SlideShare a Scribd company logo
1 of 4
Download to read offline
1
การบาเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๒๒ ยุธัญชยจริยา
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖
เกริ่นนา
เราสลดใจเพราะเห็นหยาดน้าค้างเหือดแห้งไป เพราะแสงของดวงอาทิตย์. เราทาความไม่เที่ยง
ของหยาดน้าค้างนั้นให้เป็นปุเรจาริก พอกพูนความสังเวช เราถวายบังคมพระบิดา ทูลขอบรรพชา.
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก
๓. ยุธัญชยวรรค
หมวดว่าด้วยกุมารนามว่ายุธัญชัยเป็นต้น
๑. ยุธัญชยจริยา
ว่าด้วยพระจริยาของพระยุธัญชัยกุมาร
[๑] ในกาลที่เราเป็นพระราชโอรสนามว่ายุธัญชัย มีบริวารยศหาประมาณมิได้ สลดใจเพราะ
ได้เห็นหยาดน้าค้างที่เหือดแห้งไปเพราะแสงดวงอาทิตย์
[๒] เราทาความเป็นอนิจจัง(ความไม่เที่ยง)นั้นแล ให้เป็นสิ่งที่สาคัญ พอกพูนความสังเวช ไหว้
พระมารดาและพระบิดาแล้วทูลขอบรรพชา
[๓] พระมารดาและพระบิดาพร้อมทั้งชาวนิคมทั้งชาวแว่นแคว้น ประนมมืออ้อนวอนเราว่า
วันนี้ เจ้าจงปกครองแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลเถิดลูก
[๔] เมื่อมหาชนพร้อมทั้งพระบิดา นางสนม ชาวนิคม และชาวแว่นแคว้น ร้องไห้ร่าไรน่าเวทนา
ยิ่งนัก เราไม่ห่วงใย สละไปแล้ว
[๕] เราสละราชสมบัติในแผ่นดิน หมู่ญาติ บริวารชน และยศศักดิ์ทั้งสิ้น ไม่คิดถึงเลย เพราะ
เหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น
[๖] พระมารดาและพระบิดาจะเป็นที่รังเกียจของเราก็หาไม่ ยศอันยิ่งใหญ่ จะเป็นที่รังเกียจ
ของเราก็หาไม่ แต่เพราะพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงสละราชสมบัติ ฉะนี้ แล
ยุธัญชยจริยาที่ ๑ จบ
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบาเพ็ญเนกขัมมบารมีเป็นต้น
๑. ยุธัญชยจริยา
2
อรรถกถายุธัญชยวรรคที่ ๓
การบาเพ็ญเนกขัมมบารมี
อรรถกถายุธัญชยจริยาที่ ๑
กรุงพาราณสีนี้ ในอุทยชาดก ชื่อว่าสุรุนธนนคร. ในจูฬสุตโสมชาดก ชื่อว่าสุทัศนนคร. ใน
โสณนันทชาดก ชื่อว่าพรหมวัฑฒนนคร. ในขัณฑหาลชาดก ชื่อว่าบุบผวตีนคร. แต่ในยุธัญชยชาดก ชื่อว่ารัม
มนคร.
บางครั้งชื่อของนครนี้ ก็เปลี่ยนไปอย่างนี้ .
ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า พระราชบุตรเป็นโอรสของพระราชาพระนามว่าสัพพทัตตะ ในรัมมนคร.
พระราชาพระองค์นั้นได้มีพระโอรส ๑,๐๐๐ องค์. พระโพธิสัตว์เป็นโอรสองค์ใหญ่. พระราชาพระราชทาน
ตาแหน่งอุปราชให้.
พระโอรสนั้นทรงให้มหาทานทุกๆ วัน ตามนัยดังได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
เมื่อกาลผ่านไปอย่างนี้ วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์ขึ้นประทับรถอันประเสริฐแต่เช้าตรู่ เสด็จประพาส
พระราชอุทยานด้วยสมบัติอันเป็นสิริใหญ่ ทอดพระเนตรเห็นหยาดน้าค้างที่ค้างอยู่บนยอดไม้ ยอดหญ้า
ปลายกิ่งและใยแมงมุมเป็นต้นมีลักษณะเหมือนข่ายแก้วมุกดา ตรัสถามว่า ดูก่อนสารถี นั่นอะไร.
ครั้นทรงสดับว่า นั่นคือหยาดน้าค้างที่ตกในเวลามีหิมะ. ทรงเพลิดเพลินอยู่ ณ พระราชอุทยาน
ตอนกลางวัน ครั้นตกเย็นเสด็จกลับ ไม่ทรงเห็นหยาดน้าค้างเหล่านั้น จึงตรัสถามว่า ดูก่อนสารถี หยาด
