SlideShare a Scribd company logo
1 of 10
Download to read offline
1
อานาปานัสสติสูตร
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๖
เกริ่นนา
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญ
อานาปานสติอยู่ อานาปานสติที่ภิกษุเจริญ ทาให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก อานาปานสติที่
ภิกษุเจริญ ทาให้มากแล้ว ย่อมทาสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ ที่ภิกษุเจริญ ทาให้มากแล้ว ย่อม
ทาโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ โพชฌงค์ ๗ ที่ภิกษุเจริญ ทาให้มากแล้ว ย่อมทาวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์
อานาปานัสสติสูตร
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๖ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
๘. อานาปานัสสติสูตร
ว่าด้วยวิธีเจริญอานาปานสติ
[๑๔๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปราสาทของมิคารมาตา ในบุพพาราม เขตกรุงสาวัตถี
พร้อมด้วยพระสาวกผู้เป็นเถระ มีชื่อเสียงหลายรูปด้วยกัน คือ ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ
ท่านพระมหากัสสปะ ท่านพระมหากัจจายนะ ท่านพระมหาโกฏฐิตะ ท่านพระมหากัปปินะ ท่านพระมหาจุน
ทะ ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระเรวตะ ท่านพระอานนท์ และพระสาวกผู้เป็นเถระที่มีชื่อเสียงรูปอื่นๆ
ก็สมัยนั้น พระเถระทั้งหลายสั่งสอน พร่าสอน (สั่งสอน พร่าสอน หมายความว่า สงเคราะห์ด้วย
อามิสและธรรมแล้วจึงสั่งสอน พร่าสอนเกี่ยวกับกัมมัฏฐานต่อไป) ภิกษุใหม่ทั้งหลาย คือ ภิกษุผู้เป็นเถระ
บางพวกสั่งสอน พร่าสอนภิกษุ ๑๐ รูปบ้าง บางพวกสั่งสอน พร่าสอนภิกษุ ๒๐ รูปบ้าง บางพวกสั่งสอน พร่า
สอนภิกษุ ๓๐ รูปบ้าง บางพวกสั่งสอน พร่าสอนภิกษุ ๔๐ รูปบ้าง ฝ่ายภิกษุใหม่เหล่านั้น ผู้อันภิกษุผู้เป็น
เถระสั่งสอน พร่าสอนอยู่ ย่อมรู้ชัดธรรมวิเศษอย่างกว้างขวางกว่าที่ตนรู้มาก่อน
[๑๔๕] ก็สมัยนั้น ในวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่า คืนดวงจันทร์เต็มดวง ในวันปวารณา พระผู้มีพระภาค
ทรงมีภิกษุสงฆ์แวดล้อม ประทับนั่ง ณ ที่กลางแจ้ง ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูภิกษุสงฆ์ ซึ่งนิ่ง
เงียบอยู่ จึงได้รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย เรายินดีปฏิปทานี้ เรามีใจยินดีปฏิปทานี้ เพราะเหตุนั้น เธอทั้งหลายในธรรมวินัย
นี้ จงปรารภความเพียร (ปรารภความเพียร ในที่นี้ หมายถึงมีความเพียรที่บริบูรณ์ และมีความเพียรที่
ประคับประคองไว้สม่าเสมอไม่หย่อนนัก ไม่ตึงนัก ไม่ให้จิตปรุงแต่งภายใน ไม่ให้ฟุ้งซ่านภายนอก คาว่า
ความเพียร ในที่นี้ หมายถึงความเพียรทางกาย เช่น ความเพียรพยายามทางกายตลอดคืนและวัน ดุจใน
2
ประโยคว่า “ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ชาระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดีด้วยการเดินจงกรม
ด้วยการนั่งตลอดวัน” และ ความเพียรทางจิต เช่นความเพียรพยายามผูกจิตไว้ด้วยการกาหนดสถานที่เป็น
ต้น ดุจในประโยคว่า “เราจะไม่ออกจากถ้านี้ จนกว่าจิตของเราจะหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่นด้วย
อุปาทาน”) เพื่อถึงธรรมที่ตนยังไม่ถึง (ธรรมที่ตนยังไม่ถึง ในที่นี้ หมายถึงอรหัตตผล) เพื่อบรรลุธรรมที่ตน
ยังไม่บรรลุ เพื่อทาให้แจ้งธรรมที่ตนยังไม่ทาให้แจ้งให้ยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด เราจักรออยู่ในกรุงสาวัตถีนี้ แหละ
จนถึงวันครบ ๔ เดือนแห่งฤดูฝน อันเป็นเดือนที่มีดอกโกมุท”
ภิกษุชาวชนบทได้ฟังข่าวว่า “ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคจักทรงรออยู่ในกรุงสาวัตถีนั้น จนถึงวัน
ครบ ๔ เดือนแห่งฤดูฝน อันเป็นเดือนที่มีดอกโกมุท” จึงพากันหลั่งไหลมายังกรุงสาวัตถี เพื่อเข้าเฝ้าพระผู้มี
พระภาค
ฝ่ายภิกษุผู้เป็นเถระเหล่านั้นก็พากันสั่งสอน พร่าสอนภิกษุใหม่เพิ่มประมาณมากขึ้น คือ ภิกษุผู้
เป็นเถระบางพวกสั่งสอน พร่าสอนภิกษุ ๑๐ รูปบ้าง บางพวกสั่งสอน พร่าสอนภิกษุ ๒๐ รูปบ้าง บางพวกสั่ง
สอน พร่าสอนภิกษุ ๓๐ รูปบ้าง บางพวกสั่งสอน พร่าสอนภิกษุ ๔๐ รูปบ้าง และภิกษุใหม่เหล่านั้นผู้อันภิกษุ
ผู้เป็นเถระสั่งสอน พร่าสอนอยู่ ย่อมรู้ชัดธรรมวิเศษอย่างกว้างขวางกว่าที่ตนรู้มาก่อน
[๑๔๖] ก็สมัยนั้น ในวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่า คืนดวงจันทร์เต็มดวง อันเป็นวันครบ ๔ เดือนแห่งฤดู
ฝน เป็นเดือนที่มีดอกโกมุท พระผู้มีพระภาคทรงมีภิกษุสงฆ์แวดล้อม ประทับนั่ง ณ ที่กลางแจ้ง ครั้งนั้นแล
พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูภิกษุสงฆ์ ซึ่งนิ่งเงียบอยู่ จึงได้รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย บริษัทนี้ ไม่สนทนากัน บริษัทนี้ เงียบเสียงสนทนากัน ดารงอยู่ในสารธรรมอัน
บริสุทธิ์ ภิกษุสงฆ์บริษัทนี้ เป็นเช่นเดียวกันกับบริษัทที่ควรแก่ของที่เขานามาถวาย ควรแก่ของต้อนรับ ควร
แก่ทักษิณาทาน ควรแก่การทาอัญชลี เป็นเนื้ อนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก ภิกษุสงฆ์นี้ เป็นเช่นเดียวกันกับ
บริษัทที่เขาถวายของน้อยแต่มีผลมาก และถวายของมากก็ยิ่งมีผลมากขึ้น ภิกษุสงฆ์นี้ เป็นเช่นเดียวกันกับ
บริษัทที่ชาวโลกยากจะได้พบเห็น ภิกษุสงฆ์นี้ เป็นเช่นเดียวกันกับบริษัทที่แม้คนผู้เอาเสบียงคล้องบ่าควร
เดินทางไปเป็นโยชน์ๆ เพื่อพบเห็น
[๑๔๗] ภิกษุทั้งหลาย ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทากิจที่
ควรทาเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนโดยลาดับแล้ว สิ้นภวสังโยชน์แล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้
โดยชอบ ในภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุแม้เช่นนั้นอยู่
ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้เป็นอนาคามี เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ (โอรัมภาคิยสังโยชน์
หมายถึงสังโยชน์เบื้องต่า ๕ คือ (๑) สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน (๒) วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
(๓) สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต (๔) กามราคะ ความพอใจในกามคุณ (๕) พยาบาทหรือปฏิฆะ
ความกระทบกระทั่งในใจ อันเป็นเหตุให้เกิดในกามภพ) จะเกิดเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในโลกนั้นๆ
ไม่กลับมาจากโลกนั้นอีกเป็นธรรมดา ในภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุแม้เช่นนั้นอยู่
ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้เป็นสกทาคามี เพราะสิ้นสังโยชน์ (สังโยชน์ หมายถึงกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์
ธรรมที่มัดใจสัตว์ไว้กับทุกข์ มี ๑๐ คือ (๑) สักกายทิฏฐิ (๒) วิจิกิจฉา (๓) สีลัพพตปรามาส (๔) กาม
ฉันทะหรือกามราคะ (๕) พยาบาทหรือปฏิฆะ (๖) รูปราคะ (๗) อรูปราคะ (๘) มานะ (๙) อุทธัจจะ
3
(๑๐) อวิชชา ๕ ข้อต้นชื่อโอรัมภาคิยสังโยชน์ ส่วน ๕ ข้อหลังชื่ออุทธัมภาคิยสังโยชน์ พระโสดาบันละ
สังโยชน์ ๓ ข้อต้นได้ พระสกทาคามีทาสังโยชน์ข้อ ๔ และข้อ ๕ ให้เบาบาง พระอนาคามีละสังโยชน์ ๕ ข้อ
ข้างต้นได้ พระอรหันต์ละสังโยชน์ได้หมด) ๓ และเพราะทาราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบาง จะกลับมายังโลกนี้
เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แล้วทาที่สุดแห่งทุกข์ได้ ในภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุแม้เช่นนั้นอยู่
ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้เป็นโสดาบัน (โสดาบัน หมายถึงผู้ประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะ
คาว่า โสตะ เป็นชื่อของอริยมรรคมีองค์ ๘) เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ ไม่มีทางตกต่า (ไม่มีทางตกต่า หมายถึงไม่
ตกไปในอบาย ๔ คือ นรก กาเนิดสัตว์ดิรัจฉาน เปรต อสูร) มีความแน่นอนที่จะสาเร็จสัมโพธิ (สัมโพธิ ใน
ที่นี้ หมายถึงมรรค ๓ เบื้องสูง (คือ สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค)) ในวันข้างหน้า ใน
ภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุแม้เช่นนั้นอยู่
ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญสติปัฏฐาน ๔ อยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุแม้
เช่นนั้นอยู่
ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญสัมมัปปธาน ๔ อยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุ
แม้เช่นนั้นอยู่
ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญอิทธิบาท ๔ อยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุ
เช่นนั้นอยู่
ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญอินทรีย์ ๕ อยู่ ... เจริญพละ ๕ อยู่ ... เจริญ
โพชฌงค์ ๗ อยู่ ... มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญมรรคมีองค์ ๘ อยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุแม้
เช่นนั้นอยู่
ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญเมตตาอยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุแม้เช่นนั้น
อยู่ ... มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญกรุณาอยู่ ... มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญมุทิตาอยู่
... มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญอุเบกขาอยู่ ... มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญอสุภสัญญา
อยู่ ... มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญอนิจจสัญญาอยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุแม้เช่นนั้นอยู่
ภิกษุทั้งหลาย ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญอานาปานสติอยู่ อานาปาน
สติที่ภิกษุเจริญ ทาให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก อานาปานสติที่ภิกษุเจริญ ทาให้มากแล้ว ย่อม
ทาสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ ที่ภิกษุเจริญ ทาให้มากแล้ว ย่อมทาโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์
โพชฌงค์ ๗ ที่ภิกษุเจริญ ทาให้มากแล้ว ย่อมทาวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์
[๑๔๘] อานาปานสติที่ภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ทาให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่าง (เรือนว่าง หมายถึงเสนาสนะ ๗
อย่าง เว้นป่าและโคนไม้ ได้แก่ (๑) ภูเขา (๒) ซอกเขา (๓) ถ้าในภูเขา (๔) ป่าช้า (๕) ป่าละเมาะ (๖) ที่
