SlideShare a Scribd company logo
1 of 8
1
มัฏฐกุณฑลีวิมาน
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา
๙. มัฏฐกุณฑลีวิมาน
ว่าด้วยวิมานที่เกิดขึ้นแก่มัฏฐกุณฑลีมาณพ
ผู้ทาใจให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าก่อนสิ้นใจ
(พราหมณ์ถามเทพบุตรตนนั้นว่า)
[๑๒๐๗] เจ้าประดับตกแต่งร่างกาย ใส่ต่างหูเกลี้ยง ทัดทรงดอกไม้
มีกายลูบไล้ด้วยจุรณแก่นจันทน์แดง ประคองแขนคร่าครวญอยู่กลางป่า
เจ้าเป็นทุกข์เรื่องอะไร
(มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรตอบว่า)
[๑๒๐๘] เรือนรถที่ทาด้วยทองคา งามผุดผ่องเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้ายังหาล้อรถทั้งคู่นั้นไม่ได้ เพราะความทุกข์นั้น ข้าพเจ้าจักยอมสละชีวิต
(พราหมณ์กล่าวว่า)
[๑๒๐๙] พ่อมาณพผู้เจริญ ล้อทองคา ล้อแก้วมณี ล้อทองแดง
หรือล้อเงิน จงบอกข้ามา ข้าจะจัดล้อทั้งคู่ให้เจ้า
[๑๒๑๐] มาณพนั้นกล่าวแก่พราหมณ์นั้นว่า
ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ทั้งสองย่อมปรากฏในท้องฟ้ านั้น
รถทองคาของข้าพเจ้าย่อมงามด้วยล้อทั้งคู่นั้น
(พราหมณ์กล่าวว่า)
[๑๒๑๑] พ่อมาณพ เจ้าโง่นัก ที่มาปรารถนาสิ่งที่ไม่ควรปรารถนา
ข้าเข้าใจว่า เจ้าจักตายเสียเปล่า
เพราะเจ้าไม่มีทางที่จะได้ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เลย
(มาณพกล่าวว่า)
[๑๒๑๒] แม้การโคจรไปมาของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็ยังปรากฏอยู่
รัศมีก็ยังปรากฏอยู่ในวิถีทั้งสอง ส่วนคนที่ตายไปแล้วย่อมไม่ปรากฏ
เราทั้งสองผู้ร้องไห้คร่าครวญอยู่ในที่นี้ ใครหนอโง่กว่ากัน
(พราหมณ์กล่าวว่า)
[๑๒๑๓] พ่อมาณพ เจ้าพูดจริงแท้ เราทั้งสองผู้ร้องไห้คร่าครวญอยู่
ข้านี่แหละโง่กว่า ที่มาปรารถนาคนที่ตายไปแล้ว
เหมือนทารกร้องไห้อยากได้ดวงจันทร์
[๑๒๑๔] เจ้าช่วยระงับข้าผู้เร่าร้อนให้สงบ
ดับความกระวนกระวายทั้งหมดได้ เหมือนคนใช้น้าราดดับไฟที่ติดเปรียง
[๑๒๑๕] เจ้าบรรเทาความเศร้าโศกถึงบุตรของข้าผู้กาลังเศร้าโศก
ชื่อว่าได้ช่วยถอนลูกศรคือความโศก ซึ่งเสียบที่หัวใจของข้าขึ้นได้แล้วหนอ
2
[๑๒๑๖] พ่อมาณพ ข้าซึ่งเจ้าช่วยถอนลูกศรคือความโศกขึ้นให้แล้ว
ก็เย็นสงบแล้ว จะไม่เศร้าโศก ไม่ร้องไห้ เพราะได้ฟังคาของเจ้า
(พราหมณ์เมื่อจะถามต่อไป จึงกล่าวว่า)
[๑๒๑๗] เจ้าเป็นเทวดาหรือคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกปุรินททะ
เจ้าเป็นใคร เป็ นบุตรของใครหรือ เราจะรู้จักเจ้าได้อย่างไร
(มาณพเปิดเผยตนแก่พราหมณ์นั้นว่า)
[๑๒๑๘] ท่านเองเผาบุตรคนใดที่ป่าช้าแล้ว
คร่าครวญร้องไห้ถึงบุตรคนใด บุตรคนนั้นคือข้าพเจ้า ซึ่งทากุศลกรรมแล้ว
ได้เกิดร่วมกับหมู่เทพชั้นไตรทศ
(พราหมณ์ถามว่า)
[๑๒๑๙] เมื่อเจ้าให้ทานน้อยหรือมาก ในเรือนของตน
หรือรักษาอุโบสถกรรมเช่นนั้น ข้าพเจ้ามิได้เห็น
เพราะกรรมอะไรเจ้าจึงไปเทวโลกได้
(มาณพตอบว่า)
[๑๒๒๐] ข้าพเจ้าป่วยเป็นไข้ ทุกข์ทรมาน
มีกายกระสับกระส่ายอยู่ในที่อยู่ของตน
ได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ปราศจากกิเลสดังธุลี ทรงข้ามพ้นความสงสัย
เสด็จไปดีแล้ว มีพระปัญญาไม่ต่าทราม
[๑๒๒๑] ข้าพเจ้านั้นมีใจเบิกบาน มีจิตเลื่อมใส
ได้ทาอัญชลีกรรมแด่พระตถาคต ครั้นทากุศลกรรมนั้นแล้ว
ได้เกิดร่วมกับหมู่เทพชั้นไตรทศ
(พราหมณ์กล่าวว่า)
[๑๒๒๒] น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมีมาแล้วหนอ
อัญชลีกรรมมีผลเป็ นได้ถึงเช่นนี้ แม้ข้าพเจ้าก็มีใจเบิกบาน มีจิตเลื่อมใส
จึงขอถึงพระพุทธเจ้าเป็ นที่พึ่งที่ระลึกในวันนี้นี่เอง
(มาณพกล่าวว่า)
[๑๒๒๓] ท่านจงมีจิตเลื่อมใส ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม
และพระสงฆ์เป็ นที่พึ่งที่ระลึกในวันนี้นี่แหละ อนึ่ง ท่านจงสมาทานสิกขาบท ๕
อย่าให้ขาดและด่างพร้อย
[๑๒๒๔] คือ จงรีบงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์
ยินดีเฉพาะภรรยาของตน อย่ากล่าวเท็จ อย่าดื่มน้าเมา
(พราหมณ์กล่าวว่า)
[๑๒๒๕] เทวดาผู้น่าบูชา ท่านเป็ นผู้ปรารถนาประโยชน์
หวังความเกื้อกูลแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะทาตามคาของท่าน
ท่านเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า
3
[๑๒๒๖] ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมอันยอดเยี่ยม
และพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็ นเทพของนรชนเป็ นที่พึ่งที่ระลึก
[๑๒๒๗] ข้าพเจ้าจะรีบงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์
ยินดีเฉพาะภรรยาของตน ไม่กล่าวเท็จ ไม่ดื่มน้าเมา
มัฏฐกุณฑลีวิมานที่ ๙ จบ
-------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนี้ นามาจากบางส่วนของ
อรรถกถา ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ สุนิกขิตวรรคที่ ๗
๙. มัฏฐกุณฑลีวิมาน
อรรถกถามัฏฐกุณฑลีวิมาน
มัฏฐกุณฑลีวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี.
สมัยนั้น พราหมณ์ชาวสาวัตถีคนหนึ่งเป็ นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก
มีโภคะมาก เป็นคนไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ไม่ให้อะไรแก่ใครๆ เพราะไม่ให้นั่นเอง เขาจึงเป็ นที่รู้กันทั่วไปว่า อทินนปุพพกะ
ไม่เคยให้.
เขาไม่ต้องการเฝ้ าพระตถาคต
ไม่ต้องการแม้จะเห็นสาวกของพระตถาคต
เพราะความเป็นคนโลภโดยเป็นมิจฉาทิฏฐิ เขาสอนบุตรของตนชื่อมัฏฐกุณฑลีว่า
ลูก เจ้าไม่พึงไปหา ไม่พึงเห็นพระสมณโคดมและสาวกของพระองค์
แม้ตัวเขาเองก็ได้กระทาอย่างนั้น.
คราวนั้น บุตรของเขาป่วย พราหมณ์ไม่ได้ทายารักษา
เพราะกลัวเปลืองทรัพย์ เมื่อโรคกาเริบขึ้นจึงเชิญหมอมาดู.
หมอทั้งหลายดูร่างกายของเขาแล้ว รู้ว่าเด็กนั้นรักษาไม่หายจึงหลีกไป.
พราหมณ์คิดว่า เมื่อลูกตายในเรือน นาออกลาบาก
