More Related Content
More from maruay songtanin (20)
22 ยุธัญชยจริยา มจร.pdf
- 1. 1
การบาเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๒๒ ยุธัญชยจริยา
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖
เกริ่นนา
เราสลดใจเพราะเห็นหยาดน้าค้างเหือดแห้งไป เพราะแสงของดวงอาทิตย์. เราทาความไม่เที่ยง
ของหยาดน้าค้างนั้นให้เป็นปุเรจาริก พอกพูนความสังเวช เราถวายบังคมพระบิดา ทูลขอบรรพชา.
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก
๓. ยุธัญชยวรรค
หมวดว่าด้วยกุมารนามว่ายุธัญชัยเป็นต้น
๑. ยุธัญชยจริยา
ว่าด้วยพระจริยาของพระยุธัญชัยกุมาร
[๑] ในกาลที่เราเป็นพระราชโอรสนามว่ายุธัญชัย มีบริวารยศหาประมาณมิได้ สลดใจเพราะ
ได้เห็นหยาดน้าค้างที่เหือดแห้งไปเพราะแสงดวงอาทิตย์
[๒] เราทาความเป็นอนิจจัง(ความไม่เที่ยง)นั้นแล ให้เป็นสิ่งที่สาคัญ พอกพูนความสังเวช ไหว้
พระมารดาและพระบิดาแล้วทูลขอบรรพชา
[๓] พระมารดาและพระบิดาพร้อมทั้งชาวนิคมทั้งชาวแว่นแคว้น ประนมมืออ้อนวอนเราว่า
วันนี้ เจ้าจงปกครองแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลเถิดลูก
[๔] เมื่อมหาชนพร้อมทั้งพระบิดา นางสนม ชาวนิคม และชาวแว่นแคว้น ร้องไห้ร่าไรน่าเวทนา
ยิ่งนัก เราไม่ห่วงใย สละไปแล้ว
[๕] เราสละราชสมบัติในแผ่นดิน หมู่ญาติ บริวารชน และยศศักดิ์ทั้งสิ้น ไม่คิดถึงเลย เพราะ
เหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น
[๖] พระมารดาและพระบิดาจะเป็นที่รังเกียจของเราก็หาไม่ ยศอันยิ่งใหญ่ จะเป็นที่รังเกียจ
ของเราก็หาไม่ แต่เพราะพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงสละราชสมบัติ ฉะนี้ แล
ยุธัญชยจริยาที่ ๑ จบ
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบาเพ็ญเนกขัมมบารมีเป็นต้น
๑. ยุธัญชยจริยา
- 2. 2
อรรถกถายุธัญชยวรรคที่ ๓
การบาเพ็ญเนกขัมมบารมี
อรรถกถายุธัญชยจริยาที่ ๑
กรุงพาราณสีนี้ ในอุทยชาดก ชื่อว่าสุรุนธนนคร. ในจูฬสุตโสมชาดก ชื่อว่าสุทัศนนคร. ใน
โสณนันทชาดก ชื่อว่าพรหมวัฑฒนนคร. ในขัณฑหาลชาดก ชื่อว่าบุบผวตีนคร. แต่ในยุธัญชยชาดก ชื่อว่ารัม
มนคร.
บางครั้งชื่อของนครนี้ ก็เปลี่ยนไปอย่างนี้ .
ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า พระราชบุตรเป็นโอรสของพระราชาพระนามว่าสัพพทัตตะ ในรัมมนคร.
พระราชาพระองค์นั้นได้มีพระโอรส ๑,๐๐๐ องค์. พระโพธิสัตว์เป็นโอรสองค์ใหญ่. พระราชาพระราชทาน
ตาแหน่งอุปราชให้.
พระโอรสนั้นทรงให้มหาทานทุกๆ วัน ตามนัยดังได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
เมื่อกาลผ่านไปอย่างนี้ วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์ขึ้นประทับรถอันประเสริฐแต่เช้าตรู่ เสด็จประพาส
พระราชอุทยานด้วยสมบัติอันเป็นสิริใหญ่ ทอดพระเนตรเห็นหยาดน้าค้างที่ค้างอยู่บนยอดไม้ ยอดหญ้า
ปลายกิ่งและใยแมงมุมเป็นต้นมีลักษณะเหมือนข่ายแก้วมุกดา ตรัสถามว่า ดูก่อนสารถี นั่นอะไร.
ครั้นทรงสดับว่า นั่นคือหยาดน้าค้างที่ตกในเวลามีหิมะ. ทรงเพลิดเพลินอยู่ ณ พระราชอุทยาน
ตอนกลางวัน ครั้นตกเย็นเสด็จกลับ ไม่ทรงเห็นหยาดน้าค้างเหล่านั้น จึงตรัสถามว่า ดูก่อนสารถี หยาด
น้าค้างเหล่านั้นหายไปไหนหมด. เดี๋ยวนี้ เราไม่เห็นหยาดน้าค้างเหล่านั้น.
