More Related Content
More from isamare-hesheit (7)
05 ch2
- 1. บทที่ 2
ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ทาการรวบรวมข้อมูลจาก
เอกสารที่เกี่ยวข้องนามาใช้ให้สอดคล้องกับการศึกษา ซึ่งสรุปได้ดังนี้
แนวคิดเกี่ยวกับภาพลักษณ์
ภาพลักษณ์ (Image) มีความสาคัญต่อการประชาสัมพันธ์มาก เนื่องจากประชาสัมพันธ์
เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์และเป็นงานที่มีส่วนเสริมสร้างภาพลักษณ์ต่อหน่วยงานสถาบัน
หรือองค์กร ให้มีภาพลักษณ์ที่ดี (Good Image) ต่อความรู้สึกนึกคิดของประชาชน เพื่อผลแห่ง
ชื่อเสียง ความเชื่อศรัทธาจากประชาชนที่มีต่อองค์กรหรือสถาบัน (วิรัช ลภิรัตนกุล, 2540, หน้า 81)
ความหมายของคาว่าภาพลักษณ์จึงหมายถึง ภาพที่เกิดขึ้นในใจ(MentalPicture) ของ
คนเราอาจเป็นภาพที่มีต่อสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีก็ได้เช่นภาพที่มีต่อบุคคล(Person) องค์กร
(Organization) ฯลฯ และภาพดังกล่าวนี้ อาจจะเป็นภาพ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งสร้างให้เกิดขึ้นแก่จิตใจ
เราหรืออาจเป็นภาพที่เรานึกสร้างเองก็ได้
Kotler (2000, p. 533) ปรมาจารย์ด้านการตลาดอธิบายถึงคา ภาพลักษณ์(Image) ว่าเป็น
องค์รวมของความเชื่อ ความคิด และความประทับใจที่บุคคลมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งทัศนคติและการ
กระทาใด ๆ ที่คนเรามีต่อสิ่งนั้นจะมีความเกี่ยวพันอย่างสูงกับภาพลักษณ์ต่อสิ่งนั้น ๆ
Jefkins (1993, pp. 21-22) นักประชาสัมพันธ์ชาวอังกฤษได้อธิบายภาพลักษณ์ต่อองค์กร
ธุรกิจไว้ว่า ภาพลักษณ์ต่อบริษัทหรือภาพลักษณ์ต่อองค์กรธุรกิจ(Corporate Image) คือภาพของ
องค์กรใดองค์กรหนึ่ง ซึ่งหมายรวมทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับองค์กรที่ประชาชนรู้จักเข้าใจ และได้มี
ประสบการณ์ในการสร้างภาพลักษณ์ต่อองค์กรนั้น ส่วนหนึ่งกระทาได้โดยอาศัยการนาเสนอ
อัตลักษณ์ขององค์กร(Corporate Identity) ซึ่งปรากฎแก่สายตาคนทั่วไปได้ง่าย เช่น สัญลักษณ์
เครื่องแบบ ฯลฯ
Anderson and Rubin (1986, p. 53) กล่าวว่า ภาพลักษณ์เป็นการรับรู้ของผู้บริโภค
เกี่ยวกับองค์กรทั้งหมด โดยองค์กรก็เปรียบเทียบเสมือนคน ซึ่งย่อมจะมีบุคลิกภาพและภาพลักษณ์ที่
ต่างกัน
- 2. 10
การสร้างภาพลักษณ์ เป็นแนวคิดที่องค์กรธุรกิจต่างตระหนักถึงความสาคัญอย่างสูง โดย
พยายามพัฒนากลยุทธ์การสร้างภาพลักษณ์อย่างเป็นระบบ จากเดิมที่อาศัย การประชาสัมพันธ์เป็น
เครื่องมือหลัก มาเป็นการประยุกต์และผสมผสานกลยุทธ์การสื่อสารหลากหลายรูปแบบ โดยใช้
เทคนิควิธีต่าง ๆ อย่างเป็นเอกภาพเพื่อสนับสนุนการดาเนินงานสู่เป้าหมายภาพลักษณ์ที่พึงประสงค์
ขององค์กร โดยแบ่งภาพลักษณ์ออกเป็น6 ลักษณะคือ
1. ภาพลักษณ์เป็นสิ่งที่ถูกจาลองขึ้นมา(An Image is Synthetic) ไม่ได้เกิดขึ้นเองตาม
ธรรมชาติ แต่เกิดจากการวางแผนที่ประกอบกันขึ้นมา เพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์บางอย่างที่
กาหนดไว้เช่น วัตถุประสงค์ของการประชาสัมพันธ์ดังนั้นภาพลักษณ์จึงเกิดจากการวางแผน
ประชาสัมพันธ์การกาหนดกระบวนการและกลยุทธ์ต่างๆ เป็นอย่างดี และขึ้นอยู่กับประสบการณ์
และข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับองค์การ สินค้าหรือบริการที่ประชาชนได้รับ และสิ่งเหล่านี้จะก่อตัวขึ้น
เป็นความประทับใจ ซึ่งอาจจะเป็นความประทับใจที่ดีหรือไม่ดีก็ได้แล้วแต่พฤติกรรมขององค์การ
หรือการผลิตสินค้าหรือให้บริการขององค์การ
2. ภาพลักษณ์เป็นสิ่งที่เชื่อถือได้(An Image is Believable) เป็นการสร้างภาพในใจของ
คนเราเกี่ยวกับบุคคล องค์การ สถาบันหรือสิ่งต่างๆ ให้มั่นคงเป็นที่ยอมรับโดยอยู่บนพื้นฐานของ
ความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นสิ่งสาคัญที่สุด การสร้างภาพลักษณ์จะไม่เกิดผลใดๆ ถ้าไม่มีความน่าเชื่อถือ
ในบุคคลหรือองค์การ สถาบันนั้น
3. ภาพลักษณ์เป็นสิ่งที่อยู่นิ่งและรับรู้ได้(An Image is Passive) ภาพลักษณ์เป็นสิ่งที่ต้อง
ไม่ขัดแย้งกับความเป็นจริง ถึงแม้ว่าภาพลักษณ์จะไม่ใช่ความเป็นจริง แต่ภาพลักษณ์จะต้องถูก
นาเสนออย่างสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกับความเป็นจริง นั่นคือ ปรัชญานโยบายการ
ดาเนินงาน การประพฤติปฎิบัติรวมทั้งคุณภาพของสินค้าและบริการ
4. ภาพลักษณ์เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน(An Image is Vivid and Concrete) ภาพลักษณ์เป็น
สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่เป็นนามธรรมให้เป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรม ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการสร้าง
จินตนาการรูปธรรมเพื่อให้ตอบสนองดึงดูดใจ และความรู้สึกทางอารมณ์ได้อย่างชัดเจนต่อกลุ่ม
ประชาชน จะต้องชัดเจนง่ายต่อการเข้าใจและจดจา และมีความแตกต่างจากกัน ทาให้สื่อ
ความหมายได้ครบถ้วนตามต้องการ
5. ภาพลักษณ์ต้องเป็นสิ่งที่ถูกทาให้ดูง่ายแก่การเข้าใจและแตกต่าง(An Image is
Simplified) ซึ่งต้องชัดเจน ง่ายแก่การทาความเข้าใจและจดจามีความแตกต่างที่โดดเด่นแต่สื่อ
ความหมายได้ครบถ้วนตามต้องการเช่น เครื่องหมาย (Logo) คาขวัญ(Slogan) ซึ่งก็คือการสร้าง
ภาพลักษณ์ให้มีความโดดเด่นแตกต่างนั่นเอง
- 3. 11
6. ภาพลักษณ์มีความหมายและแง่มุม(An Image is Ambiguous) เป็นสิ่งที่สามารถ
เปลี่ยนแปลงได้กล่าวคือ เราสามารถเปลี่ยนจากภาพลักษณ์ที่ดีเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดี หรือเปลี่ยน
จากภาพลักษณ์ที่ไม่ดีเป็นภาพลักษณ์ที่ดีได้อันเนื่องมาจากสภาพการณ์ภายในหรือปัจจัยภายนอก
