More Related Content
Similar to บทที่ 7 วัคซีน
Similar to บทที่ 7 วัคซีน (20)
More from Pa'rig Prig (20)
บทที่ 7 วัคซีน
- 1. แผนบริหารการสอนบทที่ 7
หัวขอเนื้อหาประจําบท
1. ความรูเบื้องตนเกี่ยวกับระบบภูมิคุมกัน
2. แผนการสรางเสริมภูมิคุมกันโรคของประเทศไทย
3. วัคซีนพื้นฐาน
4. อาการขางเคียง และแนวทางการดูแลตนเอง
วัตถุประสงคเชิงพฤติกรรม
เมื่อนักศึกษาไดศึกษาจบบทที่ 7 แลว นักศึกษาควรมีความสามารถดังตอไปนี้
1. อธิบายคําจัดความของวัคซีนได
2. อธิบายความแตกตางระหวางวัคซีน และการสรางเสริมภูมิคุมกันโรคชนิดอื่นได
3. ระบุชนิดของวัคซีนพื้นฐาน รวมถึงแผนการสรางเสริมภูมิคุมกันโรคได
4. บอกประโยชนของวัคซีนพื้นฐานแตละชนิดได
5. อธิบายวิธีการบริหารวัคซีนได
6. บอกผลขางเคียงที่สําคัญของวัคซีนพื้นฐานได
7. ใหคําแนะนําในการดูแลตนเองหลังไดรับวัคซีนได
วิธีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอน
วิธีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจําบทที่ 7 ประกอบดวยรายละเอียดดังนี้
1. บรรยายตามเนื้อหา โดยใชโปรแกรมการนําเสนอ (power point) ประกอบคําอธิบาย
2. แสดงตัวอยางภาพการใหวัคซีน และใหนักศึกษาอภิปรายประเด็นเกี่ยวกับวิธีการใหวัคซีน
อายุที่ควรไดรับวัคซีน
3. รวมกันสรุปประเด็นสําคัญของการเรียน
4. มอบหมายงานใหนักศึกษาประเด็นความรูเกี่ยวกับวัคซีนที่ถูกบรรจุไวในสมุดบันทึก
สุขภาพแมและเด็ก
สื่อการเรียนการสอน
1. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา เภสัชวิทยาเบื้องตน บทที่ 7 วัคซีน
2. โปรแกรมนําเสนอ เรื่อง วัคซีน
3. สมุดบันทึกสุขภาพแมและเด็ก
- 3. บทที่ 7
วัคซีน
ความรูเบื้องตนเกี่ยวกับระบบภูมิคุมกัน
ภูมิคุมกันในรางกายทําหนาที่เปนกลไกในการปองกันตนเอง และทําลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลก
ปลอม ซึ่งวิธีการสรางภูมิคุมกันใหกับรางกาย มี 2 วิธีคือ การใหภูมิคุมกันชนิดสําเร็จรูปของคนหรือ
สัตวที่มีอยูกอน หรืออิมมูนโกลบุลิน (Passive immunization) ซึ่งเมื่อใหเขาสูรางกาย ภูมิคุมกันนี้จะ
สามารถออกฤทธิ์ตอตานเชื้อโรคไดทันที แตผลปองกันโรคใชไดในระยะเวลาที่ไมนาน และการให
วัคซีนเพื่อกระตุนรางกายใหสรางภูมิคุมกัน (Active immunization) วิธีนี้อาจใชเวลาหลายสัปดาห
หรือเปนเดือน ในการที่จะทําใหรางกายสามารถสรางระดับภูมิคุมกันไดเพียงพอในการปองกันโรค
วัคซีน (Vaccine) เปนชีววัตถุหรือแอนติเจนที่ผลิตมาจากเชื้อโรค หรือพิษของเชื้อโรคที่ถูกทํา
ใหไมสามารถกอโรคในคนได เพื่อกระตุนใหรางกายสรางภูมิคุมกันตอโรค สามารถจําแนกได 3
ประเภท ดังนี้
1. วัคซีนประเภทท็อกซอยด (Toxoid) เปนวัคซีนที่ผลิตขึ้นโดยการนําพิษของเชื้อโรคมาทํา
ใหหมดฤทธิ์ไป แตยังสามารถกระตุนภูมิคุมกันได ใชสําหรับโรคติดเชื้อที่เกิดจากพิษของเชื้อ เชน โรค
คอตีบ และโรคบาดทะยัก
2. วัคซีนชนิดเชื้อตาย (Killed vaccine) เปนวัคซีนที่ผลิตขึ้นโดยใชเชื้อโรคทั้งตัวที่ตายแลว
หรือเฉพาะสวนประกอบบางสวนของเชื้อโรคหรือโปรตีนสวนประกอบของเชื้อที่ผลิตขึ้นมาใหม เชน
วัคซีนตับอักเสบบี วัคซีนไอกรน วัคซีนไขสมองอักเสบเจอี วัคซีนโปลิโอชนิดฉีด และวัคซีนไขหวัดใหญ
เปนตน
3. วัคซีนชนิดเชื้อเปน (Live vaccine) เปนวัคซีนที่ผลิตขึ้นโดยใชเชื้อโรคมาทําใหออนฤทธิ์ลง
จนไมสามารถทําใหเกิดโรคแตเพียงพอที่จะกระตุนภูมิคุมกันของรางกายได เชน วัคซีนหัด-หัด
เยอรมัน-คางทูม วัคซีนอีสุกอีใส วัคซีนโปลิโอชนิดกิน วัคซีนไวรัสโรตา และวัคซีนไขหวัดใหญชนิดพ
นจมูก เปนตน
แผนการสรางเสริมภูมิคุมกันโรคของประเทศไทย
แผนการสรางเสริมภูมิคุมกันโรคของประเทศไทย แบงลักษณะการใหวัคซีนเปน 4 แบบไดแก
- 4. 1. วัคซีนพื้นฐาน
วัคซีนพื้นฐาน (Compulsory vaccines) คือวัคซีนที่ไดรับการบรรจุในแผนสรางเสริม
ภูมิคุมกันโรคของประเทศ แนะนําใหใชในเด็กไทยทุกคน ไดแก วัคซีนบีซีจี วัคซีนตับอักเสบบี วัคซีน
คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน วัคซีนโปลิโอชนิดกิน วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม และวัคซีนไขสมอง
อักเสบเจอี
2. วัคซีนเสริมหรือวัคซีนเผื่อเลือก
