More Related Content
Similar to ให้ความรู้สู้โรคเบาหวาน
Similar to ให้ความรู้สู้โรคเบาหวาน (20)
ให้ความรู้สู้โรคเบาหวาน
- 1. บทนำำ
โรคเบำหวำนเป็นโรคเรื้อรังที่พบบ่อยที่สุดโรคหนึ่ง โดยมีอุบัติกำรณ์ร้อยละ 3-
5 ของประชำกรพบได้ทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมำกในคนอำยุมำกกว่ำ 40 ปีขึ้นไป เพศ
หญิงมำกกว่ำเพศชำย เป็นสำเหตุสำำคัญของโรคแทรกซ้อนต่ำงๆมำกมำยเช่นภำวะไต
เรื้อรัง ตำบอด ควำมผิดปกติของเส้นประสำท กำรตัดเท้ำ(Limp amputation) โรคหัวใจ
ที่หลอดเลือดและสมองอุดตัน เป็นต้นซึ่งก่อให้เกิดควำมพิกำรหรือเสียชีวิต ดังนั้นจะเห็น
ได้ว่ำ โรคเบำหวำนจึงเป็นปัญหำทั้งต่อสุขภำพและเศรษฐำนะ โดยถ้ำผู้ป่วยได้รับกำร
รักษำอย่ำงถูกต้องและเหมำะสมตั้งแต่ต้นจะช่วยลดควำมรุนแรงของปัญหำดังกล่ำวได้
ซึ่งกำรดูแลผู้ป่วยเบำหวำนจำำเป็นต้องดูแลอย่ำงเป็นระบบ
ศูนย์สุขภำพชุมชนตำหลังในได้มีกำรจัดตั้งคลินิกโรคเบำหวำน โดยกำำหนด
เดือนละ 2 ครั้ง คือพุธที่ 1 และ 3 ของเดือน จำกกำรดำำเนินงำนคลินิกโรคเบำหวำนของ
ศูนย์สุขภำพชุมชนตำหลังใน พบปัญหำที่สำำคัญ คือทุกๆปีจะมีผู้ป่วยเข้ำรับกำรรักษำที่
ขึ้นทะเบียนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.32 และผลจำกกำรเจำะเลือด พบว่ำผู้ป่วยมีภำวะระดับ
นำ้ำตำลในเลือดสูง บำงรำยมีทัศนคติที่ว่ำ หำกภำวะระดับนำ้ำตำลในเลือดสูงหมอก็จะ
ฉีดยำลดระดับนำ้ำตำลให้เอง โดยไม่มีควำมตระหนักที่จะควบคุมระดับนำ้ำตำลในเลือด
ด้วยตนเองซึ่งทำงเจ้ำหน้ำที่สำธำรณสุขประจำำศูนย์สุขภำพชุมชนตำหลังในเองได้ให้
ควำมรู้เกี่ยวกับโรคเบำหวำนทุกครั้งที่มีคลินิกโรคเบำหวำน พร้อมสอนออกกำำลังกำยใน
ตอนเช้ำ ก็ยังไม่สำมำรถทำำให้ผู้ป่วยเบำหวำนมีภำวะระดับนำ้ำตำลในเลือดปกติได้
ประกอบกับได้รับรำยงำนจำกโรงพยำบำลวังนำ้ำเย็นว่ำมีผู้ป่วยเบำหวำนของศูนย์สุขภำพ
ชุมชนตำหลังใน เข้ำรับกำรรักษำด้วยภำวะแทรกซ้อนมำก โดยเฉพำะกำรติดเชื้อของ
แผลที่เท้ำ และโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองอุดตัน และมีผู้เสียชีวิตจำกโรคเบำหวำน