จึงอุ้มบุตรให้นอนที่นอกซุ้มประตู.
ณ ราตรีปัจจุสสมัยใกล้รุ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากพระมหากรุณาสมาบัติ ทรงตรวจดูโลก
ทรงเห็นมัฏฐกุณฑลีมาณพหมดอายุ จะต้องตายในวันนั้นเอง
และทรงเห็นโอกาสที่มาณพนั้นกระทากรรมอันเป็นไปเพื่อนรก มีพระพุทธดาริว่า
ถ้าเราไปในที่นั้น มาณพนั้นจักทาจิตให้เลื่อมใสเรา จักบังเกิดในเทวโลก
จักเข้าไปหาบิดาที่ร้องไห้อยู่ในป่าช้า ให้บิดาสังเวช เมื่อเป็ นเช่นนั้น
ทั้งเขาและบิดาของเขาจักมาหาเรา หมู่มหาชนจักประชุมกัน เมื่อเราแสดงธรรม
จักมีการตรัสรู้ธรรมกันมากในที่นั้น.
ครั้นทรงทราบอย่างนี้แล้ว รุ่งเช้า ทรงนุ่งแล้วทรงถือบาตรและจีวร
4
เสด็จเข้าบิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี ประทับยืนเปล่งพระพุทธรังสีมีวรรณะ ๖
ใกล้เรือนบิดาของมาณพมัฏฐกุณฑลี มาณพเห็นพระฉัพพัณณรังสีเหล่านั้นคิดว่า
นั่นอะไร เหลียวดูข้างโน้นข้างนี้ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ฝึกตนแล้ว
คุ้มครองตนแล้ว มีพระอินทรีย์สงบโชติช่วงอยู่ด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒
ด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ และด้วยพระเกตุมาลาอันมีรัศมีวาหนึ่ง
ทรงรุ่งโรจน์ด้วยพระพุทธสิริอันเปรียบมิได้
ด้วยพระพุทธานุภาพอันเป็นอจินไตย.
ครั้นเห็นแล้ว มาณพนั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเสด็จถึงที่นี้แล้วหนอ
ซึ่งพระองค์มีรูปสมบัติที่จะงาแม้พระอาทิตย์ ด้วยพระเดชของพระองค์
งาพระจันทร์ด้วยพระคุณที่น่ารัก งาสมณพราหมณ์ทั้งหมด
ด้วยความเป็นผู้สงบระงับ อันความสงบระงับพึงมีในที่นี้นี่แหละ
อัครบุคคลในโลกนี้ก็เห็นจะผู้นี้นี่เอง
และก็เสด็จถึงที่นี้ก็เพื่อทรงอนุเคราะห์เราแน่แล้ว.
มาณพนั้นมีเรือนร่างอันปีติที่มีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์สัมผัสแล้วตลอ
ดกาล เสวยปีติโสมนัสไม่น้อย มีจิตเลื่อมใสนอนประคองอัญชลี.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นเขาแล้ว มีพระดาริว่า
เพียงเท่านี้ก็พอที่มาณพนี้จะเข้าถึงสวรรค์ ดังนี้ เสด็จหลีกไป.
แม้มาณพนั้นไม่ละปีติโสมนัสนั้นเลย
ทากาละตายไปบังเกิดในวิมานทอง ๑๒ โยชน์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์.
ฝ่ายบิดาของเขาให้ทาสักการะสรีระแล้ว ในวันที่สองไปป่าช้าในเวลาเช้ามืด
คร่าครวญว่า โธ่เอ๋ย มัฏฐกุณฑลี โธ่เอ๋ย มัฏฐกุณฑลี เดินพลางร้องไห้พลาง
วนไปรอบๆ ป่าช้า.
เทพบุตรตรวจดูความสมบูรณ์แห่งสมบัติของตน ทบทวนดูว่า
เราทากรรมอะไร จากไหนจึงมาที่นี้ ได้รู้อัตภาพก่อนของตน
และเห็นความเลื่อมใสแห่งจิตที่เป็นไปในพระผู้มีพระภาคเจ้า
เพียงทาอัญชลีที่น่าจับใจ ในเวลาจะตายในอัตภาพนั้น
เกิดความเลื่อมใสและความนับถือเป็นอันมากในพระตถาคตอย่างดียิ่งว่า โอ
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงมีอานุภาพมาก.
ใคร่ครวญดูว่า อทินนปุพพกพราหมณ์ทาอะไรหนอ
เห็นมาร้องไห้อยู่ในป่าช้า จึงคิดว่า พราหมณ์นี้ เมื่อก่อน
ไม่ทาแม้เพียงยารักษาเรา มาบัดนี้ร้องไห้อยู่ในป่าช้า หาประโยชน์มิได้ เอาเถอะ
เราจักให้พราหมณ์นั้นสังเวชแล้วให้ดารงอยู่ในกุศล ดังนี้แล้ว มาจากเทวโลก
แปลงตัวเป็ นมัฏฐกุณฑลีร้องไห้อยู่ ยืนประคองแขนคร่าครวญอยู่ใกล้ๆ บิดาว่า โอ้
พระจันทร์ โอ้ พระอาทิตย์.
5
ครั้งนั้น พราหมณ์คิดว่า นี้มัฏฐกุณฑลีมาแล้ว
ได้กล่าวกะเขาด้วยคาถาว่า
เจ้าแต่งตัว มีตุ้มหูเกลี้ยง ทรงมาลัยดอกไม้ ทาตัวด้วยจันทน์แดง
ประคองแขนคร่าครวญอยู่ในกลางป่า เจ้าเป็นทุกข์หรือ.
ลาดับนั้น เทพบุตรกล่าวกะพราหมณ์ว่า
เรือนรถทาด้วยทองคางามผุดผ่องเกิดขึ้นแก่ข้า
ข้าหาคู่ล้อรถนั้นยังไม่ได้ ข้าจะสละชีวิตเพราะความทุกข์นั้น.
ลาดับนั้น พราหมณ์กล่าวกะเทพบุตรนั้นว่า
พ่อมาณพผู้เจริญ เจ้าอยากได้คู่ล้อทองคา แก้วมณี
ทองแดงหรือเงินก็จงบอกแก่ข้า ข้าจะจัดคู่ล้อให้เจ้า.
มาณพได้ฟังดังนั้น คิดว่า พราหมณ์นี้ไม่ทายารักษาลูก
เห็นเราคล้ายลูกร้องไห้ พูดว่าจะทาล้อรถทองเป็นต้นให้ ช่างเถอะ จาเราจักข่มเขา
จึงกล่าวว่า ท่านจักทาคู่ล้อแก่ข้าใหญ่เท่าไร
เมื่อพราหมณ์กล่าวว่าใหญ่เท่าที่เจ้าต้องการ จึงขอว่า
ข้าต้องการพระจันทร์และพระอาทิตย์
ขอท่านจงให้พระจันทร์พระอาทิตย์แก่ข้าเถิด.
มาณพนั้นกล่าวตอบพราหมณ์นั้นว่า พระจันทร์
พระอาทิตย์ทั้งสองย่อมปรากฏในท้องฟ้ านั้น รถทองของข้าย่อมงามด้วยคู่ล้อนั้น.
ลาดับนั้น พราหมณ์กล่าวกะเทพบุตรว่า
พ่อมาณพ เจ้าเป็ นคนโง่ที่มาปรารถนาสิ่งที่ไม่ควรปรารถนา
ข้าเข้าใจว่าเจ้าจักตาย [เสียก่อน] จักไม่ได้พระจันทร์และพระอาทิตย์แน่นอน.
ลาดับนั้น มาณพกล่าวกะพราหมณ์ว่า
คนที่ร้องไห้เพื่อต้องการสิ่งที่ปรากฏอยู่เป็นคนโง่
หรือว่าคนที่ร้องไห้เพื่อต้องการสิ่งที่ไม่ปรากฏอยู่เป็นคนโง่.
แล้วกล่าวว่า
แม้การไปการมาของพระจันทร์พระอาทิตย์ ก็ยังเห็นกันอยู่
รัศมีของพระจันทร์พระอาทิตย์ ก็ยังเห็นกันอยู่ในวิถีทั้งสอง
คนที่ตายล่วงลับไปแล้ว ใครก็ไม่เห็น
บรรดาเราสองคนที่ร้องไห้คร่าครวญอยู่ในที่นี้ ใครโง่กว่ากัน.
พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นแล้ว กาหนดในใจว่า เจ้านี่พูดถูกจึงกล่าวว่า
พ่อมาณพ ท่านพูดจริง บรรดาเราสองคนที่ร้องไห้คร่าครวญอยู่
ข้านี่แหละเป็ นคนโง่กว่า ปรารถนาบุตรที่ตายล่วงลับไปแล้ว
เหมือนทารกร้องไห้อยากได้พระจันทร์ฉะนั้น.
หายโศกเศร้าเพราะถ้อยคาของมาณพนั้น เมื่อจะชมเชยมาณพ
จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
6
เจ้ามารดข้าผู้เร่าร้อนให้สงบ ดับความกระวนกระวายทั้งหมดได้
เหมือนเอาน้ารดไฟที่ราดเปรียงฉะนั้น
เจ้าผู้ที่บรรเทาความโศกเศร้าถึงบุตรของข้าผู้เฝ้ าแต่เศร้าโศก
ชื่อว่าได้ถอนลูกศรคือความโศกที่เกาะหัวใจของข้าขึ้นได้แล้ว พ่อมาณพ