วัคซีนเสริมหรือวัคซีนเผื่อเลือก (Optional vaccines) เปนวัคซีนที่มีประโยชนแตโรคที่ป
องกันไดดวยวัคซีนเหลานี้ยังไมมีความสําคัญดานสาธารณสุขในลําดับตน ๆ รวมทั้งวัคซีนกลุมนี้มีราคา
สูง ยังไมสามารถจัดใหใชกับเด็กทั้งประเทศได ผูที่ตองการฉีดตองเสียคาใชจายเอง ไดแก วัคซีนตับ
อักเสบเอ วัคซีนอีสุกอีใส วัคซีนฮิบ วัคซีนนิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต วัคซีนโรตา และวัคซีนเอชพีวี
นอกจากนี้วัคซีนเสริมยังหมายรวมถึงวัคซีนพื้นฐานที่ไดรับการพัฒนาเพื่อใหมีผลขางเคียงลดลง ซึ่ง
นิยมใชในประเทศพัฒนาแลว เชน วัคซีนโปลิโอชนิดฉีด และวัคซีนไอกรนชนิดไรเซลล
3. วัคซีนที่ใชในกรณีพิเศษ
วัคซีนที่ใชในกรณีพิเศษ (Vaccines in special circumstances) คือวัคซีนที่มีขอบงชี้
ชัดเจน เพื่อใชในกลุมที่มีความเสี่ยงสูงตอการเกิดโรคหรือหากเกิดโรคอาจมีอาการและภาวะแทรก
ซอนที่รุนแรง เชน วัคซีนนิวโมคอคคัสสําหรับผูปวยโดนตัดมาม วัคซีนไขหวัดใหญสําหรับผูปวย
โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง และผูสูงอายุ วัคซีนพิษสุนัขบาสําหรับผูที่ถูกสัตวกัด วัคซีนทัยฟอยด
สําหรับผูที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ซึ่งมีการระบาดของโรค วัคซีนไขกาฬหลังแอนสําหรับผูที่จะเดินทาง
ไปยังประเทศทางตะวันออกกลาง เปนตน
4. วัคซีนที่กําลังอยูระหวางการวิจัยและพัฒนา
วัคซีนที่กําลังอยูระหวางการวิจัยและพัฒนา (Investigational vaccines) คือวัคซีนที่มี
ความสําคัญในการปองกันโรคที่กําลังเปนปญหาในหลายประเทศ และอยูในขั้นตอนของการวิจัย การ
ผลิต หรืออยูระหวางการทดลองในอาสาสมัคร เชน วัคซีนไขเลือดออก วัคซีนมาลาเรีย วัคซีนเอดส
เปนตน
- 5. วัคซีนพื้นฐาน
กระทรวงสาธารณสุขไดกําหนดวัคซีนพื้นฐานที่เด็กไทยทุกคนควรไดรับ โดยเนนวัคซีนปองกัน
โรคที่เปนปญหาสําคัญ ซึ่งในปจจุบันประกอบดวยวัคซีนปองกันวัณโรค คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน
โปลิโอ ตับอักเสบบี หัด-คางทูม-หัดเยอรมัน และไขสมองอักเสบเจอี โดยกระทรวงสาธารณสุขทํา
หนาที่จัดหาและจัดระบบบริการเพื่อใหเด็กทุกคนในประเทศไดรับวัคซีนตามกําหนด
1. วัคซีนพื้นฐานที่กําหนดใหในแตละชวงวัย
ตารางแสดง วัคซีนพื้นฐานที่ใหในชวงอายุตาง ๆ
ชื่อวัคซีน จํานวนครั้งที่ให อายุที่ไดรับ
BCG 1 แรกเกิด
HB 3 แรกเกิด, 2 และ 6 เดือน
DTP 5 2, 4, 6, 18 เดือน และ 4-6 ป
**ชวงอายุ 2, 4 และ 6 เดือน อาจใหวัคซีนรวม DTP-HB แทน DTP
และ HB ชนิดแยก
OPV 5 2, 4, 6, 18 เดือน และ 4-6 ป
dT 12-16 ป (ป. 6) หลังจากนั้นกระตุนทุก 10 ป
หญิงมีครรภ ถายังไมเคยไดรับวัคซีนในวัยเด็ก ใหฉีดตามกําหนด 0,
1, 6 เดือน และกระตุนทุก 10 ป
MMR 2 9-12 เดือน (ในกรณีที่ไมมีวัคซีน MMR ใหวัคซีนหัดแทน) และ
6-7 ป (ป. 1)
JE 3 18 เดือน (2 เข็มหางกัน 4 สัปดาห)
และ 2 ป 6 เดือน (1 ปหลังเข็มสอง)
ที่มา: ปรับปรุงจาก กุญกัญญา โชคไพบูลยกิจ และคณะ, 2550
หมายเหตุ: 1) วัคซีนทุกชนิดถาไมสามารถเริ่มใหตามกําหนดได ก็เริ่มใหทันทีที่พบครั้งแรก
2) วัคซีนที่ตองใหมากกวา 1 ครั้ง หากเด็กเคยไดรับวัคซีนมาบางแลว และไมมารับครั้ง
ตอไปตามกําหนดนัด ใหวัคซีนครั้งตอไปนั้นไดทันทีเมื่อพบเด็ก โดยไมตองเริ่มตนครั้งที่ 1 ใหม
3) หากมีบันทึกหลักฐานวาเคยไดรับ BCG มากอน ไมจําเปนตองใหซ้ํา แมจะไมมีแผลเปน
บริเวณที่ไดรับวัคซีน
การเวนระยะหางของวัคซีน อายุนอยที่สุดที่สามารถใหวัคซีนไดและระยะหางแตละโดสดัง
แสดงในตารางการใหวัคซีน ไมควรใหวัคซีนอายุนอยกวาที่แนะนําและเวนระยะหางสั้นกวาที่แนะนํา
- 6. เพราะจะมีผลตอการตอบสนองการสรางภูมิคุมกันที่อาจไมเพียงพอ ยกเวนบางกรณีที่ตองการใหมี
ภูมิคุมกันเร็ว เชน ตองเดินทางไปในพื้นที่ที่มีโรคชุกชุมหรือกรณีที่มีการระบาด เชน โรคหัดสามารถให
วัคซีนในเด็กอายุนอยกวา 6 เดือนได แตไมนับรวมอยูในโปรแกรมการใหวัคซีนปกติ
2. โรคติดตอที่สามารถปองกันไดดวยวัคซีนพื้นฐาน
โรคติดตอที่สามารถปองกันไดดวยวัคซีนพื้นฐาน ประกอบดวย 10 โรค ไดแก วัณโรค
(Tuberculosis) ตับอักเสบบี (Hepatitis B) คอตีบ (Diphtheria) ไอกรน (Pertussis) บาดทะยัก
(Tetanus) โปลิโอ (Polio) คางทูม (Mumps) หัด (Measles) หัดเยอรมัน (Rubella) และไขสมอง