ครั้นทรงสดับว่า เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นหยาดน้าค้างทั้งหมดก็สลายละลายไป ทรงดาริว่า หยาด
น้าค้างเหล่านี้ เกิดขึ้นแล้วสลายไปฉันใด แม้สังขารคือชีวิตของสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ก็ฉันนั้น เช่นกับหยาด
น้าค้างที่ยอดหญ้า. เพราะฉะนั้น เราซึ่งยังไม่ถูกพยาธิ ชราและมรณะเบียดเบียนควรทูลลาพระมารดาพระ
บิดาออกบวช จึงทรงทาหยาดน้าค้างให้เป็นอารมณ์ เห็นภพทั้งสามดุจถูกไฟไหม้ เสด็จมายังพระตาหนักของ
พระองค์ เสด็จไปเฝ้าพระบิดาซึ่งประทับอยู่ ณ โรงวินิจฉัยซึ่งประดับตกแต่งเป็นอย่างดี ถวายบังคมพระชนก
ประทับยืนอยู่ข้างหนึ่งทูลขอบวช.
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
เราสลดใจเพราะเห็นหยาดน้าค้างเหือดแห้งไป เพราะแสงของดวงอาทิตย์. เราทาความไม่เที่ยง
ของหยาดน้าค้างนั้นให้เป็นปุเรจาริก พอกพูนความสังเวช เราถวายบังคมพระบิดา ทูลขอบรรพชา.
เราดาริว่าเราผู้ที่พยาธิชราและมรณะยังไม่ครอบงาในชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย อันไม่ตั้งอยู่นานดุจ
หยาดน้าค้างบนยอดหญ้า ควรบวชแสวงหามหานิพพานอันเป็นอมตะ ซึ่งไม่มีพยาธิชราและมรณะเหล่านี้
แล้วเข้าไปเฝ้าพระมารดาพระบิดาถวายบังคมแล้วทูลขอบรรพชาว่า ขอพระมารดาพระบิดาจงทรงอนุญาต
ให้หม่อมฉันบวชเถิด.
เมื่อพระมหาสัตว์ทูลขออนุญาตบวชอย่างนี้ แล้วได้เกิดโกลาหลใหญ่ทั่วพระนครว่า ได้ยินว่า พระ
อุปราชยุธัญชัยมีพระประสงค์จะทรงผนวช.
- 3. 3
ก็สมัยนั้น ชาวแคว้นกาสีมาเพื่อจะเฝ้าพระราชาพากันเข้าไปในรัมมนคร. ทั้งหมดนั้นประชุมกัน.
พระราชาพร้อมด้วยบริวาร ชาวนิคม ชาวชนบท พระมารดา พระเทวีของพระโพธิสัตว์และพวกสนมทั้งปวง
พากันทูลห้ามพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่พระกุมารอย่าทรงบวชเลย.
บรรดาชนเหล่านั้น พระราชาตรัสว่า หากกามทั้งหลายของลูกยังพร่องอยู่ พ่อจะเพิ่มให้ลูก. วันนี้
ขอให้ลูกครองราชสมบัติเถิด.
พระมหาสัตว์ทูลถึงความพอพระทัยในการบวชของพระองค์อย่างเดียวแด่พระบิดา ตรัสว่า
ข้าแต่พระบิดาผู้เป็นใหญ่ในแว่นแคว้น ขอพระบิดาอย่าทรงห้ามลูกเลย ลูกสมบูรณ์ด้วยกามทุก
อย่าง อย่าตกไปในอานาจของชราเลย.
เมื่อพระมารดาพร้อมด้วยพวกสนมคร่าครวญอยู่อย่างน่าสงสาร จึงทูลถึงเหตุแห่งการบวชของ
พระองค์ว่า
อายุของมนุษย์ทั้งหลาย ก็เหมือนน้าค้างบนยอดหญ้า พอดวงอาทิตย์ขึ้นก็เหือดแห้งไป ข้าแต่
พระมารดา ขอพระมารดาอย่าห้ามลูกเลย.
แม้เมื่อพระมารดาพระบิดาทรงห้ามอยู่ ก็มิได้มีพระทัยท้อถอยเพราะความสังเวชพอกพูนเป็น
อย่างยิ่ง มิได้มีพระทัยห่วงใยในพระประยูรญาติหมู่ใหญ่อันเป็นที่รักและในราชอิสสริยยศอันโอฬาร ทรง
บรรพชาแล้ว.
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
มหาชนพร้อมทั้งชาวนิคม ทั้งชาวแว่นแคว้น ประนมอัญชลีอ้อนวอนเรา. พระบิดาตรัสว่า
วันนี้ ลูกจงปกครองแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลเถิด. เมื่อมหาชนพร้อมทั้งพระบิดา นางสนม ชาวนิคม และ
ชาวแว่นแคว้นร้องไห้คร่าครวญอย่างน่าสงสาร. เราไม่ห่วงใย สละไปแล้ว.