โล่งแจ้ง (๘) ลอมฟาง) ก็ดี นั่งขัดสมาธิ (นั่งขัดสมาธิ หมายถึงนั่งพับขาเข้าหากันทั้ง ๒ ข้าง เรียกว่า
นั่งขัดสมาธิ) ตั้งกายตรง ดารงสติไว้เฉพาะหน้า(ดารงสติไว้เฉพาะหน้า หมายถึงตั้งสติกาหนดอารมณ์
กัมมัฏฐาน) มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก (อัสสาสะ หมายถึงหายใจเข้า ปัสสาสะ หมายถึงหายใจออก)
4
อานาปานสติ ๑๖ ขั้น
๑. เมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่า ‘เราหายใจเข้ายาว’
เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่า ‘เราหายใจออกยาว’
๒. เมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้ชัดว่า ‘เราหายใจเข้าสั้น’
เมื่อหายใจออกสั้นก็รู้ชัดว่า ‘เราหายใจออกสั้น’
๓. สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก’
๔. สาเหนียกว่า ‘เราระงับกายสังขาร หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เราระงับกายสังขาร หายใจออก’
๕. สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้ปีติ หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้ปีติ หายใจออก’
๖. สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้สุข หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้สุข หายใจออก’
๗. สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้จิตตสังขาร หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้จิตตสังขาร หายใจออก’
๘. สาเหนียกว่า ‘เราระงับจิตตสังขาร หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เราระงับจิตตสังขาร หายใจออก’
๙. สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้จิต หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้จิต หายใจออก’
๑๐. สาเหนียกว่า ‘เราทาจิตให้บันเทิง หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เราทาจิตให้บันเทิง หายใจออก’
๑๑. สาเหนียกว่า ‘เราตั้งจิตมั่น หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เราตั้งจิตมั่น หายใจออก’
๑๒. สาเหนียกว่า ‘เราเปลื้องจิต หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เราเปลื้องจิต หายใจออก’
๑๓. สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง หายใจออก’
๑๔. สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความคลายออกได้ หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความคลายออกได้ หายใจออก’
๑๕. สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความดับไป หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความดับไป หายใจออก’
๑๖. สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความสละคืน หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความสละคืน หายใจออก’
5
ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติที่ภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ ทาให้มากแล้วอย่างนี้ จึงมีผลมาก มีอานิสงส์
มาก
[๑๔๙] อานาปานสติที่ภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ทาให้มากแล้วอย่างไร จึงทาให้สติปัฏฐาน ๔
บริบูรณ์ได้ คือ
๑. สมัยใด ภิกษุเมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่า ‘เราหายใจเข้ายาว’
เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่า ‘เราหายใจออกยาว’
เมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้ชัดว่า ‘เราหายใจเข้าสั้น’
เมื่อหายใจออกสั้นก็รู้ชัดว่า ‘เราหายใจออกสั้น’
สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก’
สาเหนียกว่า ‘เราระงับกายสังขาร หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เราระงับกายสังขาร หายใจออก’
สมัยนั้น ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัดอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกได้ เรากล่าวลมหายใจเข้า ลมหายใจออกนี้ ว่าเป็นกายชนิดหนึ่งในบรรดากายทั้งหลาย เพราะ
เหตุนั้น สมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัดอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกอยู่
๒. สมัยใดภิกษุสาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้ปีติ หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้ปีติ หายใจออก’
สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้สุข หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้สุข หายใจออก’
สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้จิตตสังขาร หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้จิตตสังขาร หายใจออก’
สาเหนียกว่า ‘เราระงับจิตตสังขาร หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เราระงับจิตตสังขาร หายใจออก’
สมัยนั้น ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัด
อภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ เรากล่าวการใส่ใจลมหายใจเข้าลมหายใจออกเป็นอย่างดีนี้ ว่า เป็นเวทนาชนิด
หนึ่งในบรรดาเวทนาทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น สมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย มี
ความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่
๓. สมัยใด ภิกษุสาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้จิต หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้จิต หายใจออก’
สาเหนียกว่า ‘เราทาจิตให้บันเทิง หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เราทาจิตให้บันเทิง หายใจออก’
สาเหนียกว่า ‘เราตั้งจิตมั่น หายใจเข้า’
6
สาเหนียกว่า ‘เราตั้งจิตมั่น หายใจออก’
สาเหนียกว่า ‘เราเปลื้องจิต หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เราเปลื้องจิต หายใจออก’
สมัยนั้น ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัดอภิชฌาและโทมนัส
ในโลกได้ เราไม่บอกอานาปานสติแก่ภิกษุผู้หลงลืม ไม่มีสัมปชัญญะ เพราะเหตุนั้น สมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่า
พิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่
๔. สมัยใด ภิกษุสาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง หายใจออก’
สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความคลายออกได้ หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความคลายออกได้ หายใจออก’
สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความดับไป หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความดับไป หายใจออก’
สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความสละคืน หายใจเข้า’
สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความสละคืน หายใจออก’
สมัยนั้น ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัด
อภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ เธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสด้วยปัญญาแล้ว ย่อมเป็นผู้วางเฉยได้ดี
เพราะเหตุนั้น สมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
กาจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่
ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติที่ภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ ทาให้มากแล้วอย่างนี้ จึงทาให้สติปัฏฐาน ๔
บริบูรณ์ได้
สติปัฏฐาน ๔
[๑๕๐] สติปัฏฐาน ๔ ที่ภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ทาให้มากแล้วอย่างไร จึงทาให้โพชฌงค์ ๗
บริบูรณ์ คือ
๑. สมัยใด ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัดอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกได้ สมัยนั้น ภิกษุนั้นมีสติตั้งมั่น ไม่หลงลืม สมัยใด ภิกษุมีสติตั้งมั่น ไม่หลงลืม สมัยนั้นสติ
สัมโพชฌงค์(ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความระลึกได้) ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อ
ว่าเจริญสติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่
๒. ภิกษุนั้นเป็นผู้มีสติอย่างนั้น ย่อมค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงการพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา สมัย
ใด ภิกษุเป็นผู้มีสติอย่างนั้น ย่อมค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงการพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา สมัยนั้น ธัมม
วิจยสัมโพชฌงค์(ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ คือความเลือกเฟ้นธรรม) ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัย
นั้นภิกษุชื่อว่าเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่
7
๓. ภิกษุนั้นค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงการพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา ปรารภความเพียรไม่ย่อ
หย่อน สมัยใด ภิกษุค้นคว้า ไตร่ตรองถึงการพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา ปรารภความเพียร ไม่ย่อหย่อน
สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์(ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความเพียร) ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัย
นั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่
๔. ปีติที่ปราศจากอามิสเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว สมัยใด ปีติที่ปราศจากอามิส
เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์(ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความอิ่ม
ใจ) ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญปีติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ของภิกษุ
ย่อมถึงความเจริญเต็มที่
๕. เมื่อภิกษุมีจิตเกิดปีติ กายและจิตย่อมสงบ สมัยใด ภิกษุมีจิตเกิดปีติ กายและจิตย่อมสงบ
สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ (ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความสงบกายสงบจิต) ย่อมเป็นอันภิกษุ
ปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึง
ความเจริญเต็มที่
๖. เมื่อภิกษุมีกายสงบแล้ว มีความสุข จิตย่อมตั้งมั่น สมัยใด เมื่อภิกษุมีกายสงบ มีความสุข
จิตย่อมตั้งมั่น สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์(ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความตั้งใจมั่น) ย่อมเป็นอัน
ภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึง
ความเจริญเต็มที่
