วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ
Research And Development Health System Journal
82
ความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อาเภอสหัสขันธ์
จังหวัดกาฬสินธุ์
Knowledge and Attitude About SEX Education of Mattayomsuksa 1 Student
Amphoe Sahassakhan, Kalasin
เจษฎา สุระแสง*1
, รุ่งนภา เอกตาแสง*1
และนัยนา กล้าขยัน*1
Jedsada Surasang*1
, Rungnapa Ektasaeng*1
and Naiyana Klakhayan*1
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาใน อาเภอสหัสขันธ์
จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามตัวแปรเพศ และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็น
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในอาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ จานวน 307 คน เป็นชาย 144 คน และเป็นหญิง
163 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล เป็นแบบทดสอบ
และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ คะแนนเฉลี่ย ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที (t-test) และหา
ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson product moment correlation coefficient) โดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูป
ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในอาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษา
อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาอยู่ในระดับดี นักเรียนที่มีเพศต่างกัน มีความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับ
เพศศึกษาแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05(p = .000) ความรู้กับทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา มีความสัมพันธ์กัน
ทางบวก อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05(p = .000)
คาสาคัญ: ความรู้, ทัศนคติ, เพศศึกษา และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
Abstract
The objectives of this research were to study and compare the knowledge and the attitude about SEX education of
Mattayomsuksa 1 student of Amphoe Sahakhan , Kalasin Province. The studied variable was sex. The correlation between
knowledge and attitude about SEX education of Mattayomsuksa 1 Student of Amphoe Sahassakhan, Kalasin Province.
The sample in this study were 307 student from secondary schools in Amphoe Sahakhan, Kalasin Province, 144 males
and 163 females by purposive sampling technique. Test and questionnaires were used to collect the data. Percentage ,
arithmetic mean, standard deviation, t-test and Pearson product moment correlation coefficient were used to analyze data.
The results of this study were as follows: The student has the medium level of knowledge about SEX education but
attitude was at the high level. The knowledge and the attitude about SEX education of the student with different in their
sex were different the significant level at .05 (p = .000) There were positive correlations between the knowledge and the attitude
about SEX education and had significant level at .05 ( p = .000).
Key word: Knowledge, Attitude, SEX education, Mattayomsuksa 1 student
1
สานักงานสาธารณสุขอาเภอสหัสขันธ์ อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ 46140
วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ
Research And Development Health System Journal
83
บทนา
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความสามารถใน
การคิดการแก้ปัญหา มีคุณธรรม เป็นผู้มีสุขภาพจิต
และสุขภาพกายที่ดีนั้นย่อมนามาซึ่งความมั่นคง
ทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรมให้แก่
ประเทศ เพราะคนเป็นปัจจัยที่บ่งบอกถึงความสาเร็จ
ของ การพัฒนาทุกเรื่องโดยเน้นให้คนทุกคนได้รับ
การพัฒนาศักยภาพของแต่ละคนอย่างเต็มที่ทั้ง
ร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา สังคมโลกในอนาคต
นอกจากต้องการความเก่งแล้วจะต้องอาศัยความดี
และความสุขของประชาชนในสังคมควบคู่กันไป
ด้วยจึงจะทาให้สังคมสงบสุข ซึ่งในสภาวะปัจจุบัน
โลกได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว การรับรู้ข้อมูล
ข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทาให้การดาเนินชีวิต
ของคนในปัจจุบันมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะใน
กลุ่มเด็กไปจนถึงวัยรุ่น กลุ่มคนวัยนี้มักจะมี
ความคิด การตัดสินใจและความรับผิดชอบน้อย
ส่งผลให้เกิดปัญหาแก่บุคคลในกลุ่มนี้มากขึ้น ปัญหา
ที่เกิดส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศสัมพันธ์
เช่น การถูกล่อลวงไปข่มขืน การมีบุตรก่อนวัยอัน
ควร การทาแท้ง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และ
โรคเอดส์ ซึ่งมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้น
เมื่อเด็กย่างเข้าสู่วัยรุ่นและระยะเวลาของ
วัยรุ่นที่แตกต่างไปตามลักษณะของเด็กเอง ทั้ง
กรรมพันธุ์ เศรษฐกิจฐานะทางสังคมและการศึกษา
การเรียนรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและ
ปัญหาต่างๆจะคลี่คลายหรือเบาบางลงได้ เมื่อเด็ก
และเยาวชนเริ่มต้นการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษาอย่าง
ถูกต้อง เหมาะสมกับวัย ถ้าไม่มีการสอนจากครู
หรือผู้ปกครอง ช่วยชี้แนะให้เกิดความรู้ความเข้าใจ
เด็กก็จะเสาะแสวงหาแหล่งความรู้จากแหล่งอื่น
ในที่สุดเด็กก็เดินทางผิด เช่น การคบเพื่อนต่าง
เพศที่ไม่เหมาะสม การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอัน
ควร การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ การมีค่านิยมที่
ไม่เหมาะสมในเรื่องเพศ เช่นเดียวกับนักเรียน
มัธยมศึกษา ซึ่งเป็นวัยที่เข้าสู่วัยรุ่น มีการ
เปลี่ยนแปลงลักษณะทางด้านร่างกาย (Physical
Characteristic) ซึ่งเจริญเติบโตขึ้น และมี
พัฒนาการทางเพศ เริ่มมีลักษณะของผู้ใหญ่ มี
ลักษณะทางสังคม (Social Characteristic) คือ
ชอบทาตามกลุ่ม สนใจเพศตรงข้าม และวัยรุ่นหญิง
จะมีพัฒนาการทางเพศเร็วกว่าผู้ชาย ลักษณะทาง
อารมณ์(Emotional Characteristic) มีการแสดงออก
ในทางแข็งกร้าว ต้องการความเป็นอิสระสูง และ
เพ้อฝัน โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับอนาคต การ
ทางานและอาชีพ และลักษณะทางสติปัญญา
(Mental Characteristic) คือมีการพัฒนาการทาง
สมองสูงเกือบเท่าผู้ใหญ่ เพียงแต่ขาดประสบการณ์
พัฒนาการของเด็กวัยนี้ คือเด็กควรรู้หน้าที่ของการ
เป็นชายเป็นหญิงที่ดี การเตรียมตัวมีครอบครัว การ
ได้รับอิสระจากบิดา-มารดาผู้ใหญ่ ได้รับการพัฒนา
ทักษะและเข้าใจเกี่ยวกับการเป็นพลเมืองที่ดี โดย
ยึดถือค่านิยม และคุณธรรมสาหรับเป็นหลักในการ
แสดงพฤติกรรม (พรรณี ช. เจนจิต, 2528:149–151)
ในการพัฒนาคนและคุณภาพของคน หรือสร้างความ
พร้อมให้กับเด็ก ให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้ง
ทางร่างกาย และทางเพศ ในระยะเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น จะ
ช่วยให้เด็กไม่เกิดความเข้าใจผิดในเรื่องเพศ แสดง
วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ
Research And Development Health System Journal
84
พฤติกรรมได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นที่ยอมรับ
ของสังคม
ประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย ยัง
มีการควบคุมสื่อลามกอนาจารได้ไม่เต็มที่ มีการ
ลักลอบการนาสื่อต่าง ๆ เข้ามาเผยแพร่ได้ง่าย
โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น ทาให้เกิดปัญหาสังคมใน
กลุ่มวัยรุ่นมากกว่ากลุ่มอื่น อาเภอสหัสขันธ์ เป็น
อาเภอขนาดกลาง ถึงแม้จะพบปัญหาการถูกข่มขืน
หรือ การมีบุตรระหว่างเรียนไม่สูงมาก แต่นับว่า
เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงานอนามัยแม่และเด็กจาก
การที่รวบรวมสถิติของหญิงตั้งครรภ์และคลอดบุตร
ก่อนอายุ 20 ปี จากข้อมูลงานอนามัยแม่และเด็กทั่ว
ประเทศพบว่า หญิงตั้งครรภ์และคลอดบุตรก่อนอายุ
20 ปี มีมากกว่าร้อยละ 10 ซึ่งจังหวัดกาฬสินธุ์พบ
ข้อมูลถึงร้อยละ 18 สูงกว่าที่กรมอนามัยตั้งเป้าหมาย
ไว้ และข้อมูลของโรงพยาบาลสหัสขันธ์ ในปี
พ.ศ. 2549 พบ 36 ราย จากจานวนคลอดทั้งหมด
240 ราย คิดเป็นร้อยละ 15 และในปี พ.ศ. 2550
พบ 41 ราย จากจานวนผู้คลอด 258 ราย คิดเป็น
ร้อยละ 21.7 (โรงพยาบาลสหสขันธ์, 2550) ซึ่งมี
แนวโน้มที่สูงขึ้น
ด้วยเหตุผลดังกล่าวผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษา
เกี่ยวกับความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาของ
วัยรุ่น โดยเลือกศึกษาวัยรุ่นกลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษา
ชั้นปีที่ 1 ซึ่งเป็นกลุ่มวัยที่กาลังเรียนรู้ในเรื่องเพศ
และมีความเข้าใจในเรื่องเพศในทางที่เหมาะสม
