team Assisted Individualized Instruction) ผู้วิจัยประเมินคุณลักษณะ จากการสังเกต พฤติกรรมขณะที่นักเรียนร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ และประเมินจากชิ้นงานของนักเรียน
103.
103 เก็บข้อมูลการประเมินผลระหว่างเรียนไปวิเคราะห์หาค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) และวิเคราะห์หาระดับคุณภาพของผู้เรียนด้วยค่าร้อยละและค่าเฉลี่ย (
X ) 4.4 ให้ผู้เรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อนําคะแนนที่ได้ไปวิเคราะห์หาค่า ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E1) 4.5 ให้ผู้เรียนตอบแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เรียนที่มีต่อจัดกิจกรรมการ เรียนรู้นําผลที่ได้ไปวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ( X ) 5. สรุปผลการวิจัย การวิจัยการพัฒนาชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 สรุปผลได้ดังต่อไปนี้ 5.1 คุณภาพของนวัตกรรมชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญมีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ย ( X ) เท่ากับ 4.27 ค่าประสิทธิภาพ (E1/E2 ) เท่ากับ 82.55/81.11 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กําหนด 80 / 80 และค่าดัชนีประสิทธิผล ( E.I ) เท่ากับ 0.64 สูงกว่าเกณฑ์ที่ยอมรับได้ 5.2 คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ร่วมกิจกรรม นักเรียนทั้งหมดจํานวน 42 คน ได้คะแนนสูงขึ้นทุกคน เมื่อนําผลคะแนนของนักเรียนทั้งหมดมาเปรียบเทียบ เพื่อดู พัฒนาการของผู้เรียน ปรากฏว่า ผลสัมฤทธิ์ทางเรียนของผู้เรียนทั้งหมดสูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบ คะแนนสอบก่อนเรียน กับคะแนนสอบหลังเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 5.3 ความคิดเห็นของนักเรียนที่ร่วมกิจกรรม โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.81 ซึ่ง อยู่ในระดับมาก แสดงว่านักเรียนมีความคิดเห็นที่ดีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรม ที่สร้างขึ้น 5.4 ระดับคุณภาพของนักเรียนที่ร่วมกิจกรรมซึ่งเป็นการประเมินจากสภาพจริงอยู่ใน อยู่ในระดับดี 9 คน อยู่ในระดับดีมาก 33 คน เมื่อหาค่าเฉลี่ยของคะแนนทั้งหมดปรากฏว่ามี ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 82.19 ซึ่งอยู่ในระดับดีมาก แสดงว่านวัตกรรมที่สร้างขึ้น สามารถพัฒนา คุณภาพของผู้เรียน และประเมินได้จริงตามสภาพการเรียนรู้และผลงานที่เกิดจากการเรียนรู้ของ ผู้เรียน 6. อภิปรายผลการวิจัย
104.
104 จากการใช้นวัตกรรม ชุดการเรียน เรื่อง
เสียงในภาษาไทย สําหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน ประชาบํารุง จํานวน 42 คน เพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ด้วย แนวการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ โดยการใช้ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคการใช้กลุ่มช่วยเหลือการเรียนรายบุคคล หรือ TAI (Team Assisted Individualized Instruction) และให้ความรู้ควบคู่ไปกับการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติและค้นพบความรู้ด้วยตนเอง โดย คํานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และวัดผลประเมินผลไปพร้อมกันกับกระบวนการเรียนรู้ โดยประเมินผลจากพฤติกรรม ผลงานจากการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งเป็นการประเมินตามสภาพ จริง ปรากฏผลที่น่าสนใจดังนี้ 6.1 ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 82.55/81.11 และ ค่าดัชนีประสิทธิผล 0.64 หมายความว่าชุดการเรียนที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่อง เสียงในภาษาไทย รวมทั้งพัฒนาคุณภาพของ ผู้เรียนให้เกิดทักษะในด้านกระบวนการ ด้านคุณธรรม จริยธรรม และด้านความรู้ ความคิด โดยการใช้ชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วย เทคนิคการใช้กลุ่มช่วยเหลือการเรียนรายบุคคล หรือ TAI (Team Assisted Individualized Instruction) และจากการตอบคําถามกิจกรรมในชุดการเรียน การทําแบบทดสอบหลังจาก การปฏิบัติกิจกรรมด้วยชุดการเรียนได้คะแนนสูงขึ้นกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.01 และชุดการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กําหนดไว้นั้น อาจเนื่องมาจากเหตุผลดังต่อไปนี้ 6.1.1 ชุดการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ได้ผ่านขั้นตอนอย่างมีระบบและวิธีการที่ ถูกต้องเหมาะสม คือ ได้ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หลักการ แนวคิด และทฤษฎีการเรียนรู้ รูปแบบ เทคนิคและ วิธีการสอน การสร้างสื่อนวัตกรรมการเรียนการสอน การวัดผลประเมินผล เนื้อหาสาระที่นําไป สร้างชุดการเรียน 6.1.2 ชุดการเรียนที่สร้างขึ้นได้ผ่านการตรวจสอบ ประเมินจากผู้เชี่ยวชาญและ ทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพ ผ่านการตรวจสอบแก้ไข และปรับปรุงข้อบกพร่องให้มีความ
105.
