รายวิชา ส33102 
ปีการศึกษา 2557 
จัดทา โดย 
นางสาว ปัสสนา ทองสกุล ม6.9 เลขที่ 15 
นางสาว วีรัชญา โมนยะกุล ม6.9 เลขที่ 23 
เสนอ 
อ.ปรางค์สุวรรณ ศักด์ิโสภณกุล
ยุคสมัย 
และหลักฐาน 
ทางประวัติศาสตร์ 
หลักฐาน 
ทางประวัติศาสตร์ 
การแบ่งยุคทาง 
ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์เป็นการศึกษาเรื่องราวและพฤติกรรมของมนุษย์ในอดีต ซึ่ง 
เกิดขึน้ในช่วงเวลาและยุคสมัยต่างๆกัน ประวัติศาสตร์มีแนวคิดว่าใน 
ช่วงเวลาสังคมมีความเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเวลาก่อนหน้า เหตุการณ์ที่ 
เกิดขึน้ในช่วงเวลาหนงึ่ ย่อมมีความแตกต่างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึน้ในอีก 
ช่วงเวลาหนึ่ง เหตุการณ์ที่เกิดก่อนย่อมเป็นเหตุ และจะมีผลต่อเหตุการณ์ที่ 
เกิดขึน้ภายหลัง
คุณค่าที่สาคัญของประวัติศาสตร์ คือ การสร้างความตระหนักว่า 
อดีตเป็นบทเรียนสาคัญสาหรับปัจจุบันและอนาคต ดังนัน้ผู้ศึกษา 
ประวัติศาสตร์จะต้องมีความรู้พืน้ฐานเกี่ยวกับเวลาและยุคสมัยทาง 
ประวัติศาสตร์ เพื่อให้รู้ว่าเหตุการณ์ใดเกิดก่อน และเหตุการณ์ใดเกิดหลัง 
รวมทัง้สามารถเลือกหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เหมาะสมมาใช้ในการทา 
ความเข้าใจเรื่องราวทางประวัติศาสตร์
1. การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ 
ประวัติศาสตร์เป็นศึกษาเรื่องราวและพฤติกรรมของมนุษย์ในอดีต ซึ่งเกิดขึน้ 
ในช่วงเวลาและยุคสมัยต่างกัน ฉะนัน้เพื่อความสะดวกในการศึกษาเรื่องราว 
ของมนุษย์ในอดีต นักประวัติศาสตร์ได้แบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ 
ออกเป็น ๒ สมัย โดยอาศัยหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นเกณฑ์ ได้แก่ 
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (Prehistorical Period) เป็นช่วงเวลาที่ 
มนุษย์ยังไม่รู้จักใช้ตัวหนังสือในการเล่าเรื่องราว และสมัยประวัติศาสตร์ 
(Historical Period) เป็นช่วงเวลามนุษย์รู้จักใช้ตัวหนังสือในการเล่า 
เรื่องราว ต่างๆในสังคม
ในปัจจุบันองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่ง 
สหประชาชาติ(UNESCO) ได้กาหนดอายุยุคสมัยเพิ่มขึน้มาอีก 1 สมัย 
เรียกว่า สมัยกึ่งก่อนประวัติศาสตร์ (Protohistorical Period) 
ซงึ่เป็นยุคสมัยที่มนุษย์ในสังคมนัน้ยังไม่รู้จักใช้ตัวอักษร บันทึกเรื่องราว 
ของตนเอง แต่มีผู้คนจากสังคมอื่นซงึ่ได้เดินทางผ่าน และได้บันทึก 
เรื่องราวถึงผู้คนเหล่านัน้ไว้
1.1 สมัยก่อนประวัติศาสตร์ 
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือ ช่วงเวลาที่มนุษย์ยังไม่ 
รู้จักใช้ตัวหนังสือ จึงยังไม่มีเอกสารใดๆ ที่จดบันทึกเรื่องราวให้ 
มนุษย์ยุคหลังทราบได้การศึกษาเรื่องราวในสมัยก่อน 
ประวัติศาสตร์จึงต้องอาศัยการสันนิษฐานและการตีความจาก 
หลักฐานทางโบราณคดี และหลักฐานทางสภาพแวดล้อม
1.1.1 ยุคหิน (Stone Age) 
• ยุคหินแบ่งออกเป็นยุคย่อย 3 ยุค คือยุคหินเก่า ยุคหินกลาง และยุคหินใหม่ 
1. ยุคหินเก่า (Paleolithic Period หรือ Old Stone Age) 
ประมาณ 2,500,00 – 10,500 ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคนีเ้ริ่มทา 
เครื่องมือเครื่องใช้ด้วยหินอย่างง่ายก่อน เมื่อเวลาผ่านไปก็สามารถ 
ดัดแปลงให้เหมาะสมกับการใช้เครื่องมือหิน มนุษย์ใช้วัสดุจาพวกหินไฟ 
ซงึ่ในบุคนีส้ามารถแบ่งเครื่องมือยุคหินเก่าออกเป็น 3 ช่วง คือ 
- ยุคหินเก่าตอนต้น ประมาณ 2,500,00 – 180,000 ปีมาแล้ว 
เครื่องมือเครื่องใช้ทาด้วยหิน มีลักษณะเป็นขวานกะเทาะแบบกาปั้น
- ยุคหินเก่าตอนกลาง ประมาณ 180,000 – 49,000 ปีมาแล้ว 
เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทาด้วยหิน มีลักษณะแหลมคม มีด้ามยาวขึน้ และมี 
ประโยชน์ในการใช้สอยมากขึน้ 
- ยุคหินเก่าตอนปลาย ประมาณ 49,000 – 10,500 ปีมาแล้ว 
เครื่องมือเครื่องใช้มรความหลากหลายกว่ายุคก่อน ได้แก่ เครื่องมือ 
เครื่องใช้ที่ทาจากหินและกระดูกสัตว์โดยการแกะสลัก เช่น เข็มเย็บผ้า 
ฉมวก หัวลูกศร และทาเครื่องประดับด้วยเปลือกหอยและกระดูกสัตว์
ลักษณะสังคมในยุคหินเก่าเป็นสังคมล่าสัตว์ เนื่องจากมนุษย์ในยุคนี้ 
ดารงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และหาพืชผักผลไม้จากป่าเป็นอาหาร เร่ร่อนอพยพตาม 
ฝูงสัตว์ และแสวงหาแหล่งที่อยู่ที่อุดมสมบูรณ์ไปเรื่อยๆ และพบว่าในช่วงปลาย 
ยุคหินเก่า มนุษย์มรความสามารถทางด้านศิลปะ ซงึ่พบภาพวาดตามผนังถา้ ที่ 
ใช้ฝุ่นสีต่างๆ ได้แก่ สีดา นา้ตาล ส้ม แดงอ่อน และเหลือง ภาพทวี่าดส่วนใหญ่ 
เป็นภาพสัตว์ป่า เช่น วัวกระทิง ม้าป่า กวางแดง และกวางเรนเดียร์ภาพวาดที่มี 
ชื่อเสียงของมนุษย์ยุหินเก่าอยู่ที่ถา้กลาสโก ประเทศฝรั่งเศส 
สภาพสังคมที่มีลักษณะของการอยู่รวมกันเป็นครอบครัว เป็น 
กลุ่มย่อยๆเพื่อการดารงชีพ มีการจัดระเบียบของกลุ่มทัง้ด้านความ 
ร่วมมือและการแบ่งหน้าที่กัน ผู้ชายออกล่าสัตว์ ผู้หญิงดูแลเดก็และหา 
ผลไม้ ลักษณะทางสังคมก่อให้เกิดสิ่งสาคัญ คือ เครื่องมือและภาษาพูด 
ซงึ่นาไปสู่การถ่ายทอดและพัฒนาความรู้ของมนุษย์
2. ยุคหินกลาง (Mesolithic Period หรือ Middle Stone 
Age) ประมาณ 10,500 - 10,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ในช่วงเวลานี้ 
เริ่มทาเครื่องจักสาน เช่น ตะกร้าสาน ทารถลาก เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทา 
ด้วยหิน ในยุคนีมี้ความประณีตมากขึน้ ตลอดจนรู้จักนาสุนัขมาเลยี้ง 
เป็นสัตว์เลยี้ง 
ในยุคหินกลาง มนุษย์รู้จักเลีย้งสัตว์และเริ่มมีการปลูกพืช แต่อาชีพ 
หลักยังคงเป็นการล่าสัตว์และยังเร่ร่อนไปตามแหล่งที่อุดมสมบูรณ์โดยมัก 
ตัง้หลักแหล่งอยู่ตามแหล่งนา้ ชายฝั่งทะเลและบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ 
ประกอบอาชีพประมง ล่าสัตว์
3. ยุคหินใหม่ (Neolithic Period หรือ New Stone Age) 
ประมาณ 10,000-4,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคนีอ้าศัยอยู่รวมกันเป็น 
หมู่บ้าน ดารงชีวิตด้วยการเพาะปลูกและเลยี้งสัตว์ตัง้ถิ่นฐานเป็นหลัก 
แหล่ง เปลี่ยนจากสังคมล่าสัตว์เป็นสังคมเกษตรกรรม สร้างที่พักอาศัย 
ถาวรเป็นกระท่อมดินเหนียวตามลุ่มนา้ 
ยุคหินใหม่เป็นยุคเกษตรกรรม พืชเพาะปลูกที่สาคัญในยุคนี้ 
คือ ข้าว พืชอื่นๆ เช่น ถวั่ ฟัก บวบ ส่วนสัตว์เลยี้ง ได้แก่ สุนัข แพะ 
แกะ และยังคงล่าสัตว์ เช่น กวาง กระต่าย เต่า ตะพาบ รวมทัง้ยังคง 
ทาประมง 
มนุษย์ยุคหินใหม่ยังคงมีความเชื่อและประกอบพิธีกรรมใน 
รูปแบบต่างๆ เพื่อบูชาสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะการบูชาสิ่ง 
ศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้พืชที่เพาะปลูกเจริญงอกงาม มีฝนตกตามฤดูกาล
สภาพชีวิตมนุษย์ยุคหินใหม่ได้เปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่จากที่สูง 
มาอยู่ที่ราบใกล้แหล่งน้า โดยอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านบนเนิน และดา รงชีวิต 
ตามหลักเศรษฐกิจใหม่ รู้จักทา เครื่องปั้นดินเผา การทา เครื่องจักสาน การ 
ทอผ้าและเกิดผลิตผลมากกว่าที่จะบริโภค จึงเกิดการค้าขาย 
เนื่องจากมีการตั้งถิ่นฐานถาวร ทา ให้เกิดจา นวนประชากรมากขึ้น 
จึงมีการจัดสถานะทางสังคม การแบ่งงานกันทา มีการทา งานเฉพาะด้าน 
และมีการติดต่อแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างชุมชน 
เครื่องมือเครื่องใช้ยุคหินใหม่จึงมีการประดิษฐ์อย่างประณีต 
โดยทา จากวัสดุพวกหิน กระดูกและเขาสัตว์ เครื่องมือที่สา คัญในยุคนี้ คือ 
ขวานหินด้ามไม้ และเคียวหินเหล็กไฟด้ามไม้
1.1.2 ยุคโลหะ (Metal Age) 
โลหะชนิดแรกที่มนุษย์รู้จักนามาหลอมเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ 
คือ ทองแดง ปรากฏหลักฐานในบริเวณลุ่มแม่นา้ไทกริสและยูเฟรทิส แสดง 
ว่ามนุษย์ยุคนัน้นาทองแดงมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆก่อนที่จะรู้วธิีทาสาริด 
ยุคโลหะแบ่งออกเป็น 2 ยุคย่อย คือยุคสาริดและยุคเหล็ก 
1.ยุคสาริด(Bronze Age) ยุคสาริดเริ่มต้นในภูมิภาคต่างๆ ของโลกเมื่อ 
ประมาณ 4,000-2,700 ปีมาแล้ว สาริดเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดง 
กับดีบุก กรรมวิธีการทาสาริดค่อนข้างยุ่งยาก ตัง้แต่การหาแหล่งแร่ การ 
เตรียม การถลุงแร่ และการผสมแร่ในเบ้าหลอม จากนัน้จึงเป็นการขึน้รูปทา 
เครื่องมือเครื่องใช้ด้วยดารตีหรือการหล่อในแม่พิมพ์หินทราย หรือแม่พิมพ์ 
ดินเผา
เครื่องมือเครื่องใช้ในยุคสาริดที่พบตามแหล่งต่าง ๆ ในภูมิภาค 
ต่างๆของโลก นอกจากทาด้วยสาริดแล้วยังพบเครื่องมือเครื่องใช้ทาจาก 
ดินเผา หิน และแร่ ในบางแหล่งมีการใช้สาริดต่อเนื่องมาจนถึงยุคเหล็ก 
เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทาจากสาริดมีขวาน หอก ภาชนะ กาไล ตุ้มหู ลูกปัด 
เป็นต้น 
ในยุคนีค้วามเป็นอยู่ของมนุษย์เปลี่ยนไปมากทัง้ด้านการเมืองและสังคม 
ชุมชนเกษตรกรรมขยายตัวจนกลายเป็นชุมชนเมือง จึงมีการจัดแบ่งความสัมพันธ์ตาม 
ความสามารถ เช่น กลุ่มอาชีพ มีการจัดระเบียบสังคมเป็นกลุ่มชนชัน้ต่างๆ ซงึ่ 
เอือ้อานวยต่อการผลิตอันนาไปสู่ความมนั่คงด้านปัจจัยพืน้ฐานและความมงั่คงั่แก่ 
สังคม มนุษย์จึงมีความมนั่คงปลอดภัยกว่าเดิมและมีความสะดวกสบายมากขึน้ 
นาไปสู่พัฒนาการทางสังคมสู่ความเป็นรัฐในเวลาต่อมา
แหล่งอารยธรรมที่สาคัญๆ ของโลกล้วนมีการพัฒนาการสังคมจาก 
ช่วงเวลาสมัยหินใหม่และสมัยสาริด แหล่งอารยธรรมของโลกที่สาคัญและแหล่ง 
วัฒนธรรมบางแห่ง เช่น แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมียในภูมิภาคเอเชียตะวันตก 
แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่นา้ไนล์ในอียิปต์ แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่นา้สินธุในอินเดีย 
แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่นา้ฮวงเหอของจีน 
2. ยุคเหล็ก (Iron Age) ประมาณ 2,700-2,000 ปีมาแล้ว 
ช่วงเวลานีเ้ริ่มต้นจากการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีการผลิตโลหะของ 
มนุษย์สามารถหลอมโลหะประเภทเหล็กขึน้มาทาเป็นเครื่องมือเครื่อง 
ใช้ได้ เหล็กมีการแข็งแกร่งคงทนกว่าสาริดมาก การผลิตเหล็กต้องใช้ 
อุณหภูมิสูงและมีกรรมวิธียุ่งยากมาก
สังคมที่สามารถพัฒนาการผลติเหล็ก จะสามารถพัฒนาสู่ความ 
เป็นรัฐ เพราะการผลิตเหล็กทาให้สังคมสามารถผลิตอาวุธได้ง่ายและ 
แข็งแกร่งขึน้ จนสามารถขยายกองทัพได้ และมีเครื่องมือที่เหมาะสมต่อ 
การทาเกษตรที่มีความคงทนกว่า 
แหล่งอารยธรรมแห่งแรกที่สามารถผลิตเหล็กได้คือ แหล่งอารยธรรม 
เมโสโปเตเมียหรือก็คืออาณาจักรฮิตไทต์เมื่อ 1,200 ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือ 
ประมาณ 3,200 ปีมาแล้ว 
ยุคเหล็กมีความแตกต่างจากยุคสาริดหลายประการ คือ การพัฒนา 
เทคโนโลยีการผลิตเหล็กทาให้เกิดการเพิ่มผลผลิต การผลิตเหล็กทาให้กองทัพมี 
อาวุธที่แข็งแกร่ง นาไปสู่พัฒนาการทางสังคมจนกลายเป็นรัฐที่มีกาลังทหารที่ 
แข็งแกร่งเข้ายึดครองสังคมอื่นๆ ขยายเป็นอาณาจักรในเวลาต่อมา
1.2 สมัยประวัติศาสตร์ 
สมัยประวัติศาสตร์เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์ในสังคมนัน้รู้จักเขียน มี 
ตัวอักษรสาหรับใช้จดบันทึก ทาให้ชนรุ่นหลังสามารถเข้าใจเรื่องราว 
ต่างๆ ของมนุษย์ในอดีตได้ ทัง้นีแ้ต่ละสังคมจะเริ่มต้นสมัย 
ประวัติศาสตร์ไม่พร้อมกัน 
การศึกษาประวัติศาสตร์สากลมีความแตกต่างกันระหว่างการศึกษา 
ประวัติศาสตร์ตะวันออกกับประวัติศาสตร์ตะวันตก โดยประวัติศาสตร์ตะวันออก 
แบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ตามช่วงเวลาของแต่ละราชวงศ์หรือศูนย์กลาง 
อานาจเป็นเกณฑ์ เช่น ประวัติศาสตร์จีน ใช้เกณฑ์ช่วงเวลาของแต่ละราชวงศ์ใน 
การแบ่งยุคสมัย ขณะที่ประวัติศาสตร์ตะวันตกใช้เหตุการณ์สาคัญทาง 
ประวัติศาสตร์เป็นเกณฑ์ในการแบ่งยุคสมัย
1.2.1 การแบ่งยุคสมัยในประวัติศาสตร์ตะวันออก 
ในการแบ่งยุคสมัยในประวัติศาสตร์อารยธรรมตะวันออกจัดแบ่ง 
ไปตามภูมิภาคต่างๆ เนื่องจากประวัติศาสตร์อารยธรรมของแต่ละ 
ภูมิภาคจะมีลักษณะเฉพาะทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่ง 
แต่ละภูมิภาคมีการจัดหลักเกณฑ์การแบ่งยุคสมัยต่อไปนี้
1. การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์จีน แนวความคิดในการจัดแบ่งยุค 
สมัยทางประวัติศาสตร์จีนใช้พัฒนาการทางอารยธรรมและช่วงเวลาที่ 
ราชวงศ์ต่างๆ มีอานาจในการปกครอง เป็นหลักเกณฑ์ในการจัดแบ่งยุค 
สมัยทางประวัติศาสตร์จีน ซึ่งสามารถแบ่งยุคสมัยออกได้เป็น 
ประวัติศาสตร์จีนสมัยโบราณ (1570 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 220) 
ประวัติศาสตร์จีนสมัยกลาง(ค.ศ. 220 - 1368) ประวัติศาสตร์จีน 
สมัยใหม่(ค.ศ.1368 -1911) และประวัติศาสตร์จีนสมัยปัจจุบัน (ค.ศ. 
