9789740336167
- 3. 3
เผ่าพันธุ์ไปนานแล้ว ในความเป็นจริง เราท�ำลายทรัพยากร แต่ในการ
ท�ำลายนั้น เราก็มีการสร้างสรรค์ด้วย คนที่มองข้างสร้างสรรค์คิดว่า
การท�ำลายเป็นไปเพื่อการสร้างสรรค์ ส่วนคนที่มองข้างท�ำลายก็คิดว่า
การสร้างสรรค์นั้นที่แท้เป็นการท�ำลาย
ในแง่วัตถุ การประยุกต์ด้วยเทคโนโลยีเป็นรูปแบบส�ำคัญของ
การสร้างสรรค์ คือ มนุษย์ใช้ปัญญาหาเทคโนโลยีมาดัดแปลงธรรมชาติ
เพื่อความสะดวกสบายและเพื่อให้เกิดความสบายแก่ตน เมื่อต้อง
ดัดแปลงธรรมชาติก็ต้องมีการท�ำลายธรรมชาติ การสร้างสรรค์ทาง
วัตถุโดยไม่ท�ำลายเลยย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่ที่ว่าจะสร้างสรรค์คุ้มกับที่ต้อง
ท�ำลายหรือไม่ หากไม่มีการสร้างสรรค์ทางวัตถุ มนุษย์อาจมีความทุกข์
กว่านี้ และอาจต้องท�ำลายธรรมชาติมากกว่านี้ เช่น ถ้าไม่มีเทคโนโลยี
ในการเพาะปลูก ก็ต้องใช้พื้นที่มากขึ้น และพื้นที่เสื่อมโทรมเร็วขึ้น ถ้า
ไม่ผลิตยาที่มีคุณภาพสูง มนุษย์อาจต้องทนทุกข์ทรมานมากแม้ใน
อาการของโรคทั่ว ๆ ไป เช่น อาการไข้ หรืออาการปวดต่าง ๆ มนุษย์มี
ปัญญา มนุษย์จึงรู้จักบรรเทาความทุกข์และท�ำให้ตนสุขสบาย การ
สร้างสรรค์ทางวัตถุจึงเป็นเรื่องน่ายกย่อง และการท�ำลายก็เป็นสิ่งที่
เลี่ยงไม่ได้
ในเมื่อมีทั้งการสร้างและการท�ำลาย ถ้ามนุษย์มีปัญญาจริง
ฉลาดจริงก็ต้องพิจารณาได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ได้มาในการใช้วัตถุ อะไรคือ
สิ่งที่เสียไป พืชหรือสัตว์ การบริโภคอย่างไรเป็นคุณ อย่างไรเป็นโทษ
แก่ตน แก่ส่วนรวม และแก่โลกหรือธรรมชาติ
ความเป็นมนุษย์อยู่ที่การรู้ว่าอะไรควรท�ำ อะไรไม่ควรท�ำ อะไร
เป็นคุณ อะไรเป็นโทษ ไตร่ตรองรอบด้านทุกทิศทาง ทั้งระยะสั้นและ
ระยะยาว ทั้งที่จะเกิดแก่ตน แก่สังคม และแก่ธรรมชาติ แม้ในเรื่อง
- 4. 4
วัตถุก็ต้องใช้ทั้งสติและปัญญาอย่างรอบคอบ ให้เป็นการสร้างสรรค์ที่มี
การท�ำลายน้อยที่สุด เบียดเบียนน้อยที่สุด
ในด้านนามธรรมและจิตใจนั้น การสร้างสรรค์ยิ่งจะต้องประณีต
และสูงส่งกว่าด้านวัตถุ เพราะสามารถจะให้เป็นไปโดยเป็นการสร้าง-
สรรค์อย่างเดียวโดยไม่มีการท�ำลายได้ เช่น การมีความเมตตา การ
เสียสละ ไม่จ�ำเป็นต้องมีการท�ำลายใด ๆ การไม่เบียดเบียน การให้
และการมีจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส เป็นลักษณะสร้างสรรค์ของมนุษย์
ต่อตนเอง ผู้อื่น และส่วนรวม โดยไม่ท�ำลาย มนุษย์มีลักษณะของสัตว์
เช่น ความดุร้าย ความเห็นแก่ตัว แต่มนุษย์ก็สร้างสรรค์ทางใจได้ด้วย