จากการได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง จากสื่อต่างๆ และ
นาข้อมูลไปใช้อ้างอิงในการดาเนินกิจกรรมการให้
ความรู้และสร้างทัศนคติที่ถูกต้องเรื่องเพศสัมพันธ์
แก่นักเรียนมัธยม เพื่อให้มีคุณธรรม จริยธรรม
สามารถดาเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสมตามวัย
ความมุ่งหมายของการศึกษา
1. เพื่อศึกษาความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับ
เพศศึกษาของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1
อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
2. เพื่อเปรียบเทียบความรู้และทัศนคติ
เกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่
1 อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ตามตัวแปรเพศ
3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้
กับทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียนมัธยม
ศึกษาชั้นปีที่ 1 อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
ตามตัวแปร เพศ
ความสาคัญของการศึกษา
1. ทาให้ทราบถึงความรู้กับทัศนคติเกี่ยวกับ
เพศศึกษา ของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 อาเภอ
สหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
2. เป็นข้อมูลพื้นฐานและเป็นแนวทาง
ในการพัฒนาการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาแก่
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ในอาเภอสหัสขันธ์
จังหวัดกาฬสินธุ์
3. เป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดโปรแกรม
สุขศึกษาที่เหมาะสมแก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาใน
อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อให้เกิดความรู้
และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาที่ถูกต้อง เหมาะสม
4. ใช้เป็นแนวทางในการค้นคว้าวิจัย
ครั้งต่อไป
วิธีการศึกษา
การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสารวจ
(Survey research) เพื่อศึกษาความรู้และทัศนคติ
เกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้วิจัย ได้นา
แนวคิดทฤษฎีและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาเป็น
วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ
Research And Development Health System Journal
85
แนวทางการสารวจในครั้งนี้ โดยผู้วิจัยดาเนินการ
ตามลาดับดังต่อไปนี้
ประชากรและการเลือกกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็น
นักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2551
โรงเรียนมัธยมศึกษา และโรงเรียนขยายโอกาส
เขตอาเภอสหัสขันธ์ 7 โรงเรียน จานวนนักเรียน
360 คน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็น
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นกลุ่มเดียวกับ
กลุ่มประชากรที่มาโรงเรียนในวันที่ไปทาการเก็บ
ข้อมูล จานวน 307 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
1. ลักษณะของเครื่องมือ เครื่องมือที่ใช้
ในการวิจัยครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับ
เพศศึกษา มีลักษณะเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ
โดยกาหนดคาตอบให้เลือก 4 ตัวเลือก
ส่วนที่ 2 แบบสอบถามทัศนคติ
เกี่ยวกับเพศศึกษา มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วน
ประมาณค่า 5 ระดับ คือ เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็น
ด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ซึ่ง
ข้อความที่สร้างขึ้น มีทั้งข้อความทางบวกและทาง
ลบให้เลือก
2. ขั้นตอนในการสร้างเครื่องมือ
2.1 ศึกษา ค้นคว้าความรู้ ตาราวิชาการ
วารสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเพศศึกษาในวัยรุ่น
และทฤษฎีแนวคิดเกี่ยวกับความรู้และทัศนคติ
2.2 ศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการสร้าง
เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบ แบบสอบถาม
จากตารา เอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2.3 พัฒนาแบบทดสอบความรู้ความ
เข้าใจเรื่องเพศ และแบบวัดเจตคติเรื่องเพศ
2.4 นาแบบทดสอบ และแบบสอบถาม
ที่ได้พัฒนาแล้ว ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความ
เที่ยงตรงเชิงเนื้อหา และนาข้อเสนอแนะมาปรับปรุง
แก้ไข
2.5 นาแบบทดสอบและแบบสอบถาม
ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้ (Try - out) กับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนหนองสอ
พิทยาคม อาเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ จานวน
30 คน
2.6 นาแบบทดสอบส่วนที่1
แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษา มาหาความ
ยากง่ายค่าอานาจจาแนก ค่าความเชื่อมั่น
2.7 นาแบบสอบถามส่วนที่ 2
แบบ สอบถามทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา ไปหาค่า
อานาจจาแนก และค่าความเชื่อมั่น
3. เกณฑ์การให้คะแนนและการแปล
ความหมาย
เกณฑ์ในการแปลความหมายของคะแนน
ความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษาแบ่งออกเป็น3 ระดับคือ
(วิเชียร เกตุสิงห์, 2538 : 9)
โดยในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ คิดจาก
คะแนนความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษา จานวน 20 ข้อ
คะแนนเต็ม 20 คะแนน
คะแนนเฉลี่ย ระดับความรู้
14 - 20 ระดับดี
8 - 14 ระดับปานกลาง
0 - 7 ระดับควรปรับปรุง
เกณฑ์การแปลความหมายของคะแนน เพื่อ
จัดระดับทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา แบ่งออกเป็น
วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ
Research And Development Health System Journal
86
3 ระดับ (วิเชียรเกตุสิงห์, 2538 : 10) โดยใน
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ คิดจากคะแนนทัศนคติเกี่ยวกับ
เพศศึกษาจานวน 17 ข้อ คะแนนเต็ม 85 คะแนน
คะแนนเฉลี่ย ระดับทัศนคติ
57 - 85 ระดับดี
29 – 57 ระดับปานกลาง
0 - 29 ระดับควรปรับปรุง
การเก็บรวบรวมข้อมูล
1. ผู้วิจัยได้จัดประชุมเพื่อชี้แจงการดาเนิน
กิจกรรมและการเก็บรวบรวมข้อมูลแก่ครูผู้รับผิดชอบ
งานด้านการพยาบาลประจาโรงเรียนมัธยมศึกษา
ในเขตอาเภอสหัสขันธ์
2. ทาหนังสือแจ้งโรงเรียนมัธยมศึกษาเพื่อ
ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล
3. ดาเนินกิจกรรมและรวบรวมข้อมูล
โดยมีขั้นตอนดังนี้
3.1 ผู้ศึกษาเตรียมแบบทดสอบ
ความรู้เรื่องเพศและแบบสอบถามเรื่องทัศนคติต่อ
การมีเพศสัมพันธ์ให้กับกลุ่มตัวอย่าง
3.2 แจกแบบทดสอบความรู้เรื่องเพศ
และแบบสอบถามเรื่องทัศนคติต่อการมีเพศสัมพันธ์
ให้กับกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้เวลาในการตอบ 20
นาที
4. เมื่อเสร็จสิ้นการรวบรวมข้อมูลนา
ข้อมูลคะแนนแบบทดสอบเรื่องเพศ และคะแนน
แบบสอบถามทัศนคติต่อการมีเพศสัมพันธ์ในวัย
เรียนของกลุ่มตัวอย่าง จานวน 360 ฉบับ ไปวิเคราะห์
ตามวิธีการทางสถิติต่อไป
การจัดกระทาและการวิเคราะห์ข้อมูล
1. ผู้วิจัยตรวจสอบความถูกต้อง ความ
สมบูรณ์ของแบบทดสอบความรู้และแบบสอบถาม
ทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา และคัดเลือกฉบับที่
สมบูรณ์มาตรวจให้คะแนนตามเกณฑ์ที่กาหนด
โดยผู้วิจัยนาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์โดยใช้คอมพิวเตอร์
โปรแกรมสาเร็จรูป
2. นาแบบสอบถามข้อมูลส่วนตัว มา
แจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละตามตัวแปร
3. นาแบบทดสอบความรู้ แบบสอบถาม
ทัศนคติ มาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ( X ) และค่า
เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D)
4. เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง
คะแนนเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่เป็นอิสระ
จากกัน โดยการทดสอบค่าที (t-test) ตามตัวแปร
ที่ตั้งไว้ เพื่อทดสอบสมมุติฐานข้อที่ 1 และ 2
5. หาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับ
ทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา โดยใช้สัมประสิทธิ์
สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson product monent
correlation coefficient) เพื่อทดสอบสมมุติฐานข้อ
ที่ 3 และทดสอบความมีนัยสาคัญของสัมประสิทธิ์
สหสัมพันธ์ที่คานวณได้ โดยทดสอบค่าที (t-test)
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
1. สถิติพื้นฐาน
1.1 หาค่าร้อยละ โดยใช้สูตร
(ประคอง กรรณสูตร, 2525 : 73)
1.2 หาค่าคะแนนเฉลี่ย (Mean) โดย
ใช้สูตร (ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2541 : 35)
1.3 หาค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(Standard deviation) โดยใช้สูตร (พวงรัตน์ ทวี
รัตน์, 2540 : 143)
2. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ
2.1 หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ
วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ
Research And Development Health System Journal
87
ความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษา ใช้สูตรของ คูเดอร์
