More Related Content
Similar to โครงงาน 2 (20)
More from Siwakorn Daungkrawsuk
More from Siwakorn Daungkrawsuk (8)
โครงงาน 2
- 2. รหัสวิชา ง33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปี การศึกษา 2557
ชื่อโครงงาน กาเนิดเอกภพ
ชื่อผู้ทาโครงงาน
1 นาย ศิวกร ดวงแก้วสุข เลขที่ 3 ชั้น ม.6 ห้อง 6
2 นาย ธนภัทร วังแกล้ว เลขที่ 24 ชั้น ม.6 ห้อง 6
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปี การศึกษา 2557
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 3. ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม .……
1 นาย ศิวกร ดวงแก้วสุข เลขที่ 3 ชั้น ม.6 ห้อง 6
2 นาย ธนภัทร วังแกล้ว เลขที่ 24 ชั้น ม.6 ห้อง 6
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
กาเนิดเอกภพ
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
The Birth of Universe
ประเภทโครงงาน โครงงานเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน
1 นาย ศิวกร ดวงแก้วสุข เลขที่ 3 ชั้น ม.6 ห้อง 6
2 นาย ธนภัทร วังแกล้ว เลขที่ 24 ชั้น ม.6 ห้อง 6ชื่อที่ปรึกษา
ชื่อที่ปรึกษาร่วม ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน 3 วัน
- 4. ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
(อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน) เอกภพ เป็นที่ว่างที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลจนไม่
สามารถกาหนดขอบเขตได้ ในเอกภพประกอบไปด้วยหลายๆ กลุ่มดาว หรือเรียกว่า กาแลคซี่ (Galaxy) ภายในกา
แลคซี่ประกอบไปด้วยดวงดาวมากมายหลายร้อยล้านดวง ทั้งดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ฝุ่นและกลุ่มเนบิวลา
เช่นเดียวกับกลุ่มดาวที่โลกเราอยู่คือ กาแลคซี่ทางช้างเผือก(Milky Way) สาเหตุที่เราเรียกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือก
เนื่องจากเมื่อเรามองจากโลกไปยังกาแลคซี่ดังกล่าวเราจะมองเห็นท้องฟ้ าเป็นทางขาวคล้ายเมฆพาดยาวบนท้องฟ้ าใน
เวลากลางคืน นักวิทยาศาสตร์คาดว่าทางช้างเผือกนี้มีดวงดาวอยู่ประมาณแสนล้านดวง สาหรับระบบสุริยะจักรวาล
เป็นส่วนหนึ่งของทางช้างเผือก มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง มีดวงดาวต่าง ๆ หรือเทห์ฟากฟ้ า ดวงดาวทุกดวงจะมี
ความเกี่ยวพันกันอยู่กับดวงดาวดวงหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ดวงจันทร์กับโลก โลกกับดวงอาทิตย์ เทห์ฟากฟ้ าที่ประกอบ
กันอยู่ในระบบสุริยะจักรวาล ได้แก่ ดาวเคราะห์ ดาวบริวาร ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง ดาวตก อุกกาบาต เป็ นต้น บิ
กแบง (อังกฤษ: Big Bang หมายถึง การระเบิดครั้งใหญ่) คือแบบจาลองของการกาเนิดและการวิวัฒนาการของเอก
ภพในวิชาจักรวาลวิทยาซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และจากการสังเกตการณ์ที่แตกต่างกัน
จานวนมาก นักวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปใช้คานี้สาหรับกล่าวถึงแนวคิดการขยายตัวของเอกภพหลังจากสภาวะแรกเริ่ม
ที่ทั้งร้อนและหนาแน่นอย่างมากในช่วงเวลาจากัดระยะหนึ่ง
- 5. ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