น้าค้างเหล่านั้นหายไปไหนหมด. เดี๋ยวนี้ เราไม่เห็นหยาดน้าค้างเหล่านั้น.
ครั้นทรงสดับว่า เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นหยาดน้าค้างทั้งหมดก็สลายละลายไป ทรงดาริว่า หยาด
น้าค้างเหล่านี้ เกิดขึ้นแล้วสลายไปฉันใด แม้สังขารคือชีวิตของสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ก็ฉันนั้น เช่นกับหยาด
น้าค้างที่ยอดหญ้า. เพราะฉะนั้น เราซึ่งยังไม่ถูกพยาธิ ชราและมรณะเบียดเบียนควรทูลลาพระมารดาพระ
บิดาออกบวช จึงทรงทาหยาดน้าค้างให้เป็นอารมณ์ เห็นภพทั้งสามดุจถูกไฟไหม้ เสด็จมายังพระตาหนักของ
พระองค์ เสด็จไปเฝ้าพระบิดาซึ่งประทับอยู่ ณ โรงวินิจฉัยซึ่งประดับตกแต่งเป็นอย่างดี ถวายบังคมพระชนก
ประทับยืนอยู่ข้างหนึ่งทูลขอบวช.
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
เราสลดใจเพราะเห็นหยาดน้าค้างเหือดแห้งไป เพราะแสงของดวงอาทิตย์. เราทาความไม่เที่ยง
ของหยาดน้าค้างนั้นให้เป็นปุเรจาริก พอกพูนความสังเวช เราถวายบังคมพระบิดา ทูลขอบรรพชา.
เราดาริว่าเราผู้ที่พยาธิชราและมรณะยังไม่ครอบงาในชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย อันไม่ตั้งอยู่นานดุจ
หยาดน้าค้างบนยอดหญ้า ควรบวชแสวงหามหานิพพานอันเป็นอมตะ ซึ่งไม่มีพยาธิชราและมรณะเหล่านี้
แล้วเข้าไปเฝ้าพระมารดาพระบิดาถวายบังคมแล้วทูลขอบรรพชาว่า ขอพระมารดาพระบิดาจงทรงอนุญาต
ให้หม่อมฉันบวชเถิด.
เมื่อพระมหาสัตว์ทูลขออนุญาตบวชอย่างนี้ แล้วได้เกิดโกลาหลใหญ่ทั่วพระนครว่า ได้ยินว่า พระ
อุปราชยุธัญชัยมีพระประสงค์จะทรงผนวช.
3
ก็สมัยนั้น ชาวแคว้นกาสีมาเพื่อจะเฝ้าพระราชาพากันเข้าไปในรัมมนคร. ทั้งหมดนั้นประชุมกัน.
พระราชาพร้อมด้วยบริวาร ชาวนิคม ชาวชนบท พระมารดา พระเทวีของพระโพธิสัตว์และพวกสนมทั้งปวง
พากันทูลห้ามพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่พระกุมารอย่าทรงบวชเลย.
บรรดาชนเหล่านั้น พระราชาตรัสว่า หากกามทั้งหลายของลูกยังพร่องอยู่ พ่อจะเพิ่มให้ลูก. วันนี้
ขอให้ลูกครองราชสมบัติเถิด.
พระมหาสัตว์ทูลถึงความพอพระทัยในการบวชของพระองค์อย่างเดียวแด่พระบิดา ตรัสว่า
ข้าแต่พระบิดาผู้เป็นใหญ่ในแว่นแคว้น ขอพระบิดาอย่าทรงห้ามลูกเลย ลูกสมบูรณ์ด้วยกามทุก
อย่าง อย่าตกไปในอานาจของชราเลย.
เมื่อพระมารดาพร้อมด้วยพวกสนมคร่าครวญอยู่อย่างน่าสงสาร จึงทูลถึงเหตุแห่งการบวชของ
พระองค์ว่า
อายุของมนุษย์ทั้งหลาย ก็เหมือนน้าค้างบนยอดหญ้า พอดวงอาทิตย์ขึ้นก็เหือดแห้งไป ข้าแต่
พระมารดา ขอพระมารดาอย่าห้ามลูกเลย.
แม้เมื่อพระมารดาพระบิดาทรงห้ามอยู่ ก็มิได้มีพระทัยท้อถอยเพราะความสังเวชพอกพูนเป็น
อย่างยิ่ง มิได้มีพระทัยห่วงใยในพระประยูรญาติหมู่ใหญ่อันเป็นที่รักและในราชอิสสริยยศอันโอฬาร ทรง
บรรพชาแล้ว.
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
มหาชนพร้อมทั้งชาวนิคม ทั้งชาวแว่นแคว้น ประนมอัญชลีอ้อนวอนเรา. พระบิดาตรัสว่า
วันนี้ ลูกจงปกครองแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลเถิด. เมื่อมหาชนพร้อมทั้งพระบิดา นางสนม ชาวนิคม และ
ชาวแว่นแคว้นร้องไห้คร่าครวญอย่างน่าสงสาร. เราไม่ห่วงใย สละไปแล้ว.