ด้วยภำวะแทรกซ้อนปีละ ร้อยละ 0.34
ผู้วิจัยในฐำนะผู้ดูแลรักษำกลุ่มผู้ป่วยดังกล่ำว จึงได้จัดโครงกำรอบรมเพิ่มควำมรู้
สู้เบำหวำนของศูนย์สุขภำพชุมชนตำหลังในขึ้น โดยให้ควำมรู้เกี่ยวกับโรคเบำหวำน
กำรดูแลตนเองผสมผสำนกับกระบวนกำรเรียนรู้ โดยให้ผู้ป่วยเบำหวำนมีส่วนร่วมในกำร
แสดงควำมคิด วิเครำะห์ตนเอง พร้อมกับหำทำงแก้ปัญหำเหล่ำนั้นด้วยตนเอง ทำำให้ผู้
ป่วยเบำหวำนเกิดควำมตระหนักที่จะมีพฤติกรรมกำรดูแลตนเองในกำรควบคุมระดับ
นำ้ำตำลในเลือด ไม่ก่อเกิดโรคแทรกซ้อนและอยู่กับเบำหวำนได้อย่ำงมีควำมสุข
วัตถุประสงค์
เพื่อศึกษำกำรสร้ำงรูปแบบกำรให้ควำมรู้แก่ผู้ป่วยเบำหวำน โดยกระบวนกำร
เรียนรู้อย่ำงมีส่วนร่วม ในโครงกำรอบรมเพิ่มควำมรู้ สู้เบำหวำน
ขอบเขตกำรวิจัย
- 2. 1. ชี้นำำด้ำนสุขภำพ 2. เพิ่มควำมสำมำรถ
กำรให้ควำมรู้และกำรดูแลตนเอง กระบวนกำรเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ผู้
ป่วยเบำหวำนสำมำรถ
- อำหำร (Model อำหำร ) - กำรวิเครำะห์ตนเอง ควบคุม
ระดับนำ้ำตำลใน
- ยำ - กำรวิเครำะห์กลุ่ม เ ลื อ ด < 126
mg/dl
- กำรดูแลรักษำเท้ำ - กำรประชุมเชิงปฏิบัติกำร
- กำรออกกำำลังกำย กำรสร้ำงอนำคตร่วมกัน(FSC.)
- ภำวะโรคแทรกซ้อน 3. กำรไกล่เกลี่ยประโยชน์
ด้ำนสุขภำพ
วิธีกำรศึกษำ
1. ขั้นเตรียมกำร
1.1 ประชุมกลุ่ม ร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สำธำรณสุขอำำเภอ ผู้
ช่วยสำธำรณสุขอำำเภอ พยำบำลผู้รับผิดชอบคลินิกเบำหวำนในโรงพยำบำลวังนำ้ำเย็น
เจ้ำหน้ำที่ศูนย์สุขภำพชุมชนตำหลังใน เจ้ำหน้ำที่สถำนีอนำมัยท่ำตำสี ชี้แจงสภำพ
ปัญหำผู้ป่วยเบำหวำนของศูนย์สุขภำพชุมชนตำหลังใน และหำแนวทำงแก้ปัญหำแก่ผู้
ป่วยเบำหวำน ได้ข้อสรุปว่ำ ควรหำวิธีให้ควำมรู้ในรูปแบบใหม่แก่ผู้ป่วยเบำหวำน เพื่อ
ป้องกันระดับนำ้ำตำลในเลือดสูงจนเกิดภำวะโรคแทรกซ้อนขึ้น โดยจัดทำำโครงกำร เพิ่ม
ควำมรู้ สู้เบำหวำนขึ้น โดยใช้กระบวนกำรเรียนรู้อย่ำงมีส่วนร่วม
1.2 ศึกษำกระบวนกำรกำรเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในกำรอบรมครั้งนี้ เช่น
