More Related Content
Similar to กล้องสองตา2 (17)
กล้องสองตา2
- 1. กล้องสองตา
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กล้องสองตาแบบ กาลิเลโอ
กล้องสองตา ( ภาษาอังกฤษ "binoculars"
มาจากภาษาละติน bi- "สอง" และ oculus "ตา") คือ อุปกรณ์ที่ใช้สำาหรับส่อง
ดูวัตถุที่อยู่ห่างไกลให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยอาศัยเลนส์และปริซึม ปริซึมทำา
หน้าที่สะท้อนและหักเหแสง กลับภาพจากภาพหัวกลับให้เป็นภาพหัวตั้ง
ภาพที่ได้จึงต่างจากที่เห็นในกล้องโทรทรรศน์ธรรมดา
ข้อกำาหนดของกล้องสองตาแต่ละกล้อง มักบอกด้วยตัวเลขสองตัวคั่นกลาง
ด้วยกากบาท "×" เช่น "٥٠×٧" หมายถึงกล้องสองตานี้มีกำาลังขยาย ٧ เท่า
เส้นผ่านศูนย์กลางของเลนส์วัตถุมีขนาด ٥٠ มิลลิเมตร
กล้องสองตามีขนาดตั้งแต่ ١٠×٣ ที่มักใช้ในโรงละคร ขนาด ٥٠×٧ หรือ ١
٥٠×٠ ที่มักใช้ส่องดูกลางแจ้ง และอาจมีขนาดใหญ่ถึง ٨٠×٢٠ หรือ ×٢٠
١٤٠ กล้องขนาดใหญ่มีนำ้าหนักมาก ทำาให้เมื่อยแขนได้ จึงต้องอาศัยระบบ
ขาตั้งกล้องที่ช่วยให้ภาพไม่สั่นไหว
กล้องสองตา
กล้องสองตาเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ได้หลายอย่างและราคาถูกกว่ากล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่
กล้องสองตาคือกล้องโทรทรรศน์แบบหักเหแสง 2 อันมารวมกัน และมีปริซึมอยู่ตรงกลาง
เพื่อกลับภาพให้เหมือนกับของจริงเพื่อความสะดวกในการดู และเราสามารถดูได้ทั้งสองตา
ส่วนประกอบของกล้องสองตา
ไม่เหมือนกับกล้องโทรทรรศน์ทั่วไปที่ดูได้ตาเดียว มุมมองของกล้องสองตาก็กว้างกว่าทำาให้มองเห็นพื้นที่บน
ท้องฟ้าได้มากกว่า
- 2. องค์ประกอบหลักของกล้องสองตามีอยู่ 3 อย่าง คือ <BR&NBSP; />
- เลนส์วัตถุ (Objective lenses) หน้าที่รวมแสงทำาให้เราเห็นภาพที่อยู่ไกลๆได้อย่างชัดเจน กล้องสอง
ตาคุณภาพดีจะมีเลนส์อยู่ 2 ชิ้น ทีเรียกว่าคราวน์ (crown) และฟินท์ (fint) ช่วยให้แสงผ่านได้อย่างดี
่
โดยไม่ทำาสีเพียนไป<BR&NBSP; />
้
- ปริซึม (Prisms) เนื่องจากภาพจากเลนส์จะกลับหัวและกลับซ้ายไปขวาได้ จึงต้องใช้ปริซึมเพื่อกลับ
ภาพให้เหมือนกับตาเปล่าของเราที่มองเห็น กล้องส่วนมากจะใช้ปริซึมแบบพอร์โร (porro) หรือไม่ก็
แบบรูฟ (roof) แบบพอร์โร จะทำาให้รูปร่างของกล้องเป็นแบบซิกแซก เนื่องจากใช้ปริซึมแบบ 90 อง
ศา 2 ตัววางทำามุมกัน 90 องศา
ทำาให้มีการเบี่ยงทิศทางของแสงที่ผ่านเลนส์เข้ามาและกลับภาพได้ กล้องที่ใช้ปริซึมแบบนี้จะมีนำ้า
หนักมากแต่ราคาถูกกว่ากล้องที่ใช้แบบรูฟ ซึงออกแบบมาเป็นพิเศษ โดยให้แสงเข้าออกอยู่ในแนว
่
กัน ทำาให้กล้องที่ใช้ปริซึมแบบที่เป็นแบบตรง แต่เนื่องจากแสงต้องผ่านปริซึมและมีการหักเหและ
สะท้อนภายในทำาให้สญเสียแสงมากกว่าแบบพอร์โร จึงไม่ค่อยเหมาะกับการใช้ในเวลากลางคืน โด
ู