ข้าเป็ นผู้ที่เจ้าถอนลูกศร คือความโศกขึ้นได้แล้ว ก็เป็ นผู้ดับร้อน เย็นสนิท
ไม่ต้องเศร้าโศก ไม่ต้องร้องไห้ เพราะฟังเจ้า ดังนี้.
ลาดับนั้น พราหมณ์บรรเทาความโศกได้แล้ว
เห็นผู้ให้คาชี้แจงแก่ตนอยู่ในรูปเป็ นเทวดา เมื่อจะถามว่า ท่านชื่ออะไร
จึงกล่าวคาถาว่า
ท่านเป็นเทวดา หรือเป็นคนธรรพ์
หรือเป็นท้าวสักกะผู้ให้ทานในชาติก่อน ท่านเป็นใครหรือเป็ นบุตรของใคร
เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร.
เทพบุตรแม้นั้นก็ได้ชี้แจงตนแก่พราหมณ์นั้นว่า
ท่านเผาบุตรที่ป่าช้าเองแล้ว คร่าครวญร้องไห้ถึงบุตรคนใด
ข้าคือบุตรคนนั้น ทากุศลกรรมแล้ว ถึงความเป็นสหายของทวยเทพชั้นไตรทศ.
ลาดับนั้น พราหมณ์กล่าวกะเทพบุตรนั้นว่า
เมื่อท่านให้ทานน้อยหรือมากในเรือนของตน
หรือรักษาอุโบสถกรรมเช่นนั้น พวกเราก็มิได้เห็นเพราะกรรมอะไร
ท่านจึงไปเทวโลกได้.
ในคาถานั้นประกอบความว่า หรืออุโบสถกรรมเช่นนั้น เราก็ไม่เห็น.
ลาดับนั้น มาณพกล่าวกะพราหมณ์ว่า
ข้าป่วยเป็นไข้ได้รับทุกข์ มีกายกระสับกระส่ายอยู่ในที่อยู่ของตน
ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากกิเลสธุลี ข้ามพ้นความสงสัย เสด็จไปดีแล้ว
มีพระปัญญาไม่ทราม ข้านั้นมีใจเบิกบานเลื่อมใส ได้กระทาอัญชลีแด่พระตถาคต
ข้าทากุศลกรรมนั้นจึงถึงความเป็ นสหายของทวยเทพชั้นไตรทศ.
เมื่อมาณพกาลังกล่าวอยู่อย่างนี้นั่นแล
ทั่วเรือนร่างของพราหมณ์เต็มเปี่ยมไปด้วยปีติ เมื่อเขาจะประกาศปีตินั้น
จึงกล่าวว่า
น่าอัศจรรย์หนอ ไม่เคยมีหนอ อัญชลีกรรมมีผลเป็ นได้ถึงเช่นนี้
แม้ข้าก็มีใจเบิกบาน มีจิตเลื่อมใส จึงขอถึงพระพุทธเจ้าว่า
เป็นสรณะที่พึ่งในวันนี้นี่แหละ.
พราหมณ์ครั้นแสดงความประหลาดใจด้วยบททั้งสองแล้วกล่าวว่า
แม้ข้าก็มีใจเบิกบานมีจิตเลื่อมใส จึงขอถึงพระพุทธเจ้าว่า
เป็ นสรณะที่พึ่งในวันนี้นี่แหละ.
ลาดับนั้น
7
เทพบุตรเมื่อจะประกอบพราหมณ์นั้นไว้ในการถึงสรณะและสมาทานศีล
จึงกล่าวสองคาถาว่า
ขอท่านจงมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ว่า
เป็ นสรณะที่พึ่งในวันนี้นี่แหละ.
อนึ่ง ท่านจงสมาทานสิกขาบท ๕ อย่าให้ขาดและด่างพร้อย
จงรีบงดเว้นจากการฆ่าสัตว์เสีย จงเว้นการถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้ในโลก
จงไม่ดื่มน้าเมาและไม่กล่าวเท็จ จงยินดีด้วยภรรยาของตน.
ท่านมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็ นที่พึ่ง
ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นสัมมาสัมพุทธะ ดังนี้ฉันใด
ท่านจงมีจิตเลื่อมใสถึงพระธรรมและพระสงฆ์ว่าเป็ นที่พึ่ง
ว่าพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว พระสงฆ์ปฏิบัติดีแล้ว
ดังนี้ฉันนั้นเหมือนกัน.
อีกอย่างหนึ่ง ท่านมีจิตเลื่อมใสถึงพระรัตนตรัยว่าเป็ นที่พึ่งฉันใด
ท่านมีจิตเลื่อมใสว่า
นี้นาประโยชน์และความสุขมาทั้งในปัจจุบันและอนาคตโดยส่วนเดียว
จงสมาทานคือจงประพฤติถือมั่นซึ่งศีลห้า
อันเป็นบทคือเป็นส่วนแห่งสิกขาคืออธิศีลสิกขา
หรือเป็นอุบายทางดาเนินถึงอธิจิตตสิกขาและอธิปัญญาสิกขา
ไม่ให้ขาดและด่างพร้อย เพราะไม่กาเริบและไม่เศร้าหมอง ฉันนั้นเหมือนกัน.
พราหมณ์ถูกเทพบุตรประกอบไว้ในการถึงสรณะและการสมาทานศีลอ
ย่างนี้แล้ว. เมื่อจะรับคาของเทพบุตรนั้นด้วยเศียรเกล้า จึงกล่าวคาถาว่า
ข้าแต่เทวดาผู้น่าบูชา ท่านเป็ นผู้ปรารถนาประโยชน์
ปรารถนาเกื้อกูลแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะทาตามคาของท่าน
ขอท่านจงเป็ นอาจารย์ของข้าพเจ้าเถิด ดังนี้.
เมื่อดารงอยู่ในคานั้น ได้กล่าวสองคาถาว่า
ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรมว่าเป็ นสรณะที่พึ่งอันยอดเยี่ย
ม และข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็ นนรเทพว่า
เป็ นสรณะที่พึ่ง.
ข้าพเจ้างดเว้นจากการฆ่าสัตว์อย่างฉับพลัน
งดการถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้ในโลก ข้าพเจ้าไม่ดื่มน้าเมา และไม่กล่าวเท็จ
และเป็นผู้ยินดีด้วยภรรยาของตน ดังนี้.
แม้คานั้นก็รู้ง่ายเหมือนกัน.
แต่นั้น เทพบุตรคิดว่ากิจที่ควรกระทาแก่พราหมณ์
เราก็กระทาเสร็จแล้ว
บัดนี้พราหมณ์คงจักเข้าเฝ้ าพระผู้มีพระภาคเจ้าเองดังนี้แล้วได้อันตรธานไป ณ
8
ที่นั้นเอง.
แม้พราหมณ์ก็เกิดเลื่อมใสและนับถือมากในพระผู้มีพระภาคเจ้า
และถูกเทวดาเตือน จึงบ่ายหน้าไปวิหารด้วยหมายใจจักเข้าเฝ้ าพระสมณโคดม.
มหาชนเห็นดังนั้น คิดว่า พราหมณ์นี้ไม่เข้าเฝ้ าพระตถาคตตลอดกาลเท่านี้
วันนี้เข้าเฝ้ าเพราะโศกถึงบุตร จักมีพระธรรมเทศนาเช่นไรหนอ
จึงพากันติดตามพราหมณ์นั้นไป.
พราหมณ์เข้าเฝ้ าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทาปฏิสันถารแล้ว
กราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม คนไม่ให้ทานอะไร ๆ หรือไม่รักษาศีล
เพียงแต่เลื่อมใสในพระองค์อย่างเดียว จะบังเกิดในสวรรค์ได้หรือ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ท่านพราหมณ์ เมื่อย่ารุ่งวันนี้
มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรได้บอกเหตุที่เข้าถึงเทวโลกของตนแก่ท่านแล้วมิใช่หรือ.
ขณะนั้น มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรมาปรากฏองค์พร้อมกับวิมาน
ลงจากวิมาน ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ยืนประคองอัญชลีอยู่ ณ
ที่สมควรแห่งหนึ่ง.
ลาดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงสุจริตที่เทพบุตรนั้นกระทาแล้ว
ในที่ประชุมนั้น ทรงทราบว่าที่ประชุมมีความสบายใจ
จึงทรงแสดงสามุกกังสิกเทศนา ธรรมแบบยกขึ้นแสดงเอง.
จบเทศนา เทพบุตร พราหมณ์และบริษัทที่ประชุมกัน
รวมเป็ นสัตว์แปดหมื่นสี่พันได้ตรัสรู้ธรรมแล.
จบอรรถกถามัฏฐกุณฑลีวิมาน
-----------------------------------------------------