ยังคงดาเนินการขยายตัวอยู่จนถึงในปัจจุบัน ดาราจักร หรือ กาแล็กซี เป็นกลุ่มของดาวฤกษ์นับล้านดวง กับสสาร
ระหว่างดาวอันประกอบด้วยแก๊ส ฝุ่น และสสารมืด รวมอยู่ด้วยกันด้วยแรงโน้มถ่วง คานี้มีที่มาจากภาษากรีกว่า galaxias
หมายถึง "น้านม" ซึ่งสื่อโดยตรงถึงดาราจักรทางช้างเผือก (Milky Way) ดาราจักรโดยทั่วไปมีขนาดน้อยใหญ่ต่างกัน
นับแต่ดาราจักรแคระที่มีดาวฤกษ์ประมาณสิบล้านดวงไปจนถึงดาราจักรขนาดยักษ์ที่มีดาวฤกษ์นับถึงล้านล้านดวง โคจร
รอบศูนย์กลางมวลจุดเดียวกัน ในดาราจักรหนึ่ง ๆ ยังประกอบไปด้วยระบบดาวหลายดวง กระจุกดาวจานวนมาก และเมฆ
ระหว่างดาวหลายประเภท ดวงอาทิตย์ของเราเป็นหนึ่งในบรรดาดาวฤกษ์ในดาราจักรทางช้างเผือก เป็นศูนย์กลางของระบบ
สุริยะซึ่งมีโลกและวัตถุอื่น ๆ โคจรโดยรอบ
- 6. วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1. เพื่อศึกษาการกาเนิดเอกภพ
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
ศึกษาการกาเนิดเอกภพ
หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
1. ทฤษฎีฮับเบิ้ล
2. ทฤษฎีสัมพัทภาพ และ ทฤษฎีสัมพัทภาพ พิเศษ
3. ทฤษฎี บิ๊กแบง
4. ทฤษฎี Singularity
5. แบบจาลองเอกภพ
- 9. ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1. ทุกคนในชั้นสามารถรับรู้ และ สามารถเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีการกาเนิดเอกภพ และ แบบจาลองเอกภพ
สถานที่ดาเนินการ
1. ที่พักอาศัยส่วนตัว
2. ห้องคอมพิวเตอร์โรงเรียนยุพราช
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
1.วิทยาศาสตร์
แหล่งอ้างอิง
http://pantip.com/topic/30097366
http://www.vcharkarn.com/varticle/43457
https://manthana2013.wordpress.com/%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B
8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A0%E0%B8%9E/
http://www.meekhao.com/news/secret-place-in-german/
- 13. การก่อเกิด เปลี่ยนแปลง และเสื่อมสลายของดาวฤกษ์เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา มวลสารและ
พลังงานของดวงดาวที่แตกดับกลับกลายเป็นองค์ประกอบของดาวดวงใหม่หมุนเวียต่อไปไม่สิ้นสุด สิ่งใดดารงอยู่
ก่อนการก่อเกิดเอกภพวาระสุดท้ายของเอกภพเป็นเช่นไรรวมทั้งมีชีวิตอยู่บนดาวดวงอื่นหรือไม่ทั้งหมดนี้คือปริศนา
ที่ยังรอคาตอบจากนักบุกเบิกห้วงอวกาศรุ่นต่อไป
เกร็ดดาราศาสตร์
หากเทียบอายุ 15,000 ล้านปีของเอกภพเป็นเวลา 24 ชั่วโมงมนุษย์ก็คือสิ่งมีชีวิตที่มีการเกิดและดับทุก
0.0005 วินาทีและหากเทียบรัศมี 100,000 ปีแสงของกาแล็กซี่ทางช้างเผือกเป็นระยะทาง 1 กิโลเมตรมนุษย์ก็
จะมีขนาดเพียง 1 ใน 5,000 ล้าน มม.เท่านั้นนี่คือความเล็กน้อยด้อยค่าของมนุษย์เมื่อเทียบกับเอกภพอัน
ยิ่งใหญ่
- 15. แบบจาลองเอกภพ ของ ชาวสุเมเรียน และชาวบาบิโลน
แบบจาลองเอกภพ กรีก ( Greek’s model )
แบบจาลองของ โคเปอร์นิคัส (Copernican’s model model )
แบบจาลองของเคพเลอร์ ( Kepler’s model )
แบบจาลองของ กาลิเลโอ ( Galileo’s model )
แบบจาลองเอกภพ ของ พโตเลมี (Ptoleme’s model )
- 16. ในยุคเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของมนุษย์โลกในช่วงเวลาประมาณ 7,000 ปีก่อนคริตศักราช นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า
