More Related Content
Similar to ออกกำลังกาย ใจ1-189
Similar to ออกกำลังกาย ใจ1-189 (20)
ออกกำลังกาย ใจ1-189
- 1. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
กำ�ลังกาย
ออกกำ�ลังใจ
พระราชด�ำรัสในหลวง
วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๙
ขอขอบใจที่ ท ่ า นทั้ ง หลายมาให้ พ รในวั น นี้ และที่
นายกฯ ได้กล่าวค�ำให้พร ซึ่งนับว่าเป็นค�ำให้พรที่ให้ก�ำลังใจ
ต้องมีก�ำลังใจอย่างเสมอ เมื่อครู่นี้ไม่ได้ลุก เพราะว่าก�ำลัง
ใจอาจจะมี แต่ก�ำลังกายไม่มี ฉะนั้นจึงไม่ลุกขึ้น ถ้าลุกขึ้น
ก็เสียก�ำลังกายเปล่าๆ แต่ท่านก็เข้าใจที่ว่าอย่างนี้ เพราะ
ว่ า จะต้ อ งรั ก ษาก� ำ ลั ง กายไว้ ใ ห้ ดี ซึ่ ง ก� ำ ลั ง กายไม่ ค ่ อ ยดี
ด้วยเหตุว่าการออกก�ำลังนี้เกินส่วนที่จะมีทางที่จะมีก�ำลัง ก็
เลยต้องประหยัดก�ำลัง แต่ในเวลาเดียวกัน ถ้ามีก�ำลังกายไว้
ก็คงเข้าใจว่า จะมีประโยชน์เพราะว่าชาติบ้านเมืองต้องใช้
ก�ำลังกาย ก�ำลังจิตใจด้วย อย่างที่ท่านนายกฯ ต้องออก
ก�ำลังกาย และก�ำลังจิตใจ คนก็ได้เห็นทังนันว่าได้ประโยชน์
้ ้
ต้องอธิบายนิดหน่อย
1
- 2. ออกกำ�ลังกาย-กำ�ลังใจ
แต่ ก ารที่ มี ก� ำ ลั ง ใจก� ำ ลั ง กายนี้ จ ะต้ อ งให้ ทุ ก คนได้
ร่วมกันช่วยกันร่วมกันออกก�ำลังกาย ก�ำลังใจเพื่อให้ชาติ
บ้านเมือง รอดพ้นอันตรายได้...
โรคสูตร *(๑) คือสูตรว่าด้วยโรค
สรุ ป ความจากพระสุ ต ตั น ตปิ ฎ ก อั ง คุ ต ตรนิ ก าย
จตุกนิบาต ได้ว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงสอนในโรคสูตรว่า โรคมี
๒ ชนิด คือโรคทางกายและโรคทางใจ โรคทางกาย น้อยกว่า
โรคทางใจ ผู้ที่ไม่มีโรคทางกายตลอดระยะเวลา ๑ ปี หรือ
หลายปี แม้ยิ่งกว่า ๑๐๐ ปี ยังพอมีอยู่ แต่ผู้จะกล่าวอ้างว่า
ตนไม่มีโรคทางใจตลอดระยะเวลาแม้ครู่เดียวหาได้ยากมาก
ยกเว้นผู้ที่หมดกิเลสแล้ว พระพุทธองค์ยังได้สอนอีกว่าโรค
ของบรรพชิตมี ๔ อย่าง สรุปความว่าเป็นคนมักมาก คับแค้น
ไม่สันโดษด้วยปัจจัย ๔ ตั้งความปรารถนาชั่วเพื่อให้ได้ลาภ
สักการะและ ชื่อเสียง วิ่งเต้นขวนขวายพยายามเพื่อไม่ให้
ผู้อื่นดูหมิ่นเพื่อให้ได้ลาภสักการะและชื่อเสียง และเข้าไป
หาตระกูล (ผู้มีฐานะดี ร�่ำรวย) นั่งกล่าวธรรม กลั้นอุจจาระ
ปัสสาวะ เพื่อให้เขานับถือ พระองค์ทรงสอนให้ละเว้นจาก
โรคเหล่านี้ โดยจักเป็นผู้อดทน อดกลั้นเวทนาทั้งหลาย อัน
2
- 3. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
เกิดมีในร่างกายแล้ว ดังนั้นจะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ทรง
อธิบายเรื่องโรคกว้างขวางกว่าโรคทางกายและทางใจ แต่
รวมถึงความไม่สันโดษ มักมากในปัจจัย ๔ ความปรารถนา
ทางชั่ ว และวิ่ ง เต้ น เพื่ อ ลาภสั ก การะ คบหาหรื อ สั ง คม
กั บ คนรวยเพื่ อ ให้ เ ขานั บ ถื อ ในสมั ย ใหม่ อ งค์ ก ารอนามั ย
โลกได้ ข ยายความหมายของค� ำ ว่ า สุ ข ภาพ รวมถึ ง ความ
สมบู ร ณ์ พ ร้ อ มมู ล ทางกาย จิ ต สั ง คม และจิ ต วิ ญ ญาณ
และต่ อ มาในปี ๒๕๕๐ ใน พ.ร.บ.สุ ข ภาพแห่ ง ชาติ ไ ด้ มี
การนิยามค�ำว่าสุขภาพที่วงการสาธารณสุขไทยใช้กันอยู่
ในปัจจุบันว่า “สุขภาพ” หมายความว่า “ภาวะของมนุษย์
ที่สมบูรณ์ ทั้ง ทางกาย ทางจิต ทางปัญญา และทางสังคม
เชื่อมโยงกันเป็นองค์รวม อย่างสมดุล”
จากโรคสูตรนี้ จึงพอเจ้าใจว่าพระพุทธองค์ทรงให้ความ
ส�ำคัญกับโรคทางใจมาก และทรงใช้การบ�ำเพ็ญทางจิต เพื่อ
ป้องกันและรักษาทั้งโรคทางจิตและโรคทางกายด้วย เพราะ
กายกับจิตเป็นของคู่กัน ดังนั้นเมื่อมีการออกก�ำลังกาย ก็ควร
มีการออกก�ำลังใจ ควบคู่กันด้วย
(๑) พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๑ หน้า ๒๑๗-๒๑๘
3
- 4. ออกกำ�ลังกาย-กำ�ลังใจ
สภาพปัญหาสุขภาพในปัจจุบัน
จากกระแสโลกาภิวัตน์ ท�ำให้เกิดผลกระทบต่อการ
พั ฒ นาทางด้ า นเศรษฐกิ จ และสั ง คมของทั่ ว โลกและของ
ประเทศไทย ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทางวัตถุแบบทุนนิยม ที่
มุ ่ ง แสวงหาก� ำ ไรเป็ น ส� ำ คั ญ ท� ำ ให้ เ ศรษฐกิ จ เกิ ด ความ
เหลื่ อ มล�้ ำ สั ง คมเปลี่ ย นไปสู ่ ก ารเสื่ อ มสลาย จากสั ง คม
ตะออกเป็ น สั ง คมตะวั น ตก สั ง คมเกษตรกรรมเป็ น สั ง คม
อุ ต สาหกรรม สั ง คมชนบทกลายเป็ น สั ง คมเมื อ งมากขึ้ น
ท� ำ ให้ แ บบแผนในการด� ำ รงชี วิ ต เปลี่ ย นไป เกิ ด กระแส
4
- 5. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
วั ต ถุ นิ ย ม บริ โ ภคนิ ย ม ที่ มี ค ่ า นิ ย มเลี ย นแบบการบริ โ ภค
ตามต่างชาติ ฟุ่มเฟือย ไม่เพียงพอ มีการใช้เทคโนโลยีเกิน
ความจ�ำเป็นและไม่เหมาะสม สถาบันทางสังคมอ่อนแอ
กลายเป็ น สั ง คมที่ บ กพร่ อ งทางด้ า นคุ ณ ธรรม ศี ล ธรรม
จริยธรรม มีการใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ แก่งแย่ง แข่งขัน เอา
รัดเอาเปรียบ แสวงหารายได้เพื่อเลี้ยงดูตนเอง ครอบครัว
และการเติบโตของธุรกิจ ท�ำให้ขาดความเอื้ออาทร ใส่ใจซึ่ง
กันและกัน ขาดการเอาใจใส่ดูแลสุขภาพ รับผิดชอบต่อผล
กระทบทางด้านสุขภาพและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ
ผลิตสินค้าบริโภคทีไร้คณค่าทางโภชนาการ เกิดการขับเคลือน
่ ุ ่
โดยอุ ต สาหกรรมอาหารและการเกษตรข้ า มชาติ แ ละใน
ประเทศ จากการส่งเสริมการตลาดเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์