1911-ปัจจุบัน) 
ช่วงเวลาของการเริ่มต้นรากฐานของอารยธรรมจีนเริ่มตัง้แต่สมัยก่อน 
ประวัติศาสตร์ที่มีการสร้างสรรค์วัฒนธรรมหยางเชา (Yangshao Culture) 
วัฒนธรรมหลงซาน (Longshan Culture) ซงึ่เป็นวัฒนธรรมเครื่องปั้นดินเผา 
และโลหะสาริด
1) ประวัติศาสตร์จีนสมัยโบราณ เริ่มในสมัยราชวงศ์ซาง (Shang 
Dynasty ประมาณ 1,570 – 1,045 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นช่วงเวลาที่ 
จีนก่อตัวเป็นรัฐและมีการวางรากฐานด้านการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม 
ในสมัยนีมี้การใช้ตัวอักษรจีนโบราณเขียนลงบนกระดองเต่าหลังจากนัน้เป็น 
ช่วงสมัยราชวงศ์โจว (Chou Dynasty ประมาณ 1,045 – 256 ปีก่อน 
คริสต์ศักราช) สมัยนีนั้กประวัติศาสตร์แบ่งออกเป็นสมัยย่อย ได้แก่ สมัย 
ราชวงศ์โจวตะวันตก และราชวงศ์โจวตะวังออก เมื่อราชวงศ์โจวตะวันออก 
เสื่อมลง เกิดสงครามระหว่างเจ้าผู้ครองรัฐต่างๆ ในที่สุด รัฐฉินได้รวบรวม 
ประเทศก่อตัง้ราชวงศ์ฉิน (Qin Dynasty 221-206 ปีก่อน 
คริสต์ศักราช) และสมัยราชวงศ์ฮั่น (Han Dynasty 202ปีก่อน 
คริสต์ศักราช – ค.ศ.220) เป็นสมัยที่มีการรวมศูนย์อานาจอย่างชัดเจนเป็น 
จักรวรรดิ โดยระบอบดังกล่าวใช้อยู่ในประเทศจีนนานกว่า 2,000 ปี
2) ประวัติศาสตร์จีนสมัยกลาง เป็นช่วงเวลาของการปรับตัวของอารยธรรม 
จีนในการรับอิทธิพลต่างชาติเข้ามาผสมผสานกับอารยธรรมจีน ที่สาคัญ คือ 
พระพุทธศาสนา 
ประวัติศาสตร์จีนสมัยกลางเริ่มต้นสมัยด้วยความวุ่นวายจากการล่ม 
สลายของราชวงศ์ฮั่น เรียกว่า สมัยแตกแยกการเมือง (ค.ศ. 220 - 589) เป็น 
ช่วงเวลาที่ชาวต่างชาติเข้ามายึดครองดินแดนจีน และมีการแบ่งแยกดินแดน 
ก่อนที่จะรวมประเทศได้ในสมัยราชวงศ์สุย (Sui Dynasty ค.ศ. 581-618) 
และสมัยราชวงศ์ถัง (Tang Dynasty ค.ศ. 618 - 907) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ 
ประเทศจีนมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด แต่เมื่อสมัยราชวงศ์ถังสิน้สุดลงก็เกิดความ 
แตกแยกอีกครัง้ในสมัยที่เรียกว่า ห้าราชวงศ์กับสิบรัฐ (ค.ศ. 907 - 979)
ในสมัยราชวงศ์ซ่ง (Sung Dynasty ค.ศ. 960 - 1279) 
สามารถรวมประเทศจีนได้อีกครัง้ ช่วงเวลานีเ้ป็นช่วงเวลาของความ 
เจริญรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรม จนกระทงั่ชาวมองโกลสามารถยึดครอง 
ประเทศจีนและสถาปนาราชวงศ์หยวน (Yuan Dynasty ค.ศ. 1260 - 
1368)
3)ประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ เริ่มต้นยุคสมัยใน ค.ศ. 1368 เมื่อชาวจีนได้ 
ขับไล่พวกมองโกลออกไปแล้วสถาปนาราชวงศ์หมิง (Ming Dynasty ค.ศ. 
1368-1644) ขึน้ปกครองจีนหลังจากนัน้ราชวงศ์ชิง (Qing Dynasty ค.ศ. 1644- 
1911) ของพวกแมนจูโค่นล้มราชวงศ์หมิงสมัยนีจี้นได้รับยกย่องว่าประสบความสาเร็จ 
เกือบทุกด้าน นักวิชาการบางท่านถือว่าประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่เริ่มต้นเมื่อครัง้ 
ราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644) 
ในช่วงปลายสมัยราชวงศ์ชิงเป็นช่วงเวลาที่ประเทศจีนถูกคุกคามจาก 
ชาติตะวันตก และจีนแพ้อังกฤษในสงครามฝิ่น (ค.ศ. 1839-1842) ราชวงศ์ชิง 
สนิ้สุดใน พ.ศ.1911
4)ประวัติศาสตร์จีนสมัยปัจจุบัน เริ่มต้นในค.ศ. 1911 เมื่อจีน 
ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ 
สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบสาธารณรัฐ (ค.ศ. 1911- 
1949) โดย ดร.ซุน ยัตเซน (Sun Yat-sen ค.ศ. 1866-1925) 
ต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์ได้ปฏิวัติและได้ปกครองจีน จึงเปลี่ยนการ 
ปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ตัง้แต่ ค.ศ.1949 จนถึงปัจจุบัน
2. การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์อินเดีย 
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์อินเดียใช้หลักเกณฑ์พัฒนาการของ 
อารยธรรมอินเดียและเหตุการณ์สาคัญเป็นหลักเกณฑ์สาคัญ ดังนัน้ประวัติศาสตร์ 
อินเดียจึงแบ่งยุคสมัยออกเป็นสมัยโบราณ สมัยกลาง และสมัยใหม่ โดยแต่ละยุค 
สมัยจะมีการแบ่งยุคสมัยย่อยตามช่วงเวลาของแต่ละราชวงศ์หรือชนกลุ่มต่างๆที่มี 
อิทธิพลเหนืออินเดียในขณะนัน้
ช่วงเวลาการวางพืน้ฐานของอารยธรรมอินเดียเริ่มตัง้แต่สมัย 
อารยธรรมลุ่มแม่นา้สินธุของพวกดราวิเดียนเมื่อ 2,500 ปีก่อน 
คริสต์ศักราช จนกระทงั่อารยธรรมแห่งนีล้่มสลายลงเมื่อ 1,500 ปี 
ก่อนคริสต์ศักราช เมื่อชาวอารยันอพยพเข้ามาตัง้ถิ่นฐานและก่อตัง้ 
อาณาจักรหลายอาณาจักรในภาคเหนือของอินเดีย ช่วงเวลา 
ดังกล่าวเป็นช่วงเวลาของการเริ่มสร้างสรรค์อารยธรรมอินเดียที่ 
แท้จริง มีการคิดค้นและก่อตัง้ศาสนาต่างๆ ช่วงเวลาดังกล่าวเรียกว่า 
สมัยพระเวท (1,500-900 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
1)ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยโบราณ เริ่มต้นในสมัยมหากาพย์ (Epic 
Age 900-6— ปีก่อนคริสต์ศักราช) ซึ่งมีการใช้ตัวอักษรอินเดีย 
โบราณในการบันทึกเรื่องราว ต่อมาอินเดียมีการรวมตัวกันครัง้แรกใน 
สมัยราชวงศ์มคธ (Kingdom of Magadha 600-322 ปี 
ก่อนคริสต์ศักราช) และมีการร่วมตัวกันอย่างแท้จริงในสมัยราชวงศ์เมา 
รยะ (Maurya Dynasty 322-184 ปีก่อนคริสต์ศักราช ) 
ช่วงเวลานีเ้ป็นช่วงเวลาที่อินเดียเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังดินแดน 
ต่างๆ ต่อมาเมื่อจักรวรรดิเมารยะล่มสลาย อินเดียก็เข้าสู่สมัยแห่งความ 
แตกแยกและการรุกรานจากภายนอกทัง้จากพวกกรีกและพวกกุษาณะช่วงเวลา 
ดังกล่าวนีเ้ป็นสมัยของการผสมผสานทางวัฒนธรรมก่อนที่จะมีการร่วมเป็น 
จักรวรรดิได้อีกครัง้ใน ค.ศ. 320 โดยราชวงศ์คุปตะ (Kupta Dynasty ค.ศ. 
320-535) สมัยนีพ้ระพุทธศาสนาเสื่อมความนิยมลงในขณะที่ศาสนาพราหมณ์ 
ฮินดูเจริญรุ่งเรืองขึน้
2)ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยกลาง การสิน้สุดของสมัยคุปตะใน ค.ศ. 
535 ถือเป็นการสนิ้สุดของสมัยโบราณ อินเดียได้ย่างเข้าสู่สมัยกลาง (ค.ศ. 
535-1526) ซงึ่สมัยนีเ้ป็นช่วงเวลาของความวุ่นวายทางการเมืองและการ 
รุกรานจากต่างชาติ โดยเฉพาะชาวมุสลิม สมัยกลางสามารถแบ่งได้เป็น 
สมัยความแตกแยกทางการเมือง (ค.ศ. 535-1200) และสมัยสุลต่านแห่ง 
เดลี (ค.ศ. 1200-1526)
3)ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่เมื่ออาณาจักรสุลต่านแห่งเดลี 
ล่มสลายลงใน ค.ศ. 1526 พวกมุคัลได้ตัง้ราชวงศ์มุคัลถือเป็นการ 
เริ่มต้นสมัยใหม่ของประวัติศาสตร์อินเดีย ช่วงเวลานีเ้รียกว่า สมัย 
จักรวรรดิมุคัล (Mughal Empire ค.ศ. 1526-1858) จนกระทั่ง 
อังกฤษเข้าปกครองอินเดียโดยตรงใน ค.ศ. 1858 แบะปกครองต่อมา 
จนถึง ค.ศ. 1947 อินเดียจึงได้รับเอกราชจากอังกฤษ อินเดียจึงเข้าสู่ 
ยุคประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบัน
ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่เป็นช่วงเวลาที่วัฒนธรรม 
ต่างชาติอันได้แก่ วัฒนธรรมเปอร์เซีย และวัฒนธรรมทางตะวันตก 
เข้ามามีอิทธิพลในสังคมอินเดีย ขณะเดียวกันชาวอินเดียที่นับถือ 
ศาสนาฮินดูได้ยึดมนั่ในศาสนาของตนเองขึน้พร้อมกับเกิดความ 
แตกแยกในสังคมอินเดียจนกระทงั่ปัจจุบัน ประวัติศาสตร์อินเดีย 
สมัยใหม่สามารถแบ่งได้เป็นสมัยราชวงศ์มุคัล และสมัยอังกฤษ 
ปกครองอินเดีย (ค.ศ.1858-1947)
4)ประวัติศาสตร์อินเดียปัจจุบัน คือภายหลังได้รับเอกราชและ 
การถูกแบ่งแยกออกเป็นประเทศต่างๆ ได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน 
และบังกลาเทศ 
อย่างไรก็ตาม การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์โดยใช้ 
หลักเกณฑ์พัฒนาของอารยธรรมอินเดีย สามารถรวมสมัยสุลต่านแห่ง 
เดลีเข้ากับสมัยราชวงศ์มุคัลซึ่งเป็นสมัยที่วัฒนธรรมมุสลิมเข้าไปมี 
อิทธิพลในอารยธรรมอินเดียโดยเรียกรวมว่า สมัยมุสลิม (ค.ศ. 1200- 
1858)
1.2.2 การแบ่งยุคสมัยในประวัติศาสตร์ตะวันตก 
นักประวัติศาสตร์ตะวันตกแบ่งยุคสมัยของประวัติศาสตร์ตะวันตกเป็น 4 ยุค 
สมัย ได้แก่ 
1.ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ (3,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช-ค.ศ. 476) 
รากฐานของอารยธรรมตะวันตกเริ่มต้นในลุ่มแม่นา้ไทกริส-ยูเฟรทีส อารย 
ธรรมสมัยนีไ้ด้แก่ อารยธรรมเมโสโปเตเมีย อารยธรรมอียิปต์โบราณ อาราย 
ธรรมกรีก และอารยธรรมโรมัน 
สมัยโบราณในประวัติศาสตร์ตะวันตก เริ่มต้นเมื่อ 3,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช 
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อารยธรรมเมโสโปเตเมียและอารยธรรมอินเดียซึ่งเป็นอารย 
ธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกจนถึง ค.ศ. 476 เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่ม 
สลาย ถือเป็นการสนิ้สุดสมัยโบราณ
2.ประวัติศาสตร์สมัยกลาง (ค.ศ. 476-ค.ศ. 1453) ช่วงเวลา สมัยกลาง เป็นช่วงเวลา 
ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางอารยธรรมตะวันตกจากอารยธรรมโรมันไปสู่อารยธรรมคริสต์ 
ศาสนาเป็นสมัยที่ตะวันตกได้รับอิทธิพลอย่างมากจากศริสต์ศาสนา ทัง้ด้านการเมือง 
เศรษฐกิจ สังคมและศิลปวัฒนธรรม 
นอกจากนีสั้งคมสมัยกลางยังมีลักษณะเป็นสังคมในระบบฟิวดัล (Feudalism) ที่ 
ขุนนางแคว้นต่างๆ มีอานาจครอบครองพืน้ที่ โดยประชาชนส่วนใหญ่มีฐานะเป็นข้าติด 
ที่ดิน (Serf) และดารงชีวิตอยู่ในเขตแมเนอร์(manor) ของขุนนาง ซงึ่เป็นลักษณะ 
พิเศษของสังคมสมัยกลางนอกจากนีป้ระวัติศาสตร์สมัยกลางยังเป็นสมัยที่ศริสต์ศาสนา 
ขัดแย้งกับศาสนาอิสลามจนเกิดสงครามครูเสด (Crudades ค.ศ. 1096-1291) เป็น 
เวลาราว 200 ปี เป็นผลให้เกิดการค้นหาเส้นทางการค้าทางทะเลและวิทยาการด้าน 
อื่นๆ
3.ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ (ค.ศ. 1453-1945) เป็นสมัยของความ 
เจริญรุ่งเรืองทางศิลปวิทยาการของอารยธรรมตะวันตก ทัง้ด้านการเมือง 
เศรษฐกิจ และสังคม อารยธรรมสมัยใหม่เป็นรากฐานที่สาคัญของอารยธรรม 
ตะวันตกในปัจจุบัน และช่วงเวลานีช้าวยุโรปได้แผ่อิทธิพลไปยังดินแดนอื่นๆ 
ประวัติศาสตร์สมัยใหม่เป็นช่วงที่มีการสารวจเส้นทางเดินเรือทะเล เพื่อ 
การค้ากับโลกตะวันออกและการเผยแผ่คริสต์ศาสนา เริ่มตัง้แต่สมันฟื้นฟูศิลปวิทยา 
(Renaissance คริสต์ศตวรรษที่ 15-17) ซึ่งเป็นช่วงสมัยที่ความเจริญทาง 
วิทยาการต่างๆ เจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว เข้าไปสู่ยุคสมัยแห่งการปฏวิัติวิทยาศาสตร์ 
(Age of Scientific Revolution คริสต์ศตวรรษที่ 16-18) ยุคภูมิธรรมหรือ 
ยุคแห่งการรู้แจ้ง (Age of Enlightenment คริสต์ศตวรรษที่ 17-18) สมัย 
ประชาธิปไตย (Age of Democracy คริสต์ศตวรรษที่ 17-19)
สมัยชาตินิยม (Nationalism ค.ศ. 1789-1918) สมัยจักรวรรดิ 
นิยมใหม่ (New Imperialism ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19- 
สงครามโลกครัง้ที่ 2) และสมัยสงครามโลก (World War ค.ศ. 