ได้มีชนชาติที่มีอารยะธรรมอาศัยอยู่ในบริเวณตอนกลางของทวีปเอเชียกลางซึ่งในปัจจุบันนี้คือประเทศอิรัก ดินแดนนี้เป็น
ที่รู้จักกันดีของนักประวัติศาสตร์ว่าคือดินแดน “เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia)” ชนที่อยู่ในยุคสมัยนั้นได้เรียกตนเองว่า
“ชาวสุเมอเรี่ยน (Sumerian)” ชาวสุเมอเรี่ยนได้ริเริ่มประดิษฐ์คิดค้นการเขียนอักษรที่มีชื่อเรียกว่า “cuneiform” เพื่อสื่อ
ความหมายต่างๆลงบนแผ่นดินเหนียว ต่อมาทาให้นักประวัติศาสตร์ได้รู้ว่าชาวสุเมอเรียนนั้นเป็นกลุ่มชนที่มีอารยะธรรม
สูง ในบันทึกนี้นักประวัติศาสตร์ได้มีการค้นพบการบันทึกตาแหน่งของดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ต่างๆในท้องฟ้ าพร้อมกับ
มีการตั้งชื่อให้กับกลุ่มดาวต่างๆในท้องฟ้ าอีกด้วย นอกจากนี้ชาวสุเมอเรี่ยนยังได้อธิบายการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆ
ในท้องฟ้ าโดยมีความเชื่อว่าเป็นเพราะเทพเจ้าต่างๆที่ปกครองโลก ท้องฟ้ า และแหล่งน้าต่างๆบันดาลให้เป็นไป
เช่นนั้น จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์นี้จะเห็นได้ว่าโครงสร้างที่ใหญ่ที่สุดที่ส่งผลกระทบต่อชาวสุเมอเรี่ยนก็คือท้องฟ้ า
และดวงดาวต่างๆ ดังนั้นแบบจาลองของเอกภพของชาวสุเมอเรี่ยนก็คือห้วงท้องฟ้ าทั้งหมดที่มีดาวฤกษ์และดาวเคราะห์
ต่างๆเคลื่อนที่ไปตามเวลาโดยมีโลกเป็นจุดศูนย์กลางของการเคลื่อนที่ทั้งหมด
- 17. ในช่วงระยะเวลาประมาณ 2,000 ปี ถึง 500 ปีก่อนคริตศักราช ชาวบาบิโลนได้ริเริ่มการสังเกตและจดบันทึกการ
เคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆอย่างเป็นระบบเป็นประจาโดยอาศัยพื้นฐานความรู้ทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมอเรี่ยน นัก
ประวัติศาสตร์ได้พบว่าเมื่อเวลา 1,600 ปีก่อนคริตศักราชชาวบาบิโลนได้จัดทาบัญชีรายชื่อของดาวฤกษ์และดาวเคราะห์
ต่างในท้องฟ้ าพร้อมทั้งได้ระบุตาแหน่งของการเคลื่อนที่ของดาวฤกษ์และดาวเคราะห์เหล่านั้นอย่างระเอียดทุกๆวัน ซึ่ง
ต่อมาทาให้ต่อมาชาวบาบิโลนได้นาผลของการสังเกตการณ์นี้มาใช้ในการทานายการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ต่างๆใน
ท้องฟ้ าได้อย่างถูกต้อง และได้ช่วยให้ชาวบาบิโลนสามารถทานายถึงการเปลี่ยนของฤดูกาลได้อย่างถูกต้องและแม่นยา
มาก จึมีผลทาให้ระบบการเกษตรของชาวบาบิโลนมีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ชาวบาบิโลนยังได้อาศัยตาแหน่งของดวง
อาทิตย์และดวงจันทร์ในวันต่างๆเพื่อทาปฏิทินแสดงวันที่และฤดูกาลได้อย่างถูกต้องแม่นยาด้วย แต่อย่างไรก็ตามพื้น
ฐานความรู้และความเชื่อในเรื่องเอกภพของชาวบาบิโลนกับชาวสุเมอเรียนก็ยังคงเหมือนกัน กล่าวคือพวกเขาทั้งสองชน
ชาติมีความเชื่อว่าเอกภพก็คือห้วงท้องฟ้ าทั้งหมดที่มีดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ต่างๆเคลื่อนที่ไปตามเวลาโดยมีโลกเป็นจุด
ศูนย์กลางของการเคลื่อนที่ และ ปรากฏการ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น การโคจรของดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ดวงอาทิตย์ และ
ดวงจันทร์นั้นเกิดขึ้นเพราะเทพเจ้าต่างๆได้ดลบันดาลให้เกิดขึ้นตามความประสงค์ของเทพเจ้า