องค์การมากระทบ ดังนั้นองค์การต่างๆ จึงต้องมีการสารวจภาพลักษณ์ปัจจุบันขององค์การอย่าง
สม่าเสมอเพื่อจะได้ทราบว่าภาพลักษณ์ต่อองค์การเป็นอย่างไร รวมถึงสินค้าและบริการด้วยเพื่อจะ
ได้ส่งเสริมและรักษา หรือแก้ไขภาพลักษณ์ที่ดีให้อยู่คู่องค์การ สินค้าและบริการตลอดไป
ภาพลักษณ์ในบางครั้งอาจเป็นสิ่งที่ดูเหมือนกากวม มีลักษณะที่ก้ากึ่งระหว่างความคาดหวังกับความ
เป็นจริงมาบรรจบกัน
สรุปว่า ภาพลักษณ์จะเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาอย่างมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความ
ประทับใจ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ และถูกยอมรับจากสาธารณชน ซึ่งภาพลักษณ์จะมีส่วนผสม
มั้งมิติส่วนตัว (Private) และมิติสาธารณะ (Public) เพื่อให้เกิดภาพลักษณ์เฉพาะตัว(Private Image)
โดยที่มีส่วนร่วมกันในแง่ของความเป็นภาพลักษณ์สาธารณะ(Public Image)
ประเภทของภาพลักษณ์
เนื่องจากภาพลักษณ์เป็นความรู้สึกนึกคิดของในใจของผู้คิด ซึ่งแยกเป็นประเภทต่าง ๆ
ได้หลายประเภทขึ้นอยู่กับลักษณะและเป้าหมายดังนี้
1. ภาพลักษณ์ต่อบริษัท(Corporate Image) คือ ภาพที่เกิดขึ้นในจิตใจของประชาชน ที่มี
ต่อบริษัทหรือหน่วยงานธุรกิจแห่งใดแห่งหนึ่ง ภาพลักษณ์ดังกล่าวนี้จะหมายรวมไปถึงด้านการ
บริหารหรือการจัดการ(Management) ของบริษัทแห่งนั้นด้วย และหมายรวมไปถึงสินค้า
ผลิตภัณฑ์(Product) และการบริการ (Service) ที่บริษัทนั้นจาหน่ายฉะนั้น คาว่าภาพลักษณ์ต่อ
บริษัท(Corporate Image) จึงมีความหมายค่อนข้างกว้างและยังหมายรวมถึงตัวหน่วยงานธุรกิจ
ฝ่ายจัดการและสินค้าหรือบริการของบริษัทแห่งนั้นด้วย
2. ภาพลักษณ์ต่อสถาบันหรือองค์การ (Institutional Image) คือ ภาพที่เกิดขึ้นในจิตใจ
ของประชาชน ที่มีต่อสถาบันหรือองค์การ ซึ่งโดยมากจะเน้นไปทางด้านตัวสถาบันหรือองค์การ
เพียงอย่างเดียว ไม่รวมถึงสินค้าและบริการที่จาหน่าย
3. ภาพลักษณ์ต่อสินค้าหรือบริการ(Product/ Service Image) คือภาพที่เกิดขึ้นในจิตใจ
ของประชาชนที่มีต่อสินค้า และบริการของบริษัทเพียงอย่างเดียว โดยไม่รวมถึงตัวองค์การหรือ
บริษัท
4. ภาพลักษณ์ที่มีต่อสินค้าตราใดตราหนึ่ง(BrandImage) คือ ภาพที่เกิดขึ้นในใจของ
ประชาชนทีมีต่อสินค้ายี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งหรือตรา (Brand) ใดตราหนึ่ง หรือเครื่องหมายการค้า
- 4. 12
(Trademark) ใดเครื่องหมายหนึ่ง ส่วนมากมักจะใช้ในด้านการโฆษณา(Advertising) และการ
ส่งเสริมการจาหน่าย (Sale Promotion)
ฉะนั้น ภาพลักษณ์ที่มีต่อตราสินค้าตราใดตราหนี่ง จึงเป็นภาพในจิตใจของผู้บริโภคที่
ได้รับการปลูกฝังอย่างมั่นคงในด้านความรู้สึกนึกคิดต่อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ตราใดตราหนึ่ง
นอกจากนี้ ภาพในใจของตราแห่งสินค้าหรือผลิตภัณฑ์อาจจะเป็นภาพที่ให้ความรู้สึกนึกคิดต่อ
ประชาชนว่า เป็นสินค้าที่ทันสมัยหรือล้าสมัย เป็นสินค้าสาหรับผู้ที่มีรสนิยมสูงหรือธรรมดา
สาหรับวัยรุ่นหรือผู้สูงอายุสาหรับสุภาพสตรีหรือสุภาพบุรุษ สินค้านั้นมีความคงทนต่อการใช้งาน
หรือไม่ คุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่ากับราคาของสินค้านั้น เป็นต้น
การสร้างภาพลักษณ์ต่อตราหรือยี่ห้อ(Brand Image) อาจจะทาได้โดยอาศัยการออกแบบ
สินค้าหรือผลิตภัณฑ์หีบห่อ ตรายี่ห้อ สีสัน สื่อที่ใช้โฆษณา การแสดงที่ระบุตราหรือยี่ห้อผ่านสื่อ
โฆษณาต่าง ๆ เนื้อหาและรูปแบบของการโฆษณา รวมทั้งภาพต่างๆ ผังโฆษณา ตัวพิมพ์งานศิลป์
(Artwork) เป็นต้น องค์ประกอบเหล่านี้ต้องทาการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงทันที ถ้าเราทราบว่า
ภาพลักษณ์ต่อยี่ห้อ(Brand Image) เป็นไปในทางที่ส่อว่าจะกระทบกระเทือนต่อชื่อเสียง ความ
ศรัทธา หรือยอดขายของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ
สิ่งสาคัญอีกประการหนึ่งคือภาพลักษณ์ต่อตรายี่ห้อ(Brand Image) นั้นควรจะมีความ
เด่นเป็นพิเศษ และมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองที่ไม่เหมือนใคร จึงจะทาให้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้น
อยู่เหนือการแข่งขันจากบริษัทคู่แข่งอื่นๆ และสามารถดารงหรือประทับอยู่ในความทรงจาและ
จิตใจของประชาชนผู้บริโภคอย่างยาวนาน
องค์ประกอบของภาพลักษณ์ สามารถแยกได้เป็น 4 ส่วน แต่ในความเป็นจริง
องค์ประกอบทั้ง4 ส่วนนี้มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไม่อาจแบ่งแยกได้คือ
1. องค์ประกอบเชิงการรับรู้ (Perceptual Component) เป็นสิ่งที่บุคคลได้จากการ
สังเกตโดยตรงแล้วนาสิ่งนั้นไปสู่การรับรู้ สิ่งที่ถูกรับรู้นี้อาจจะเป็นบุคคลสถานที่ เหตุการณ์
ความคิดหรือสิ่งของต่าง ๆ เราจะได้ภาพของสิ่งแวดล้อมต่างๆ เหล่านี้โดยผ่านการรับรู้เป็น
เบื้องแรก
2. องค์ประกอบเชิงความรู้ (Cognitive Component) ได้แก่ ส่วนที่เป็นความรู้
เกี่ยวกับลักษณะประเภทความแตกต่างของสิ่งต่าง ๆ ที่ได้จากการสังเกตและรับรู้
3. องค์ประกอบเชิงความรู้สึก (Affective Component) ได้แก่ ความรู้สึกของบุคคลที่
มีต่อสิ่งต่าง ๆ อาจเป็นความรู้สึกผูกพันยอมรับหรือไม่ยอมรับชอบหรือไม่ชอบ
4. องค์ประกอบเชิงการกระทา(Conative Component) เป็นความมุ่งหมายหรือ
- 5. 13
เจตนาที่เป็นแนวทางในการปฏิบัติตอบโต้สิ่งเร้านั้นโดยเป็นผลของปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
องค์ประกอบเชิงความรู้และเชิงความรู้สึก
องค์ประกอบเชิงการรับรู้ เชิงความรู้ เชิงความรู้สึก และเชิงการกระทานี้จะผสมผสาน
กันเป็นภาพที่บุคคลได้มีประสบการณ์ในโลกดังนั้น ภาพลักษณ์ที่ดีของธุรกิจจึงสัมพันธ์โดยตรง
