รายงาน
- 2. คานา
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการจัดทารายงานฉบับนี้
ขึ้นมา เพื่อให้ได้เล็งเห็นว่ายุคของคอมพิวเตอร์ วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์ ประเภทของ
คอมพิวเตอร์ ขนาดของคอมพิวเตอร์ ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ และคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
ซึ่งเป็นเนื้อหาที่อธิบายให้เข้าใจถึงเรื่องระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความสอดคล้องกับวิชา
คอมพิวเตอร์และยังสามารถนาความรู้ที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและแก่สังคมได้อีก
ด้วย รวมถึงการจัดทารายงานในเรื่องนี้ถือเป็นการต่อยอดองค์ความรู้และเป็นการศึกษาทา
ความเข้าใจในเรื่องระบบคอมพิวเตอร์ให้มีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
รายงานฉบับนี้ได้มาจากการศึกษาค้นคว้าจากอินเตอร์เน็ต โดยผู้จัดทามีความประสงค์อย่างยิ่ง
ว่ารายงานฉบับนี้คงจะเป็นประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อยสาหรับผู้ที่มีความสนใจในเรื่องของระบบ
คอมพิวเตอร์ ที่ใช้ปรับแก้ข้อสรุปที่ผิดพลาดของคอมพิวเตอร์
หากท่านผู้อ่านพบข้อผิดพลาดประการใดในรายงานฉบับนี้ ผู้จัดทาจึงขออภัยมา ณ โอกาสนี้
ด้วย
นางสาวผไทมาศ บุญกอง
ผู้จัดทา
- 4. 1 ยุคของคอมพิวเตอร์
ยุคของคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งได้เป็น 5 ยุค ดังนี้คือ
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1 อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2488 ถึง พ.ศ. 2501 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอด
สุญญากาศซึ่งใช้กาลังไฟฟ้ าสูง จึงมีปัญหาเรื่องความร้อนและไส้หลอดขาดบ่อย ถึงแม้จะมี
ระบบระบายความร้อนที่ดีมาก การสั่งงานใช้ภาษาเครื่องซึ่งเป็นรหัสตัวเลขที่ยุ่งยากซับซ้อน
เครื่องคอมพิวเตอร์ของยุคนี้มีขนาดใหญ่โต เช่น มาร์ค วัน (MARK I), อีนิแอค (ENIAC),
ยูนิแวค (UNIVAC)
2 คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2
คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2506 เป็นคอมพิวเตอร์ที่
ใช้ทรานซิสเตอร์ โดยมีแกนเฟอร์ไรท์เป็นหน่วยความจา มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลสารองในรูปของสื่อ
บันทึกแม่เหล็ก เช่น จานแม่เหล็ก ส่วนทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีการพัฒนาดีขึ้น โดยสามารถเขียน
โปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงซึ่งเป็นภาษาที่เขียนเป็นประโยคที่คนสามารถเข้าใจได้ เช่น ภาษา
ฟอร์แทน ภาษาโคบอล เป็นต้น ภาษาระดับสูงนี้ได้มีการพัฒนาและใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน
3 คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3
คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2507 ถึง พ.ศ. 2512 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้
วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) โดยวงจรรวมแต่ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่
ภายในมากมายทาให้เครื่องคอมพิวเตอร์จะออกแบบซับซ้อนมากขึ้น และสามารถสร้างเป็น
โปรแกรมย่อย ๆ ในการกาหนดชุดคาสั่งต่าง ๆ ทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีระบบควบคุมที่มี