การมีความเมตตาและการให้ ความเป็นมนุษย์ที่แตกต่างจากสัตว์
จึงอยู่ที่การสร้างสรรค์เช่นนี้ และเรายกย่องมนุษย์ว่า “สูงส่ง” ต่อเมื่อมี
คุณสมบัติเช่นนี้ ศาสนาทั้งหลายจึงสอนให้ละชั่ว ท�ำดี และท�ำใจให้
บริสุทธิ์ผ่องใส มิได้สอนให้คิดแต่จะเอาชนะ ท�ำลาย เบียดเบียน โดย
ค�ำนึงถึงแต่ประโยชน์ของตนหรือความสุขทางวัตถุอย่างเดียว
การพัฒนาที่ท�ำลายความเป็นมนุษย์
การพัฒนาทางวัตถุนั้น แม้ที่เป็นการสร้างสรรค์ก็ยังมีการท�ำลาย
และจะมีการท�ำลายมากขึ้นหากการพัฒนานั้นเป็นไปด้วยความโลภ
ความหลง ตัณหา และไม่รอบคอบในการใช้ทรัพยากร แต่การท�ำลาย
เช่นนั้นก็ยังเป็นการท�ำลายวัตถุ ซึ่งแม้จะท�ำให้มนุษย์ยากล�ำบาก
ในบั้นปลาย แต่ก็ยังไม่เป็นการท�ำลายลงไปถึงรากเหง้า คือการท�ำลาย
สิ่งนามธรรมที่ส�ำคัญที่สุดอันได้แก่ความเป็นมนุษย์ แต่ถึงกระนั้นก็มิใช่
ว่า การท�ำลายทางวัตถุจะไม่เป็นเหตุให้เกิดการท�ำลายความเป็นมนุษย์
- 5. 5
ในที่สุด เพราะหากการพัฒนานั้นน�ำผลประโยชน์มาให้ และความ
ละโมบท�ำให้เกิดการแสวงหาก�ำไรอย่างไม่สิ้นสุด ความละโมบนั้น
ก็อาจท�ำให้คนเราท�ำสิ่งเลวร้ายเช่นเบียดเบียนผู้อื่นอย่างโหดเหี้ยมหรือ
ท�ำลายชีวิตผู้ที่ขัดผลประโยชน์ได้ เท่ากับความโลภนั้นได้ท�ำลายหนทาง
แห่งความดีงาม และฉุดลากคนผู้นั้นไปสู่ความชั่ว
การพัฒนาที่ท�ำลายความเป็นมนุษย์จนถึงรากเหง้าคือการพัฒนา
ทางความคิดโดยขาดความไตร่ตรองอย่างรอบคอบ และการตกเป็น
ทาสความคิดโดยไม่พิจารณาข้อดีข้อเสีย โดยเฉพาะความคิดที่เป็น
ระบบใหญ่ซึ่งครอบคลุมสังคม เช่น การเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งเปลี่ยน
ความคิดคนทั้งในเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจอันเป็นวิถีชีวิตโดยตรง
กับเปลี่ยนวิธีคิดให้ไปตามมโนทัศน์ที่มาจากระบบเหล่านั้น โดยผ่าน
ทางระบบการศึกษาอันเป็นการท�ำลายอย่างเป็นระบบโดยความศรัทธา
ในความคิดความเชื่ออย่างใหม่จนเห็นทุกสิ่งที่แตกต่างหรือเป็นของเดิม
เป็นจุดอ่อนและความเลวร้าย ในเนื้อที่อันจ�ำกัดนี้จะขอยกตัวอย่าง
ความไม่รอบคอบในการพัฒนาความคิดสัก 2 เรื่อง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่
พบเห็นกันได้ทั่วไป
เรื่องแรก คือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับคนไข้ที่เปลี่ยน
ไป ในสมัยโบราณ แพทย์คือชาวบ้านธรรมดาที่รู้วิชาแพทย์แผนโบราณ
อาชีพการงานปกติมิใช่แพทย์แต่เป็นช่างบ้างเป็นกสิกรบ้างค้าขายบ้าง