More Related Content

Similar to ๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]).docx

Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)
Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)
Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)Tongsamut vorasan
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdfmaruay songtanin
 
๐๘ เหมกปัญหา.pdf
๐๘ เหมกปัญหา.pdf๐๘ เหมกปัญหา.pdf
๐๘ เหมกปัญหา.pdfmaruay songtanin
 
๐๕. มโหสธชาดก.pdf
๐๕. มโหสธชาดก.pdf๐๕. มโหสธชาดก.pdf
๐๕. มโหสธชาดก.pdfmaruay songtanin
 
๑๗ มหาปทานสูตร มจร.pdf
๑๗ มหาปทานสูตร มจร.pdf๑๗ มหาปทานสูตร มจร.pdf
๑๗ มหาปทานสูตร มจร.pdfmaruay songtanin
 
๗๒. ปฐมกุณฑลีวิมาน ((พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๗๒. ปฐมกุณฑลีวิมาน ((พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๗๒. ปฐมกุณฑลีวิมาน ((พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๗๒. ปฐมกุณฑลีวิมาน ((พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...maruay songtanin
 
(๑) พุทธาปทาน มจร.pdf
(๑) พุทธาปทาน มจร.pdf(๑) พุทธาปทาน มจร.pdf
(๑) พุทธาปทาน มจร.pdfmaruay songtanin
 
๗๔. ปายาสิวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๗๔. ปายาสิวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๗๔. ปายาสิวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๗๔. ปายาสิวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf
11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf
11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdfmaruay songtanin
 
13 ภูริทัตตจริยา มจร.pdf
13 ภูริทัตตจริยา มจร.pdf13 ภูริทัตตจริยา มจร.pdf
13 ภูริทัตตจริยา มจร.pdfmaruay songtanin
 
๐๕ โธตกปัญหา.pdf
๐๕ โธตกปัญหา.pdf๐๕ โธตกปัญหา.pdf
๐๕ โธตกปัญหา.pdfmaruay songtanin
 
10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite
10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite
10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrareciteTongsamut vorasan
 
(๑๑) พระเรวตเถราปทาน มจร.pdf
(๑๑) พระเรวตเถราปทาน มจร.pdf(๑๑) พระเรวตเถราปทาน มจร.pdf
(๑๑) พระเรวตเถราปทาน มจร.pdfmaruay songtanin
 
๓๘. ปาริจฉัตตกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๓๘. ปาริจฉัตตกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๓๘. ปาริจฉัตตกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๓๘. ปาริจฉัตตกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...maruay songtanin
 
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระพุทธเจ้าสอนอะไร What did the buddha t...
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช   พระพุทธเจ้าสอนอะไร What did the buddha t...สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช   พระพุทธเจ้าสอนอะไร What did the buddha t...
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระพุทธเจ้าสอนอะไร What did the buddha t...Tongsamut vorasan
 
(๒๐) พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี มจร.pdf
(๒๐) พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี มจร.pdf(๒๐) พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี มจร.pdf
(๒๐) พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี มจร.pdfmaruay songtanin
 
๗๓. ทุติยกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๗๓. ทุติยกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๗๓. ทุติยกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๗๓. ทุติยกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...maruay songtanin
 
๐๒ เตวิชชสูตร มจร.pdf
๐๒ เตวิชชสูตร มจร.pdf๐๒ เตวิชชสูตร มจร.pdf
๐๒ เตวิชชสูตร มจร.pdfmaruay songtanin
 

Similar to ๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]).docx (20)

Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)
Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)
Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
 