105 ถูกต้องเหมาะสมด้านเนื้อหา กิจกรรม เพื่อให้ชุดการเรียนมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
จน สามารถนําไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 6.1.3 ชุดการเรียนที่สร้างขึ้น เป็นการฝึกทักษะให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการ ปฏิบัติกิจกรรม ผู้เรียนค้นพบความรู้และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการ ทํางานร่วมกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เป็นการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมในการอยู่ร่วมกัน ยอมรับ ความแตกต่างระหว่าบุคคล และเกิดการเรียนรู้อย่างยั่งยืน 6.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนจํานวน 42 คน สูงขึ้นหลังจากเข้าร่วม กิจกรรม เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้ฝึกหัด คิดใคร่คราญ ไตร่ตรองด้วย ตนเอง ควบคู่ไปกับการได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และทํางานร่วมกับผู้อื่น ซึ่งสอดคล้องกับสมมุติฐาน ข้อที่ 1 ที่ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้น ตรงตามแนวทางการจัดการเรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญในคู่มือการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย (กรมวิชาการ, 2544 : 48 - 50) ที่กล่าวว่า ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการคิดและการปฏิบัติจริง การเรียนรู้ร่วมกับ บุคคลอื่น เรียนรู้โดยมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนและผลงาน เกิดการศึกษาวิเคราะห์และ สรุปผลการเรียนรู้ซึ่งจะทําให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น และตรงกับการใช้ชุดการเรียน ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (สุนันทา สุนทรประเสริฐ, 2547 : 61 – 62) ที่กล่าวว่า ชุดการเรียน ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดี และตรงกับแนวคิด ทฤษฎีการเรียนแบบร่วมมือ (ทิศนา แขม มณี, 2551 : 64-65) ที่กล่าวว่า การเรียนรู้ร่วมมือกันต้องมีผลงาน ผลสัมฤทธิ์ทั้งรายบุคคลและ รายกลุ่มที่สามารถตรวจสอบและวัดประเมินได้ นอกจากช่วยให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ ทางด้านเนื้อหาสาระต่าง ๆ ได้กว้างขวางลึกซึ้งแล้ว ยังสามารถช่วยพัฒนาผู้เรียนทางด้านสังคม และอารมณ์ รวมทั้งได้ฝึกฝนพัฒนากระบวนการต่าง ๆ ที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิตอีกมาก และ สอดคล้องกับงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชุดการเรียนการสอนและการจัดการเรียน การสอนแบบร่วมมือ เช่น พัชรี แซ่สุ้น ( 2545 : 46 ) ที่พบว่า ชุดการสอนเสริมสมรรถภาพการ อ่านในใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สมรรถภาพการอ่านในใจ ของนักเรียนจาก การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยการใช้ชุดการสอนสูงกว่าก่อนใช้ และเปรียบเทียบคะแนนก่อน เรียนกับหลังเรียน ปรากฏว่าคะแนนสอบหลังเรียนสูงกว่าคะแนนสอบก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.01 และสอดคล้องกับงานวิจัยของ เชษฐธวัช ชวกาญจนกิจ (2547 : 62- 63) ที่พบว่า ชุดการสอนวิชาภาษาอังกฤษเรื่องการอ่านเพื่อจับใจความสําคัญสําหรับนักเรียนช่วง ชั้นที่ 4 มีประสิทธิภาพ 87.33/87.79 ผลการประเมินคุณภาพชุดการสอนอยู่ในระดับ เหมาะสมมากที่สุด และตรงกับผลงานวิจัยของ สมศักดิ์ ทองบ่อ (2549 : 101-104) ที่พบว่า
106.