ทางการค้ า อาหารฟาสต์ ฟู ด ส์ อาหารจานด่ ว น อาหาร
ส�ำเร็จรูป กึ่งส�ำเร็จรูป ที่หาได้ง่าย สะดวก ไม่สิ้นเปลืองเวลา
มาก ซึ่งส่วนมากมักเป็นอาหารประเภทผัดทอด ย่างหรือปิ้ง
อาหารประเภทเนื้อที่มีโปรตีนมีไขมันสูงและพฤติกรรมการ
บริโภคทีไม่เหมาะสม นิยมอาหารรสจัด มีเกลือโซเดียมสูงและ
่
5
- 7. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
การตายของประชากรโลกทั้งหมดประมาณ ๕๘ ล้าน
คน มีประมาณ ๓๕ ล้านคน ( ร้อยละ ๖๐ ) มีสาเหตุหลักจาก
โรคเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคไม่ติดต่อเรื้อรังหรือโรคไร้
เชื้อเรื้อรัง จากโรคหัวใจและหลอดเลือด(Cardiovascular
Disease) เป็นปัญหาอันดับต้นๆ ของทั่วโลก มีการตาย
ประมาณ ๑๗.๕ ล้านคน ( ร้อยละ ๒๙) และมีแนวโน้มรุนแรง
ขึ้น โดยคาดว่าในปี ๒๕๖๕ ทั่วโลกจะมีผู้เสียชีวิตประมาณ
๒๕ ล้านคน โดยมีประชากรประมาณ ๑๙ ล้านคน หรือ
ร้อยละ ๘๐ จะเกิดขึนในกลุมประเทศก�ำลังพัฒนาและยากจน
้ ่
และเป็นสาเหตุการตายทีสำคัญของกลุมประชากรวัยแรงงาน
่ � ่
ซึงจะเป็นเหตุให้เกิดความสูบเสียทางเศรษฐกิจของครอบครัว
่
สังคมและประเทศชาติ และความสูญเสียปีสุขภาวะหรือ
ภาระทางสุขภาพ (Disability Adjusted Life Year : DALY)
จากโรคเรื้อรัง ๖ ใน ๑๐ อันดับแรกและมากกว่า เกือบ ๒ เท่า
เมื่อเทียบกับโรคติดเชื้อ
7
- 8. ออกกำ�ลังกาย-กำ�ลังใจ
จากการศึ ก ษาภาระโรคและภาวะจากปั จ จั ย เสี่ ย ง
ทางสุขภาพของประชาชนไทย ในปี ๒๕๔๗ มีความสูญเสีย
ปีสุขภาพ *(๓) จากโรคไม่ติดต่อ คิดเป็นร้อยละ ๖๕ ของ
ความสูญเสียทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มโรคหัวใจและ
หลอดเลือด และโรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังพบว่าภาระโรค
๑๐ อันดับแรก เกิดจากปัจจัยเสี่ยงจากการด�ำเนินวิถีชีวิตที่
ไม่ถูกต้องเหมาะสมที่ส�ำคัญตามล�ำดับคือ การบริโภคสุรา
หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ บุหรี่ ความดันโลหิต ภาวะ
อ้วน โคเลสเตอรอล การบริโภคผักและผลไม้ กิจกรรมทาง
กายหรือการออกก�ำลังกายไม่เพียงพอ(ดูแผนภูมิที่ ๑.๑)
โดยสถานการณ์ อั ต ราการเจ็ บ ป่ ว ยเข้ า รั บ การรั ก ษาเป็ น
ผู้ป่วยในด้วยโรคที่มีความส�ำคัญในอันดับต้นๆ ใน ๕ โรค มี
แนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๔๘ - ๒๕๕๑ ประมาณ ๑.๒. -
๑.๖ เท่ า ส� ำ หรั บ ในปี ๒๕๕๔ พบว่ า มี อั ต ราผู ้ ป ่ ว ยใน
(ผู้ป่วยที่นอนพักรักษาพยาบาลในโรงพยาบาล) ด้วยโรค
ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และ
โรคหลอดเลือดสมอง คิดเป็น ๑,๑๔๙, ๘๔๕, ๖๘๕, ๕๐๕
8
- 9. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
และ ๒๕๗ ต่อประชากรแสนคน ตามล�ำดับ และมีอัตรา
ผู้ป่วยนอก คิดเป็น ๑๔,๓๒๘, ๙,๗๐๒, ๒๕๖๕, ๑,๐๒๓ และ
๙๘๐ ต่อประชากรแสนคน ตามล�ำดับ (ในแผนภูมิที่๑.๒)
และสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยที่ส�ำคัญ ๑๐ อันดับแรก
ในปี ๒๕๕๒ มาจากโรคมะเร็ง รองลงมาคือ โรคหัวใจ โรค
หลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง
ในอัตรา ๘๘.๓,๒๙.๐, ๒๑.๐, ๑๑.๑ และ ๓.๖ ต่อประชากร
แสนคนตามล�ำดับ โดยมีผเู้ สียชีวตจาก ๕ โรคทีสำคัญจ�ำนวน
ิ ่ �
๙๗,๑๐๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๔.๖ ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด
จากโครงสร้างประชากรไทยที่เปลี่ยนไปสู่สังคมผู้สูง
อายุ ท�ำให้ประชากรวัยสูงอายุเพิ่มขึ้น ประชากรวัยเด็กและ
วัยแรงงานลดลง ภาวะอนามัยเจริญพันธ์รวมอยูตำกว่าระดับ
่ �่
ทดแทน มีสัดส่วนประชากรเด็ก : แรงงาน : ผู้สูงอายุ ร้อยละ
๒๐.๕ : ๖๗.๖ : ๑๑.๙ ในปี ๒๕๕๓ เป็นร้อยละ ๑๘.๓ : ๖๖.๙
: ๑๔.๘ ในปี ๒๕๕๙ ในขณะที่อายขัยเฉลี่ยของคนไทยเพิ่ม
ขึ้นเป็น ๗๕.๖ ปี (เพิ่มจากปี ๒๕๔๙ ชาย ๖๘ ปี หญิง ๗๕
ปี แต่ยังต�่ำกว่าเป้าหมายที่ก�ำหนดไว้ ๘๐ ปี แต่มีปัญหาการ
9
- 11. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
แนวโน้มการดูแลสุขภาพ
แนวโน้มการดูแลสุขภาพ ได้เปลียนแปลงจากเดิมทีเ่ น้น
่
เพียงดูแลร่างกายเฉพาะเมือเกิดโรคขึนแล้วหรือเมือเกิดความ
่ ้ ่
ผิดปกติ ปัจจุบันเน้นการดูแลคนเพื่อป้องกันด้วยการเน้นการ
ออกก�ำลังกายป้องกันโรคภัยไข้เจ็บภายนอก โรคทางกายเป็น
หลักและมีการเพิมโรคทางใจ ดูแลแบบครบวงจร ดูแลสุขภาพ
่
กายและสุขภาพใจ ไม่ใช่รักษาแค่โรคเพียงอย่างเดียวแต่
หมายถึงการมุ่งเน้นรักษา คน (จิตใจ) ด้วย ท�ำให้เกิดมีแนว
โน้มการออกก�ำลังกาย - ก�ำลังใจ เป็นจ�ำนวนเพิ่มมากยิ่งขึ้น
11
- 12. ออกกำ�ลังกาย-กำ�ลังใจ
ดูแลตนเอง (ทางกาย-ใจ) เรียกว่า รักษาแค่โรคอย่างเดียวไม่
พอแล้ว ต้องให้ความใส่ใจคนด้วย
เช่นเดียวกันแนวโน้มการใช้ยา ปัจจุบนได้เปลียนแปลง
ั ่
จากผลิตเพื่อใช้รักษาเมื่อเกิดโรคหรือความผิดปกติขึ้น แต่จะ
หันมาผลิตยาเพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์ในร่างกายอ่อนแอ ไม่มี
ก�ำลัง เพื่อเสริมบ�ำรุงแต่ละเซลล์ในร่างกายให้แข็งแรงมีก�ำลัง
มีภมคมกันและช่วยตัดวงจรไม่ให้เชือโรคหรือไวรัสมีการเจริญ
ู ิ ุ้ ้
เติบโตได้ครบวงจรได้ ยาสมัยใหม่จึงเน้นหนักไปด้านการ
บ�ำรุงป้องกัน เป็นอาหารเสริมหรือกินเพื่อสุขภาพโดยน� ำ