- 19. การอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆในท้องฟ้ าของชนชาวกรีกโบราณนั้นได้พัฒนาโดยอาศัยข้อมูลและความรู้ทาง
ดาราศาสตร์ของชาวสุเมอเรียนและชาวบาบิโลน แต่ชาวกรีกได้มีการพัฒนาคาอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆในท้องฟ้ าโดย
อาศัยคณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือ โดยชาวกรีกได้ประยุกต์ความรู้ทางคณิตศาตร์ในเรื่องของจานวนและเรขาคณิตในการ
พัฒนาแบบจาลองเอกภพของของชาวกรีก และได้เป็นผู้ประดิษฐ์คาว่า “cosmology” ซึ่งมีความหมายว่า “เอกภพวิทยา”
โดยที่คาว่า “cosmos” นั้นมาจากภาษากรีกคาว่า “kosmos” ชึ่งแปลว่าแนวความคิดของความสมมาตรและความกลมกลืน
(symmetry and harmony) ชาวกรีกได้พัฒนาความรู้ที่สาคัญมากของวิชาดาราศาสตร์ คือ พวกเขาได้ค้นพบว่าโลกมี
ลักษณะเป็นทรงกลมโดยนักคณิตศาสตร์และนักปราชญ์ ชื่อ อริสโตติ้ล (Aristotle, 384 – 325 ปีก่อนคริตศักราช)
อริสโตเติ้ลได้ทาการสังเกตการดาวฤกษ์ที่เคลื่อนที่รอบดาวเหนือและพบว่าดาวฤกษ์เหล่านั้นบางดวงสามารถสังเกตเห็น
ได้ที่อียิปต์แต่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ที่กรีก ดังนั้นจึงมีทางเดียวที่จะอธิบายปรากฏการณ์นี้คือโลกจะต้องมีลักษณะเป็น
ทรงกลมเท่านั้น และ อริสตาคัส จากซามอส (Aristarchus of Samos, 310 – 230 ปีก่อนคริตศักราช) ได้เป็นบุคคนแรก
ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่ระบุว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ โดยมีดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลางและโลกจะโคจรครบ
หนึ่งรอบในเวลา 1 ปี ดังนั้นแบบจาลองเอกภพของกรีกจึงเป็นแบบจาลองแรกที่กล่าวว่าเอกภพมีลักษณะที่อธิบายได้ทาง
เรขาคณิต
- 21. Ptoleme’s model
ในอดีตได้มีนักดาราศาสตร์ชื่อ ฮิปปาราคัส (Hipparchus of Nicaea) ได้ทาการสังเกตดาวฤกษ์ต่างๆในท้องฟ้ าและ
จัดทาบัญชีรายชื่อของดาวฤกษ์ต่างๆในท้องฟ้ าและเขายังได้จาแนกความสว่างของดาวฤกษ์แต่ละดวงขึ้นเป็นครั้งแรก
ด้วย ต่อมาพโตเลมี (Ptolemy, A.D. 127 - 151) นักดาราศาสตร์ชาวกรีกก็ได้ใช้ข้อมูลนี้เพื่ออธิบายถึงความสัมพันธ์ทาง
รูปแบบเรขาคณิตทรงกลม ของวัตถุต่างๆในท้องฟ้ า พโตเลมีได้อธิบายว่าดาวฤกษ์ต่างๆที่อยู่ในท้องฟ้ านั้นจะมีตาแหน่ง
ประจาอยู่กับที่ (fixed star) แต่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ต่างๆจะมีการเคลื่อนที่ไปในท้องฟ้ า โดยพโตเลมีได้
อธิบายว่าโลกเป็นจุดศูนย์กลางดาวฤกษ์ต่างๆนั้นจะเคลื่อนที่ไปรอบๆโลก ส่วนดวงอ่ทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์
ต่างๆก็จะโคจรรอบโลก โดยมีลักษณะวงโคจรเป็นรูปวงกลมเล็กๆที่เรียกว่าวงโคจร “epicycle” ซึ่งเคลื่อนที่รอบจุด
ศูนย์กลางอันหนึ่งที่เรียกว่า “deferent” และจุด “deferent” นี้จะโคจรรอบโลกเป็นรูปวงกลม ดังนั้นแบบจาลองเอกภพ
ของพโตเลมีก็ตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่าโลกเป็นจุดศูนย์กลางของเอกภพโดยใช้หลักการทางเรขาคณิตมาอธิบายถึงผลของ
การสังเกตที่พบได้จริงในท้องฟ้ า
- 23. นิโคลัส โคเปอร์นิคัส (Nicolaus Copernicus, ค.ศ. 1473 – ค.ศ. 1543) นักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์เป็นบุคคล