ความสามารถสูงทั้งในรูประบบแบ่งเวลาการทางานให้กับงานหลาย ๆ อย่าง
- 5. 4 คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4
คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 จนถึงปัจจุบัน เป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวม
ความจุสูงมาก(Very Large Scale Integration : VLSI) เช่น ไมโครโพรเซสเซอร์ที่
บรรจุทรานซิสเตอร์นับหมื่นนับแสนตัว ทาให้ขนาดเครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงสามารถตั้ง
บนโต๊ะในสานักงานหรือพกพาเหมือนกระเป๋ าหิ้วไปในที่ต่าง ๆ ได้ ขณะเดียวกันระบบ
ซอฟต์แวร์ก็ได้พัฒนาขีดความสามารถสูงขึ้นมาก มีโปรแกรมสาเร็จให้เลือกใช้กันมากทาให้เกิด
ความสะดวกในการใช้งานอย่างกว้างขวาง
5 คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5
คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนามาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและ
แก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการเก็บความรอบรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรียกค้นและดึง
ความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งานให้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นผลจากวิชาการด้าน
ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น
สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกาลังสนใจค้นคว้าและพัฒนาทางด้านนี้กันอย่าง
จริงจัง
6 วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์
ต้นกาเนิดของคอมพิวเตอร์อาจกล่าวได้ว่ามาจากแนวความคิดของระบบตัวเลข ซึ่งได้พัฒนา
เป็นวิธีการคานวณต่าง ๆ รวมทั้งอุปกรณ์ที่ช่วยในการคานวณอย่างง่าย ๆ คือ" กระดาน
คานวณ" และ "ลูกคิด"
- 6. ในศตวรรษที่ 17 เครื่องคาแบบใช้เฟื่องเครื่องแรกได้กาเนิดขึ้นจากนักคณิตศาสตร์ชาว
ฝรั่งเศษ คือ Blaise Pascal โดยเครื่องของเขาสามารถคานวณการบวกการลบได้อย่าง
เที่ยงตรง และในศตวรรษเดียวกันนักคณิตศาสตร์ชาวเยอร์มันคือ Gottried Wilhelm
von Leibniz ได้สร้างเครื่องคิดเลขเครื่องแรกที่สามารถคูณและหารได้ด้วย
เครื่อง Difference Engine ของ Charles Babbage
7 ในต้นศตวรรษที่ 19
ชาวฝรั่งเศษชื่อ Joseph Marie Jacquard ได้พัฒนาเครื่องทอผ้าที่สามารถโปแกรมได้
โดยเครื่องทอผ้านี้ใช้บัตรขนาดใหญ่ ซึ่งได้เจาะรู้ไว้เพื่อควบคุมรูปแบบของลายที่จะปัก
บัตรเจาะรู(punched card) ที่ Jacquard ใช้นี้ได้ถูกพัฒนาต่อๆมาโดยผู้อื่น เพื่อใช้
เป็นอุปกรณ์ป้ อนข้อมูลและโปรแกรมเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆ
เครื่องจัดเรียงบัตรเจาะรูของ Dr. Her Hollerith
8 การพัฒนาที่สาคัญกับ Mark I
ได้เกิดขึ้นปี 1946 โดย Jonh Preper Eckert, Jr. และ Dr. Jonh
W.Msuchly จาก University of Pennsylvnia ได้ออกแบบสร้างเครื่อง
ENIAC ( Electronic Numeric Integator and Calcuator ) ซึ่งทางานได้
เร็วอยู่ในหน่วยของหนึ่งส่วนล้านวินาที ในขณะที่ Mark I ทางานอยู่ในหน่วยของหนึ่งส่วน
พันล้านเท่า โดยหัวใจของความสาเร็จนี้อยู่ที่การใช้หลอดสูญญกาศมาแทนที่ relay นั่นเอง
และถดจากนั้น Mauchly และ Eckert ก็ทาการสร้าง UNIVAC ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์
อิเล็กทรอนิกส์เพื่อการค้าเครื่องแรกของโลก
- 7. 9 การพัฒนาที่สาคัญได้เกิดขึ้นมาอีก