106 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง รูปและเสียงในภาษาไทย
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนแบบร่วมมือกันเทคนิค STAD กับนักเรียนที่ได้รับการสอนแบบปกติ แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยนักเรียนที่ได้รับการสอนแบบร่วมมือกัน เทคนิค STAD มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนแบบปกติ และ ตรงงานวิจัยของ จิตรา ยิ้มหงส์ (2550: บทคัดย่อ) พบว่านักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกการเรียน แบบร่วมมือ เทคนิคกลุ่มช่วยเหลือ การเรียนรายบุคคล หรือ TAI (Team Assisted Individualization) เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการเขียนคํา ที่สะกดไม่ตรงมาตรา มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ สอดคล้องกับผลงานวิจัยของ จีรพันธุ์ โมสิกะและคณะ (2550 : บทคัดย่อ) พบว่าผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนกลุ่มที่เรียนด้วยรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ (TAI) ด้วยสื่อบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน กับนักเรียนที่เรียนตามปกติแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และตรงกับงานวิจัยของ นพนภา อ๊อกด้วง (2547 : บทคัดย่อ) ที่พบว่าผลสัมฤทิธ์ทางการ เรียนเรื่องคําและหน้าที่ของคําในภาษาไทยที่ได้รับการสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือกันเทคนิค STAD กับนักเรียนที่ได้รับการสอนแบบปกติแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยกลุ่มที่ได้รับการสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือกันเทคนิค STAD สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการ สอนแบบปกติ นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ วรรณวิศา หนูเจริญ (2544 : บทคัดย่อ) ที่พบว่า นักเรียนที่สอนด้วยการเรียนแบบร่วมมือกัน กับนักเรียนที่ได้รับการสอน ตามแนวคู่มือครู มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา แตกต่างกันอย่าง มีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยกลุ่มทดลอง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่า กลุ่มควบคุม นักเรียนที่สอนด้วยการเรียนแบบร่วมมือ มีความคิดเห็นว่า การเรียนแบบ ร่วมมือเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ช่วยให้เกิดความสามัคคี เข้าใจบทเรียนได้ดีขึ้น มีความเชื่อมั่นใน ตนเอง มีความรับผิดชอบต่อตนเองและ ต่อกลุ่ม มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันและรับฟังความ คิดเห็นของผู้อื่น 6.3 ความคิดเห็นของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.81 ซึ่งอยู่ในระดับมาก แสดงว่านักเรียนมีความคิดเห็นที่ดีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ อยู่ในระดับมาก นักเรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ และกิจกรรมการเรียนรู้มุ่งให้ผู้เรียน เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และมีเหตุผลซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานข้อที่ 2 ที่ว่า นักเรียนมี ความคิดเห็นที่ดีต่อการจัดการเรียนรู้ และยังมีความสอดคล้องกับงานวิจัยของ สมศักดิ์ ทองบ่อ (2549 : 101-104) ที่พบว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือกันมีความคิดเห็น
107.