สมุนไพรมาท�ำเป็นยา เช่น กระเทียม มะระ ขิง กระชาย พริก
ไทย ฯลฯ และเน้นการป้องกันด้วยการออกก�ำลังกายขยับตัว
ยึดเส้นยึดสาย มีการเดินเพื่อสุขภาพ เป็นต้น
ทั้งนี้เป็นเพราะว่า มนุษย์ประกอบด้วยกายเรียกว่ารูป
และจิตใจเรียกว่า นาม กายกับจิตใจหรือรูปกับนามประกอบ
เข้าด้วยกัน เรียกว่า ชีวิต ชีวิตที่ประกอบด้วยกายและใจ
เท่านันไม่สามารถทีจะด�ำเนินไปได้ จะต้องมีสงทีคอยผยุงและ
้ ่ ิ่ ่
ขับเคลื่อนไป เรียกว่า ก�ำลัง หรือพลัง เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง
12
- 13. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
ท�ำให้กายและใจด�ำเนินไปได้ หากมีแต่กายและใจเท่านั้นคง
ยังไม่สามารถด�ำเนินไปได้เหมือนรถจะวิ่งไปได้ แม้มีรถและ
คนขับพร้อม แต่ถ้าหากปราศจากน�้ำมัน (พลังงาน) รถก็วิ่งไป
ไม่ได้ฉันใด ชีวิตคน (ร่างกายและจิตใจ) จะด�ำเนินไปได้และ
ได้ดีด้วย จ�ำเป็นต้องมีก�ำลังและพลัง (พละ) ชีวิตอาศัยก�ำลัง
เกิดจากสิ่งภายนอกได้รับมาจากภายนอก และพลังภายใน
ตัวคือพลังกายและพลังใจให้มีขึ้นภายในตนให้ได้ ร่างกาย
และจิตใจนี้ จึงสามารถไปได้
ร่างกายและใจนันก็มระบบส่งก�ำลังเหมือนรถยนต์ เช่น
้ ี
ปอด ระบบหายใจ หัวใจ กล้ามเนื้อ โดยอาศัยก�ำลังจาก
อาหาร การออกก�ำลังกายใช้เป็นก�ำลังกลและถ่ายทอดไปขับ
เคลื่อนร่างกาย ด้วยการส่งเป็นพลังเรียวแรงจากตัวไปสู่
ร่างกายทุกส่วน เช่น ขาและมือ ด�ำเนินไปได้ดวยอิรยาบถหลัก
้ ิ
ยืน เดิน นั่ง และนอน สับเปลี่ยนกัน นี้คือ ระดับการสร้าง
พลังงานของร่างกาย
ในระดั บ ตน การมี ก� ำ ลั ง กาย นั้ น ต้ อ งได้ ม าจาก
อาหารที่สบายได้มาจากธาตุ ๔ ที่สมดุลกันและมาจากการ
13
- 14. ออกกำ�ลังกาย-กำ�ลังใจ
สับเปลี่ยนอิริยาบถใหญ่ทั้ง ๔ และอิริยาบถย่อยต่างๆ การ
นอน-ตื่นพักผ่อนให้สม�่ำเสมอและการรักษาความสะอาดให้
ดี จะท�ำให้ระบบหายใจสะดวก คล่อง
ในระดับสังคม การอยู่ด้วยกันย่อมต้องการก�ำลังใจ
จากผู้อื่นเพื่อสร้างพลังใจด้วยตัวเองนั้นคือ การสร้างแรง
จูงใจจากภายในและการมีแรงบันดาลใจจากภายนอก
ชี วิ ต ซึ่ ง มี ร ่ า งกายและจิ ต ใจรวมเข้ า ด้ ว ยกั น นี้ ย่ อ ม
ต้องการสิ่งที่จะหล่อเลี้ยงช่วยสมบูรณ์พร้อมมากยิ่งขึ้น ท�ำให้
กาย-ใจขับเคลื่อนด�ำเนินต่อไป สิ่งดีๆ ที่ได้จากการออกก�ำลัง
กาย - ใจ นั้น มีเป็นอเนกอนันต์ คือ อายุ วรรณะ สุข และพละ
ผลดีที่ได้จากการออกก�ำลังกาย คือ ร่างกายแข็งแรง
ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกาย พลังกาย การไหลเวียนของเลือด
เส้นเลือด และหัวใจ กล้ามเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้ามเนื้อ
หัวใจแข็งแรงสมองและประสาทปกติดี ไขข้อต่างๆ ในร่างกาย
มีปญหาน้อย การย่อยอาหารและการขับถ่ายดีขน ท�ำให้มภมิ
ั ึ้ ี ู
ต้านทาน โรคในร่างกายหมดไป หรือ น้อยลง ร่างกายมีก�ำลัง
แข็งแรง อายุวัฒนะ มีสุขภาพกาย และส่งผลไปสู่สุขภาพใจ
ด้วย
14
- 15. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
ส่วนสิ่งที่ได้จากการออกก�ำลังใจ คือ จิตใจ เข้มแข็ง
สุขภาพจิตใจ และมีพลังใจ ปราศจากความเครียด วิตกกังวล
ฟุ้งซ่าน ลังเลสงสัย มีจิตใจมั่นคง มีความเชื่อมั่น มีความมุ่งมั่
นพยายาม มีสติตื่นรู้เบิกบาน มีสมาธิตั้งมั่น และมีปัญญา
พิจารณาทุกอย่างตามความเป็นจริง
ดังนั้น สิ่งที่ได้จากการออกก�ำลังกาย-ใจ คือ
- อายุ มีอายุยืนยาวนาน
- วรรณะ มีผิวพรรณผุดผ่องใส
- สุข มีสุขภาพกาย สุขภาพใจ
- พละ มีก�ำลังพลังทางกายและใจ
การอยู่ร่วมกันในสังคมประกอบด้วยคนจ�ำนวนมาก
การได้รับก�ำลังจากสิ่งอื่น เป็นสิ่งส�ำคัญซึ่งสังคมรอบข้างจะ
ต้องเป็นผู้หยิบยื่นมีน�้ำใจให้แก่กันและกัน ล�ำพังตัวคนเดียว
ไม่สามารถมีขึ้นได้เองต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นเป็นส�ำคัญก�ำลัง
ที่จะได้รับมาจากสังคมรอบข้างนั้นประกอบด้วย
ก� ำ ลั ง สิ่ ง ของ มนุ ษ ย์ ต ้ อ งการปั จ จั ย พื้ น ฐานทั้ ง ๔
อาหาร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรค รวม
ทั้ง เงินทอง ทรัพย์สินสิ่งของอื่นๆ ที่จ�ำเป็นต่อการใช้ชีวิตด้าน
15
- 16. ออกกำ�ลังกาย-กำ�ลังใจ
ร่างกาย ที่สามารถใช้เป็นเครื่องประคองชีวิตให้อยู่ในสังคม
ได้อย่างมีความสุข ไม่เดือดร้อนนอนทุกข์
ก�ำลังแรงกาย มนุษย์ต้องการก�ำลังกาย เรี่ยวแรงทาง
กาย แต่กว่าจะได้กำลังทางกาย ก็ตองได้รบก�ำลังทีผอนลงทุน
� ้ ั ่ ู้ ื่
ลงแรงท�ำขึนมา เช่น อาหาร หรือแม้แต่การออกก�ำลังกายอาจ
้
ต้องท�ำเองแต่ก็เป็นสิ่งทางกายภายนอก การพักผ่อนนอน
หลั บ การปรั บ สมดุ ล ของธาตุ หรื อ การบริ ห ารร่ า งกาย
สม�่ำเสมอ ด้วยการสับเปลี่ยนอิริยาบถหลักทั้ง ๔ ยืน เดิน นั่ง
และนอน เพื่อมีสุขภาพพลานามัยทางร่างกายสมบูรณ์แข็ง
แรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ประกอบกิจต่างๆ โดยไม่
เหน็ดเหนื่อย มนุษย์ย่อมได้รับจากการหยิบยื่นเพื่อแผ่จากคน
รอบข้าง
ก�ำลังใจ มนุษย์ต้องการก�ำลังใจ ซึ่งต้องมีคนอื่นหยิบ
ยืนให้เช่นกัน มีคนพูดจาไพเราะ และพูดจาเป็นประโยชน์ ทังนี้
่ ้
จะมีสุขภาพจิตที่ดี เข้มแข็ง ประสบอุปสรรคต่างๆ ก็มีผู้คอย
ช่วยเหลือให้ก�ำลังใจตลอดเวลา
ก�ำลังความรู้ มนุษย์จะขับเคลื่อนด�ำเนินชีวิตไปได้ก็
ต้องอาศัยความรู้ ซึ่งได้รับมาจากผู้อื่น เช่นกัน มีการศึกษาที่