เมื่อ Jonh von Neumannได้เสนอแผนสาหรับคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จะทาการเก็บ
โปรแกรมไว้ในหน่วยโปรแกรมไว้ในหน่วยความจาที่เหมือนกับที่เก็บข้อมูล ซึ่งพัฒนาการนี้ทาให้
สามารถเปลี่ยนวงจรของคอมพิวเตอร์ได้โดยอัตโนมัติแทนที่จะต้องทาการเปลี่ยนสวิทชต์ด้วย
มือเหมือนช่วงก่อน นอกจากนี้ยังได้นาระบบเลขฐานสองมาใช้ในคอมพิวเตอร์ซึ่งหลักการต่างๆ
เหล่านี้ได้ทาให้เครื่อง IAS ที่สร้างโดย Dr. von Neumann เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์
เอนกประสงค์เครื่องแรกของโลก เป็นการเปิดศักราชของคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริงและยังได้เป็น
บิดาคอมพิวเตอร์คนที่ 2
10
ประเภทของคอมพิวเตอร์
ประเภทของคอมพิวเตอร์แบ่งตามลักษณะของข้อมูล ได้ 3 ประเภท คือ
1. อนาลอกคอมพิวเตอร์ (Analog Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่
สร้างขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อใช้กับงานเฉพาะด้าน มีการทางานโดยใช้หลักในการวัด มีลักษณะเป็น
วงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่แยกส่วนทาหน้าที่เป็นตัวกระทาและฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ โดยใช้ค่า
ระดับแรงดันไฟฟ้ าเป็นหลักในการคานวณ และการรับข้อมูลจะรับในลักษณะของปริมาณที่มี
ค่าต่อเนื่องไม่สามารถเก็บข้อมูลได้เป็นจานวนมากเหมือนกับดิจิทัลคอมพิวเตอร์
2. ดิจิทัลคอมพิวเตอร์ (Digital Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทางาน
โดยใช้หลักในการคานวณแบบลูกคิด หรือหลักการนับ และทางานกับข้อมูลแบบไม่ต่อเนื่อง
ลักษณะการคานวณจะแปลงเลขเลขฐานสิบก่อน แล้วจึงประมวลผลด้วยระบบเลขฐานสอง
แล้วให้ผลลัพธ์ออกมาอยู่ในรูปของตัวเลข ซึ่งคอมพิวเตอร์จะแปลงเป็นเลขฐานสิบเพื่อแสดงให้
- 8. ผู้ใช้เข้าใจง่าย มีความสามารถในการคานวณและมีความแม่นยามากกว่าอนาลอก
คอมพิวเตอร์ สามารถเก็บข้อมูลได้เป็นจานวนมากจึงต้องใช้สื่อในการบันทึกข้อมูล
11
3. ไฮบริดคอมพิวเตอร์ (Hybrid Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้กับงาน
เฉพาะด้าน มีประสิทธิภาพสูงและสามารถทางานที่ซับซ้อนได้ เนื่องจากการนาเทคนิคการ
ทางานของอนาลอกคอมพิวเตอร์และดิจิทัลคอมพิวเตอร์มาใช้งานร่วมกัน เช่น การส่งยาน
อวกาศขององค์การนาซา จะใช้เทคนิคของอนาลอกคอมพิวเตอร์ในการควบคุมการหมุนของตัว
ยานอวกาศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความกดดันอากาศ อุณหภูมิ ความเร็ว และใช้เทคนิคของดิจิทัล
คอมพิวเตอร์ในการคานวณระยะทางจากพื้นผิวโลก เป็นต้น
12
ขนาดของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. Microcomputer หรือ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก
ที่สุด ปัจจุบันเป็นที่นิยมใช้กันมาก เนื่องจากขนาดเล็ก มีน้าหนักเบา ราคาไม่แพง สามารถ
เคลื่อนย้ายได้สะดวก ซึ่งทางานโดยระบบผู้ใช้คนเดียว ( Single-user System )
คอมพิวเตอร์ประเภทนี้แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
- 9. 1. 1 Personal Computers (PCs) เป็นคอมพิวเตอร์ที่
เคลื่อนย้ายได้สะดวก เหมาะกับงานประเภท Word Processing และ
Spreadsheets
1.2 Workstations ( สถานีงาน ) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ราคา
แพง นิยมนาไปใช้ในงานทางด้านวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์