๗. ภิกษุนั้นเป็นผู้วางเฉยจิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้นได้เป็นอย่างดี สมัยใด ภิกษุเป็นผู้วางเฉยจิต
ที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้นได้เป็นอย่างดี สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์(ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความมีใจ
เป็นกลาง) ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น อุเบกขาสัม
โพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่
[๑๕๑] ภิกษุทั้งหลาย
๑. สมัยใด ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย ... พิจารณาเห็นจิตในจิต ... พิจารณา
เห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ สมัยนั้น
ภิกษุนั้นมีสติตั้งมั่น ไม่หลงลืม สมัยใด ภิกษุมีสติตั้งมั่น ไม่หลงลืม สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุ
ปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญสติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญ
เต็มที่
๒. ภิกษุนั้นเป็นผู้มีสติอย่างนั้น ย่อมค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงการพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา
สมัยใด ภิกษุเป็นผู้มีสติอย่างนั้นอยู่ ย่อมค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงการพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา สมัยนั้น
ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น
ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่
๓. ภิกษุนั้นค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงการพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา เป็นอันปรารภความ
เพียรไม่ย่อหย่อนแล้ว สมัยใด ภิกษุย่อมค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงการพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญาปรารภความ
8
เพียรไม่ย่อหย่อน สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญวิ
ริยสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่
๔. ปีติอันปราศจากอามิส เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว สมัยใด ปีติอันปราศจาก
อามิสเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น
ภิกษุชื่อว่าเจริญปีติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่
๕. เมื่อภิกษุมีจิตเกิดปีติ กายและจิตย่อมสงบ สมัยใด เมื่อภิกษุมีจิตเกิดปีติ กายและจิตย่อม
สงบ สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่
๖. เมื่อภิกษุผู้มีกายสงบแล้ว มีความสุข จิตย่อมตั้งมั่น สมัยใด เมื่อภิกษุผู้มีกายสงบแล้ว มี
ความสุข จิตย่อมตั้งมั่น สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญ
สมาธิสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่
๗. ภิกษุนั้นเป็นผู้วางเฉยจิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้นได้อย่างดี สมัยใด ภิกษุเป็นผู้วางเฉยจิต
ที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้นได้อย่างดี สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า
เจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่
ภิกษุทั้งหลาย สติปัฏฐาน ๔ ที่ภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ ทาให้มากแล้วอย่างนี้ จึงทาให้โพชฌงค์ ๗
บริบูรณ์
โพชฌงค์ ๗
[๑๕๒] โพชฌงค์ ๗ ที่ภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ทาให้มากแล้วอย่างไร จึงทาให้วิชชาและวิมุตติ
บริบูรณ์
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑. เจริญสติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก(ความสงัด) อาศัยวิราคะ(ความคลายกาหนัด) อาศัย
นิโรธ(ความดับ) อันน้อมไปเพื่อความปล่อยวาง
๒. เจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ...
๓. เจริญวิริยสัมโพชฌงค์ ...
๔. เจริญปีติสัมโพชฌงค์ ...
๕. เจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ...
๖. เจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ ...
๗. เจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อความ
ปล่อยวาง
ภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ ที่ภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ ทาให้มากแล้วอย่างนี้ จึงทาให้วิชชาและวิมุตติ
บริบูรณ์”
9
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสภาษิตนี้ แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดีต่างชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระ
ภาค ดังนี้ แล
อานาปานัสสติสูตรที่ ๘ จบ
----------------------------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนี้ นามาจากบางส่วนของอรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ อนุปทวรรค
อานาปานสติสูตร
๘. อรรถกถาอานาปานสติสูตร
อานาปานสติสูตร มีคาเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ .
พระสาวกเป็นอันมากผู้มีชื่อเสียงแม้เหล่าอื่น ยกเว้นพระเถระ ๑๐ รูปที่มาในพระบาลี. ว่ากันว่า
ในคราวนั้น ได้มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่นับจานวนไม่ได้.
ดิถีที่มีพระจันทร์เพ็ญครบ ๔ เดือน ท้ายเดือน ๑๒ ชื่อว่า โกมุที เพราะมีดอกโกมุทบาน.
เรียกว่า จาตุมาสินี (ครบ ๔ เดือน) เพราะเป็นวันสุดท้ายของเดือนอันมีในฤดูฝน ๔ เดือน. จักอยู่ในที่นี้
แหละจนกว่าดิถีนั้น (คือวันเพ็ญเดือน ๑๒) จะมาถึง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตปวารณาสงเคราะห์
(สงเคราะห์ด้วยปวารณากรรม) แก่ภิกษุทั้งหลายด้วยประการดังนี้ จึงได้ตรัสอย่างนั้น.
อนึ่ง ไม่ให้แก่ภิกษุผู้มีสมถะหรือวิปัสสนายังอ่อน. ในคราวนั้น แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรง
พิจารณาวาระจิตของภิกษุทั้งหลาย ทรงทราบว่าสมถะและวิปัสสนายังอ่อน จึงทรงพระดาริว่า เมื่อเราไม่
ปวารณาในวันนี้ ภิกษุทั้งหลายออกพรรษาแล้ว จักเที่ยวไปในกรุงสาวัตถีนี้ (ต่างรูปต่างไป) ในทิศทั้งหลาย
แต่นั้น ภิกษุเหล่านี้ จักไม่สามารถทาคุณวิเศษให้เกิดขึ้นได้ ในเมื่อภิกษุทั้งหลายผู้แก่พรรษากว่า ถือเอา
เสนาสนะเสียเต็มหมด (ธรรมเนียมที่ทรงอนุญาตให้ผู้แก่พรรษากว่าจับจองเสนาสนะได้ก่อน) ถ้าแม้เรา
ออกจาริกไป ภิกษุเหล่านี้ ก็จักหาสถานที่อยู่ได้ยาก แต่เมื่อเราไม่ปวารณา แม้ภิกษุเหล่านี้ จักไม่เที่ยวไป
ตลอดกรุงสาวัตถีนี้ แม้เราก็จักยังไม่ออกจาริก เมื่อเป็นอย่างนี้ ภิกษุเหล่านี้ ก็จักไม่เป็นกังวล (เรื่อง) สถานที่
อยู่ เธอทั้งหลายจักอยู่เป็นผาสุกในสถานที่อยู่ของตนๆ สามารถเพื่อจะทาสมถะและวิปัสสนาให้แก่กล้า แล้ว
ยังคุณวิเศษให้เกิดขึ้นได้.
พระองค์จึงไม่ทรงทาปวารณาในวันนั้น ทรงอนุญาตปวารณาสงเคราะห์แก่ภิกษุทั้งหลายว่า เรา
จักปวารณาในวันเพ็ญเดือน ๑๒ ก็เมื่อภิกษุทั้งหลายได้ปวารณาสงเคราะห์แล้ว อาจารย์และอุปัชฌาย์ของ
ภิกษุรูปใดผู้ยังถือนิสัย พากันหลีกไปเสีย แม้ภิกษุรูปนั้นก็จะอยู่ได้จนถึงเดือนสุดท้ายของฤดูร้อน. ด้วย
ความหวังว่า ถ้า (จักมี) ภิกษุผู้สมควรให้นิสัยมา เราจักถือนิสัยในสานักของภิกษุนั้น. ถึงแม้จะมีภิกษุ ๖๐
พรรษามา ก็จะถือเอาเสนาสนะของเธอไม่ได้. ก็แหละปวารณาสงเคราะห์ นี้ แม้จะให้แก่ภิกษุรูปเดียว ก็ย่อม
เป็นการให้แก่ภิกษุทุกรูปทีเดียว.
โดยถือพวกผู้อยู่ได้เดือนหนึ่ง ตามภาวะของตน ในที่ที่พอได้ทราบข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงประทานปวารณาสงเคราะห์ จึงพากันทาอุโบสถกรรม ในวันเพ็ญเดือน ๑๑ แล้วพากันหลั่งไหลมา.
10
ภิกษุทั้งหลายกระทากรรมในสมถะและวิปัสสนาที่ยังอ่อน ได้ทาให้สมถะและวิปัสสนาทั้งหลายมี
กาลังขึ้นในที่นี้ นี้ ชื่อว่าคุณวิเศษในกาลก่อน. ต่อแต่นั้น ภิกษุทั้งหลายมีจิตตั้งมั่นพิจารณาสังขารทั้งหลาย
บางเหล่าทาให้แจ้งโสดาปัตติผล ฯลฯ บางเหล่าทาให้แจ้งอรหัตผล. นี้ ชื่อว่าคุณวิเศษอันกว้างขวางยิ่ง.
เพื่อทรงแสดงกรรมฐานที่ภิกษุทั้งหลายนั้นสนใจมาก บรรดาธรรมเหล่านั้น ตรัสโพธิปักขิย
ธรรม ๓๗ ประการอันเป็นทั้งโลกิยะและโลกุตระ. ก็ในข้อนั้น ภิกษุเหล่าใดยังมรรคให้เกิดในขณะนั้น โพธิ
ปักขิยธรรมเหล่านั้นย่อมเป็นโลกุตระสาหรับภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น เป็นโลกิยะสาหรับภิกษุทั้งหลายผู้เจริญ
วิปัสสนา.
ก็เพราะเหตุที่ในที่นี้ ภิกษุทั้งหลายสนใจมาก ด้วยอานาจแห่งอานาปานกรรมฐานเท่านั้นมี
(จานวน) มาก เพราะฉะนั้น เมื่อจะตรัสกรรมฐานที่เหลือโดยสังเขป แล้วตรัสอานาปานกรรมฐานโดย
พิสดาร จึงตรัสคาว่า อานาปานสติ ภิกฺขเว เป็นต้นไป.
สติในกายนั้นของภิกษุนั้น ผู้กาหนดกายด้วยอาการ ๑๔ อย่างด้วยประการอย่างนี้ เป็นสติ
สัมโพชฌงค์, ญาณอันสัมปยุตด้วยสติ เป็นธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์, ความเพียรทางกายและทางใจอันสัมปยุต
ด้วยธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์นั้นนั่นแหละ เป็นวิริยสัมโพชฌงค์, ปีติ ปัสสัทธิและเอกัคคตาจิต เป็นสมาธิสัม
โพชฌงค์, อาการเป็นกลางๆ กล่าวคือสัมโพชฌงค์ ๖ ประการ ดังพรรณนามานี้ ไม่ถดถอยและไม่ดาเนิน
เกินไปเป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ เหมือนอย่างว่า เมื่อม้าทั้งหลายวิ่งไปได้เรียบ สารถีย่อมไม่มีการกระตุ้นว่า
ม้านี้ วิ่งช้า หรือไม่มีการรั้งไว้ว่าม้านี้ วิ่งเร็วไป สารถีจะมีอาการมองดูอย่างนั้นอย่างเดียวเท่านั้นฉันใด อาการ
เป็นกลางๆ กล่าวคือสัมโพชฌงค์ ๖ ประการเหล่านี้ ไม่ถดถอยและไม่ดาเนินเกินไป เหมือนอย่างนั้นนั่น
แหละ ย่อมชื่อว่าอุเบกขาสัมโพชฌงค์.
ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ ท่านกล่าวถึงอะไร? กล่าวถึงวิปัสสนา พร้อมด้วยลักษณะต่างๆ ที่เป็น
ชั่วขณะจิตเดียวว่า ชื่อว่าสัมโพชฌงค์.
ก็ในที่นี้ สติกาหนดลมหายใจเข้าออกเป็นโลกิยะ. อานาปานสติอันเป็นโลกิยะ ย่อมทาสติปัฏ
ฐานอันเป็นโลกิยะให้บริบูรณ์ โลกิยสติปัฏฐานทาโลกุตรโพชฌงค์ให้บริบูรณ์ โลกุตรโพชฌงค์ทาวิชชา วิมุตติ
ผลและนิพพานให้บริบูรณ์. ดังนั้น จึงเป็นอันท่านกล่าวถึงโลกิยะในอาคตสถานของโลกิยะ กล่าวถึงโลกุตระ
ในอาคตสถานของโลกุตระแล.
ส่วนพระเถระกล่าวว่า ในสูตรอื่นเป็นอย่างนั้น แต่ในสูตรนี้ โลกุตระจะมาข้างหน้า (ต่อไป)
โลกิยอานาปานะทาโลกิยสติปัฏฐานให้บริบูรณ์ โลกิยสติปัฏฐานทาโลกิยโพชฌงค์ให้บริบูรณ์ โลกิยโพชฌงค์
ทาวิชชา วิมุตติ ผล และนิพพานอันเป็นโลกุตระให้บริบูรณ์. เพราะในพระสูตรนี้ วิชชา ผล และนิพพาน ท่าน
ประสงค์เอาด้วยบทว่า วิชชาและวิมุตติแล.
จบอรรถกถาอานาปานสติสูตรที่ ๘
-----------------------------------------------------