กับพฤติกรรมของผู้บริโภคซึ่งกว่าผู้บริโภคเป้าหมาย(Target Consumer) แต่ละราย จะเปลี่ยนฐานะ
มาเป็นลูกค้า (Customer) นั้น จะผ่านการรับรู้ (Perception) จนเกิดความรู้(Knowledge) และ
ความรู้สึก (Affection) ที่ดีต่อผลิตภัณฑ์และองค์การธุรกิจจนกระทั่งเกิดพฤติกรรมการซื้อ(Buying)
มาบริโภคในที่สุด
การกาหนดภาพลักษณ์ตามกรอบทฤษฎีส่วนประสมทางการตลาด(Marketing Mix)
ทั้ง 4 ส่วน รวมไปถึงด้านการบริการและด้านองค์กรจาแนกได้ดังนี้
1. ภาพลักษณ์ที่พึงประสงค์ด้านสินค้าหรือบริการที่จาหน่ายเช่น สินค้ามีคุณภาพดี
น่าเชื่อถือ สินค้ามีความทันสมัยสินค้ามีเอกลักษณ์โดดเด่นสินค้ามีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
2. ภาพลักษณ์ที่พึงประสงค์ด้านราคาโดยทั่วไปผู้บริโภคจะเริ่มต้นจากจุดแรกคือ
คานึงถึงราคาสินค้าหรือค่าบริการที่มีความเหมาะสมและยุติธรรม แต่ในภาวการณ์แข่งขันที่รุนแรง
สาหรับตลาดสินค้าบางประเภทนั้นเป้าหมายของภาพลักษณ์ด้านราคาอาจต้องปรับตัวนั่นคือราคา
ที่ย่อมเยาว์
3. ภาพลักษณ์ที่พึงประสงค์ด้านช่องทางการกระจายสินค้ามักจะมุ่งในประเด็นเรื่อง
สถานที่จาหน่ายและระยะเวลาที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวกเช่น ตัวแทนจาหน่าย
ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางและทั่วถึงเป็นต้น
4. ภาพลักษณ์ที่พึงประสงค์ด้านการส่งเสริมการตลาดอาจจาแนกเป็นส่วนย่อย ๆ คือ
4.1 ภาพลักษณ์ต่อกิจกรรมการสื่อสารการตลาดเช่น สื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์ที่
ใช้มีความทันสมัย มีรสนิยมที่ดี นอกจากนี้ ในแง่ข่าวสารก็ต้องมีความเป็นเอกภาพจริงใจไม่โอ้อวด
4.2 ภาพลักษณ์ต่อกิจกรรมส่งเสริมการขายในแง่รูปแบบและอรรถประโยชน์ต่อ
ผู้บริโภค ทั้งนี้ยังครอบคลุมไปถึงกิจกรรมและอุปกรณ์การส่งเสริมการขายว่ามีความทันสมัยและ
เหมาะสมกับสินค้า เช่น การจัดวางสินค้าแคตตาล๊อก พรีเซ็นเตอร์ เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ตาม ความประทับใจของผู้บริโภคที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือ
บริการนั้นบางครั้งก็มิได้เกิดจากจุดแข็งด้านการตลาดของผลิตภัณฑ์เพียงส่วนเดียวหากยังขึ้นอยู่กับ
ส่วนที่เป็นคุณค่าเพิ่มอีกด้วยนั่นคือ
5. ภาพลักษณ์ที่พึงประสงค์ด้านการบริการประสิทธิภาพของการบริการเกิดขึ้นจาก
- 6. 14
องค์ประกอบสองส่วนคือ พนักงานบริการและระบบบริการธุรกิจจึงต้องพัฒนาทั้งระบบการบริการ
เพื่อให้มีภาพของความทันสมัย ก้าวหน้ารวดเร็ว และและถูกต้องแม่นยา พร้อม ๆ กับพนักงาน
บริการที่มีความเชี่ยวชาญคล่องแคล่ว สุภาพ มีบุคลิกภาพและอัธยาศัยไมตรีอันดี เพื่อให้บรรลุ
เป้าหมายของการสร้างภาพลักษณ์ด้านบริการได้เต็มที่
6. ภาพลักษณ์ที่พึงประสงค์ด้านองค์การถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวหรืออัตลักษณ์
(Identity) ของแต่ละธุรกิจ โดยยึดแนวคิดในการเป็น“องค์การที่ดีของสังคม” (Good Corporate
Citizen) เช่น ภาพลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับความรู้ความสามารถและคุณธรรมของเจ้าของธุรกิจและ
ผู้บริหาร ความมั่นคงก้าวหน้าของกิจการความทันสมัยและก้าวหน้าทางวิทยาการของธุรกิจความรู้
ความสามารถรวมถึงประสิทธิภาพการทางาน และมนุษยสัมพันธ์ของพนักงานความมีจริยธรรม
และรับผิดชอบต่อสังคม การทาคุณประโยชน์แก่สังคม(เช่น ในด้านศิลปวัฒนธรรมการศึกษา
เยาวชน สิ่งแวดล้อม ฯลฯ)
เกณฑ์ในการวัดภาพลักษณ์ตามแนวคิดของPhilip Kotler โดยจาแนกไว้เป็น2 ระดับ
คือ
ระดับแรก สารวจความคุ้นเคยของผู้บริโภคที่มีต่อองค์การสินค้า และบริการทาโดย
การวัดระดับความคุ้นเคย(Familiarity Scale) ซึ่งแบ่งเป็น 5 ระดับดังนี้ (1) ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
(Never Heard of) (2) เคยได้ยินชื่อ(Heard of Only) (3) รู้จักบ้างเล็กน้อย(Know a Little Bit)
(4) รู้จักพอสมควร (Knowa Fair Amount) และ (5) รู้จักเป็นอย่างดี (Know VeryWell) หากพบ
คาตอบของผู้บริโภคส่วนใหญ่จากัดอยู่เพียงระดับ1 และ 2 ก็แสดงว่าธุรกิจจะต้องเร่งสร้างการรับรู้
(Awareness) ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว
ระดับที่สอง สารวจความชอบของผู้ที่รู้จักองค์การสินค้า และบริการแล้วทาโดยการ
วัดระดับความชอบ(Favourability Scale) แบ่งเป็น 5 ระดับดังนี้ (1) ไม่ชอบเลย (Unfavourable)
(2) ไม่ค่อยชอบ (Somewhat Unfavourable) (3) รู้สึกเฉย ๆ (Indifference) (4) ค่อนข้างชอบ
(Somewhat Favourable) และ(5) ชอบมาก (VeryFavourable) หากพบว่าคาตอบของผู้บริโภค
เป้าหมายอยู่ใน 2 ระดับแรก นั่นหมายถึงว่าธุรกิจจะต้องแก้ไขปัญหาด้านภาพลักษณ์อย่างจริงจัง
แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับสื่อ
การเปิดรับสื่อ หมายถึง การเปิดรับข่าวสารต่าง ๆ จากสื่อบุคคลสื่อมวลชน และสื่อ
อิเล็กทรอนิกส์
- 7. 15
รูปแบบของสื่อ
สื่อ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทประกอบด้วย(เสรี วงษ์มณฑา, 2543)
1. สื่อบุคคล หมายถึง ตัวคนที่นามาใช้ในการสื่อสารกับผู้รับสาร ในลักษณะเผชิญหน้า
การใช้สื่อบุคคลในการสื่อสารสามารถทาได้ทั้งในรูปของการสนทนากับผู้รับสารเพียงคนเดียว
หรือในรูปของการประชุมกลุ่ม ซึ่งประกอบไปด้วยผู้รับสารมากกว่า1 คนก็ได้เป็นสื่อที่สามารถใช้
สื่อสารได้สองทาง มีการโต้ตอบกันได้แต่มักเป็นไปในวงแคบ เช่น พนักงานขาย พนักงานแนะนา
สินค้า (PC) การใช้สื่อบุคคลทาให้เกิดผลดี 3 ประการ คือ
1.1 สามารถนาข่าวสารที่ต้องการเผยแพร่ไปสู่บุคคลอื่นได้โดยตรง โดยจะได้รับ
ความไว้วางใจและสามารถชักจูงบุคคลได้โดยใช้วิธีการพูดคุยกันแบบกันเอง