2. Minicomputer เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วในการประมวลผลและความจุต่ากว่า
ระบบเมนเฟรมมินิคอมพิวเตอร์จะทางานโดยใช้ระบบผู้ใช้หลายคน (Multi-user
System) มักจะใช้กับงานที่มีข้อมูลไม่มาก
3. Mainframe Computer เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพต่ารองจาก
Supercomputer มีความเร็วในการประมวลผลสูง
13
4. Supercomputer เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสามารถประมวลผลได้
เร็วที่สุด มีความจุในการจัดเก็บข้อมูลสูง ส่วนมากจะผลิตขึ้นมาเพื่อใช้งานเฉพาะด้านเท่านั้นซึ่ง
เครื่องคอมชนิดนี้จึงมีราคาค่อนข้าแพงมาก ดังนั้นจึงไม่นิยมใช้แพร่หลายนัก
ถ้าแบ่งตามขนาดสามารถแบ่งแย่งตามขนาดของเครื่องได้ ดังนี้
คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (Desktop Computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็ก
ถูกออกแบบมาให้ตั้งบนโต๊ะ มีการแยกชิ้นส่วนประกอบเป็น ซีพียู จอภาพ และแป้ นพิมพ์
ปัจจุบันเป็นที่นิยมใช้ทั่วไป
แล็บท็อปคอมพิวเตอร์ (Laptop Computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก จอภาพ
ใช้เป็นแบบแบนราบ ชนิดจอภาพผนึกเหลว (Liquid crystal Display : LCD) มี
น้าหนักของเครื่อง เบาประมาณ 3-8 กก.
- 10. โน๊ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ (Notebook Computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขาดใหญ่
และมีความหนามากกว่าแล็ปท็อป น้าหนักประมาณ 1.5 –3 กิโลกรัม จอภาพแสดงผลเป็น
แบบราบชนิดมีทั้งแบบแสดงผลสีเดียว และแบบหลายสี โน๊ตบุ๊คที่มีขายทั่วไปมีประสิทธิภาพ
และความสามารถเหมือนกับแล็ปท็อป
ปาล์มท็อปคอมพิวเตอร์ (Palmtop Computer)
14
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
โดยหลักการแล้ว ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ที่ทางานตามหน้าที่ 4
ส่วนด้วยกัน คือ 1.) ส่วนรับข้อมูล (Input Unit)
2.) ส่วนประมวลผลข้อมูล (Central Processing Unit)
3.) ส่วนแสดงผล (Output Unit)
4.) หน่วยความจา (Memory Unit)
1.) ส่วนรับข้อมูล (Input Unit)
ส่วนรับข้อมูล (Input Unit) เป็น ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ที่ทาหน้าที่รับ
ข้อมูลจากคน และส่งต่อข้อมูลไปยัง หน่วยประมวลผล(Process Unit) เพื่อทาการ
ประมวลผลต่อไป รูปแบบการส่งข้อมูลจากอุปกรณ์รับข้อมูลจะอยู่ในรูปของการส่งสัญญาณ
เป็นรหัสดิจิตอล (หรือเป็นเลข 0 กับ 1) นั่นเอง อุปกรณ์ส่วนรับข้อมูล ได้แก่
- คีย์บอร์ด (keyboard) - เมาส์ (mouse)
- 11. - สแกนเนอร์ (scanner)
- อุปกรณ์สแกนลายนิ้วมือ (finger scan)
- ไมโครโฟน (microphone)
- กล้องเว็บแคม (webcam)
16
4.) หน่วยความจา (Memory Unit)
หน่วยความจา (Memory Unit) อุปกรณ์เก็บสถานะข้อมูลและชุดคาสั่ง เพื่อการ
ประมวลผลของคอมพิวเตอร์ แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ หน่วยความจาชั่วคราวและ
หน่วยความจาถาวร - หน่วยความจาชั่วคราว คือ แรม (RAM: Random Access
Memory)เป็นหน่วยความจาที่ใช้ขณะคอมพิวเตอร์ทางาน ข้อมูลและชุดคาสั่งจะหายไปทุก
ครั้งที่เราปิดเครื่อง - หน่วยความจาถาวรหรือ หน่วยความจาหลัก ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ Hard
Disk ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล และ รอม (ROM: Read Only Memory) ที่ใช้ในการ