ยทั่วไปจะมีเนื้อแก้วสองแบบที่ใช้ทำาปริซึมคือ BK-7 (borosillicute glass) และ BAK-4 (Barium cr
own) ซึ่ง BAK-4 จะมีคุณภาพสูงกว่าแต่ราคาก็แพงกว่าด้วย
- เลนส์ใกล้ตา (eyepiece หรือ ocular) ออกแบบมาเฉพาะให้อยู่ในกล้องสองตา นอกจากช่วยขยาย
ภาพแล้วยังเกี่ยวกับมุมมองภาพ (field of view) กำาลังแยกของภาพและลักษณะอื่นๆของกล้องสอง
ตาด้วย เลนส์ใกล้ตาส่วนมากจะมีชั้นเลนส์อยู่ระหว่าง 2 – 5 ชิ้นประกอบกัน และเป็นแก้วคนละชนิด
เพื่อลดความคลาดสี<BR&NBSP; />
นอกจากองค์ประกอบหลัก 3 อย่างแล้วยังมีตัวปรับระยะโฟกัสที่ช่วยปรับให้ภาพชัด ซึ่ง
จะ<BR&NBSP; />
เลื่อนกล้องทั้งสองข้าง และอุปกรณ์อีกอย่างคือการปรับโฟกัสที่เลนส์ใกล้ตาเพราะว่าตาคนเราอาจ
ไม่เท่ากันทั้งสองข้างจึงต้องมีตัวช่วยปรับอีกอันหนึ่ง โดยใช้วิธีปรับที่ตัวปรับโฟกัสก่อนจนชัดแล้ว
ค่อยปรับที่ตัวปรับของเลนส์ใกล้ตาจนชัดทั้งสองข้าง<BR&NBSP; />
ด้านท้ายกล้องขนาด 12 x 50
กล้องสองตานั้นมีหลายขนาด เช่น 12 x 50 mm หรือ 7 x 50 mm คือ กำาลังขยาย 7 เท่าและขนาด
หน้ากล้อง 50 mm หรือ 2 นิ้ว ถ้ามี WA ต่อท้ายคือใช้เลนส์ใกล้ตาแบบมุมกว้าง (wide angle) ซึงจะ ่
ช่วยให้มุมรับภาพกว้างขึ้นประมาณ 60 % ของปกติ<BR&NBSP; />
กำาลังขยายของกล้องสองตานั้นสำาคัญมากแต่บางคนก็เข้าใจผิด คิดว่ายิ่งกำาลังขยายมากจะยิ่งมอง
เห็นรายละเอียดมากขึ้น แต่จะขึ้นอยู่กับกำาลังแยกภาพ ถ้าขนาดหน้ากล้องใหญ่ก็จะให้ภาพที่ละเอียด
กว่าหน้ากล้องเล็ก ยิ่งกำาลังขยายมากก็ยิ่งสว่างน้อยและจะเห็นภาพที่สั่นมากขึ้น กำาลังขยายที่ใช้กัน
มากคือ 7 – 12 เท่า แต่ถ้าใช้ 16 เท่าขึ้นไปก็ควรใช้กับขาตั้งกล้องจะดีกว่าเพราะไม่ทำาให้ภาพสั่นและ
ไม่จำาเป็นต้องถือให้เมื่อย<BR&NBSP; />
กล้องสองตาขนาดใหญ่ต้องติดบนขาตั้งกล้อง
- 3. ขนาดของหน้ากล้องเป็นสิ่งที่สำาคัญมาก เพราะยิ่งมีขนาดใหญ่ก็ยิ่งมีพื้นที่รับแสงมาก ทำาให้
ดูวัตถุที่สว่างน้อยได้ดีกว่า เช่น ถ้าขนาดใหญ่กว่า 2 เท่า ก็จะรวมแสงได้มากกว่าถึง 4 เท่า แ
ละยังแยกรายละเอียดของภาพได้ดีกว่าด้วย
กล้องสองตาขนาด 9x63 เห็นได้กว้าง 305 ฟุต
มุมมองของภาพ (field of view) เป็นขนาดของภาพที่เราเห็นจากกล้อง ขึ้นอยู่กับกำาลังขยายและ
ลักษณะของปริซึม ยิงกำาลังขยายมากมุมก็ยิ่งแคบ มุมมีหน่วยเป็นองศาโดยเทียบกับจากระยะทาง
่
เป็นฟุตที่ระยะห่าง 1000 หลา โดยพื้นที่ทเห็น = มุม x 52.50
ี่
เช่น กล้องมุมกว้าง 5 องศา จะเห็นพื้นที่กว้าง 5 x 52.50 = 262.5 คือ เห็นได้กว้าง 262.5 ฟุต ที่ระยะ
1000 หลา <BR&NBSP; />
Apparent field คือ มุมทีเห็นจากเลนส์ใกล้ตา ปกติมีค่าอยู่ระหว่าง 25 – 30 องศา แต่ถ้าเป็นแบบ
่
กว้างก็อาจกว้างถึง 80 องศาหรือกว้างกว่า<BR&NBSP; />
True field คือมุมที่แท้จริงที่เห็นได้<BR&NBSP; />
โดย TF = AF / กำาลังขยาย<BR&NBSP; />