16
- 17. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
ดี มีสติปัญญาแก้ปัญหา และมีความรู้จักบาปบุญคุณโทษ มี
ความสามารถในกิจการต่างๆ โดยเฉพาะรู้จักวิถีทางที่จะอยู่
ในสภาพสังคมปัจจุบันได้อย่างมีความสุข จนกลายเป็นสติ
ปัญญา ภายในของมนุษย์เองที่จะพิจารณาตามความพอ
เหมาะพอสม
ก�ำลังทัง ๔ นีมความส�ำคัญมากต่อการด�ำเนินชีวตช่วย
้ ้ ี ิ
ท�ำให้เกิดเป็นพลังขึ้นภายในตัวเอง ก�ำลังสิ่งของ ก�ำลังกาย
ก�ำลังใจ และก�ำลังความรู้นี้ที่ผู้อื่นหยิบยื่นส่งผ่านมาให้ จะ
ต้องสร้างแปรสภาพให้เป็น พลังขึ้น ไม่ให้สุญเปล่า พลังทั้ง ๔
นี้ สรุปย่อ เป็น ๒ พลัง เรียกว่า พลังกาย - พลังใจ
ดังนั้น มนุษย์มีชีวิตอยู่ จะด�ำรงชีวิตต่อไปได้นั้นก็ต้อง
อาศัยก�ำลัง และมักจะปรารถนา อายุ วรรณะ สุข และพละ
ประการแรก ชีวิตนี้ต้องการอายุยืนยาวนาน
อายุ คือ ความเปลี่ยนแปลงหรือสิ่งที่น�ำไปสู่ความ
เปลี่ ย นแปลง หมายถึ ง เปลี่ ย นแปลงสู ่ ค วามสลายและ
เปลียนแปลงสูความยังยืน บางคนแม้จะมีอายุยนยาว แต่เป็น
่ ่ ่ ื
อยูดวยความประมาท หลงติดยาเสพติด หลงในรูป เสียง กลิน
่ ้ ่
17
- 18. ออกกำ�ลังกาย-กำ�ลังใจ
รส สัมผัส จนท�ำให้หลงผิดละเว้นหน้าที่ที่ตนพึงกระท�ำ ชื่อว่า
มีอายุความเปลี่ยนแปลงไปสู่ความสลาย แม้จะมีชีวิตอยู่ก็
เท่ากับว่าเป็นผู้ตายแล้ว บางคนแม้จะมีอายุน้อย แต่เป็นอยู่
ด้วยความไม่ประมาท ตั้งใจท�ำหน้าที่ของตนให้บริบูรณ์ และ
เว้นทางที่จะน�ำไปสู่ความเสื่อม ชื่อว่ามีความเปลี่ยนแปลงไป
สู่ความยั่งยืน คือ แม้จะตายไปแล้ว ก็เป็นเหมือนมีชีวิตอยู่ ใน
ปฐมอนายุสสาสูตร พระพุทธเจ้าตรัสแสดงเหตุให้อายุยืนไว้
๕ ประการคือ
๑. ท�ำสิ่งที่สบายพอเหมาะพอดี เป็นสัปปายะ
๒. รู้จักประมาณในสิ่ งที่ ส บายพอเหมาะพอดี เป็น
สัปปายะ
๓. บริโภคสิ่งที่ย่อยง่าย
๔. เที่ยวในเวลาที่สมควร
๕. ประพฤติพรหมจรรย์ (บวชใจ)
ประการทีสอง ชีวตต้องการวรรณะผิวพรรณผ่องใส
่ ิ
มีความหมาย ๔ ประการ คือ
๑) ผิวพรรณ หน้าตาอิ่มเอมผ่องใส
๒) การยกย่องสรรเสริญ ได้รับการยอมรับจากสังคม
18
- 19. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
๓) ยศชั้น ฐานันดร ต�ำแหน่งหน้าที่การงานต่างๆ ให้
เจริญก้าวหน้ามั่นคงถาวร
๔) เพศ เป็นเพศชายเพศหญิงที่สมบูรณ์
ผู้ให้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มชื่อว่า ให้ผิวพรรณ
ประการที่สาม ชีวิตย่อมต้องการความสุข สุขกาย
สบายใจ สุขะ หมายถึง สภาพที่ทนได้ง่าย ตรงข้ามกับความ
ทุกข์ สภาพทีทนได้ยากล�ำบาก ความสบาย ความสะดวกราบ
่
รืนความสุขมีสองทาง คือ ทางกายและทางใจ สุขทางกาย คือ
่
มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย การท�ำงานสะดวกราบรื่น ไม่มี
อุปสรรคด้านร่างกาย ส่วนสุขทางใจ คือ มีจตใจทีดงาม ปลอด
ิ ่ ี
โปร่งสดชื่น ไม่ว้าวุ่นวิตกกังวล แม้จะมีปัจจัยภายนอกเข้ามา
เบียดเบียนก็ตาม แม้ส�ำหรับคนทั่วไปความสุขนั้นมีหลายรูป
แบบ ยกตัวอย่าง สุขเกิดจากการมีทรัพย์ สุขเกิดจากการได้
ใช้จายทรัพย์ สุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้ สุขเกิดจากการท�ำงาน
่
ที่ไม่มีโทษ
ประการที่สี่ ชีวิตนี้ต้องการก�ำลัง เพื่อสร้างเป็นพลัง
ส�ำหรับก�ำลังกายนั้นไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วจะมีก�ำลังจ�ำเป็นต้องมี
19
- 20. ออกกำ�ลังกาย-กำ�ลังใจ
อาหารมีหล่อเลี้ยง พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ให้อาหาร ชื่อว่าให้
ก�ำลัง อัตภาพของคนเรานั้น จะด�ำรงอยู่ได้ก็ต้องอาศัยอาหาร
ขาดอาหารแล้วชีวิตไม่อาจด�ำรงอยู่ได้ แม้บุคคลจะมีรูปร่าง
ใหญ่โตแข็งแรง มีก�ำลังมากปานใด หากไม่ได้รับประทาน
อาหาร ร่างกายก็ขาดก�ำลัง ส่วนบุคคลผู้มีก�ำลังน้อย ถ้าได้รับ
ประทานอาหารบริบูรณ์แล้ว ย่อมมีก�ำลังขึ้นมาได้
ร่ า งกายนี้ ต ้ อ งการอาหารเพื่ อ สร้ า งพลั ง ในการขั บ
เคลื่อนต่อไป แต่จะมีพลังได้ ก็ต้องอาศัยอาหาร สรรพชีวิตทั้ง
หลายเป็นอยูได้ดวยอาหาร ดังค�ำว่า "สรรพสัตว์เป็นอยูได้ดวย
่ ้ ่ ้
อาหาร (สพฺเพ สตฺตา อาหารฏฺฐิติกา)" เพราะการหิวอยากรับ
ประทานอาหารจึงถือว่าเป็นความทุกข์อย่างยิ่งนัก ดังพุทธ
พจน์ว่า "ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง (ชิฆจฺฉา ปรมา โรคา)"
อาหารจึงเป็นสิ่งบ�ำรุงหล่อเลี้ยงที่จ�ำเป็นโดยมีจุดประสงค์คือ
ให้ แ ต่ ล ะคนมี สุ ข ภาพดี บุ ค คลจึ ง ควรเลื อ กอาหารอย่ า ง
ระมัดระวัง และรับประทานแต่พอประมาณ ดังที่พระพุทธเจ้า
ตรัสสอนให้ พระเจ้า ปเสนทิโกศลผู้เสวยอาหารมากเกินไป
จึงทรงอึดอัดจึงตรัสสอนด้วยคาถาว่า “ในกาลใด บุคคลเป็น
ผู้กินจุ มักง่วง และมักนอนหลับ กระสับกระส่ายเป็นดุจสุกร
20
- 21. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
ใหญ่ ทีเขาเลียงด้วยอาหาร ในกาลนัน เขาเป็นคนมึนซึม ย่อม
่ ้ ้
เข้าห้องบ่อยๆ” พระพุทธองค์ตรัสอีกว่า “มหาบพิตร การ
บริ โ ภคโภชนะแต่ พ อประมาณจึ ง ควรเพราะผู ้ บ ริ โ ภคพอ
ประมาณย่อมมีความสุข” ต่อจากนันพระองค์จงตรัสคาถาแก่
้ ึ
พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า “ผู้มีสติทุกเมื่อ รู้ประมาณในโภชนะ
(อาหาร) ที่ได้มา มีเวทนาเบาบาง แก่ช้า อายุยืน”
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงมอบหมายให้สทสสนะ นัดดา