กำรวิเครำะห์ตนเอง กำรวิเครำะห์กลุ่ม กำรประชุมเชิงปฏิบัติกำรกำรสร้ำงอนำคตร่วมกัน
(FSC)
1.3 ดำำเนินกำรคัดเลือกกลุ่มเป้ำหมำย คือ ผู้ป่วยเบำหวำนที่มีระดับ
นำ้ำตำลในเลือดสูง > 200 mg/dl
1.4 จัดทำำแบบทดสอบประเมินควำมรู้ ก่อนและหลังอบรม โดยเน้นตำม
หัวข้อที่ให้ควำมรู้ คือ เรื่องพฤติกรรมกำรรับประทำนอำหำร กำรรับประทำนยำ กำรออก
กำำลังกำย ภำวะโรคแทรกซ้อน และกำรดูแลรักษำเท้ำ
1.5 กำรเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ในกำรจัดอบรม
2. ขั้นดำำเนินกำร
กำรจัดอบรม ดำำเนินกำรทั้งสิ้น 2 วัน
- 3. วันแรก ดำำเนินกำรจัดทำำแบบทดสอบประเมินควำมรู้ก่อนกำรอบรม
และใช้กลยุทธ์ชี้นำำด้ำนสุขภำพ คือกำรให้ควำมรู้ในเรื่องกำรรับประทำนอำหำร โดยมี
วิทยำกรผู้เชี่ยวชำญมำสอน พร้อมกับใช้ Model อำหำร มำประกอบกำรเรียนกำรสอน
ในเรื่องวิธีกำรรับประทำนอำหำรแต่ละอย่ำง ควรรับประทำนปริมำณเท่ำใด เรื่องของกำร
รับประทำนยำที่ถูกต้อง กำรออกกำำลังกำยที่เหมำะแก่ผู้ป่วยเบำหวำน ภำวะโรค
แทรกซ้อนที่เกิดได้ง่ำย กำรดูแลรักษำเท้ำที่ควรระมัดระวังให้มำกไม่เช่นนั้นอำจต้องถูก
ตัดขำทิ้ง
วันที่สอง ใช้กระบวนกำรเรียนรู้อย่ำงมีส่วนร่วม ของผู้ป่วยเบำหวำน
โดยใช้กลยุทธ์เพิ่มควำมสำมำรถของผู้ป่วยเบำหวำนให้มีศักยภำพสูงสุดในกำรดูแล
ตนเอง ดังนี้ คือ
1.1 กำรวิเครำะห์ตนเอง เป็นกำรวิเครำะห์ดูสำเหตุว่ำตนเองที่เป็นเบำ
หวำนน่ำจะเกิดมำจำกสำเหตุอะไร และทำำไมจึงไม่สำมำรถควบคุมระดับนำ้ำตำลในเลือด
ได้จำกแบบบันทึกกำรวิเครำะห์ตนเอง โดยแยกเป็นสำเหตุดังนี้ คือ กำรรับประทำน
อำหำร กำรรับประทำนยำ กำรออกกำำลังกำย เมื่อแยกสำเหตุได้แล้วก็ให้หำวิธีแก้ปัญหำ
ด้วยตนเอง
1.2 กำรวิเครำะห์กลุ่ม เป็นกำรวิเครำะห์โดยให้จับกลุ่มกันกลุ่มละ 5
คนและให้โจทย์ตัวอย่ำงกรณีศึกษำปัญหำเกี่ยวกับเบำหวำนทุกกลุ่ม โดยให้ทุกคนช่วย
กันวิเครำะห์ว่ำ ตัวอย่ำงกรณีศึกษำนี้ เป็นเบำหวำนเกิดจำกสำเหตุอะไร และสำมำรถ
ควบคุมระดับนำ้ำตำลด้วยวิธีใด และให้มำสรุปอภิปรำยร่วมกัน กำรวิเครำะห์กลุ่มนี้