พระมารดาพระบิดาตรัสว่า ลูกจงครองราชสมบัติในวันนี้ เถิด. คือจงปกครองแผ่นดินอันใหญ่นี้
อันกว้างใหญ่ด้วยความเจริญยิ่งของบ้านนิคมและราชธานีและด้วยถึงความไพบูลย์อันไพศาล ด้วยความ
สมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สารและด้วยความงอกงามของพืชพรรณมีข้าวกล้าเป็นต้น.
พระมารดาพระบิดารับสั่งให้ยกเศวตฉัตรแล้วทรงขอร้องว่า ลูกจงครองราชสมบัติเถิด.
ก็เมื่อมหาชนพร้อมด้วยพระราชา นางสนม ชาวนิคม ชาวแว่นแคว้นร้องไห้ คร่าครวญอย่างน่า
สงสาร โดยอาการที่ความกรุณาอันใหญ่ย่อมมีแม้แก่ผู้ฟัง ไม่ต้องพูดถึงผู้เห็นเราไม่ห่วงใย ไม่เกาะเกี่ยวใน
บุคคลนั้นๆ บวชแล้วในกาลนั้นเอง ท่านแสดงไว้ด้วยประการฉะนี้ .
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงว่า เราละสิริราชสมบัติเช่นกับสมบัติจักรพรรดิ พระ
ประยูรญาติอันเป็นที่รัก ไม่ห่วงใย สละปริวารชน คนสนิทและยศอันใหญ่ที่ชาวโลกเขาเพ่งเล็งกันได้ ตรัส
พระคาถาสองคาถาว่า
เราสละราชสมบัติในแผ่นดิน หมู่ญาติ บริวารชน และยศศักดิ์ทั้งสิ้นมิได้คิดถึงเลย เพราะเหตุ
แห่งโพธิญาณ เราจะเกลียดพระมารดาพระบิดาก็หามิได้ เราจะเกลียดยศศักดิ์อันยิ่งใหญ่ก็หามิได้ แต่พระ
สัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงสละราชสมบัติ ดังนี้ .
เมื่อพระมหาสัตว์ทรงสละทุกสิ่งทุกอย่าง เสด็จออกบวช. ยุธิฏฐิลกุมารพระกนิษฐาของพระ
4
โพธิสัตว์นั้นถวายบังคมพระชนก ทรงขออนุญาตบวชติดตามพระโพธิสัตว์. ทั้งสองกษัตริย์ก็ออกจากพระ
นคร รับสั่งให้มหาชนกลับ เสด็จเข้าป่าหิมวันตะ สร้างอาศรมบทในที่น่าพอใจ ทรงบวชเป็นฤๅษี ยังฌานและ
อภิญญาให้เกิด ทรงเลี้ยงชีวิตด้วยรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นต้นจนตลอดพระชนม์ แล้วก็เสด็จไปสู่พรหม
โลก.
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
พระกุมารทั้งสอง คือ ยุธัญชยะและยุธิฏฐิละ ละพระมารดาพระบิดา ตัดความข้องของมัจจุ ออก
บวชแล้ว.
พระมารดาพระบิดาในครั้งนั้นได้เป็นมหาราชตระกูลในครั้งนี้ .
ยุธิฏฐิลกุมาร คือพระอานนทเถระ.
ยุธัญชย คือพระโลกนาถ.
การบริจาคมหาทานเมื่อก่อนบวชและการสละราชสมบัติเป็นต้นของพระมหาสัตว์นั้นเป็นทาน
บารมี.
การสารวมกายวาจาเป็นศีลบารมี.
การบรรพชาและการบรรลุฌานเป็นเนกขัมมบารมี.
ปัญญาเริ่มต้นด้วยทามนสิการโดยความเป็นของไม่เที่ยง จนบรรลุอภิญญาเป็นที่สุดและปัญญา
กาหนดธรรมเป็นอุปการะและไม่เป็นอุปการะแห่งทานเป็นต้น เป็นปัญญาบารมี.
ความเพียรยังประโยชน์นั้นให้สาเร็จในที่ทั้งปวงเป็นวีริยบารมี.
ญาณขันติและอธิวาสนขันติเป็นขันติบารมี.
การไม่พูดผิดจากคาปฏิญญา ชื่อว่าสัจจบารมี.
การตั้งใจสมาทานอันไม่หวั่นไหวในที่ทั้งปวง ชื่อว่าอธิษฐานบารมี.
เพราะจิตคิดแต่ประโยชน์ในสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วยอานาจแห่งเมตตาพรหมวิหาร ชื่อว่าเมตตา
บารมี.
ด้วยการวางเฉยในความผิดปกติที่ทาแล้วในสัตตสังขาร และด้วยอุเบกขาพรหมวิหาร ชื่อว่า
อุเบกขาบารมี
เป็นอันได้บารมี ๑๐ ด้วยประการดังนี้ .
แต่พึงทราบโดยความพิเศษว่าเป็นเนกขัมมบารมี.
จบอรรถกถายุธัญชยจริยาที่ ๑
-----------------------------------------------------

