More Related Content
Similar to Hemoto 65.ppt (12)
More from praphan khunti (11)
Hemoto 65.ppt
- 21. กระบวนการก่อนการตรวจวิเคราะห์
( Pre – Analytical )
คือ ระบบการเตรียมการก่อนการส่งตัวอย่างตรวจเข้าสู่
การ
วินิจฉัย หรือ การตรวจวิเคราะห์
เป็นปัจจัยที่สาคัญที่จะช่วยให้ผลการตรวจถูกต้องแม่นยา
21
- 22. กระบวนการก่อนการตรวจวิเคราะห์
( Pre – Analytical )
- การเตรียมผู้ป่ วยก่อนการเก็บตัวอย่างตรวจ (
Patient Preparation )
- การเจาะเก็บตัวอย่างตรวจ ( Specimen
Collection )
• การเลือกชนิดของตัวอย่างที่เหมาะสม
• อุปกรณ์ที่ใช้ในการเจาะเก็บและเก็บรักษา
ตัวอย่าง
• สารเคมีที่ใช้ในการปรับสภาพและเก็บรักษา
ตัวอย่าง 22
- 24. กระบวนการหลังการตรวจวิเคราะห์
( Post – Analytical process )
- การตรวจสอบผลการตรวจวิเคราะห์
- การรายงานผลการตรวจวิเคราะห์เข้าสู่ระบบ
สารสนเทศ
ของโรงพยาบาล
- การจัดการกับสิ่งส่งตรวจหลังการตรวจวิเคราะห์
24
- 26. ห้องปฏิบัติการ ( Laboratory )
โรงพยาบาล
- ห้องปฏิบัติการโลหิตวิทยาและจุลทรรศน์ศาสตร ์
( Hematology and Microscopy
Laboratory )
- ห้องปฏิบัติการเคมีคลินิก ( Clinical Chemistry
Laboratory )
- ห้องปฏิบัติการภูมิคุ้มกันวิทยา ( Immunology
Laboratory )
- ห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยา ( Microbiology
Laboratory )
26
- 30. • โลหิตวิทยาคลินิก
1. CBC (Complete
Blood Cell)
2. Malaria
3. PT, PTT
4. Cell Count, Cell
Differential
5. OF test ,oxidation
fermentation test
6. Dichlorophenol
Indophenol Precipitation
test (DCIP)
7. VCT (Venous
Clotting Time) 30
- 41. บริการการตรวจทางห ้องปฏิบัติการ
• เคมีคลินิก
5. Lipid profile (Cholesterol, Triglyceride,
HDL-C, LDL-C)
6. Electrolyte(Na, K, Cl,CO2)
7. Liver Function Test(Alkaline
phosphatase, SGOT, SGPT, Total
Bilirubin, Direct Bilirubin, Total Protein,
Albumin, Globulin)
41
- 67. เซลล์ ( Cell )
• ประกอบด้วยส่วนประกอบหลักคือ
- นิวเคลียส ( Nucleus )
- ไซโตพลาสซึม ( Cytoplasm )
- เยื่อหุ้มเซลล์ ( Cell membrane )
67
- 68. นิวเคลียส ( Nucleus )
• เป็ นโครงสร ้างที่มักพบอยู่ตรงกลางเซลล์
• เมื่อย้อมสีจะติดสีเข้มทึบ
• เซลล์ของสิ่งมีชีวิตทั่วไปมีนิวเคลียสเพียง
1 นิวเคลียส
68
- 70. เยื่อหุ้มเซลล์ ( Cell membrane
)
• เป็ นเยื่อบาง ๆ ล้อมรอบไซโทพลาสซึม (
Cytoplasm )
• พบในเซลล์ทุกชนิด
• กั้นสารที่อยู่ภายในกับภายนอกเซลล์
• รักษาสมดุลของสารภายในเซลล์โดยควบคุม