1914-1945) การแผ่ขยายอานาจของยุโรปในสมัยใหม่ทาให้เกิดความ 
ขัดแย้งก่อให้เกิดสงคราโลกครัง้ที่ 1 และสงครามโลกครัง้ที่2 
ประวัติศาสตร์สมัยใหม่สนิ้สุดลงเมื่อ ค.ศ. 1945 เมื่อสงครามโลกครัง้ที่ 
2 ยุติลง
4.ประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบัน (ค.ศ.1945-ปัจจุบัน)สมัยปัจจุบัน 
เป็นช่วงสมัยหลังสงครามโลกครัง้ที่ 2 ซงึ่มีผลกระทบรุนแรงทงั่โลก 
และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง 
การปกครองต่อสังคมโลกในปัจจุบัน
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ 
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ หมายถึง ร่องรอยจากพฤติกรรม 
ของมนุษย์ในอดีต ตัวอย่างหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เช่น 
บันทึกคาบอกเล่า จารึก เอกสารราชการ โบราณสถาน 
โบราณวัตถุ หลักฐานต่างๆ สามารถบอกเรื่องราวได้แตกต่าง 
กันในแง่มุมต่างๆ
ประเภทของหลักฐานทาง 
ประวัติศาสตร์
จาแนกตามความสาคัญของหลักฐาน 
1.หลักฐานชั้นต้น คือ หลักฐานที่บันทึกโดยผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง 
หรือผู้รู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง รวมทัง้โบราณสถาน โบราณวัตถุที่ 
สร้างขึน้ในยุคสมัยนัน้ 
2.หลักฐานชั้นรอง คือ หลักฐานที่ผู้บันทึกได้รับรู้เหตุการณ์ 
จากการสื่อสารของบุคคลอื่นมาอีกทอดหนงึ่ รวมทัง้งานเขียน 
ทางประวัติศาสตร์ที่ศึกษาข้อมูลจากหลักฐานชัน้ต้นก็ถือว่าเป็น 
หลักฐานชัน้รองด้วยเช่นกัน
จาแนกตามลักษณะของหลักฐาน 
1.หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร คือ หลักฐานที่เป็นตัวหนังสือ 
เช่น จารึก ตานาน บันทึกความทรงจา 
2. หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร คือ หลักฐานที่เป็นวัตถุ ซงึ่ 
เป็นหลักฐานทางโบราณคดี เช่น รูปเคารพ มหาวิหาร โครงกระดูก 
มนุษย์ กระดูกสัตว์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์สมัยก่อน 
ประวัติศาสตร์
จีน 
1.โครงกระดูกมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ เช่น โครงกระดูกมนุษย์ 
ปักกิ่ง ยุคหินเก่า พบที่ถ้า โจวโข่วเตี้ยน 
2.เครื่องปั้นดินเผาวัฒนธรรมหยางเชา และวัฒนธรรมหลงชาน 
เป็นของมนุษย์ยุคใหม่ วัฒนธรรมหยางเชาอยู่บริเวณลุ่มแม่น้า หวาง 
เหอ พบเครื่องปั้นดินเผาลายเขียนสี วัฒนธรรมหลงชาน อยู่บริเวณ 
ลุ่มแม่น้า หวางเหอ ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของจีน เลียบ 
ชายฝั่งทะเลลงมาถึงลุ่มแม่น้า ฉางเจียง นิยมทา ภาชนะ 3 ขา
อินเดีย 
1.เมืองโบราณโมเฮนโจดาโร และ ฮารัปปา เป็นแหล่งหลักฐาน 
ทางด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ที่สา คัญที่สุดของแหล่งอารย 
ธรรมลุ่มแม่น้า สินธุ หลักฐานที่พบมีทั้งมีทั้งหลักฐานทาง 
โบราณสถานและโบราณวัตถุ แหล่งหลักฐานเมืองโบราณโมเฮน 
โจดาโรและฮารัปปา ก่อสร้างโดยชาวดราวิเดียน หลักฐานที่พบให้ 
ข้อมูลในหลายๆด้านเกี่ยวกับแหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้า สินธุ
อินเดีย 
2. คัมภีร์พระเวทของชาวอารยัน เมื่อชาวอารยันอพยพเข้ามาในเขตภาคเหนือ 
ของอินเดีย อารยธรรมลุ่มแม่น้า สินธุได้สินสุดหลง เกิดอารยธรรมใหม่ของ 
ชาวอารยันเรียกว่า อารยธรรมพระเวท หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สา คัญใน 
ช่วงเวลานี้คือ คัมภีร์พระเวท ซึ่งเป็นคัมภีร์ทางศาสนาที่สา คัญที่สุดของชาว 
อารยัน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สา คัญคือการกล่าวถึงประวัติศาสตร์ของ 
ชาวอารยันในสมัยแรกเริ่มที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอินเดียในช่วงเวลานี้ 
คัมภีร์พระเวทประกอบไปด้วย คัมภีร์ฤคเวท สามเวท ยชุรเวท และ อาถรรพ 
เวท ใช้วิธีการบอกเล่าสืบต่อกันมา ยังไม่มีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร 
เนื้อหาของคัมภีร์พระเวท แม้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา แต่ก็ให้ข้อมูล 
เกี่ยวกับการเมือง และสังคมวัฒนธรรมในช่วงเวลานี้ด้วย คัมภีร์พระเวทยัง 
เป็นต้นกา เนิดของคัมภีร์อื่นๆของชาวอารยันในเวลาต่อมา
ตะวันตก 
1.โครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โครงกระดูกมนุษย์ 
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ทา ให้เห็นวิวัฒนาการของมนุษย์ในแต่ละสมัย 
นอกจากนี้สิ่งของเครื่องใช้ที่ฝังรวมไว้กับศพช่วยให้รู้เกี่ยวกับการดา เนิน 
ชีวิตของมนุษย์สมัยนั้นๆ 
2.ศิลปะถ้า ช่วยให้รู้ว่ามนุษย์ล่าสัตว์อะไร หรือเลี้ยงสัตว์อะไรไว้บ้าง 
หรือในบริเวณนั้นมีสัตว์อะไรอยู่มาก 
3.สโตนเฮนจ์เป็นแท่งหินขนาดใหญ่ที่นา มาตั้งเรียงเป็นรูปวงกลม 
บางแท่งวางพาดข้างบนในแนวนอน แสดงให้เห็นความสามารถด้าน 
สถาปัตยกรรมของมนุษย์ยุคหินใหม่
หลักฐานยุคก่อนประวัติศาสตร์ 
รูปสลักผู้ชายมีเคราที่เมืองโมเฮนโจ 
ดาโร 
กะโหลกมนุษย์นีแอนเดอร์ทอล ซ้าย 
เทียบกับกะโหลกมนุษย์ยุคปัจจุบัน
หลักฐานทางประวัติศาสตร์สมัยโบราณ
จีน 
ราชวงศ์ชาง – ราชวงศ์อื่น 
1. หลักฐานลายลักษณ์อักษรสมัยราชวงศ์ชาง ปรากฏเป็น อักษรภาพจารึก 
ตามกระดองเต่า กระดูกสัตว์ และภาชนะสาริดที่ใช้ในพิธีกรรม ผู้จารึกมักเป็น 
กษัตริย์และนักบวช โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระทาพิธีเสี่ยงทายเรื่องสาคัญ 
เกี่ยวกับชีวิต หลักฐานประวัติศาสตร์เหล่านีไ้ด้ให้ข้อมูลในด้านความเชื่อใน 
ธรรมชาติและความเชื่อโชคลางของชาวจีนในขณะนัน้ 
2. ลื่อจี้เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ เขียนโดยซือหม่าเชียน ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ 
ประวัติศาสตร์จีนตัง้แต่ยุคต้น ในด้านการเมืองการปกครอง เหตุการณ์สาคัญ 
ทางการเมือง การพัฒนาทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม และ ศิลปะวัตนธรรม 
ต่างๆ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ซือหม่าเชียนเดินทางไปสารวจตามท้องถิ่นต่างๆด้วย 
ตัวเองและนามาเขียนอย่างถูกต้อง จึงถือเป็นหลักฐานชิน้สาคัญของ 
การศึกษาประวัติศาสตร์จีน
3. สุสานจักรพรรดิจิ๋นซี จักรพรรดจิิ๋นซีเป็นผู้รวบรวมจีนให้เป็นปึกแผ่นและ 
ตัง้ราชวงศ์ฉินขึน้ นอกจากน้พระองค์ยังเป็นจักรพรรดิองค์แรกของจีน ผลงานที่ 
สาคัญได้แก่ กาแพงงเมืองจีน พระราชวัง และสุสานของพระองค์ โบราณวัตถุที่ถูก 
ค้นพบในสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีให้ข้อมูลทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ในด้าน 
การเมือง การปกครอง ของทหารในสมัยนัน้
อินเดีย 
เมื่อมีการประดิษฐ์ตัวอักษรอินเดียโบราณขึน้ใช้ – สนิ้ราชวงศ์คุปตะ 
1. ตาราอรรถศาสตร์ เขียนโดยพราหมณ์เกาฏิลยะ เป็นตาราที่สะท้อนภาพการ 
ปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมในสมัยนัน้ 
2. คัมภีร์มานวธรรมศาสตร์ แต่งโดยพราหมณ์มนู เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร 
แบ่งออกเป็น 12 เล่ม 
3. ศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราช คือ จารึกที่พระเจ้าอโศกมหาราชให้ 
บันทึกเรื่องราวของพระองค์ โดยจารึกไว้ตามผนังถา้ ศิลาจารึกหลักเล็กๆ 
จารึกบนเสาหินขนาดใหญ่ที่มีลักษณะทางศิลปกรรมที่งดงาม เสาหินที่มี 
ชื่อเสียงมากคือ เสาหินที่มีหัวเสาเป็นรูปสิงห์หันหลังชนกัน ซึ่งรัฐบาลอินเดีย 
นามาใช้เป็นสัญลักษณ์ของประเทศอินเดียมาตัง้แต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษ 
หลักฐานศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราชได้ให้ข้อมูลประวัติศาสตร์ของ 
อินเดียในด้านการเมือง การปกครองที่อาศัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา 
ระบบเศรษฐกิจ และสังคมของอินเดีย
ตะวันตก 
ตะวันตกสมัยโบราณมีพัฒนาการอันยาวนานตัง้แต่อารยธรรมเมโสโปเตเมีย อารยธรรม 
อียิปต์ มาจนถึง กรีกและโรมัน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ตะวันตกสมัยโบราณมีปรากฎ 
ในรูปแบบตัวอักษรคูนิฟอร์มของเมโสโปเตเมีย อักษรไฮโรกลิฟิกของอารยธรรม อียิปต์ กรีก 
และ โรมัน ซงึ่อักษเหล่านีมี้ปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างๆ เช่น จารึก กฎหมาย 
คัมภีร์ทางศาสนา บึนทึกในงานศิลปะกรรรม ภาชนะดินเผา และโลหะ
1. ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี โดยพระเจ้าฮัมมูราบีแห่งอาณาจักรบาบิโล 
เนีย โดยคัดลอกลงบนแผ่นดินเหนียวเผยแพร่ไปทวั่อาณาจักร บทลงโทษ 
ของกฎหมายค่อนข้างรุนแรงโดยยึดหลักตาต่อตา ฟันต่อฟัน 
2. บันทึกในสมัยอียิปต์โบราณ อักษรอียิปต์แบ่งได้เป็น สองประเภท คือ 
อักษรไฮโรกลิฟิก เป็นอักษรภาพ ส่วนมากใช้บันทึกเรื่องราวทางศาสนา 
นิยมสลักบนหิน เสา ผนัง หรือผนังหลุมผังศพ และ อักษรไฮแรติก เป็น 
อักษรที่พัฒนามาจากอักษรไฮโรกลิฟิก นิยมบันทึกลงในกระดาษปาปิรัส 
ความรู้ของชาวอียิปต์ในทุกด้านจะถูกบันทึกไว้บนกระดาษปาปิรัส โดยม้วน 
กระดาษดังกล่าวจะถูกเก็บรักษาไว้ในหลุมฝังศพของชาวโบราณ เช่น ตารา 
ทางการแพทย์ ความรู้ด้านโหราศาสตร์และดาราศาสตร์
3. งานเขียนประวัติศาสตร์ของกรีก-โรมัน ชาวกรีกเป็นผู้วางรากฐานวิธีการเขียน 
ประวัติศาสตร์ตามแบบตะวันตก โดยชาวกรีกมีความคิดทางประวัติศาสตร์ว่า 
เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เกิดขึน้ เปลี่ยนแปลง หมุนเวียนกลับสู่กาเนิดเดิม นนั่คือ 
ประวัติศาสตร์ทางวัฏจักร ทาให้การศึกษาประวัติศาสตร์เป็นการเรียนรู้ซงึ่เป็นบทเรียน 
สาหรับปัจจุบัน 
ตัวอย่างหลักฐานงานเขียนประวัติศาสตร์กรีก 
-ประวัติศาสตร์ของเฮโรโดตัส มีเนือ้หาเกี่ยวกับสงครามระหว่างกรีกกับเปอร์เซีย 
-ประวัติศาสตร์สงครามเพโลพอนนีเชียน ของทูซิดีดิส เป็นงานบันทึกประวัติศาสตร์ 
เกี่ยวกับสงครามระหว่างนครรัฐเอเธนส์กับนครรัฐสปาร์ตา 
ตัวอย่างหลักฐานงานเขียนประวัติศาสตร์โรมัน 
-บันทึกสงครามกอล ผลงานของจูเลียส ซีซาร์เป็นบันทึกเรื่องราวการทาสงครามใน 
แคว้นโกล 
-เยอร์มาเนีย ผลงานของแทกซิตัส เป็นบันทึกเรื่องราวของชนเผ่าเยอรมัน ถือเป็น 
ผลงานที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสงครามและชนเผ่าเยอรมันสมัยโรมัน
ภาพวาดบนกระดาษปาปิรุส
หลักฐานประวัติศาสตร์สมัยกลาง
จีน 
ค.ศ.220-1368 ประวัติศาสตร์จีนช่วงเวลานีเ้ป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง 
ทางการเมือง และการรับอิทธิพลอารยธรรมต่างชาติเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 
อิทธิพลพุทธศาสนา 
1.งานบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ชาง หลังจากงานประวัติศาสตร์สอื่จือ้ 
ของซือหม่าเซียนในราชวงศ์ฮนั่แล้ว หลังจากนัน้ก็ได้มีการจัดทาบันทึก 
ประวัติศาสตร์ในทุกราชวงศ์ โดยจักรพรรดิราชวงศ์ใหม่ให้ราชบัณฑิตจัดทาของ 
ราชวงศ์เก่าที่ล่มสลายไป มีชื่อเรียกว่า เจิง้สื่อ วัตถุประสงค์ในการจัดทาบันทึก 
ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ คือ การบันทึกพฤติกรรมของชนชัน้ปกครองเพื่อเป็น 
บทเรียนทางศีลธรรมสาหรับชนชัน้ปกครองในราชวงศ์ปัจจุบัน โดยใช้ข้อมูลจาก 
หลักฐานต่างๆ เช่น สื่อลู่ หรือ จดหมายประจาเหตุประจารัชกาล บันทึก 
ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถือเป็นหลักฐานสาคัญที่สุดที่นักประวัติศาสตร์ใช้ใน 
การศึกษาประวัติศาสตร์จีน โดยใช้ร่วมกับหลักฐานประวัติศาสตร์จีนประเภท 
อื่นๆ