อักเสบเจอี (Japanese encephalitis) อยางไรก็ตามการทราบถึงชนิดเชื้อโรค อาการและอาการ
แสดงที่พบบอย รวมถึงวิธีการติดตอและการแพรกระจายของเชื้อ ถือวาเปนความรูพื้นฐานที่จะ
เชื่อมโยงใหเกิดความตระหนักถึงความรุนแรงของโรค และเขาใจในความสําคัญของการใหบริการ
วัคซีนแตละชนิด โรคติดตอที่ปองกันไดดวยวัคซีนที่ประเทศไทยกําหนดใหมีการบริการสรางเสริม
ภูมิคุมกันโรคมีสาระสําคัญในแตละโรค สรุปไดดังนี้
2.1 วัณโรค มีสาเหตุจากแบคทีเรีย Mycobacterium tuberculosis ทําใหผูปวยมี
อาการไอเรื้อรัง และมีเสมหะเปนเวลานาน เกิดจากการรับเชื้อที่อยูในน้ํามูก น้ําลาย เสมหะ หนอง
น้ําเหลือง อุจจาระ และปสสาวะของผูปวยที่ปนเปอนอยูในอากาศ พื้นดิน อาหาร เสื้อผา เครื่องใช
ของผูปวย โดยเชื้อเขาสูรางกายทางระบบหายใจเปนหลัก และทางอื่นๆ เชน บาดแผล หรือใชสิ่งของ
รวมกัน
Bacillus Calmette Guerin (BCG) vaccine สําหรับปองกันโรควัณโรค โดยวัคซีนที่มีจําหนายใน
ประเทศไทยเปนชนิดผงแหง ประกอบดวยเชื้อ BCG จํานวน 2-10 ลานตัวตอมิลลิลิตร การใหวัคซีนใหฉีดชั้น
ผิวหนัง (intradermal) ครั้งละ 0.1 ml. ในทุกอายุ ตําแหนงที่กําหนดใหฉีดคือ บริเวณกลามเนื้อตนแขน ไม
ควรฉีดบริเวณสะโพกเพราะดูแลรักษาผิวหนังหลังการฉีดไดยาก
2.2 โรคตับอักเสบบี มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส Hepatitis ชนิดบี ซึ่งจะมีผลตอตับ ทารกที่
ติดเชื้อนี้อาจมีอาการเล็กนอย หรือไมมีอาการเลย อยางไรก็ตาม ทารกจะมีความเสี่ยงมากกวาผูใหญ
และอาจเปนพาหะของเชื้อไวรัสชนิดนี้ไดตลอดชีวิต พาหะจะทําใหเชื้อโรคถายทอดไปยังผูอื่นได การที่
รางกายมีเชื้อโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี อาจทําใหเกิดโรคมะเร็ง หรือตับอักเสบไดในภายหลัง เชื้อโรค
ไวรัสตับอักเสบชนิดบีอยูในของเหลวในรางกาย เชน เลือด น้ําลาย น้ําอสุจิ เปนตน ทารกที่มีแมมีเชื้อ
มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อในระหวางคลอด เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีอาจเขาสูรางกายไดอีกโดยการ
สัมผัสของโลหิต การใชเข็มฉีดยารวมกัน การมีเพศสัมพันธ และการใชอุปกรณปนเปอนเชื้อโรคมาทิ่ม
แทงรางกาย เปนตน ไดมีการยืนยันแลววาการรับวัคซีนเปนวิธีที่ปลอดภัย และคุมคาเงินที่จะปองกัน
- 7. อันตรายจากโรคนี้ สําหรับผูติดเชื้อจะมีอาการออนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามตัว มีไข แนนทอง
ตาเหลืองตัวเหลือง ปสสาวะสีเขม
Hepatitis B (HB) vaccine สําหรับปองโรคตับอักเสบบี เปนวัคซีนชนิดน้ํา เตรียมจากโปรตีนผิวนอกของ
เชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg) ขนาดที่ใชในเด็กแรกเกิดถึงวัยรุนใหวัคซีนครั้งละ 0.5 ml. เขากลามเนื้อ
vastus lateralis ในเด็กทารกหรือเด็กเล็ก หรือบริเวณกลามเนื้อ deltoid ในเด็กโต ในผูใหญใหวัคซีนครั้ง
ละ 1 ml. เขากลามเนื้อ deltoid
2.3 โรคคอตีบ มีสาเหตุจากแบคทีเรีย Corynebacterium diphtheriae ที่พบในปาก
คอและจมูกของผูที่ติดเชื้อ ทําใหมีอาการคลายหวัดในระยะแรก เจ็บคอ เบื่ออาหาร และไอเสียงกอง
สามารถพบเยื่อสีขาวปนเทาที่บริเวณทอนซิลและลิ้นไก โรคคอตีบอาจทําใหเนื้อเยื่อเติบโตทางดานใน
ของหลอดคอ ซึ่งยากตอการกลืนอาหาร หายใจ สารพิษจากเชื้อโรคอาจแพรกระจายไปไดทั่วรางกาย
โดยพิษนี้ทําใหเกิดอาการแทรกซอนที่รุนแรง เชน อัมพาต หรือหัวใจลมเหลว ผูปวยที่เปนโรคคอตีบ
ประมาณรอยละ 7 ตองเสียชีวิต โรคนี้ติดตอไดจากการรับเชื้อที่อยูในละอองเสมหะ น้ํามูก น้ําลาย
ของผูปวยเขาสูรางกายทางระบบหายใจ อาจไดรับเชื้อจากการใชภาชนะรวมกันได
2.4. โรคไอกรน มีสาเหตุจากแบคทีเรียที่ชื่อ Bordetella pertussis แพรกระจายโดย
การไอหรือจาม โรคไอกรนมีผลตอระบบหายใจ และอาจทําใหหายใจติดขัด มีการไอที่กระตุกอยาง
รุนแรง ในชวงการกระตุกเหลานั้น เด็กจะดูดอากาศมากจนเกิดเสียง “กรน” ที่ชัดเจน ผูปวยมีอาการ
น้ํามูกไหล แนนจมูก และไอถี่ ติดตอกันเปนชุด และมีเสียงวูป (whoop) ซึ่งทําใหผูปวยขาดอากาศ
หายใจและตายได โรคไอกรนเปนโรคที่รายแรงที่สุดตอเด็กที่มีอายุไมเกิน 12 เดือน ซึ่งมักตองเขา