ุ ั
ของพระองค์เรียนคาถานี้แล้วทูลคาถาในเวลาที่เสวย ต่อมา
พระองค์มีพระวรกายกระปรี้กระเปร่าดี ทรงลูบพระวรกาย
ด้วยฝ่าพระหัตถ์ ทรงเปล่งอุทานว่า “พระพุทธเจ้านั้น ทรง
อนุเคราะห์เราทั้งประโยชน์ชาตินี้และประโยชน์ชาติหน้า”
ชีวิตทางร่างกายต้องการพลังทางกายซึ่งการจะได้มา
นันจ�ำเป็นต้อง ออกก�ำลังกาย และ ก�ำลังกิน รวมทังก�ำลังนอน
้ ้
ด้วย ซึ่ง เป็นการปรับเปลี่ยนอิริยาบถ และปรับธาตุทั้ง ๔
ภายในร่างกายให้สมดุลกัน นั้นเอง
ชีวิตด�ำเนินต่อไปได้ต้องประกอบด้วยอายุ วรรณะ สุข
พละ
21
- 22. ออกกำ�ลังกาย-กำ�ลังใจ
จะเห็นว่าทั้ง ๔ อย่างนี้พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
หากปราศจากอายุ เราก็คงไม่สามารถมีชีิวิตได้ หากปราศ
วรรณะ เราคงไม่สามารถมีผิวพรรณที่ป้องกันลม แดดอยู่ได้
แม้แต่ความสุขจ�ำเป็นต้องมี และสุดท้าย คือ พละ ได้แก่ ก�ำลัง
ซึ่งถือเป็นสิ่งส�ำคัญ การที่จะมีก�ำลังต้องออกก�ำลัง เพื่อสร้าง
ให้เกิดพลังในการด�ำเนินชีวิต
สังคมตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน ประเทศชาติ และสังคม
โลก จะด�ำเนินต่อไปได้ เพราะคนมีทั้งก�ำลังกายและก�ำลังใจ
ต่อกัน ถ้าคนในสังคมไม่ว่าระดับใดก็ตาม มีสุขภาพกาย ใจ
ย�่ำแย่ คนเป็นโรค อมทุกข์ ครอบครัวนั้น ชุมชนนั้น สังคมนั้น
หรือแม้แต่โลกนี้ ก็จะเป็นโรค เป็นทุกข์เป็นด้วย เรียกว่า คน
ป่วยไม่พอ สังคมประเทศชาติป่วยด้วย หรือสังคมประเทศ
ชาติ ป ่ ว ยไม่ พ อ ก็ พ ลอยท� ำ ให้ ค นภายในชาติ ป ่ ว ยไปด้ ว ย
ความเจ็บป่วยนี้แทนที่จะมีวงจ�ำกัดอยู่แค่ระดับปัจเจกบุคคล
เป็นคนป่วย (sick person) กลับขยายวงไปจนเป็นสังคมป่วย
(sick society) ด้วย ถ้าเป็นประเทศชาติ ก็เป็นประเทศป่วย
เพราะคนภายในประเทศขาดการออกก�ำลังกาย ก�ำลังใจ
22
- 23. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
รู้จักชีวิตก่อนออกก�ำลังกาย-ใจ
เมื่อคนเห็นพระพุทธรูปคนส่วนมากมักให้คุณค่าหรือ
มองต่างกันไป ถ้าคนคนนั้นเป็นนักธุรกิจหวังผลก�ำไรที่ไม่ได้
ท�ำซีเอสอาร์แท้ (รับผิดชอบต่อสังคม) ก็จะเน้นการค้าขายตี
ค่าหวังก�ำไร ถ้าเป็นนักสะสมของเก่าก็เน้นการประมูลว่าเก่า
ขนาดไหน อายุเท่าไร เพียงไร และราคาควรอยู่ที่เท่าไร ถ้า
เป็นนักเคมีกจะเน้นสารเคมี ชนิดอะไร ท�ำมาจากอะไร ถ้าเป็น
็
นักโบราณคดีมองว่าสร้างขึ้นยุคสมัยไหน ท�ำด้วยอะไร อายุ
น่าจะประมาณเท่าไร และถ้าคนคนนั้นเป็นพุทธศาสนิกชน
23
- 24. ออกกำ�ลังกาย-กำ�ลังใจ
เป็นชาวพุทธก็จะมองพระพุทธรูปด้วยความเคารพศรัทธา
เลือมใสท�ำให้จตใจสงบและเกิดปัญญา แต่ถาเป็นโจรก็พร้อม
่ ิ ้
ที่จะขโมยพระพุทธรูปน�ำไปขายอาจตามใบสั่งหรือหารายได้
ด้วยสถานภาพและอาชีพที่แตกต่างกันดังกล่าวท�ำให้
มองสิ่งเดียวกันแต่จากหลากหลายมุมมองหรือจากภูมิหลัง
ของตนเอง บางก็มหลายสถานภาพหลากหลาย เช่น นักธุรกิจ
ี
อาจเป็นชาวพุทธหรือเป็นขโมยเป็นโจรก็ได้ หรือบางคนอาจ
เป็นทั้งนักธุรกิจเป็นชาวพุทธและเป็นขโมยด้วยก็ได้
เช่ น เดี ย วกั น การมองชี วิ ต ก็ แ ตกต่ า งกั น ถ้ า เป็ น นั ก
วิทยาศาสตร์ก็อีกแบบหนึ่ง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เองก็มีหลาก
หลายสาขาแยกย่อยลงไป พวกวัตถุนิยมก็อีกแบบ พระพุทธ
ศาสนาก็อีกแบบ
ในที่นี้จะกล่าวถึงการมีชีวิตอยู่จากแง่มุมทางพระพุทธ
ศาสนาและวิทยาศาสตร์มองชีวิตกัน
การด�ำรงอยู่ของชีวิตทางพระพุทธศาสนา โดยปกติ
ถือว่ามีลักษณะส�ำคัญอยู่ ๓ ประการ คือ
(๑) อายุ ได้แก่ อินทรีย์ ๕
(๒) ไออุ่น ได้แก่ ธาตุไฟ (เตโชธาตุ) ที่เกิดจากกรรม
24
- 25. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
(๓) วิญญาณ ได้แก่ จิต
ลักษณะทั้ง ๓ ดังกล่าวอาศัยกันและกันด�ำรงอยู่ ตั้งอยู่
จึงชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่ รูปอินทร์ หรือ อินทรีย์ ๕ คือ (๑) จักขุนทรีย์
(๒) โสตินทรีย์ (๓) ฆานินทรีย์ (๔) ชิวหินทรีย์ (๕) กายินทรีย์
มีการรับอารมณ์ต่างกัน มีที่เที่ยวไปต่างกัน ไม่รับรู้อารมณ์
อันเป็นที่เที่ยวไปของกันและกัน เมื่ออินทรีย์ ๕ ประการนี้มี
อารมณ์ต่างกัน มีที่เที่ยวไปต่างกัน ไม่รับรู้อารมณ์อันเป็นที่
เที่ยวไปของ กันและกัน มีใจเป็นที่อาศัยและใจย่อมรับรู้
อารมณ์อันเป็นที่เที่ยวไปแห่งอินทรีย์เหล่านั้น และ อินทรีย์ ๕
ประการนี้ อาศัยอายุด�ำรงอยู่ อายุอาศัยไออุ่นด�ำรงอยู่ และ
ไออุ่นอาศัยอายุด�ำรงอยู่เหมือนกัน เปรียบเหมือนเมื่อประทีป
น�้ำมันก�ำลังติดไฟอยู่ แสงสว่างอาศัยเปลวไฟจึงปรากฏ เปลว
ไฟก็อาศัยแสงสว่างจึงปรากฏอยู่
ท่าน ชี้ให้เห็นถึงความเหมือนและความต่างกัน อายุ
สังขาร กับเวทนียธรรม อายุสังขารกับเวทนียธรรมไม่เป็น
อันเดียวกัน (ถ้า) อายุสังขารกับเวทนียธรรมเป็นอันเดียวกัน
แล้ว การออกจากสมาบัติของภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
ก็ไม่พึงปรากฏ แต่เพราะอายุสังขารกับเวทนียธรรมต่างกัน
25
- 26. ออกกำ�ลังกาย-กำ�ลังใจ
ฉะนั้นการออกจากสมาบัติของภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
จึงปรากฏ เมื่อ ๓ สิ่งเหล่านี้ คือ (๑) อายุ (๒) ไออุ่น (๓)
วิญญาณ (จิต)ละกายนีไปกายนีจงถูกทอดทิง นอนนิงเหมือน
้ ้ึ ้ ่
ท่อนไม้ที่ปราศจากเจตนาคือ ตายนั่นเอง
ผูทตายไปแล้วกับภิกษุผเู้ ข้าสัญญาเวทยิตนิโรธต่างกัน
้ ี่