1.2 ทาให้การเผยแพร่ข่าวสารเป็นไปในลักษณะที่ยืดหยุ่นสามารถปรับให้เข้ากับ
ผู้รับสารเป็นราย ๆ ไป และทาให้ทราบความรู้สึกนึกคิดของบุคคลนั้น ๆได้
1.3 เมื่อบุคคลมีการตัดสินใจตามคาแนะนาแล้ว ผู้เผยแพร่จะรู้สึกว่าตนได้รับรางวัล
ทันที่เป็นการส่วนตัวจากการที่บุคคลเห็นชอบด้วยกับการตัดสินใจที่ตนเองแนะนา
2. สื่อมวลชน หมายถึง สื่อที่สามารถนาสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร ซึ่งประกอบด้วย
คนจานวนมากได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาที่ใกล้เคียงกัน และสามารถทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ทัศนคติที่ไม่ฝังแน่นได้ เป็นช่องทางที่ประชาชนเปิดรับข่าวสารเพื่อให้ตนเองมีความรู้กว้างขวาง
มากยิ่งขึ้น แต่สื่อต้องสร้างหรือเพิ่มช่องทางให้ประชาชนในพื้นที่สามารถเข้าถึงได้มากขึ้นเช่นกัน
โดยทั่วไปสื่อมวลชน ได้แก่ โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์นิตยสาร ฯลฯ
3. สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น Internet E-mail ซึ่งมีข้อดี คือ ให้ข้อมูลข่าวสารได้มาก มี
ภาพ เสียง สามมิติ มีการเคลื่อนไหว มีภาพเสมือนจริง มีลูกเล่นมาก เป็นสื่อที่กลุ่มเยาวชนคนรุ่น
ใหม่ในพื้นที่ให้ความสนใจ สามารถแพร่กระจายข่าวสารได้อย่างรวดเร็วไร้ขีดจากัดแต่มีข้อเสีย คือ
มีราคาสูง จานวนผู้รับสารอยู่ในวงแคบ จึงเป็นสื่อเพื่อสนองภาพลักษณ์มากกว่า
ความหมายของการรับรู้สื่อ
เบคเกอร์ (อ้างใน สมควร เจริญสุข,2539, หน้า 115) ได้ให้ความหมายของการรับรู้สื่อไว้
ดังนี้
1. การแสวงหาข้อมูล (Information Seeking) คือ บุคคลจะแสวงหาความรู้เพื่อต้องการ
ให้มีความคล้ายคลึงกับบุคคลอื่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือเรื่องทั่ว ๆ ไป
2. การเปิดรับข้อมูล(Information Receptivity) คือ บุคคลจะเปิดรับสื่อเพื่อต้องการทราบ
ข้อมูลที่ตนสนใจอยากรู้ เช่น เปิดดูโทรทัศน์เฉพาะเรื่องหรือรายการที่สนใจ หรือมีผู้แนะนา
- 8. 16
3. การเปิดรับประสบการณ์ (Experience Receptivity) คือบุคคลจะเปิดรับข่าวสารเพราะ
ต้องการทาสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อผ่อนคลายอารมณ์
ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะประชากรและการรับสาร
ปรมะ สตะเวทิน (2538) กล่าวถึง ลักษณะประชากรศาสตร์ของผู้รับสารว่าประกอบด้วย
1. อายุ เป็นปัจจัยที่ทาให้คนมีความแตกต่างกันในเรื่องความคิดและพฤติกรมบุคคลที่มี
อายุมากจะมีพฤติกรรมตอบสนองต่อการติดต่อสื่อสารต่างจากบุคคลที่มีอายุน้อย และบุคคลที่มีอายุ
น้อยจะมีพฤติกรรมตอบสนองต่อการติดต่อสื่อสารเปลี่ยนไปเมื่อตนเองมีอายุมากขึ้น ดังนั้นอายุของ
ผู้รับสารจะมีอิทธิพลกับการสื่อสาร ทั้งนี้เพราะความสามารถในการตีความหมายจะแตกต่างกันซึ่ง
อาจออกมาในรูปของความสนใจ ความเชื่อ หรือพฤติกรรมการรับข่าวสารของผู้รับสาร
2. เพศ ความแตกต่างทางเพศทาให้บุคคลมีพฤติกรรมการติดต่อสื่อสารที่แตกต่างกัน
กล่าวคือ เพศหญิงมีแนวโน้มและความต้องการที่จะส่งและรับข่าวสารมากกว่าเพศชายในขณะที่
เพศชายไม่ได้มีความต้องการที่จะส่งและรับข่าวสารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีความต้องการที่จะ
สร้างความสัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้นจากการรับข่าวสารนั้นด้วยจากการวิจัยทางจิตวิทยาได้แสดงให้
เห็นว่า ผู้หญิงกับผู้ชายมีความแตกต่างกันมากในเรื่องความคิด ค่านิยม และทัศนคติทั้งนี้เพราะ
วัฒนธรรมและสังคมกาหนดบทบาทและกิจกรรมของคนสองเพศไว้ต่างกัน
3. การศึกษา เป็นลักษณะสาคัญที่มีอิทธิพลต่อผู้รับสาร คนที่มีการศึกษาสูงจะเป็นผู้รับ
สารที่ดี เนื่องจากมีความรู้กว้างขวางในหลาย ๆ เรื่อง และสามารถเข้าใจสารได้ดี ส่งผลให้คนที่มี
ระดับการศึกษาสูงจะเลือกใช้สื่อมากกว่าประเภทคนที่มีการศึกษาต่าและคนที่มีการศึกษาสูงมักจะ
ใช้ประเภทสิ่งพิมพ์ ในขณะที่คนที่มีการศึกษาต่ามักจะใช้สื่อประเภทวิทยุโทรทัศน์ และภาพยนตร์
ฯลฯ
4. ฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจ หมายถึง อาชีพ รายได้เชื้อชาติและชาติพันธุ์ ตลอดจน
ภูมิหลังของครอบครัว ทาให้คนมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันมีประสบการณ์ ทัศนคติ ค่านิยม และ
เป้าหมายที่แตกต่างกัน
5. ภูมิลาเนา มีอิทธิพลต่อผู้รับสาร เนื่องจากลักษณะภูมิศาสตร์ การศึกษาสังคม
เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ทาให้คนที่อยู่ในที่ต่าง ๆ นั้น มีคุณสมบัติต่างกัน และมีผลต่อ
ทัศนคติและพฤติกรรมด้วยนอกจากนั้นสื่อมวลชนที่มีอยู่ในแต่ละท้องที่ก็มีลักษณะต่างกัน
โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์
- 9. 17
6. สถานภาพสมรส เป็นตัวแปรอีกปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อความสนใจของผู้รับสาร
เพราะผู้ใหญ่วัยต้นสมรสจะต้องมีการปรับตัวเรื่องของความผูกพันใกล้ชิดทางกายภาพ
ความสัมพันธ์ทางเพศ ต้องมีบทบาทร่วมกันในการปฏิบัติภารกิจทางสังคมที่เกี่ยวข้องดังนั้น
ผู้สมรสจะมีความผูกพันต่อส่วนรวมมากกว่าคนโสดเนื่องจากคนที่มีครอบครัวจะมีความผูกพัน
แนบแน่นกับบุคคลภายในครอบครัวหลายคน เช่น ภรรยาหรือสามีบุตรหรือเครือญาติของแต่ละ
ฝ่ายอีกด้วย
7. เวลาในการเปิดรับฟังข่าวสาร เป็นสิ่งสาคัญที่ผู้ส่งสารควรคานึงถึง มิฉะนั้นเนื้อหา
ข่าวสารที่ส่งไปจะสูญเปล่า เพราะเวลาไม่เหมาะสมกับความต้องการของผู้รับสาร ทาให้ผู้รับสาร
พลาดโอกาสเปิดรับสิ่งที่เป็นประโยชน์
พฤติกรรมการเปิดรับสื่อ
พฤติกรรมการเปิดรับสื่อ หมายถึง ความบ่อยครั้งความต่อเนื่องในการรับชมรูปแบบ