รักษาตัวในโรงพยาบาล อาการแทรกซอนที่พบ เชน อาการเกร็ง ปอดอักเสบ ไมรูสึกตัว สมองอักเสบ
และสมองตายถาวร เด็กอายุนอยกวา 6 เดือนที่เปนโรคไอกรนจะตายในอัตรา 1 ตอ 200 คน การ
ติดตอของโรคเกิดจากการหายใจเอาละอองเสมหะ น้ํามูก น้ําลายของผูปวยเขาสูรางกาย
2.5. โรคบาดทะยัก มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย Clostridium tetani สาเหตุของการติด
เชื้อบาดทะยักมักเขาทางบาดแผลที่ปนเปอนเชื้อหรือสปอรของเชื้อ แตเนื่องจากเชื้อจะเจริญไดใน
สภาวะที่ไมมีออกซิเจน จึงมักพบในแผลที่มีการตายของเนื้อเยื่อหรือบาดแผลที่ลึก นอกจากนี้ยังพบใน
เด็กแรกเกิดที่มีการตัดสายสะดือดวยอุปกรณไมสะอาดและมารดาไมมีภูมิคุมกันตอพิษบาดทะยัก และ
เมื่อเชื้อเขาสูรางกายจะสรางสารพิษออกมา และแพรกระจายผานทางระบบไหลเวียนโลหิตและ
น้ําเหลืองเขาสูระบบประสาทสวนกลาง อาการที่สําคัญคือ กลามเนื้อแขนขาเกร็ง หลังแข็งและแอน
ถาอาการรุนแรงอาจชักและเสียชีวิต
วัคซีนบาดทะยัก ที่ใชในปจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ ไดแก
(1) วัคซีนปองกันโรคบาดทะยักเดี่ยว (Tetanus toxiod; TT)
(2) วัคซีนผสม
- 8. วัคซีนผสมบาดทะยัก คอตีบ ไดแก DT vaccine เปนวัคซีนปองกันโรคบาดทะยัก
และคอตีบสําหรับเด็กเล็ก และ dT vaccine เปนวัคซีนปองกันโรคบาดทะยัก และคอตีบสําหรับเด็กโตอายุ
7 ปขึ้นไปและผูใหญ ซึ่งมีความตางจาก DT ตรงที่ dT มีการลดขนาดของ diphtheria toxoid ในวัคซีนลง
เพื่อลดผลขางเคียง วัคซีนชนิดนี้เปนวัคซีนที่ใหสําหรับผูที่มีขอหามในการฉีดวัคซีนไอกรน
วัคซีนผสมบาดทะยัก คอตีบ และไอกรน วัคซีนรวม DTP เปนวัคซีนที่ใชในการปองกัน
โรคคอตีบ บาดทะยัก และไอกรน โดยเปนวัคซีนผสมซึ่งมีวัคซีนสามชนิดรวมกันอยู เพื่อฉีดครั้งเดียวและ
ปองกันไดทั้ง 3 โรค ไดแก
DTwP (Diphtheria, Tetanus, whole cell Pertussis vaccines)
DTaP (Diphtheria, Tetanus, acellular Pertussis vaccines)
Tdap (Tetanus, reduced Diphtheria, acellular Pertussis vaccines)
การใหวัคซีน DTwP และ DTaP ใหครั้งละ 0.5 ml. ฉีดเขากลามเนื้อ vastus lateralis
ในเด็กเล็ก สําหรับ Tdap ใหครั้งละ 0.5 ml. เขากลามเนื้อ deltoid ในเด็กอายุมากกวา 7 ปและผูใหญ
2.6. โรคโปลิโอ มีสาเหตุจาก Polio virus โรคโปลิโออาจทําใหเกิดอาการที่ไมรุนแรงหรือ
รุนแรงก็ได เกิดจากเชื้อไวรัสในกระเพาะอาหารและลําไส อาการที่สําคัญ คือ ไข อาเจียน กลามเนื้อ
แข็งเกร็ง อาจมีผลตอระบบประสาท มีอาการอัมพาตกลามเนื้อแขนหรือขาลีบได หากเปนอัมพาตที่
กลามเนื้อกระบังลมผูปวยอาจเสียชีวิตได โรคนี้ติดตอโดยการรับเชื้อที่ปนเปอนมากับอุจจาระของผูป
วยเขาสูรางกายทางปาก ประมาณรอยละ 5 ของผูปวยโรคโปลิโอจะเสียชีวิต และประมาณรอยละ 50
ของผูรอดชีวิตจะเปนอัมพาตถาวร
Oral Polio Vaccine (OPV) และ Inactivated Polio Vaccine (IPV) วัคซีน OPV เปนวัคซีนที่เตรียม
จากเชื้อไวรัสโปลิโอที่ยังมีชีวิตอยูแตทําใหออนฤทธิ์ลงแลว และไมกอใหเกิดโรคในผูที่มีภูมิคุมกันปกติ ใหโดย
การรับประทาน ซึ่งเปนการเลียนแบบการติดเชื้อโรคนี้ตามธรรมชาติ โดยใหครั้งละ 0.1-0.5 ml (2-3 หยด
แลวแตบริษัทผูผลิต) สวน IPV เปนวัคซีนที่ทําจากเชื้อไวรัสโปลิโอที่ตายแลว สามารถใหในคนที่มีภูมิคุมกัน
บกพรองได ใหโดยการฉีดเขากลามเนื้อตนขา (vastus lateralis) สําหรับเด็กเล็ก และกลามเนื้อตนแขน
(deltoid) สําหรับเด็กโต
2.7. โรคคางทูม มีสาเหตุจาก Mumps virus ทําใหมีไข ปวดศีรษะ และติดเชื้อในตอม
น้ําลาย ทําใหตอมน้ําลายบริเวณใตคางบวมโต และอาจแพรกระจายไปสูอวัยวะอื่นได วัยรุนหรือ
ผูใหญชายประมาณ 1 ใน 5 ที่ติดเชื้อโรคคางทูม อาจเกิดอาการอักเสบและปวดบวมของอัณฑะ ซึ่ง
อาจทําใหเปนหมันได โรคนี้ติดตอจากการหายใจเอาละอองน้ําลายของผู ปวยเขาสูรางกาย หรือ
รับประทานอาหารรวมกับผูปวยโดยใชภาชนะรวมกัน
2.8. โรคหัด มีสาเหตุจาก Measles virus อาการเดนของโรคคือ ไข มีผื่นแดงขึ้นทั่วราง
กาย คัดจมูก ไอ อาการแทรกซอนจากโรคหัดอาจเปนอันตรายมาก และเกิดโรคปอดบวมไดประมาณ
- 9. รอยละ 4 ของกลุมคนไขทั้งหมด อาจเกิดอาการเยื่อหุมสมองอักเสบจนทําใหเสียชีวิตได เกิดจากการ