More Related Content

More from maruay songtanin

010 สุขวิหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
010 สุขวิหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...010 สุขวิหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
010 สุขวิหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
009 มฆเทวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
009 มฆเทวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx009 มฆเทวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
009 มฆเทวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
007 กัฏฐหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
007 กัฏฐหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...007 กัฏฐหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
007 กัฏฐหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
005 ตัณฑุลนาฬิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
005 ตัณฑุลนาฬิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...005 ตัณฑุลนาฬิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
005 ตัณฑุลนาฬิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
004 จูฬเสฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
004 จูฬเสฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...004 จูฬเสฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
004 จูฬเสฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
003 เสริววาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
003 เสริววาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...003 เสริววาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
003 เสริววาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
002 วัณณุปถชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
002 วัณณุปถชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....002 วัณณุปถชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
002 วัณณุปถชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
001 อปัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
001 อปัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx001 อปัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
001 อปัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
หงส์ดำ Black Swan - The Impact of the Highly Improbable.pdf
หงส์ดำ Black Swan - The Impact of the Highly Improbable.pdfหงส์ดำ Black Swan - The Impact of the Highly Improbable.pdf
หงส์ดำ Black Swan - The Impact of the Highly Improbable.pdf
maruay songtanin
 
หลักการผู้นำ 7 ประการ 7 proven leadership principles .pdf
หลักการผู้นำ 7 ประการ 7 proven leadership principles .pdfหลักการผู้นำ 7 ประการ 7 proven leadership principles .pdf
หลักการผู้นำ 7 ประการ 7 proven leadership principles .pdf
maruay songtanin
 