เนื้อหาของข่าวสารจากการอ่านหนังสือพิมพ์การดูโทรทัศน์ การฟังวิทยุและการพูดคุยกับสื่อ
บุคคล
ผู้รับสารแต่ละคนต่างมีพฤติกรรมการเปิดรับสื่อมวลชนตามแบบเฉพาะของตนซึ่ง
แตกต่างกันไปแรงผลักดันให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเลือกรับสื่อ เกิดจากพื้นฐาน4 ประการ
(Merrill & Lowenstein, 1971) คือ
1. ความเหงาเมื่อบุคคลต้องอยู่ตามลาพัง ไม่สามารถที่จะติดต่อสังสรรค์กับบุคคลอื่น ๆ
ในสังคมได้สิ่งที่ดีที่สุด คือ การอยู่กับสื่อสื่อมวลชนจึงเป็นเพื่อนแก้เหงาได้และบางครั้งบางคน
พอใจจะอยู่กับสื่อมวลชนมากกว่าอยู่กับบุคคลเพราะสื่อมวลชนไม่สร้างแรงกดดันในการสนทนา
หรือแรงกดดันทางสังคมให้แก่ตนเอง
2. ความอยากรู้อยากเห็นมนุษย์มีความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งต่างๆ อยู่แล้วตาม
ธรรมชาติ ดังนั้นสื่อมวลชนจึงถือเอาจุดนี้เป็นหลักสาคัญในการเสนอข่าวสารโดยเริ่มเสนอจากสิ่ง
ใกล้ตัวก่อนไปจนถึงสิ่งที่อยู่ห่างตัวออกไป
3. ประโยชน์ใช้สอยของตนเอง มนุษย์จะแสวงหาข่าวสารและใช้ข่าวสารเพื่อ
ประโยชน์ของตนเอง เพื่อช่วยให้ความคิดของตนเองบรรลุเพื่อใช้ข่าวสารที่ได้มาเสริมบารมี
การช่วยให้ตนเองสะดวกสบายหรือให้ความบันเทิงแก่ตน โดยจะเลือกสื่อที่ใช้ความพยายาม
น้อยที่สุด (Least Effort) และได้ผลประโยชน์ตอบแทนที่ดีที่สุด (Promise of Reward)
4. ลักษณะเฉพาะของสื่อแต่ละอย่าง มีส่วนทาให้ผู้รับสารแสวงหาและได้ประโยชน์
- 10. 18
ไม่เหมือนกัน ผู้รับสารแต่ละคนย่อมจะเข้าใจในลักษณะบางอย่างจากสื่อที่จะสนองความต้องการ
และทาให้ตนเองเกิดความพึงพอใจ
Becker (1983) ได้ให้ความหมายของการเปิดรับสื่อไว้ดังนี้
1. การแสวงหาข้อมูล(Information Seeking) คือบุคคลจะแสวงหาความรู้เพื่อต้องการ
ให้มีความคล้ายคลึงกับบุคคลอื่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือเรื่องทั่ว ๆ ไป
2. การเปิดรับข้อมูล(Information Receptivity) คือ บุคคลจะเปิดรับสื่อเพื่อต้องการ
ทราบข้อมูลที่ตนสนใจอยากรู้
3. การเปิดรับประสบการณ์ (Experience Receptivity) คือบุคคลจะเปิดรับข่าวสาร
เพราะต้องการทาสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อผ่อนคลายอารมณ์
นอกจากนี้ McLeod & O’Keefe (1972 อ้างใน ประภาพรรณ ลิ้มสุขศิริ, 2543, หน้า18)
กล่าวว่าตัวชี้ (Index) ที่ใช้วัดพฤติกรรมการเปิดรับสื่อ (Media Exposure) ส่วนใหญ่ใช้กัน 2 อย่าง
คือ
1. วัดจากเวลาที่ใช้สื่อ
2. วัดจากความถี่ของการใช้สื่อแยกตามประเภทของเนื้อหารายการที่แตกต่างกัน
โดยกล่าวว่าการวัดในเรื่องเวลาที่ใช้กับสื่อมีข้อเสียตรงที่ว่า คาตอบขึ้นอยู่กับปัจจัย
หลายอย่าง เช่น ความสนใจของผู้ฟัง เวลาว่างที่คนมีอยู่และการมีสื่อใกล้ตัว (Availability of
Medium)
ด้วยเหตุนี้ คาตอบที่เกี่ยวกับเวลาที่ใช้กับสื่อจึงมักไม่สามารถแปลความหมายได้ทาง
จิตวิทยาและมักไม่ให้ผลที่ชัดเจนเมื่อนาไปเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับตัวแปรอื่นและเพื่อแก้ปัญหา
ความไม่ชัดเจนในเรื่องนี้ จึงได้มีการวัดตัวแปรการเปิดรับสื่อโดยใช้ความถี่ของการใช้สื่อเฉพาะ
อย่างเจาะจงในเนื้อหา เช่น วัดความถี่ของการอ่านข่าวที่เนื้อหาประเภทต่างๆ ในหนังสือพิมพ์
ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า
การเปิดรับสื่อมวลชนนั้นหมายถึง ความบ่อยครั้งหรือความถี่ในการเปิดรับ ระยะเวลา
ความต่อเนื่อง ช่วงเวลา รวมไปถึง จานวนสื่อมวลชนหรือช่องทางที่ใช้ในการเปิดรับข่าวสารด้วย
ความถี่ (Frequency) หมายถึง ความบ่อยหรือจานวนครั้งที่ได้เคยเห็นโฆษณา
ความต่อเนื่อง (Continuity) หมายถึง การติดตามเรื่องราวเนื้อหาโฆษณาผ่านสื่อ
ความชอบ (Likability) หมายถึง ความรู้สึก ความคิดเห็นในการชมโฆษณา โดยวัดจาก
ความชอบในด้านเนื้อเรื่องของโฆษณา และความชอบในด้านความคิดสร้างสรรค์ของโฆษณา
ช่วงเวลาที่รับชม (Time to Watch) หมายถึง ช่วงเวลาที่ผู้ชมรับชมข่าวสารโฆษณา
- 11. 19
ช่องทางในการรับชม (Channel to Watch) หมายถึง จานวนสื่อมวลชนหรือช่องทาง
ประชาชนใช้เปิดรับข่าวสารเพื่อให้ตนเองมีความรู้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น
บุคคลที่มีอิทธิพลต่อการชม (An Influential) หมายถึง บุคคลที่มีส่วนในการชักจูงให้เกิด
ความชอบหรือไม่ชอบ ในสื่อโฆษณานั้น ๆ
เหตุผลในการเปิดรับสื่อมวลชนของประชาชน
โจเซฟ (อ้างใน วรรณี จงศักดิ์สวัสดิ์,2536, หน้า 89) กล่าวถึงเหตุผลในการเปิดรับ
สื่อมวลชนของประชาชนสามารถจาแนกได้ดังนี้
1. เพื่อการรับรู้ (Cognition) หมายถึง การที่ผู้รับสารต้องการข่าวสารเพื่อสนองต่อความ
ต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในด้านความอยากรู้และความต้องการได้รับการยอมรับว่าตนเองเป็น
ส่วนหนึ่งของสังคม ดังนั้นจึงต้องเข้าใจส่วนประกอบของสังคมโดยการรับรู้ข่าวสารผ่าน
สื่อมวลชนในรูปแบบหลัก คือ ข่าว ความรู้ ความบันเทิง
2. เพื่อความหลากหลาย (Diversion) เพื่อสนองต่อความต้องการของมนุษย์ในรูปแบบที่
แตกต่างกันออกไป เช่น
- กระตุ้นอารมณ์ เป็นการเปิดรับสื่อเพื่อแสวงหาความเข้าใจ ความสนุกสนาน ความ
ตื่นเต้น ทั้งนี้เพื่อต้องการลดความเบื่อหน่ายในชีวิต
- การพักผ่อน เป็นการเปิดรับสื่อเพื่อผ่อนคลายความเครียดที่มากเกินไป หรือลด
ความเร่งเร้าในชีวิตประจาวันลง
3. เพื่อประโยชน์ทางสังคม (Social Utility) หมายถึง ความจาเป็นของบุคคลที่ต้องการ
เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ดังนั้นการเปิดรับสื่ออาจแสดงถึงการยอมรับการสมาคมในสังคม และ
ความผูกพันต่อผู้อื่นซึ่งอาจแสดงออกได้ดังนี้
- การใช้ภาษาร่วมสมัย ผู้รับสารอาจเปิดรับสื่อเพื่อต้องการความทันสมัย โดยการ