รับเชื้อโดยหายใจเอาละอองเสมหะ น้ํามูก น้ําลายของผูปวยอื่นเขาสูรางกาย
2.9. โรคหัดเยอรมัน มีสาเหตุจาก Rubella virus มักเปนโรคที่มีความรุนแรงนอยใน
กลุมเด็ก แตมีผลตอวัยรุนและผูใหญดวย ผูติดเชื้อจะมีอาการที่สําคัญ คือ มีไขเล็กนอย ปวดขอ มีผื่น
ขึ้นทั่วตัวคลายโรคหัด แตตอมน้ําเหลืองที่หลังหู ทายทอย และดานหลังลําคอโตดวย มีอาการ 2 ถึง 3
วัน คนไขมักฟนตัวจากโรคหัดเยอรมันไดโดยเร็ว สิ่งที่เปนอันตรายมากที่สุดจากโรคหัดเยอรมันคือ
หากติดเชื้อในระหวางตั้งครรภ ทารกที่คลอดออกมาจะมีความพิการรุนแรง อาจเกิดอาการหูหนวก ตา
บอด หัวใจพิการแตกําเนิด โรคนี้ติดตอกันไดงาย การติดเชื้อเกิดจากการหายใจเอาละอองเสมหะ
น้ํามูก น้ําลายของผูปวยเขาสูรางกาย วิธีปองกันแมและเด็กจากโรคหัดเยอรมันคือ ใหแมรับวัคซีนกอน
ตั้งครรภ และสรางภูมิตานทานแกเด็กทุกคนเพื่อยับยั้งการแพรเชื้อ
Measles Mumps and Rubella (MMR) Vaccine สําหรับปองกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน ซึ่ง
เปนวัคซีนมีชีวิต ชนิดผงแหง ซึ่งตองละลายในตัวทําละลายตามคําแนะนําของบริษัทผูผลิต ขนาดบรรจุขวด
ละ 1 dose พรอมดวยตัวทําละลาย 1 ขวด ปริมาณ 0.5 ml. ใชฉีดเขาชั้นใตผิวหนัง (subcutaneous)
บริเวณตนขา (vastus lateralis) สําหรับเด็กเล็ก และตนแขน (deltoid) สําหรับเด็กโต
2.10. โรคไขสมองอักเสบเจอี มีสาเหตุจาก Japanese B encephalitis virus อาการที่
สําคัญคือ เยื่อหุมสมองอักเสบ ผูปวยไมรูสึกตัว ชักเกร็ง อาจเสียชีวิตได โรคนี้มีแหลงรังโรคในสัตว
หลายชนิด เชน หมู วัว ควาย มา โดยมียุงรําคาญเปนพาหะที่สําคัญที่นําเชื้อติดตอมายังคน ยุงเหลานี้
มักเพาะพันธุในทุงนาที่มีน้ําเจิ่งนอง และตามแหลงน้ําขังทั่วไป
Japanese Encephalitis (JE) Vaccine สําหรับปองกันโรคไขสมองอักเสบเจอี ซึ่งเปนวัคซีนชนิดเชื้อตาย
ใหโดยการฉีดวัคซีนเขาชั้นใตผิวหนัง (subcutaneous) ขนาดที่ฉีดสําหรับเด็กอายุต่ํากวา 3 ป ใหฉีดครึ่ง
dose คือ 0.25 ml. (สําหรับสายพันธุ Beijing) หรือ 0.5 ml. (สําหรับสายพันธุ Nakayama) และสําหรับ
เด็กอายุมากกวา 3 ปจนถึงผูใหญใหฉีดเต็ม dose บริเวณที่ฉีดคือบริเวณตนขา (vastus lateralis) สําหรับ
เด็กเล็ก และตนแขน (deltoid) สําหรับเด็กโตและผูใหญ
3. การเก็บรักษาวัคซีน
การเก็บรักษาวัคซีน ควรเก็บในที่อุณหภูมิที่เหมาะสม โดยการควบคุมอุณหภูมิในการเก็บ
และในการเคลื่อนยายวัคซีนทุกครั้ง ควรมีการเช็คอุณหภูมิในการเก็บวัคซีน ตูเย็นควรมีเทอรโมมิเตอร
รายงานอุณหภูมิปจจุบัน อุณหภูมิต่ําสุดและสูงสุด หลักการเก็บวัคซีนโดยทั่วไปมีดังนี้
3.1 ตัวทําละลายไมควรเก็บในชองแชแข็ง โดยทั่วไปเก็บที่อุณหภูมิหอง หรือในตูเย็น
3.2. วัคซีนควรผสมแลวใชทันทีและไมควรนํามาใช ถามีการผสมแลวทิ้งไวนานกวา
- 10. คําแนะนํา
3.3. วัคซีนชนิดเชื้อมีชีวิต ไดแก วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม วัคซีนอีสุกอีใส ไมควรถูก
แสง เพราะจะทําใหเชื้อในวัคซีนตายได
3.4. วัคซีนสวนใหญมีลักษณะภายนอกมองดูคลายกัน ดังนั้นไมควรดูดวัคซีนหลาย ๆ
ชนิดใสกระบอกฉีดยาทิ้งไวเพราะอาจทําใหฉีดผิดได ยกเวนจะเปนการใหวัคซีนชนิดเดียวในคนหลายๆ
คนพรอมกัน เชน การรณรงคใหวัคซีนปองกันไขหวัดใหญ เมื่อดูดวัคซีนใสหลอดฉีดยาควรจะเขียนชื่อ
วัคซีน lot number กํากับไว
3.5. วัคซีนที่บรรจุมากกวาหนึ่งโดสตอหนึ่งขวด หลังฉีดวัคซีนถามีวัคซีนเหลือในขวด
หากเก็บถูกวิธีและไมมีการปนเปอนเชื้อสามารถเก็บไวใหครั้งตอไปได จนกวาวัคซีนจะหมดอายุ หรือ
ตามเอกสารกํากับของบริษัท
4. วิธีการบริหารวัคซีน
วิธีการบริหารวัคซีนขึ้นอยูกับชนิดของวัคซีนและชวงอายุที่ให การใหวัคซีนทุกครั้งตองทํา
การบันทึกชื่อวัคซีนในสมุดฉีดวัคซีน บริษัท lot number วันหมดอายุของวัคซีน รวมทั้งวันที่ใหวัคซีน
และชื่อผูใหวัคซีน การใหตองใหแบบปราศจากเชื้อ โดยทั่วไปถาใหถูกวิธีอยางระมัดระวังโอกาสติดเชื้อ
จากการฉีดวัคซีนมีนอยมาก การใหดวยวิธีไมปราศจากเชื้อจะทําใหเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแส
เลือดและเกิดฝบริเวณที่ฉีด วิธีการบริหารวัคซีนที่สําคัญมี 5 วิธีไดแก