เมื่อชาวบ้านเจ็บป่วยก็ใช้วิชาแพทย์ที่ตนรู้ช่วยเหลือ ค่ารักษาพยาบาล
ก็มักสุดแท้แต่ฐานะของคนไข้ ใครมีก็เก็บค่ารักษา ใครไม่มีก็ช่วยเหลือ
แบบให้เปล่า ค่ารักษาส่วนมากก็เก็บเป็นค่ายกครูเล็ก ๆ น้อย ๆ
ชาวบ้านจึงเป็นผู้พึ่งแพทย์ และแพทย์เป็นผู้มีความการุณย์ แพทย์ให้
การรักษา ส่วนชาวบ้านให้ความเคารพรัก ความไว้วางใจ เงินทองและ
- 6. 6
สิ่งตอบแทนอื่น ๆ เป็นเครื่องตอบแทนโดยถือเป็นเครื่องหมายของ
ความเคารพรัก มิใช่ค่าจ้าง แพทย์จึงเป็นดุจเทพเจ้าของชาวบ้าน หาก
โรคภัยไข้เจ็บรุนแรงและคนไข้ต้องเสียชีวิต หรือแพทย์วินิจฉัยโรค
ผิดพลาด ยามีไม่พร้อม ก็ไม่ถือว่าเป็นความบกพร่องของแพทย์ แต่ถือ
ว่าเป็นเรื่องโชคร้ายหรือเคราะห์กรรมของคนไข้ ไม่มีใครมองแพทย์
ไปในแง่ร้าย ความรู้สึกนี้เผื่อแผ่ต่อมาถึงแพทย์แผนปัจจุบันด้วย
ในระยะแรก ๆ ที่มีการแพทย์สมัยใหม่ มีโรงพยาบาลของรัฐ
เกิดขึ้น ความรู้สึกดังกล่าวนี้ก็ยังคงอยู่ แต่เมื่อนานเข้า พลเมืองเพิ่มขึ้น
โรงพยาบาลขยายไม่ทัน แพทย์เปิดคลินิก ชาวบ้านส่วนหนึ่งที่พอมี
เงินทองก็ไปรักษาที่คลินิก รายได้จากการท�ำคลินิกท�ำให้ฐานะของ
แพทย์บางคนดีขึ้นเกิดความเห็นในหมู่คนทั่วไปว่า“เรียนหมอแล้วรวย”
คนส่วนหนึ่งจึงเข้าเรียนวิชาแพทย์ด้วยเหตุดังกล่าว ครั้นเรียนจบแล้ว
ไปตั้งคลินิก คลินิกบางสาขา เช่น ทันตกรรม ต้องลงทุนค่าอุปกรณ์แพง
แม้แพทย์สาขาที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากนักก็ต้องลงทุนค่าตึกแถว ค่ายา
ค่าจ้างคนจ่ายยา ท�ำให้ค่ารักษาแพงขึ้น ยิ่งเป็นคลินิกที่บริการดี เป็น
ที่นิยมของคนมีฐานะดี ค่ารักษาก็ยิ่งแพง ยิ่งขยายเป็นโพลีคลินิก หรือ
โรงพยาบาลที่ต้องมีทั้งอุปกรณ์และการบริการดียิ่งขึ้นไปอีก ก็ต้องคิด
ค่าใช้จ่ายสูงเป็นเงาตามตัว
คนไข้ฐานะดีมักเป็นผู้มีความรู้ มีความคาดหวังผลการรักษาสูง
ไม่ต้องการให้มีความผิดพลาดในการรักษา จึงเริ่มมองเห็นแพทย์เป็น
คู่สัญญา เริ่มเรียกร้องสิทธิที่จะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับการรักษา เริ่มไม่
ไว้วางใจแพทย์ เช่น ตรวจรักษากับแพทย์มากกว่า 1 คน เพื่อจะให้แน่ใจ
ว่าการวินิจฉัยถูกต้อง และพร้อมจะโทษแพทย์ถ้าเกิดความผิดปกติ
อย่างใดอย่างหนึ่งในช่วงที่รักษา ยิ่งมีกรณีที่สื่อมวลชนลงข่าวความ
- 7. 7
ผิดพลาดของแพทย์ ความกลัวนั้นก็ขยายวง เพิ่มความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ
แพทย์มากขึ้นอีก จนถึงในที่สุดมีการฟ้องร้องแพทย์อยู่เนือง ๆ โดยที่
บางครั้งแพทย์มิได้ท�ำผิด
เมื่อแพทย์ตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ ก็ต้องพยายามรักษาโดยไม่ยอม
เสี่ยง แม้ว่าการเสี่ยงจะเป็นโอกาสให้คนไข้หายจากโรคได้ก็ตาม แพทย์
จะรู้สึกถูกกดดันในกรณีที่ต้องรักษาคนที่สื่อมวลชนให้ความสนใจ เช่น
นักดนตรีหรือดารา แพทย์รู้สึกว่าท�ำงานอย่างเสี่ยงต่อการเป็นจ�ำเลย
ของสื่อมวลชน สังคม และจ�ำเลยในศาลได้ง่าย แพทย์ต้องอดทนต่อ
ค�ำต่อว่าของคนไข้และญาติที่ไม่เข้าใจ ฐานะเทพเจ้าผู้เป็นที่พึ่งได้เปลี่ยน
ไปอย่างมาก ยิ่งแนวคิดทางจริยศาสตร์ที่พัฒนามาจากการเมือง คือ
เรื่องสิทธิเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น สิทธิของผู้ป่วย ก็ยิ่งเกิดปัญหาแก่แพทย์
มากขึ้น ในแง่ดีอาจมองได้ว่าท�ำให้แพทย์รอบคอบขึ้น แต่ในอีกแง่หนึ่ง
ก็เป็นการแสดงว่าความไว้วางใจแพทย์หมดไป เพราะความสัมพันธ์เชิง
สิทธิและพันธสัญญานั้นมาจากจิตใจที่ปราศจากความไว้วางใจผู้อื่น จึง
ต้องหาทางป้องกันตัว ความสัมพันธ์ชนิดนี้ท�ำให้ปลอดภัยจากคนที่คิด
ชั่ว แต่ก็ท�ำลายความสัมพันธ์แบบไว้วางใจคนดีไปด้วย แพทย์และคนไข้
ต่างระแวง ระวัง และเตรียมป้องกันตัวตลอดเวลา เมื่อหายจากโรค
ก็โล่งอกด้วยกันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่โล่งอกเพราะโรคหายอย่างเดียว แต่
โล่งอกเพราะไม่ต้องไปสู้กันในศาลหรือในสื่อมวลชน
ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับคนไข้แบบที่มนุษย์ร่วมโลกพึงมี
ต่อกันในอดีต ความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความไว้วางใจ เมตตาการุณย์
มนุษยธรรมและเป็นมิตรได้สูญสิ้นไปพร้อมกับความเจริญทางเทคโนโลยี
ด้านการแพทย์ และเมื่อความสัมพันธ์กลายเป็นเรื่องสิทธิแบบเดียวกับ
การเมือง การแพทย์ก็กลายเป็นธุรกิจมากขึ้น เพราะไม่มีคุณค่าทาง
- 8. 8
จริยะที่มนุษย์พึงยึดถือปฏิบัติเหลืออยู่ เมื่อแพทย์ไม่ได้รับความเคารพ
นับถืออย่างอดีต ก็ไม่มีอะไรที่เป็นหลักธรรมประจ�ำใจให้ต้องช่วยเหลือ
คนไข้ คนไข้ก็จะมีฐานะเป็นลูกค้าเหมือนธุรกิจทั้งหลาย ไม่มีเงินก็ไม่มี
โอกาสได้รับการรักษา นอกจากนั้นแพทย์เองก็มักอยู่ในฐานะลูกจ้าง
ของรัฐหรือเอกชน ที่ต้องท�ำตามระเบียบของหน่วยงานหรือบริษัท ไม่มี
สิทธิที่จะคิดตัดสินใจเอง แม้ว่าแพทย์จ�ำนวนมากจะยังเป็นผู้มีคุณธรรม
อย่างในอดีตอยู่ก็ตาม
ความเป็นมนุษย์และความเป็นเพื่อนมนุษย์ที่มีคุณธรรมที่รู้จัก
คุณค่านามธรรมก�ำลังจะหมดไป เทคโนโลยีและระบบต่าง ๆ ไม่ว่า
เศรษฐกิจ การเมือง การบริหารจัดการ ระบบสังคมที่เห็นกันว่าเป็น