More Related Content

Similar to ๑๕ อานาปานัสสติสูตร มจร.pdf

๒๐ มหาปรินิพพานสูตร มจร ตอนที่ ๑.pdf
๒๐ มหาปรินิพพานสูตร มจร ตอนที่ ๑.pdf๒๐ มหาปรินิพพานสูตร มจร ตอนที่ ๑.pdf
๒๐ มหาปรินิพพานสูตร มจร ตอนที่ ๑.pdfmaruay songtanin
 
10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite
10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite
10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrareciteTongsamut vorasan
 
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10thTongsamut vorasan
 
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10thTongsamut vorasan
 
เชิญร่วมงานสาธยายพระไตรปิฎก วัดมเหยงคณ์ วันที่ 5 เดือน 5 2555
เชิญร่วมงานสาธยายพระไตรปิฎก วัดมเหยงคณ์ วันที่ 5 เดือน 5 2555เชิญร่วมงานสาธยายพระไตรปิฎก วัดมเหยงคณ์ วันที่ 5 เดือน 5 2555
เชิญร่วมงานสาธยายพระไตรปิฎก วัดมเหยงคณ์ วันที่ 5 เดือน 5 2555Carzanova
 
สวดมนต์ข้ามปี ๒๕๕๖ (ฉบับ สสส.)
สวดมนต์ข้ามปี ๒๕๕๖ (ฉบับ สสส.)สวดมนต์ข้ามปี ๒๕๕๖ (ฉบับ สสส.)
สวดมนต์ข้ามปี ๒๕๕๖ (ฉบับ สสส.)Ballista Pg
 
บทสวดมนต์ข้ามปี
บทสวดมนต์ข้ามปีบทสวดมนต์ข้ามปี
บทสวดมนต์ข้ามปีTongsamut vorasan
 
สุภีร์ ทุมทอง สติปัฏฐาน ๔ เสันทางตรงสู่พระนิพพาน
สุภีร์ ทุมทอง   สติปัฏฐาน ๔ เสันทางตรงสู่พระนิพพาน สุภีร์ ทุมทอง   สติปัฏฐาน ๔ เสันทางตรงสู่พระนิพพาน
สุภีร์ ทุมทอง สติปัฏฐาน ๔ เสันทางตรงสู่พระนิพพาน Tongsamut vorasan
 
บาลี 45 80
บาลี 45 80บาลี 45 80
บาลี 45 80Rose Banioki
 
5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔
5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔
5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔Tongsamut vorasan
 
5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔
5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔
5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔Tongsamut vorasan
 
7 61+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๓
7 61+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๓7 61+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๓
7 61+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๓Tongsamut vorasan
 
บาลี 61 80
บาลี 61 80บาลี 61 80
บาลี 61 80Rose Banioki
 
1 บทนำ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า โดย ท่าน ว. วชิรเมธี
1 บทนำ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า โดย ท่าน ว. วชิรเมธี1 บทนำ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า โดย ท่าน ว. วชิรเมธี
1 บทนำ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า โดย ท่าน ว. วชิรเมธีPanuwat Beforetwo
 
4 อานาปานสติ anapanasati
4 อานาปานสติ anapanasati4 อานาปานสติ anapanasati
4 อานาปานสติ anapanasatiTongsamut vorasan
 
รวบรวมศรัทธาผ้าป่าสู้น้ำท่วม 15 เม.ย. 2555
รวบรวมศรัทธาผ้าป่าสู้น้ำท่วม 15 เม.ย. 2555รวบรวมศรัทธาผ้าป่าสู้น้ำท่วม 15 เม.ย. 2555
รวบรวมศรัทธาผ้าป่าสู้น้ำท่วม 15 เม.ย. 2555Carzanova
 
Tri91 03++มหาวิภังค์+เล่ม+๑+ภาค+๓
Tri91 03++มหาวิภังค์+เล่ม+๑+ภาค+๓Tri91 03++มหาวิภังค์+เล่ม+๑+ภาค+๓
Tri91 03++มหาวิภังค์+เล่ม+๑+ภาค+๓Tongsamut vorasan
 

Similar to ๑๕ อานาปานัสสติสูตร มจร.pdf (20)

๒๐ มหาปรินิพพานสูตร มจร ตอนที่ ๑.pdf
๒๐ มหาปรินิพพานสูตร มจร ตอนที่ ๑.pdf๒๐ มหาปรินิพพานสูตร มจร ตอนที่ ๑.pdf
๒๐ มหาปรินิพพานสูตร มจร ตอนที่ ๑.pdf
 
10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite
10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite
10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite
 
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
 
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
 
เชิญร่วมงานสาธยายพระไตรปิฎก วัดมเหยงคณ์ วันที่ 5 เดือน 5 2555
เชิญร่วมงานสาธยายพระไตรปิฎก วัดมเหยงคณ์ วันที่ 5 เดือน 5 2555เชิญร่วมงานสาธยายพระไตรปิฎก วัดมเหยงคณ์ วันที่ 5 เดือน 5 2555
เชิญร่วมงานสาธยายพระไตรปิฎก วัดมเหยงคณ์ วันที่ 5 เดือน 5 2555
 
สวดมนต์ข้ามปี ๒๕๕๖ (ฉบับ สสส.)
สวดมนต์ข้ามปี ๒๕๕๖ (ฉบับ สสส.)สวดมนต์ข้ามปี ๒๕๕๖ (ฉบับ สสส.)
สวดมนต์ข้ามปี ๒๕๕๖ (ฉบับ สสส.)
 