ตรงที่ผู้ที่ตายไปแล้วมีกายสังขาร วจีสังขาร และจิตตสังขาร
ดับระงับไปมีอายุหมดสิ้นไป ไม่มีไออุ่น มีอินทรีย์แตกท�ำลาย
ส่วนภิกษุผเู้ ข้าสัญญาเวทยิตนิโรธมีกายสังขาร วจีสงขาร และ
ั
จิตตสั ง ขารดั บ ระงับ ไป แต่อายุยังไม่หมดสิ้นยั งมี ไออุ ่น มี
อินทรีย์ผ่องใส
ส่วนนักชีววิทยา ก็มองชีวิต ว่า หน่วยที่ต้องใช้พลังงาน
(life is the consuming unit) หรือ อาจเรียกว่า สิงทีมลกษณะ
่ ่ ี ั
พื้นฐานประกอบด้วยโครงสร้างที่เป็นระบบ สืบพันธุ์ เจริญ
เติบโต กินอาหาร หายใจ ขับถ่ายของเสีย ตอบสนองต่อสภาพ
แวดล้ อ ม เคลื่ อ นไหว ควบคุม สภาพภายในและสามารถ
วิวัฒนาการได้ ท�ำให้สรุปได้ว่า ชีวิต คือ สภาวะของพืชและ
สัตว์ที่ด�ำรงชีวิตของตนเองอย่างเป็นระบบ มีการเจริญเติบโต
กินอาหาร หายใจ ขับถ่ายของเสีย ตอบสนองสภาพแวดล้อม
26
- 27. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
เคลื่อนไหว ควบคุมสภาพภายในและมีวิวฒนาการ จึงเป็นส่ิง
ั
ที่ด�ำรงสภาวะแห่งชีวิตนี้ว่า สิ่งมีชีวิต
ถ้ามองถึงองค์ประกอบของชีวิต จะมีโครงสร้างที่เป็น
ส่วนค�ำคัญ คือ อะตอม โมเลกุล เซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ และ
ระบบอวัยวะ
อะตอม (atom) เป็นองค์ประกอบที่เล็กที่สุดของสิ่งมี
ชีวิต ซึ่งเป็นหน่วยเล็กที่สุดของธาตที่สามารถคงลักษณะของ
ธาตุชนิดนั้นๆ ได้
โมเลกุล (molecules) เป็นอะตอมสองอะตอมหรือ
มากกว่าของธาตุชนิดเดียวกันหรือต่างชนิดกัน
เซลล์ (cells) หน่วยเล็กทีสดทีแสดงคุณสมบัตของชีวต
่ ุ ่ ิ ิ
และสามารถสืบพันธ์ุได้ โดยตัวเอง มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มี
เซลล์เป็นจ�ำนวนมาก
เนื้อเยื่อ (tissue) เซลล์และสารประกอบที่มารวมกลุ่ม
กันเพื่อท�ำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งให้กับสิ่งมีชีวิต ประกอบ
ด้ ว ย (๑) เนื้ อ เยื่ อ บุ ผิ ว (๒) เนื้ อ เยื่ อ เกี่ ย วพั น (๓)
เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ (๔) เนื้อเยื่อประสาท
27
- 28. ออกกำ�ลังกาย-กำ�ลังใจ
อวัยวะ (organs) เป็นโครงสร้างทีประกอบด้วยเนือเยือ
่ ้ ่
มากกว่า ๑ ชนิดช่วยกันท�ำหน้าที่บางอย่างในร่างกายของสิ่ง
มีชีวิต ประกอบด้วย หัวใจ ปอด สมอง กระเพาะอาหาร ม้าม
กระดูก ตับอ่อน ไต ตับ ล�ำไส้ ผิวหนัง มดลูก และกระเพาะ
ปัสสาวะ
ระบบอวัยวะ (organ system) มีหลากหลายประกอบ
ด้วย (๑) ระบะบสิ่งปกคลุม (๒) ระบบประสาท (๓) ระบบ
กล้ามเนื้อ (๔) ระบบโครงร่าง (๕) ระบบไหลเวียน (๖) ระบบ
ต่อมไร้ท่อ (๗) ระบบน�้ำเหลือง (๘) ระบบหายใจ (๙) ระบบ
ย่อยอาหาร (๑๐) ระบบขับปัสสาวะ และ (๑๑) ระบบสืบพันธุ์
ในทางพระพุทธศาสนามองชีวิตที่แคบลงไป ท่านใช้
ค�ำว่า ปาณ หรือ ปราณ เช่นในศีล ๕ สิกขาบทข้อที่หนึ่งใช้
ค�ำว่า ปาณาติปาตา หมายถึง สัตว์ที่มีลมหายใจมีปราณ
ขนวบการหายใจ จะสกัดพลังงานจากอาหารที่กิน สิ่งมีชีวิต
ทุกชนิดจึงต้องหายใจ เพราะต้องการพลังงาน การหายใจ
ปกติเลยต้องการใช้ออกซิเจน มีลักษณะอาหาร + ออกซิเจน
คาร์บอนใดออกไซด์ + น�้ำ + พลังงาน
28
- 29. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
ค�ำว่า ปาณะ แปลว่า สัตว์ ชีวิต ลมหายใจ หรือปราณ
มีความหมาย ๔ อย่างคือ (๑) ชีวิต (อสุ) (๒) ก�ำลัง (พล)
(๓) สัตว์ (สตฺต) และ (๔) ลมหายใจ (หทยคานิล) ค�ำว่า ปาณ
นี้ มีความว่า สิ่งเป็นเครื่องเป็นอยู่ได้แห่งเลห่าสัตว์ หมายถึง
สัตว์ทงหลายจะด�ำรงชีวต มีชวตอยูได้กเพราะปาณะ คือ ชีวต
ั้ ิ ีิ ่ ็ ิ
ก�ำลัง สัตว์และลมหายใจ
การเข้าใจชีวิต การด�ำรงอยู่ของชีวิต หรือการมีชีวิตอยู่
นี้เป็นสิ่งส�ำคัญเบื้องต้น และการจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ก็มี
ความส�ำคัญ ต่อไป เช่นกัน จึงเน้นให้มการออกก�ำลังกาย - ใจ
ี
ดั ง นั้ น ท่ า นจึ ง มี ก ารออกก� ำ ลั ง ซึ่ ง ก� ำ ลั ง เป็ น ส่ ว น
ประกอบหนึ่งของชีวิต เพราะเป็นสิ่งที่ท�ำให้อาหารย่อย จิตใจ
เช่นกัน ท�ำให้เกิดการตื้นรู้ และขยัน ต่อไป ไม่ท้อแท้ ท้อถอย
มุ่งออกก�ำลังกายและก�ำลังใจต่อไป
29
- 30. ออกกำ�ลังกาย-กำ�ลังใจ
รู้จักกายและหน้าที่ของกาย
ก่อนจะออกก�ำลังกายต้องท�ำความเข้าใจว่า กายคือ
อะไรก่อน
ในทางพระพุทธศาสนา แม้จะเน้นสอนธรรมเรืองใจเป็น ่
หลั ก แต่ ใ นเรื่ อ งกายก็ มี ด ้ ว ยและส� ำ คั ญ เป็ น เบื้ อ งต้ น เช่ น
เดียวกัน เพราะชีวิตประกอบด้วยกายและจิต หากมีค�ำถาม
ว่า ชีวิตคืออะไร ตามทัศนะของพุทธศาสนา ก็ต้องตอบว่า
ขันธ์ ๕ หรือ กอง ๕ กอง ประกอบกัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง
ไม่ได้ เพราะบางสิ่งแม้จะมีชีวิต ก็อาจมีแค่ ๔ กองหรือ ๓ กอง
ก็ได้
30
- 31. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
ส่วนกองที่เป็นส่วนของร่างกายนั้นเรียกว่า กองรูป
ประกอบด้วยธาตุ (ส่วนเป็นที่รวมกันเข้า) ทั้ง ๔ ดิน น�้ำ ไฟ
และลม องค์ประกอบส่วนต่างๆ ทั้งอวัยวะภายในและอวัยวะ
ภายนอก ทุกส่วนของร่างกาย สรุปลงในธาตุ ๔ ไม่อย่างใด
ก็อย่างหนึ่ง นี้เป็นส่วนลักษณะของธาตุทั้ง ๔ แต่ละส่วน
- ธาตุดิน มีลักษณะแข้นแข็ง มีอยู่ในร่างกายอวัยวะ
ภายในและภายนอกประกอบด้วย ผม ขน เล็บ ฟัง หนัง เนื้อ
เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ไส้
ใหญ่ ไส้เล็ก อาหารใหม่ อาหารเก่า เรียกว่า ปฐวีธาตุ