การผ่านเข้าออกของสารระหว่างเซลล์กับ
สิ่งแวดล้อมภายนอก
70
- 73. เลือด ( Blood )
• เป็นของเหลวและมีเม็ดเลือดล่องลอยอยู่
• เป็นตัวกลางติดต่อระหว่างเซลล์ของ
ร่างกาย
• ในร่างกายมีเลือดอยู่ประมาณ 7-8 %
ของน้าหนักตัว
73
- 74. หน้าที่ของเลือด
1. นาสารอาหาร และ ออกซิเจนไปให้เซลล์
2. นาของเสียที่เซลล์ไม่ต้องการไปขจัดออก
นอกร่างกาย
3. ระบบลาเลียงสารภายในร่างกายที่สาคัญ
4. ระบบป้องกันด้วยระบบภูมิคุ้มกัน
74
- 75. เลือด ( Blood )
• ถ้าเราเจาะเลือดใส่หลอดทดลอง แล้วนาไปปั่น
แยกจะพบว่าเลือดถูกแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ
- เซลล์เม็ดเลือด ( Blood cells , Blood
Corpuscle )
- น้าเลือด หรือ พลาสมา ( Plasma )
พลาสมา
55 %
เม็ดเลือด
45 % 75
- 78. เม็ดเลือด ( Blood cells )
ประกอบด้วย เม็ดเลือดแดง ( Red blood
cell ) , เม็ดเลือดขาว ( White blood
cell ) และ เกร็ดเลือด ( Platelet )
78
- 83. เม็ดเลือดแดง
( Red Blood Cell : RBC หรือ
Erythrocyte )
• เม็ดเลือดแดงมีรูปร่างกลมแบน ตรงกลางมี
รอยบุ๋ม
• ไม่มีนิวเคลียส
• ขนาดประมาณ 7 ไมโครเมตร
• เม็ดเลือดแดงจะถูกสร ้างที่ไขกระดูก
• ภายในเม็ดเลือดแดงมี ฮีโมโกลบิล (
Hemoglobin ) 83
- 85. เม็ดเลือดแดง
( Red Blood Cell : RBC หรือ
Erythrocyte )
• อัตราการสร ้างเม็ดเลือดแดงเปลี่ยนแปลงได้
ขึ้นกับปริมาณออกซิเจนในเลือด ถ้า
ออกซิเจนต่า หรือร่างกายสูญเสีย เลือด จะมี
ผลเร่งให้ไขกระดูกสร ้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น
• เม็ดเลือดแดงจะมีอายุประมาณ 120 วัน เมื่อ
หมดอายุการใช้งาน
จะถูกทาลายที่ม้าม 85
- 86. เม็ดเลือดแดง
( Red Blood Cell : RBC หรือ
Erythrocyte )
• จานวนเม็ดเลือดแดงในผู้ชายมีปริมาณมากกว่า
ผู้หญิง
ในผู้ชายมีประมาณ 5 – 5.5 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1
ลูกบาศก์มิลลิเมตร
• ผู้หญิงมีประมาณ 4.5 – 5 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1
ลูกบาศก์มิลลิเมตร
86
- 89. Hemoglobin
• Hemoglobin = Heme +
Globin
• ฮีม ( Heme ) มีธาตุเหล็ก เป็น
องค์ประกอบสาคัญ ถ้าร่างกายขาด
ธาตุเหล็ก จะทาให้สร ้างฮีมได้ไม่พอ ซึ่ง
ส่งผลต่อการสร ้างฮีโมโกลบิน และการ
สร ้างเม็ดเลือดแดง ทาให้สร ้างได้
ปริมาณน้อย และคุณภาพของเม็ด 89
- 94. เม็ดเลือดขาว
( White Blood Cell : WBC หรือ
Leukocyte )
• เม็ดเลือดขาวมีขนาดใหญ่กว่าเซลล์เม็ด
เลือดแดง
• เม็ดเลือดขาวมีจานวนน้อยกว่าเม็ด
เลือดแดง
• เป็ นเซลล์ที่มีนิวเคลียส ไม่มีฮีโมโกลบิน
• มีนิวเคลียสรูปร่างต่าง ๆ กัน
• เม็ดเลือดขาวมีการสร ้างออกมาตลอด 94
