24. 2) เลขควอนตัมโมเมนตัมเชิงมุม (angular momentum quantum, l) เลข
ควอนตัมโมเมนตัมเชิงมุม บอกถึงโมเมนตัมเชิงมุมสาหรับการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนรอบ
นิวเคลียส กล่าวคือ ถ้า l มีค่าสูงแสดงว่า อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ด้วยโมเมนตัมเชิงมุมสูง และมี
พลังงานสูงด้วย อีกนัยหนึ่งคือเลขควอนตัมโมเมนตัมเชิงมุม บอกรูปร่างของออร์บิทัลที่
อิเล็กตรอนนั้นครอบครองอยู่ ค่า l ขึ้นกับเลขควอนตัมหลัก n ดังนี้l เป็นจานวนเต็มมีค่า
ตั้งแต่ 0, 1, 2, …… ถึง (n-1) กล่าวคือ
ถ้า n = 1 l จะมีค่าได้ 1 ค่า คือ 0
ถ้า n = 2 l จะมีค่าได้ 2 ค่า คือ 0 และ 1
ถ้า n = 3 l จะมีค่าได้ 3 ค่า คือ 0, 1 และ 2
ถ้า n = n l จะมีค่าได้ 0, 1, 2, 3,…… (n-1)
ค่า l ต่างๆ มักระบุเป็นตัวอักษร s, p, d … แทน ดังนี้
เมื่อ l = 0 ตรงกับระดับย่อย s เรียกว่า s (sharp)
l = 1 ตรงกับระดับย่อย p เรียกว่า p (principle)
l = 2 ตรงกับระดับย่อย d เรียกว่า d (diffuse)
l = 3 ตรงกับระดับย่อย f เรียกว่า f (fundamental)
25. นั่นคือ ถ้า l = 0 เรียกว่า s-ออร์บิทัล ถ้า l = 1 เรียกว่า p-ออร์บิทัล เป็นต้น
ลาดับตัวอักษร s, p, d และ f มีความเป็นมาคือ นักฟิสิกส์ที่ศึกษาสเปกตรัม
เปล่งแสงของอะตอมพยายามหาความสัมพันธ์ระหว่างเส้นสเปกตรัมที่พบกับระดับ
พลังงานที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง สังเกตพบว่า สเปกตรัมบางเส้นมีลักษณะคมชัด
(sharp) บางเส้นมีลักษณะพร่า (diffuse) บางเส้นมีลักษณะเป็นเส้นเข้ม และ
นับเป็นเส้นหลัก (principal) ตัวอักษรนาหน้าชื่อสเปกตรัมในภาษาอังกฤษจึงถูกนา
มาใช้แทนระดับพลังงานหรือออร์บิทัล อย่างไรก็ตามหลังจากตัวอักษร d และต่อด้วย
อักษร f แล้ว สามารถระบุออร์บิทัลตามลาดับตัวอักษร กลุ่มออร์บิทัลที่มีเลขควอนตัม
หลัก n เท่ากัน เรียกว่า วงหรือชั้น (shell) ออร์บิทัลที่มีค่า n และ l ชุดเดียวกันมัก
เรียกว่าชั้นย่อยหรือระดับพลังงานย่อย (subshell)
26.
27. 3. เลขควอนตัมแม่เหล็ก (magnetic quantum number, ml , m ) บอก
สมบัติในการจัดทิศทางของออร์บิทัลเมื่ออยู่ในสนามแม่เหล็กค่าของ ml อาจเป็นลบ ( - )
หรือ ศูนย์ หรือเป็นบวก (+) ก็ได้ โดยทั่วไปจะเขียนว่ามีค่าอยู่ระหว่าง -1 , 0 , + 1 หรือ
จะเขียนกลับกันเป็น +1 , 0 , -1 ก็ได้ แต่ต้องทาให้เหมือนกันทั้งชุด
(The magnetic quantum number denotes the energy levels
available within a subshell.)