บทสวดมนต์ข้ามปี
บทสวดมนต์ข้ามปีบทสวดมนต์ข้ามปี
บทสวดมนต์ข้ามปี
 
มุตโตทัย
มุตโตทัยมุตโตทัย
มุตโตทัย
 
สุภีร์ ทุมทอง สติปัฏฐาน ๔ เสันทางตรงสู่พระนิพพาน
สุภีร์ ทุมทอง   สติปัฏฐาน ๔ เสันทางตรงสู่พระนิพพาน สุภีร์ ทุมทอง   สติปัฏฐาน ๔ เสันทางตรงสู่พระนิพพาน
สุภีร์ ทุมทอง สติปัฏฐาน ๔ เสันทางตรงสู่พระนิพพาน
 
บาลี 45 80
บาลี 45 80บาลี 45 80
บาลี 45 80
 
5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔
5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔
5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔
 
5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔
5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔
5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔
 
7 61+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๓
7 61+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๓7 61+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๓
7 61+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๓
 
บาลี 61 80
บาลี 61 80บาลี 61 80
บาลี 61 80
 
9 mantra
9 mantra9 mantra
9 mantra
 
1 บทนำ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า โดย ท่าน ว. วชิรเมธี
1 บทนำ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า โดย ท่าน ว. วชิรเมธี1 บทนำ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า โดย ท่าน ว. วชิรเมธี
1 บทนำ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า โดย ท่าน ว. วชิรเมธี
 
4 อานาปานสติ anapanasati
4 อานาปานสติ anapanasati4 อานาปานสติ anapanasati
4 อานาปานสติ anapanasati
 
รวบรวมศรัทธาผ้าป่าสู้น้ำท่วม 15 เม.ย. 2555
รวบรวมศรัทธาผ้าป่าสู้น้ำท่วม 15 เม.ย. 2555รวบรวมศรัทธาผ้าป่าสู้น้ำท่วม 15 เม.ย. 2555
รวบรวมศรัทธาผ้าป่าสู้น้ำท่วม 15 เม.ย. 2555
 
ธรรมดาของตาเห็นธรรม
ธรรมดาของตาเห็นธรรมธรรมดาของตาเห็นธรรม
ธรรมดาของตาเห็นธรรม
 
Tri91 03++มหาวิภังค์+เล่ม+๑+ภาค+๓
Tri91 03++มหาวิภังค์+เล่ม+๑+ภาค+๓Tri91 03++มหาวิภังค์+เล่ม+๑+ภาค+๓
Tri91 03++มหาวิภังค์+เล่ม+๑+ภาค+๓
 

More from maruay songtanin

7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf
7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf
7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdfmaruay songtanin
 
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...maruay songtanin
 
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...maruay songtanin
 
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...maruay songtanin
 
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docxmaruay songtanin
 
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdfOperational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdfmaruay songtanin
 
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...maruay songtanin
 
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...maruay songtanin
 
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...maruay songtanin
 
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...maruay songtanin
 
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf
7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf
7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf
 
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
 
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
 
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
 
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
 
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdfOperational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
 