- 95. เม็ดเลือดขาว
( White Blood Cell : WBC หรือ
leukocyte )
• อวัยวะสาหรับสร ้างเม็ดเลือดขาว ได้แก่
ไขกระดูก , ต่อมน้าเหลือง , ต่อมทอมซิล
เป็นต้น
• จานวนเม็ดเลือดขาวปกติจะมีประมาณ
5,000 – 10,000 เซลล์ต่อเลือด 1
ลูกบาศก์มิลลิเมตร
• จานวนเม็ดเลือดขาวเปลี่ยนแปลงได้ตาม
อายุ เพศ และ สภาวะอื่นๆ 95
- 98. เม็ดเลือดขาว
( White Blood Cell : WBC หรือ
leukocyte )
• กรณีที่ร่างกายมีการติดเชื้อ แพทย์จะ
ตรวจหาปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่ง
จะเพิ่มขึ้นเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่
ร่างกาย
• แต่การเป็นโรคบางชนิดเซลล์เม็ดเลือด
ขาวอาจจะลดลงได้ เช่น โรคเอดส์
98
- 100. เม็ดเลือดขาว แบ่งออกเป็ น 5 ชนิด
1. นิวโตรฟิ ล ( Neutrophil )
มีประมาณ 60–70 % ของเม็ดเลือดขาว
ทาหน้าที่
มีหน้าที่ทาลายเชื้อ แบคทีเรีย ถ้าร่างกายมี
การติดเชื้อแบคทีเรีย จะทาให้นิวโทรฟิลสูงขึ้น
ค่าปกติ ประมาณ 50-60%
100
- 101. เม็ดเลือดขาว แบ่งออกเป็ น 5 ชนิด
2. อีโอสิโนฟิ ล ( Eosinophil )
มีประมาณ 2 – 4 % ของเม็ดเลือดขาว
ทาหน้าที่
เกี่ยวข้องกับการเกิดปฏิกริยาภูมิแพ้ และ
การติดเชื้อจากพยาธิ
101
- 102. เม็ดเลือดขาว แบ่งออกเป็ น 5 ชนิด
3. เบโซฟิ ล ( Basophil )
มีประมาณ 0.5 – 1 % ของเม็ดเลือดขาว
ทาหน้าที่
ทาลายเชื้อโรคโดยการหลั่งเอนไซม์หรือ
สารเคมี
102
- 103. เม็ดเลือดขาว แบ่งออกเป็ น 5 ชนิด
4. ลิมโฟไซท์(Lymphocyte)
มีประมาณ 20 – 25 % ของเม็ดเลือดขาว
ทาหน้าที่
สร ้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ต่อสู้ การติด
เชื้อแบคทีเรียเรื้อรังและการติดเชื้อ ไวรัส
เฉียบพลัน
103
- 104. เม็ดเลือดขาว แบ่งออกเป็ น 5 ชนิด
Atypical Lymphocyte
คือ เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte ที่มี
รูปร่างแปลกๆ และตัว
โตผิดปกติ
104
- 105. เม็ดเลือดขาว แบ่งออกเป็ น 5 ชนิด
5. โมโนไซท์( Monocyte )
มีประมาณ 3 – 8 % ของเม็ดเลือดขาว
ทาหน้าที่
ทาลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ ร่างกาย ซึ่งมี
ประสิทธิภาพในการกลืนกินเซลล์สูงกว่า
neutrophils ซึ่งสามารถย่อยเชื้อจุลชีพ
ต่างๆ ได้มากกว่า ถึง 10 เท่า
105
- 109. เกร็ดเลือด ( Platelets หรือ
Thrombocyte )
• มีรูปร่างไม่แน่นอน ไม่มีนิวเคลียส ขนาด 1-2
ไมโครเมตร
• เกร็ดเลือดไม่ใช่เซลล์แต่เป็นชิ้นส่วนของไซ
โตพลาสซึมของเซลล์ชนิดหนึ่งในไขกระดูก
• เป็นตัวการสาคัญในกระบวนการแข็งตัวของ
เลือด
• ปกติจะมีเกร็ดเลือดประมาณ 250,000 –
300,000 เซลล์ต่อเลือด 1 ลบ.ซม.