ความเจริญนั้น แม้ช่วยจัดระเบียบและมีข้อดีอยู่มาก แต่หากลืมคุณค่า
ทางด้านมนุษยธรรมเสียแล้ว มนุษย์ก็จะสูญเสียสิ่งดีงามและความ
สุขใจ ในวันข้างหน้า มนุษย์อาจไม่รู้จักและไม่รู้ว่าคุณค่าเหล่านั้นเคยมี
อยู่ในชีวิตประจ�ำวัน และจะไม่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่เป็นจริงส�ำหรับมนุษย์ได้
เรื่องที่ 2 คือ เรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรมที่เป็น
การท�ำลายความสัมพันธ์ของครอบครัว ในปัจจุบันมีรายการโทรทัศน์
ที่เสนอข่าวพ่อแม่วัยชราที่พิการ เจ็บป่วย หรืออ่อนแรงจนท�ำมาหากิน
ไม่ได้ ถูกลูกหลานที่ไปท�ำงานที่อื่นทอดทิ้ง บางครั้งยังน�ำลูกมาให้เลี้ยง
โดยไม่ส่งเงินค่าเลี้ยงดูและไม่เคยมาดูแล รายการโทรทัศน์เช่นนี้มี
มานานนับปี คนแก่นอกจากที่รายการเหล่านี้น�ำมาเสนอจะต้องมีอยู่
อีกมากมาย ความกตัญญูรู้คุณของลูก ๆ หายไปไหน เพราะเหตุใด
เหตุประการหนึ่งก็คือ ขาดการอบรมที่ดีไม่ว่าจากตัวพ่อแม่เองหรือจาก
สถานศึกษา ที่ส�ำคัญที่สุดคือ จากสภาพสังคมที่ไม่ให้ความส�ำคัญแก่
คุณค่านามธรรม
- 9. 9
การพัฒนาเศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรมซึ่งก็รวมถึงการค้าแบบ
ธุรกิจด้วย เน้นเรื่องของเงินเป็นเรื่องใหญ่ เกิดด้วยเงิน วัดด้วยเงิน อยู่
ด้วยเงิน และก้าวหน้าเพิ่มพูนด้วยเงิน ในเวลาเดียวกัน กิจกรรมชนิดนี้
ก็รุกล�้ำท�ำลายเกษตรกรรม กิจการเล็ก ๆ การค้าขายของชาวบ้านลง
เรื่อย ๆ เงินทองที่หายากในท้องไร่ท้องนา หาได้ง่าย ๆ ในโรงงานที่อยู่
ในเมือง ชีวิตที่ฟุ่มเฟือย อบายมุขและเสรีทางเพศที่หาได้ยากใน
หมู่บ้าน ซื้อได้ง่ายในเมือง
ความอยากจะมีความสุขแบบคนเมือง ดูดคนชนบทเข้าสู่เมือง
เข้ามามีอาชีพในเมือง เข้ามาท�ำงาน มาเรียนในเมือง แล้วไม่กลับบ้าน
ในชนบท เพราะที่นั่นไม่มีอะไร คนหนุ่มคนสาวเข้าเมือง ทิ้งพ่อแม่ไว้ที่
บ้าน แต่เงินทองที่ได้มากกว่าชนบทนั้นก็ไม่พอใช้ส�ำหรับชีวิตในเมือง
จึงไม่มีส่งให้พ่อแม่ ชีวิตที่เร้าใจกว่าชนบทท�ำให้ยอมจนอยู่ในเมือง จึง
ไม่กลับไปหาพ่อแม่ เมื่อมีครอบครัวต้องรับผิดชอบก็ยิ่งไม่สามารถจะ
ดูแลพ่อแม่ ครั้นมีปัญหาครอบครัวบ้าง ปัญหาการท�ำงานบ้าง จากการ
มีลูกบ้าง ทางออกก็คือ เอาลูกไปทิ้งให้พ่อแม่ซึ่งพึ่งตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว
เลี้ยงดู ไม่ว่าจะมีรายการโทรทัศน์ดังกล่าวสักกี่ช่องก็ช่วยคนแก่ที่ถูก
ทอดทิ้งเหล่านี้ไม่หมด เพราะคนที่ควรรับผิดชอบแต่ไม่รับผิดชอบนี้