เช่น กล้องมีความยาวโฟกัส 500 mm ใช้เลนส์ใกล้ตา 20 mm ซึงมี Apparent field กว้าง 50 องศา
่
ดังนั้น<BR&NBSP; />
-
ยิงกำาลังขยายมากขึ้นมุมที่แท้จริงก็ยิ่งลดลง<BR&NBSP; />
่
การเคลือบเลนส์ก็มีผลต่อภาพที่มองเห็นเช่นกัน เลนส์ที่ไม่ได้เคลือบจะมีแสงผ่านได้เพียง 90 % ถ้า
เคลือบด้วยแมกนีเซียมฟลูโอไรต์ (MgF2) จะเสียแสงเพียง 4 % และลดการเกิดการสะท้อน (ghost)
จากวัตถุที่สว่าง แต่ถ้าเป็นชนิดที่ดีก็จะเคลือบหลายชั้นประมาณ 7 – 15 ชั้น ซึงช่วยลดแสงสะท้อน
่
และให้แสงผ่านได้มากถึง 99 % หรือมากกว่าและช่วยเรื่องคอนทราสท์ด้วย<BR&NBSP; />
อีกอย่างที่สำาคัญคือ exit pupil คือภาพที่เกิดหลังจากผ่านเลนส์ใกล้ตา ซึงตาของเรามีช่องให้แสง
่
เข้าได้กว้าง 6 – 8 มม. กล้องที่ดีก็ควรมีค่า exit pupil ประมาณนี้ เช่น กล้องสองตาขนาด 7 x 50 mm
จะมีค่า exit pupil = ขนาดหน้ากล้อง / กำาลังขยาย = 50 / 7 = 7 แต่ถ้าเป็นกล้องขนาดเล็กเช่น 7 x
35 ก็จะมีค่า exit pupil = 35 / 7 = 5 mm ซึงอาจไม่เหมาะสำาหรับการดูดาวเท่าไหร่นัก<BR&NBSP; /
่
>
นอกจากโครงสร้างแล้วกล้องสองตาบางแบบก็ยังมีระบบกันสะเทือนด้วย (Image Stabilizer) ช่วยให้
สามารถดุวัตถุได้นิ่งขึ้น เพราะถ้ายิ่งกล้องกำาลังขยายมากแล้วใช้มือถือก็จะยิ่งเห็นภาพสั่นมากขึ้น อีก
วิธีหนึ่งคือการใช้ขาตั้งกล้องช่วย เพราะกล้องขนาดใหญ่หรือกำาลังขยายมากตั้งให้ตัวกล้องนิ่งเพื่อที่
จะให้ดูง่ายขึ้นและปรับตามวัตถุท้องฟ้าหรือตามดาวได้ง่ายดาย<BR&NBSP; />
กล้องสองตาสามารถใช้วัตถุได้หลายอย่างทั้งดูนก, ดูแมลง และดูท้องฟ้า ซึงวัตถุท้องฟ้านั้นมีหลาย
่
อย่างแต่ห้ามใช้ดูดวงอาทิตย์โดยตรงเด็ดขาดเพราะอาจตาบอดได้<BR&NBSP; />
- 4. วัตถุอย่างแรกที่มักใช้กล้องสองตาดูคือดวงจันทร์เพราะมีลักษณะ
ของพื้นผิวหลายประเภท เช่น ทะเล, หลุมอุกกาบาต, ภูเขา และการ
ที่ดวงจันทร์มีเฟสหรือการเปลี่ยนแปลงเงาบนผิวของดวงจันทร์ทำาให้
แต่ละวันไม่เหมือนกัน ถัดจากดวงจันทร์ก็เป็นดาวเคราะห์คือแม้ว่าจะ
ไม่เห็นรายละเอียดมากนักแต่ก็เห็นรูปร่าง เช่น ดาวศุกร์ก็พอจะเห็น
การเปลี่ยนแปลงเฟสเหมือนกับดวงจันทร์ ส่วนดาวพุธและดาวอังคาร
ก็พอจะเห็นลักษณะเป็นดวงไม่เห็นเป็นจุดเหมือนดาวฤกษ์
ทั่วไป วัตถุอีกประเภทที่น่าสนใจในระบบสุริยะคือดาวหาง เพราะ
ดวงจันทร์เกือบเต็มดวง กล้องสองตาจะเห็นภาพมุมกว้างกว่ากล้องโทรทรรศน์
เห็นทั้งโคมาและหางของดาวหาง ดาวฤกษ์ก็สามารถใช้กล้องสองตาดูได้เหมือนกันเพราะดาวฤกษ์
บางดวงจะมีสีที่น่าสนใจ หรือใช้ดูดาวคู่ที่ห่างกันมากๆได้ หรือใช้ดุกระจุกดาวเปิดอย่างกระจุกดาว
ลูกไก่ หรือกระจุกดาวปิดขนาดใหญ่เช่น โอเมกา-เซนทอรี หรือ M13 นอกจากนี้ยังมีเนบิวลาที่สว่าง
เช่น M42 ในกลุ่มดาวนายพรานและกาแลกซีที่สว่างมากเช่น M31 ในกลุ่มดาวแอนโดรเมดา หรือ
M33 ในกลุ่มดาวสามเหลียม่