107 ต่อการเรียนแบบร่วมมือกันเทคนิค STAD ในระดับเหมาะสมมาก
และตรงกับงานวิจัยของ นพนภา อ๊อกด้วง (2547 : บทคัดย่อ) ที่พบว่า นักเรียนมีความพอใจต่อการเรียนแบบร่วมมือ กันเทคนิค STAD ในระดับมากที่สุด และสอดคล้องกับงานวิจัยของ วรรณวิศา หนูเจริญ (2544 : บทคัดย่อ) ที่พบว่า นักเรียนที่สอนด้วยการเรียนแบบร่วมมือมีความคิดเห็นว่า การเรียนแบบร่วมมือเป็นการจัด การเรียนรู้ที่ช่วยให้เกิดความสามัคคี เข้าใจบทเรียนได้ ดีขึ้น มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความ รับผิดชอบต่อตนเองและต่อกลุ่ม มีการช่วย เหลือซึ่งกันและกัน รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 6.4 คะแนนคุณภาพ ของนักเรียนอยู่ใน ระดับดี 9 คน ระดับดีมาก 33 คน พิจารณา ในภาพรวมค่าเฉลี่ยร้อยละ 82.19 อยู่ในระดับดีมาก ซึ่งสอดคล้องกับสมมุติฐานข้อที่ 3 ที่ว่า คะแนนคุณภาพของนักเรียนอยู่ในระดับ ดีขึ้นไป นอกจากนี้ยังตรงกับแนวทางการประเมินผล ด้วยทางเลือกใหม่ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ที่มุ่งการประเมินผล ตามสภาพจริง ด้วยวิธีการอย่างหลากหลาย (สํานักงานทดสอบทางการศึกษา, 2544 : 13-18 ) และแนวทางปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียน ตามแนวทางปฏิรูปการศึกษา ที่ให้ ประเมินผลการเรียนรู้ทั้งด้านความรู้ความคิด ด้านคุณธรรม จริยธรรม และด้านทักษะ กระบวนการ (หน่วยศึกษานิเทศก์ , 2544 :1-13) ผลจากการใช้นวัตกรรม จัดการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญโดยการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ด้วยชุดการเรียน การจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือ และการประเมินผลตาม สภาพจริง นับเป็นการปฏิรูปการเรียนรู้ตามแนวทางการจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 3. ข้อเสนอแนะ 3.1 ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาการเรียนการสอน ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยชุดการเรียน และใช้การจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือ เมื่อนําไปจัดกิจกรรมกับผู้เรียนและได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมจริง ได้มีปัญหาอุปสรรคเล็กน้อย ซึ่ง ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ดังนี้ 3.1.1 การจัดทําชุดการเรียน เนื้อหาที่เลือกใช้ เป็นเนื้อหาที่ผู้เรียนต้องศึกษาไป ตามลําดับ ตั้งแต่ชุดที่ 1 ถึง 5 ซึ่งในแต่ละกลุ่มสมาชิกต้องเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน แต่สภาพจริง นักเรียนแต่ละคนมีความแตกต่างระหว่างบุคคล บางคนเรียนรู้ได้ก่อน บางคนตามไม่ทัน
108.
108 บางคนขาดทักษะการทํางานร่วมกัน ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ซึ่งต้องเป็นหน้าที่ของครูต้องชี้แจง ทําความเข้าใจกับนักเรียน
และปลูกฝังการทํางานร่วมกัน 3.1.2 การตอบบัตรคําถามกิจกรรมของนักเรียน บางคนขาดความรับผิดชอบ ขาดคุณภาพ การตรวจผลงานของตนเองขาดความละเอียดรอบคอบ ซึ่งนักเรียนบางคนเข้าใจ ว่าบัตรคําถามกิจกรรมไม่ใช่แบบทดสอบ ไม่ค่อยใส่ใจรีบทําให้เสร็จ ๆ เพื่อจะได้เรียนชุดต่อไป ทําให้ได้คะแนนตํ่า ซึ่งครูต้องค่อยกวดขันให้นักเรียน ทําให้ดีมีคุณภาพไม่จําเป็นต้องรีบ 3.2 ข้อเสนอแนะเพื่อการนําผลการวิจัยไปใช้ ผู้วิจัยขอเสนอแนะเพื่อการนําผลการวิจัยไปใช้ ดังต่อไปนี้ 3.2.1 กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยชุดการเรียน เป็นแนวทางหนึ่งที่สําคัญ ในการ ปฏิรูปการเรียนรู้ ควรนําไปขยายผลใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้กับนักเรียนอื่น ๆ 3.2.2 ควรนํากิจกรรมการเรียนรู้ด้วยชุดการเรียน ไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม กับวิชาต่างๆ ตามธรรมชาติของวิชาและสาระการเรียนรู้ โดยคํานึงสภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นสําคัญ 3.2.3 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นแนวทางการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ และฝึกการทํางานร่วมกัน 3.2.4 การประเมินผลตามสภาพจริง ผู้ประเมินต้องกําหนดเกณฑ์ให้ชัดเจน เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่ถูกต้องสะท้อนพัฒนาการของผู้เรียนได้อย่างแท้จริง 3.3 ข้อเสนอแนะในการทําวิจัยครั้งต่อไป การวิจัยในครั้งนี้ใช้กลุ่มประชากรทั้งหมด ไม่ได้แยกเป็นกลุ่มทดลอง ฉะนั้นจึง ไม่สามารถเปรียบเทียบได้ระหว่างการใช้นวัตกรรม กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเดิมว่ามี ความแตกต่างกันอย่างไร ฉะนั้นในการวิจัยครั้งต่อไป ควรปฏิบัติดังนี้ 3.3.1 ต้องทําการศึกษาผู้เรียนก่อนทําการวิจัย และเสนอลักษณะคุณภาพ ที่พึงประสงค์เป็นระดับ แล้วเลือกระดับผู้เรียน ทดลองใช้นวัตกรรมที่สร้างขึ้น เพื่อศึกษา เปรียบเทียบผลการใช้นวัตกรรม 3.3.2 ควรทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยชุดการเรียน กับกลุ่มนักเรียนที่มี ความแตกต่างกัน เพื่อศึกษาเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม 3.3.3 ควรวางแผนจัดเนื้อหาสาระ ทักษะการเรียนรู้ อย่างหลากหลาย แล้วทดลองใช้กับกลุ่มทดลอง เพื่อศึกษาเปรียบเทียบด้านเนื้อหาสาระ และทักษะการเรียนรู้ของ ผู้เรียน จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยชุดการเรียน
109.