แสดงออกถึงการใช้ภาษา เช่น คาพูด และความเข้าใจต่อค่านิยมใหม่ๆ เพื่อแสดงความเป็นกลุ่ม
เดียวกัน โดยมีสื่อมวลชนเป็นสะพานเชื่อมของคนในกลุ่มนั้น ๆ
- สื่อมวลชนสัมพันธ์ มนุษย์มักใช้สื่อมวลชนเป็นเพื่อน หรืออาศัยสื่อมวลชนในการ
แสวงหามิตร เช่น ในสังคมกรุงเทพฯ ประชาชนส่วนใหญ่อาศัยสิ่งพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ เป็น
เพื่อนมากกว่าการคบกับเพื่อนบ้านด้วยกัน
4. การผละสังคม (Withdrawal) เป็นการเปิดรับสื่อหรือเข้าหาสื่อเพื่อหลีกเลี่ยงงาน
ประจา เช่น การรีบทางานให้เสร็จสิ้นเพื่อจะได้ไปชมโทรทัศน์
- 12. 20
แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับโฆษณา
ความหมายของโฆษณา
ในชีวิตประจาวันสามารถพบเห็นโฆษณาได้ในหลากหลายรูปแบบ เช่นโฆษณาขาย
สินค้า โฆษณาเชิญชวนไปเลือกตั้ง และบริการต่างๆ มากมายฉะนั้นการโฆษณาจึงเป็นคาที่บุคคล
ทั่วไปคุ้นเคย และนาไปใช้กันอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะแวดวงของการสื่อสารมวลชนและทางด้าน
การตลาด จึงมีผู้ให้ความหมายของโฆษณาในทัศนะที่หลากหลายดังนี้
ทิพวรรณ วิระสิงห์ (2532) ได้ให้ความหมายของโฆษณาไว้ว่า เป็นการชักชวนหรือจูงใจ
ให้ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อในอนาคตสนใจสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตเสนอขายด้วยวิธีการต่าง ๆ
นอกเหนือจากการเสนอขายโดยตรง ซึ่งการจูงใจนั้นจะกระทาผ่านสื่อต่างๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์
หนังสือพิมพ์
เสรี วงษ์มณฑา(2535) ได้ให้ความหมายของ “โฆษณา” ไว้ว่า โฆษณาเป็นกิจกรรม
สื่อสารมวลชนที่เกิดขึ้น เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมอันเอื้อต่อความเจริญของธุรกิจการขาย
สินค้าหรือบริการโดยอาศัยจากเหตุผลซึ่งมีทั้งกลยุทธ์จริงและเหตุผลสมมติผ่านสื่อโฆษณา
ศิริพรรณวดี รุ่งวุฒิขจร(2541) ให้ความหมายของ โฆษณาว่าเป็นการสื่อสารผ่านสื่อ
โฆษณาเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการซื้อสินค้าหรือบริการโดยต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับ
สื่อและระบุตัวผู้โฆษณาด้วย
สาอางค์งามวิชา (2537) กล่าวว่า การโฆษณาเป็นการเสนอข่าวสารผ่านสื่อมวลชน เพื่อ
ชักจูงให้ผู้ชม ผู้ฟัง สนใจและยอมรับ สินค้า บริการ หรือ ความคิดของผู้โฆษณา โดยที่ผู้โฆษณา
จะต้องจ่ายเงินตอบแทนสาหรับการโฆษณาในครั้งนั้นๆ
เสรี วงษ์มณฑา (2547) กล่าวว่า โฆษณาเป็นเครื่องมือที่จะก่อให้เกิดคุณค่าเพิ่มเติม
(Add Value) ให้กับสินค้า ทาให้ผู้บริโภคมองเห็นสินค้ามีคุณค่าที่เหนือไปกว่าอรรถประโยชน์ทื่
แท้จริงทางกายภาพ แต่มีอรรถประโยชน์เพิ่มเติมทางจิตวิทยา นอกจากนี้การโฆษณายังสร้างความ
ภักดีในยี่ห้อ ปกป้องคุ้มครองสินค้าจากการถูกตีท้ายครัวของยี่ห้ออื่นๆ ที่พยายามจะแย่งชิงลูกค้า
โดยอาศัยหลักการสร้างความแตกต่างระหว่างยี่ห้อ
เสรี วงษ์มณฑา (2540) กล่าวว่า การโฆษณาที่ได้เห็นบ่อยๆ ได้ยินบ่อย ๆ ได้อ่านบ่อย ๆ
จะทาให้ผู้บริโภคคุ้นเคยกับตราสินค้า ความคุ้นเคยทาให้เกิดความชอบโดยการสร้างความคุ้นเคย
และให้ความรู้เกี่ยวกับตราสินค้านั้นๆก็เพื่อให้เกิดการจาได้เมื่อจาได้แล้วตราสินค้าจะมี
ความหมายก็ต่อเมื่อลูกค้าจาตราสินค้าได้ในทางที่ดีเท่านั้น นอกจากนี้ยังกล่าวว่า การโฆษณาเป็น
กิจกรรมอย่างหนึ่งที่ผู้ผลิตใช้สื่อสารถึงผู้บริโภค เพื่อบอกถึงรายละเอียด คุณสมบัติของสินค้า ทา
- 13. 21
หน้าที่ให้ข้อมูลข่าวสาร โดยพยายามชี้แจง โน้มน้าวจิตใจ ทาให้ผู้บริโภค เกิดการรับรู้และจดจาใน
ตัวสินค้า และมีความอยากทดลองใช้และอิทธิพลของโฆษณายังส่งผลไปถึงพฤติกรรมการ
ตัดสินใจซื้อหรือบริโภคด้วย เนื่องจากผู้บริโภคจะได้รับข้อมูลข่าวสารที่นาไปสู่การตัดสินใจการ
โฆษณานั้นสามารถโฆษณาได้หลายสื่อทั้งโทรทัศน์ วิทยุหนังสือพิมพ์นิตยสาร ป้ายโฆษณา ฯลฯ
Lee (1998) ได้กล่าวสนับสนุนถึงการสื่อสารการโฆษณาไว้ว่า ผู้บริโภคจะเลือกซื้อตรา
สินค้าที่มีการโฆษณาตามสื่อต่างๆ มากกว่าเลือกซื้อตราสินค้าที่ไม่มีการโฆษณาเลย ด้วยเหตุผล
ที่ว่า ตราสินค้าที่มีการโฆษณา มีการนาเสนอข้อมูลและภาพที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจซื้อ
McArthur and Griffin (1997) ได้กล่าวถึง การสื่อสารการตลาด และสื่อโฆษณาว่า
สามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แกตราสินค้าและบริษัทได้ในระยะยาว ซึ่งเป็นการสร้างความ
สัมพันธ์อันดีให้เกิดชึ้นในใจผู้บริโภค โดยจะนึกถึงตราสินค้าของบริษัทอยู่เสมอ
Elliott and Goodwin (1978) ได้กล่าวถึง การสื่อสารทางการตลาด และสื่อโฆษณาว่า เป็น
สิ่งจาเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากสามารถทาให้ผู้บริโภคเลือกซื้อในผลิตภัณฑ์หรือบริการเพียงผลิตภัณฑ์
เดียวเท่านั้น แม้ว่าผู้บริโภคจะยังไม่มีความภักดีในตอนแรก แต่ก็ทาให้มีอัตราสูงที่จะทาให้ผู้บริโภค
ซื้อตราผลิตภัณฑ์ที่ทาการสื่อสารอย่างสม่าเสมอ และเกิดเป็นความภักดีต่อตราผลิตภัณฑ์นั้นใน
ที่สุด
Light (2003) กล่าวว่า การโฆษณาเป็นหัวใจหลักในการสร้างความภักดีให้เกิดขึ้นต่อผู้
ผู้บริโภค เนื่องจากการโฆษณาไม่เป็นเพียงแค่การกระตุ้นให้ผู้บริโภคทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ แต่ยัง
เป็นตัวเสริมให้เกิดความภักดีต่อตราสินค้านั้นๆ ด้วย มีการศึกษาหลายเรื่องแสดงให้เห็นว่าผลของ
แรงเสริมโฆษณาที่จัดทาขึ้นภายหลังการขายมีความสาคัญเท่าๆ กับการโฆษณาเพื่อสร้างยอดขาย
นอกจากนี้การโฆษณาจะเป็นต่อก่อให้เกิดทัศนคติและเสริมทัศนคติให้กลายเป็นความเชื่อในการ