2. หลักฐานแหล่งโบราณคดีถา้ พุทธศิลป์ ในสมัยราชวงศ์ฮนั่ พระพุทธศาสนาได้เผย 
แผ่เข้ามาในประเทศจีนผ่านทางเส้นทางสายไหมในเอเชียกลาง หลังจากสมัยราชวงศ์ฮั่น 
พระพุทธศาสนาได้แพร่หลายทวั่ไปในสังคมจีน ตัง้แต่ราชวงศ์เว่ย์เหนือ ได้มีการขุดเจาะ 
ถา้และสร้างสรรค์ศิลปกรรมทัง้ด้านประติมากรรมและจิตรกรรมตามปรัชญาทาง 
พระพุทธศาสนา ถา้ที่สาคัญได้แก่ ถา้หยุนกัง ถา้ตุนหวง ถา้หลงเหมนิแหล่งโบราณคดี 
ศิลปะถา้ในพระพุทธศาสนาจัดเป็นแหล่งรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราฯคดี และ 
ประวัติศาสตร์ศิลปกรรมที่สาคัญ หลักฐานที่ค้นพบในถา้มีทัง้คัมภีร์ในพระพุทธศาสนา 
พุทธประติมากรรมสมัยต่างๆ โดยเฉพาะที่ถา้หยุนกังและหลงเหมิน ส่วนภาพจิตรกรรม 
พบที่ ถา้ตุนหวงมีสีสันงดงาม แสดงถึงเนือ้หาในคัมภีร์พระสูตรทางพุทธศาสนานิกาย 
มหายานที่แพร่หลายในประเทศจีนและเอเชียกลาง
อินเดีย 
ค.ศ. 535-1526 อินเดียสมัยกลางเป็นสมัยของการแตกแยกทางการเมืองและ 
การรุกรานจากพวกมุสลิม จนสามารถตัง้อาณาจักรสุลต่านแห่งเดลี 
1.หนังสือประวัติศาสตร์ของสุลต่านฟีรุส ชาห์ ตุคลุก เรียบเรียงโดย ซีอา อัล- 
ดิน บารนี ได้เรียบเรียงประวัติของสุลต่านฟีรุส ชาห์ตุคลุก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 
แนะนาให้สุลต่านแห่งเดลีทุกพระองค์ทรงปฏิบัติหน้าที่ต่อศาสนาอิสลาม 
2.งานวรรณกรรมของอะมีร์คุสเรา อะมีร์คุสเรา เป็นกวีเชือ้สายอินโด- 
เปอร์เซียนประจาราชสานักสุลต่านแห่งเดลี โดยมีวัตถุประสงค์ถวายแด่สุลต่าน แม้ 
หลักฐานดังกล่าวจะเจือปนด้วยควาคิด อคติ และจินตนาการของผู้แต่ง แต่ก็ให้ 
ข้อมูลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ กรอบความคิดทาง 
สังคม สภาพชีวิต และวัฒนธรรมของชาวอินเดียในสมัยสุลต่านเดลี
ตะวันตก 
ยุโรปสมัยกลางเป็นสังคมภายใต้การครอบงาของคริสต์ศาสนาและระบบฟิวดัล ดังนัน้ 
หลักฐานทางประวัติศาสตร์มนสมัยกลางบันทึกด้วยภาษาลาติน ซงึ่ใช้สืบเนื่องมาตัง้แต่ 
สมัยโรมัน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในสมัยนีมี้หลายประเภท เช่น บันทึกของโบสถ์ 
คัมภีร์ทางศาสนา วรรณกรรมสดุดีวีรกรรมของอัศวิน เอกสารของทางราชการ 
1. มหากาพย์ชองซองเดอโรลองด์ เป็นวรรณกรรมสดุดีวีรกรรมของอัศวินของ 
ฝรั่งเศสในช่วงสมัยกลาง มหากาพย์เรื่องนีมี้ต้นกาเนิดมาจากเหตุการณ์ทาง 
ประวัติศาสตร์ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่8 เกิดสงครามในสเปนระหว่างจักรพรรดิชาร์เลอ 
มาญกับกองทัพอาหรับ ความสาคัญของวรรณกรรมเรื่องมหากาพย์ชองซองเดอโรลองด์ 
ในฐานะหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็คือ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สังคมในกรอบ 
ความคิดและโลกทัศน์ของคนยุโรปในช่วงสมัยกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบฟิวดัล 
และความศรัทธาในคริสต์ศาสนา
2.ทะเบียนราษฎร เป็นเอกสารการเมืองการปกครองอังกฤษที่พระเจ้าวิลเลี่ยมที่1 
ทรงให้จัดทาขึน้ เอกาสารทะเบียนราษฎรได้รวบรวมข้อมูลประเทศอังกฤษในขณะนัน้ 
เกือกทุกด้าน และใช้เป็นฐานข้อมูลในการเก็บภาษี เอกสารดังกล่าวจึงสามารถใช้ใน 
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับขุนนางและข้าติดที่ดินของอังกฤษ นอกจาก 
นี่ยังใช้ในการศึกษาการเมืองและสภาพเศรษฐกิจของประเทศอังกฤษได้ในช่วงเวลานัน้ 
ได้อีกด้วย 
3.หนังสือแห่งการเวลา มีเนือ้หาเกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนา ได้แก่เรื่องปฏิทิน คา 
สวดมนต์ เพลงสวด และพิธีกรรมในวันสาคัญทางศาสนา ความสาคัญของหนังสือแห่ง 
กาลเวลาในฐานะหลักฐานทางประวัติศาสตร์คือ เป็นเอกสารที่ให้ข้อมูลประวัติศาสตร์ 
สมัยกลางในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านประวัติศาสตร์ สังคม วิถีชีวิตของ 
ผู้คนในชนชัน้ต่างๆ ตามระบบฟิวดัล ทัง้วิถีชีวิตของชนชัน้เจ้านาย เจ้าของที่ดิน และวิถี 
ชีวิตของชาวนา ตลอดจนความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนา หนังสือแห่งการเวลามี 
ลักษณะพิเศษ คือเป็นหนังสือที่พิมพ์ด้วยมือ และมีภาพวาดประกอบจานวนมาก มี 
เนือ้หาทางศาสนาเป็นหลัก และมีเนือ้หาเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ 
และสังคมร่วมสมัยอยู่ด้วย
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในสมัยใหม่และ 
สมัยปัจจุบัน
จีน 
ค.ศ.1368- ปัจจุบัน 
ประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่เริ่มต้นด้วยการสถาปนาราชวงศ์หมิง สมัยราชวงศ์ชิง การ 
ปฏิวัติประชาธิปไตยในค.ศ. 1911 และการปฏิวัติสังคมนิยมของพรรคคอมมิวนิสต์ใน 
ค.ศ. 1949 หลังจากนัน้จึงเป็นสมัยปัจจุบัน หลักฐานทางประวัติศาสตร์จีนในช่วงเวลา 
นี้เช่น วรรณกรรม บันทึกการเดินทาง พจนานุกรม สนธิสัญญาระหว่างจีนกับชาติ 
ตะวันตก งานเขียนทางประวัติศาสตร์ของชาวต่างชาติและชาวจีน
1.งานวรรณกรรมของหลู่ ซุ่น หลู่ ซุน เป็นนามปากกาของโจว ชู่เหริน มีงานเขียน 
หลายรูปแบบด้วยกัน มีทัง้บทความ เรื่องสัน้ เช่น บ้านเกิด และ เรื่องขงจื๊อกับสังคมยุค 
ใหม่ของจีน เนือ้หาส่วนใหญ่สะท้อนปัญหาสังคมที่มีความอยุติธรรม ยึดมนั่ใน 
ขนบธรรมเนียมที่ล้าหลัง ยึดถือการแบ่งชนชัน้ และอื่นๆ วัตถุประสงค์ของการเขียนงาน 
วรรณกรรมของ หลู่ ซุน คือ การกระตุ้นให้สังคมจีนเกิดการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพื่อให้ 
สังคมจีนมีความเจริญก้าวหน้าขึน้ 
2.เอกสารแถลงการณ์ร่วมจากการประชุมระหว่างประมุข/ผู้นารัฐบาลอาเซียน 
กับประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ กัวลาลัมเปอร์ วันที่ 16 ธันวามคม 
ค.ศ. 1997 เป็นเอกสารบันทึกข้อแถลงการณ์ร่วมกันระหว่างหัวหน้ารัฐบาลของ 
ประเทศในสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนกับประธานาธิบดี 
เจียง เจ๋อหมิน มีเนือ้หาเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างกันทัง้ทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ 
และสังคม เอกสารฉบับนีเ้ป็นหลักฐานชัน้ต้นที่ใช้ศึกษาประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ 
ระหว่างประเทศจีนกับกลุ่มอาเซียนในช่วงเวลาปัจจุบันได้
อินเดีย 
ค.ศ.1526- ปัจจุบัน ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่เริ่มต้นด้วยการที่พวกมุคัลสถาปนา 
ราชวงศ์มุคัล ใน ค.ศ. 1526 จนถึงสมัยอังกฤษปกครองอินเดีย และอินเดียได้รับเอกราชใน 
ค.ศ. 1947 ส่วนสมัยปัจจุบันเริ่มตัง้แต่อินเดียได้รับเอกราชมาจนถึงปัจจุบัน หลักฐานทาง 
ประวัติศาสตร์อินเดียในช่วงเวลานีมี้ทัง้งานเขียนทางประวัติศาสตร์ที่ชาวตะวันตกและชาว 
อินเดียเขียนขึน้ และเอกสารทางราชการของอังกฤษและอินเดีย
1. ประวัติของอักบาร์ เป็นพระราชประวัติของพระเจ้าอักร์บาร์มหาราช กษัตริย์องค์ 
สาคัญของราชวงศ์มุคัล เรียบเรียงโดยอาบุล ฟาซัล ประวัติของอักบาร์แบ่งออกเป็น 
สามส่วน ส่วนแรกกล่าวถึงการประสูติของอักบาร์ และยุคสมัยของจักรพรรดิบาบูร์ 
กับสมัย จักรพรรดิหุมายูน ส่วนที่สอง มีเนือ้หาเกี่ยวกับยุคสมัยจักรพรรดิอักบาร์ และ 
ส่วนที่สาม เกี่ยวกับการบริหารปกครอง โดยบันทึกรายละเอียดทัง้ด้านประชากร 
อุตสาหกรรม และสภาวะเศรษฐกิจของจักรวรรดิมุคัล 
2. พระราชโองการของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เนือ้หาของพระราชโองการ 
ฉบับนีมี้ลักษณะเป็นคาสัญญาสาหรับชาวอินเดีย โดยกล่าวถึงการยกเลิกบริษัท 
อินเดียตะวันออกของอังกฤษ สิทธิของอังกฤษในอินเดียด้วยการป้องกันความ 
ยุติธรรมและกฎหมาย พร้อมกับให้คามนั่สัญญาในการปกครองที่มีประสิทธิภาพและ 
ยุติธรรม และให้ชาวอินเดียมีสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาหากไม่ขัดต่อกฎหมาย 
นอกจากนี้อังกฤษได้ประกาศสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจทัง้ด้านอุตสาหกรรม 
การบริการสาธารณะ และ ผลประโยชน์ของชาวอินเดียโดยภาพรวมภายใต้การ 
ปกครองของอังกฤษ
ตะวันตก 
ตัง้แต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา ยุโรปได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 
ทัง้ด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ศิลปวัฒนธรรม และ วิทยาการต่างๆ สมัยนีเ้ป็น 
ช่วงเวลาของการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม ปรัชญา ประชาธิปไตย 
และชาตินิยม หลักฐานทางประวัติศาสสตร์ตะวันตกสมัยใหม่และ สมัยปัจจุบันส่วน 
ใหญ่เป็นงานเขียนทางประวัติศาสตร์ที่ใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ดังที่ใช้กันในปัจจุบัน 
นอกจากนีเ้ป็นเอกสารคาประกาศที่เกิดจากการปฏิวัติระบอบการปกครอง รัฐธรรมนูญ 
กฎบัตร เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ สนธิสัญญา
1. คาประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง เป็นเอกสารคาประกาศของคณะ 
ปฏิวัติฝรั่งเศสใน ค.ศ.1789 หลังจากคณะปฏิวัติได้ทาการปฏิวัตโค่นล้มอานาจ 
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ของพระเจ้าหลุยส์ที่16 และเตรียมร่างรัฐธรรมนูญขึน้ 
ต่อมาสภาแห่งชาติฝรั่งเศสได้ออกประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง ถือเป็นการ 
สนิ้สุดระบอบสมบูรณาญาสิทธราชย์ในฝรั่งเศส เอกสารประกาศสิทธิมนุษยชน 
และพลเมืองของฝรั่งเศสนัน้ได้แนวทางเดียวกับประกาศแห่งสิทธิของอังกฤษ และ 
คาประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ภายใต้กรอบความคิดเรื่อง เสรีภาพ ความ 
เสมอภาค และ ภราดรภาพ ดังที่ปรากฏในคาประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง 
ข้อแรกว่า มนุษย์เกิดมาพร้อม สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค เอกสารคา 
ประกาศสิทธิมนุษย์ชนและพลเมืองเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ให้ข้อมูล 
ทางด้านความคิด ภูมิปัญญาของฝรั่งเศสและยุโรปในยุคภมิธรรมช่วง 
คริสตร์ศตวรรษที่ 18 นอกจากนีเ้อกสารดังกล่าวยังให้ข้อมูลพืน้ฐานความคดิที่ 
ก่อให้เกิดเหตุการณ์การปฏิวัติฝรั่งเศสในค.ศ.1789
2. สนธิสัญญาแวร์ซาย หลังจากสงครามโลกครัง้ที่1 ยุติลงในเดือน 
พฤศจิกายน ค.ศ.918 ด้วยการยอมจานนของฝ่ายเยอรมนี ประเทศมหาอานาจ 
ฝ่ายสัมพันธมิตรและประเทศอื่นได้จัดประชุมสันติภาพ ณ พระราชวังแวร์ซาย 
ประเทศฝรั่งเศส และได้ร่างสนธิสัญญาขึน้มา 5 ฉบับ สาหรับชาติผู้แพ้สงคราม 
ได้แก่ เยอรมนี ออสเตรีย ฮังการี บัลแกเรีย ตุรกี สนธิสัญญาที่สาคัญที่สุด คือ 
สนธิสัญญาแวร์ซายที่ฝ่ายสัมพันธมิตรลงนามกับเยอรมนีในวันที่ 28 มิถุนายน 
ค.ศ. 1919 สนธิสัญญาแวร์ซายประกอบด้วยข้อบังคับซึ่งล้วนลดอานาจและ 
ดินแดนของเยอรมนีไม่ให้ฟื้นตัวขึน้อีก จึงเท่ากับเป็นการลงโทษพระเทศเยอรมนี
การลงนามสนธิสัญญาแวร์ซาย ณ พระราชวังแวร์ซาย ประเทศฝรั่งเศส
สรุป 
ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์แบ่งออกเป็นสองสมัย ได้แก่ ยุคก่วน 
ประวัติศาสตร์ และยุคประวัติศาสตร์ 
ส่งิสา คัญที่สุดในการค้นหาข้อเท็จจริงในอดีต คือ หลักฐานทาง 
ประวัติศาสตร์ ซึ่งสามารถ จา แนกตามความสา คัญของหลักฐานและ 
จาแนกตามลักษณะของหลักฐาน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในภูมิภาค 
ต่างๆของโลกทา ให้ทราบถึงความรุ่งเรืองของดินแดนแต่ละแห่ง
จัดทาโดย 
1. นางสาว ปัสสนา ทองสกุล ม.6.9 เลขที่ 15 
2. นางสาว วีรัชญา โมนยะกุล ม.6.9 เลขที่ 22

ประวัติศาสตร์อ.ปรางค์

  • 1.