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
 
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
 
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
 
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
 
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 

๑๕ อานาปานัสสติสูตร มจร.pdf

  • 1. 1 อานาปานัสสติสูตร พลตรี มารวย ส่งทานินทร์ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๖ เกริ่นนา พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญ อานาปานสติอยู่ อานาปานสติที่ภิกษุเจริญ ทาให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก อานาปานสติที่ ภิกษุเจริญ ทาให้มากแล้ว ย่อมทาสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ ที่ภิกษุเจริญ ทาให้มากแล้ว ย่อม ทาโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ โพชฌงค์ ๗ ที่ภิกษุเจริญ ทาให้มากแล้ว ย่อมทาวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ อานาปานัสสติสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๖ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ๘. อานาปานัสสติสูตร ว่าด้วยวิธีเจริญอานาปานสติ [๑๔๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปราสาทของมิคารมาตา ในบุพพาราม เขตกรุงสาวัตถี พร้อมด้วยพระสาวกผู้เป็นเถระ มีชื่อเสียงหลายรูปด้วยกัน คือ ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระมหากัสสปะ ท่านพระมหากัจจายนะ ท่านพระมหาโกฏฐิตะ ท่านพระมหากัปปินะ ท่านพระมหาจุน ทะ ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระเรวตะ ท่านพระอานนท์ และพระสาวกผู้เป็นเถระที่มีชื่อเสียงรูปอื่นๆ ก็สมัยนั้น พระเถระทั้งหลายสั่งสอน พร่าสอน (สั่งสอน พร่าสอน หมายความว่า สงเคราะห์ด้วย อามิสและธรรมแล้วจึงสั่งสอน พร่าสอนเกี่ยวกับกัมมัฏฐานต่อไป) ภิกษุใหม่ทั้งหลาย คือ ภิกษุผู้เป็นเถระ บางพวกสั่งสอน พร่าสอนภิกษุ ๑๐ รูปบ้าง บางพวกสั่งสอน พร่าสอนภิกษุ ๒๐ รูปบ้าง บางพวกสั่งสอน พร่า สอนภิกษุ ๓๐ รูปบ้าง บางพวกสั่งสอน พร่าสอนภิกษุ ๔๐ รูปบ้าง ฝ่ายภิกษุใหม่เหล่านั้น ผู้อันภิกษุผู้เป็น เถระสั่งสอน พร่าสอนอยู่ ย่อมรู้ชัดธรรมวิเศษอย่างกว้างขวางกว่าที่ตนรู้มาก่อน [๑๔๕] ก็สมัยนั้น ในวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่า คืนดวงจันทร์เต็มดวง ในวันปวารณา พระผู้มีพระภาค ทรงมีภิกษุสงฆ์แวดล้อม ประทับนั่ง ณ ที่กลางแจ้ง ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูภิกษุสงฆ์ ซึ่งนิ่ง เงียบอยู่ จึงได้รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เรายินดีปฏิปทานี้ เรามีใจยินดีปฏิปทานี้ เพราะเหตุนั้น เธอทั้งหลายในธรรมวินัย นี้ จงปรารภความเพียร (ปรารภความเพียร ในที่นี้ หมายถึงมีความเพียรที่บริบูรณ์ และมีความเพียรที่ ประคับประคองไว้สม่าเสมอไม่หย่อนนัก ไม่ตึงนัก ไม่ให้จิตปรุงแต่งภายใน ไม่ให้ฟุ้งซ่านภายนอก คาว่า ความเพียร ในที่นี้ หมายถึงความเพียรทางกาย เช่น ความเพียรพยายามทางกายตลอดคืนและวัน ดุจใน
  • 2. 2 ประโยคว่า “ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ชาระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดีด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่งตลอดวัน” และ ความเพียรทางจิต เช่นความเพียรพยายามผูกจิตไว้ด้วยการกาหนดสถานที่เป็น ต้น ดุจในประโยคว่า “เราจะไม่ออกจากถ้านี้ จนกว่าจิตของเราจะหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่นด้วย อุปาทาน”) เพื่อถึงธรรมที่ตนยังไม่ถึง (ธรรมที่ตนยังไม่ถึง ในที่นี้ หมายถึงอรหัตตผล) เพื่อบรรลุธรรมที่ตน ยังไม่บรรลุ เพื่อทาให้แจ้งธรรมที่ตนยังไม่ทาให้แจ้งให้ยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด เราจักรออยู่ในกรุงสาวัตถีนี้ แหละ จนถึงวันครบ ๔ เดือนแห่งฤดูฝน อันเป็นเดือนที่มีดอกโกมุท” ภิกษุชาวชนบทได้ฟังข่าวว่า “ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคจักทรงรออยู่ในกรุงสาวัตถีนั้น จนถึงวัน ครบ ๔ เดือนแห่งฤดูฝน อันเป็นเดือนที่มีดอกโกมุท” จึงพากันหลั่งไหลมายังกรุงสาวัตถี เพื่อเข้าเฝ้าพระผู้มี พระภาค ฝ่ายภิกษุผู้เป็นเถระเหล่านั้นก็พากันสั่งสอน พร่าสอนภิกษุใหม่เพิ่มประมาณมากขึ้น คือ ภิกษุผู้ เป็นเถระบางพวกสั่งสอน พร่าสอนภิกษุ ๑๐ รูปบ้าง บางพวกสั่งสอน พร่าสอนภิกษุ ๒๐ รูปบ้าง บางพวกสั่ง สอน พร่าสอนภิกษุ ๓๐ รูปบ้าง บางพวกสั่งสอน พร่าสอนภิกษุ ๔๐ รูปบ้าง และภิกษุใหม่เหล่านั้นผู้อันภิกษุ ผู้เป็นเถระสั่งสอน พร่าสอนอยู่ ย่อมรู้ชัดธรรมวิเศษอย่างกว้างขวางกว่าที่ตนรู้มาก่อน [๑๔๖] ก็สมัยนั้น ในวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่า คืนดวงจันทร์เต็มดวง อันเป็นวันครบ ๔ เดือนแห่งฤดู ฝน เป็นเดือนที่มีดอกโกมุท พระผู้มีพระภาคทรงมีภิกษุสงฆ์แวดล้อม ประทับนั่ง ณ ที่กลางแจ้ง ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูภิกษุสงฆ์ ซึ่งนิ่งเงียบอยู่ จึงได้รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย บริษัทนี้ ไม่สนทนากัน บริษัทนี้ เงียบเสียงสนทนากัน ดารงอยู่ในสารธรรมอัน บริสุทธิ์ ภิกษุสงฆ์บริษัทนี้ เป็นเช่นเดียวกันกับบริษัทที่ควรแก่ของที่เขานามาถวาย ควรแก่ของต้อนรับ ควร แก่ทักษิณาทาน ควรแก่การทาอัญชลี เป็นเนื้ อนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก ภิกษุสงฆ์นี้ เป็นเช่นเดียวกันกับ บริษัทที่เขาถวายของน้อยแต่มีผลมาก และถวายของมากก็ยิ่งมีผลมากขึ้น ภิกษุสงฆ์นี้ เป็นเช่นเดียวกันกับ บริษัทที่ชาวโลกยากจะได้พบเห็น ภิกษุสงฆ์นี้ เป็นเช่นเดียวกันกับบริษัทที่แม้คนผู้เอาเสบียงคล้องบ่าควร เดินทางไปเป็นโยชน์ๆ เพื่อพบเห็น [๑๔๗] ภิกษุทั้งหลาย ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทากิจที่ ควรทาเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนโดยลาดับแล้ว สิ้นภวสังโยชน์แล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้ โดยชอบ ในภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุแม้เช่นนั้นอยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้เป็นอนาคามี เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ (โอรัมภาคิยสังโยชน์ หมายถึงสังโยชน์เบื้องต่า ๕ คือ (๑) สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน (๒) วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย (๓) สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต (๔) กามราคะ ความพอใจในกามคุณ (๕) พยาบาทหรือปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ อันเป็นเหตุให้เกิดในกามภพ) จะเกิดเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในโลกนั้นๆ ไม่กลับมาจากโลกนั้นอีกเป็นธรรมดา ในภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุแม้เช่นนั้นอยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้เป็นสกทาคามี เพราะสิ้นสังโยชน์ (สังโยชน์ หมายถึงกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ ธรรมที่มัดใจสัตว์ไว้กับทุกข์ มี ๑๐ คือ (๑) สักกายทิฏฐิ (๒) วิจิกิจฉา (๓) สีลัพพตปรามาส (๔) กาม ฉันทะหรือกามราคะ (๕) พยาบาทหรือปฏิฆะ (๖) รูปราคะ (๗) อรูปราคะ (๘) มานะ (๙) อุทธัจจะ
  • 3. 3 (๑๐) อวิชชา ๕ ข้อต้นชื่อโอรัมภาคิยสังโยชน์ ส่วน ๕ ข้อหลังชื่ออุทธัมภาคิยสังโยชน์ พระโสดาบันละ สังโยชน์ ๓ ข้อต้นได้ พระสกทาคามีทาสังโยชน์ข้อ ๔ และข้อ ๕ ให้เบาบาง พระอนาคามีละสังโยชน์ ๕ ข้อ ข้างต้นได้ พระอรหันต์ละสังโยชน์ได้หมด) ๓ และเพราะทาราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบาง จะกลับมายังโลกนี้ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แล้วทาที่สุดแห่งทุกข์ได้ ในภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุแม้เช่นนั้นอยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้เป็นโสดาบัน (โสดาบัน หมายถึงผู้ประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะ คาว่า โสตะ เป็นชื่อของอริยมรรคมีองค์ ๘) เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ ไม่มีทางตกต่า (ไม่มีทางตกต่า หมายถึงไม่ ตกไปในอบาย ๔ คือ นรก กาเนิดสัตว์ดิรัจฉาน เปรต อสูร) มีความแน่นอนที่จะสาเร็จสัมโพธิ (สัมโพธิ ใน ที่นี้ หมายถึงมรรค ๓ เบื้องสูง (คือ สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค)) ในวันข้างหน้า ใน ภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุแม้เช่นนั้นอยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญสติปัฏฐาน ๔ อยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุแม้ เช่นนั้นอยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญสัมมัปปธาน ๔ อยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุ แม้เช่นนั้นอยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญอิทธิบาท ๔ อยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุ เช่นนั้นอยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญอินทรีย์ ๕ อยู่ ... เจริญพละ ๕ อยู่ ... เจริญ โพชฌงค์ ๗ อยู่ ... มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญมรรคมีองค์ ๘ อยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุแม้ เช่นนั้นอยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญเมตตาอยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุแม้เช่นนั้น อยู่ ... มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญกรุณาอยู่ ... มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญมุทิตาอยู่ ... มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญอุเบกขาอยู่ ... มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญอสุภสัญญา อยู่ ... มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญอนิจจสัญญาอยู่ ในภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีภิกษุแม้เช่นนั้นอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ในภิกษุสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้บาเพ็ญความเพียรในการเจริญอานาปานสติอยู่ อานาปาน สติที่ภิกษุเจริญ ทาให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก อานาปานสติที่ภิกษุเจริญ ทาให้มากแล้ว ย่อม ทาสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ ที่ภิกษุเจริญ ทาให้มากแล้ว ย่อมทาโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ โพชฌงค์ ๗ ที่ภิกษุเจริญ ทาให้มากแล้ว ย่อมทาวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ [๑๔๘] อานาปานสติที่ภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ทาให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่าง (เรือนว่าง หมายถึงเสนาสนะ ๗ อย่าง เว้นป่าและโคนไม้ ได้แก่ (๑) ภูเขา (๒) ซอกเขา (๓) ถ้าในภูเขา (๔) ป่าช้า (๕) ป่าละเมาะ (๖) ที่ โล่งแจ้ง (๘) ลอมฟาง) ก็ดี นั่งขัดสมาธิ (นั่งขัดสมาธิ หมายถึงนั่งพับขาเข้าหากันทั้ง ๒ ข้าง เรียกว่า นั่งขัดสมาธิ) ตั้งกายตรง ดารงสติไว้เฉพาะหน้า(ดารงสติไว้เฉพาะหน้า หมายถึงตั้งสติกาหนดอารมณ์ กัมมัฏฐาน) มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก (อัสสาสะ หมายถึงหายใจเข้า ปัสสาสะ หมายถึงหายใจออก)