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
maruay songtanin
 
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
 
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
maruay songtanin
 
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

010 สุขวิหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
010 สุขวิหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...010 สุขวิหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
010 สุขวิหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
009 มฆเทวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
009 มฆเทวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx009 มฆเทวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
009 มฆเทวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
008 คามณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
008 คามณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx008 คามณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
008 คามณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
007 กัฏฐหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
007 กัฏฐหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...007 กัฏฐหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
007 กัฏฐหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
005 ตัณฑุลนาฬิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
005 ตัณฑุลนาฬิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...005 ตัณฑุลนาฬิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
005 ตัณฑุลนาฬิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
004 จูฬเสฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
004 จูฬเสฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...004 จูฬเสฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
004 จูฬเสฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
003 เสริววาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
003 เสริววาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...003 เสริววาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
003 เสริววาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
002 วัณณุปถชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
002 วัณณุปถชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....002 วัณณุปถชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
002 วัณณุปถชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
001 อปัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
001 อปัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx001 อปัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
001 อปัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
คำนำชุมนุมชาดก ในพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ (มี ๕๒๕ เรื่อง) และเล่มที่ ๒๐ (มี ๒...
คำนำชุมนุมชาดก ในพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ (มี ๕๒๕ เรื่อง) และเล่มที่ ๒๐ (มี ๒...คำนำชุมนุมชาดก ในพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ (มี ๕๒๕ เรื่อง) และเล่มที่ ๒๐ (มี ๒...
คำนำชุมนุมชาดก ในพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ (มี ๕๒๕ เรื่อง) และเล่มที่ ๒๐ (มี ๒...
 
หงส์ดำ Black Swan - The Impact of the Highly Improbable.pdf
หงส์ดำ Black Swan - The Impact of the Highly Improbable.pdfหงส์ดำ Black Swan - The Impact of the Highly Improbable.pdf
หงส์ดำ Black Swan - The Impact of the Highly Improbable.pdf
 
หลักการผู้นำ 7 ประการ 7 proven leadership principles .pdf
หลักการผู้นำ 7 ประการ 7 proven leadership principles .pdfหลักการผู้นำ 7 ประการ 7 proven leadership principles .pdf
หลักการผู้นำ 7 ประการ 7 proven leadership principles .pdf
 