    รายวิชา ส33102 ปีการศึกษา2557 จัดทา โดย นางสาว ปัสสนา ทองสกุล ม6.9 เลขที่ 15 นางสาว วีรัชญา โมนยะกุล ม6.9 เลขที่ 23 เสนอ อ.ปรางค์สุวรรณ ศักด์ิโสภณกุล
  • 3.
    ยุคสมัย และหลักฐาน ทางประวัติศาสตร์ หลักฐาน ทางประวัติศาสตร์ การแบ่งยุคทาง ประวัติศาสตร์
  • 4.
    ประวัติศาสตร์เป็นการศึกษาเรื่องราวและพฤติกรรมของมนุษย์ในอดีต ซึ่ง เกิดขึน้ในช่วงเวลาและยุคสมัยต่างๆกันประวัติศาสตร์มีแนวคิดว่าใน ช่วงเวลาสังคมมีความเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเวลาก่อนหน้า เหตุการณ์ที่ เกิดขึน้ในช่วงเวลาหนงึ่ ย่อมมีความแตกต่างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึน้ในอีก ช่วงเวลาหนึ่ง เหตุการณ์ที่เกิดก่อนย่อมเป็นเหตุ และจะมีผลต่อเหตุการณ์ที่ เกิดขึน้ภายหลัง
  • 5.
    คุณค่าที่สาคัญของประวัติศาสตร์ คือ การสร้างความตระหนักว่า อดีตเป็นบทเรียนสาคัญสาหรับปัจจุบันและอนาคต ดังนัน้ผู้ศึกษา ประวัติศาสตร์จะต้องมีความรู้พืน้ฐานเกี่ยวกับเวลาและยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ เพื่อให้รู้ว่าเหตุการณ์ใดเกิดก่อน และเหตุการณ์ใดเกิดหลัง รวมทัง้สามารถเลือกหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เหมาะสมมาใช้ในการทา ความเข้าใจเรื่องราวทางประวัติศาสตร์
  • 6.
    1. การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์เป็นศึกษาเรื่องราวและพฤติกรรมของมนุษย์ในอดีตซึ่งเกิดขึน้ ในช่วงเวลาและยุคสมัยต่างกัน ฉะนัน้เพื่อความสะดวกในการศึกษาเรื่องราว ของมนุษย์ในอดีต นักประวัติศาสตร์ได้แบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ออกเป็น ๒ สมัย โดยอาศัยหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นเกณฑ์ ได้แก่ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (Prehistorical Period) เป็นช่วงเวลาที่ มนุษย์ยังไม่รู้จักใช้ตัวหนังสือในการเล่าเรื่องราว และสมัยประวัติศาสตร์ (Historical Period) เป็นช่วงเวลามนุษย์รู้จักใช้ตัวหนังสือในการเล่า เรื่องราว ต่างๆในสังคม
  • 7.
    ในปัจจุบันองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติ(UNESCO) ได้กาหนดอายุยุคสมัยเพิ่มขึน้มาอีก 1 สมัย เรียกว่า สมัยกึ่งก่อนประวัติศาสตร์ (Protohistorical Period) ซงึ่เป็นยุคสมัยที่มนุษย์ในสังคมนัน้ยังไม่รู้จักใช้ตัวอักษร บันทึกเรื่องราว ของตนเอง แต่มีผู้คนจากสังคมอื่นซงึ่ได้เดินทางผ่าน และได้บันทึก เรื่องราวถึงผู้คนเหล่านัน้ไว้
  • 8.
    1.1 สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยก่อนประวัติศาสตร์คือ ช่วงเวลาที่มนุษย์ยังไม่ รู้จักใช้ตัวหนังสือ จึงยังไม่มีเอกสารใดๆ ที่จดบันทึกเรื่องราวให้ มนุษย์ยุคหลังทราบได้การศึกษาเรื่องราวในสมัยก่อน ประวัติศาสตร์จึงต้องอาศัยการสันนิษฐานและการตีความจาก หลักฐานทางโบราณคดี และหลักฐานทางสภาพแวดล้อม
  • 9.
    1.1.1 ยุคหิน (StoneAge) • ยุคหินแบ่งออกเป็นยุคย่อย 3 ยุค คือยุคหินเก่า ยุคหินกลาง และยุคหินใหม่ 1. ยุคหินเก่า (Paleolithic Period หรือ Old Stone Age) ประมาณ 2,500,00 – 10,500 ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคนีเ้ริ่มทา เครื่องมือเครื่องใช้ด้วยหินอย่างง่ายก่อน เมื่อเวลาผ่านไปก็สามารถ ดัดแปลงให้เหมาะสมกับการใช้เครื่องมือหิน มนุษย์ใช้วัสดุจาพวกหินไฟ ซงึ่ในบุคนีส้ามารถแบ่งเครื่องมือยุคหินเก่าออกเป็น 3 ช่วง คือ - ยุคหินเก่าตอนต้น ประมาณ 2,500,00 – 180,000 ปีมาแล้ว เครื่องมือเครื่องใช้ทาด้วยหิน มีลักษณะเป็นขวานกะเทาะแบบกาปั้น
  • 10.
    - ยุคหินเก่าตอนกลาง ประมาณ180,000 – 49,000 ปีมาแล้ว เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทาด้วยหิน มีลักษณะแหลมคม มีด้ามยาวขึน้ และมี ประโยชน์ในการใช้สอยมากขึน้ - ยุคหินเก่าตอนปลาย ประมาณ 49,000 – 10,500 ปีมาแล้ว เครื่องมือเครื่องใช้มรความหลากหลายกว่ายุคก่อน ได้แก่ เครื่องมือ เครื่องใช้ที่ทาจากหินและกระดูกสัตว์โดยการแกะสลัก เช่น เข็มเย็บผ้า ฉมวก หัวลูกศร และทาเครื่องประดับด้วยเปลือกหอยและกระดูกสัตว์
  • 11.
    ลักษณะสังคมในยุคหินเก่าเป็นสังคมล่าสัตว์ เนื่องจากมนุษย์ในยุคนี้ ดารงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และหาพืชผักผลไม้จากป่าเป็นอาหารเร่ร่อนอพยพตาม ฝูงสัตว์ และแสวงหาแหล่งที่อยู่ที่อุดมสมบูรณ์ไปเรื่อยๆ และพบว่าในช่วงปลาย ยุคหินเก่า มนุษย์มรความสามารถทางด้านศิลปะ ซงึ่พบภาพวาดตามผนังถา้ ที่ ใช้ฝุ่นสีต่างๆ ได้แก่ สีดา นา้ตาล ส้ม แดงอ่อน และเหลือง ภาพทวี่าดส่วนใหญ่ เป็นภาพสัตว์ป่า เช่น วัวกระทิง ม้าป่า กวางแดง และกวางเรนเดียร์ภาพวาดที่มี ชื่อเสียงของมนุษย์ยุหินเก่าอยู่ที่ถา้กลาสโก ประเทศฝรั่งเศส สภาพสังคมที่มีลักษณะของการอยู่รวมกันเป็นครอบครัว เป็น กลุ่มย่อยๆเพื่อการดารงชีพ มีการจัดระเบียบของกลุ่มทัง้ด้านความ ร่วมมือและการแบ่งหน้าที่กัน ผู้ชายออกล่าสัตว์ ผู้หญิงดูแลเดก็และหา ผลไม้ ลักษณะทางสังคมก่อให้เกิดสิ่งสาคัญ คือ เครื่องมือและภาษาพูด ซงึ่นาไปสู่การถ่ายทอดและพัฒนาความรู้ของมนุษย์
  • 12.
    2. ยุคหินกลาง (MesolithicPeriod หรือ Middle Stone Age) ประมาณ 10,500 - 10,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ในช่วงเวลานี้ เริ่มทาเครื่องจักสาน เช่น ตะกร้าสาน ทารถลาก เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทา ด้วยหิน ในยุคนีมี้ความประณีตมากขึน้ ตลอดจนรู้จักนาสุนัขมาเลยี้ง เป็นสัตว์เลยี้ง ในยุคหินกลาง มนุษย์รู้จักเลีย้งสัตว์และเริ่มมีการปลูกพืช แต่อาชีพ หลักยังคงเป็นการล่าสัตว์และยังเร่ร่อนไปตามแหล่งที่อุดมสมบูรณ์โดยมัก ตัง้หลักแหล่งอยู่ตามแหล่งนา้ ชายฝั่งทะเลและบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ ประกอบอาชีพประมง ล่าสัตว์
  • 13.
    3. ยุคหินใหม่ (NeolithicPeriod หรือ New Stone Age) ประมาณ 10,000-4,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคนีอ้าศัยอยู่รวมกันเป็น หมู่บ้าน ดารงชีวิตด้วยการเพาะปลูกและเลยี้งสัตว์ตัง้ถิ่นฐานเป็นหลัก แหล่ง เปลี่ยนจากสังคมล่าสัตว์เป็นสังคมเกษตรกรรม สร้างที่พักอาศัย ถาวรเป็นกระท่อมดินเหนียวตามลุ่มนา้ ยุคหินใหม่เป็นยุคเกษตรกรรม พืชเพาะปลูกที่สาคัญในยุคนี้ คือ ข้าว พืชอื่นๆ เช่น ถวั่ ฟัก บวบ ส่วนสัตว์เลยี้ง ได้แก่ สุนัข แพะ แกะ และยังคงล่าสัตว์ เช่น กวาง กระต่าย เต่า ตะพาบ รวมทัง้ยังคง ทาประมง มนุษย์ยุคหินใหม่ยังคงมีความเชื่อและประกอบพิธีกรรมใน รูปแบบต่างๆ เพื่อบูชาสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะการบูชาสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้พืชที่เพาะปลูกเจริญงอกงาม มีฝนตกตามฤดูกาล
  • 14.
    สภาพชีวิตมนุษย์ยุคหินใหม่ได้เปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่จากที่สูง มาอยู่ที่ราบใกล้แหล่งน้า โดยอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านบนเนินและดา รงชีวิต ตามหลักเศรษฐกิจใหม่ รู้จักทา เครื่องปั้นดินเผา การทา เครื่องจักสาน การ ทอผ้าและเกิดผลิตผลมากกว่าที่จะบริโภค จึงเกิดการค้าขาย เนื่องจากมีการตั้งถิ่นฐานถาวร ทา ให้เกิดจา นวนประชากรมากขึ้น จึงมีการจัดสถานะทางสังคม การแบ่งงานกันทา มีการทา งานเฉพาะด้าน และมีการติดต่อแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างชุมชน เครื่องมือเครื่องใช้ยุคหินใหม่จึงมีการประดิษฐ์อย่างประณีต โดยทา จากวัสดุพวกหิน กระดูกและเขาสัตว์ เครื่องมือที่สา คัญในยุคนี้ คือ ขวานหินด้ามไม้ และเคียวหินเหล็กไฟด้ามไม้
  • 16.
    1.1.2 ยุคโลหะ (MetalAge) โลหะชนิดแรกที่มนุษย์รู้จักนามาหลอมเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ คือ ทองแดง ปรากฏหลักฐานในบริเวณลุ่มแม่นา้ไทกริสและยูเฟรทิส แสดง ว่ามนุษย์ยุคนัน้นาทองแดงมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆก่อนที่จะรู้วธิีทาสาริด ยุคโลหะแบ่งออกเป็น 2 ยุคย่อย คือยุคสาริดและยุคเหล็ก 1.ยุคสาริด(Bronze Age) ยุคสาริดเริ่มต้นในภูมิภาคต่างๆ ของโลกเมื่อ ประมาณ 4,000-2,700 ปีมาแล้ว สาริดเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดง กับดีบุก กรรมวิธีการทาสาริดค่อนข้างยุ่งยาก ตัง้แต่การหาแหล่งแร่ การ เตรียม การถลุงแร่ และการผสมแร่ในเบ้าหลอม จากนัน้จึงเป็นการขึน้รูปทา เครื่องมือเครื่องใช้ด้วยดารตีหรือการหล่อในแม่พิมพ์หินทราย หรือแม่พิมพ์ ดินเผา
  • 17.
    เครื่องมือเครื่องใช้ในยุคสาริดที่พบตามแหล่งต่าง ๆ ในภูมิภาค ต่างๆของโลก นอกจากทาด้วยสาริดแล้วยังพบเครื่องมือเครื่องใช้ทาจาก ดินเผา หิน และแร่ ในบางแหล่งมีการใช้สาริดต่อเนื่องมาจนถึงยุคเหล็ก เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทาจากสาริดมีขวาน หอก ภาชนะ กาไล ตุ้มหู ลูกปัด เป็นต้น ในยุคนีค้วามเป็นอยู่ของมนุษย์เปลี่ยนไปมากทัง้ด้านการเมืองและสังคม ชุมชนเกษตรกรรมขยายตัวจนกลายเป็นชุมชนเมือง จึงมีการจัดแบ่งความสัมพันธ์ตาม ความสามารถ เช่น กลุ่มอาชีพ มีการจัดระเบียบสังคมเป็นกลุ่มชนชัน้ต่างๆ ซงึ่ เอือ้อานวยต่อการผลิตอันนาไปสู่ความมนั่คงด้านปัจจัยพืน้ฐานและความมงั่คงั่แก่ สังคม มนุษย์จึงมีความมนั่คงปลอดภัยกว่าเดิมและมีความสะดวกสบายมากขึน้ นาไปสู่พัฒนาการทางสังคมสู่ความเป็นรัฐในเวลาต่อมา
  • 18.
    แหล่งอารยธรรมที่สาคัญๆ ของโลกล้วนมีการพัฒนาการสังคมจาก ช่วงเวลาสมัยหินใหม่และสมัยสาริดแหล่งอารยธรรมของโลกที่สาคัญและแหล่ง วัฒนธรรมบางแห่ง เช่น แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมียในภูมิภาคเอเชียตะวันตก แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่นา้ไนล์ในอียิปต์ แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่นา้สินธุในอินเดีย แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่นา้ฮวงเหอของจีน 2. ยุคเหล็ก (Iron Age) ประมาณ 2,700-2,000 ปีมาแล้ว ช่วงเวลานีเ้ริ่มต้นจากการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีการผลิตโลหะของ มนุษย์สามารถหลอมโลหะประเภทเหล็กขึน้มาทาเป็นเครื่องมือเครื่อง ใช้ได้ เหล็กมีการแข็งแกร่งคงทนกว่าสาริดมาก การผลิตเหล็กต้องใช้ อุณหภูมิสูงและมีกรรมวิธียุ่งยากมาก
  • 19.