พระมารดาพระบิดาตรัสว่า ลูกจงครองราชสมบัติในวันนี้ เถิด. คือจงปกครองแผ่นดินอันใหญ่นี้
อันกว้างใหญ่ด้วยความเจริญยิ่งของบ้านนิคมและราชธานีและด้วยถึงความไพบูลย์อันไพศาล ด้วยความ
สมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สารและด้วยความงอกงามของพืชพรรณมีข้าวกล้าเป็นต้น.
พระมารดาพระบิดารับสั่งให้ยกเศวตฉัตรแล้วทรงขอร้องว่า ลูกจงครองราชสมบัติเถิด.
ก็เมื่อมหาชนพร้อมด้วยพระราชา นางสนม ชาวนิคม ชาวแว่นแคว้นร้องไห้ คร่าครวญอย่างน่า
สงสาร โดยอาการที่ความกรุณาอันใหญ่ย่อมมีแม้แก่ผู้ฟัง ไม่ต้องพูดถึงผู้เห็นเราไม่ห่วงใย ไม่เกาะเกี่ยวใน
บุคคลนั้นๆ บวชแล้วในกาลนั้นเอง ท่านแสดงไว้ด้วยประการฉะนี้ .
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงว่า เราละสิริราชสมบัติเช่นกับสมบัติจักรพรรดิ พระ
ประยูรญาติอันเป็นที่รัก ไม่ห่วงใย สละปริวารชน คนสนิทและยศอันใหญ่ที่ชาวโลกเขาเพ่งเล็งกันได้ ตรัส
พระคาถาสองคาถาว่า
เราสละราชสมบัติในแผ่นดิน หมู่ญาติ บริวารชน และยศศักดิ์ทั้งสิ้นมิได้คิดถึงเลย เพราะเหตุ
แห่งโพธิญาณ เราจะเกลียดพระมารดาพระบิดาก็หามิได้ เราจะเกลียดยศศักดิ์อันยิ่งใหญ่ก็หามิได้ แต่พระ
สัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงสละราชสมบัติ ดังนี้ .
เมื่อพระมหาสัตว์ทรงสละทุกสิ่งทุกอย่าง เสด็จออกบวช. ยุธิฏฐิลกุมารพระกนิษฐาของพระ
- 4. 4
โพธิสัตว์นั้นถวายบังคมพระชนก ทรงขออนุญาตบวชติดตามพระโพธิสัตว์. ทั้งสองกษัตริย์ก็ออกจากพระ
นคร รับสั่งให้มหาชนกลับ เสด็จเข้าป่าหิมวันตะ สร้างอาศรมบทในที่น่าพอใจ ทรงบวชเป็นฤๅษี ยังฌานและ
อภิญญาให้เกิด ทรงเลี้ยงชีวิตด้วยรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นต้นจนตลอดพระชนม์ แล้วก็เสด็จไปสู่พรหม
โลก.
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
พระกุมารทั้งสอง คือ ยุธัญชยะและยุธิฏฐิละ ละพระมารดาพระบิดา ตัดความข้องของมัจจุ ออก
บวชแล้ว.
พระมารดาพระบิดาในครั้งนั้นได้เป็นมหาราชตระกูลในครั้งนี้ .
ยุธิฏฐิลกุมาร คือพระอานนทเถระ.
ยุธัญชย คือพระโลกนาถ.
การบริจาคมหาทานเมื่อก่อนบวชและการสละราชสมบัติเป็นต้นของพระมหาสัตว์นั้นเป็นทาน
บารมี.
การสารวมกายวาจาเป็นศีลบารมี.
การบรรพชาและการบรรลุฌานเป็นเนกขัมมบารมี.
ปัญญาเริ่มต้นด้วยทามนสิการโดยความเป็นของไม่เที่ยง จนบรรลุอภิญญาเป็นที่สุดและปัญญา
กาหนดธรรมเป็นอุปการะและไม่เป็นอุปการะแห่งทานเป็นต้น เป็นปัญญาบารมี.
ความเพียรยังประโยชน์นั้นให้สาเร็จในที่ทั้งปวงเป็นวีริยบารมี.
ญาณขันติและอธิวาสนขันติเป็นขันติบารมี.
การไม่พูดผิดจากคาปฏิญญา ชื่อว่าสัจจบารมี.
การตั้งใจสมาทานอันไม่หวั่นไหวในที่ทั้งปวง ชื่อว่าอธิษฐานบารมี.
เพราะจิตคิดแต่ประโยชน์ในสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วยอานาจแห่งเมตตาพรหมวิหาร ชื่อว่าเมตตา
บารมี.
ด้วยการวางเฉยในความผิดปกติที่ทาแล้วในสัตตสังขาร และด้วยอุเบกขาพรหมวิหาร ชื่อว่า
อุเบกขาบารมี
เป็นอันได้บารมี ๑๐ ด้วยประการดังนี้ .
แต่พึงทราบโดยความพิเศษว่าเป็นเนกขัมมบารมี.
จบอรรถกถายุธัญชยจริยาที่ ๑
-----------------------------------------------------