109
- 110. หน้าที่ของเกร็ดเลือด
1. การรักษาความสมดุลภายในหลอดเลือด (
hemostasis )
2. ช่วยทาให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล
- ปริมาณของเกร็ดเลือดที่มากเกินไปทา
ให้เกิดการแข็งตัว ของเลือดได้ง่าย และ
นาไปสู่การเกิดก้อนลิ่มเลือดอุดตัน เ ส้ น
เลือดได้
- ปริมาณของเกร็ดเลือดน้อยเกินไปก็ ทา
ให้เกิดความ ผิ ด ป ก ติ ใ น
กระบวนการห้ามเลือด เกิดเลือดไหลหยุด
110
- 113. พลาสมา ( Plasma )
พลาสมา ( Plasma ) หรือ น้าเลือด
- เป็นส่วนที่เป็นของเหลวในเลือด มีสีเหลืองใส
- ช่วยลดความหนืดของเลือด และทาให้เลือด
ไหลเวียนได้ง่าย
113
- 114. ส่วนประกอบของพลาสมา ( Plasma
)
- น้า : ร ้อยละ 90 - 93
- โปรตีน : ร ้อยละ 7 - 10
- แร่ธาตุ
- ก๊าซ Oxygen ,
Carbondioxide
- ฮอร ์โมน , แอนติบอดี , เอนไซม์ ,
น้าย่อย , สารอาหาร , ของเสีย
114
- 118. ระบบการห้ามเลือด ( Hemostasis )
• ระบบการทางานของร่างกายเพื่อรักษา
สมดุลของเลือดให้คงสภาพเป็น
ของเหลวที่ไหลเวียนไปทั่วร่างกายใน
ภาวะปกติ และเปลี่ยนสภาพเป็ นลิ่ม
เลือดเพื่อป้องกันการสูญเสียเลือดออก
นอกหลอดเลือดในภาวะที่มีการทาลาย
ของหลอดเลือด
118
- 119. ระบบการห้ามเลือด ( Hemostasis )
• การทางานของระบบการห้ามเลือดนี้
จาเป็ นต้องอาศัยปัจจัยที่สาคัญ คือ
–หลอดเลือด ( Blood vessel )
– เกร็ดเลือด ( Platelet )
–ปัจจจัยการแข็งตัวของเลือด (
Coagulation factors )
119
- 120. กลไกการห้ามเลือด ( Hemostasis )
Thromboplastin
Platelet
เนื้อเยื่อที่ได้รับ
อันตราย
Prothrombin Thrombin
Fibrinogen Fibrin
ร่างแห Fibrin
เลือดแข็งตัว ( Clot ) 120
- 128. Complete Blood Count ( CBC )
• การเก็บเลือดเพื่อตรวจ โดยเจาะเลือดจากเส้น
เลือดดาบริเวณ ข้อแขนหรือข้อมือ ใช้ปริมาณ
ประมาณ 2.5 - 3 มิลลิลิตร
• เลือดที่ใช้ในการตรวจ CBC จะต้องเป็ น
เลือดที่อยู่ในหลอดแก้วที่มีสารกันเลือด
แข็งที่เรียกว่า EDTA ตาม อัตราส่วนที่
เหมาะสม เพื่อป้องกันการแข็งตัวของเลือดที่จะ
ตรวจ 128
- 131. การตรวจ CBC ประกอบด้วย
• การวัดระดับฮีโมโกลบิน ( Hemoglobin , Hb )
• การหาปริมาตรอัดแน่นของเม็ดเลือดแดงซึ่ง
เรียกว่า
ฮีมาโตคริต ( Hematocrit , Hct )
• การนับจานวนเม็ดเลือดขาว ( White blood
cell count )
• การนับจานวนเกร็ดเลือด และการตรวจเกร็ด
เลือด ( Platelet count )
• การนับแยกชนิดเม็ดเลือดขาว ( Differential
131
- 133. การวัดระดับฮีโมโกลบิน (
Hemoglobin , Hb )