    สังคมที่สามารถพัฒนาการผลติเหล็ก จะสามารถพัฒนาสู่ความ เป็นรัฐเพราะการผลิตเหล็กทาให้สังคมสามารถผลิตอาวุธได้ง่ายและ แข็งแกร่งขึน้ จนสามารถขยายกองทัพได้ และมีเครื่องมือที่เหมาะสมต่อ การทาเกษตรที่มีความคงทนกว่า แหล่งอารยธรรมแห่งแรกที่สามารถผลิตเหล็กได้คือ แหล่งอารยธรรม เมโสโปเตเมียหรือก็คืออาณาจักรฮิตไทต์เมื่อ 1,200 ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือ ประมาณ 3,200 ปีมาแล้ว ยุคเหล็กมีความแตกต่างจากยุคสาริดหลายประการ คือ การพัฒนา เทคโนโลยีการผลิตเหล็กทาให้เกิดการเพิ่มผลผลิต การผลิตเหล็กทาให้กองทัพมี อาวุธที่แข็งแกร่ง นาไปสู่พัฒนาการทางสังคมจนกลายเป็นรัฐที่มีกาลังทหารที่ แข็งแกร่งเข้ายึดครองสังคมอื่นๆ ขยายเป็นอาณาจักรในเวลาต่อมา
  • 20.
    1.2 สมัยประวัติศาสตร์ สมัยประวัติศาสตร์เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์ในสังคมนัน้รู้จักเขียนมี ตัวอักษรสาหรับใช้จดบันทึก ทาให้ชนรุ่นหลังสามารถเข้าใจเรื่องราว ต่างๆ ของมนุษย์ในอดีตได้ ทัง้นีแ้ต่ละสังคมจะเริ่มต้นสมัย ประวัติศาสตร์ไม่พร้อมกัน การศึกษาประวัติศาสตร์สากลมีความแตกต่างกันระหว่างการศึกษา ประวัติศาสตร์ตะวันออกกับประวัติศาสตร์ตะวันตก โดยประวัติศาสตร์ตะวันออก แบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ตามช่วงเวลาของแต่ละราชวงศ์หรือศูนย์กลาง อานาจเป็นเกณฑ์ เช่น ประวัติศาสตร์จีน ใช้เกณฑ์ช่วงเวลาของแต่ละราชวงศ์ใน การแบ่งยุคสมัย ขณะที่ประวัติศาสตร์ตะวันตกใช้เหตุการณ์สาคัญทาง ประวัติศาสตร์เป็นเกณฑ์ในการแบ่งยุคสมัย
  • 21.
    1.2.1 การแบ่งยุคสมัยในประวัติศาสตร์ตะวันออก ในการแบ่งยุคสมัยในประวัติศาสตร์อารยธรรมตะวันออกจัดแบ่ง ไปตามภูมิภาคต่างๆ เนื่องจากประวัติศาสตร์อารยธรรมของแต่ละ ภูมิภาคจะมีลักษณะเฉพาะทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่ง แต่ละภูมิภาคมีการจัดหลักเกณฑ์การแบ่งยุคสมัยต่อไปนี้
  • 22.
    1. การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์จีน แนวความคิดในการจัดแบ่งยุค สมัยทางประวัติศาสตร์จีนใช้พัฒนาการทางอารยธรรมและช่วงเวลาที่ ราชวงศ์ต่างๆ มีอานาจในการปกครอง เป็นหลักเกณฑ์ในการจัดแบ่งยุค สมัยทางประวัติศาสตร์จีน ซึ่งสามารถแบ่งยุคสมัยออกได้เป็น ประวัติศาสตร์จีนสมัยโบราณ (1570 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 220) ประวัติศาสตร์จีนสมัยกลาง(ค.ศ. 220 - 1368) ประวัติศาสตร์จีน สมัยใหม่(ค.ศ.1368 -1911) และประวัติศาสตร์จีนสมัยปัจจุบัน (ค.ศ. 1911-ปัจจุบัน) ช่วงเวลาของการเริ่มต้นรากฐานของอารยธรรมจีนเริ่มตัง้แต่สมัยก่อน ประวัติศาสตร์ที่มีการสร้างสรรค์วัฒนธรรมหยางเชา (Yangshao Culture) วัฒนธรรมหลงซาน (Longshan Culture) ซงึ่เป็นวัฒนธรรมเครื่องปั้นดินเผา และโลหะสาริด
  • 23.
    1) ประวัติศาสตร์จีนสมัยโบราณ เริ่มในสมัยราชวงศ์ซาง(Shang Dynasty ประมาณ 1,570 – 1,045 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นช่วงเวลาที่ จีนก่อตัวเป็นรัฐและมีการวางรากฐานด้านการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม ในสมัยนีมี้การใช้ตัวอักษรจีนโบราณเขียนลงบนกระดองเต่าหลังจากนัน้เป็น ช่วงสมัยราชวงศ์โจว (Chou Dynasty ประมาณ 1,045 – 256 ปีก่อน คริสต์ศักราช) สมัยนีนั้กประวัติศาสตร์แบ่งออกเป็นสมัยย่อย ได้แก่ สมัย ราชวงศ์โจวตะวันตก และราชวงศ์โจวตะวังออก เมื่อราชวงศ์โจวตะวันออก เสื่อมลง เกิดสงครามระหว่างเจ้าผู้ครองรัฐต่างๆ ในที่สุด รัฐฉินได้รวบรวม ประเทศก่อตัง้ราชวงศ์ฉิน (Qin Dynasty 221-206 ปีก่อน คริสต์ศักราช) และสมัยราชวงศ์ฮั่น (Han Dynasty 202ปีก่อน คริสต์ศักราช – ค.ศ.220) เป็นสมัยที่มีการรวมศูนย์อานาจอย่างชัดเจนเป็น จักรวรรดิ โดยระบอบดังกล่าวใช้อยู่ในประเทศจีนนานกว่า 2,000 ปี
  • 24.
    2) ประวัติศาสตร์จีนสมัยกลาง เป็นช่วงเวลาของการปรับตัวของอารยธรรม จีนในการรับอิทธิพลต่างชาติเข้ามาผสมผสานกับอารยธรรมจีน ที่สาคัญ คือ พระพุทธศาสนา ประวัติศาสตร์จีนสมัยกลางเริ่มต้นสมัยด้วยความวุ่นวายจากการล่ม สลายของราชวงศ์ฮั่น เรียกว่า สมัยแตกแยกการเมือง (ค.ศ. 220 - 589) เป็น ช่วงเวลาที่ชาวต่างชาติเข้ามายึดครองดินแดนจีน และมีการแบ่งแยกดินแดน ก่อนที่จะรวมประเทศได้ในสมัยราชวงศ์สุย (Sui Dynasty ค.ศ. 581-618) และสมัยราชวงศ์ถัง (Tang Dynasty ค.ศ. 618 - 907) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ ประเทศจีนมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด แต่เมื่อสมัยราชวงศ์ถังสิน้สุดลงก็เกิดความ แตกแยกอีกครัง้ในสมัยที่เรียกว่า ห้าราชวงศ์กับสิบรัฐ (ค.ศ. 907 - 979)
  • 25.
    ในสมัยราชวงศ์ซ่ง (Sung Dynastyค.ศ. 960 - 1279) สามารถรวมประเทศจีนได้อีกครัง้ ช่วงเวลานีเ้ป็นช่วงเวลาของความ เจริญรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรม จนกระทงั่ชาวมองโกลสามารถยึดครอง ประเทศจีนและสถาปนาราชวงศ์หยวน (Yuan Dynasty ค.ศ. 1260 - 1368)
  • 26.
    3)ประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ เริ่มต้นยุคสมัยใน ค.ศ.1368 เมื่อชาวจีนได้ ขับไล่พวกมองโกลออกไปแล้วสถาปนาราชวงศ์หมิง (Ming Dynasty ค.ศ. 1368-1644) ขึน้ปกครองจีนหลังจากนัน้ราชวงศ์ชิง (Qing Dynasty ค.ศ. 1644- 1911) ของพวกแมนจูโค่นล้มราชวงศ์หมิงสมัยนีจี้นได้รับยกย่องว่าประสบความสาเร็จ เกือบทุกด้าน นักวิชาการบางท่านถือว่าประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่เริ่มต้นเมื่อครัง้ ราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644) ในช่วงปลายสมัยราชวงศ์ชิงเป็นช่วงเวลาที่ประเทศจีนถูกคุกคามจาก ชาติตะวันตก และจีนแพ้อังกฤษในสงครามฝิ่น (ค.ศ. 1839-1842) ราชวงศ์ชิง สนิ้สุดใน พ.ศ.1911
  • 27.
    4)ประวัติศาสตร์จีนสมัยปัจจุบัน เริ่มต้นในค.ศ. 1911เมื่อจีน ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบสาธารณรัฐ (ค.ศ. 1911- 1949) โดย ดร.ซุน ยัตเซน (Sun Yat-sen ค.ศ. 1866-1925) ต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์ได้ปฏิวัติและได้ปกครองจีน จึงเปลี่ยนการ ปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ตัง้แต่ ค.ศ.1949 จนถึงปัจจุบัน
  • 28.
    2. การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์อินเดีย การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์อินเดียใช้หลักเกณฑ์พัฒนาการของ อารยธรรมอินเดียและเหตุการณ์สาคัญเป็นหลักเกณฑ์สาคัญ ดังนัน้ประวัติศาสตร์ อินเดียจึงแบ่งยุคสมัยออกเป็นสมัยโบราณ สมัยกลาง และสมัยใหม่ โดยแต่ละยุค สมัยจะมีการแบ่งยุคสมัยย่อยตามช่วงเวลาของแต่ละราชวงศ์หรือชนกลุ่มต่างๆที่มี อิทธิพลเหนืออินเดียในขณะนัน้
  • 29.
    ช่วงเวลาการวางพืน้ฐานของอารยธรรมอินเดียเริ่มตัง้แต่สมัย อารยธรรมลุ่มแม่นา้สินธุของพวกดราวิเดียนเมื่อ 2,500ปีก่อน คริสต์ศักราช จนกระทงั่อารยธรรมแห่งนีล้่มสลายลงเมื่อ 1,500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เมื่อชาวอารยันอพยพเข้ามาตัง้ถิ่นฐานและก่อตัง้ อาณาจักรหลายอาณาจักรในภาคเหนือของอินเดีย ช่วงเวลา ดังกล่าวเป็นช่วงเวลาของการเริ่มสร้างสรรค์อารยธรรมอินเดียที่ แท้จริง มีการคิดค้นและก่อตัง้ศาสนาต่างๆ ช่วงเวลาดังกล่าวเรียกว่า สมัยพระเวท (1,500-900 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
  • 30.
    1)ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยโบราณ เริ่มต้นในสมัยมหากาพย์ (Epic Age 900-6— ปีก่อนคริสต์ศักราช) ซึ่งมีการใช้ตัวอักษรอินเดีย โบราณในการบันทึกเรื่องราว ต่อมาอินเดียมีการรวมตัวกันครัง้แรกใน สมัยราชวงศ์มคธ (Kingdom of Magadha 600-322 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) และมีการร่วมตัวกันอย่างแท้จริงในสมัยราชวงศ์เมา รยะ (Maurya Dynasty 322-184 ปีก่อนคริสต์ศักราช ) ช่วงเวลานีเ้ป็นช่วงเวลาที่อินเดียเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังดินแดน ต่างๆ ต่อมาเมื่อจักรวรรดิเมารยะล่มสลาย อินเดียก็เข้าสู่สมัยแห่งความ แตกแยกและการรุกรานจากภายนอกทัง้จากพวกกรีกและพวกกุษาณะช่วงเวลา ดังกล่าวนีเ้ป็นสมัยของการผสมผสานทางวัฒนธรรมก่อนที่จะมีการร่วมเป็น จักรวรรดิได้อีกครัง้ใน ค.ศ. 320 โดยราชวงศ์คุปตะ (Kupta Dynasty ค.ศ. 320-535) สมัยนีพ้ระพุทธศาสนาเสื่อมความนิยมลงในขณะที่ศาสนาพราหมณ์ ฮินดูเจริญรุ่งเรืองขึน้
  • 31.
    2)ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยกลาง การสิน้สุดของสมัยคุปตะใน ค.ศ. 535 ถือเป็นการสนิ้สุดของสมัยโบราณ อินเดียได้ย่างเข้าสู่สมัยกลาง (ค.ศ. 535-1526) ซงึ่สมัยนีเ้ป็นช่วงเวลาของความวุ่นวายทางการเมืองและการ รุกรานจากต่างชาติ โดยเฉพาะชาวมุสลิม สมัยกลางสามารถแบ่งได้เป็น สมัยความแตกแยกทางการเมือง (ค.ศ. 535-1200) และสมัยสุลต่านแห่ง เดลี (ค.ศ. 1200-1526)
  • 32.
    3)ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่เมื่ออาณาจักรสุลต่านแห่งเดลี ล่มสลายลงใน ค.ศ.1526 พวกมุคัลได้ตัง้ราชวงศ์มุคัลถือเป็นการ เริ่มต้นสมัยใหม่ของประวัติศาสตร์อินเดีย ช่วงเวลานีเ้รียกว่า สมัย จักรวรรดิมุคัล (Mughal Empire ค.ศ. 1526-1858) จนกระทั่ง อังกฤษเข้าปกครองอินเดียโดยตรงใน ค.ศ. 1858 แบะปกครองต่อมา จนถึง ค.ศ. 1947 อินเดียจึงได้รับเอกราชจากอังกฤษ อินเดียจึงเข้าสู่ ยุคประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบัน
  • 33.
    ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่เป็นช่วงเวลาที่วัฒนธรรม ต่างชาติอันได้แก่ วัฒนธรรมเปอร์เซียและวัฒนธรรมทางตะวันตก เข้ามามีอิทธิพลในสังคมอินเดีย ขณะเดียวกันชาวอินเดียที่นับถือ ศาสนาฮินดูได้ยึดมนั่ในศาสนาของตนเองขึน้พร้อมกับเกิดความ แตกแยกในสังคมอินเดียจนกระทงั่ปัจจุบัน ประวัติศาสตร์อินเดีย สมัยใหม่สามารถแบ่งได้เป็นสมัยราชวงศ์มุคัล และสมัยอังกฤษ ปกครองอินเดีย (ค.ศ.1858-1947)
  • 34.
    4)ประวัติศาสตร์อินเดียปัจจุบัน คือภายหลังได้รับเอกราชและ การถูกแบ่งแยกออกเป็นประเทศต่างๆได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ อย่างไรก็ตาม การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์โดยใช้ หลักเกณฑ์พัฒนาของอารยธรรมอินเดีย สามารถรวมสมัยสุลต่านแห่ง เดลีเข้ากับสมัยราชวงศ์มุคัลซึ่งเป็นสมัยที่วัฒนธรรมมุสลิมเข้าไปมี อิทธิพลในอารยธรรมอินเดียโดยเรียกรวมว่า สมัยมุสลิม (ค.ศ. 1200- 1858)
  • 35.
    1.2.2 การแบ่งยุคสมัยในประวัติศาสตร์ตะวันตก นักประวัติศาสตร์ตะวันตกแบ่งยุคสมัยของประวัติศาสตร์ตะวันตกเป็น4 ยุค สมัย ได้แก่ 1.ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ (3,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช-ค.ศ. 476) รากฐานของอารยธรรมตะวันตกเริ่มต้นในลุ่มแม่นา้ไทกริส-ยูเฟรทีส อารย ธรรมสมัยนีไ้ด้แก่ อารยธรรมเมโสโปเตเมีย อารยธรรมอียิปต์โบราณ อาราย ธรรมกรีก และอารยธรรมโรมัน สมัยโบราณในประวัติศาสตร์ตะวันตก เริ่มต้นเมื่อ 3,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อารยธรรมเมโสโปเตเมียและอารยธรรมอินเดียซึ่งเป็นอารย ธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกจนถึง ค.ศ. 476 เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่ม สลาย ถือเป็นการสนิ้สุดสมัยโบราณ
  • 36.