4.1. การรับประทาน (Oral route) วิธีนี้ทําใหมีภูมิคุมกันในกระแสเลือดและลําไส เชน
วัคซีนโปลิโอชนิดหยอด วัคซีนทัยฟอยดชนิดรับประทาน และวัคซีนไวรัสโรตา
4.2. การพนทางจมูก (Inhalation route) ทําใหมีภูมิคุมกันในกระแสเลือดและทางเดิน
หายใจ ไดแก วัคซีนไขหวัดใหญชนิดพนจมูก
4.3. การฉีดเขาชั้นผิวหนัง (Intradermal) โดยฉีดเขาในชั้นผิวหนัง ใหเปนตุมนูนขึ้น การ
ฉีดวิธีนี้ทําใหแอนติเจนเขาไปทางระบบน้ําเหลืองไดดี สามารถกระตุนภูมิคุมกันชนิดพึ่งเซลล (cell
mediated immune response) และใชปริมาณวัคซีนนอย แตผูฉีดตองมีความชํานาญในการฉีด
เชน วัคซีนบีซีจี วัคซีนพิษสุนัขบา
4.4. การฉีดเขาใตผิวหนัง (Subcutaneous) ใชสําหรับวัคซีนที่ไมตองการใหดูดซึมเร็ว
มาก และเปนวัคซีนที่ไมมี adjuvant เชน วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม
4.5. การฉีดเขาชั้นกลามเนื้อ (Intramuscular) ใชสําหรับวัคซีนที่ตองการใหดูดซึมเร็ว
การฉีดเขากลามเนื้อควรฉีดบริเวณกลามเนื้อตนขา (Vastus lateralis) สําหรับเด็กเล็ก หรือกลามเนื้อ
ตนแขน (Deltoid) สําหรับเด็กโตและผูใหญ ไมควรฉีดที่กลามเนื้อสะโพก เนื่องจากกลามเนื้อตนขา
- 11. และตนแขนมีเลือดมาหลอเลี้ยงมาก มีการเคลื่อนไหวมาก และยังเปนบริเวณที่มีปริมาณไขมันนอย จึง
มีความสามารถในการดูดซึมไดรวดเร็ว ทําใหรางกายสรางภูมิคุมกันไดดีกวา
5. ขอแนะนําทั่วไปเกี่ยวกับวัคซีน
5.1 หากผูที่รับการฉีดวัคซีนมีไขสูงควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไป แตถาเปนการเจ็บปวย
เล็กนอย เชน เปนหวัด น้ํามูกไหลโดยไมมีไข สามารถใหวัคซีนตามปกติได
5.2 ผูที่มีประวัติไดรับอิมมูโนโกลบุลิน (Immunoglobulin) หรือผลิตภัณฑที่มีสวน
ประกอบของแอนติบอดี (Antibody) รวมทั้งเลือดและผลิตภัณฑของเลือดในระยะเวลาไมนาน หาก
ตองการรับวัคซีนชนิดเชื้อเปนที่มีสวนประกอบของวัคซีนหัดหรืออีสุกอีใส ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออก
ไปกอนเนื่องจากวัคซีนอาจไมไดผล ทั้งนี้ระยะเวลาที่ควรเลื่อนขึ้นอยูกับชนิดและขนาดของผลิตภัณฑ
ของเลือดหรืออิมมูนโกลบุลินที่ไดรับ
5.3 หากแพวัคซีนหรือสวนประกอบของวัคซีน ควรหลีกเลี่ยงการใหวัคซีนชนิดนั้น ๆ ผูที่
แพไขชนิดรุนแรงไมควรใหวัคซีนที่ผลิตจากไข เชน วัคซีนไขหวัดใหญ แตสามารถใหวัคซีนหัดได
เนื่องจากในวัคซีนมีปริมาณของไขอยูนอย
5.4 ควรอธิบายใหผูปกครองหรือผูปวยทราบวาจะฉีดวัคซีนปองกันโรคอะไร และอาจ
เกิดปฏิกิริยาใดบางหลังฉีด
5.5 ตองทําการบันทึกชื่อวัคซีนในสมุดฉีดวัคซีนทุกครั้งที่ใหวัคซีน และควรบันทึกชื่อ
วัคซีนเปนภาษาที่เขาใจงาย ควรแนะนําผูปกครองใหเก็บสมุดบันทึกวัคซีนไวจนเด็กโตเปนผูใหญ เพื่อ
เปนประโยชนในการประเมินภูมิคุมกันตอโรคได
5.6 ไมควรใหวัคซีนเชื้อเปนในหญิงตั้งครรภ
5.7 ผูหญิงที่ไดรับวัคซีนชนิดเชื้อเปน ควรคุมกําเนิดหลังไดรับวัคซีนนาน 1 เดือน
5.8 วัคซีนสวนใหญควรเก็บในตูเย็น วัคซีนเชื้อเปนที่อยูในสภาพผงแหงแข็ง ควรเก็บไวใน
ตูแชแข็ง
5.9 ทารกที่คลอดกอนกําหนดสามารถรับวัคซีนไดตามปกติ ยกเวนกรณีที่น้ําหนักตัว
นอยกวา 2,000 กรัม ควรใหวัคซีนตับอักเสบบีซ้ําอีกครั้งเมื่อน้ําหนักตัวมากกวา 2,000 กรัม หรืออายุ
1-2 เดือน และฉีดใหครบสามครั้ง โดยไมนับการฉีดเมื่อแรกคลอด
5.10 การใหวัคซีนในผูปวยที่มีภูมิคุมกันบกพรองอาจไดผลไมดี แตอาจมีประโยชน
มากกวาไมใหซึ่งตองเสี่ยงจากการเกิดโรคตามธรรมชาติซึ่งอาจรุนแรง และไมควรใหวัคซีนมีชีวิตเพราะ
อาจเกิดปฏิกิริยารุนแรง
5.11 ผูที่ไดรับยาสเตียรอยดขนาดสูงและเปนเวลานาน ไมควรใหวัคซีนเชื้อเปนจนกวาจะ
หยุดใชยาแลวระยะหนึ่ง
- 12. 5.12 การใหวัคซีนหลังสัมผัสโรคแลวในผูปวยที่ไมมีภูมิคุมกันมากอน อาจชวยปองกันโรค
ไดในกรณีสัมผัสโรคบางชนิด เชน หัด ตับอักเสบเอ อีสุกอีใส แตควรใหวัคซีนในระยะเวลาสั้นที่สุด
หลังสัมผัสโรค โดยระยะเวลาหลังสัมผัสโรคที่วัคซีนจะมีประสิทธิภาพขึ้นอยูกับวัคซีนแตละชนิด
5.13 โดยทั่วไปวัคซีนชนิดเดียวกันมีปริมาณและสวนประกอบเหมือนกัน เชน ตับอักเสบ
บี คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน ชนิดทั้งเซลล ที่ผลิตจากตางบริษัทสามารถนํามาใชทดแทนกันไดในการ