109 บรรณานุกรม กาญจนา นาคสกุล และคณะ.
(2545) บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม 1 : ระบบเสียง อักษรไทย การอ่านคา และการเขียนคา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. จงชัย เจนหัตถการกิจ. (2551) หลักภาษาไทย. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : บริษัทธนาเพรส จํากัด. จอห์นสัน, เดวิด ดับเบิลยู. (2546) วิถีใหม่แห่งการเรียนรู้ : การเรียนรู้แบบร่วมมือ. แปลโดย มานพ ประธรรมสาร. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. จิตรา ยิ้มหงส์. (2550) รายงานการใช้แบบฝึกการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค ที.เอ.ไอ. (TAI) เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการเขียนคาที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3. นครปฐม : โรงเรียนพระตําหนักสวน กุหลาบมหามงคล. จินดา เฮงสมบูรณ์. (2542) ภาษาศาสตร์เบื้องต้น. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น. จิรพร ชูชื่น. (2548) การใช้วิธีเรียนแบบร่วมมือที่มีต่อผลการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 โรงเรียนวรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลา. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (สาขาวิชาหลักสูตรและ การสอน) สงขลา : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา. จีรพันธ์ โมสิกะและคณะ. (2550) การศึกษาประสิทธิผลของการสอนโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ แบบร่วมมือ (TAI) ด้วยสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง กราฟ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (ภาควิชาหลักสูตรและ การสอน) พิษณุโลก : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร. ชัยยงค์ พรหมวงศ์และคณะ. (2521) กระบวนการผลิตชุดการสอนแผนจุฬา. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
110.
110 เชษฐธวัช ชวกาญจนกิจ. (2547)
การพัฒนาชุดการสอนวิชาภาษาอังกฤษเรื่องการอ่านเพื่อ จับใจความสาคัญ สาหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (สาขาวิชาเทคโนโลยี การศึกษา) กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ทดสอบทางศึกษา,สํานักงาน. (ม.ป.ป.) แนวทางการประเมินผลด้วยทางเลือกใหม่ ตามหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. ม.ป.ท. (ถ่ายสําเนา) ทัศนีย์ มโนสมุทร. (2546) ผลของการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ในวิชา คณิตศาสตร์เรื่อง เรขาคณิตวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนดารา วิทยาลัย ปีการศึกษา 2546. ชลบุรี : โรงเรียนดาราวิทยาลัย. ทิศนา แขมมณี. (2551) รูปแบบการเรียนการสอน : ทางเลือกที่หลากหลาย. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. . (2551) ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นคร พันธุ์ณรงศ์. (2548) การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ. [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://www.yupparaj.ac.th/education/topic203.doc (5 กันยายน 2552) นพนภา อ๊อกด้วง. (2547) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง คาและหน้าที่ของคา ในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือกัน เทคนิค STAD กับการสอนแบบปกติ. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (ภาควิชาหลักสูตรและวิธีสอน) กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. นาวินี หลําประเสริฐและคณะ. (2552) หลักภาษาไทยและการใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : บริษัท พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) จํากัด.