สร้างให้เกิดการรับรู้ ความคาดหวังและชักชวนให้ทดลองผลิตภัณฑ์และในที่สุดโฆษณาก็ใช้เป็น
ตัวกระตุ้นเสริมอีกครั้งเพื่อให้มีทัศนคติที่ดีพัฒนากลายเป็นความภักดีของผู้บริโภคต่อตราสินค้า
นั้น ๆ
ปริญ ลักษิตานนท์(2544) การสื่อสารการโฆษณายังสามารถสร้างคุณค่าของตรา
ผลิตภัณฑ์ให้แตกต่างจากคู่แข่งขันเมื่อมีการเปรียบเทียบเรื่องของราคาและผลิตภัณฑ์ การสร้างและ
การเพิ่มคุณค่าให้ผลิตภัณฑ์ดูดีมีคุณภาพ อาจจะนาเสนอในสื่อโฆษณาโดยการสื่อเนื้อหาส่งไปที่
ผู้บริโภคโดยผู้บริโภคจะได้รับเมื่อเลือกใช้หรือเลือกบริโภคตราผลิตภัณฑ์ของบริษัท นอกจากนี้
องค์ประกอบต่าง ๆ ที่อยู่ในงานโฆษณา ยังสามารถสร้างความภักดีต่อตราผลิตภัณฑ์ได้เช่นกัน
- 14. 22
ปัจจุบันการโฆษณายังช่วยสร้างภาพพจน์ หรือภาพลักษณ์(Image) ที่ดีให้แก่บริษัท
บริษัทต่าง ๆ มักนิยมใช้การโฆษณาเพื่อการประชาสัมพันธ์เพื่อเพิ่มพูนความเชื่อถือ และสร้าง
ภาพพจน์ หรือภาพลักษณ์ที่ดี(Favorable Image) แก่บริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าบริษัทผู้ผลิตสินค้า
ทาให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อถือในชื่อเสียงของบริษัทแล้ว บริษัทผู้ผลิตสินค้านั้น ๆก็จะสามารถ
ดึงดูดความสนใจให้ผู้จาหน่ายสินค้า และผู้บริโภคเกิดความภักดี อันจะส่งผลให้สินค้ามียอดการ
จาหน่ายที่สูงขึ้น ซึ่งทาให้ธุรกิจประสบความสาเร็จมีผลกาไรเพิ่มมากขึ้นด้วย
เป้ าหมายของการโฆษณา
เสรี วงษ์มณฑา(2535) ได้เสนอเป้าหมายของการโฆษณา เพื่อเป็นแนวทางในการ
วางแผนและการปฏิบัติงานของการโฆษณาเป็น4 ประเด็น คือ เป้าหมายทางจิตวิทยา เป็นเป้าหมาย
ที่จะให้โฆษณามีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของผู้บริโภคเช่น ให้จาได้ให้เปลี่ยนใจ ประเด็นที่สอง
เป้าหมายทางการกระทา คือ เป้าหมายที่มีผลกระทบต่อพฤติกรรมการแสดงออกของผู้บริโภคเช่น
ให้ลองใช้ให้รีบซื้อและซื้อทีละมาก ๆ ประเด็นที่สาม เป้าหมายทางภาพลักษณ์ คือ เป้าหมายที่
ต้องการให้คนรู้จักและยอมรับบริษัทผู้ผลิตเพื่อให้ผู้บริโภคเห็นความก้าวหน้าและยอมรับว่า
ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มีความรับผิดชอบต่อสังคม และประเด็นสุดท้าย คือ เป้าหมายทางธุรกิจ เป็น
เป้าหมายเกี่ยวข้องกับองค์กร บุคลากรโดยตรงเพื่อต้องการสร้างการยอมรับและความมั่นใจต่อผู้
จาหน่ายเป็นต้น
การตั้งเป้าหมายของการโฆษณามีเป้าหมายหลักก็คือ ต้องการสื่อไปยังผู้บริโภคและ
นาไปสู่การวางกลยุทธ์ในการผลิตโฆษณาออกมาเพื่อสร้างภาพแทนที่ในสมองของผู้บริโภค ถือ
เป็นจุดเริ่มต้นของข่าวสารที่จะสื่อกับผู้บริโภค
วัตถุประสงค์ของการโฆษณา (เสรี วงษ์มณฑา, 2540)
1. การโฆษณาเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสินค้าและบริการ คือ ต้องมีการให้
ความรู้ว่า สินค้านั้นมีคุณภาพอย่างไร ฉะนั้นการให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสินค้าและบริการแก่
ผู้บริโภคซึ่งการโฆษณาจะเป็นการสร้างความคุ้นเคยและการกระตุ้นให้มีการซื้อสินค้าและบริการ
ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม
2. การโฆษณาเพื่อให้ข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าและบริการ การโฆษณาถือเป็นการเสนอ
ข่าวสารอีกรูปแบบหนึ่ง ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวนอกจากจะช่วยให้ประชาชนหรือผู้บริโภค ได้ทราบ
ความเคลื่อนไหวของสินค้าและบริการให้เกิดประโยชน์แก่ผู้บริโภคอีกด้วย เพราะข่าวสารของ
สินค้าและบริการทั้งหลายทาให้เกิดการแข่งขันด้านคุณภาพขึ้น
- 15. 23
3. การโฆษณาเพื่อชักจูงให้ซื้อสินค้าและบริการ เป็นวัตถุประสงค์หลักของการโฆษณา
สินค้าก็เพื่อชักชวน และกระตุ้นให้มีการซื้อสินค้าและใช้บริการนั่นเอง การโฆษณาเชิงจูงใจที่ดีอีก
ประการหนึ่งก็คือ ต้องสร้างภาพลักษณ์ต่อสินค้าและบริการให้มีลักษณะสอดคล้องสนองความพึง
พอใจของผู้บริโภค โดยเอาจุดเด่นของสินค้าและบริการมาสร้างเป็นโฆษณา ซึ่งถ้าสินค้าที่อยู่ใน
ระยะแนะนาเป็นการทาให้ผู้บริโภคเกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและค่านิยมใหม่ ส่วนสินค้าที่ติด
ตลาดแล้วจะตอกย้าเตือนให้เกิดความภักดีต่อตรายี่ห้อสรุป โฆษณา หมายถึง การให้ข้อมูลข่าวสาร
แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับสินค้า บริการต่าง ๆ หรือเป็นตัวช่วยในการพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อโดยอาศัย
เทคนิคการจูงใจผ่านสื่อในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการสินค้าและ
พยายามให้ผู้บริโภครู้จักสินค้าเพิ่มมากขึ้น
องค์ประกอบสาคัญของโฆษณาสินค้าทางโทรทัศน์
องค์ประกอบสาคัญของโฆษณาสินค้าทางโทรทัศน์ ประกอบไปด้วย2 องค์ประกอบ คือ
(กีรติกานต์ วันถนอม,2539)
1. องค์ประกอบด้านวัจนภาษา(Verbal Language) เป็นภาษาถ้อยคาที่ใช้ในการสื่อสาร
เป็นการใช้ตัวอักษรและถ้อยคาสื่อความหมายระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารในการโฆษณาจะ
หมายถึง ชื่อสินค้า (Brand Name) คาขวัญ (Slogan) และข้อความโฆษณา (Copy)
ส่วนนา (Lead) เป็นส่วนที่กระตุ้นให้เกิดความสนใจสามารถเป็นได้ทั้งเสียงประกอบ
เพลง ภาพ หรือคาพูดใด ๆ ก็ตามที่สะกดผู้ชม หากแต่ไม่จาเป็นว่าโฆษณาทุกชิ้นต้องมีส่วนนาเสมอ
ไป จะไม่มีก็ได้ขึ้นอยู่กับแนวคิดของการโฆษณา
คาพูด (Wording) คือ ข้อความโฆษณาที่บอกรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ คาพูด
โฆษณาที่ดีมีลักษณะดังนี้ ใช้ถ้อยคาที่เข้าใจง่าย ควรดึงดูดใจในช่วงแรก คือ8-10 วินาที
คาขวัญ (Slogan) เป็นประโยคสั้น ๆ ที่มักอยู่ท้ายภาพยนตร์โฆษณา ทาหน้าที่เน้นย้าให้
ผู้ชมทราบข้อมูล เพื่อสร้างความมั่นใจและจดจาชื่อสินค้า แต่จะไม่มีก็ได้