- ธาตุน�้ำ มีลักษณะเหลว เอิบอาบ ไหลซึมซาบ มีอยู่
ในร่างกาย น�้ำดี เสลด น�้ำหนอง น�้ำเลือด เหงือ มันข้น น�้ำตา
มันเหลว น�้ำลาย น�้ำมูก ไขข้อ มูตร เรียกว่า อาโปธาตุ
- ธาตุไฟ เป็นสิ่งที่มีลักษณะอบอุ่น ร้อน เผาผลาญ
อาหาร (ย่อย) มีอยู่ในร่างกาย ประกอบด้วย ไฟซึ่งท�ำให้
ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ ไฟที่ท�ำให้ร่างกายช�ำรุดทรุดโทรม ไฟ
ที่ท�ำให้ร่างกายเร่าร้อน ไฟที่ท�ำให้อาหารที่กิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้ม
เข้าไปย่อย เรียกว่า เตโชธาตุ
31
- 32. ออกกำ�ลังกาย-กำ�ลังใจ
- ธาตุลม มีลักษณะท�ำให้เคลื่อนไหว ไหวตัวได้ ฟุ้งไป
ลมในร่างกาย ประกอบด้วย ลมพัดขึนเบืองบน ลมพัดลงเบือง
้ ้ ้
ต�่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมพัดไปตาอวัยวะน้อยใหญ่ ลม
หายใจเข้า ลมหายใจออก เรียกว่า วาโยธาตุ
ร่างกายซึ่งประกอบด้วยธาตุ ๔ ดังกล่าวมานี้ มีขนาด
กว้างศอกก�ำมายาววา หนาคืบ มี ๕ กิง (ปัญจสาขา) ประกอบ
่
ด้วย แขน ๒ ขา ๒ ศีษระ ๑
บางที่ท่านเพิ่ม ว่า ธาตุอากาศ มีอยู่ในบางแห่ง คือช่อง
ว่างในร่างกายนี้ ได้แก่ ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก ช่องที่อาหาร
ล่วงล�้ำล�ำคอลงไป และช่องที่อาหารเก็บอยู่ ช่องที่อาหารออก
ไปในภายนอก หรือช่องว่างเหล่าอื่นในร่างกายนี้ เรียกว่า อา
กาสธาตุ
ร่างกายนี้ท่านเรียกว่า ถ�้ำ ก็เพราะร่างกายมีลักษณะ
เหมือนถ�้ำ คือ โพรงข้างใน มีช่องทางคือประตูเข้าออกถึง ๙
ช่อง คือ ช่องตา ๒ ช่องจมูก ๒ ช่องปาก ๑ ช่องเบา ๑ ช่อง
หนัก ๑
ช่องเหล่านี้เป็นทางน�ำอาหารเข้าไปเลี้ยงร่างกายบ้าง
เป็นทางถ่ายเทของบูดของเสียออกจากร่างกายบ้าง
32
- 33. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
มีจักร (ล้อ) ๔ คือ อิริยาบถใหญ่ ทั้ง ๔ ได้แก่ การยืน
เดิน นั่ง และนอน ผัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน เพื่อให้ร่างกายมี
ชีวะเป็นไป
ร่างกายของมนุษย์ มีกระดูกเป็นโครง รึงรัดไว้ด้วยเส้น
เอ็น ฉาบไว้ด้วยเนื้อและเลือด หุ้มไว้ด้วยผืนหนัง ข้างนอกดู
สะอาด แต่ข้างในเป็นโพรง มีสายโยงใยไปมายั้วเยี้ย เต็มไป
ด้วยสิ่งปฏิกูล
รูปหรือกาย คืออวัยวะทุกส่วนตังแต่ปลายผมลงไปจรด
้
พื้นเท้า สรุปคือธาตุ ๔ ธาตุดิน ธาตุน�้ำ ธาตุไฟ และธาตุลม
ดินน�้ำไฟลมประชุมร่วมกันทุกส่วนเป็นรูปเป็นร่าง เรียกว่า
กาย จะขาดเสียอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
ชีวิตในทางปฏิบัติหรือชีวิตโดยความสัมพันธ์กับโลกนี้
ซึ่งต้องใช้งานอวัยวะในร่างกายแบ่งออกได้เป็น ๒ ภาค แต่ละ
ภาคมีระบบการท�ำงาน ซึ่งอาศัยช่องทางที่ชีวิตจะติดต่อ
เกี่ยวข้องกับโลกได้ซึ่งเรียกว่า “ทวาร” (ประตู, ช่องทาง) ดังนี้
33
- 34. ออกกำ�ลังกาย-กำ�ลังใจ
๑. ภาครับรู้และเสพเสวยโลก อาศัยทวาร ๖ คือ ตา หู
จมูก ลิ้น กาย ใจ ส�ำหรับรับรู้และเสพเสวยโลกซึ่งปรากฏแก่
มนุษย์โดยลักษณะและอาการต่างๆ ที่เรียกว่า อารมณ์ ๖ คือ
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์
๒. ภาคแสดงออกหรือกระท�ำต่อโลก อาศัย ทวาร ๓
คือ กาย วาจา ใจ (กายทวาร วจีทวาร มโนทวาร)
ส� ำ หรั บ กระท� ำ ตอบต่ อ โลก โดยแสดงออกเป็ น การ
ท�ำการพูด และการคิด (กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม) ในภาค
ที่ ๑ มีข้อที่พึงย�้ำเป็นพิเศษเพื่อสะดวกแก่การศึกษาต่อไปว่า
ค�ำว่า “ทวาร” (ใน ทวาร ๖) นั้น เมื่อน�ำไปกล่าวในระบบการ
ท�ำงานของกระบวนธรรมแห่งชีวิต ท่านนิยมเปลี่ยนไปใช้ค�ำ
ว่า “อายตนะ” ซึ่งแปลว่า แดนเชื่อมต่อให้เกิดความรู้หรือทาง
รับรู้
หน้าที่ของกายทั่วไปซึ่งมีอายตนะ (แดนเชื่อมต่อ)ทั้ง ๖
ซึ่งเป็นส่วนแสดงออกไปรับข้อมูลภายนอกหน้าที่ของกายซึ่ง
หมายถึงอวัยวะในร่างกายโดยเฉพาะภายนอกนั้นแตกต่าง
กัน
34
- 35. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
ตามีหน้าที่รับรูปสิ่งที่กระทบทางตา
หูมีหน้าที่รับเสียงสิ่งที่กระทบทางหู
จมูกมีหน้าที่รับกลิ่นสิ่งกระทบทางจมูก
ลิ้นมีหน้าที่รับรสสิ่งที่กระทบทางลิ้น
กาย (สิ่งที่นอกจากตา หู จมูก ลิ้น)มีหน้าที่รับสัมผัสที่
กระทบทางกาย
ใจ มีหน้าที่รับสิ่งที่มากระทบทางใจ
35
- 36. ออกกำ�ลังกาย-กำ�ลังใจ
แผนผังนาฬิกาชีวิต
อวั ย วะในส่ ว นภายในร่ า งกายที่ ท� ำ หน้ า ที่ ต ่ า งๆ มี
ลั ก ษณะการท� ำ งานแบ่ ง ตามล� ำ ดั บ เวลาของวั น เรี ย กว่ า
นาฬิกาชีวิตทางร่างกาย เป็นการท�ำงานของระบบร่างกาย
นาฬิกาชีวต ชีให้เห็นถึงการท�ำงานของอวัยวะในร่างกาย หาก
ิ ้
เราได้รู้จักนาฬิกาชีวิตของตัวเอง ก็อาจจะสามารถใช้ชีวิต
อย่างสมดุลย์ โรคภัยมาเยี่ยมเยียนถามหาน้อยลง
36
- 37. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
นี้เริ่มเวลาตั้งแต่วันใหม่
๐๑.๐๐ -๐๓.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาการท�ำงานของ "ตับ" ควร
หลับพักผ่อนให้สนิทเป็นการออกก�ำลังนอนพักผ่อนอิริยาบถ
๐๓.๐๐-๐๕.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาการท�ำงานของ "ปอด" ควร
ตื่นมาสูดอากาศสดชื่น ตื่นมาประกอบความเพียร
๐๕.๐๐-๐๗.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาของ "ล�ำไส้ใหญ่" ควรขับ
ถ่ายอุจจาระ ปรับธาตุสี่ให้สมดุลย์