111.
111 พัชรี แซ่สุ้น. (2545)
การสร้างชุดการสอนเพื่อใช้เสริมสมรรถภาพการอ่านในใจ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (สาขาวิชาภาษาไทย) สงขลา : บัณฑิตวิยาลัย มหาวิทยาลัยทักษิณ. พิสณุ ฟองศรี. (2550) วิจัยชั้นเรียน : หลักการและเทคนิคปฏิบัติ. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : บริษัทพรอพเพอร์ตี้พริ้นท์ จํากัด. วรรณวิศา หนูเจริญ. (2544) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง หลักธรรมทาง พระพุทธศาสนาของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่สอนด้วยการเรียนแบบร่วมมือกัน และการสอนตามแนวคู่มือครู. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (สาขาหลักสูตรและการนิเทศ) กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. วิจัยทางการศึกษา, กอง. (2541) รายงานการวิจัยเรื่อง การศึกษาสภาพความคาดหวัง สภาพ ปัจจุบันและปัญหาของกระบวนการจัดการเรียนการสอนระดับประถมศึกษา และ มัธยมศึกษา ในวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. . (2545) การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. วิจินตน์ ภาณุพงศ์. (2522) โครงสร้างภาษาไทย : ระบบไวยากรณ์. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัย รามคําแหง. วิชาการ,กรม. (2544) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 . กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์(ร.ส.พ.). . (2544) คู่มือการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.).
112.
112 วิชาการ,กรม. (2545) คู่มือพัฒนาสื่อการเรียนรู้.
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและ พัสดุภัณฑ์(ร.ส.พ.). . (2545) แนวทางการวัดผลและประเมินผลการเรียน ตามหลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.). วิชาการและมาตรฐานการศึกษา,สํานัก. (2549) แนวทางการบริหารหลักสูตรและการเรียน การสอน ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. . (2549) แนวทางการประเมินตามสภาพจริง. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์. (2551) "ภาษาและอักษรไทย" ใน สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน. เล่ม 18. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์. ศึกษาธิการ, กรม. (2542) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และการวิเคราะห์ สาระสาคัญ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. . (2544) สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การ รับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.). ศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา,หน่วย. (2544) แนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียน ตามแนวทางปฏิรูปการศึกษา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา. . (2543) แนวทางการพัฒนากระบวนการเรียนตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
113.
113 สมศักดิ์ ทองบ่อ,พระมหา. (2549)
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่อง รูปและเสียงในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนด้วยวิธีการ เรียนแบบร่วมมือกันเทคนิค STAD กับวิธีการสอนแบบปกติ. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (ภาควิชาหลักสูตรและวิธีสอน) กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. สาคร แสงผึ้ง. (ม.ป.ท.) การวิเคราะห์ข้อสอบแบบเลือกตอบโดยวิธีหาค่าดัชนีจาแนก B (-Index). : ม.ป.ป. (ถ่ายสําเนา) สุจริต เพียรชอบ. (2531) การพัฒนาการสอนภาษาไทย. กรุงเทพฯ : คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สุจริต เพียรชอบและสายใจ อินทรัมพรรย์.(2536) วิธีสอนภาษาไทยระดับมัธยมศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์. (2547) หลักภาษาไทย. พิมพ์ครั้งที่ 15. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. สุนันทา สุนทรประเสริฐ. (2547) แนวทางการผลิตนวัตกรรมการเรียนการสอน : การผลิต ชุดการสอน. ราชบุรี : ธรรมรักษ์การพิมพ์. สุมณฑา พรหมบุญ และคณะ. (2540) ทฤษฎีและแนวคิดเรื่องการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม. กรุงเทพฯ : ม.ป.ท. สุวิทย์ มูลคําและอรทัย มูลคํา. (2551) 19 วิธีจัดการเรียนรู้ : เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะ . พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ภาพพิมพ์. สุวิทย์ มูลคําและอรทัย มูลคํา. (2547) 20 วิธีจัดการเรียนรู้ : เพื่อพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมและการเรียนรู้โดยการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : โรง พิมพ์ภาพพิมพ์.
114.
114 เสนีย์ วิลาวรรณ. (2535)
หลักและการใช้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. กรุงเทพฯ : ไทย วัฒนาพานิช. . (2542) หลักภาษาไทย. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.
Download