จานวนค่าของ ml = (2l + 1) ค่า ให้สังเกตให้ดีว่า จานวนค่า
ของ ml กับค่าของ ml ไม่ใช่สิ่งเดียวกันคือจานวนค่าของ ml คิดมาจาก 2l +
1
เช่น ถ้า l คือ 1 จานวนค่าของ ml = 2(1) + 1 = 3 ค่า แต่ค่าของมันคือ -
1 , 0 , +1
41. เมื่อพิจารณาการจัดอิเล็กตรอนของธาตุในตารางธาตุพบว่าธาตุในแนวตั้งที่อยู่ ในกลุ่มย่อย A
จะมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากันและจานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนจะตรงกับเลขหมู่ สาหรับ
ธาตุตามแนวนอนที่อยู่ในคาบเดียวกัน พบว่าธาตุในกลุ่มย่อย A มีจานวนระดับพลังงาน
เท่ากัน และจานวนระดับพลังงานจะตรงกับเลขที่คาบ เช่น
ธาตุ Na มีเลขอะตอมเท่ากับ 11 จัดอิเล็กตรอนเป็น
ซึ่งมีจานวนอิเล็กตรอนสูงสุดในแต่ละระดับพลังงานเป็น 2 8 1
ธาตุ K มีเลขอะตอมเท่ากับ 19 จัดอิเล็กตรอนเป็น
ซึ่งมีจานวนอิเล็กตรอนสูงสุดในแต่ละระดับพลังงานเป็น 2 8 8 1
ดังนั้น ธาตุ Na และ K จึงอยู่ในหมู่ IL เพราะมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 1
Na อยู่ในคาบที่ 3 เพราะมีจานวนระดับพลังงานของอิเล็กตรอนเท่ากับ 3
K จะอยู่ในคาบที่ 4 เพราะมีจานวนระดับพลังงานของอิเล็กตรอนเท่ากับ 4
42. การจัดอิเล็กตรอนในออร์บิทัล s p d และ f ของธาตุในตารางธาตุนั้น ถ้าพิจารณ
จากออร์บิทัลที่มีพลังงานสูงสุดที่มีอิเล็กตรอนบรรจุอยู่ในแต่ละ ธาตุสามารถแบ่งกลุ่มธาตุใน
ตารางธาตุได้ดังนี้คือ ธาตุกลุ่ม s ได้แก่ธาตุในหมู่ IA และ IIA กลุ่ม p ได้แก่ธาตุในหมู่
IIIA จนถึง VIIA และแก๊สเฉื่อย กลุ่ม d ได้แก่ธาตุในหมู่ IIIB จนถึง IIB ส่วนธาตุใน
กลุ่ม f ได้แก่กลุ่มธาตุแลนทาไนด์และแอกทิไนด์
จากการที่นักวิทยาศาสตร์ทาการศึกษาทดลองจนค้นพบธาตุเพิ่มขึ้นอีกหลายธาตุแต่ ยังไม่มีการ
กาหนดสัญลักษณ์ที่แน่นอน บางครั้งธาตุชนิดเดียวกันถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์หลายคนจึง
ทาให้มีชื่อ เรียกแตกต่างกันองค์การนานาชาติทางเคมี (International Union of
Pure and Applied Chemistry, IUPAC) ได้ตกลงให้เรียกชื่อธาตุที่มีเลข
อะตอมตั้งแต่ 100 ขึ้นไปตามระบบตัวเลขเป็นภาษาละตินและลงท้ายเสียงของชื่อธาตุเป็น -
ium เป็นชื่อเรียกสาหรับธาตุที่ยังไม่มีชื่อที่ยอมรับเป็นสากล
จานวนนับในภาษาละตินเป็นดังนี้
0 1 2 3 4 5 6 7 8 9
nil un bi tri quad pent hex sept oct enn
นิล อูน ไบ ไตร ควอด เพนต์ เฮกซ์ เซปต์ ออกต์ เอนน์