หนึ่งที่สนใจในแบบจาลองเอกภพของพโตเลมี แต่สาหรับแบบจาลองเอกภพของเขานั้นเขาได้ทาการเปลี่ยนแปลง
แบบจาลองของพโตเลมีในส่วนที่มีความสาคัญที่มาก กล่าวคือ เขาพบว่าการอธิบายปรากฏการณ์ที่ฮิปาราคัสได้ทา
การบันทึกเอาไว้นั้นสามารถกระทาได้อีกวิธีหนึ่งโดยการให้ดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลางของระบบและดาวเคราะห์
ต่างๆเคลื่อนที่รอบๆดวงอาทิตย์ด้วยวงโคจร “epicycle” และมีจุดจุดที่เรียกว่า “deferent” นี้จะโคจรรอบดวงอาทิตย์
เป็นรูปวงกลมที่สมบูรณ์แบบ ส่วนดวงจันทร์นั้นจะเคลื่อนที่รอบโลก และดาวฤกษ์ต่างๆนั้นจะมีตาแหน่งประจาอยู่กับ
ที่เหมือนกับแบบจาลองของพโตเลมี แบบจาลองของโคเปอร์นิคัสนี้เป็นแบบจาลองที่กลับไปใช้ระบบดวงอาทิตย์เป็น
จุดศูนย์กลางดังเช่นความเชื่อของอริสตาคัสในยุคกรีก แต่แบบจาลองของเขาได้พยายามอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ
โดยใช้ความรู้ทางเรขาคณิตเข้ามาประกอบด้วย โคเปอร์นิคัสได้เผยแพร่ทฤษฎีนี้ในปี ค.ศ.1543 ในหนังสือที่มีชื่อว่า
“De Revolutionibus Orbium” ซึ่งมีความหมายว่า “ความเกี่ยวเนื่องกับการวิวัฒนของวัตถุท้องฟ้ าต่างๆ” โดยที่เขารู้ดี
ว่าทฤษฎีของเขานั้นขัดแย้งกับความเชื่อของคริตศาสนานิการโรมันคาทอลิกที่มีความเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของทุก
สิ่งทุกอย่าง
- 25. ไทโค บราเฮ (Tycho Brahe, ค.ศ.1546 – ค.ศ.1601) นักดาราศาสตร์ชาวฮอลแลนด์ได้ทาการสังเกตการ
เคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ต่างๆและจดบันทึกตาแหน่งอย่างละเอียดทุกวันเป็นเวลานับสิบปี ผลจากการสังเกตของเขา
นี้ทาให้เขาไม่เชื่อในคาอธิบายการโคจรของดาวเคราะห์ต่างรอบดวงอาทิตย์ของโคเปร์นิคัสที่ว่าดาวเคราะห์ต่างๆ
เคลื่อนที่รอบๆดวงอาทิตย์เป็นรูปวงกลมสมบูรณ์แบบ แต่ผลงานการสังเกตการณ์และสรุปผลนี้ยังไม่เป็นผลสาเร็จ
เขาก็ได้มาเสียชีวิตไปเสียก่อน แต่อย่างไรก็ตามเขาได้มอบบันทึกของการสังเกตนี้ให้แก่ผู้ช่วยของเขาซึ่งเป็นชาว
เยอรมัน คือ โยฮัน เคปเลอร์ (Johannes Kepler, ค.ศ. – ค.ศ. )” ดังนั้นจึงทาให้เคปเลอร์ได้ทาการสังเกตการณ์
เพิ่มเติมแล้วจึงได้ตั้งแบบจาลองเอกภพที่ได้อธิบายการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ต่างๆเอาไว้ว่า ดวงอาทิตย์ยังคงเป็น
จุดศูนย์กลางการเคลื่อนที่ของระบบโดยที่ดาวฤกษ์ต่างๆจะอยู่ในตาแหน่งประจาที่ ส่วนดาวเคราะห์ต่างๆจะโคจรรอบ
ดวงอาทิตย์เป็นรูปวงรีไม่ใช่วงโคจรรูปวงกลมสมบูรณืแบบดังที่แสดงอยู่ในแบบจาลองของโคเปอร์นิคัส และดวง
อาทิตย์จะตั้งอยู่ที่จุดโฟกัสจุดหนึ่งของวงโคจรรูปวงรีนั้น นอกจากนั้นเคปเลอร์ยังพบว่าการอธิบายข้อมูลของไท
โคบราเฮด้วยแบบจาลองของเขาจะมีความถูกต้องแม่นยาต่อข้อมูลมากกว่าการอธิบายด้วยแบบจาลองของโคเปอร์
นิคัสด้วย
- 27. กาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei, ค.ศ.1564 – ค.ศ.1642) เป็นผู้ที่เชื่อในแบบจาลองของเอกภพของโคเปอร์นิคัสที่กล่าวว่า
ดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลางของระบบสุริยะ เขาเป็นคนแรกที่ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ในการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ จากการ