๐๘ เหมกปัญหา.pdf
๐๘ เหมกปัญหา.pdf๐๘ เหมกปัญหา.pdf
๐๘ เหมกปัญหา.pdf
 
๐๕. มโหสธชาดก.pdf
๐๕. มโหสธชาดก.pdf๐๕. มโหสธชาดก.pdf
๐๕. มโหสธชาดก.pdf
 
๑๗ มหาปทานสูตร มจร.pdf
๑๗ มหาปทานสูตร มจร.pdf๑๗ มหาปทานสูตร มจร.pdf
๑๗ มหาปทานสูตร มจร.pdf
 
๗๒. ปฐมกุณฑลีวิมาน ((พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๗๒. ปฐมกุณฑลีวิมาน ((พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๗๒. ปฐมกุณฑลีวิมาน ((พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๗๒. ปฐมกุณฑลีวิมาน ((พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
 
(๑) พุทธาปทาน มจร.pdf
(๑) พุทธาปทาน มจร.pdf(๑) พุทธาปทาน มจร.pdf
(๑) พุทธาปทาน มจร.pdf
 
๗๔. ปายาสิวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๗๔. ปายาสิวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๗๔. ปายาสิวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๗๔. ปายาสิวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf
11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf
11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf
 
13 ภูริทัตตจริยา มจร.pdf
13 ภูริทัตตจริยา มจร.pdf13 ภูริทัตตจริยา มจร.pdf
13 ภูริทัตตจริยา มจร.pdf
 
๐๕ โธตกปัญหา.pdf
๐๕ โธตกปัญหา.pdf๐๕ โธตกปัญหา.pdf
๐๕ โธตกปัญหา.pdf
 
ใบความรู้ เรื่อง มหาเวสสันดรชาดก
ใบความรู้ เรื่อง มหาเวสสันดรชาดกใบความรู้ เรื่อง มหาเวสสันดรชาดก
ใบความรู้ เรื่อง มหาเวสสันดรชาดก
 
10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite
10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite
10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite
 
(๑๑) พระเรวตเถราปทาน มจร.pdf
(๑๑) พระเรวตเถราปทาน มจร.pdf(๑๑) พระเรวตเถราปทาน มจร.pdf
(๑๑) พระเรวตเถราปทาน มจร.pdf
 
๓๘. ปาริจฉัตตกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๓๘. ปาริจฉัตตกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๓๘. ปาริจฉัตตกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๓๘. ปาริจฉัตตกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
 
มิลินทปัญหา
มิลินทปัญหามิลินทปัญหา
มิลินทปัญหา
 
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระพุทธเจ้าสอนอะไร What did the buddha t...
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช   พระพุทธเจ้าสอนอะไร What did the buddha t...สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช   พระพุทธเจ้าสอนอะไร What did the buddha t...
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระพุทธเจ้าสอนอะไร What did the buddha t...
 
(๒๐) พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี มจร.pdf
(๒๐) พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี มจร.pdf(๒๐) พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี มจร.pdf
(๒๐) พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี มจร.pdf
 
๗๓. ทุติยกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๗๓. ทุติยกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๗๓. ทุติยกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๗๓. ทุติยกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
 
๐๒ เตวิชชสูตร มจร.pdf
๐๒ เตวิชชสูตร มจร.pdf๐๒ เตวิชชสูตร มจร.pdf
๐๒ เตวิชชสูตร มจร.pdf
 

More from maruay songtanin

๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...maruay songtanin
 
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...maruay songtanin
 
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...maruay songtanin
 
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docxmaruay songtanin
 
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdfOperational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdfmaruay songtanin
 
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...maruay songtanin
 
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...maruay songtanin
 
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...maruay songtanin
 
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 
๗๘. สุวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๗๘. สุวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๗๘. สุวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๗๘. สุวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
๗๗. มณิถูณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๗๗. มณิถูณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๗๗. มณิถูณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๗๗. มณิถูณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
 
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
 
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
 
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
 
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdfOperational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
 
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
 
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
 
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
 
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๗๘. สุวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๗๘. สุวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๗๘. สุวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๗๘. สุวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
๗๗. มณิถูณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๗๗. มณิถูณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๗๗. มณิถูณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๗๗. มณิถูณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 

๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]).docx

  • 1. 1 มัฏฐกุณฑลีวิมาน พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา ๙. มัฏฐกุณฑลีวิมาน ว่าด้วยวิมานที่เกิดขึ้นแก่มัฏฐกุณฑลีมาณพ ผู้ทาใจให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าก่อนสิ้นใจ (พราหมณ์ถามเทพบุตรตนนั้นว่า) [๑๒๐๗] เจ้าประดับตกแต่งร่างกาย ใส่ต่างหูเกลี้ยง ทัดทรงดอกไม้ มีกายลูบไล้ด้วยจุรณแก่นจันทน์แดง ประคองแขนคร่าครวญอยู่กลางป่า เจ้าเป็นทุกข์เรื่องอะไร (มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรตอบว่า) [๑๒๐๘] เรือนรถที่ทาด้วยทองคา งามผุดผ่องเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังหาล้อรถทั้งคู่นั้นไม่ได้ เพราะความทุกข์นั้น ข้าพเจ้าจักยอมสละชีวิต (พราหมณ์กล่าวว่า) [๑๒๐๙] พ่อมาณพผู้เจริญ ล้อทองคา ล้อแก้วมณี ล้อทองแดง หรือล้อเงิน จงบอกข้ามา ข้าจะจัดล้อทั้งคู่ให้เจ้า [๑๒๑๐] มาณพนั้นกล่าวแก่พราหมณ์นั้นว่า ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ทั้งสองย่อมปรากฏในท้องฟ้ านั้น รถทองคาของข้าพเจ้าย่อมงามด้วยล้อทั้งคู่นั้น (พราหมณ์กล่าวว่า) [๑๒๑๑] พ่อมาณพ เจ้าโง่นัก ที่มาปรารถนาสิ่งที่ไม่ควรปรารถนา ข้าเข้าใจว่า เจ้าจักตายเสียเปล่า เพราะเจ้าไม่มีทางที่จะได้ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เลย (มาณพกล่าวว่า) [๑๒๑๒] แม้การโคจรไปมาของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็ยังปรากฏอยู่ รัศมีก็ยังปรากฏอยู่ในวิถีทั้งสอง ส่วนคนที่ตายไปแล้วย่อมไม่ปรากฏ เราทั้งสองผู้ร้องไห้คร่าครวญอยู่ในที่นี้ ใครหนอโง่กว่ากัน (พราหมณ์กล่าวว่า) [๑๒๑๓] พ่อมาณพ เจ้าพูดจริงแท้ เราทั้งสองผู้ร้องไห้คร่าครวญอยู่ ข้านี่แหละโง่กว่า ที่มาปรารถนาคนที่ตายไปแล้ว เหมือนทารกร้องไห้อยากได้ดวงจันทร์ [๑๒๑๔] เจ้าช่วยระงับข้าผู้เร่าร้อนให้สงบ ดับความกระวนกระวายทั้งหมดได้ เหมือนคนใช้น้าราดดับไฟที่ติดเปรียง [๑๒๑๕] เจ้าบรรเทาความเศร้าโศกถึงบุตรของข้าผู้กาลังเศร้าโศก ชื่อว่าได้ช่วยถอนลูกศรคือความโศก ซึ่งเสียบที่หัวใจของข้าขึ้นได้แล้วหนอ
  • 2. 2 [๑๒๑๖] พ่อมาณพ ข้าซึ่งเจ้าช่วยถอนลูกศรคือความโศกขึ้นให้แล้ว ก็เย็นสงบแล้ว จะไม่เศร้าโศก ไม่ร้องไห้ เพราะได้ฟังคาของเจ้า (พราหมณ์เมื่อจะถามต่อไป จึงกล่าวว่า) [๑๒๑๗] เจ้าเป็นเทวดาหรือคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกปุรินททะ เจ้าเป็นใคร เป็ นบุตรของใครหรือ เราจะรู้จักเจ้าได้อย่างไร (มาณพเปิดเผยตนแก่พราหมณ์นั้นว่า) [๑๒๑๘] ท่านเองเผาบุตรคนใดที่ป่าช้าแล้ว คร่าครวญร้องไห้ถึงบุตรคนใด บุตรคนนั้นคือข้าพเจ้า ซึ่งทากุศลกรรมแล้ว ได้เกิดร่วมกับหมู่เทพชั้นไตรทศ (พราหมณ์ถามว่า) [๑๒๑๙] เมื่อเจ้าให้ทานน้อยหรือมาก ในเรือนของตน หรือรักษาอุโบสถกรรมเช่นนั้น ข้าพเจ้ามิได้เห็น เพราะกรรมอะไรเจ้าจึงไปเทวโลกได้ (มาณพตอบว่า) [๑๒๒๐] ข้าพเจ้าป่วยเป็นไข้ ทุกข์ทรมาน มีกายกระสับกระส่ายอยู่ในที่อยู่ของตน ได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ปราศจากกิเลสดังธุลี ทรงข้ามพ้นความสงสัย เสด็จไปดีแล้ว มีพระปัญญาไม่ต่าทราม [๑๒๒๑] ข้าพเจ้านั้นมีใจเบิกบาน มีจิตเลื่อมใส ได้ทาอัญชลีกรรมแด่พระตถาคต ครั้นทากุศลกรรมนั้นแล้ว ได้เกิดร่วมกับหมู่เทพชั้นไตรทศ (พราหมณ์กล่าวว่า) [๑๒๒๒] น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมีมาแล้วหนอ อัญชลีกรรมมีผลเป็ นได้ถึงเช่นนี้ แม้ข้าพเจ้าก็มีใจเบิกบาน มีจิตเลื่อมใส จึงขอถึงพระพุทธเจ้าเป็ นที่พึ่งที่ระลึกในวันนี้นี่เอง (มาณพกล่าวว่า) [๑๒๒๓] ท่านจงมีจิตเลื่อมใส ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็ นที่พึ่งที่ระลึกในวันนี้นี่แหละ อนึ่ง ท่านจงสมาทานสิกขาบท ๕ อย่าให้ขาดและด่างพร้อย [๑๒๒๔] คือ จงรีบงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ ยินดีเฉพาะภรรยาของตน อย่ากล่าวเท็จ อย่าดื่มน้าเมา (พราหมณ์กล่าวว่า) [๑๒๒๕] เทวดาผู้น่าบูชา ท่านเป็ นผู้ปรารถนาประโยชน์ หวังความเกื้อกูลแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะทาตามคาของท่าน ท่านเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า
  • 3. 3 [๑๒๒๖] ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมอันยอดเยี่ยม และพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็ นเทพของนรชนเป็ นที่พึ่งที่ระลึก [๑๒๒๗] ข้าพเจ้าจะรีบงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ ยินดีเฉพาะภรรยาของตน ไม่กล่าวเท็จ ไม่ดื่มน้าเมา มัฏฐกุณฑลีวิมานที่ ๙ จบ ------------------------- คาอธิบายเพิ่มเติมนี้ นามาจากบางส่วนของ อรรถกถา ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ สุนิกขิตวรรคที่ ๗ ๙. มัฏฐกุณฑลีวิมาน อรรถกถามัฏฐกุณฑลีวิมาน มัฏฐกุณฑลีวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร? พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี. สมัยนั้น พราหมณ์ชาวสาวัตถีคนหนึ่งเป็ นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก เป็นคนไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ให้อะไรแก่ใครๆ เพราะไม่ให้นั่นเอง เขาจึงเป็ นที่รู้กันทั่วไปว่า อทินนปุพพกะ ไม่เคยให้. เขาไม่ต้องการเฝ้ าพระตถาคต ไม่ต้องการแม้จะเห็นสาวกของพระตถาคต เพราะความเป็นคนโลภโดยเป็นมิจฉาทิฏฐิ เขาสอนบุตรของตนชื่อมัฏฐกุณฑลีว่า ลูก เจ้าไม่พึงไปหา ไม่พึงเห็นพระสมณโคดมและสาวกของพระองค์ แม้ตัวเขาเองก็ได้กระทาอย่างนั้น. คราวนั้น บุตรของเขาป่วย พราหมณ์ไม่ได้ทายารักษา เพราะกลัวเปลืองทรัพย์ เมื่อโรคกาเริบขึ้นจึงเชิญหมอมาดู. หมอทั้งหลายดูร่างกายของเขาแล้ว รู้ว่าเด็กนั้นรักษาไม่หายจึงหลีกไป. พราหมณ์คิดว่า เมื่อลูกตายในเรือน นาออกลาบาก จึงอุ้มบุตรให้นอนที่นอกซุ้มประตู. ณ ราตรีปัจจุสสมัยใกล้รุ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากพระมหากรุณาสมาบัติ ทรงตรวจดูโลก ทรงเห็นมัฏฐกุณฑลีมาณพหมดอายุ จะต้องตายในวันนั้นเอง และทรงเห็นโอกาสที่มาณพนั้นกระทากรรมอันเป็นไปเพื่อนรก มีพระพุทธดาริว่า ถ้าเราไปในที่นั้น มาณพนั้นจักทาจิตให้เลื่อมใสเรา จักบังเกิดในเทวโลก จักเข้าไปหาบิดาที่ร้องไห้อยู่ในป่าช้า ให้บิดาสังเวช เมื่อเป็ นเช่นนั้น ทั้งเขาและบิดาของเขาจักมาหาเรา หมู่มหาชนจักประชุมกัน เมื่อเราแสดงธรรม จักมีการตรัสรู้ธรรมกันมากในที่นั้น. ครั้นทรงทราบอย่างนี้แล้ว รุ่งเช้า ทรงนุ่งแล้วทรงถือบาตรและจีวร