ริชาร์ดสัน (KR-20) โดยใช้สูตร (พวงรัตน์ ทวี
รัตน์, 2540 : 123 )
2.2 หาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม
ทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา ใช้การหาสัมประสิทธิ์
แอลฟา (Alpha coefficient) ของครอนบัค (Cronbach)
โดยใช้สูตร (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540: 125-126)
3. สถิติที่ใช้ทดสอบสมมุติฐาน
3.1 เปรียบเทียบความแตกต่าง
ระหว่างคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่
เป็นอิสระจากกัน ใช้การทดสอบค่าที (t-test) โดย
ใช้สูตร (ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2541 : 166)
3.2 หาค่าความสัมพันธ์ระหว่าง
ความรู้กับเจตคติ ความรู้กับการปฏิบัติ และเจตคติ
เกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
โดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน
(Pearson product moment coorelation coefficient)
โดยใช้สูตร (ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2541 : 314)
ผลการศึกษา
การวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูป
ดาเนินการวิเคราะห์แบ่งเป็น 3 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในอาเภอสหัสขันธ์ จังหวัด
กาฬสินธุ์ ตามตัวแปร เพศ โดยการแจกแจง
ความถี่ หาค่าร้อยละ ดังปรากฏในตาราง 1
ตาราง 1 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่าง จาแนกตามตัวแปร เพศ
ตัวแปร จานวน ร้อยละ
เพศ
ชาย 144 46.91
หญิง 163 53.09
รวม 307 100.00
จากตาราง 1 แสดงว่า นักเรียนมัธยมศึกษา
ปีที่ 1 ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จานวน 307 ราย เป็น
เพศหญิงมากกว่าเพศชาย คือ เพศหญิงคิดเป็นร้อย
ละ 53.09 เพศชายคิดเป็นร้อยละ 46.91
ตอนที่ 2 วิเคราะห์ความรู้ และทัศนคติ
เกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
อาเภอ สหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
1. หาค่าสถิติพื้นฐานของคะแนนความรู้
และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียน ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 ในอาเภอสหัสขันธ์จังหวัดกาฬสินธุ์
ดังปรากฏในตาราง 2
ตาราง 2 จานวนคะแนนเฉลี่ย ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับ
เพศศึกษาของของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ
Research And Development Health System Journal
88
พฤติกรรม n X S ระดับ
ความรู้ 307 11.47 3.23 ปานกลาง
ทัศนคติ 307 59.65 7.78 ดี
จากตาราง 2 แสดงว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 1 ในอาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีความรู้
และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา อยู่ในระดับปานกลาง
และระดับดี ตามลาดับ
2. เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนน
เฉลี่ยด้านความรู้ และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในอาเภอสหัส
ขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามตัวแปร เพศ ดังปรากฏ
ในตาราง 3
ตาราง 3 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยด้านความรู้ และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ จาแนกตามเพศ
พฤติกรรม เพศ n X S t p
ความรู้ ชาย 144 10.47 3.31 -5.36 .000*
หญิง 163 12.36 2.89
ทัศนคติ ชาย 144 55.97 7.85 -8.69 .000*
หญิง 163 62.91 6.10
* มีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
จากตาราง 3 แสดงว่า นักเรียนชั้นมัธยม
ศึกษาปีที่ 1 ในอาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
มีคะแนนเฉลี่ยด้านความรู้ของเพศชายเท่ากับ
10.47 เพศหญิงเท่ากับ 12.36 คะแนนเฉลี่ยด้าน
ทัศนคติของเพศชายเท่ากับ 55.97 เพศหญิงเท่ากับ
62.91 ดังนั้น จะพบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ที่มีเพศต่างกันมีความรู้ และทัศนคติเกี่ยวกับ
เพศศึกษา แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่
ระดับ .05 (p= .000)
ตอนที่ 3 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของความรู้
และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยม
ศึกษาปีที่ 1 ในอาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson
productmonentcorrelationcoefficient) ดังปรากฏใน
ตาราง 4
วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ
Research And Development Health System Journal
89
ตาราง 4 ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับทัศนคติ เกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 ในอาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
ความสัมพันธ์ n r ความมีนัยสาคัญของr(p)
ความรู้กับทัศนคติ 307 .331 .000*
* มีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
จากตาราง 4 แสดงว่า ความรู้กับทัศนคติ
เกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ในอาเภอสหัสขันธ์จังหวัดกาฬสินธุ์ มีความสัมพันธ์
ทางบวกอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
(p = .000)
สรุปผลการศึกษา
1. ข้อมูลทั่วไป
1.1 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่เป็นกลุ่ม
ตัวอย่างส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
คิดเป็นร้อยละ 53.09
1.2 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ส่วนใหญ่มี
ความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง
และมีทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาอยู่ในระดับดี
2. ผลการทดสอบสมมุติฐาน
2.1 นักเรียนที่มีเพศต่างกัน มีความรู้และ
ทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาแตกต่างกันอย่างมี
นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p = .000)
2.2 ความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อาเภอสหัสขันธ์
จังหวัดกาฬสินธุ์ มีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมี
นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p = .000)
อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ
นักเรียนส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับ
เพศศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งไม่สอดคล้อง
กับผลการศึกษาของ ปรางพร พงษ์ประเสริฐ
(2539) ที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับความรู้และทัศนคติใน
เรื่องเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ในโรงเรียน
สังกัดกรมสามัญศึกษา กรุงเทพมหานคร พบว่า
นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพมีความรู้เรื่อง
เพศในระดับสูง ส่วนด้านทัศนคติ พบว่า นักเรียน
ส่วนใหญ่มีทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาอยู่ในระดับดี
วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ
Research And Development Health System Journal
90
ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของปรางพร พงษ์
ประเสริฐ (2539) ที่พบว่า นักเรียนระดับ
ประกาศนียบัตรวิชาชีพมีทัศนคติเรื่องเพศในระดับสูง
สอดคล้องกับกิติยา สันคม (2541) ที่ได้ศึกษา
ทัศนคติของนักเรียนอาชีวะลาปางต่อความสัมพันธ์
ระหว่างเพศ พบว่า นักศึกษามีทัศนคติที่ดีต่อความ
สัมพันธ์ระหว่างเพศ ทั้งสถานการณ์บวกและ
สถานการณ์ลบอยู่ในระดับดี นอกจากนี้ยังพบว่า
นักเรียนที่มีเพศต่างกันมีความรู้และทัศนคติแตกต่าง
กัน โดยความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษามี
ความสัมพันธ์ทางบวกกันซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษา
ของปรางพร พงษ์ประเสริฐ (2539) ที่พบว่า
นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพมีความรู้เรื่อง
เพศในระดับสูง จึงมีผลทาให้นักเรียนมีทัศนคติ
เกี่ยวกับเรื่องเพศระดับสูงด้วย
อภิปรายผล
วัยรุ่น เป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่
วุฒิภาวะทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม จึง
นับว่าเป็นวิกฤติช่วงหนึ่งของชีวิต เนื่องจากเป็นช่วง
ต่อของวัยเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะ
ต้นของวัยจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้น ซึ่ง
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะมีผลต่อความสัมพันธ์
ระหว่างวัยรุ่นด้วยกันเอง และบุคคลรอบข้าง
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 1 มีอายุระหว่าง 11-14
ปี ซึ่งจัดอยู่ในระยะของวัยรุ่นตอนต้น โดยวัยรุ่น
ตอนต้นเด็กผู้หญิงอยู่ในช่วงอายุ 10 – 14 ปี
เด็กผู้ชายอยู่ในช่วงอายุ 12 –16 ปี จะเห็นได้ว่า
เด็กชายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางเพศ ช้ากว่าเด็กหญิง
ประมาณ 18-24 เดือน ทั้งนี้ พบว่าการเปลี่ยนแปลง
ทางร่างกายของเด็กชาย จะส่งผลต่อสถานภาพใน
กลุ่มเพื่อนฝูงอย่างชัดเจน วัยรุ่นตอนต้นเป็นช่วงเวลา
ที่คาบเกี่ยวระหว่างวัยเด็กและวัยรุ่น สนใจที่จะ
เรียนรู้เรื่องเพศตรงข้าม สนใจการสืบพันธุ์หรือการเกิด
ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ รอบตัวเขา เช่น การเกิดของ
สัตว์เลี้ยงภายในบ้าน เริ่มรู้ว่าแต่ละอวัยวะใน
ร่างกายมีหน้าที่อย่างไร เริ่มรู้ถึงความผิดปกติใน
การทางานของอวัยวะตน และความแตกต่างของ
อวัยวะตนกับเพื่อนเพศเดียวกับตนเอง เด็กเริ่มเห็น
พัฒนาการทางเพศที่แตกต่างของเพศตนกับเพศตรง
ข้ามและความรวดเร็วของพัฒนาการทางร่างกายของ
เพื่อนเด็กหญิงและเด็กชายที่แตกต่างกัน (changes
at puberty according to different sex rate of
development)
นอกจากนี้ฐานะทางเศรษฐกิจและสภาพ
แวดล้อมทางสังคมของโรงเรียนและผู้ปกครอง ก็เป็นตัว
กาหนดความแตกต่างความรู้และทัศนคติ ภาษาที่
ใช้สอนวิธีการสอนและการถ่ายทอดความรู้สู่เด็กวัยรุ่น
และจากเหตุผลดังกล่าวจึงทาให้นักเรียนที่มีเพศ
ต่างกันมีความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา
แตกต่างกัน โดยนักเรียนหญิงมีความรู้และทัศนคติ
สูงกว่านักเรียนชาย และเนื่องจากความรู้เป็น
ปัจจัยพื้นฐานที่ทาให้บุคคลรู้จักคิด ทาความเข้าใจ
พิจารณาแก้ไขปัญหาต่างๆ ตลอดจนมีความคิด
ริเริ่ม สร้างสรรค์ในการที่จะปฏิบัติพฤติกรรม และ
เมื่อบุคคลมีความรู้ มักจะใช้ความรู้เหล่านั้นเป็น
มาตรฐาน หรือเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจปฏิบัติ
เรื่องต่างๆ หรืออาจกล่าวได้ว่า ความรู้มีส่วนสาคัญ
ที่ทาให้เกิดความเข้าใจ และจูงใจให้เกิดพฤติกรรม
ที่ดี ที่ถูกต้อง การเสริมสร้างความรู้จะช่วยสร้าง
พฤติกรรมที่ดีด้วยเสมอไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือ
ทางอ้อม และทัศนคตินั้นก็เกิดขึ้นได้จากการ
เรียนรู้ทั้งจากประสบการณ์ การอบรมสั่งสอน
วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ
Research And Development Health System Journal
91
แนะนา การพูดคุย การได้เห็นแบบอย่าง จึงทาให้
ความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัด
กาฬสินธุ์ มีความสัมพันธ์ทางบวกกัน
ข้อเสนอแนะ
1. การที่หลายฝ่ายในสังคมไทยตื่นตัวออกมา
แสดงความห่วงใยปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัย
อันควรในกลุ่มวัยรุ่นเพราะปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ ก่อน
วัยอันควรยังมีอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าวันไหน เดือน
ไหน หรือปีไหนๆ แล้วเราสามารถทาอะไรได้
มากกว่าแค่การตื่นตัวออกมารณรงค์กันอย่างคึกคัก
ในช่วงเทศกาลสาคัญ การที่สังคมไทยจับจ้อง
พฤติกรรมของวัยรุ่นเฉพาะในช่วงเทศกาลสาคัญ
นั้นเป็นแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่การแก้ปัญหาที่
ต้นเหตุต้องเป็นการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาที่ถูกต้อง
สอนให้เด็กมีเกราะคุ้มกัน มีวิจารณญาณ และรู้เท่า
ทันเรื่องของเพศ ซึ่งหากเด็กวัยรุ่นมีทักษะเหล่านี้
เราก็ไม่ต้องมานั่งกังวลว่า เด็กจะเสียตัวในเทศกาล
สาคัญ เช่น วันวาเลนไทน์ วันลอยกระทง แต่หาก
ไม่มีทักษะ และขาดวิจารณญาณแล้ว ถึงไม่มีวันวา
เลนไทน์ ไม่ว่าวันไหนๆ เด็กก็เสียตัวได้อยู่ดี
2. ที่ผ่านมากระบวนการสอนเพศศึกษาใน
สังคมเราล้มเหลวมาตลอด เพราะผู้ใหญ่จะคิดเอง
ว่าเด็กแต่ละวัยควรเรียนรู้อะไร แล้วก็ทาเป็น package
ให้สอนเหมือนกันหมดทั้งประเทศ ซึ่งไม่ถูกต้อง
เพราะเด็กแต่ละคน และในแต่ละพื้นที่จะมีบริบท
ทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมหล่อหลอมที่แตกต่าง
กัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กกรุงเทพฯ เด็กต่างจังหวัด
เด็กด้อยโอกาส แม้แต่เด็กกรุงเทพฯก็ยังมีทั้งเด็ก
ที่มาจากครอบครัวชนชั้นกลาง และระดับรากหญ้า
ดังนั้นการสอนเพศศึกษาก็ต้องจัดให้หลากหลาย
ด้วยเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของเด็ก จึง
จะเรียกว่าเป็นการจัดการเรียนการสอนที่ยึดเด็ก
เป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้อย่างแท้จริง
3. เด็กไทยทุกวันนี้มีช่องทางเข้าถึงข้อมูล
ข่าวสารเรื่องเพศได้จากสื่อต่างๆ มากมาย ทั้งโทรทัศน์
ภาพยนตร์ อินเทอร์เน็ต วีซีดี ฯลฯ และเราก็ห้าม
เด็กไม่ให้รับข้อมูลเหล่านั้นไม่ได้ ซึ่งล้วนเป็นตัว
กระตุ้นให้เด็กมีความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งเป็นไป
ตามวัยของเขา ในขณะที่ผ่านมาไม่ว่าพ่อแม่ หรือ
ครูอาจารย์มักปฏิเสธที่จะพูดเรื่องเพศกับเด็ก และ
ชอบคิดว่าเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ หรือแต่งงานไปแล้วก็
จะรู้เอง ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้แล้วในยุคสมัยนี้
4. เด็กนักเรียนที่เคยมีประสบการณ์ทางเพศ
มาแล้ว ควรมีการจัดการสอนเพศศึกษาสาหรับเด็ก
กลุ่มนี้สูงไปอีกระดับหนึ่ง เช่น เรื่องของการ
ป้องกัน หรือการไม่ตกเป็นเหยื่อ ในขณะที่เด็กอีก
กลุ่มหนึ่งซึ่ง อายุเท่ากัน แต่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย
การสอนสาหรับเด็กกลุ่มนี้ก็ต้องเป็นอีกแนวทาง
หนึ่ง เช่น การดูแลสุขอนามัย เป็นต้น ส่วนที่
ชอบสอนกันว่า ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน
แต่ให้มีเพศสัมพันธ์หลังแต่งงานแล้วก็น่าจะเป็น
การพูดแบบเปรียบเทียบขาวกับดามากเกินไป
5. การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน เป็นสิ่งที่
ไม่เหมาะสมโดยประการทั้งปวงของวัยรุ่น โดยเฉพาะ
ในกรอบของวัฒนธรรมประเพณีของไทย ที่จะต้อง
ทาอะไรตามขั้นตอนและความเหมาะสม มีค่านิยม
เรื่องการรักนวลสงวนตัวหากวัยรุ่นชายหญิงมีความ
สัมพันธ์กันจนเกินเหตุ อาจจะนามาซึ่งปัญหาหลาย
ด้าน เช่นปัญหาต่ออนาคตของผู้นั้นเอง ปัญหาต่อ
ครอบครัวญาติพี่น้องปัญหาทางสังคม จึงควรยับยั้ง
ชั่งใจของตนให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมอันดีรักษาตัว
วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ
Research And Development Health System Journal
92
รักษาใจให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง
6. การสอนเพศศึกษาควรเริ่มด้วยการที่พ่อแม่
ครูอาจารย์ รวมทั้งผู้ใหญ่ทุกคนในสังคมปรับเปลี่ยน
แนวคิดใหม่ กล้าที่จะพูดเรื่องเพศกับเด็ก เพราะ
จริงๆ แล้ว เพศศึกษาเป็นวิถีชีวิตไม่ควรทาให้เป็น
เรื่องที่แตกแยกออกจากวิถีชีวิต ไม่ควรคิดว่าเป็น
การชี้โพรงให้กระรอก แต่เราต้องคิดว่าจะทา
อย่างไรให้เด็กในวัยเรียนได้เรียนรู้เพื่อใช้ชีวิตใน
สังคมได้อย่างไร
การศึกษาค้นคว้าครั้งต่อไป
1. ควรศึกษาพฤติกรรมทางเพศในกลุ่ม
ที่เคยมีประสบการณ์ทางเพศมาแล้ว เพื่อเป็นแนวทางใน
การจัดแผนการสอนเพศศึกษาต่อไป
2. ศึกษาพฤติกรรมการใช้ยาเสพย์ติด
เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เหมาะสมต่อไป
3. ศึกษาติดตามผลของพฤติกรรมทาง
เพศในกลุ่มตัวอย่างเดิมเมื่อระยะเวลาผ่านไป
กิตติกรรมประกาศ
งานวิจัยฉบับนี้สาเร็จลงได้ ด้วยความกรุณา
และช่วยเหลืออย่างดียิ่งจากผู้บริหาร และ เพื่อน
ร่วมงาน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่กลุ่มการพยาบาลที่
กรุณาปฏิบัติงานประจาแทน นอกจากนี้ยังได้ให้
ความร่วมมือ ให้คาปรึกษา แนะนา และแก้ไข
ข้อบกพร่อง อันเป็นประโยชน์ต่อ การวิจัย ผู้วิจัย
ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ขอกราบขอบพระคุณ
ผู้บริหารโรงเรียน คณะครู และขอขอบใจนักเรียน
โรงเรียน สหัสขันธ์ศึกษา โรงเรียนถ้าปลาวิทยายน
โรงเรียนดงน้อยวิทยา โรงเรียนชุมชนน้าเกลี้ยง
กล่อมวิทยา โรงเรียนนามะเขือพัฒนศึกษา โรงเรียน
โป่งเชือกสถานศึกษาและโรงเรียนโนนศิลาพิทยาคม
ที่ให้ความอนุเคราะห์ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
รวมทั้งผู้บริหารและนักเรียนโรงเรียนหนองสอ
พิทยาคม ที่ได้ให้โอกาสผู้วิจัยได้ทดลองใช้
เครื่องมือ
เอกสารอ้างอิง
จิราพร อิศรางกูร ณ อยุธยา. ทัศนคติและพฤติกรรมการคบเพื่อนต่างเพศของวัยรุ่น. วิทยานิพนธ์ ปริญญารัฐศาสตร์
มหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2535.
ปรางพร พงษ์ประเสริฐ. ความรู้และทัศนคติในเรื่องเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ใน โรงเรียนสังกัดกรมสามัญ
ศึกษา กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
2539.
พรรณี ช.เจนจิต. จิตวิทยาการเรียนการสอน[จิตวิทยาการศึกษาสาหรับครูในชั้นเรียน]. กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์,
2528.
โรงพยาบาลสหสขันธ์. ข้อมูลจากงานห้องคลอดปี 2550. กาฬสินธุ์: โรงพยาบาลสหัสขันธ์, 2550.
อุรสา พรสยม. การเปรียบเทียบความรู้ความเข้าใจและเจตคติเรื่องเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยวิธีการสอน
เพศศึกษาแบบโมดูลกับแบบปกติ. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2545.
วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ
Research And Development Health System Journal
93
วิเชียร เกตุสิงห์. “ค่าเฉลี่ยกับการแปรความหมาย : เรื่องง่าย ๆที่บางครั้งก็พลาดได้.” ข่าวสารวิจัยการศึกษา. 18(3)
กุมภาพันธ์ – มีนาคม, 2538. หน้า 8 –11.
พวงรัตน์ ทวีรัตน์. วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : สานักทดสอบทาง
การศึกษาและจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, 2540.