มีมาก คนที่ใจบุญสุนทานแม้มีมากก็คงช่วยได้ไม่มากนัก
เศรษฐกิจแบบใหม่ที่พัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ นี้ท�ำให้คนคิดแต่เรื่อง
เงิน อะไรที่ไม่ท�ำให้ได้เงินถือว่าไม่มีคุณค่า ยิ่งท�ำให้เสียเงินด้วยแล้ว
ยิ่งเป็นศัตรูกับเศรษฐกิจแบบนี้ คนรับจ้างฆ่าคนรายละไม่กี่พันบาท
คนหลอกเด็กสาวไปขายบริการทางเพศ พรากทารกจากพ่อแม่ไปขาย
ตีเขาจนตายเพียงเพราะต้องการ “มือถือ” ปาดคอฆ่าคนขับแท็กซี่
เพื่อเอาเงินไปเที่ยวสถานบันเทิง เอายาเสพติดผสมน�้ำหวานให้เด็กกิน
- 10. 10
เพื่อจะให้เป็นผู้ซื้อขายยาเสพติด ฯลฯ ความเลวร้ายเหล่านี้เกิดขึ้น
เพราะคนเราเห็นเงินเป็นสิ่งส�ำคัญที่สุด ไม่คิดถึงความทุกข์ของใคร
ไม่คิดถึงความดีงามใด ๆ เงินเป็นประโยชน์ แต่ถ้าไม่รู้จักคุณค่าอื่น ๆ ที่
คนควรมี เงินก็ก่อให้เกิดการท�ำร้าย ท�ำลาย และเห็นความชั่วเป็น
ความดีได้
การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เราด�ำเนินการกันมา
ที่แท้แล้วก็เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมทุนนิยม ซึ่งเป็นการพัฒนา
ความเห็นแก่เงินและเห็นแก่ตัว เป็นการพัฒนาให้เงินบดบังและสกัดกั้น
การพัฒนาคุณค่าของความเป็นคนโดยวิธีเอาเงินเป็นจุดหมาย เป็น
ตัวตั้ง อะไรที่ไม่น�ำไปสู่เงินก็ถูกสกัดกั้น เพราะไม่คุ้มค่า ไม่ท�ำให้เงิน
งอกเงย ในปัจจุบัน ความดีแม้เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น บนรถโดยสาร ผู้ชาย
จะสละที่นั่งให้ผู้หญิงหรือเด็กนั้นหาแทบไม่ได้ ผิดกับเมื่อ 40 ปีที่แล้ว
ผู้ชายจะแย่งกันสละที่นั่ง สมัยนี้ไม่สละยังพอท�ำเนา ถึงกับแย่งที่นั่งก็มี
แม้ที่ที่เขาจัดไว้ส�ำหรับพระภิกษุ ก็แย่งนั่งจนพระภิกษุที่ขึ้นรถมาแล้ว
ต้องกลับลงจากรถไป สังคมที่คนเห็นแก่ตัวถึงเพียงนี้ ย่อมไม่อาจเป็น
สังคมที่คนเห็นแก่ส่วนรวมแก่ชาติได้เลยไม่ว่าจะโฆษณาประชาสัมพันธ์
สักเพียงไร เพราะพลังเงินแรงกว่า คนอาจจะขายชาติได้ง่าย ๆ เพราะ
นึกไม่ออกว่าความรักชาติเป็นอย่างไร คนอาจทรยศกันง่าย ๆ เพื่อเงิน
ทั้งหมดนี้ก็เนื่องจากขาดการพัฒนาคนให้มีความเป็นคน และที่ขาด
การพัฒนาก็เนื่องจากการพัฒนาดังกล่าวต้องใช้เงิน แต่มักไม่ได้เงิน
แม้แต่ในการศึกษาเราก็เอาใจใส่การมีคอมพิวเตอร์มากๆให้เด็ก
เก่งคอมพิวเตอร์ แต่ไม่เอาใจใส่ให้โรงเรียนเป็นโรงเรียนที่นักเรียน
ประพฤติตัวดีมีศีลธรรม แม้ในปัจจุบันจะมีโรงเรียนวิถีพุทธ แต่ดูวิธีการ
แล้วก็เป็นเรื่องแฟชั่น และเป็นเครื่องหมายว่าวิชาพระพุทธศาสนา