สังเกตโดยใช้กล้องโทรรทรรศน์นี้เขาพบว่าผิวของดวงจันทร์มีภูเขาและหลุมอุกาบาตมากมาย เขาพบว่าการแลกซี่ทางช้างเผือกที่
สังเกตเห็นเป็นฝ้ าสีขาวขุ่นบนท้องฟ้ าในบางบริเวณนั้นคือดาวฤกษ์จานวนมากมายนับไม่ได้ เขาได้พบว่าดาวศุกร์สามารถเกิดเป็น
เฟสคล้ายกับเฟสของดวงจันทร์ได้ นอกจากนั้นเขายังได้ค้นพบว่าดาวพฤหัสบดีมีดาวบริวาร 4 ดวงและดาวบริวารนี้โคจรรอบๆ
ดาวพฤหัสบดี ซึ่งการค้นพบนี้เป็นการแสดงถึงการที่วัตถุท้องฟ้ าหนึ่งได้โคจรรอบวัตถุท้องฟ้ าอื่นที่ไม่ใช่โลกเป็นครั้งแรก และการ
ค้นพบนี้ขัดต่อความเชื่อของศาสนาคริสนิการโรมันคาทอลิกที่เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างมาก และการ
ค้นพบนี้เป็นการหักล้างความเชื่อเรื่องเอกภพตามแบบจาลองของพโตเลมี กาลิเลโอไม่ได้เก็บผลการค้นพบเหล่านี้เอาไว้เป็น
ความลับดังที่ คริตศาสนจักรที่กรุงโรมต้องการให้เป็น เขาได้เผยแพร่ผลงานต่างๆเหล่านี้ในหนังสือชื่อ “Dialogue on the Two
Chief World Systems” ในปี ค.ศ.1632 หนัฟงสือเล่มนี้ได้ทาการเปรียบเทียบแบบจาลองเอกภพตามความเชื่อของพโตเลมีและโค
เปอร์นิคัส และในหนังสือนี้เองที่ได้แสดงแบบจาลองของเอกภพตามความเชื่อของกาลิเลโอ เขามีความเชื่อว่าดวงอาทิตย์เป็นจุด
ศูนย์กลางของเอกภพ ดาวเคราะห์ต่างๆยังคงเคลื่อนรอบดวงอาทิตย์เป็นรูปวงกลมแต่ ณ ที่ตาแหน่งวงโคจรของดาวเสาร์ซึ่งเป็น
ดาวเคราะห์ที่ไกลที่สุดในเอกภพของเขา กาลิเลโอได้เขียนสัญลักษณ์กรีกที่มีความหมายถึงจุดอนันต์นั่นแสดงว่าเอกภพของกาลิเล
โอมีขนาดเป็นอนันต์ หมายความว่า เขายังเชื่อว่ายังมีวัตถุท้องฟ้ าอื่นๆที่อยู่กลออกไปกว่าดาวเสาร์
- 32. ทฤษฎี “บิกแบง” (Big Bang Theory) เป็นทฤษฎีทางดาราศาสตร์ที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของจักรวาล
ปัจจุบันเป็นทฤษฎีที่เป็นที่เชื่อถือและยอมรับมากที่สุด ทฤษฎีบิกแบงเกิดขึ้นจากการสังเกตของนักดาราศาสตร์ที่ว่า
ขณะนี้จักรวาลกาลังขยายตัว ดวงดาวต่าง ๆ บนท้องฟ้ ากาลังวิ่งห่างออกจากกันทุกที เมื่อย้อนกลับไปสู่อดีต
ดวงดาวต่างๆ จะอยู่ใกล้กันมากกว่านี้ และเมื่อนักดาราศาสตร์คานวณอัตราความเร็วของการขยายตัวทาให้ทราบ
ถึงอายุของจักรวาลและการคลี่คลายตัวของจักรวาล รวมทั้งสร้างทฤษฎีการกาเนิดจักรวาลขึ้นอีกด้วย ตามทฤษฎีนี้
จักรวาลกาเนิดขึ้นเมื่อประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านปีที่แล้ว ก่อนการเกิดของจักรวาล ไม่มีมวลสาร ช่องว่าง หรือกาลเวลา
จักรวาลเป็นเพียงจุดที่เล็กยิ่งกว่าอะตอมเท่านั้น และด้วยเหตุใดยังไม่ปรากฏแน่ชัด จักรวาลที่เล็กที่สุดนี้ได้ระเบิดออก
อย่างรุนแรงและรวดเร็วในเวลาเพียงเศษเสี้ยววินาที (Inflationary period) แรงระเบิดก่อให้เกิดหมอกธาตุซึ่งแสงไม่
สามารถทะลุผ่านได้ (Plasma period) ต่อมาจักรวาลที่กาลังขยายตัวเริ่มเย็นลง หมอกธาตุเริ่มรวมตัวกันเป็นอะตอม
จักรวาลเริ่มโปร่งแสง ในทางทฤษฎีแล้วพื้นที่บางแห่งจะมีมวลหนาแน่นกว่า ร้อนกว่า และเปล่งแสงออกมามากกว่า
ซึ่งต่อมาพื้นที่เหล่านี้ได้ก่อตัวเป็นกลุ่มหมอกควันอันใหญ่โตมโหฬาร และภายใต้กฎของแรงโน้มถ่วง กลุ่มหมอกควัน
อันมหึมานี้ได้ค่อยๆ แตกออก จนเป็นโครงสร้างของ “กาแลกซี” (Galaxy) ดวงดาวต่าง ๆ ได้ก่อตัวขึ้นในกาแลกซี
และจักรวาลขยายตัวออกอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
- 33. ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ดาวเทียม “โคบี” (COBE) ขององค์การนาซ่าแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกส่งขึ้นไปเพื่อศึกษา
ประวัติศาสตร์ของจักรวาลโดยเฉพาะ ได้ค้นพบรังสีโบราณ ซึ่งบ่งบอกถึงโครงสร้างของจักรวาลขณะเมื่อจักรวาลมี
อายุเพียง ๓๐๐,๐๐๐ ปี นับเป็นการค้นพบครั้งสาคัญที่ยืนยันว่า จักรวาลกาเนิดขึ้นมาจากจุดเริ่มต้นของการระเบิด
และคลี่คลายตัวตามคาอธิบายในทฤษฎี “บิกแบง” จริง เมื่อได้ทฤษฎีการกาเนิดจักรวาลแล้ว นักดาราศาสตร์ก็สนใจ
ว่าจักรวาลจะสิ้นสุดลงอย่างไร มีทฤษฎีที่อธิบายเรื่องนี้อยู่ ๓ ทฤษฎี ทฤษฎีแรก กล่าวว่า
- 34. เมื่อแรงระเบิดสิ้นสุดลง มวลอันมหึมาของกาแลกซีต่างๆ จะดึงดูดซึ่งกันและกัน ทาให้จักรวาลหดตัวกลับ
จนกระทั่งถึงกาลอวสาน ทฤษฎีที่สอง อธิบายว่า จักรวาลจะขยายตัวในอัตราช้า ๆ จึงเชื่อว่าน่าจะมี “มวลดา”(dark
matter) ที่เรายังไม่รู้จักปริมาณมหึมาคอยยึดโยงจักรวาลไว้ จักรวาลจะขยายตัวไปเรื่อยๆ จนยากแก่การสืบค้น ส่วน
สตีเฟ่น ฮอว์กกิ้ง (Stephen Hawking) ได้เสนอทฤษฎีที่สามว่า จักรวาลจะขยายตัวในอัตราความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มี
ที่สิ้นสุด ทฤษฎีบิกแบงนั้นได้รับการเชื่อมต่อด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolution Theory) ของชาร์ล ดาร์วิน (Charles
Darwin) เมื่อโลกเย็นตัวลงนั้น ปฏิกิริยาเคมีจากมวลสารในโลกในที่สุดแล้วก่อให้เกิดไอน้า และไอน้าก่อให้เกิดเมฆ และ
เมฆตกลงมาเป็นฝน ทาให้เกิดแม่น้า ลาธาร ทะเล และมหาสมุทร วิวัฒนาการนี้มีลักษณะแบบ “ก้าวกระโดด”
(Emergent Evolution) เมื่อมีสารอนินทรีย์และน้าปริมาณมหาศาลเป็นเวลาที่ยาวนาน ในที่สุดคุณภาพใหม่คือ “ชีวิต” ก็
เกิดขึ้น คาว่า บิกแบง ที่จริงเป็นคาล้อเลียนที่เกิดจาก นักดาราศาสตร์ ชื่อ เฟรดฮอยล์ ซึ่งเขาดูหมิ่นและตั้งใจจะ
ทาลายความน่าเชื่อถือของทฤษฎีที่เขาเห็นว่าไม่มีทางเป็นจริงอย่างไรก็ดี การค้นพบ ไมโครเวฟพื้นหลัง ในปี ค.ศ.
1964 ยิ่งทาให้ไม่สามารถปฏิเสธทฤษฎีบิกแบงได้ มีหลักฐานสาคัญพิสูจน์ความถูกต้องของทฤษฎีการเกิดของเอก
ภพตาม
- 35. ทฤษฎีการระเบิดครั้งใหญ่ประการหนึ่ง คือ ในปี ค.ศ. 1965 นักวิทยาศาสตร์ที่ บริษัท เบลล์ แลบอรอทอรี่ สหรัฐ
ได้ยินเสียบรบกวนของคลื่นวิทยุดังมากจาก รอบทิศบนท้องฟ้ า นักวิทยาศาสตร์ได้คานวณได้แล้วว่า ถ้าหากเอกภพ
มีจุดกาเนิด จากปฐมดวงไฟในจักรวาลเมื่อประมาณ 1.1 x 1010-1.8×1010 ปีมาแล้ว ตาม ทฤษฎีการระเบิดครั้ง
ใหญ่ของจักรวาลพลังงานที่ยังหลงเหลืออยู่ในการระเบิด ครั้งใหญ่จะต้องค้นหาพบได้ในปัจจุบัน และจะมีอุณหภูมิ
ประมาณ 3 องศาเหนือ ศูนย์องศาสมบูรณ์ เนื่องจากพลังงานจะแผ่ออกมาเป็นไมโครเวฟ มีความยาวคลื่น น้อยกว่า
1 ม.ม. ผลจากการได้ยินเสียงคลื่นไม่โครเวฟดังมากจากรอบทิศทางบน ท้องฟ้ าดังกล่าว เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทาการ
วัดอย่างระมัดระวังทาให้นักวิทยาศาสตร์ แน่ใจว่า การแพร่ของคลื่นไมโครเวฟ บนท้องฟ้ าทั่วทิศทาง คือ ส่วนที่
หลงเหลือ จากการระเบิดครั้งใหญ่ของจักรวาล