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
 
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
 
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 

22 ยุธัญชยจริยา มจร.pdf

  • 1. 1 การบาเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๒๒ ยุธัญชยจริยา พลตรี มารวย ส่งทานินทร์ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖ เกริ่นนา เราสลดใจเพราะเห็นหยาดน้าค้างเหือดแห้งไป เพราะแสงของดวงอาทิตย์. เราทาความไม่เที่ยง ของหยาดน้าค้างนั้นให้เป็นปุเรจาริก พอกพูนความสังเวช เราถวายบังคมพระบิดา ทูลขอบรรพชา. พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก ๓. ยุธัญชยวรรค หมวดว่าด้วยกุมารนามว่ายุธัญชัยเป็นต้น ๑. ยุธัญชยจริยา ว่าด้วยพระจริยาของพระยุธัญชัยกุมาร [๑] ในกาลที่เราเป็นพระราชโอรสนามว่ายุธัญชัย มีบริวารยศหาประมาณมิได้ สลดใจเพราะ ได้เห็นหยาดน้าค้างที่เหือดแห้งไปเพราะแสงดวงอาทิตย์ [๒] เราทาความเป็นอนิจจัง(ความไม่เที่ยง)นั้นแล ให้เป็นสิ่งที่สาคัญ พอกพูนความสังเวช ไหว้ พระมารดาและพระบิดาแล้วทูลขอบรรพชา [๓] พระมารดาและพระบิดาพร้อมทั้งชาวนิคมทั้งชาวแว่นแคว้น ประนมมืออ้อนวอนเราว่า วันนี้ เจ้าจงปกครองแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลเถิดลูก [๔] เมื่อมหาชนพร้อมทั้งพระบิดา นางสนม ชาวนิคม และชาวแว่นแคว้น ร้องไห้ร่าไรน่าเวทนา ยิ่งนัก เราไม่ห่วงใย สละไปแล้ว [๕] เราสละราชสมบัติในแผ่นดิน หมู่ญาติ บริวารชน และยศศักดิ์ทั้งสิ้น ไม่คิดถึงเลย เพราะ เหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น [๖] พระมารดาและพระบิดาจะเป็นที่รังเกียจของเราก็หาไม่ ยศอันยิ่งใหญ่ จะเป็นที่รังเกียจ ของเราก็หาไม่ แต่เพราะพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงสละราชสมบัติ ฉะนี้ แล ยุธัญชยจริยาที่ ๑ จบ คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบาเพ็ญเนกขัมมบารมีเป็นต้น ๑. ยุธัญชยจริยา
  • 2. 2 อรรถกถายุธัญชยวรรคที่ ๓ การบาเพ็ญเนกขัมมบารมี อรรถกถายุธัญชยจริยาที่ ๑ กรุงพาราณสีนี้ ในอุทยชาดก ชื่อว่าสุรุนธนนคร. ในจูฬสุตโสมชาดก ชื่อว่าสุทัศนนคร. ใน โสณนันทชาดก ชื่อว่าพรหมวัฑฒนนคร. ในขัณฑหาลชาดก ชื่อว่าบุบผวตีนคร. แต่ในยุธัญชยชาดก ชื่อว่ารัม มนคร. บางครั้งชื่อของนครนี้ ก็เปลี่ยนไปอย่างนี้ . ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า พระราชบุตรเป็นโอรสของพระราชาพระนามว่าสัพพทัตตะ ในรัมมนคร. พระราชาพระองค์นั้นได้มีพระโอรส ๑,๐๐๐ องค์. พระโพธิสัตว์เป็นโอรสองค์ใหญ่. พระราชาพระราชทาน ตาแหน่งอุปราชให้. พระโอรสนั้นทรงให้มหาทานทุกๆ วัน ตามนัยดังได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. เมื่อกาลผ่านไปอย่างนี้ วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์ขึ้นประทับรถอันประเสริฐแต่เช้าตรู่ เสด็จประพาส พระราชอุทยานด้วยสมบัติอันเป็นสิริใหญ่ ทอดพระเนตรเห็นหยาดน้าค้างที่ค้างอยู่บนยอดไม้ ยอดหญ้า ปลายกิ่งและใยแมงมุมเป็นต้นมีลักษณะเหมือนข่ายแก้วมุกดา ตรัสถามว่า ดูก่อนสารถี นั่นอะไร. ครั้นทรงสดับว่า นั่นคือหยาดน้าค้างที่ตกในเวลามีหิมะ. ทรงเพลิดเพลินอยู่ ณ พระราชอุทยาน ตอนกลางวัน ครั้นตกเย็นเสด็จกลับ ไม่ทรงเห็นหยาดน้าค้างเหล่านั้น จึงตรัสถามว่า ดูก่อนสารถี หยาด น้าค้างเหล่านั้นหายไปไหนหมด. เดี๋ยวนี้ เราไม่เห็นหยาดน้าค้างเหล่านั้น. ครั้นทรงสดับว่า เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นหยาดน้าค้างทั้งหมดก็สลายละลายไป ทรงดาริว่า หยาด น้าค้างเหล่านี้ เกิดขึ้นแล้วสลายไปฉันใด แม้สังขารคือชีวิตของสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ก็ฉันนั้น เช่นกับหยาด น้าค้างที่ยอดหญ้า. เพราะฉะนั้น เราซึ่งยังไม่ถูกพยาธิ ชราและมรณะเบียดเบียนควรทูลลาพระมารดาพระ บิดาออกบวช จึงทรงทาหยาดน้าค้างให้เป็นอารมณ์ เห็นภพทั้งสามดุจถูกไฟไหม้ เสด็จมายังพระตาหนักของ พระองค์ เสด็จไปเฝ้าพระบิดาซึ่งประทับอยู่ ณ โรงวินิจฉัยซึ่งประดับตกแต่งเป็นอย่างดี ถวายบังคมพระชนก ประทับยืนอยู่ข้างหนึ่งทูลขอบวช. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า เราสลดใจเพราะเห็นหยาดน้าค้างเหือดแห้งไป เพราะแสงของดวงอาทิตย์. เราทาความไม่เที่ยง ของหยาดน้าค้างนั้นให้เป็นปุเรจาริก พอกพูนความสังเวช เราถวายบังคมพระบิดา ทูลขอบรรพชา. เราดาริว่าเราผู้ที่พยาธิชราและมรณะยังไม่ครอบงาในชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย อันไม่ตั้งอยู่นานดุจ หยาดน้าค้างบนยอดหญ้า ควรบวชแสวงหามหานิพพานอันเป็นอมตะ ซึ่งไม่มีพยาธิชราและมรณะเหล่านี้ แล้วเข้าไปเฝ้าพระมารดาพระบิดาถวายบังคมแล้วทูลขอบรรพชาว่า ขอพระมารดาพระบิดาจงทรงอนุญาต ให้หม่อมฉันบวชเถิด. เมื่อพระมหาสัตว์ทูลขออนุญาตบวชอย่างนี้ แล้วได้เกิดโกลาหลใหญ่ทั่วพระนครว่า ได้ยินว่า พระ อุปราชยุธัญชัยมีพระประสงค์จะทรงผนวช.
  • 3. 3 ก็สมัยนั้น ชาวแคว้นกาสีมาเพื่อจะเฝ้าพระราชาพากันเข้าไปในรัมมนคร. ทั้งหมดนั้นประชุมกัน. พระราชาพร้อมด้วยบริวาร ชาวนิคม ชาวชนบท พระมารดา พระเทวีของพระโพธิสัตว์และพวกสนมทั้งปวง พากันทูลห้ามพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่พระกุมารอย่าทรงบวชเลย. บรรดาชนเหล่านั้น พระราชาตรัสว่า หากกามทั้งหลายของลูกยังพร่องอยู่ พ่อจะเพิ่มให้ลูก. วันนี้ ขอให้ลูกครองราชสมบัติเถิด. พระมหาสัตว์ทูลถึงความพอพระทัยในการบวชของพระองค์อย่างเดียวแด่พระบิดา ตรัสว่า ข้าแต่พระบิดาผู้เป็นใหญ่ในแว่นแคว้น ขอพระบิดาอย่าทรงห้ามลูกเลย ลูกสมบูรณ์ด้วยกามทุก อย่าง อย่าตกไปในอานาจของชราเลย. เมื่อพระมารดาพร้อมด้วยพวกสนมคร่าครวญอยู่อย่างน่าสงสาร จึงทูลถึงเหตุแห่งการบวชของ พระองค์ว่า อายุของมนุษย์ทั้งหลาย ก็เหมือนน้าค้างบนยอดหญ้า พอดวงอาทิตย์ขึ้นก็เหือดแห้งไป ข้าแต่ พระมารดา ขอพระมารดาอย่าห้ามลูกเลย. แม้เมื่อพระมารดาพระบิดาทรงห้ามอยู่ ก็มิได้มีพระทัยท้อถอยเพราะความสังเวชพอกพูนเป็น อย่างยิ่ง มิได้มีพระทัยห่วงใยในพระประยูรญาติหมู่ใหญ่อันเป็นที่รักและในราชอิสสริยยศอันโอฬาร ทรง บรรพชาแล้ว. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า มหาชนพร้อมทั้งชาวนิคม ทั้งชาวแว่นแคว้น ประนมอัญชลีอ้อนวอนเรา. พระบิดาตรัสว่า วันนี้ ลูกจงปกครองแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลเถิด. เมื่อมหาชนพร้อมทั้งพระบิดา นางสนม ชาวนิคม และ ชาวแว่นแคว้นร้องไห้คร่าครวญอย่างน่าสงสาร. เราไม่ห่วงใย สละไปแล้ว. พระมารดาพระบิดาตรัสว่า ลูกจงครองราชสมบัติในวันนี้ เถิด. คือจงปกครองแผ่นดินอันใหญ่นี้ อันกว้างใหญ่ด้วยความเจริญยิ่งของบ้านนิคมและราชธานีและด้วยถึงความไพบูลย์อันไพศาล ด้วยความ สมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สารและด้วยความงอกงามของพืชพรรณมีข้าวกล้าเป็นต้น. พระมารดาพระบิดารับสั่งให้ยกเศวตฉัตรแล้วทรงขอร้องว่า ลูกจงครองราชสมบัติเถิด. ก็เมื่อมหาชนพร้อมด้วยพระราชา นางสนม ชาวนิคม ชาวแว่นแคว้นร้องไห้ คร่าครวญอย่างน่า สงสาร โดยอาการที่ความกรุณาอันใหญ่ย่อมมีแม้แก่ผู้ฟัง ไม่ต้องพูดถึงผู้เห็นเราไม่ห่วงใย ไม่เกาะเกี่ยวใน บุคคลนั้นๆ บวชแล้วในกาลนั้นเอง ท่านแสดงไว้ด้วยประการฉะนี้ . บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงว่า เราละสิริราชสมบัติเช่นกับสมบัติจักรพรรดิ พระ ประยูรญาติอันเป็นที่รัก ไม่ห่วงใย สละปริวารชน คนสนิทและยศอันใหญ่ที่ชาวโลกเขาเพ่งเล็งกันได้ ตรัส พระคาถาสองคาถาว่า เราสละราชสมบัติในแผ่นดิน หมู่ญาติ บริวารชน และยศศักดิ์ทั้งสิ้นมิได้คิดถึงเลย เพราะเหตุ แห่งโพธิญาณ เราจะเกลียดพระมารดาพระบิดาก็หามิได้ เราจะเกลียดยศศักดิ์อันยิ่งใหญ่ก็หามิได้ แต่พระ สัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงสละราชสมบัติ ดังนี้ . เมื่อพระมหาสัตว์ทรงสละทุกสิ่งทุกอย่าง เสด็จออกบวช. ยุธิฏฐิลกุมารพระกนิษฐาของพระ
  • 4. 4 โพธิสัตว์นั้นถวายบังคมพระชนก ทรงขออนุญาตบวชติดตามพระโพธิสัตว์. ทั้งสองกษัตริย์ก็ออกจากพระ นคร รับสั่งให้มหาชนกลับ เสด็จเข้าป่าหิมวันตะ สร้างอาศรมบทในที่น่าพอใจ ทรงบวชเป็นฤๅษี ยังฌานและ อภิญญาให้เกิด ทรงเลี้ยงชีวิตด้วยรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นต้นจนตลอดพระชนม์ แล้วก็เสด็จไปสู่พรหม โลก. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า พระกุมารทั้งสอง คือ ยุธัญชยะและยุธิฏฐิละ ละพระมารดาพระบิดา ตัดความข้องของมัจจุ ออก บวชแล้ว. พระมารดาพระบิดาในครั้งนั้นได้เป็นมหาราชตระกูลในครั้งนี้ . ยุธิฏฐิลกุมาร คือพระอานนทเถระ. ยุธัญชย คือพระโลกนาถ. การบริจาคมหาทานเมื่อก่อนบวชและการสละราชสมบัติเป็นต้นของพระมหาสัตว์นั้นเป็นทาน บารมี. การสารวมกายวาจาเป็นศีลบารมี. การบรรพชาและการบรรลุฌานเป็นเนกขัมมบารมี. ปัญญาเริ่มต้นด้วยทามนสิการโดยความเป็นของไม่เที่ยง จนบรรลุอภิญญาเป็นที่สุดและปัญญา กาหนดธรรมเป็นอุปการะและไม่เป็นอุปการะแห่งทานเป็นต้น เป็นปัญญาบารมี. ความเพียรยังประโยชน์นั้นให้สาเร็จในที่ทั้งปวงเป็นวีริยบารมี. ญาณขันติและอธิวาสนขันติเป็นขันติบารมี. การไม่พูดผิดจากคาปฏิญญา ชื่อว่าสัจจบารมี. การตั้งใจสมาทานอันไม่หวั่นไหวในที่ทั้งปวง ชื่อว่าอธิษฐานบารมี. เพราะจิตคิดแต่ประโยชน์ในสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วยอานาจแห่งเมตตาพรหมวิหาร ชื่อว่าเมตตา บารมี. ด้วยการวางเฉยในความผิดปกติที่ทาแล้วในสัตตสังขาร และด้วยอุเบกขาพรหมวิหาร ชื่อว่า อุเบกขาบารมี เป็นอันได้บารมี ๑๐ ด้วยประการดังนี้ . แต่พึงทราบโดยความพิเศษว่าเป็นเนกขัมมบารมี. จบอรรถกถายุธัญชยจริยาที่ ๑ -----------------------------------------------------