• คือ การวัดระดับฮีโมโกลบิน (
Hemoglobin , Hb )
• ค่าฮีโมโกลบินที่ลดลงอาจเกิดจากการเสีย
เลือด และการขาด
สารอาหาร โลหิตจาง โดยเฉพาะการขาด
ธาตุเหล็กใช้บอกภาวะโลหิตจาง
133
- 135. Hematocrit ( ปริมาณเม็ดเลือดแดง
อัดแน่น )
• คือ ร ้อยละของปริมาตรเม็ดเลือดแดงต่อ
ปริมาตรของเลือดที่เจาะจากหลอดเลือด
หลังจากปั่นแล้ว
• ค่า Hct มีประโยชน์ในการบอกความ
เข้มข้นของเม็ดเลือดแดง
• ค่านี้สามารถใช้บอกภาวะโลหิตจาง ได้
135
- 141. การตรวจดูสเมียร ์เลือด ( Blood
smear )
• ทาให้ให้เซลล์เม็ดเลือดกระจายตัวออก เพื่อ
ตรวจสอบเม็ดเลือดได้ง่าย
• การตรวจสเมียร ์เลือดทาให้สามารถตรวจพบ
ความผิดปกติของ morphology ( รูปร่าง ,
ลักษณะ ) ของเม็ดเลือดแดงได้
• ใช ้ในการนับแยกชนิดของเม็ดเลือดขาว
141
- 143. การตรวจเม็ดเลือดขาว
( White Blood Cell : WBC หรือ
leukocyte )
การตรวจเม็ดเลือดขาวแบ่งการตรวจได้เป็น 2
ส่วน คือ
- การนับจานวนเม็ดเลือดขาว
( White blood cell count )
- การนับแยกชนิดของเม็ดเลือดขาว
( Differential White Blood
Cell Count )
143
- 144. การนับจานวนเม็ดเลือดขาว (
White blood cell count )
• คือ การนับจานวนเม็ดเลือดขาวใน
ปริมาตรของเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร
( cell/cu.mm )
• มีประโยชน์ต่อแพทย์ในการบ่งชี้ภาวะติด
เชื้อ (Infection ) ของผู้ป่วย
• ใช้ในการติดตามการดาเนินของโรค
144
- 145. การนับจานวนเม็ดเลือดขาว ( White
blood cell count )
• จานวนเม็ดเลือดขาว ( White blood cell
count ) เพิ่มมากขึ้นในกรณีของการติด
เชื้อแบคทีเรีย ( Bacterial infections ) ,
ไส้ติ่งอักเสบ , มะเร็งเม็ดเลือดขาว (
Leukemia )
• จานวนเม็ดเลือดขาว ( White blood cell
count ) จะมีค่าต่า
กว่าปกติในกรณีที่ติดเชื้อไวรัส ( Viral
infections )
• การฉายรังสี ( Radiation ) และการใช้ยา 145
- 149. การนับแยกชนิดเม็ดเลือดขาว
( Differential White Blood Cell
Count )
• คือการหาอัตราส่วนของเม็ดเลือดขาวแต่ละชนิดโดย
การนับเม็ดเลือดขาวแต่ละชนิดว่ามีกี่ % ดังนั้นรวมกัน
ทั้งหมดทุกชนิดจะต้องได้ 100 % พอดี
• เม็ดเลือดขาวมีอยู่ 5 ชนิดดังนี้
- Neutrophil
- Lymphocyte
- Monocyte
- Eosinophil
- Basophil 149
- 150. การนับจานวนเม็ดเลือดแดง
( Red Blood Cell Count , RBC )
• การนับจานวนเม็ดเลือดแดงหรือการดูรูปร่าง
ของเม็ดเลือดแดง จะมีรายงานออกมาหลาย
รูปแบบ ตามลักษณะที่มองเห็น
• ช่วยแยกโรคได้หลายอย่าง เช่น บอกว่า