- 37. ขณะที่เอกภพขยายตัวภายหลังเกิดบิกแบงสสารก็เคลื่อนที่ไปทุกทิศทาง แรงโน้มถ่วงเริ่มทางาน แรงโน้มถ่วง
คือ สิ่งที่ควบคุมเอกภพ เป็นแรงดึงวัตถุเข้าหากัน เราเรียกแรงดึงดูด เช่นนี้ว่า แรงโน้มถ่วง วัตถุที่มีมวลสารมากจะมี
แรงโน้มถ่วงสูง แรงโน้มถ่วงทาให้วัตถุอย่างอยู่ด้วยกัน ดังนั้นเมื่อเอกภพมีอายุเพียง 1 ล้านปี สสารในรูปของ
ไฮโดรเจนและฮีเลียมก็เริ่มยึดเหนี่ยวกันเป็นก้อน เรียกว่า กาแล็กซีที่ยังไม่คลอด(protogalaxy) นี่คือจุดเริ่มต้นของการ
เกิดกาแล็กซีต่อไป ก้อนก๊าซขนาดเล็กที่อยู่ภายในกลายเป็นดาวฤกษ์ กาแล็กซีที่ยังไม่คลอดก็เหมือนกระจุดดาวฤกษ์
ขนาดมหิมาหรือกาแล็กซีแคระ อยู่กันเป็นกลุ่มและเป็นโครงสร้างหลักของกาแล็กซี กาแล็กซีที่ยังไม่คลอดทั้งหลายถูก
ยึดเหนี่ยวเข้าด้วยกัน ด้วยแรงโน้มถ่วงจึงเกิดการรวมกันเป็นกาแล็กซีในช่วงแรกจะมีขนาดเล็กและมีรูปร่างแปลก ใน
ที่สุดกาแล็กซีที่ยังไม่คลอดหลายแห่งก็รวมกันกลายเป็นกาแล็กซีแบบสไปรัสหรือรูปไข่อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่
มันยังไม่สิ้นสุดแค่นี้ ภายในกาแล็กซีต่าง ๆ ยังมีดาวฤกษ์เกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ตัวกาแล็กซีเองก็อาจชนกันหรือรวมกัน
ทุกวันนี้ภายในกาแล็กซีทางช้างแผือกยังมีดาวฤกษ์จานวนมากกาลังเกิดใหม่และกาลังดึงกาแล็กซีเล็กๆข้างเคียงเข้า
มา
- 38. มีความเห็นแตกต่างกันมากมายเกี่ยวกับกาเนิดเอกภพจนถึงปัจจุบันก็ยังมีข้อสรุปและไม่มีทฤษฎีที่แน่ชัด เลแมตร์
(G.Lemaitre) ได้กล่าวไว้ว่า ในอดีตเอกภพมีลักษณะเป็นรูปทรงกลมเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ
6,400 กิโลเมตร (4,000ไมล์) เรียกว่า “อะตอมดึกดาบรรพ์” (Primeval Atom) เป็นอะตอมขนาดยักษ์ นาหนัก
ประมาณ 2 พันล้านตันต่อลูกบาศก์นิ้ว
กาโมว์ (G.Gamow) เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนทฤษฎีของเลอเมตร์ จากผลการคานวณของกาโมว์ ในขณะที่อะตอม
ดึกดาบรรพ์ระเบิดขึ้น จะมีอุณภูมิสูงถึง (3,000,000,000 เคลวิน) หลังจากเกิดการระเบิดประมาณ 5 วินาที อุณภู
มิได้ลดลงเป็น (1,000,000,000 เคลวิน) และเมื่อเวลาผ่านไป (300,000,000 ปี) อุณภูมิของเอกภพลดลงเป็น
200 เคลวิน ในที่สุดเอกภพก็ตกอยู่ในความมืดและเย็นไปนานมากจนกระทั่งมีดาราจักรเกิดขึ้น จึงเริ่มมีแสงสว่างและ
อุณภูมิเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
- 40. จากแนวความคิดของ ฮับเบิล ที่ว่าเอกภพมีการขยายตัวเรื่อยๆ ดังนั้น จึงเกิดแนวคิดขึ้นว่า เอกภพจึงน่าจะเคยรวมกันอยู่
ณ จุดๆหนึ่ง ซึ่งมีขนาดเล็กเท่ารูเข็ม ในสภาวะนั้น ความหนาแน่น มวลสารเฉลี่ย อุณหภูมิ จะมีค่าเป็น อนันต์ ไม่สามารถใช้
กฎฟิสิกส์ใดได้ และยังไม่มีกาลเวลา ตามหลักทฤษฎีสัมพัทภาพ จากนั้นจึงเกิด บิ๊กแบงขึ้น จากนั้นเอกภพจึงเคลื่อนตัวออก
ห่างอย่างรวดเร็วตามแรงระเบิด และกลายเป็นเอกภพในปัจจุบันใจที่สุด ซึ่งช่วงที่เอกภพรวมตัวกันเราเรียกว่า สภาวะ
“ Singulality “
- 42. ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า เมื่อในอดีต เอกภพมีการหดตัวขนาดเท่ารูเข็ม มีมวลสาร อุณหภูมิ ทุกอย่างเป็นอนันต์
ไม่สามารถใช้กฎทางฟิสิกส์ได้ และยังไม่มีกาลเวลา และเอกภพก็ค่อยๆขยายตัวออก หลังจากนั้น จึงเกิด
BigBang ขึ้นโดย