ใหวัคซีนครั้งถัดไป แตวัคซีนที่สวนประกอบของแตละผูผลิตมีความตางกัน ไมควรใชแทนกัน อยางไรก็
ดีหากไมสามารถหาวัคซีนชนิดเดิมได ใหใชตางบริษัทไดเพราะประโยชนจากการไดรับวัคซีนมีมากกวา
ความกังวลในเรื่องความตางกันของวัคซีน
5.14 กรณีที่มีการใหวัคซีนซ้ํา เนื่องจากไมมั่นใจวาเคยไดรับวัคซีนมากอนหรือไม
โดยทั่วไปไมมีอันตรายรุนแรง แตอาจมีปฏิกิริยาตอวัคซีนเพิ่มขึ้นไดและเปนการสิ้นเปลือง
5.15 โดยทั่วไปการตรวจเลือดกอนและหลังรับวัคซีนไมมีความจําเปน ยกเวนกรณีที่
วัคซีนมีราคาแพงและผูจะรับวัคซีนอาจเคยเปนโรคมากอน แนะนําใหตรวจเลือดหากคาใชจายไมสูง
จนเกินไป สําหรับการตรวจเลือดหลังรับวัคซีนอาจมีความจําเปนในบางกรณี เชน เด็กที่คลอดจาก
มารดาซึ่งเปนพาหะของไวรัสตับอักเสบบี
5.16 น้ําหนักตัวไมไดเปนตัวกําหนดขนาดของวัคซีนที่ใชทั้งในเด็กและผูใหญ แตจะใช
อายุเปนตัวกําหนด
5.17 การใหวัคซีนทิ้งชวงหางกันเกินไปกวาที่กําหนด ไมไดทําใหภูมิคุมกันต่ําลง แตหาก
ระยะหางของวัคซีนใกลกันเกินไปอาจทําใหภูมิคุมกันต่ํากวาที่ควรจะเปน กรณีไมไดมารับวัคซีนตาม
กําหนด ไมจําเปนตองเริ่มตนใหม ไมวาจะเวนชวงหางไปนานเทาใด ใหนับตอจากวัคซีนครั้งกอนได
5.18 วัคซีนแตละเข็มควรฉีดคนละตําแหนง และไมควรนําวัคซีนตางชนิดมาผสมกันเพื่อ
ฉีดครั้งเดียว ยกเวนมีขอมูลที่ไดศึกษามาแลววาสามารถทําได
5.19 วัคซีนเชื้อเปนสามารถใหพรอมกันหลายชนิดในวันเดียวกัน แตหากจะใหไมพรอม
กัน ควร เวนระยะเวลาใหหางกันอยางนอย 1 เดือน สําหรับวัคซีนเชื้อตายจะใหหางกันนานเทาใดก็ได
อาการขางเคียง และแนวทางการดูแลตนเอง
หลังจากการใหวัคซีนควรใหคําแนะนําเพื่อสังเกตความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นจากผลขางเคียง
ของวัคซีน โดยปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากที่เด็กจะมีอาการงอแงจากความไมสุขสบายแลว ยังมี
ทั้งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเฉพาะที่ (Local reaction) และปฏิกิริยาทั่วรางกาย (Systemic reaction) ทั้ง
ชนิดไมรุนแรงและชนิดรุนแรง ดังนี้
- 13. 1. ปฏิกิริยาเฉพาะที่
ปฏิกิริยาเฉพาะที่ เปนอาการและอาการแสดงเฉพาะที่ในบริเวณที่ฉีดวัคซีน ไดแก อาการ
บวม แดง ปวด หรือคันบริเวณที่ฉีดวัคซีน อาจมีเลือดออกซึมเล็กนอย และหายไดในระยะเวลาอันสั้น
อาการเหลานี้จะหายไปไดเอง การดูแลตนเองโดยทั่วไป เชน ไมแนะนําใหสัมผัส กดแรง คลึง หรือ
นวดบริเวณที่ฉีดวัคซีน ดูแลความสะอาดบริเวณที่ฉีด สังเกตอาการวามีอาการปวด บวม แดง รอนบริ
เวณที่ฉีดหรือไม หรือมีลักษณะผิดปกติใด ๆ เชน มีเลือดออกมา มีอาการไขสูงมากใหรีบมาพบแพทย
สามารถประคบเย็นเพื่อลดอาการปวดได หรือรับประทานยาแกปวดลดไข หากมีไขรวมดวยใหเช็ดตัว
ลดไขหรืออาจใหยาลดไขรวมดวย
2. ปฏิกิริยาทั่วรางกาย
ปฏิกิริยาทั่วรางกาย อาจมีอาการและอาการแสดงชนิดไมรุนแรง เชน มีไขสูงมากกวา 39
องศาเซลเลียส ซึม เบื่ออาหาร รองกวน อาเจียน หรือมีผื่นขึ้นตามตัว การดูแลเบื้องตน ไดแก เช็ดตัว
ลดไขหรือใหยาลดไขรวมดวย ใหเด็กดื่มน้ําหรือดื่มนมใหมาก ๆ สังเกตอาการผิดปกติที่แสดงถึง
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทั้งระบบชนิดรุนแรง คือ อาการแพแบบอะนาไฟแลคซิส (Anaphylaxis) เชน
หายใจลําบาก หายใจมีเสียงวี๊ด มีผื่นขึ้นทั้งตัว มือ เทา หนา ปากบวม หรือมีอาการผิดปกติทางสมอง
เชน ซึม ออนแรง ภาวะรูสติเปลี่ยนแปลง มีอาการชัก หากพบอาการผิดปกติชนิดรุนแรงใหพามาพบ
แพทยโดยทันที หรือหากพบอาการเบื้องตนเปนอาการและอาการแสดงชนิดไมรุนแรง แตเมื่อใหการ
ดูแลแลวอาการไมดีขึ้นและมีอาการแสดงที่ดูเหมือนเด็กแยลง ใหพามาโรงพยาบาลทันที
ตารางแสดง ปฏิกิริยาขางเคียงที่จําเพาะตามชนิดของวัคซีน
วัคซีน ปฏิกิริยาขางเคียง หมายเหตุ
1. Bacillus Calmette
Guerin (BCG)
1. ปฏิกิริยาเฉพาะที่ : เปนฝในชั้นใต
ผิวหนัง ตอมน้ําเหลืองโตเฉพาะที่
- แผลที่เกิดจาก BCG อาจเปนฝ
ขนาดเล็กอยูไดนาน 3-4 สัปดาห
ไมตองใสยาหรือปดแผล ใหเช็ด
ดวยสําลีชุบน้ําสะอาด
- หากตอมน้ําเหลืองใกลตําแหนง
ที่ฉีด BCG มีขนาดใหญมาก หรือ
เปนฝอาจให INH รักษา 2-3
เดือน หรือทําการเจาะดูดหนอง
ออกในกรณีที่มีขนาดใหญ
มากกวา 3 ซม.