  • 4. 4 อานาปานสติ ๑๖ ขั้น ๑. เมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่า ‘เราหายใจเข้ายาว’ เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่า ‘เราหายใจออกยาว’ ๒. เมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้ชัดว่า ‘เราหายใจเข้าสั้น’ เมื่อหายใจออกสั้นก็รู้ชัดว่า ‘เราหายใจออกสั้น’ ๓. สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก’ ๔. สาเหนียกว่า ‘เราระงับกายสังขาร หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เราระงับกายสังขาร หายใจออก’ ๕. สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้ปีติ หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้ปีติ หายใจออก’ ๖. สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้สุข หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้สุข หายใจออก’ ๗. สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้จิตตสังขาร หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้จิตตสังขาร หายใจออก’ ๘. สาเหนียกว่า ‘เราระงับจิตตสังขาร หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เราระงับจิตตสังขาร หายใจออก’ ๙. สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้จิต หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้จิต หายใจออก’ ๑๐. สาเหนียกว่า ‘เราทาจิตให้บันเทิง หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เราทาจิตให้บันเทิง หายใจออก’ ๑๑. สาเหนียกว่า ‘เราตั้งจิตมั่น หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เราตั้งจิตมั่น หายใจออก’ ๑๒. สาเหนียกว่า ‘เราเปลื้องจิต หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เราเปลื้องจิต หายใจออก’ ๑๓. สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง หายใจออก’ ๑๔. สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความคลายออกได้ หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความคลายออกได้ หายใจออก’ ๑๕. สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความดับไป หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความดับไป หายใจออก’ ๑๖. สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความสละคืน หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความสละคืน หายใจออก’
  • 5. 5 ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติที่ภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ ทาให้มากแล้วอย่างนี้ จึงมีผลมาก มีอานิสงส์ มาก [๑๔๙] อานาปานสติที่ภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ทาให้มากแล้วอย่างไร จึงทาให้สติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์ได้ คือ ๑. สมัยใด ภิกษุเมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่า ‘เราหายใจเข้ายาว’ เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่า ‘เราหายใจออกยาว’ เมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้ชัดว่า ‘เราหายใจเข้าสั้น’ เมื่อหายใจออกสั้นก็รู้ชัดว่า ‘เราหายใจออกสั้น’ สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก’ สาเหนียกว่า ‘เราระงับกายสังขาร หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เราระงับกายสังขาร หายใจออก’ สมัยนั้น ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกได้ เรากล่าวลมหายใจเข้า ลมหายใจออกนี้ ว่าเป็นกายชนิดหนึ่งในบรรดากายทั้งหลาย เพราะ เหตุนั้น สมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกอยู่ ๒. สมัยใดภิกษุสาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้ปีติ หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้ปีติ หายใจออก’ สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้สุข หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้สุข หายใจออก’ สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้จิตตสังขาร หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้จิตตสังขาร หายใจออก’ สาเหนียกว่า ‘เราระงับจิตตสังขาร หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เราระงับจิตตสังขาร หายใจออก’ สมัยนั้น ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัด อภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ เรากล่าวการใส่ใจลมหายใจเข้าลมหายใจออกเป็นอย่างดีนี้ ว่า เป็นเวทนาชนิด หนึ่งในบรรดาเวทนาทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น สมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย มี ความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่ ๓. สมัยใด ภิกษุสาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้จิต หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เรากาหนดรู้จิต หายใจออก’ สาเหนียกว่า ‘เราทาจิตให้บันเทิง หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เราทาจิตให้บันเทิง หายใจออก’ สาเหนียกว่า ‘เราตั้งจิตมั่น หายใจเข้า’
  • 6. 6 สาเหนียกว่า ‘เราตั้งจิตมั่น หายใจออก’ สาเหนียกว่า ‘เราเปลื้องจิต หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เราเปลื้องจิต หายใจออก’ สมัยนั้น ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัดอภิชฌาและโทมนัส ในโลกได้ เราไม่บอกอานาปานสติแก่ภิกษุผู้หลงลืม ไม่มีสัมปชัญญะ เพราะเหตุนั้น สมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่า พิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่ ๔. สมัยใด ภิกษุสาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง หายใจออก’ สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความคลายออกได้ หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความคลายออกได้ หายใจออก’ สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความดับไป หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความดับไป หายใจออก’ สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความสละคืน หายใจเข้า’ สาเหนียกว่า ‘เราพิจารณาเห็นความสละคืน หายใจออก’ สมัยนั้น ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัด อภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ เธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสด้วยปัญญาแล้ว ย่อมเป็นผู้วางเฉยได้ดี เพราะเหตุนั้น สมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่ ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติที่ภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ ทาให้มากแล้วอย่างนี้ จึงทาให้สติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์ได้ สติปัฏฐาน ๔ [๑๕๐] สติปัฏฐาน ๔ ที่ภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ทาให้มากแล้วอย่างไร จึงทาให้โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ คือ ๑. สมัยใด ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกได้ สมัยนั้น ภิกษุนั้นมีสติตั้งมั่น ไม่หลงลืม สมัยใด ภิกษุมีสติตั้งมั่น ไม่หลงลืม สมัยนั้นสติ สัมโพชฌงค์(ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความระลึกได้) ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อ ว่าเจริญสติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่ ๒. ภิกษุนั้นเป็นผู้มีสติอย่างนั้น ย่อมค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงการพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา สมัย ใด ภิกษุเป็นผู้มีสติอย่างนั้น ย่อมค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงการพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา สมัยนั้น ธัมม วิจยสัมโพชฌงค์(ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ คือความเลือกเฟ้นธรรม) ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัย นั้นภิกษุชื่อว่าเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่
  • 7. 7 ๓. ภิกษุนั้นค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงการพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา ปรารภความเพียรไม่ย่อ หย่อน สมัยใด ภิกษุค้นคว้า ไตร่ตรองถึงการพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา ปรารภความเพียร ไม่ย่อหย่อน สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์(ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความเพียร) ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัย นั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่ ๔. ปีติที่ปราศจากอามิสเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว สมัยใด ปีติที่ปราศจากอามิส เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์(ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความอิ่ม ใจ) ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญปีติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ของภิกษุ ย่อมถึงความเจริญเต็มที่ ๕. เมื่อภิกษุมีจิตเกิดปีติ กายและจิตย่อมสงบ สมัยใด ภิกษุมีจิตเกิดปีติ กายและจิตย่อมสงบ สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ (ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความสงบกายสงบจิต) ย่อมเป็นอันภิกษุ ปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึง ความเจริญเต็มที่ ๖. เมื่อภิกษุมีกายสงบแล้ว มีความสุข จิตย่อมตั้งมั่น สมัยใด เมื่อภิกษุมีกายสงบ มีความสุข จิตย่อมตั้งมั่น สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์(ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความตั้งใจมั่น) ย่อมเป็นอัน ภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึง ความเจริญเต็มที่ ๗. ภิกษุนั้นเป็นผู้วางเฉยจิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้นได้เป็นอย่างดี สมัยใด ภิกษุเป็นผู้วางเฉยจิต ที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้นได้เป็นอย่างดี สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์(ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความมีใจ เป็นกลาง) ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น อุเบกขาสัม โพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่ [๑๕๑] ภิกษุทั้งหลาย ๑. สมัยใด ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย ... พิจารณาเห็นจิตในจิต ... พิจารณา เห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ สมัยนั้น ภิกษุนั้นมีสติตั้งมั่น ไม่หลงลืม สมัยใด ภิกษุมีสติตั้งมั่น ไม่หลงลืม สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุ ปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญสติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญ เต็มที่ ๒. ภิกษุนั้นเป็นผู้มีสติอย่างนั้น ย่อมค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงการพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา สมัยใด ภิกษุเป็นผู้มีสติอย่างนั้นอยู่ ย่อมค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงการพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา สมัยนั้น ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่ ๓. ภิกษุนั้นค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงการพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา เป็นอันปรารภความ เพียรไม่ย่อหย่อนแล้ว สมัยใด ภิกษุย่อมค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงการพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญาปรารภความ
  • 8. 8 เพียรไม่ย่อหย่อน สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญวิ ริยสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่ ๔. ปีติอันปราศจากอามิส เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว สมัยใด ปีติอันปราศจาก อามิสเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญปีติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่ ๕. เมื่อภิกษุมีจิตเกิดปีติ กายและจิตย่อมสงบ สมัยใด เมื่อภิกษุมีจิตเกิดปีติ กายและจิตย่อม สงบ สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่ ๖. เมื่อภิกษุผู้มีกายสงบแล้ว มีความสุข จิตย่อมตั้งมั่น สมัยใด เมื่อภิกษุผู้มีกายสงบแล้ว มี ความสุข จิตย่อมตั้งมั่น สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเจริญ สมาธิสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่ ๗. ภิกษุนั้นเป็นผู้วางเฉยจิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้นได้อย่างดี สมัยใด ภิกษุเป็นผู้วางเฉยจิต ที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้นได้อย่างดี สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า เจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญเต็มที่ ภิกษุทั้งหลาย สติปัฏฐาน ๔ ที่ภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ ทาให้มากแล้วอย่างนี้ จึงทาให้โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ โพชฌงค์ ๗ [๑๕๒] โพชฌงค์ ๗ ที่ภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ทาให้มากแล้วอย่างไร จึงทาให้วิชชาและวิมุตติ บริบูรณ์ คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ๑. เจริญสติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก(ความสงัด) อาศัยวิราคะ(ความคลายกาหนัด) อาศัย นิโรธ(ความดับ) อันน้อมไปเพื่อความปล่อยวาง ๒. เจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ... ๓. เจริญวิริยสัมโพชฌงค์ ... ๔. เจริญปีติสัมโพชฌงค์ ... ๕. เจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ... ๖. เจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ ... ๗. เจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อความ ปล่อยวาง ภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ ที่ภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ ทาให้มากแล้วอย่างนี้ จึงทาให้วิชชาและวิมุตติ บริบูรณ์”
  • 9. 9 พระผู้มีพระภาคได้ตรัสภาษิตนี้ แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดีต่างชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระ ภาค ดังนี้ แล อานาปานัสสติสูตรที่ ๘ จบ ---------------------------------------------- คาอธิบายเพิ่มเติมนี้ นามาจากบางส่วนของอรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ อนุปทวรรค อานาปานสติสูตร ๘. อรรถกถาอานาปานสติสูตร อานาปานสติสูตร มีคาเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ . พระสาวกเป็นอันมากผู้มีชื่อเสียงแม้เหล่าอื่น ยกเว้นพระเถระ ๑๐ รูปที่มาในพระบาลี. ว่ากันว่า ในคราวนั้น ได้มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่นับจานวนไม่ได้. ดิถีที่มีพระจันทร์เพ็ญครบ ๔ เดือน ท้ายเดือน ๑๒ ชื่อว่า โกมุที เพราะมีดอกโกมุทบาน. เรียกว่า จาตุมาสินี (ครบ ๔ เดือน) เพราะเป็นวันสุดท้ายของเดือนอันมีในฤดูฝน ๔ เดือน. จักอยู่ในที่นี้ แหละจนกว่าดิถีนั้น (คือวันเพ็ญเดือน ๑๒) จะมาถึง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตปวารณาสงเคราะห์ (สงเคราะห์ด้วยปวารณากรรม) แก่ภิกษุทั้งหลายด้วยประการดังนี้ จึงได้ตรัสอย่างนั้น. อนึ่ง ไม่ให้แก่ภิกษุผู้มีสมถะหรือวิปัสสนายังอ่อน. ในคราวนั้น แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรง พิจารณาวาระจิตของภิกษุทั้งหลาย ทรงทราบว่าสมถะและวิปัสสนายังอ่อน จึงทรงพระดาริว่า เมื่อเราไม่ ปวารณาในวันนี้ ภิกษุทั้งหลายออกพรรษาแล้ว จักเที่ยวไปในกรุงสาวัตถีนี้ (ต่างรูปต่างไป) ในทิศทั้งหลาย แต่นั้น ภิกษุเหล่านี้ จักไม่สามารถทาคุณวิเศษให้เกิดขึ้นได้ ในเมื่อภิกษุทั้งหลายผู้แก่พรรษากว่า ถือเอา เสนาสนะเสียเต็มหมด (ธรรมเนียมที่ทรงอนุญาตให้ผู้แก่พรรษากว่าจับจองเสนาสนะได้ก่อน) ถ้าแม้เรา ออกจาริกไป ภิกษุเหล่านี้ ก็จักหาสถานที่อยู่ได้ยาก แต่เมื่อเราไม่ปวารณา แม้ภิกษุเหล่านี้ จักไม่เที่ยวไป ตลอดกรุงสาวัตถีนี้ แม้เราก็จักยังไม่ออกจาริก เมื่อเป็นอย่างนี้ ภิกษุเหล่านี้ ก็จักไม่เป็นกังวล (เรื่อง) สถานที่ อยู่ เธอทั้งหลายจักอยู่เป็นผาสุกในสถานที่อยู่ของตนๆ สามารถเพื่อจะทาสมถะและวิปัสสนาให้แก่กล้า แล้ว ยังคุณวิเศษให้เกิดขึ้นได้. พระองค์จึงไม่ทรงทาปวารณาในวันนั้น ทรงอนุญาตปวารณาสงเคราะห์แก่ภิกษุทั้งหลายว่า เรา จักปวารณาในวันเพ็ญเดือน ๑๒ ก็เมื่อภิกษุทั้งหลายได้ปวารณาสงเคราะห์แล้ว อาจารย์และอุปัชฌาย์ของ ภิกษุรูปใดผู้ยังถือนิสัย พากันหลีกไปเสีย แม้ภิกษุรูปนั้นก็จะอยู่ได้จนถึงเดือนสุดท้ายของฤดูร้อน. ด้วย ความหวังว่า ถ้า (จักมี) ภิกษุผู้สมควรให้นิสัยมา เราจักถือนิสัยในสานักของภิกษุนั้น. ถึงแม้จะมีภิกษุ ๖๐ พรรษามา ก็จะถือเอาเสนาสนะของเธอไม่ได้. ก็แหละปวารณาสงเคราะห์ นี้ แม้จะให้แก่ภิกษุรูปเดียว ก็ย่อม เป็นการให้แก่ภิกษุทุกรูปทีเดียว. โดยถือพวกผู้อยู่ได้เดือนหนึ่ง ตามภาวะของตน ในที่ที่พอได้ทราบข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประทานปวารณาสงเคราะห์ จึงพากันทาอุโบสถกรรม ในวันเพ็ญเดือน ๑๑ แล้วพากันหลั่งไหลมา.
  • 10. 10 ภิกษุทั้งหลายกระทากรรมในสมถะและวิปัสสนาที่ยังอ่อน ได้ทาให้สมถะและวิปัสสนาทั้งหลายมี กาลังขึ้นในที่นี้ นี้ ชื่อว่าคุณวิเศษในกาลก่อน. ต่อแต่นั้น ภิกษุทั้งหลายมีจิตตั้งมั่นพิจารณาสังขารทั้งหลาย บางเหล่าทาให้แจ้งโสดาปัตติผล ฯลฯ บางเหล่าทาให้แจ้งอรหัตผล. นี้ ชื่อว่าคุณวิเศษอันกว้างขวางยิ่ง. เพื่อทรงแสดงกรรมฐานที่ภิกษุทั้งหลายนั้นสนใจมาก บรรดาธรรมเหล่านั้น ตรัสโพธิปักขิย ธรรม ๓๗ ประการอันเป็นทั้งโลกิยะและโลกุตระ. ก็ในข้อนั้น ภิกษุเหล่าใดยังมรรคให้เกิดในขณะนั้น โพธิ ปักขิยธรรมเหล่านั้นย่อมเป็นโลกุตระสาหรับภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น เป็นโลกิยะสาหรับภิกษุทั้งหลายผู้เจริญ วิปัสสนา. ก็เพราะเหตุที่ในที่นี้ ภิกษุทั้งหลายสนใจมาก ด้วยอานาจแห่งอานาปานกรรมฐานเท่านั้นมี (จานวน) มาก เพราะฉะนั้น เมื่อจะตรัสกรรมฐานที่เหลือโดยสังเขป แล้วตรัสอานาปานกรรมฐานโดย พิสดาร จึงตรัสคาว่า อานาปานสติ ภิกฺขเว เป็นต้นไป. สติในกายนั้นของภิกษุนั้น ผู้กาหนดกายด้วยอาการ ๑๔ อย่างด้วยประการอย่างนี้ เป็นสติ สัมโพชฌงค์, ญาณอันสัมปยุตด้วยสติ เป็นธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์, ความเพียรทางกายและทางใจอันสัมปยุต ด้วยธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์นั้นนั่นแหละ เป็นวิริยสัมโพชฌงค์, ปีติ ปัสสัทธิและเอกัคคตาจิต เป็นสมาธิสัม โพชฌงค์, อาการเป็นกลางๆ กล่าวคือสัมโพชฌงค์ ๖ ประการ ดังพรรณนามานี้ ไม่ถดถอยและไม่ดาเนิน เกินไปเป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ เหมือนอย่างว่า เมื่อม้าทั้งหลายวิ่งไปได้เรียบ สารถีย่อมไม่มีการกระตุ้นว่า ม้านี้ วิ่งช้า หรือไม่มีการรั้งไว้ว่าม้านี้ วิ่งเร็วไป สารถีจะมีอาการมองดูอย่างนั้นอย่างเดียวเท่านั้นฉันใด อาการ เป็นกลางๆ กล่าวคือสัมโพชฌงค์ ๖ ประการเหล่านี้ ไม่ถดถอยและไม่ดาเนินเกินไป เหมือนอย่างนั้นนั่น แหละ ย่อมชื่อว่าอุเบกขาสัมโพชฌงค์. ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ ท่านกล่าวถึงอะไร? กล่าวถึงวิปัสสนา พร้อมด้วยลักษณะต่างๆ ที่เป็น ชั่วขณะจิตเดียวว่า ชื่อว่าสัมโพชฌงค์. ก็ในที่นี้ สติกาหนดลมหายใจเข้าออกเป็นโลกิยะ. อานาปานสติอันเป็นโลกิยะ ย่อมทาสติปัฏ ฐานอันเป็นโลกิยะให้บริบูรณ์ โลกิยสติปัฏฐานทาโลกุตรโพชฌงค์ให้บริบูรณ์ โลกุตรโพชฌงค์ทาวิชชา วิมุตติ ผลและนิพพานให้บริบูรณ์. ดังนั้น จึงเป็นอันท่านกล่าวถึงโลกิยะในอาคตสถานของโลกิยะ กล่าวถึงโลกุตระ ในอาคตสถานของโลกุตระแล. ส่วนพระเถระกล่าวว่า ในสูตรอื่นเป็นอย่างนั้น แต่ในสูตรนี้ โลกุตระจะมาข้างหน้า (ต่อไป) โลกิยอานาปานะทาโลกิยสติปัฏฐานให้บริบูรณ์ โลกิยสติปัฏฐานทาโลกิยโพชฌงค์ให้บริบูรณ์ โลกิยโพชฌงค์ ทาวิชชา วิมุตติ ผล และนิพพานอันเป็นโลกุตระให้บริบูรณ์. เพราะในพระสูตรนี้ วิชชา ผล และนิพพาน ท่าน ประสงค์เอาด้วยบทว่า วิชชาและวิมุตติแล. จบอรรถกถาอานาปานสติสูตรที่ ๘ -----------------------------------------------------