๐๗.๐-๐๙.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาการท�ำงานของ "กระเพาะ
อาหาร" ควรกินอาหารเช้า ซึ่งถือเป็นการรับอาหารเพื่อออก
ก�ำลังกิน ทานอาหารเพื่อสร้างพลังกาย
๐๙.๐๐-๑๑.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาการท�ำงาน "ม้าม" ควรพูด
น้อย กินน้อย ม้ามท�ำหน้าที่ในการดึงเอาธาตุเหล็กจากฮีโม
โกลบินของเซลล์เม็ดเลือดแดง น�ำมาใช้ในร่างกาย และยังท�ำ
หน้าที่เอาของเสียออกจากกระแสเลือดในรูปของน�้ำปัสสาวะ
เช่นเดียวกับตับเพื่อปรับสมดุลของธาตุ
37
- 38. ออกกำ�ลังกาย-กำ�ลังใจ
๑๑.๐๐-๑๓.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาการท�ำงานของ "หัวใจ" ควร
เลี่ยงการใช้ความคิด ความเครียด ระงับอารมณ์ตื่นเต้นตกใจ
ปรับเปลี่ยนอิริยาบถให้สม�่ำเสมอ
๑๓.๐๐-๑๕.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาการท�ำงานของ "ล�ำไส้เล็ก"
ควรงดกินอาหารทุกประเภท ล�ำไส้เล็กมีหน้าที่ย่อยอาหาร
ตั้งแต่คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ปรับสมดุลย์ธาตุ
๑๕.๐๐-๑๗.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาท�ำงานของ "กระเพาะ
ปัสสาวะ" ควรท�ำให้เหงื่อออก ออกก�ำลังกาย ปรับเปลี่ยน
อิริยาบถ บริหารร่างกาย
๑๗.๐๐-๑๙.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาท�ำงานของ "ไต" ควรท�ำตัว
ให้สดชื่น ปรับสมดุลย์ธาตุ
๑๙.๐๐-๒๑.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาท�ำงานของ "เยื่อหุ้มหัวใจ"
ควรท�ำสมาธิ สวดมนต์ เป็นการออกก�ำลังใจ บริหารจิต
๒๑.๐๐-๒๓.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาการท�ำงานของ "ระบบความ
ร้อน" ห้ามอาบน�้ำเย็น ตากลม ควรท�ำร่างกายให้อบอุ่น ปรับ
สมดุลธาตุทั้ง ๔
38
- 39. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
๒๓.๐๐-๐๑.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาการท�ำงานของ "ถุงน�้ำดี"
ควรดื่ ม น�้ ำ ก่ อ นเข้ า นอน สวมชุ ด นอนผ้ า ฝ้ า ย เพราะผ้ า
สังเคราะห์จะดูดน�้ำในร่างกาย โดยถุงน�้ำดีท�ำหน้าที่ในการ
เก็บสะสมน�้ำดีเพื่อช่วย ในการย่อยอาหาร ปรับสมดุลธาตุ
ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ
39
- 40. ออกกำ�ลังกาย-กำ�ลังใจ
รู้จักจิตและหน้าที่ของใจ
ค�ำว่า จิต นี้ เป็นชื่อที่สมมติเรียก ได้แก่สิ่งที่ไม่มีรูป
ปรากฏมีแต่ชื่อสมมติ ตกลงกัน แต่สิ่งนั้นมีอยู่ในตัวของคน
และสรรพชีวิต ไม่สามารถจะเห็นด้วยตาหรือพิสูจน์ได้ด้วย
วัตถุใดๆ มีแต่ชื่อ ไม่มีตัวตน แต่ว่ามีจริง เรียกว่า จิต
ทุกคน มีจตเพียงดวงเดียวเท่านัน แต่จตท�ำหน้าทีหลาย
ิ ้ ิ ่
อย่าง เปรียบเสมือนคนๆ เดียวแต่ท�ำงานหรือหลายหน้าที่
ค�ำศัพท์ที่ใช้ใกล้เคียงกับค�ำว่า ใจ ซึ่งมีอยู่หลากหลาย
ศัพท์ คือ ค�ำว่า จิต ใจ มโน วิญญาณและหัวใจ
ค�ำว่า จิต หมายถึง ธาตุกายสิทธิ์ผู้ส�ำเร็จความคิด
นอกจากให้ส�ำเร็จความคิดแล้ว (สังขาร) ยังสามารถท�ำการ
40
- 41. ดร. พระมหาสมพงษ์ สนฺตจิตฺโต
ดร. นายแพทย์อุทัย สุดสุข
เก็บสั่งสมสิ่งที่คิดนั้นไว้ด้วย (สัญญา) จิตให้ส�ำเร็จความคิด
ด้วยให้ส�ำเร็จการสั่งสมด้วย
ค�ำว่า ใจ หมายถึง มโนทวาร ทีมกเรียกกันว่า กาย วาจา
่ ั
ใจ กายก็คือ กายทวาร วาจาก็คือ วจีทวาร และมโนทวาร
ค�ำว่า มโน ศัพท์นี้มีใช้มาก่อนพุทธกาลหมายถึงธาตุ
กายสิทธิ์อันหนึ่งซึ่งสิงอยู่ในร่างกายของคนที่ยังมีชีวิตอยู่
สามารถรับรูอารมณ์และให้สำเร็จความคิดได้ หมายเอาทวาร
้ �
เป็นช่องทางที่รู้อารมณ์เรียกว่า มโนทวาร เช่น ค�ำว่า มนุษย์
มาจากรากศัพท์ว่า มน + อุสฺส มน แปลว่า ใจ อุสฺส แปลว่า
สูง รวมเรียกว่า มนุษย์ มนุสฺส แปลว่า ผู้มีใจสูง เพราะมีจิตใจ
สูง สติปัญญามาก จึงเรียกว่า มนุษย์
ค�ำว่า วิญญาณ เป็นศัพท์ที่มีความหมายในภาษาไทย
ไปอีกอย่าง ซึ่งความหมายเดิม หมายถึงอาการรู้ของจิตอย่าง
หนึ่งที่เรียกว่า วิญญาณขันธ์ อันเกิดมาจากทวารทั้ง ๖ อีก
อย่างหนึ่งหมายเอาธาตุรู้อย่างเดียวว่า วิญญาณาตุ ซึ่งก็คือ
ธาตุกายสิทธิ์ นอกจากให้สำเร็จความคิดเพราะการสังสมแล้ว
� ่
ยังมีลักษณะรู้แจ้งอารมณ์อยู่ในตัวด้วย ข้อน่าสังเกตส�ำหรับ
ค�ำว่า วิญญาณนี้ ในภาษาไทย อาจแปลมาจากภาษาอังกฤษ
41
- 42. ออกกำ�ลังกาย-กำ�ลังใจ
ว่า Soul ซึ่งมีความหมายถึงตัวอัตตา หรือสิ่งที่เป็นนิรันดร
ซึ่งทางพระพุทธศาสนาปฏิเสธ ไม่ใช้ค�ำนี้ ดังทีมีค�ำว่า อนัตตา
่
มาแย้งนั้นเอง
ค�ำที่น่าสนใจอีกค�ำหนึ่ง คือ ค�ำว่า หัวใจ หมายถึง ก้อน
เนือส่วนหนึงในร่างกาย เป็นคนละอันกับจิต จิตเป็นนามธรรม
้ ่
ส่วนหัวใจเป็นรูปธรรม หัวใจเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย
แต่ผู้คนไม่เข้าใจ มักเข้าใจว่า เป็นจิต จึงมีค�ำศัพท์ที่ใช้ค�ำว่า
หัวใจนี้ แทน จิตใจอยู่บ่อยครั้ง เป็นสัญญะ เช่น คนไม่มีหัวใจ
หมายถึงคนที่ไม่มีความรู้สึกนึกถึงผู้อื่นเลย แม้จะมีหัวใจเป็น
อวัยวะก็ตามแต่จิตใจที่เป็นธรรมะ เป็นจิตวิญญาณภายใน
ไม่มี
ดังนั้น ทั้งค�ำว่า จิต ใจ มโน และวิญญาณ เป็นค�ำที่มี
ความหมายใกล้เคียงกัน คือ ธาตุกายสิทธิ์อันเดียวกันนั่นเอง
แต่เรียกไปตามลักษณะและคุณสมบัติต่างหากออกไปอย่าง
ในคัมภีร์รุ่นหลังพระไตรปิฏก คัมภีร์วิสุทธิมรรคท่านกล่าวว่า
“ วิญญาณํ จิตฺตํ มโนติ อตฺถโต เอกํ” แปลว่า ค�ำว่า วิญญาณ
จิต และมโน โดยใจความเป็นอันเดียวกัน
42