ชูศรี วงศ์รัตนะ. เทคนิคการใช้สถิติเพื่อการวิจัย. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ :เทพเนรมิตรการพิมพ์, 2541.
ประคอง กรรณสูตร. สถิติเพื่อการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์บรรณกิจ, 2525
ปรางพร พงษ์ประเสริฐ. ความรู้และทัศนคติในเรื่องเพศของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่6 ในโรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษา
กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ค.ม.(สุขศึกษา) กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2539.
กิติยา สันคม. เจตคติของนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาลาปางต่อความสัมพันธ์ระหว่างเพศ. วิทยานิพนธ์ ศษ.ม.
เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2541.

21 27-1-pb

  • 1.
    วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ Research And DevelopmentHealth System Journal 82 ความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ Knowledge and Attitude About SEX Education of Mattayomsuksa 1 Student Amphoe Sahassakhan, Kalasin เจษฎา สุระแสง*1 , รุ่งนภา เอกตาแสง*1 และนัยนา กล้าขยัน*1 Jedsada Surasang*1 , Rungnapa Ektasaeng*1 and Naiyana Klakhayan*1 บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาใน อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามตัวแปรเพศ และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็น นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในอาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ จานวน 307 คน เป็นชาย 144 คน และเป็นหญิง 163 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล เป็นแบบทดสอบ และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ คะแนนเฉลี่ย ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที (t-test) และหา ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson product moment correlation coefficient) โดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูป ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในอาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษา อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาอยู่ในระดับดี นักเรียนที่มีเพศต่างกัน มีความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับ เพศศึกษาแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05(p = .000) ความรู้กับทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา มีความสัมพันธ์กัน ทางบวก อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05(p = .000) คาสาคัญ: ความรู้, ทัศนคติ, เพศศึกษา และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา Abstract The objectives of this research were to study and compare the knowledge and the attitude about SEX education of Mattayomsuksa 1 student of Amphoe Sahakhan , Kalasin Province. The studied variable was sex. The correlation between knowledge and attitude about SEX education of Mattayomsuksa 1 Student of Amphoe Sahassakhan, Kalasin Province. The sample in this study were 307 student from secondary schools in Amphoe Sahakhan, Kalasin Province, 144 males and 163 females by purposive sampling technique. Test and questionnaires were used to collect the data. Percentage , arithmetic mean, standard deviation, t-test and Pearson product moment correlation coefficient were used to analyze data. The results of this study were as follows: The student has the medium level of knowledge about SEX education but attitude was at the high level. The knowledge and the attitude about SEX education of the student with different in their sex were different the significant level at .05 (p = .000) There were positive correlations between the knowledge and the attitude about SEX education and had significant level at .05 ( p = .000). Key word: Knowledge, Attitude, SEX education, Mattayomsuksa 1 student 1 สานักงานสาธารณสุขอาเภอสหัสขันธ์ อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ 46140
  • 2.
    วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ Research And DevelopmentHealth System Journal 83 บทนา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความสามารถใน การคิดการแก้ปัญหา มีคุณธรรม เป็นผู้มีสุขภาพจิต และสุขภาพกายที่ดีนั้นย่อมนามาซึ่งความมั่นคง ทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรมให้แก่ ประเทศ เพราะคนเป็นปัจจัยที่บ่งบอกถึงความสาเร็จ ของ การพัฒนาทุกเรื่องโดยเน้นให้คนทุกคนได้รับ การพัฒนาศักยภาพของแต่ละคนอย่างเต็มที่ทั้ง ร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา สังคมโลกในอนาคต นอกจากต้องการความเก่งแล้วจะต้องอาศัยความดี และความสุขของประชาชนในสังคมควบคู่กันไป ด้วยจึงจะทาให้สังคมสงบสุข ซึ่งในสภาวะปัจจุบัน โลกได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว การรับรู้ข้อมูล ข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทาให้การดาเนินชีวิต ของคนในปัจจุบันมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะใน กลุ่มเด็กไปจนถึงวัยรุ่น กลุ่มคนวัยนี้มักจะมี ความคิด การตัดสินใจและความรับผิดชอบน้อย ส่งผลให้เกิดปัญหาแก่บุคคลในกลุ่มนี้มากขึ้น ปัญหา ที่เกิดส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศสัมพันธ์ เช่น การถูกล่อลวงไปข่มขืน การมีบุตรก่อนวัยอัน ควร การทาแท้ง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และ โรคเอดส์ ซึ่งมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อเด็กย่างเข้าสู่วัยรุ่นและระยะเวลาของ วัยรุ่นที่แตกต่างไปตามลักษณะของเด็กเอง ทั้ง กรรมพันธุ์ เศรษฐกิจฐานะทางสังคมและการศึกษา การเรียนรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและ ปัญหาต่างๆจะคลี่คลายหรือเบาบางลงได้ เมื่อเด็ก และเยาวชนเริ่มต้นการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษาอย่าง ถูกต้อง เหมาะสมกับวัย ถ้าไม่มีการสอนจากครู หรือผู้ปกครอง ช่วยชี้แนะให้เกิดความรู้ความเข้าใจ เด็กก็จะเสาะแสวงหาแหล่งความรู้จากแหล่งอื่น ในที่สุดเด็กก็เดินทางผิด เช่น การคบเพื่อนต่าง เพศที่ไม่เหมาะสม การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอัน ควร การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ การมีค่านิยมที่ ไม่เหมาะสมในเรื่องเพศ เช่นเดียวกับนักเรียน มัธยมศึกษา ซึ่งเป็นวัยที่เข้าสู่วัยรุ่น มีการ เปลี่ยนแปลงลักษณะทางด้านร่างกาย (Physical Characteristic) ซึ่งเจริญเติบโตขึ้น และมี พัฒนาการทางเพศ เริ่มมีลักษณะของผู้ใหญ่ มี ลักษณะทางสังคม (Social Characteristic) คือ ชอบทาตามกลุ่ม สนใจเพศตรงข้าม และวัยรุ่นหญิง จะมีพัฒนาการทางเพศเร็วกว่าผู้ชาย ลักษณะทาง อารมณ์(Emotional Characteristic) มีการแสดงออก ในทางแข็งกร้าว ต้องการความเป็นอิสระสูง และ เพ้อฝัน โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับอนาคต การ ทางานและอาชีพ และลักษณะทางสติปัญญา (Mental Characteristic) คือมีการพัฒนาการทาง สมองสูงเกือบเท่าผู้ใหญ่ เพียงแต่ขาดประสบการณ์ พัฒนาการของเด็กวัยนี้ คือเด็กควรรู้หน้าที่ของการ เป็นชายเป็นหญิงที่ดี การเตรียมตัวมีครอบครัว การ ได้รับอิสระจากบิดา-มารดาผู้ใหญ่ ได้รับการพัฒนา ทักษะและเข้าใจเกี่ยวกับการเป็นพลเมืองที่ดี โดย ยึดถือค่านิยม และคุณธรรมสาหรับเป็นหลักในการ แสดงพฤติกรรม (พรรณี ช. เจนจิต, 2528:149–151) ในการพัฒนาคนและคุณภาพของคน หรือสร้างความ พร้อมให้กับเด็ก ให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้ง ทางร่างกาย และทางเพศ ในระยะเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น จะ ช่วยให้เด็กไม่เกิดความเข้าใจผิดในเรื่องเพศ แสดง
  • 3.
    วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ Research And DevelopmentHealth System Journal 84 พฤติกรรมได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นที่ยอมรับ ของสังคม ประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย ยัง มีการควบคุมสื่อลามกอนาจารได้ไม่เต็มที่ มีการ ลักลอบการนาสื่อต่าง ๆ เข้ามาเผยแพร่ได้ง่าย โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น ทาให้เกิดปัญหาสังคมใน กลุ่มวัยรุ่นมากกว่ากลุ่มอื่น อาเภอสหัสขันธ์ เป็น อาเภอขนาดกลาง ถึงแม้จะพบปัญหาการถูกข่มขืน หรือ การมีบุตรระหว่างเรียนไม่สูงมาก แต่นับว่า เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงานอนามัยแม่และเด็กจาก การที่รวบรวมสถิติของหญิงตั้งครรภ์และคลอดบุตร ก่อนอายุ 20 ปี จากข้อมูลงานอนามัยแม่และเด็กทั่ว ประเทศพบว่า หญิงตั้งครรภ์และคลอดบุตรก่อนอายุ 20 ปี มีมากกว่าร้อยละ 10 ซึ่งจังหวัดกาฬสินธุ์พบ ข้อมูลถึงร้อยละ 18 สูงกว่าที่กรมอนามัยตั้งเป้าหมาย ไว้ และข้อมูลของโรงพยาบาลสหัสขันธ์ ในปี พ.ศ. 2549 พบ 36 ราย จากจานวนคลอดทั้งหมด 240 ราย คิดเป็นร้อยละ 15 และในปี พ.ศ. 2550 พบ 41 ราย จากจานวนผู้คลอด 258 ราย คิดเป็น ร้อยละ 21.7 (โรงพยาบาลสหสขันธ์, 2550) ซึ่งมี แนวโน้มที่สูงขึ้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษา เกี่ยวกับความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาของ วัยรุ่น โดยเลือกศึกษาวัยรุ่นกลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษา ชั้นปีที่ 1 ซึ่งเป็นกลุ่มวัยที่กาลังเรียนรู้ในเรื่องเพศ และมีความเข้าใจในเรื่องเพศในทางที่เหมาะสม จากการได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง จากสื่อต่างๆ และ นาข้อมูลไปใช้อ้างอิงในการดาเนินกิจกรรมการให้ ความรู้และสร้างทัศนคติที่ถูกต้องเรื่องเพศสัมพันธ์ แก่นักเรียนมัธยม เพื่อให้มีคุณธรรม จริยธรรม สามารถดาเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสมตามวัย ความมุ่งหมายของการศึกษา 1. เพื่อศึกษาความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับ เพศศึกษาของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ 2. เพื่อเปรียบเทียบความรู้และทัศนคติ เกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ตามตัวแปรเพศ 3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ กับทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียนมัธยม ศึกษาชั้นปีที่ 1 อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามตัวแปร เพศ ความสาคัญของการศึกษา 1. ทาให้ทราบถึงความรู้กับทัศนคติเกี่ยวกับ เพศศึกษา ของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 อาเภอ สหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ 2. เป็นข้อมูลพื้นฐานและเป็นแนวทาง ในการพัฒนาการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาแก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ในอาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ 3. เป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดโปรแกรม สุขศึกษาที่เหมาะสมแก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาใน อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อให้เกิดความรู้ และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาที่ถูกต้อง เหมาะสม 4. ใช้เป็นแนวทางในการค้นคว้าวิจัย ครั้งต่อไป วิธีการศึกษา การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสารวจ (Survey research) เพื่อศึกษาความรู้และทัศนคติ เกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้วิจัย ได้นา แนวคิดทฤษฎีและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาเป็น
  • 4.
    วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ Research And DevelopmentHealth System Journal 85 แนวทางการสารวจในครั้งนี้ โดยผู้วิจัยดาเนินการ ตามลาดับดังต่อไปนี้ ประชากรและการเลือกกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็น นักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2551 โรงเรียนมัธยมศึกษา และโรงเรียนขยายโอกาส เขตอาเภอสหัสขันธ์ 7 โรงเรียน จานวนนักเรียน 360 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นกลุ่มเดียวกับ กลุ่มประชากรที่มาโรงเรียนในวันที่ไปทาการเก็บ ข้อมูล จานวน 307 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 1. ลักษณะของเครื่องมือ เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับ เพศศึกษา มีลักษณะเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ โดยกาหนดคาตอบให้เลือก 4 ตัวเลือก ส่วนที่ 2 แบบสอบถามทัศนคติ เกี่ยวกับเพศศึกษา มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดับ คือ เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็น ด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ซึ่ง ข้อความที่สร้างขึ้น มีทั้งข้อความทางบวกและทาง ลบให้เลือก 2. ขั้นตอนในการสร้างเครื่องมือ 2.1 ศึกษา ค้นคว้าความรู้ ตาราวิชาการ วารสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเพศศึกษาในวัยรุ่น และทฤษฎีแนวคิดเกี่ยวกับความรู้และทัศนคติ 2.2 ศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการสร้าง เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบ แบบสอบถาม จากตารา เอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.3 พัฒนาแบบทดสอบความรู้ความ เข้าใจเรื่องเพศ และแบบวัดเจตคติเรื่องเพศ 2.4 นาแบบทดสอบ และแบบสอบถาม ที่ได้พัฒนาแล้ว ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความ เที่ยงตรงเชิงเนื้อหา และนาข้อเสนอแนะมาปรับปรุง แก้ไข 2.5 นาแบบทดสอบและแบบสอบถาม ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้ (Try - out) กับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนหนองสอ พิทยาคม อาเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ จานวน 30 คน 2.6 นาแบบทดสอบส่วนที่1 แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษา มาหาความ ยากง่ายค่าอานาจจาแนก ค่าความเชื่อมั่น 2.7 นาแบบสอบถามส่วนที่ 2 แบบ สอบถามทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา ไปหาค่า อานาจจาแนก และค่าความเชื่อมั่น 3. เกณฑ์การให้คะแนนและการแปล ความหมาย เกณฑ์ในการแปลความหมายของคะแนน ความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษาแบ่งออกเป็น3 ระดับคือ (วิเชียร เกตุสิงห์, 2538 : 9) โดยในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ คิดจาก คะแนนความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษา จานวน 20 ข้อ คะแนนเต็ม 20 คะแนน คะแนนเฉลี่ย ระดับความรู้ 14 - 20 ระดับดี 8 - 14 ระดับปานกลาง 0 - 7 ระดับควรปรับปรุง เกณฑ์การแปลความหมายของคะแนน เพื่อ จัดระดับทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา แบ่งออกเป็น
  • 5.
    วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ Research And DevelopmentHealth System Journal 86 3 ระดับ (วิเชียรเกตุสิงห์, 2538 : 10) โดยใน การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ คิดจากคะแนนทัศนคติเกี่ยวกับ เพศศึกษาจานวน 17 ข้อ คะแนนเต็ม 85 คะแนน คะแนนเฉลี่ย ระดับทัศนคติ 57 - 85 ระดับดี 29 – 57 ระดับปานกลาง 0 - 29 ระดับควรปรับปรุง การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ผู้วิจัยได้จัดประชุมเพื่อชี้แจงการดาเนิน กิจกรรมและการเก็บรวบรวมข้อมูลแก่ครูผู้รับผิดชอบ งานด้านการพยาบาลประจาโรงเรียนมัธยมศึกษา ในเขตอาเภอสหัสขันธ์ 2. ทาหนังสือแจ้งโรงเรียนมัธยมศึกษาเพื่อ ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล 3. ดาเนินกิจกรรมและรวบรวมข้อมูล โดยมีขั้นตอนดังนี้ 3.1 ผู้ศึกษาเตรียมแบบทดสอบ ความรู้เรื่องเพศและแบบสอบถามเรื่องทัศนคติต่อ การมีเพศสัมพันธ์ให้กับกลุ่มตัวอย่าง 3.2 แจกแบบทดสอบความรู้เรื่องเพศ และแบบสอบถามเรื่องทัศนคติต่อการมีเพศสัมพันธ์ ให้กับกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้เวลาในการตอบ 20 นาที 4. เมื่อเสร็จสิ้นการรวบรวมข้อมูลนา ข้อมูลคะแนนแบบทดสอบเรื่องเพศ และคะแนน แบบสอบถามทัศนคติต่อการมีเพศสัมพันธ์ในวัย เรียนของกลุ่มตัวอย่าง จานวน 360 ฉบับ ไปวิเคราะห์ ตามวิธีการทางสถิติต่อไป การจัดกระทาและการวิเคราะห์ข้อมูล 1. ผู้วิจัยตรวจสอบความถูกต้อง ความ สมบูรณ์ของแบบทดสอบความรู้และแบบสอบถาม ทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา และคัดเลือกฉบับที่ สมบูรณ์มาตรวจให้คะแนนตามเกณฑ์ที่กาหนด โดยผู้วิจัยนาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์โดยใช้คอมพิวเตอร์ โปรแกรมสาเร็จรูป 2. นาแบบสอบถามข้อมูลส่วนตัว มา แจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละตามตัวแปร 3. นาแบบทดสอบความรู้ แบบสอบถาม ทัศนคติ มาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ( X ) และค่า เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) 4. เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง คะแนนเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่เป็นอิสระ จากกัน โดยการทดสอบค่าที (t-test) ตามตัวแปร ที่ตั้งไว้ เพื่อทดสอบสมมุติฐานข้อที่ 1 และ 2 5. หาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับ ทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา โดยใช้สัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson product monent correlation coefficient) เพื่อทดสอบสมมุติฐานข้อ ที่ 3 และทดสอบความมีนัยสาคัญของสัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์ที่คานวณได้ โดยทดสอบค่าที (t-test) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สถิติพื้นฐาน 1.1 หาค่าร้อยละ โดยใช้สูตร (ประคอง กรรณสูตร, 2525 : 73) 1.2 หาค่าคะแนนเฉลี่ย (Mean) โดย ใช้สูตร (ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2541 : 35) 1.3 หาค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) โดยใช้สูตร (พวงรัตน์ ทวี รัตน์, 2540 : 143) 2. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ 2.1 หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ
  • 6.
    วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ Research And DevelopmentHealth System Journal 87 ความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษา ใช้สูตรของ คูเดอร์ ริชาร์ดสัน (KR-20) โดยใช้สูตร (พวงรัตน์ ทวี รัตน์, 2540 : 123 ) 2.2 หาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม ทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา ใช้การหาสัมประสิทธิ์ แอลฟา (Alpha coefficient) ของครอนบัค (Cronbach) โดยใช้สูตร (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540: 125-126) 3. สถิติที่ใช้ทดสอบสมมุติฐาน 3.1 เปรียบเทียบความแตกต่าง ระหว่างคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่ เป็นอิสระจากกัน ใช้การทดสอบค่าที (t-test) โดย ใช้สูตร (ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2541 : 166) 3.2 หาค่าความสัมพันธ์ระหว่าง ความรู้กับเจตคติ ความรู้กับการปฏิบัติ และเจตคติ เกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson product moment coorelation coefficient) โดยใช้สูตร (ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2541 : 314) ผลการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูป ดาเนินการวิเคราะห์แบ่งเป็น 3 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในอาเภอสหัสขันธ์ จังหวัด กาฬสินธุ์ ตามตัวแปร เพศ โดยการแจกแจง ความถี่ หาค่าร้อยละ ดังปรากฏในตาราง 1 ตาราง 1 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่าง จาแนกตามตัวแปร เพศ ตัวแปร จานวน ร้อยละ เพศ ชาย 144 46.91 หญิง 163 53.09 รวม 307 100.00 จากตาราง 1 แสดงว่า นักเรียนมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จานวน 307 ราย เป็น เพศหญิงมากกว่าเพศชาย คือ เพศหญิงคิดเป็นร้อย ละ 53.09 เพศชายคิดเป็นร้อยละ 46.91 ตอนที่ 2 วิเคราะห์ความรู้ และทัศนคติ เกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อาเภอ สหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ 1. หาค่าสถิติพื้นฐานของคะแนนความรู้ และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ในอาเภอสหัสขันธ์จังหวัดกาฬสินธุ์ ดังปรากฏในตาราง 2 ตาราง 2 จานวนคะแนนเฉลี่ย ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับ เพศศึกษาของของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
  • 7.
    วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ Research And DevelopmentHealth System Journal 88 พฤติกรรม n X S ระดับ ความรู้ 307 11.47 3.23 ปานกลาง ทัศนคติ 307 59.65 7.78 ดี จากตาราง 2 แสดงว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ในอาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีความรู้ และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา อยู่ในระดับปานกลาง และระดับดี ตามลาดับ 2. เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนน เฉลี่ยด้านความรู้ และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในอาเภอสหัส ขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามตัวแปร เพศ ดังปรากฏ ในตาราง 3 ตาราง 3 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยด้านความรู้ และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ จาแนกตามเพศ พฤติกรรม เพศ n X S t p ความรู้ ชาย 144 10.47 3.31 -5.36 .000* หญิง 163 12.36 2.89 ทัศนคติ ชาย 144 55.97 7.85 -8.69 .000* หญิง 163 62.91 6.10 * มีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตาราง 3 แสดงว่า นักเรียนชั้นมัธยม ศึกษาปีที่ 1 ในอาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีคะแนนเฉลี่ยด้านความรู้ของเพศชายเท่ากับ 10.47 เพศหญิงเท่ากับ 12.36 คะแนนเฉลี่ยด้าน ทัศนคติของเพศชายเท่ากับ 55.97 เพศหญิงเท่ากับ 62.91 ดังนั้น จะพบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีเพศต่างกันมีความรู้ และทัศนคติเกี่ยวกับ เพศศึกษา แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 (p= .000) ตอนที่ 3 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของความรู้ และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยม ศึกษาปีที่ 1 ในอาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson productmonentcorrelationcoefficient) ดังปรากฏใน ตาราง 4
  • 8.
    วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ Research And DevelopmentHealth System Journal 89 ตาราง 4 ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับทัศนคติ เกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ในอาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ความสัมพันธ์ n r ความมีนัยสาคัญของr(p) ความรู้กับทัศนคติ 307 .331 .000* * มีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตาราง 4 แสดงว่า ความรู้กับทัศนคติ เกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในอาเภอสหัสขันธ์จังหวัดกาฬสินธุ์ มีความสัมพันธ์ ทางบวกอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p = .000) สรุปผลการศึกษา 1. ข้อมูลทั่วไป 1.1 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่เป็นกลุ่ม ตัวอย่างส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 53.09 1.2 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ส่วนใหญ่มี ความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง และมีทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาอยู่ในระดับดี 2. ผลการทดสอบสมมุติฐาน 2.1 นักเรียนที่มีเพศต่างกัน มีความรู้และ ทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาแตกต่างกันอย่างมี นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p = .000) 2.2 ความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมี นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p = .000) อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ นักเรียนส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับ เพศศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งไม่สอดคล้อง กับผลการศึกษาของ ปรางพร พงษ์ประเสริฐ (2539) ที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับความรู้และทัศนคติใน เรื่องเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ในโรงเรียน สังกัดกรมสามัญศึกษา กรุงเทพมหานคร พบว่า นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพมีความรู้เรื่อง เพศในระดับสูง ส่วนด้านทัศนคติ พบว่า นักเรียน ส่วนใหญ่มีทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาอยู่ในระดับดี
  • 9.
    วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ Research And DevelopmentHealth System Journal 90 ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของปรางพร พงษ์ ประเสริฐ (2539) ที่พบว่า นักเรียนระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพมีทัศนคติเรื่องเพศในระดับสูง สอดคล้องกับกิติยา สันคม (2541) ที่ได้ศึกษา ทัศนคติของนักเรียนอาชีวะลาปางต่อความสัมพันธ์ ระหว่างเพศ พบว่า นักศึกษามีทัศนคติที่ดีต่อความ สัมพันธ์ระหว่างเพศ ทั้งสถานการณ์บวกและ สถานการณ์ลบอยู่ในระดับดี นอกจากนี้ยังพบว่า นักเรียนที่มีเพศต่างกันมีความรู้และทัศนคติแตกต่าง กัน โดยความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษามี ความสัมพันธ์ทางบวกกันซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษา ของปรางพร พงษ์ประเสริฐ (2539) ที่พบว่า นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพมีความรู้เรื่อง เพศในระดับสูง จึงมีผลทาให้นักเรียนมีทัศนคติ เกี่ยวกับเรื่องเพศระดับสูงด้วย อภิปรายผล วัยรุ่น เป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ วุฒิภาวะทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม จึง นับว่าเป็นวิกฤติช่วงหนึ่งของชีวิต เนื่องจากเป็นช่วง ต่อของวัยเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะ ต้นของวัยจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้น ซึ่ง การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะมีผลต่อความสัมพันธ์ ระหว่างวัยรุ่นด้วยกันเอง และบุคคลรอบข้าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 1 มีอายุระหว่าง 11-14 ปี ซึ่งจัดอยู่ในระยะของวัยรุ่นตอนต้น โดยวัยรุ่น ตอนต้นเด็กผู้หญิงอยู่ในช่วงอายุ 10 – 14 ปี เด็กผู้ชายอยู่ในช่วงอายุ 12 –16 ปี จะเห็นได้ว่า เด็กชายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางเพศ ช้ากว่าเด็กหญิง ประมาณ 18-24 เดือน ทั้งนี้ พบว่าการเปลี่ยนแปลง ทางร่างกายของเด็กชาย จะส่งผลต่อสถานภาพใน กลุ่มเพื่อนฝูงอย่างชัดเจน วัยรุ่นตอนต้นเป็นช่วงเวลา ที่คาบเกี่ยวระหว่างวัยเด็กและวัยรุ่น สนใจที่จะ เรียนรู้เรื่องเพศตรงข้าม สนใจการสืบพันธุ์หรือการเกิด ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ รอบตัวเขา เช่น การเกิดของ สัตว์เลี้ยงภายในบ้าน เริ่มรู้ว่าแต่ละอวัยวะใน ร่างกายมีหน้าที่อย่างไร เริ่มรู้ถึงความผิดปกติใน การทางานของอวัยวะตน และความแตกต่างของ อวัยวะตนกับเพื่อนเพศเดียวกับตนเอง เด็กเริ่มเห็น พัฒนาการทางเพศที่แตกต่างของเพศตนกับเพศตรง ข้ามและความรวดเร็วของพัฒนาการทางร่างกายของ เพื่อนเด็กหญิงและเด็กชายที่แตกต่างกัน (changes at puberty according to different sex rate of development) นอกจากนี้ฐานะทางเศรษฐกิจและสภาพ แวดล้อมทางสังคมของโรงเรียนและผู้ปกครอง ก็เป็นตัว กาหนดความแตกต่างความรู้และทัศนคติ ภาษาที่ ใช้สอนวิธีการสอนและการถ่ายทอดความรู้สู่เด็กวัยรุ่น และจากเหตุผลดังกล่าวจึงทาให้นักเรียนที่มีเพศ ต่างกันมีความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษา แตกต่างกัน โดยนักเรียนหญิงมีความรู้และทัศนคติ สูงกว่านักเรียนชาย และเนื่องจากความรู้เป็น ปัจจัยพื้นฐานที่ทาให้บุคคลรู้จักคิด ทาความเข้าใจ พิจารณาแก้ไขปัญหาต่างๆ ตลอดจนมีความคิด ริเริ่ม สร้างสรรค์ในการที่จะปฏิบัติพฤติกรรม และ เมื่อบุคคลมีความรู้ มักจะใช้ความรู้เหล่านั้นเป็น มาตรฐาน หรือเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจปฏิบัติ เรื่องต่างๆ หรืออาจกล่าวได้ว่า ความรู้มีส่วนสาคัญ ที่ทาให้เกิดความเข้าใจ และจูงใจให้เกิดพฤติกรรม ที่ดี ที่ถูกต้อง การเสริมสร้างความรู้จะช่วยสร้าง พฤติกรรมที่ดีด้วยเสมอไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือ ทางอ้อม และทัศนคตินั้นก็เกิดขึ้นได้จากการ เรียนรู้ทั้งจากประสบการณ์ การอบรมสั่งสอน
  • 10.
    วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ Research And DevelopmentHealth System Journal 91 แนะนา การพูดคุย การได้เห็นแบบอย่าง จึงทาให้ ความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับเพศศึกษาของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อาเภอสหัสขันธ์ จังหวัด กาฬสินธุ์ มีความสัมพันธ์ทางบวกกัน ข้อเสนอแนะ 1. การที่หลายฝ่ายในสังคมไทยตื่นตัวออกมา แสดงความห่วงใยปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัย อันควรในกลุ่มวัยรุ่นเพราะปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ ก่อน วัยอันควรยังมีอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าวันไหน เดือน ไหน หรือปีไหนๆ แล้วเราสามารถทาอะไรได้ มากกว่าแค่การตื่นตัวออกมารณรงค์กันอย่างคึกคัก ในช่วงเทศกาลสาคัญ การที่สังคมไทยจับจ้อง พฤติกรรมของวัยรุ่นเฉพาะในช่วงเทศกาลสาคัญ นั้นเป็นแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่การแก้ปัญหาที่ ต้นเหตุต้องเป็นการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาที่ถูกต้อง สอนให้เด็กมีเกราะคุ้มกัน มีวิจารณญาณ และรู้เท่า ทันเรื่องของเพศ ซึ่งหากเด็กวัยรุ่นมีทักษะเหล่านี้ เราก็ไม่ต้องมานั่งกังวลว่า เด็กจะเสียตัวในเทศกาล สาคัญ เช่น วันวาเลนไทน์ วันลอยกระทง แต่หาก ไม่มีทักษะ และขาดวิจารณญาณแล้ว ถึงไม่มีวันวา เลนไทน์ ไม่ว่าวันไหนๆ เด็กก็เสียตัวได้อยู่ดี 2. ที่ผ่านมากระบวนการสอนเพศศึกษาใน สังคมเราล้มเหลวมาตลอด เพราะผู้ใหญ่จะคิดเอง ว่าเด็กแต่ละวัยควรเรียนรู้อะไร แล้วก็ทาเป็น package ให้สอนเหมือนกันหมดทั้งประเทศ ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะเด็กแต่ละคน และในแต่ละพื้นที่จะมีบริบท ทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมหล่อหลอมที่แตกต่าง กัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กกรุงเทพฯ เด็กต่างจังหวัด เด็กด้อยโอกาส แม้แต่เด็กกรุงเทพฯก็ยังมีทั้งเด็ก ที่มาจากครอบครัวชนชั้นกลาง และระดับรากหญ้า ดังนั้นการสอนเพศศึกษาก็ต้องจัดให้หลากหลาย ด้วยเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของเด็ก จึง จะเรียกว่าเป็นการจัดการเรียนการสอนที่ยึดเด็ก เป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้อย่างแท้จริง 3. เด็กไทยทุกวันนี้มีช่องทางเข้าถึงข้อมูล ข่าวสารเรื่องเพศได้จากสื่อต่างๆ มากมาย ทั้งโทรทัศน์ ภาพยนตร์ อินเทอร์เน็ต วีซีดี ฯลฯ และเราก็ห้าม เด็กไม่ให้รับข้อมูลเหล่านั้นไม่ได้ ซึ่งล้วนเป็นตัว กระตุ้นให้เด็กมีความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งเป็นไป ตามวัยของเขา ในขณะที่ผ่านมาไม่ว่าพ่อแม่ หรือ ครูอาจารย์มักปฏิเสธที่จะพูดเรื่องเพศกับเด็ก และ ชอบคิดว่าเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ หรือแต่งงานไปแล้วก็ จะรู้เอง ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้แล้วในยุคสมัยนี้ 4. เด็กนักเรียนที่เคยมีประสบการณ์ทางเพศ มาแล้ว ควรมีการจัดการสอนเพศศึกษาสาหรับเด็ก กลุ่มนี้สูงไปอีกระดับหนึ่ง เช่น เรื่องของการ ป้องกัน หรือการไม่ตกเป็นเหยื่อ ในขณะที่เด็กอีก กลุ่มหนึ่งซึ่ง อายุเท่ากัน แต่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย การสอนสาหรับเด็กกลุ่มนี้ก็ต้องเป็นอีกแนวทาง หนึ่ง เช่น การดูแลสุขอนามัย เป็นต้น ส่วนที่ ชอบสอนกันว่า ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน แต่ให้มีเพศสัมพันธ์หลังแต่งงานแล้วก็น่าจะเป็น การพูดแบบเปรียบเทียบขาวกับดามากเกินไป 5. การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน เป็นสิ่งที่ ไม่เหมาะสมโดยประการทั้งปวงของวัยรุ่น โดยเฉพาะ ในกรอบของวัฒนธรรมประเพณีของไทย ที่จะต้อง ทาอะไรตามขั้นตอนและความเหมาะสม มีค่านิยม เรื่องการรักนวลสงวนตัวหากวัยรุ่นชายหญิงมีความ สัมพันธ์กันจนเกินเหตุ อาจจะนามาซึ่งปัญหาหลาย ด้าน เช่นปัญหาต่ออนาคตของผู้นั้นเอง ปัญหาต่อ ครอบครัวญาติพี่น้องปัญหาทางสังคม จึงควรยับยั้ง ชั่งใจของตนให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมอันดีรักษาตัว
  • 11.
    วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ Research And DevelopmentHealth System Journal 92 รักษาใจให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง 6. การสอนเพศศึกษาควรเริ่มด้วยการที่พ่อแม่ ครูอาจารย์ รวมทั้งผู้ใหญ่ทุกคนในสังคมปรับเปลี่ยน แนวคิดใหม่ กล้าที่จะพูดเรื่องเพศกับเด็ก เพราะ จริงๆ แล้ว เพศศึกษาเป็นวิถีชีวิตไม่ควรทาให้เป็น เรื่องที่แตกแยกออกจากวิถีชีวิต ไม่ควรคิดว่าเป็น การชี้โพรงให้กระรอก แต่เราต้องคิดว่าจะทา อย่างไรให้เด็กในวัยเรียนได้เรียนรู้เพื่อใช้ชีวิตใน สังคมได้อย่างไร การศึกษาค้นคว้าครั้งต่อไป 1. ควรศึกษาพฤติกรรมทางเพศในกลุ่ม ที่เคยมีประสบการณ์ทางเพศมาแล้ว เพื่อเป็นแนวทางใน การจัดแผนการสอนเพศศึกษาต่อไป 2. ศึกษาพฤติกรรมการใช้ยาเสพย์ติด เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เหมาะสมต่อไป 3. ศึกษาติดตามผลของพฤติกรรมทาง เพศในกลุ่มตัวอย่างเดิมเมื่อระยะเวลาผ่านไป กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้สาเร็จลงได้ ด้วยความกรุณา และช่วยเหลืออย่างดียิ่งจากผู้บริหาร และ เพื่อน ร่วมงาน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่กลุ่มการพยาบาลที่ กรุณาปฏิบัติงานประจาแทน นอกจากนี้ยังได้ให้ ความร่วมมือ ให้คาปรึกษา แนะนา และแก้ไข ข้อบกพร่อง อันเป็นประโยชน์ต่อ การวิจัย ผู้วิจัย ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ขอกราบขอบพระคุณ ผู้บริหารโรงเรียน คณะครู และขอขอบใจนักเรียน โรงเรียน สหัสขันธ์ศึกษา โรงเรียนถ้าปลาวิทยายน โรงเรียนดงน้อยวิทยา โรงเรียนชุมชนน้าเกลี้ยง กล่อมวิทยา โรงเรียนนามะเขือพัฒนศึกษา โรงเรียน โป่งเชือกสถานศึกษาและโรงเรียนโนนศิลาพิทยาคม ที่ให้ความอนุเคราะห์ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล รวมทั้งผู้บริหารและนักเรียนโรงเรียนหนองสอ พิทยาคม ที่ได้ให้โอกาสผู้วิจัยได้ทดลองใช้ เครื่องมือ เอกสารอ้างอิง จิราพร อิศรางกูร ณ อยุธยา. ทัศนคติและพฤติกรรมการคบเพื่อนต่างเพศของวัยรุ่น. วิทยานิพนธ์ ปริญญารัฐศาสตร์ มหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2535. ปรางพร พงษ์ประเสริฐ. ความรู้และทัศนคติในเรื่องเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ใน โรงเรียนสังกัดกรมสามัญ ศึกษา กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2539. พรรณี ช.เจนจิต. จิตวิทยาการเรียนการสอน[จิตวิทยาการศึกษาสาหรับครูในชั้นเรียน]. กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, 2528. โรงพยาบาลสหสขันธ์. ข้อมูลจากงานห้องคลอดปี 2550. กาฬสินธุ์: โรงพยาบาลสหัสขันธ์, 2550. อุรสา พรสยม. การเปรียบเทียบความรู้ความเข้าใจและเจตคติเรื่องเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยวิธีการสอน เพศศึกษาแบบโมดูลกับแบบปกติ. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2545.
  • 12.
    วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ Research And DevelopmentHealth System Journal 93 วิเชียร เกตุสิงห์. “ค่าเฉลี่ยกับการแปรความหมาย : เรื่องง่าย ๆที่บางครั้งก็พลาดได้.” ข่าวสารวิจัยการศึกษา. 18(3) กุมภาพันธ์ – มีนาคม, 2538. หน้า 8 –11. พวงรัตน์ ทวีรัตน์. วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : สานักทดสอบทาง การศึกษาและจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, 2540. ชูศรี วงศ์รัตนะ. เทคนิคการใช้สถิติเพื่อการวิจัย. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ :เทพเนรมิตรการพิมพ์, 2541. ประคอง กรรณสูตร. สถิติเพื่อการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์บรรณกิจ, 2525 ปรางพร พงษ์ประเสริฐ. ความรู้และทัศนคติในเรื่องเพศของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่6 ในโรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษา กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ค.ม.(สุขศึกษา) กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2539. กิติยา สันคม. เจตคติของนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาลาปางต่อความสัมพันธ์ระหว่างเพศ. วิทยานิพนธ์ ศษ.ม. เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2541.