    2.ประวัติศาสตร์สมัยกลาง (ค.ศ. 476-ค.ศ.1453) ช่วงเวลา สมัยกลาง เป็นช่วงเวลา ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางอารยธรรมตะวันตกจากอารยธรรมโรมันไปสู่อารยธรรมคริสต์ ศาสนาเป็นสมัยที่ตะวันตกได้รับอิทธิพลอย่างมากจากศริสต์ศาสนา ทัง้ด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและศิลปวัฒนธรรม นอกจากนีสั้งคมสมัยกลางยังมีลักษณะเป็นสังคมในระบบฟิวดัล (Feudalism) ที่ ขุนนางแคว้นต่างๆ มีอานาจครอบครองพืน้ที่ โดยประชาชนส่วนใหญ่มีฐานะเป็นข้าติด ที่ดิน (Serf) และดารงชีวิตอยู่ในเขตแมเนอร์(manor) ของขุนนาง ซงึ่เป็นลักษณะ พิเศษของสังคมสมัยกลางนอกจากนีป้ระวัติศาสตร์สมัยกลางยังเป็นสมัยที่ศริสต์ศาสนา ขัดแย้งกับศาสนาอิสลามจนเกิดสงครามครูเสด (Crudades ค.ศ. 1096-1291) เป็น เวลาราว 200 ปี เป็นผลให้เกิดการค้นหาเส้นทางการค้าทางทะเลและวิทยาการด้าน อื่นๆ
  • 37.
    3.ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ (ค.ศ. 1453-1945)เป็นสมัยของความ เจริญรุ่งเรืองทางศิลปวิทยาการของอารยธรรมตะวันตก ทัง้ด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม อารยธรรมสมัยใหม่เป็นรากฐานที่สาคัญของอารยธรรม ตะวันตกในปัจจุบัน และช่วงเวลานีช้าวยุโรปได้แผ่อิทธิพลไปยังดินแดนอื่นๆ ประวัติศาสตร์สมัยใหม่เป็นช่วงที่มีการสารวจเส้นทางเดินเรือทะเล เพื่อ การค้ากับโลกตะวันออกและการเผยแผ่คริสต์ศาสนา เริ่มตัง้แต่สมันฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance คริสต์ศตวรรษที่ 15-17) ซึ่งเป็นช่วงสมัยที่ความเจริญทาง วิทยาการต่างๆ เจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว เข้าไปสู่ยุคสมัยแห่งการปฏวิัติวิทยาศาสตร์ (Age of Scientific Revolution คริสต์ศตวรรษที่ 16-18) ยุคภูมิธรรมหรือ ยุคแห่งการรู้แจ้ง (Age of Enlightenment คริสต์ศตวรรษที่ 17-18) สมัย ประชาธิปไตย (Age of Democracy คริสต์ศตวรรษที่ 17-19)
  • 38.
    สมัยชาตินิยม (Nationalism ค.ศ.1789-1918) สมัยจักรวรรดิ นิยมใหม่ (New Imperialism ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19- สงครามโลกครัง้ที่ 2) และสมัยสงครามโลก (World War ค.ศ. 1914-1945) การแผ่ขยายอานาจของยุโรปในสมัยใหม่ทาให้เกิดความ ขัดแย้งก่อให้เกิดสงคราโลกครัง้ที่ 1 และสงครามโลกครัง้ที่2 ประวัติศาสตร์สมัยใหม่สนิ้สุดลงเมื่อ ค.ศ. 1945 เมื่อสงครามโลกครัง้ที่ 2 ยุติลง
  • 39.
    4.ประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบัน (ค.ศ.1945-ปัจจุบัน)สมัยปัจจุบัน เป็นช่วงสมัยหลังสงครามโลกครัง้ที่2 ซงึ่มีผลกระทบรุนแรงทงั่โลก และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครองต่อสังคมโลกในปัจจุบัน
  • 40.
    หลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ หมายถึงร่องรอยจากพฤติกรรม ของมนุษย์ในอดีต ตัวอย่างหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เช่น บันทึกคาบอกเล่า จารึก เอกสารราชการ โบราณสถาน โบราณวัตถุ หลักฐานต่างๆ สามารถบอกเรื่องราวได้แตกต่าง กันในแง่มุมต่างๆ
  • 41.
  • 42.
    จาแนกตามความสาคัญของหลักฐาน 1.หลักฐานชั้นต้น คือหลักฐานที่บันทึกโดยผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง หรือผู้รู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง รวมทัง้โบราณสถาน โบราณวัตถุที่ สร้างขึน้ในยุคสมัยนัน้ 2.หลักฐานชั้นรอง คือ หลักฐานที่ผู้บันทึกได้รับรู้เหตุการณ์ จากการสื่อสารของบุคคลอื่นมาอีกทอดหนงึ่ รวมทัง้งานเขียน ทางประวัติศาสตร์ที่ศึกษาข้อมูลจากหลักฐานชัน้ต้นก็ถือว่าเป็น หลักฐานชัน้รองด้วยเช่นกัน
  • 43.
    จาแนกตามลักษณะของหลักฐาน 1.หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร คือหลักฐานที่เป็นตัวหนังสือ เช่น จารึก ตานาน บันทึกความทรงจา 2. หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร คือ หลักฐานที่เป็นวัตถุ ซงึ่ เป็นหลักฐานทางโบราณคดี เช่น รูปเคารพ มหาวิหาร โครงกระดูก มนุษย์ กระดูกสัตว์
  • 44.
  • 45.
    จีน 1.โครงกระดูกมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ เช่นโครงกระดูกมนุษย์ ปักกิ่ง ยุคหินเก่า พบที่ถ้า โจวโข่วเตี้ยน 2.เครื่องปั้นดินเผาวัฒนธรรมหยางเชา และวัฒนธรรมหลงชาน เป็นของมนุษย์ยุคใหม่ วัฒนธรรมหยางเชาอยู่บริเวณลุ่มแม่น้า หวาง เหอ พบเครื่องปั้นดินเผาลายเขียนสี วัฒนธรรมหลงชาน อยู่บริเวณ ลุ่มแม่น้า หวางเหอ ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของจีน เลียบ ชายฝั่งทะเลลงมาถึงลุ่มแม่น้า ฉางเจียง นิยมทา ภาชนะ 3 ขา
  • 46.
    อินเดีย 1.เมืองโบราณโมเฮนโจดาโร และฮารัปปา เป็นแหล่งหลักฐาน ทางด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ที่สา คัญที่สุดของแหล่งอารย ธรรมลุ่มแม่น้า สินธุ หลักฐานที่พบมีทั้งมีทั้งหลักฐานทาง โบราณสถานและโบราณวัตถุ แหล่งหลักฐานเมืองโบราณโมเฮน โจดาโรและฮารัปปา ก่อสร้างโดยชาวดราวิเดียน หลักฐานที่พบให้ ข้อมูลในหลายๆด้านเกี่ยวกับแหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้า สินธุ
  • 47.
    อินเดีย 2. คัมภีร์พระเวทของชาวอารยันเมื่อชาวอารยันอพยพเข้ามาในเขตภาคเหนือ ของอินเดีย อารยธรรมลุ่มแม่น้า สินธุได้สินสุดหลง เกิดอารยธรรมใหม่ของ ชาวอารยันเรียกว่า อารยธรรมพระเวท หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สา คัญใน ช่วงเวลานี้คือ คัมภีร์พระเวท ซึ่งเป็นคัมภีร์ทางศาสนาที่สา คัญที่สุดของชาว อารยัน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สา คัญคือการกล่าวถึงประวัติศาสตร์ของ ชาวอารยันในสมัยแรกเริ่มที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอินเดียในช่วงเวลานี้ คัมภีร์พระเวทประกอบไปด้วย คัมภีร์ฤคเวท สามเวท ยชุรเวท และ อาถรรพ เวท ใช้วิธีการบอกเล่าสืบต่อกันมา ยังไม่มีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร เนื้อหาของคัมภีร์พระเวท แม้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา แต่ก็ให้ข้อมูล เกี่ยวกับการเมือง และสังคมวัฒนธรรมในช่วงเวลานี้ด้วย คัมภีร์พระเวทยัง เป็นต้นกา เนิดของคัมภีร์อื่นๆของชาวอารยันในเวลาต่อมา
  • 48.
    ตะวันตก 1.โครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โครงกระดูกมนุษย์ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ทา ให้เห็นวิวัฒนาการของมนุษย์ในแต่ละสมัย นอกจากนี้สิ่งของเครื่องใช้ที่ฝังรวมไว้กับศพช่วยให้รู้เกี่ยวกับการดา เนิน ชีวิตของมนุษย์สมัยนั้นๆ 2.ศิลปะถ้า ช่วยให้รู้ว่ามนุษย์ล่าสัตว์อะไร หรือเลี้ยงสัตว์อะไรไว้บ้าง หรือในบริเวณนั้นมีสัตว์อะไรอยู่มาก 3.สโตนเฮนจ์เป็นแท่งหินขนาดใหญ่ที่นา มาตั้งเรียงเป็นรูปวงกลม บางแท่งวางพาดข้างบนในแนวนอน แสดงให้เห็นความสามารถด้าน สถาปัตยกรรมของมนุษย์ยุคหินใหม่
  • 49.
    หลักฐานยุคก่อนประวัติศาสตร์ รูปสลักผู้ชายมีเคราที่เมืองโมเฮนโจ ดาโร กะโหลกมนุษย์นีแอนเดอร์ทอล ซ้าย เทียบกับกะโหลกมนุษย์ยุคปัจจุบัน
  • 50.
  • 51.
    จีน ราชวงศ์ชาง –ราชวงศ์อื่น 1. หลักฐานลายลักษณ์อักษรสมัยราชวงศ์ชาง ปรากฏเป็น อักษรภาพจารึก ตามกระดองเต่า กระดูกสัตว์ และภาชนะสาริดที่ใช้ในพิธีกรรม ผู้จารึกมักเป็น กษัตริย์และนักบวช โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระทาพิธีเสี่ยงทายเรื่องสาคัญ เกี่ยวกับชีวิต หลักฐานประวัติศาสตร์เหล่านีไ้ด้ให้ข้อมูลในด้านความเชื่อใน ธรรมชาติและความเชื่อโชคลางของชาวจีนในขณะนัน้ 2. ลื่อจี้เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ เขียนโดยซือหม่าเชียน ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์จีนตัง้แต่ยุคต้น ในด้านการเมืองการปกครอง เหตุการณ์สาคัญ ทางการเมือง การพัฒนาทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม และ ศิลปะวัตนธรรม ต่างๆ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ซือหม่าเชียนเดินทางไปสารวจตามท้องถิ่นต่างๆด้วย ตัวเองและนามาเขียนอย่างถูกต้อง จึงถือเป็นหลักฐานชิน้สาคัญของ การศึกษาประวัติศาสตร์จีน
  • 52.
    3. สุสานจักรพรรดิจิ๋นซี จักรพรรดจิิ๋นซีเป็นผู้รวบรวมจีนให้เป็นปึกแผ่นและ ตัง้ราชวงศ์ฉินขึน้ นอกจากน้พระองค์ยังเป็นจักรพรรดิองค์แรกของจีน ผลงานที่ สาคัญได้แก่ กาแพงงเมืองจีน พระราชวัง และสุสานของพระองค์ โบราณวัตถุที่ถูก ค้นพบในสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีให้ข้อมูลทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ในด้าน การเมือง การปกครอง ของทหารในสมัยนัน้
  • 53.
    อินเดีย เมื่อมีการประดิษฐ์ตัวอักษรอินเดียโบราณขึน้ใช้ –สนิ้ราชวงศ์คุปตะ 1. ตาราอรรถศาสตร์ เขียนโดยพราหมณ์เกาฏิลยะ เป็นตาราที่สะท้อนภาพการ ปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมในสมัยนัน้ 2. คัมภีร์มานวธรรมศาสตร์ แต่งโดยพราหมณ์มนู เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร แบ่งออกเป็น 12 เล่ม 3. ศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราช คือ จารึกที่พระเจ้าอโศกมหาราชให้ บันทึกเรื่องราวของพระองค์ โดยจารึกไว้ตามผนังถา้ ศิลาจารึกหลักเล็กๆ จารึกบนเสาหินขนาดใหญ่ที่มีลักษณะทางศิลปกรรมที่งดงาม เสาหินที่มี ชื่อเสียงมากคือ เสาหินที่มีหัวเสาเป็นรูปสิงห์หันหลังชนกัน ซึ่งรัฐบาลอินเดีย นามาใช้เป็นสัญลักษณ์ของประเทศอินเดียมาตัง้แต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษ หลักฐานศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราชได้ให้ข้อมูลประวัติศาสตร์ของ อินเดียในด้านการเมือง การปกครองที่อาศัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ระบบเศรษฐกิจ และสังคมของอินเดีย
  • 54.
    ตะวันตก ตะวันตกสมัยโบราณมีพัฒนาการอันยาวนานตัง้แต่อารยธรรมเมโสโปเตเมีย อารยธรรม อียิปต์ มาจนถึง กรีกและโรมัน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ตะวันตกสมัยโบราณมีปรากฎ ในรูปแบบตัวอักษรคูนิฟอร์มของเมโสโปเตเมีย อักษรไฮโรกลิฟิกของอารยธรรม อียิปต์ กรีก และ โรมัน ซงึ่อักษเหล่านีมี้ปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างๆ เช่น จารึก กฎหมาย คัมภีร์ทางศาสนา บึนทึกในงานศิลปะกรรรม ภาชนะดินเผา และโลหะ
  • 55.
    1. ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี โดยพระเจ้าฮัมมูราบีแห่งอาณาจักรบาบิโล เนีย โดยคัดลอกลงบนแผ่นดินเหนียวเผยแพร่ไปทวั่อาณาจักร บทลงโทษ ของกฎหมายค่อนข้างรุนแรงโดยยึดหลักตาต่อตา ฟันต่อฟัน 2. บันทึกในสมัยอียิปต์โบราณ อักษรอียิปต์แบ่งได้เป็น สองประเภท คือ อักษรไฮโรกลิฟิก เป็นอักษรภาพ ส่วนมากใช้บันทึกเรื่องราวทางศาสนา นิยมสลักบนหิน เสา ผนัง หรือผนังหลุมผังศพ และ อักษรไฮแรติก เป็น อักษรที่พัฒนามาจากอักษรไฮโรกลิฟิก นิยมบันทึกลงในกระดาษปาปิรัส ความรู้ของชาวอียิปต์ในทุกด้านจะถูกบันทึกไว้บนกระดาษปาปิรัส โดยม้วน กระดาษดังกล่าวจะถูกเก็บรักษาไว้ในหลุมฝังศพของชาวโบราณ เช่น ตารา ทางการแพทย์ ความรู้ด้านโหราศาสตร์และดาราศาสตร์
  • 56.
    3. งานเขียนประวัติศาสตร์ของกรีก-โรมัน ชาวกรีกเป็นผู้วางรากฐานวิธีการเขียน ประวัติศาสตร์ตามแบบตะวันตก โดยชาวกรีกมีความคิดทางประวัติศาสตร์ว่า เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เกิดขึน้ เปลี่ยนแปลง หมุนเวียนกลับสู่กาเนิดเดิม นนั่คือ ประวัติศาสตร์ทางวัฏจักร ทาให้การศึกษาประวัติศาสตร์เป็นการเรียนรู้ซงึ่เป็นบทเรียน สาหรับปัจจุบัน ตัวอย่างหลักฐานงานเขียนประวัติศาสตร์กรีก -ประวัติศาสตร์ของเฮโรโดตัส มีเนือ้หาเกี่ยวกับสงครามระหว่างกรีกกับเปอร์เซีย -ประวัติศาสตร์สงครามเพโลพอนนีเชียน ของทูซิดีดิส เป็นงานบันทึกประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับสงครามระหว่างนครรัฐเอเธนส์กับนครรัฐสปาร์ตา ตัวอย่างหลักฐานงานเขียนประวัติศาสตร์โรมัน -บันทึกสงครามกอล ผลงานของจูเลียส ซีซาร์เป็นบันทึกเรื่องราวการทาสงครามใน แคว้นโกล -เยอร์มาเนีย ผลงานของแทกซิตัส เป็นบันทึกเรื่องราวของชนเผ่าเยอรมัน ถือเป็น ผลงานที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสงครามและชนเผ่าเยอรมันสมัยโรมัน
  • 57.
  • 58.
  • 59.