เป็นกำรวิเครำะห์เพื่อทบทวนควำมรู้ที่ได้สอนไปในวันแรก
1.3 กำรประชุมเชิงปฏิบัติกำรกำรสร้ำงอนำคตร่วมกัน(FSC) ผู้ป่วย
เบำหวำนเข้ำร่วมประชุมเชิงปฏิบัติกำรสร้ำงอนำคตร่วมกัน (Future Search
Conference) โดยมีแบบบันทึกกำรประชุม ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลักดังนี้ คือ
1. กำรวิเครำะห์เหตุกำรณ์ในอดีตเพื่อเชื่อมโยงสภำพกำรณ์และโน้มไปสู่
ปัจจุบัน
และอนำคต โดยให้ผู้ป่วยเบำหวำนช่วยกันคิดถึงอดีตที่และคิดว่ำพฤติกรรมใดบ้ำงมีส่วน
ทำำให้เป็นโรคเบำหวำน
2. กำรวิเครำะห์และสังเครำะห์สภำพกำรณ์ปัจจุบันเพื่อเข้ำใจทิศทำงและ
ปัจจัยที่
มีอิทธิพลในประเด็นหลักกำรประชุม โดยให้ผู้ป่วยเบำหวำนคิดว่ำพฤติกรรมในอดีตที่คิด
ไว้นั้นสอดคล้องกับพฤติกรรมในปัจจุบันที่ปฏิบัติอยู่ ไม่มีกำรเปลี่ยนแปลง
3. กำรสร้ำงจินตนำกำรถึงอนำคตที่พึงปรำรถนำเพื่อร่วมกันคิด วิเครำะห์
และเลือกกำำหนดแนวทำงไปสู่อนำคตร่วมกัน เมื่อผู้ป่วยเบำหวำนนึกถึงพฤติกรรมใน
- 4. อดีตและปัจจุบันแล้ว และยังเป็นพฤติกรรมที่ทำำให้ภำวะระดับนำ้ำตำลในเลือดสูง และ
ทำำให้เกิดภำวะโรคแทรกซ้อนตำมมำ ผู้ป่วยเบำหวำนก็จะเกิดควำมตระหนัก ดังนั้นจึงให้
ผู้ป่วยเบำหวำนทุกคนช่วยกันคิดว่ำอนำคตต่อจำกนี้จะมีพฤติกรรมดูแลสุขภำพของ
ตนเองได้อย่ำงไร เพื่อให้ผู้ป่วยเบำหวำนอยู่กับเบำหวำนได้อย่ำงมีควำมสุข
ทั้งนี้ ในกระบวนกำรเรียนรู้อย่ำงมีส่วนร่วมที่เกิดขึ้นนั้นย่อมมีควำมคิดที่
แตกต่ำง และบำงปัญหำไม่สำมำรถแก้ได้ ดังนั้นจึงต้องใช้กลยุทธ์ไกล่เกลี่ยประโยชน์
ทำงด้ำนสุขภำพ เพื่อให้เกิดควำมประนีประนอมในกำรแก้ปัญหำนำำไปสู่กำรเกิด
พฤติกรรมดูแลสุขภำพตนเองที่ถูกต้อง
เมื่อเสร็จสิ้นกำรอบรม ดำำเนินกำรทดสอบประเมินผลควำมรู้หลังกำรอบรม
และประเมินกำรจัดอบรม โครงกำรอบรมเพิ่มควำมรู้ สู้เบำหวำน
3. ขั้นติดตำมและประเมินผล
มีกำรติดตำมและประเมินผลระดับนำ้ำตำลในเลือดของผู้ป่วยเบำหวำนที่
เข้ำอบรมทุกๆเดือนเป็นระยะเวลำ 3 เดือนจำกแฟ้มประวัติกำรมำเจำะนำ้ำตำลในเลือดเพื่อ
รับยำ ของคลินิกเบำหวำน ศูนย์สุขภำพชุมชนตำหลังใน