เป็นธาลัสซีเมียได้อย่างคร่าวๆ หรือบอก
ภาวะโลหิตจางจากการขาดเหล็กเป็ นต้น
และบางครั้งอาจจะเห็นเชื้อมาลาเรียอยู่ในเม็ด
เลือดแดงด้วยก็ได้
150
- 153. การนับจานวนเม็ดเลือดแดง
( Red Blood Cell Count , RBC )
Red blood cell count ( RBC count
)
เป็นการนับปริมาณเม็ดเลือดแดงใน
ปริมาตรของเลือด
1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร ( cu.mm. )
153
- 156. Red blood cell indicies
• หรือที่เรียกกันว่าดัชนีเม็ดเลือด
• เป็ นตัวที่ช่วยบ่งชี้ถึงขนาด ( Size ) ของ
เม็ดเลือดแดงและปริมาณฮีโมโกลบินที่อยู่
ในเม็ดเลือดแดงแต่ละเม็ด
• Red blood cell indicies จึงเป็นตัว
ช่วยในการวินิจฉัย และแยกชนิดภาวะ
โลหิตจางชนิดต่าง ๆ
156
- 157. Red blood cell indicies
• Red blood cell indicies
ประกอบด้วยดัชนี 3 อย่าง คือ
- Mean Corpuscular Volume
( MCV )
- Mean Corpuscular
Hemoglobin ( MCH )
- Mean Corpuscular
hemoglobin concentration 157
- 158. Red blood cell indicies
• Mean Corpuscular Volume (
MCV )
เป็นการวัดขนาดของเม็ดเลือดแดง เป็น
อัตราส่วนระหว่าง Hct และเม็ดเลือดแดง
158
- 160. Red blood cell indicies
• Mean cell hemoglobin ( MCH )
เป็นการวัดปริมาณ hemoglobin ในแต่
ละเซลล์ของเม็ดเลือดแดงหรือเป็นการ
คานวณระหว่างปริมาณ hemoglobin
และปริมาณเม็ดเลือดแดง
160
- 162. Red blood cell indicies
• Mean cell hemoglobin
concentration (MCHC)
เป็นการวัดความเข้มข้นของ
hemoglobin ซึ่งคานวณได้จาก
hemoglobin และ Hct
162
- 165. Reticulocyte count
• Reticulocyte คือ เซลล์เม็ดเลือดแดงที่
ยังเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์ หรือ เซลล์เม็ด
เลือดแดงตัวอ่อน
• การนับ Reticulocyte หรือ
Reticulocyte count เป็ นสิ่งสาคัญ
อันหนึ่งในการช่วยวินิจฉัยโรค เพราะเป็น
ตัวที่ช่วยบ่งชี้ถึงการสร ้างเม็ดเลือดแดง
ของไขกระดูกว่าปกติหรือไม่ 165
- 168. โรคไข้มาลาเรีย ( Malaria )
• โรคไข้มาลาเรีย (Malaria) : ไข้ป่า
หรือ ไข้จับสั่น
• เกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัว ชื่อ พลาสโม
เดียม
• ติดต่อสู่คนโดยการถูกยุงก้นปล่องตัวเมียที่มี
เชื้อมาลาเรียกัด
• หลังจากได้รับเชื้อประมาณ 1-2 สัปดาห์จะมี
อาการนาคล้ายกับเป็นหวัด คือ มีไข้ ปวด
ศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีอาการคลื่นไส้
อาเจียน เบื่ออาหารได้ ลักษณะเฉพาะของโรค