  • 4. 4 เสด็จเข้าบิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี ประทับยืนเปล่งพระพุทธรังสีมีวรรณะ ๖ ใกล้เรือนบิดาของมาณพมัฏฐกุณฑลี มาณพเห็นพระฉัพพัณณรังสีเหล่านั้นคิดว่า นั่นอะไร เหลียวดูข้างโน้นข้างนี้ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ฝึกตนแล้ว คุ้มครองตนแล้ว มีพระอินทรีย์สงบโชติช่วงอยู่ด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ และด้วยพระเกตุมาลาอันมีรัศมีวาหนึ่ง ทรงรุ่งโรจน์ด้วยพระพุทธสิริอันเปรียบมิได้ ด้วยพระพุทธานุภาพอันเป็นอจินไตย. ครั้นเห็นแล้ว มาณพนั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเสด็จถึงที่นี้แล้วหนอ ซึ่งพระองค์มีรูปสมบัติที่จะงาแม้พระอาทิตย์ ด้วยพระเดชของพระองค์ งาพระจันทร์ด้วยพระคุณที่น่ารัก งาสมณพราหมณ์ทั้งหมด ด้วยความเป็นผู้สงบระงับ อันความสงบระงับพึงมีในที่นี้นี่แหละ อัครบุคคลในโลกนี้ก็เห็นจะผู้นี้นี่เอง และก็เสด็จถึงที่นี้ก็เพื่อทรงอนุเคราะห์เราแน่แล้ว. มาณพนั้นมีเรือนร่างอันปีติที่มีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์สัมผัสแล้วตลอ ดกาล เสวยปีติโสมนัสไม่น้อย มีจิตเลื่อมใสนอนประคองอัญชลี. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นเขาแล้ว มีพระดาริว่า เพียงเท่านี้ก็พอที่มาณพนี้จะเข้าถึงสวรรค์ ดังนี้ เสด็จหลีกไป. แม้มาณพนั้นไม่ละปีติโสมนัสนั้นเลย ทากาละตายไปบังเกิดในวิมานทอง ๑๒ โยชน์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์. ฝ่ายบิดาของเขาให้ทาสักการะสรีระแล้ว ในวันที่สองไปป่าช้าในเวลาเช้ามืด คร่าครวญว่า โธ่เอ๋ย มัฏฐกุณฑลี โธ่เอ๋ย มัฏฐกุณฑลี เดินพลางร้องไห้พลาง วนไปรอบๆ ป่าช้า. เทพบุตรตรวจดูความสมบูรณ์แห่งสมบัติของตน ทบทวนดูว่า เราทากรรมอะไร จากไหนจึงมาที่นี้ ได้รู้อัตภาพก่อนของตน และเห็นความเลื่อมใสแห่งจิตที่เป็นไปในพระผู้มีพระภาคเจ้า เพียงทาอัญชลีที่น่าจับใจ ในเวลาจะตายในอัตภาพนั้น เกิดความเลื่อมใสและความนับถือเป็นอันมากในพระตถาคตอย่างดียิ่งว่า โอ พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงมีอานุภาพมาก. ใคร่ครวญดูว่า อทินนปุพพกพราหมณ์ทาอะไรหนอ เห็นมาร้องไห้อยู่ในป่าช้า จึงคิดว่า พราหมณ์นี้ เมื่อก่อน ไม่ทาแม้เพียงยารักษาเรา มาบัดนี้ร้องไห้อยู่ในป่าช้า หาประโยชน์มิได้ เอาเถอะ เราจักให้พราหมณ์นั้นสังเวชแล้วให้ดารงอยู่ในกุศล ดังนี้แล้ว มาจากเทวโลก แปลงตัวเป็ นมัฏฐกุณฑลีร้องไห้อยู่ ยืนประคองแขนคร่าครวญอยู่ใกล้ๆ บิดาว่า โอ้ พระจันทร์ โอ้ พระอาทิตย์.
  • 5. 5 ครั้งนั้น พราหมณ์คิดว่า นี้มัฏฐกุณฑลีมาแล้ว ได้กล่าวกะเขาด้วยคาถาว่า เจ้าแต่งตัว มีตุ้มหูเกลี้ยง ทรงมาลัยดอกไม้ ทาตัวด้วยจันทน์แดง ประคองแขนคร่าครวญอยู่ในกลางป่า เจ้าเป็นทุกข์หรือ. ลาดับนั้น เทพบุตรกล่าวกะพราหมณ์ว่า เรือนรถทาด้วยทองคางามผุดผ่องเกิดขึ้นแก่ข้า ข้าหาคู่ล้อรถนั้นยังไม่ได้ ข้าจะสละชีวิตเพราะความทุกข์นั้น. ลาดับนั้น พราหมณ์กล่าวกะเทพบุตรนั้นว่า พ่อมาณพผู้เจริญ เจ้าอยากได้คู่ล้อทองคา แก้วมณี ทองแดงหรือเงินก็จงบอกแก่ข้า ข้าจะจัดคู่ล้อให้เจ้า. มาณพได้ฟังดังนั้น คิดว่า พราหมณ์นี้ไม่ทายารักษาลูก เห็นเราคล้ายลูกร้องไห้ พูดว่าจะทาล้อรถทองเป็นต้นให้ ช่างเถอะ จาเราจักข่มเขา จึงกล่าวว่า ท่านจักทาคู่ล้อแก่ข้าใหญ่เท่าไร เมื่อพราหมณ์กล่าวว่าใหญ่เท่าที่เจ้าต้องการ จึงขอว่า ข้าต้องการพระจันทร์และพระอาทิตย์ ขอท่านจงให้พระจันทร์พระอาทิตย์แก่ข้าเถิด. มาณพนั้นกล่าวตอบพราหมณ์นั้นว่า พระจันทร์ พระอาทิตย์ทั้งสองย่อมปรากฏในท้องฟ้ านั้น รถทองของข้าย่อมงามด้วยคู่ล้อนั้น. ลาดับนั้น พราหมณ์กล่าวกะเทพบุตรว่า พ่อมาณพ เจ้าเป็ นคนโง่ที่มาปรารถนาสิ่งที่ไม่ควรปรารถนา ข้าเข้าใจว่าเจ้าจักตาย [เสียก่อน] จักไม่ได้พระจันทร์และพระอาทิตย์แน่นอน. ลาดับนั้น มาณพกล่าวกะพราหมณ์ว่า คนที่ร้องไห้เพื่อต้องการสิ่งที่ปรากฏอยู่เป็นคนโง่ หรือว่าคนที่ร้องไห้เพื่อต้องการสิ่งที่ไม่ปรากฏอยู่เป็นคนโง่. แล้วกล่าวว่า แม้การไปการมาของพระจันทร์พระอาทิตย์ ก็ยังเห็นกันอยู่ รัศมีของพระจันทร์พระอาทิตย์ ก็ยังเห็นกันอยู่ในวิถีทั้งสอง คนที่ตายล่วงลับไปแล้ว ใครก็ไม่เห็น บรรดาเราสองคนที่ร้องไห้คร่าครวญอยู่ในที่นี้ ใครโง่กว่ากัน. พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นแล้ว กาหนดในใจว่า เจ้านี่พูดถูกจึงกล่าวว่า พ่อมาณพ ท่านพูดจริง บรรดาเราสองคนที่ร้องไห้คร่าครวญอยู่ ข้านี่แหละเป็ นคนโง่กว่า ปรารถนาบุตรที่ตายล่วงลับไปแล้ว เหมือนทารกร้องไห้อยากได้พระจันทร์ฉะนั้น. หายโศกเศร้าเพราะถ้อยคาของมาณพนั้น เมื่อจะชมเชยมาณพ จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