ผลกำรศึกษำ
1. กำรวิเครำะห์ตนเอง
ผลจำกแบบบันทึกกำรวิเครำะห์ตนเองพบว่ำ ผู้ป่วยเบำหวำนมีพฤติกรรม
เหมือนๆกันทั้งในเรื่องกำรรับประทำนอำหำรส่วนใหญ่จะรับประทำนอำหำรรสเค็ม และ
กินผลไม้ครั้งละมำกๆเช่น มะขำมหวำน มะม่วง ทุเรียนฯลฯ และกำรรับประทำนยำส่วน
ใหญ่จะลืมทำนและลดขนำดหรือเพิ่มขนำดยำเอง กำรออกกำำลังกำยส่วนใหญ่ทำำงำน
บ้ำนอยู่แล้วและส่วนมำกลืมใส่รองเท้ำขณะเดินรอบบ้ำน กำรแก้ปัญหำส่วนใหญ่ผู้ป่วย
เบำหวำนก็จะไม่ทำนอำหำรเค็ม หวำน มัน ทอด จะไม่ลืมทำนยำ ทำนยำตำมแพทย์สั่ง
เท่ำนั้น หมั่นออกกำำลังกำยประจำำ สวมรองเทำทุกครั้งที่เดิน ตรวจดูง่ำมเท้ำและซอกเท้ำ
2. กำรวิเครำะห์กลุ่ม
จำกผลกำรวิเครำะห์กรณีศึกษำที่แต่ละกลุ่มวิเครำะห์พบว่ำ ทุกกลุ่ม
สำมำรถวิเครำะห์กรณีศึกษำได้อย่ำงดี ตั้งแต่ สำเหตุ จนกระทั่งวิธีกำรแก้ไขที่สำมำรถ
ควบคุมระดับนำ้ำตำลในเลือดได้ถูกต้องตรงตำมที่ผู้วิจัยต้องกำร และจำกกำรสังเกตรำย
กลุ่มพบว่ำทุกคนต่ำงแสดงควำมคิดเห็นที่ตรงกัน สำมำรถอภิปรำยและถกเถียงปัญหำ
ต่ำงๆตำมควำมคิดของแต่ละคนที่อยู่ในกรอบควำมรู้ที่ให้ไปอย่ำงถูกต้อง ชัดเจน ซึ่ง
ทำำให้เห็นว่ำทุกคนมีควำมรู้ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับเบำหวำนมำกขึ้น
3. กำรประชุมเชิงปฎิบัติกำรกำรสร้ำงอนำคตร่วมกัน
- 5. อดีตก่อนเป็นเบาหวาน ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมเช่นเดียวกับการ
วิเคราะห์ตนเอง คือการรับประทานอาหารรสเค็ม หวาน และของมันของทอด สูบบุหรี่ดื่ม
สุรา เครียดและส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าเกิดจากกรรมพันธุ์หรือไม่เนื่องจากบรรพบุรุษไม่ได้
ตรวจเบาหวาน
ปัจจุบันเป็นเบาหวาน ส่วนใหญ่ก็จะมีพฤติกรรมเหมือนเดิม และดื่มสุรา
สูบบหรี่ นอนไม่หลับ เครียด
อนาคตจะอยู่กับเบาหวานได้อย่างมีความสุข คือการมีพฤติกรรมดูแล
สุขภาพที่ดี
ผลการประเมินทดสอบก่อนและหลังการประเมิน
ตารางเปรียบเทียบผลการประเมินความรู้ก่อนและหลังการอบรม
ความรู้ที่
ประเมิน
จำานวน
(คน)
ค่าเฉลี่ย
(คะแนน)
Std.
Deviation
Std.