    จีน ค.ศ.220-1368 ประวัติศาสตร์จีนช่วงเวลานีเ้ป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง ทางการเมือง และการรับอิทธิพลอารยธรรมต่างชาติเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อิทธิพลพุทธศาสนา 1.งานบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ชาง หลังจากงานประวัติศาสตร์สอื่จือ้ ของซือหม่าเซียนในราชวงศ์ฮนั่แล้ว หลังจากนัน้ก็ได้มีการจัดทาบันทึก ประวัติศาสตร์ในทุกราชวงศ์ โดยจักรพรรดิราชวงศ์ใหม่ให้ราชบัณฑิตจัดทาของ ราชวงศ์เก่าที่ล่มสลายไป มีชื่อเรียกว่า เจิง้สื่อ วัตถุประสงค์ในการจัดทาบันทึก ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ คือ การบันทึกพฤติกรรมของชนชัน้ปกครองเพื่อเป็น บทเรียนทางศีลธรรมสาหรับชนชัน้ปกครองในราชวงศ์ปัจจุบัน โดยใช้ข้อมูลจาก หลักฐานต่างๆ เช่น สื่อลู่ หรือ จดหมายประจาเหตุประจารัชกาล บันทึก ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถือเป็นหลักฐานสาคัญที่สุดที่นักประวัติศาสตร์ใช้ใน การศึกษาประวัติศาสตร์จีน โดยใช้ร่วมกับหลักฐานประวัติศาสตร์จีนประเภท อื่นๆ
  • 60.
    2. หลักฐานแหล่งโบราณคดีถา้ พุทธศิลป์ในสมัยราชวงศ์ฮนั่ พระพุทธศาสนาได้เผย แผ่เข้ามาในประเทศจีนผ่านทางเส้นทางสายไหมในเอเชียกลาง หลังจากสมัยราชวงศ์ฮั่น พระพุทธศาสนาได้แพร่หลายทวั่ไปในสังคมจีน ตัง้แต่ราชวงศ์เว่ย์เหนือ ได้มีการขุดเจาะ ถา้และสร้างสรรค์ศิลปกรรมทัง้ด้านประติมากรรมและจิตรกรรมตามปรัชญาทาง พระพุทธศาสนา ถา้ที่สาคัญได้แก่ ถา้หยุนกัง ถา้ตุนหวง ถา้หลงเหมนิแหล่งโบราณคดี ศิลปะถา้ในพระพุทธศาสนาจัดเป็นแหล่งรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราฯคดี และ ประวัติศาสตร์ศิลปกรรมที่สาคัญ หลักฐานที่ค้นพบในถา้มีทัง้คัมภีร์ในพระพุทธศาสนา พุทธประติมากรรมสมัยต่างๆ โดยเฉพาะที่ถา้หยุนกังและหลงเหมิน ส่วนภาพจิตรกรรม พบที่ ถา้ตุนหวงมีสีสันงดงาม แสดงถึงเนือ้หาในคัมภีร์พระสูตรทางพุทธศาสนานิกาย มหายานที่แพร่หลายในประเทศจีนและเอเชียกลาง
  • 61.
    อินเดีย ค.ศ. 535-1526อินเดียสมัยกลางเป็นสมัยของการแตกแยกทางการเมืองและ การรุกรานจากพวกมุสลิม จนสามารถตัง้อาณาจักรสุลต่านแห่งเดลี 1.หนังสือประวัติศาสตร์ของสุลต่านฟีรุส ชาห์ ตุคลุก เรียบเรียงโดย ซีอา อัล- ดิน บารนี ได้เรียบเรียงประวัติของสุลต่านฟีรุส ชาห์ตุคลุก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ แนะนาให้สุลต่านแห่งเดลีทุกพระองค์ทรงปฏิบัติหน้าที่ต่อศาสนาอิสลาม 2.งานวรรณกรรมของอะมีร์คุสเรา อะมีร์คุสเรา เป็นกวีเชือ้สายอินโด- เปอร์เซียนประจาราชสานักสุลต่านแห่งเดลี โดยมีวัตถุประสงค์ถวายแด่สุลต่าน แม้ หลักฐานดังกล่าวจะเจือปนด้วยควาคิด อคติ และจินตนาการของผู้แต่ง แต่ก็ให้ ข้อมูลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ กรอบความคิดทาง สังคม สภาพชีวิต และวัฒนธรรมของชาวอินเดียในสมัยสุลต่านเดลี
  • 62.
    ตะวันตก ยุโรปสมัยกลางเป็นสังคมภายใต้การครอบงาของคริสต์ศาสนาและระบบฟิวดัล ดังนัน้ หลักฐานทางประวัติศาสตร์มนสมัยกลางบันทึกด้วยภาษาลาติน ซงึ่ใช้สืบเนื่องมาตัง้แต่ สมัยโรมัน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในสมัยนีมี้หลายประเภท เช่น บันทึกของโบสถ์ คัมภีร์ทางศาสนา วรรณกรรมสดุดีวีรกรรมของอัศวิน เอกสารของทางราชการ 1. มหากาพย์ชองซองเดอโรลองด์ เป็นวรรณกรรมสดุดีวีรกรรมของอัศวินของ ฝรั่งเศสในช่วงสมัยกลาง มหากาพย์เรื่องนีมี้ต้นกาเนิดมาจากเหตุการณ์ทาง ประวัติศาสตร์ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่8 เกิดสงครามในสเปนระหว่างจักรพรรดิชาร์เลอ มาญกับกองทัพอาหรับ ความสาคัญของวรรณกรรมเรื่องมหากาพย์ชองซองเดอโรลองด์ ในฐานะหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็คือ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สังคมในกรอบ ความคิดและโลกทัศน์ของคนยุโรปในช่วงสมัยกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบฟิวดัล และความศรัทธาในคริสต์ศาสนา
  • 63.
    2.ทะเบียนราษฎร เป็นเอกสารการเมืองการปกครองอังกฤษที่พระเจ้าวิลเลี่ยมที่1 ทรงให้จัดทาขึน้เอกาสารทะเบียนราษฎรได้รวบรวมข้อมูลประเทศอังกฤษในขณะนัน้ เกือกทุกด้าน และใช้เป็นฐานข้อมูลในการเก็บภาษี เอกสารดังกล่าวจึงสามารถใช้ใน การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับขุนนางและข้าติดที่ดินของอังกฤษ นอกจาก นี่ยังใช้ในการศึกษาการเมืองและสภาพเศรษฐกิจของประเทศอังกฤษได้ในช่วงเวลานัน้ ได้อีกด้วย 3.หนังสือแห่งการเวลา มีเนือ้หาเกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนา ได้แก่เรื่องปฏิทิน คา สวดมนต์ เพลงสวด และพิธีกรรมในวันสาคัญทางศาสนา ความสาคัญของหนังสือแห่ง กาลเวลาในฐานะหลักฐานทางประวัติศาสตร์คือ เป็นเอกสารที่ให้ข้อมูลประวัติศาสตร์ สมัยกลางในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านประวัติศาสตร์ สังคม วิถีชีวิตของ ผู้คนในชนชัน้ต่างๆ ตามระบบฟิวดัล ทัง้วิถีชีวิตของชนชัน้เจ้านาย เจ้าของที่ดิน และวิถี ชีวิตของชาวนา ตลอดจนความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนา หนังสือแห่งการเวลามี ลักษณะพิเศษ คือเป็นหนังสือที่พิมพ์ด้วยมือ และมีภาพวาดประกอบจานวนมาก มี เนือ้หาทางศาสนาเป็นหลัก และมีเนือ้หาเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมร่วมสมัยอยู่ด้วย
  • 64.
  • 65.
    จีน ค.ศ.1368- ปัจจุบัน ประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่เริ่มต้นด้วยการสถาปนาราชวงศ์หมิง สมัยราชวงศ์ชิง การ ปฏิวัติประชาธิปไตยในค.ศ. 1911 และการปฏิวัติสังคมนิยมของพรรคคอมมิวนิสต์ใน ค.ศ. 1949 หลังจากนัน้จึงเป็นสมัยปัจจุบัน หลักฐานทางประวัติศาสตร์จีนในช่วงเวลา นี้เช่น วรรณกรรม บันทึกการเดินทาง พจนานุกรม สนธิสัญญาระหว่างจีนกับชาติ ตะวันตก งานเขียนทางประวัติศาสตร์ของชาวต่างชาติและชาวจีน
  • 66.
    1.งานวรรณกรรมของหลู่ ซุ่น หลู่ซุน เป็นนามปากกาของโจว ชู่เหริน มีงานเขียน หลายรูปแบบด้วยกัน มีทัง้บทความ เรื่องสัน้ เช่น บ้านเกิด และ เรื่องขงจื๊อกับสังคมยุค ใหม่ของจีน เนือ้หาส่วนใหญ่สะท้อนปัญหาสังคมที่มีความอยุติธรรม ยึดมนั่ใน ขนบธรรมเนียมที่ล้าหลัง ยึดถือการแบ่งชนชัน้ และอื่นๆ วัตถุประสงค์ของการเขียนงาน วรรณกรรมของ หลู่ ซุน คือ การกระตุ้นให้สังคมจีนเกิดการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพื่อให้ สังคมจีนมีความเจริญก้าวหน้าขึน้ 2.เอกสารแถลงการณ์ร่วมจากการประชุมระหว่างประมุข/ผู้นารัฐบาลอาเซียน กับประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ กัวลาลัมเปอร์ วันที่ 16 ธันวามคม ค.ศ. 1997 เป็นเอกสารบันทึกข้อแถลงการณ์ร่วมกันระหว่างหัวหน้ารัฐบาลของ ประเทศในสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนกับประธานาธิบดี เจียง เจ๋อหมิน มีเนือ้หาเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างกันทัง้ทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เอกสารฉบับนีเ้ป็นหลักฐานชัน้ต้นที่ใช้ศึกษาประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศจีนกับกลุ่มอาเซียนในช่วงเวลาปัจจุบันได้
  • 67.
    อินเดีย ค.ศ.1526- ปัจจุบันประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่เริ่มต้นด้วยการที่พวกมุคัลสถาปนา ราชวงศ์มุคัล ใน ค.ศ. 1526 จนถึงสมัยอังกฤษปกครองอินเดีย และอินเดียได้รับเอกราชใน ค.ศ. 1947 ส่วนสมัยปัจจุบันเริ่มตัง้แต่อินเดียได้รับเอกราชมาจนถึงปัจจุบัน หลักฐานทาง ประวัติศาสตร์อินเดียในช่วงเวลานีมี้ทัง้งานเขียนทางประวัติศาสตร์ที่ชาวตะวันตกและชาว อินเดียเขียนขึน้ และเอกสารทางราชการของอังกฤษและอินเดีย
  • 68.
    1. ประวัติของอักบาร์ เป็นพระราชประวัติของพระเจ้าอักร์บาร์มหาราชกษัตริย์องค์ สาคัญของราชวงศ์มุคัล เรียบเรียงโดยอาบุล ฟาซัล ประวัติของอักบาร์แบ่งออกเป็น สามส่วน ส่วนแรกกล่าวถึงการประสูติของอักบาร์ และยุคสมัยของจักรพรรดิบาบูร์ กับสมัย จักรพรรดิหุมายูน ส่วนที่สอง มีเนือ้หาเกี่ยวกับยุคสมัยจักรพรรดิอักบาร์ และ ส่วนที่สาม เกี่ยวกับการบริหารปกครอง โดยบันทึกรายละเอียดทัง้ด้านประชากร อุตสาหกรรม และสภาวะเศรษฐกิจของจักรวรรดิมุคัล 2. พระราชโองการของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เนือ้หาของพระราชโองการ ฉบับนีมี้ลักษณะเป็นคาสัญญาสาหรับชาวอินเดีย โดยกล่าวถึงการยกเลิกบริษัท อินเดียตะวันออกของอังกฤษ สิทธิของอังกฤษในอินเดียด้วยการป้องกันความ ยุติธรรมและกฎหมาย พร้อมกับให้คามนั่สัญญาในการปกครองที่มีประสิทธิภาพและ ยุติธรรม และให้ชาวอินเดียมีสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาหากไม่ขัดต่อกฎหมาย นอกจากนี้อังกฤษได้ประกาศสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจทัง้ด้านอุตสาหกรรม การบริการสาธารณะ และ ผลประโยชน์ของชาวอินเดียโดยภาพรวมภายใต้การ ปกครองของอังกฤษ
  • 69.
    ตะวันตก ตัง้แต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15เป็นต้นมา ยุโรปได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทัง้ด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ศิลปวัฒนธรรม และ วิทยาการต่างๆ สมัยนีเ้ป็น ช่วงเวลาของการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม ปรัชญา ประชาธิปไตย และชาตินิยม หลักฐานทางประวัติศาสสตร์ตะวันตกสมัยใหม่และ สมัยปัจจุบันส่วน ใหญ่เป็นงานเขียนทางประวัติศาสตร์ที่ใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ดังที่ใช้กันในปัจจุบัน นอกจากนีเ้ป็นเอกสารคาประกาศที่เกิดจากการปฏิวัติระบอบการปกครอง รัฐธรรมนูญ กฎบัตร เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ สนธิสัญญา
  • 70.
    1. คาประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง เป็นเอกสารคาประกาศของคณะ ปฏิวัติฝรั่งเศสใน ค.ศ.1789 หลังจากคณะปฏิวัติได้ทาการปฏิวัตโค่นล้มอานาจ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ของพระเจ้าหลุยส์ที่16 และเตรียมร่างรัฐธรรมนูญขึน้ ต่อมาสภาแห่งชาติฝรั่งเศสได้ออกประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง ถือเป็นการ สนิ้สุดระบอบสมบูรณาญาสิทธราชย์ในฝรั่งเศส เอกสารประกาศสิทธิมนุษยชน และพลเมืองของฝรั่งเศสนัน้ได้แนวทางเดียวกับประกาศแห่งสิทธิของอังกฤษ และ คาประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ภายใต้กรอบความคิดเรื่อง เสรีภาพ ความ เสมอภาค และ ภราดรภาพ ดังที่ปรากฏในคาประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง ข้อแรกว่า มนุษย์เกิดมาพร้อม สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค เอกสารคา ประกาศสิทธิมนุษย์ชนและพลเมืองเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ให้ข้อมูล ทางด้านความคิด ภูมิปัญญาของฝรั่งเศสและยุโรปในยุคภมิธรรมช่วง คริสตร์ศตวรรษที่ 18 นอกจากนีเ้อกสารดังกล่าวยังให้ข้อมูลพืน้ฐานความคดิที่ ก่อให้เกิดเหตุการณ์การปฏิวัติฝรั่งเศสในค.ศ.1789
  • 71.
    2. สนธิสัญญาแวร์ซาย หลังจากสงครามโลกครัง้ที่1ยุติลงในเดือน พฤศจิกายน ค.ศ.918 ด้วยการยอมจานนของฝ่ายเยอรมนี ประเทศมหาอานาจ ฝ่ายสัมพันธมิตรและประเทศอื่นได้จัดประชุมสันติภาพ ณ พระราชวังแวร์ซาย ประเทศฝรั่งเศส และได้ร่างสนธิสัญญาขึน้มา 5 ฉบับ สาหรับชาติผู้แพ้สงคราม ได้แก่ เยอรมนี ออสเตรีย ฮังการี บัลแกเรีย ตุรกี สนธิสัญญาที่สาคัญที่สุด คือ สนธิสัญญาแวร์ซายที่ฝ่ายสัมพันธมิตรลงนามกับเยอรมนีในวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1919 สนธิสัญญาแวร์ซายประกอบด้วยข้อบังคับซึ่งล้วนลดอานาจและ ดินแดนของเยอรมนีไม่ให้ฟื้นตัวขึน้อีก จึงเท่ากับเป็นการลงโทษพระเทศเยอรมนี
  • 72.
  • 73.
    สรุป ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์แบ่งออกเป็นสองสมัย ได้แก่ยุคก่วน ประวัติศาสตร์ และยุคประวัติศาสตร์ ส่งิสา คัญที่สุดในการค้นหาข้อเท็จจริงในอดีต คือ หลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ ซึ่งสามารถ จา แนกตามความสา คัญของหลักฐานและ จาแนกตามลักษณะของหลักฐาน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในภูมิภาค ต่างๆของโลกทา ให้ทราบถึงความรุ่งเรืองของดินแดนแต่ละแห่ง
  • 74.
    จัดทาโดย 1. นางสาวปัสสนา ทองสกุล ม.6.9 เลขที่ 15 2. นางสาว วีรัชญา โมนยะกุล ม.6.9 เลขที่ 22