- 14. วัคซีน ปฏิกิริยาขางเคียง หมายเหตุ
2. Hepatitis B (HB) 1. ปฏิกิริยาเฉพาะที่ : ปวด บวม แดง
2. ปฏิกิริยาทั่วรางกาย : ไข
3. อาการแพ : Anaphylaxis
- ใหประคบเย็นภายใน 24
ชั่วโมงแรก เพื่อลดอาการปวด
บวม แดง หากมีไขดูแลเช็ดตัว
ลดไข หรือใหรับประทานยาลด
ไขรวมดวย
- สังเกตอาการแพยา
3. Diphtheria, Tetanus,
Pertussis (DTP)
1. ปฏิกิริยาเฉพาะที่ : ฝ ปวด บวมแดง
ตําแหนงที่ฉีด
2. ปฏิกิริยาทั่วรางกาย : ไข ชัก ซึม
คลื่นไส อาเจียน
3. อาการแพ : Anaphylaxis
- วัคซีนไอกรนชนิดไรเซลลทําให
เกิดผลขางเคียงไดเชนเดียวกับ
ชนิดเต็มเซลลแตพบในอัตราที่
นอยกวา
- ใหประคบเย็นภายใน 24
ชั่วโมงแรก เพื่อลดอาการปวด
บวม แดง หากมีไขดูแลเช็ดตัว
ลดไข หรือใหรับประทานยาลด
ไขรวมดวย
- สังเกตอาการแพยา
4. Polio, live attenuate
(OPV)
Vaccine-associated paralytic
poliomyelitis (VAPP) อาจเกิดไดกับ
ผูรับวัคซีนและผูสัมผัส โดยสวนใหญจะ
พบในการใชยาครั้งแรก
-
5. Polio, inactivated (IPV) ไมมีรายงานการเกิดผลขางเคียงที่รุนแรง -
6. Measles, Mumps,
Rubella (MMR)
1. ปฏิกิริยาทั่วรางกาย : ไข ผื่น ในวันที่
5-12 หลังฉีดวัคซีน
2. อาการแพ : พบไดนอยและมักไม
รุนแรง อาจพบผื่นลมพิษตรงตําแหนงที่
ฉีดวัคซีน
- ผูที่แพไขถึงแมจะแพแบบ
รุนแรงสามารถใหวัคซีน MMR
ไดเพราะมีโอกาสเกิดปฏิกิริยา
ต่ํา ดังนั้นจึงแนะนําใหวัคซีนได
เลย โดยสังเกตอาการหลังให
วัคซีนอยางนอย 30 นาที
- หากมีไขดูแลเช็ดตัวลดไข หรือ
ใหรับประทานยาลดไขรวมดวย
- สังเกตอาการแพยา
7. Japanese Encephalitis, 1. ปฏิกิริยาเฉพาะที่ : ปวด บวม - สังเกตอาการแพยา อาจพบ
- 15. วัคซีน ปฏิกิริยาขางเคียง หมายเหตุ
Inactivated (JE) เฉพาะที่ (พบนอย)
2. ปฏิกิริยาทั่วรางกาย : ไข ปวดศีรษะ
คลื่นไส อาเจียน (พบนอย)
3. อาการแพ : ลมพิษ
ปฏิกิริยาแพไดนานถึง 2
สัปดาหหลังฉีด
สรุป
การใหวัคซีนเปนการกระตุนใหรางกายสรางภูมิคุมกัน สําหรับในประเทศไทยไดกําหนดวัคซีน
พื้นฐานที่เด็กทุกคนจําเปนตองไดรับจํานวน 6 ชนิด ซึ่งมีวิธีการบริหารวัคซีนทั้งโดยการฉีด และการ
รับประทาน การรับวัคซีนครบการเกณฑจะทําใหสามารถปองกันโรคติดเชื้อที่กอใหเกิดอันตรายรุน
แรงในเด็กได บุคลากรสาธารณสุขจึงมีบทบาทสําคัญในการสงเสริมใหผูปกครองพาบุตรหลานมารับ
วัคซีนตามวัยใหครบ รวมถึงการใหคําแนะนําในการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดผลขางเคียงภายหลังรับวัคซีนได
คําถามทบทวน
1. จงอธิบายความหมายของคําวาวัคซีน
2. จงอธิบายความแตกตางระหวางวัคซีน และเซรุม
3. วัคซีนพื้นฐานมีจํานวนกี่ชนิด อะไรบาง
4. วัคซีน DTP ใชในการกระตุนภูมิคุมกันเพื่อปองกันโรคใด
5. วัคซีนพื้นฐานชนิดใดที่ใหโดยการรับประทาน
6. อาการไข เปนผลขางเคียงที่สําคัญจากวัคซีนชนิดใด
7. ภายหลังไดรับวัคซีน พบวามีอาการปวด บวมแดงบริเวณที่ฉีด จะใหคําแนะนําในการ
ปฏิบัติตนอยางไร
เอกสารอางอิง
กุญกัญญา โชคไพบูลยกิจ และคณะ. 2550. ตําราวัคซีน และการสรางเสริมภูมิคุมกันโรค.
กรุงเทพฯ : สํานักงานกิจการโรงพิมพองคการสงเคราะหทหารผานศึก.
โครงการสรางภูมิตานทานแหงชาติ. 2548. การรับวัคซีนเพื่อสรางระบบภูมิตานทาน. พิมพครั้งที่ 5.
กรุงเทพฯ : กรมสุขภาพและผูสูงอายุ.
- 16. ธนกฤต วิลาสมงคลชัย. 2556. โรคบาดทะยัก และวัคซีนปองกันโรคบาดทะยัก. วารสารเพื่อการวิจัย
และพัฒนาองคการเภสัชกรรม. 20 (3) หนา 22-25.
อัญชลี ศิริพิทยาคุณกิจ และคณะ. 2555. หลักสูตรเชิงปฏิบัติการสําหรับเจาหนาที่สรางเสริม
ภูมิคุมกันโรค. พิมพครั้งที่ 2. นนทบุรี : เลคแอนดฟาวดเทน พริ้นติ้ง.
โอฬาร พรหมาลิขิต, อัจฉรา ตั้งสถาพรพงษ และอุษา ทิสยากร. 2554. วัคซีน. กรุงเทพฯ : นพชัยการ
พิมพ.