Error Mean
P
ก่อนการ
อบรม
25 7.4325 1.92024 0.45613
หลังการ
อบรม
25 13.7488 3.02701 1.00123 0.001
จากตารางพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานที่เข้าอบรมมีความรู้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำาคัญ (P =
0.05) คือ P =0.001
ผลจากการติดตามและประเมินผลระดับนำ้าตาลในเลือดทุกๆเดือน
ในระยะเวลา 3 เดือน
ตารางที่ 3 ตารางเปรียบเทียบการควบคุมระดับนำ้าตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานที่เข้า
อบรม
การควบคุมระดับนำ้าตาลใน
เลือด
จำานวน (คน) n = 25 ร้อยละ
> 126 mg/dl 4 16.00
< 126 mg/dl 21 84.00
จากตาราง พบว่า ผู้ป่วยเบาหวานที่เข้าอบรม สามารถควบคุมระดับนำ้าตาลใน
เลือดได้ร้อยละ 84.00
สรุปผลการศึกษา/วิจัย
จากผลการศึกษา พบว่าการพัฒนาองค์ความรู้ของผู้ป่วยเบาหวานโดยมี Model
อาหาร ประกอบการเรียนการสอนทำาให้ผู้ป่วยเบาหวานเกิดความเข้าใจในความรู้ที่ให้
มากขึ้น จากการสังเกตการถาม – ตอบ และเมื่อนำามาผสมผสานกับกระบวนการเรียนรู้
- 6. อย่างมีส่วนร่วม พบว่าผู้ป่วยเบาหวานมีการรับรู้สุขภาวะสุขภาพของตนเอง จากการ
วิเคราะห์ตนเอง การวิเคราะห์กลุ่ม ทำาให้ผู้ป่วยเบาหวานเกิดความตระหนักที่จะมี
พฤติกรรมดูแลสุขภาพตนเอง นำาไปสู่การประชุมเชิงปฏิบัติการการสร้างอนาคตร่วม
กัน(FSC) และผลการทดสอบประเมินความรู้ก่อนและหลังการอบรม ผู้ป่วยเบาหวานมี
ความรู้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำาคัญทางสถิติ และผลจากการติดตามระดับนำ้าตาลในเลือดทุกๆ
เดือนเป็นระยะเวลา 3 เดือน ผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่มีผลระดับนำ้าตาลในเลือด< 126
mg/dl แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยเบาหวานมีความรู้ และมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่ดี
ขึ้นและถูกต้องจนสามารถควบคุมระดับนำ้าตาลในเลือดและอยู่กับเบาหวานได้อย่างมี
ความสุข
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะของหน่วยงาน
1.หน่วยงานภาครัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรให้การส่งเสริมสุขภาพผู้
ป่วยเบาหวานให้มีการดูแลสุขภาพตนเองที่เหมาะสม ถูกต้อง และต่อเนื่อง เช่น สนับสนุน
งบประมาณ การจัดสถานที่ในการจัดกิจกรรม และการอบรมพัฒนาความรู้เพิ่มเติมให้แก่
ชมรมเบาหวานให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน
2.จัดตั้งชมรมผู้ป่วยเบาหวานในด้านการส่งเสริมสุขภาพ เวทีแลกเปลี่ยน
ประสบการณ์ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
3.ควรมีการอบรมให้ความรู้แก่บุคคลในครอบครัวเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยเบา
หวาน เพื่อจะได้สนับสนุนหรือดูแลพฤติกรรมของผู้ป่วยเบาหวานที่ถูกต้อง
ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป
1.ควรมีการศึกษาปัจจัยต่างๆที่มีอิทธิพลหรือทำานายพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ
ของผู้ป่วยเบาหวานว่ามีความสัมพันธ์กับการรับรู้ หรือเรียนรู้ของผู้ป่วยเบาหวานหรือไม่
เพื่อจะได้ปรับกระบวนการเรียนรู้ต่อไป
2.ควรศึกษาถึงพฤติกรรมของบุคคลในครอบครัวว่ามีส่วนช่วยผลักดันหรือ
สนับสนุนให้ผู้ป่วยเบาหวานมีพฤติกรรมการดูแลตนเองหรือไม่ เพื่อเป็นแนวทางในการ
จัดกิจกรรมสุขภาพแก่บุคคลเหล่านี้
เอกสารอ้างอิง
วรกาล ธิปกะ. รูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วย
โ ร ค เ บ า ห ว า น ก ร ณีศึก ษ า :ใ น พื้น ที่ รับ ผิด ช อ บ โ ร ง
พยาบาลศรีสงคราม จังหวัดนครพนม;2547
ชื่นฤดี ราชบัญดิษฐ์. โครงการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยโรคเบา
หวานระดับสถานีอนามัย โรงพยาบาลปลาปาก จังหวัด