เก็บค่าไบออส หน่วยความจาถาวรจะใช้ในการเก็บข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์และจะไม่สูญ
หายเมื่อปิดเครื่อง
17
คอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
ความหมายของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึง ส่วนที่ทาหน้าที่เป็นคาสั่งที่ใช้ควบคุมการทางาน
ของเครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออาจเรียกว่า “ โปรแกรม ” ก็ได้ ซึ่งหมายถึงคาสั่งหรือชุดคาสั่ง
- 12. สามารถใช้เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทางาน เราต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทาอะไรก็เขียนเป็น
คาสั่งที่จะต้องสั่งเป็นขั้นตอน และแต่ละขั้นตอนต้องทาอย่างละเอียดและครบถ้วนก็จะเรียกว่า
นักเขียนโปรแกรม (Programmer) สาหรับการเขียนโปรแกรมดังกล่าวใช้ภาษาที่ใช้ในการ
เขียนโปรแกรมโดยเฉพาะ หรือหมายถึง ภาษาที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้
ประเภทของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์จะแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ประเภท คือ ซอฟต์แวร์ระบบ (System
Software) และซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Softwaer) ซึ่งมีรายละเอียด
ดังนี้
18
1. ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) หมายถึง โปรแรกมที่มีหน้าที่ควบคุมการ
ทางานของฮาร์ดแวร์ทุกอย่างและอานวยความสะดวก
ให้กับผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็นโปรแกรมตามหน้าที่การทางานดังนี้
1.1 OS (Operating System)
คือ โปรแกรมระบบที่ทาหน้าที่ควบคุมการใช้งานส่วนต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์
เช่น ควบคุมหน่วยความจา ควบคุมหน่วยประมวลผล ควบคุมหน่วยรับและควบคุมหน่วย
แสดงผล ตลอดจนแฟ้ มข้อมูลต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพในการทางานสูงที่สุด และสามารถใช้
อุปกรณ์ทุกสาวนของคอมพิวเตอร์และช่วยจัดการกระบวนการพื้นฐานที่สาคัญ ๆ ภายในเครื่อง
คอมพิวเตอร์ก่อนที่คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะสามารถอ่านไฟล์ต่าง ๆ หรือสามารถใช้
ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้จะต้องผ่านการดึงระบบปฏิบัติการออกมาฝังตัวอยู่ในหน่าวความจาก่อน
1.2 Translation Program คือโปรแกรมที่ทาหน้าที่ในการแปลโปรแกรมหรือชุดคาสั่ง
ที่เขียนด้วยภาษาที่ไม่ใช่ภาษาเครื่อง หรือภาษาเครื่องที่ไม่เข้าใจให้เป็นภาษาที่เครื่องสามารถรู้
เรื่องเข้าใจ และนาไปปฏิบัติได้
- 13. 19
1.3 Utility Program คือ โปรแกรมระบบที่ทาหน้าที่ในการอานวยความสะดวกให้กับ
ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ให้สามารถทางานได้สะดวก รวดเร็วและง่ายขึ้น เ
1.4 Diagnostic Program คือ โปรแกรมระบบที่ทาหน้าที่ตรวจสอบ
ข้อผิดพลาดใน การทางานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์และเมื่อพบข้อผิดพลาดก็
จะแจ้งขึ้นบนจอภาพให้ทราบ
2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
หมายถึง โปรแกรมที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์เป็นผู้เขียนมาใช้งานเอง เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์
ทางานอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ต้องการ ซึ่งแบ่งได้ดังนี้