  • 6. 6 เจ้ามารดข้าผู้เร่าร้อนให้สงบ ดับความกระวนกระวายทั้งหมดได้ เหมือนเอาน้ารดไฟที่ราดเปรียงฉะนั้น เจ้าผู้ที่บรรเทาความโศกเศร้าถึงบุตรของข้าผู้เฝ้ าแต่เศร้าโศก ชื่อว่าได้ถอนลูกศรคือความโศกที่เกาะหัวใจของข้าขึ้นได้แล้ว พ่อมาณพ ข้าเป็ นผู้ที่เจ้าถอนลูกศร คือความโศกขึ้นได้แล้ว ก็เป็ นผู้ดับร้อน เย็นสนิท ไม่ต้องเศร้าโศก ไม่ต้องร้องไห้ เพราะฟังเจ้า ดังนี้. ลาดับนั้น พราหมณ์บรรเทาความโศกได้แล้ว เห็นผู้ให้คาชี้แจงแก่ตนอยู่ในรูปเป็ นเทวดา เมื่อจะถามว่า ท่านชื่ออะไร จึงกล่าวคาถาว่า ท่านเป็นเทวดา หรือเป็นคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกะผู้ให้ทานในชาติก่อน ท่านเป็นใครหรือเป็ นบุตรของใคร เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร. เทพบุตรแม้นั้นก็ได้ชี้แจงตนแก่พราหมณ์นั้นว่า ท่านเผาบุตรที่ป่าช้าเองแล้ว คร่าครวญร้องไห้ถึงบุตรคนใด ข้าคือบุตรคนนั้น ทากุศลกรรมแล้ว ถึงความเป็นสหายของทวยเทพชั้นไตรทศ. ลาดับนั้น พราหมณ์กล่าวกะเทพบุตรนั้นว่า เมื่อท่านให้ทานน้อยหรือมากในเรือนของตน หรือรักษาอุโบสถกรรมเช่นนั้น พวกเราก็มิได้เห็นเพราะกรรมอะไร ท่านจึงไปเทวโลกได้. ในคาถานั้นประกอบความว่า หรืออุโบสถกรรมเช่นนั้น เราก็ไม่เห็น. ลาดับนั้น มาณพกล่าวกะพราหมณ์ว่า ข้าป่วยเป็นไข้ได้รับทุกข์ มีกายกระสับกระส่ายอยู่ในที่อยู่ของตน ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากกิเลสธุลี ข้ามพ้นความสงสัย เสด็จไปดีแล้ว มีพระปัญญาไม่ทราม ข้านั้นมีใจเบิกบานเลื่อมใส ได้กระทาอัญชลีแด่พระตถาคต ข้าทากุศลกรรมนั้นจึงถึงความเป็ นสหายของทวยเทพชั้นไตรทศ. เมื่อมาณพกาลังกล่าวอยู่อย่างนี้นั่นแล ทั่วเรือนร่างของพราหมณ์เต็มเปี่ยมไปด้วยปีติ เมื่อเขาจะประกาศปีตินั้น จึงกล่าวว่า น่าอัศจรรย์หนอ ไม่เคยมีหนอ อัญชลีกรรมมีผลเป็ นได้ถึงเช่นนี้ แม้ข้าก็มีใจเบิกบาน มีจิตเลื่อมใส จึงขอถึงพระพุทธเจ้าว่า เป็นสรณะที่พึ่งในวันนี้นี่แหละ. พราหมณ์ครั้นแสดงความประหลาดใจด้วยบททั้งสองแล้วกล่าวว่า แม้ข้าก็มีใจเบิกบานมีจิตเลื่อมใส จึงขอถึงพระพุทธเจ้าว่า เป็ นสรณะที่พึ่งในวันนี้นี่แหละ. ลาดับนั้น
  • 7. 7 เทพบุตรเมื่อจะประกอบพราหมณ์นั้นไว้ในการถึงสรณะและสมาทานศีล จึงกล่าวสองคาถาว่า ขอท่านจงมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ว่า เป็ นสรณะที่พึ่งในวันนี้นี่แหละ. อนึ่ง ท่านจงสมาทานสิกขาบท ๕ อย่าให้ขาดและด่างพร้อย จงรีบงดเว้นจากการฆ่าสัตว์เสีย จงเว้นการถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้ในโลก จงไม่ดื่มน้าเมาและไม่กล่าวเท็จ จงยินดีด้วยภรรยาของตน. ท่านมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็ นที่พึ่ง ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นสัมมาสัมพุทธะ ดังนี้ฉันใด ท่านจงมีจิตเลื่อมใสถึงพระธรรมและพระสงฆ์ว่าเป็ นที่พึ่ง ว่าพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว พระสงฆ์ปฏิบัติดีแล้ว ดังนี้ฉันนั้นเหมือนกัน. อีกอย่างหนึ่ง ท่านมีจิตเลื่อมใสถึงพระรัตนตรัยว่าเป็ นที่พึ่งฉันใด ท่านมีจิตเลื่อมใสว่า นี้นาประโยชน์และความสุขมาทั้งในปัจจุบันและอนาคตโดยส่วนเดียว จงสมาทานคือจงประพฤติถือมั่นซึ่งศีลห้า อันเป็นบทคือเป็นส่วนแห่งสิกขาคืออธิศีลสิกขา หรือเป็นอุบายทางดาเนินถึงอธิจิตตสิกขาและอธิปัญญาสิกขา ไม่ให้ขาดและด่างพร้อย เพราะไม่กาเริบและไม่เศร้าหมอง ฉันนั้นเหมือนกัน. พราหมณ์ถูกเทพบุตรประกอบไว้ในการถึงสรณะและการสมาทานศีลอ ย่างนี้แล้ว. เมื่อจะรับคาของเทพบุตรนั้นด้วยเศียรเกล้า จึงกล่าวคาถาว่า ข้าแต่เทวดาผู้น่าบูชา ท่านเป็ นผู้ปรารถนาประโยชน์ ปรารถนาเกื้อกูลแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะทาตามคาของท่าน ขอท่านจงเป็ นอาจารย์ของข้าพเจ้าเถิด ดังนี้. เมื่อดารงอยู่ในคานั้น ได้กล่าวสองคาถาว่า ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรมว่าเป็ นสรณะที่พึ่งอันยอดเยี่ย ม และข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็ นนรเทพว่า เป็ นสรณะที่พึ่ง. ข้าพเจ้างดเว้นจากการฆ่าสัตว์อย่างฉับพลัน งดการถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้ในโลก ข้าพเจ้าไม่ดื่มน้าเมา และไม่กล่าวเท็จ และเป็นผู้ยินดีด้วยภรรยาของตน ดังนี้. แม้คานั้นก็รู้ง่ายเหมือนกัน. แต่นั้น เทพบุตรคิดว่ากิจที่ควรกระทาแก่พราหมณ์ เราก็กระทาเสร็จแล้ว บัดนี้พราหมณ์คงจักเข้าเฝ้ าพระผู้มีพระภาคเจ้าเองดังนี้แล้วได้อันตรธานไป ณ
  • 8. 8 ที่นั้นเอง. แม้พราหมณ์ก็เกิดเลื่อมใสและนับถือมากในพระผู้มีพระภาคเจ้า และถูกเทวดาเตือน จึงบ่ายหน้าไปวิหารด้วยหมายใจจักเข้าเฝ้ าพระสมณโคดม. มหาชนเห็นดังนั้น คิดว่า พราหมณ์นี้ไม่เข้าเฝ้ าพระตถาคตตลอดกาลเท่านี้ วันนี้เข้าเฝ้ าเพราะโศกถึงบุตร จักมีพระธรรมเทศนาเช่นไรหนอ จึงพากันติดตามพราหมณ์นั้นไป. พราหมณ์เข้าเฝ้ าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทาปฏิสันถารแล้ว กราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม คนไม่ให้ทานอะไร ๆ หรือไม่รักษาศีล เพียงแต่เลื่อมใสในพระองค์อย่างเดียว จะบังเกิดในสวรรค์ได้หรือ. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ท่านพราหมณ์ เมื่อย่ารุ่งวันนี้ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรได้บอกเหตุที่เข้าถึงเทวโลกของตนแก่ท่านแล้วมิใช่หรือ. ขณะนั้น มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรมาปรากฏองค์พร้อมกับวิมาน ลงจากวิมาน ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ยืนประคองอัญชลีอยู่ ณ ที่สมควรแห่งหนึ่ง. ลาดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงสุจริตที่เทพบุตรนั้นกระทาแล้ว ในที่ประชุมนั้น ทรงทราบว่าที่ประชุมมีความสบายใจ จึงทรงแสดงสามุกกังสิกเทศนา ธรรมแบบยกขึ้นแสดงเอง. จบเทศนา เทพบุตร พราหมณ์และบริษัทที่ประชุมกัน รวมเป็ นสัตว์แปดหมื่นสี่พันได้ตรัสรู้ธรรมแล. จบอรรถกถามัฏฐกุณฑลีวิมาน -----------------------------------------------------