168
- 177. Erythrocyte Sedimentation
Rate
( ESR )
• การทา ESR ไม่สามารถวินิจฉัยโรคที่
จาเพาะเจาะจงได้ แต่ค่าของ ESR สามารถ
บอกชนิดของกลุ่มโรคได้ เช่น กลุ่มที่มีการ
อักเสบ หรือมีการติดเชื้อ
• ใช ้ค่าของ ESR เพื่อติดตามอาการความ
รุนแรงของโรค เช่น โรค Rheumatoid
arthritis เป็นต้น
177
- 182. การตรวจ Screening
Coagulograms
• เป็ นกลุ่มการทดสอบขั้นเริ่มต้นที่ใช ้ใน
ผู้ป่วยที่สงสัยว่าจะมีความผิดปกติของ
ปัจจัยการแข็งตัวของเลือด
• เพื่อให้ทราบว่าความผิดปกตินั้นเกิดขึ้นที่
ส่วนใดของกลไกการแข็งตัวของเลือด
182
- 185. Screening Coagulograms
• การเก็บเลือดเพื่อตรวจ โดยเจาะเลือดจากเส้น
เลือดดาบริเวณ ข้อแขนหรือข้อมือ ใช้ปริมาณ
ประมาณ 2.5 - 3 มิลลิลิตร
• เลือดที่ใช้ในการตรวจ Screening
Coagulograms จะต้องเป็ นเลือดที่อยู่ใน
หลอดที่มีสารกันเลือดแข็งที่เรียกว่า
Sodium Citrate ตาม อัตราส่วนที่เหมาะสม
เพื่อป้องกันการแข็งตัวของเลือดที่จะตรวจ 185
- 186. Prothrombin time ( PT / INR )
• ค่า PT หรือ Prothrombin time เป็นค่า
จากการทดสอบการแข็งตัวของเลือดใน
กระบวนการ Extrinsic system
• ค่า INR หรือ International Normalized
Ratio คือค่าอัตราส่วนของ PT ของผู้ป่วยต่อ
PT ปกติ ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ตั้งขึ้นเพื่อ
เป็ นค่ามาตรฐานสาหรับเปรียบเทียบค่าที่ได้
จากห้องปฏิบัติการ
186
- 188. ประโยชน์ของตรวจ PT / INR
1. ประเมินความผิดปกติในระบบการ
แข็งตัวของเลือดใน Extrinsic
pathway รวมทั้งปัจจัยการแข็งตัว
ของเลือดอื่น ๆ
2. ประเมิน Synthetic function ของ
ตับ
3. โดยทั่วไปจะใช ้ค่า PT & INR ในการ
monitor ผู้ป่วยที่มีการใช ้ยา 188
- 199. การทดสอบ Bleeding Time
• การทดสอบ Bleeding Time หรือ เวลา
เลือดออก
• เป็นการทดสอบที่ใช ้ประเมินการทางานของเกร็ด
เลือด โดยการทาให้เกิดแผลขนาดเล็กที่ตัว
ผู้ป่วย และนับเวลาตั้งแต่เลือดออกจนเลือดหยุด
ไหล
199
- 202. ชนิดของ
หลอด
( สีจุก )
รูปภาพแสดง สารที่มีอยู่ใน
หลอด
เหมาะกับงาน
เกี่ยวกับ
หลอดจุกสี
เขียว
Heparin การตรวจทางเคมี
คลินิกบางอย่าง
Chromosome
และD NA
หลอดจุกสี
ม่วง
EDTA โลหิตวิทยา เช่น
CBC, DNA
202
- 204. วิธีการเขย่า ( mix ) เลือดกับสารที่เคลือบอยู่ใน
หลอด
( Aniticoagulant ) ในหลอดเก็บเลือด
สูญญากาศอย่างถูกวิธี โดยเอียงหลอดพลิก
กลับไปมาในแนว 180 องศา
ไม่ควรเขย่าหลอดแรงๆ เพราะจะทาให้เกิด
hemolysis
204