2.1 User Program คือ โปรแกรมที่ผู้ใช้เขียนมาใช้เอง โดยใช้ภาษาระดับต่าง
ๆ ทางคอมพิวเตอร์ซึ่งการที่จะเลือกใช้ภาษาใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของงานเหล่านั้น
ด้วย
2.2 Package Program คือ โปรแกรมสาเร็จรูปซึ่งเป็นโปรแกรมที่ถูกสร้าง
หรือเขียนขึ้นมาโดยบริษัทต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วพร้อมที่จะนาไปใช้งานต่าง ๆ ได้ทันที ที่จริง
แล้ว Package Program สามารถแบ่งออกได้เป็น 9 ประเภทด้วยกัน
20
สาหรับรายละเอียดของโปรแกรมแต่ละประเภทนั้น มีรายละเอียดดังนี้
1. โปรแกรมทางด้าน Word Processor
โปรแกรมทางด้าน Word Processor นั้น เป็นโปรแกรมที่ทางานเกี่ยวกับ
ทางด้านการประมวลผลคา สามารถจัดทาเอกสาร รายงาน จดหมาย หนังสือต่าง ๆ ได้ ทาให้
- 14. ได้งานที่มีประสิทธิภาพ สวยงาม เนื่องจากสามารถจัดรูปแบบงานตามต้องการได้รวมทั้งยัง
แก้ไขงานที่ทาได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยประหยัดเวลาในการแก้ไขงาน และสามารถค้นหาข้อความ
ต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก
2. โปรแกรมที่จัดอยู่ในกลุ่ม Word Processor มีดังนี้
คือ WordStat, ราชวิถีเวิร์ด เวิร์ดจุฬา โปรแกรมเหล่านี้จะเป็นโปรแกรมที่ทางานบน Dos
นอกจากนั้นยังมีโปรแกรมที่ทางานบนวินโดวส์อีกด้วย คือ Word Perfect,
Microsoft Word และ AmiPro โปรแกรมเหล่านี้จะใช้งานง่าย สะดวก สามารถ
จัดรูปแบบต่าง ๆ ได้ตามต้องการ รวมทั้งสามารถนาภาพมาประกอบกับงานเอกสาร หรือนา
เอกสารจากโปรแกรมอื่นมาจัดรูปแบบในโปรแกรมเหล่านี้ก็ได้
22
เกิดชัยชนะ ซึ่งจะทาให้เด็กสร้างนิสัยผิด ๆ กลายเป็นเด็กที่ชอบเอาชนะคนอื่นชอบการต่อสู้
และอาจเป็นคนดุร้าย เห็นแก่ตัวได้
6. โปรแกรมทางด้านการสร้างสถานการณ์จาลอง
เป็นโปรแกรมที่ให้ผู้เล่นได้ทดลองสร้างสถานการณ์จาลองของงานที่อาจจะเกิดขึ้นได้
หรืออาจจะเรียกว่า เกมส์ทางธุรกิจ โดยให้ผู้เล่นได้รู้จักวางแผนในการทางาน คิดถึงผลกาไร
ขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ รู้จักจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่ให้ได้ผลกาไรมากที่สุด
7. โปรแกรมทางด้านการติดต่อสื่อสาร
เป็นโปรแกรมที่มักนิยมใช้ตามสานักงานต่างๆทั้งของรัฐและเอกชนในการนัดหมาย
ประชุม การทาจดหมายเวียนไปตามฝ่ายต่างๆ โดยการเก็บข้อมูลไว้ในคอมพิวเตอร์แทนที่จะ
- 15. พิมพ์ออกมาทางกระดาษ เพื่อแจ้งให้พนักงานทราบ ข้อดีของโปรแกรมชนิดนี้คือ ทาให้
ประหยัดกระดาษลงไปได้มาก
8. โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
โปรแกรมประเภทนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า CAI (Computer Assisted
Instruction) เป็นโปรแกรมที่นามาสอนให้กับนักเรียนในวิชาต่าง ๆ โดยที่นักเรียนจะเรียน
กับโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์และครูเป็นผู้ชีแนะ ทดสอบ และวัดความเข้าใจ รวมทั้งสรุปเนื้อหา
ที่นักเรียนได้เรียนจากโปรแกรม CAI นี้
23
9. โปรแกรมทางด้านการออกแบบโปรแกรมนี้ได้เข้ามาช่วยออกแบบงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
งานทางด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรม และงานออกแบบสินค้าต่างๆ ซึ่งสามารถสร้างได้ทั้งแบบ
ที่เป็นภาพ 2 มิติ และภาพ 3 มิติ สาหรับโปรแกรมทางด้านออกแบบที่นิยมใช้กันแพร่หลาย