คาขวัญแบ่งได้2 ลักษณะ คือ
- แบบเน้นคุณภาพสินค้าได้แก่ ลอลีอัล คุณค่าที่คุณคู่ควร เมย์เบลลีนสเน่ห์คุณ สเน่ห์
เมย์เบลลีน แคร์ฟรี สดชื่นเต็มที่ ทุกวี่วันฟิลลิป ร่วมสร้างสรรค์ สิ่งที่ดีกว่าทาโร่ อร่อยมีโปรตีนจาก
เนื้อปลา ซอลฟ์ เค็มแต่ดี
- แบบเน้นชื่อหรือที่มาของสินค้า ได้แก่ โชกูบุสซึ โมโนกาตาริ ตานานแห่งพืชพันธุ์
ธรรมชาติ โอโม่ โดดเด่นไม่เป็นรองใครรีเจนซี่ บรั่นดีไทย
- 16. 24
2. องค์ประกอบด้านอวัจนภาษา(Nonverbal Language) คือ ส่วนอื่น ๆ ที่นอกเหนือจาก
ถ้อยคา ข้อความ และสามารถสื่อความหมายได้ซึ่งจะทาให้โฆษณาชิ้นนั้นเด่นสะดุดตา น่าสนใจ มี
ความหมายที่ลึกซึ้งกว่าถ้อยคา เช่น ภาพประกอบ เพลงประกอบเครื่องหมายการค้า แสง สี การ
เคลื่อนไหว เสียงประกอบ ผู้นาเสนอ ตัวละคร เป็นต้น
การลาดับภาพ (The sequences) หมายถึง การจัดภาพเหตุการณ์ เกิดก่อนเกิดหลัง ให้เกิด
ความสมดุล และเข้าใจได้น่าติดตาม
เรื่องราวโฆษณา (Storyadvertising) หมายถึง เรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมาให้ผู้บริโภค
สามารถรับรู้หรือเข้าใจถึงความหมายของสิ่ง ๆ นั้น
ตัวละครในโฆษณา(Characters) หมายถึง การคัดสรรตัวแสดงที่เป็นสื่อในการถ่ายทอด
เนื้อหาของโฆษณาไปสู่ผู้ชม ตัวละครจะเป็นคน สัตว์สิ่งของก็ได้
ภาพโฆษณา (Visual/ VideoPart) ภาพในสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์มีสีสันและเป็น
ภาพเคลื่อนไหว จึงสามารถเล่าเรื่องราว สาธิตวิธีการ และเสนอสารโฆษณาใด ๆ ด้วยภาพได้
ภาพเคลื่อนไหวสร้างความเข้าใจและสร้างการจดจา และความน่าสนใจ
หลักเกณฑ์ในการใช้ภาพโฆษณาทางโทรทัศน์
- ไม่ควรแช่ภาพนิ่งนานเกินควร นิยมใช้ภาพนิ่งสินค้าในช่วงท้าย
- ภาพที่ใช้ควรดูแล้วเข้าใจง่าย
- ไม่ควรใช้ภาพระยะไกล เพราะไม่เด่นชัด
- ภาพต้องสัมพันธ์กับเรื่องราวและสินค้า
- ควรให้ชื่อหรือตราสินค้าปรากฏในโฆษณาบ่อยที่สุดเท่าที่จะทาได้
เพลงประกอบและดนตรีประกอบ (Jingle and Music) เป็นส่วนประกอบที่สาคัญที่
ก่อให้เกิดการจดจา สร้างอารมณ์ ก่อให้เกิดความชื่นชอบ กรณีที่นาเพลงของผู้อื่นมาใช้จะต้องเสีย
ค่าลิขสิทธิ์ให้ผู้ประพันธ์หรือเจ้าของเพลง
เสียงประกอบ (Sound Effect) คือ เสียงประกอบใด ๆ ที่ไม่ใช่เพลงประกอบ ช่วงสร้าง
จินตนาการและบรรยากาศให้สมจริงยิ่งขึ้น เช่น เสียงน้าไหล เสียงเครื่องยนต์
บทบาทและหน้าที่ของโฆษณา
คณะกรรมการกลุ่มผลิตชุดวิชาหลักการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์(2532) เสนอ
บทบาทของการโฆษณาไว้ว่ามีบทบาทหลักต่อกระบวนการตลาดเพื่อเป็นสื่อกลางในการซื้อและ
การขายสินค้า เพราะการโฆษณาจะสร้างภาพพจน์ของสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้
ซื้อ และยังสามารถชี้นาให้ผู้ผลิตทราบว่าควรผลิตอะไร เนื่องจากการโฆษณาจะเป็นตัวเร่งให้มีการ
- 17. 25
ยอมรับหรือปฏิบัติตามเร็วขึ้น และยังก่อให้เกิดการจ้างงานในกระบวนการผลิตกระบวนการตลาด
และกระบวนการบริโภคทาให้มีบทบาทต่อระบบเศรษฐกิจและส่งผลให้ขยายตัวต่อไป
การโฆษณายังทาให้ตลาดสินค้ากว้างผู้บริโภคมีโอกาสเลือกและในขณะเดียวกันผู้ผลิต
จะทาการพัฒนาสินค้าเพื่อแข่งขันกับผู้ผลิตคนอื่นผ่านบทบาทหน้าที่ต่อระบบสื่อสารมวลชน สิ่งที่
สาคัญ คือ การโฆษณามีบทบาทต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อตอบสนองความต้องการทางด้าน
จิตวิทยาสังคม สาหรับผู้บริโภคทาให้เกิดการเปลี่ยนบุคลิกภาพเดิมไปสู่บุคลิกภาพใหม่แล้ว ถือเป็น
กลไกสาคัญอย่างหนึ่งของสังคมทาให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารทั่วถึงก่อให้เกิดวัฒนธรรม
มวลชนทาให้สังคมมีค่านิยมร่วมกัน
การโฆษณามีหน้าที่อยู่หลากหลายทั้งด้านการให้ข่าวสาร(Information) เพื่อให้ผู้บริโภค
ได้รู้จักรูปร่าง คุณสมบัติ ประสิทธิภาพของสินค้ารวมทั้งการใช้สินค้าฯลฯ ซึ่งมักจะอาศัยวิธีการ
นาเสนอในรูปแบบต่าง ๆ ให้ความบันเทิง (Entertainment) ความสนุกสนาน ความแปลกใหม่ เป็น
ต้น จะช่วยกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคในจุดเริ่มต้นชักชวนให้ติดตามข่าวสารโฆษณาคราว
ต่อไป นอกจานี้ยังมีบทบาทในการชักจูง(Persuasion) ให้ผู้บริโภคเกิดการตัดสินใจทาการซื้อสินค้า
รวมทั้งมีบทบาทในการตอกย้าความจาได้(Reminder) ให้แก่ผู้บริโภค โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม
ในกรท่องจา เพราะอิทธิพลของโฆษณาจะช่วยให้ผู้บริโภคเกิดการจดจาโดยไม่รู้ตัวและช่วยย้าความ
มั่นใจ (Reassurance) หากเมื่อใดที่ผู้บริโภคมีความต้องการจะเปิดโอกาสให้กับสินค้านั้นเป็นอันดับ
แรก
อิทธิพลของการโฆษณา
ปรมะ สตะเวทิน (2538) ได้กล่าวไว้ว่า อิทธิพลของการโฆษณาสามารถแบ่งออกเป็น
2 สถานการณ์ คือสถานการณ์ในประเทศที่กาลังพัฒนาและสถานการณ์ในประเทศอุตสาหกรรม
อิทธิพลของการโฆษณาในประเทศที่กาลังพัฒนา ทาให้เกิดการรับรู้เกี่ยวกับสินค้าและ
บริการ การขยายการผลิตสินค้าส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเดิมไปสู่วิถี
ชีวิตใหม่ มีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมหรือเกิดปัญหาได้และทาให้เกิด
ความฟุ้งเฟ้อ
อิทธิพลของการโฆษณาในประเทศอุตสาหกรรม การโฆษณามีอิทธิพลต่อการผลิตและ
การตลาดทาให้เกิดการขยายตัวด้วยการผลิตสินค้าใหม่ สร้างความสะดวกสบายในการดารงชีวิต
เพราะด้วยกระบวนการของโฆษณาทาให้เกิดรสนิยมและคุณค่าของชีวิตอย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็น
ประเทศที่กาลังพัฒนาหรืออุตสาหกรรม โฆษณานับเป็นส่วนหนึ่งของการดาเนินชีวิตเพื่อช่วยใน
การตัดสินใจเรื่องการบริโภคและถ่ายทอดค่านิยมแก่สังคม