More Related Content
More from kessara61977 (20)
รอยเตอร์
- 1. รอยเตอร์/เอพี/เอเอฟพี/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - สื่อต่างประเทศสานักต่างๆ
รายงานในวันพฤหัสบดี (22) ถึงข่าวการทารัฐประหารในประเทศไทย
หลังจากที่กองทัพประกาศบังคับใช้กฎอัยการศึกได้เพียง 2 วัน ชี้
อาจเป็ นทางออกเดียวที่เหลืออยู่เพื่อ “ฝ่ าทางตัน” ทางการเมือง
ที่ทาให้เศรษฐกิจและสังคมไทยแทบเป็ นอัมพาตในช่วงที่ผ่านมา
สื่อต่างประเทศแทบทุกสานักทั่วโลก รายงานถึงข่าวการทารัฐประหาร
โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในประเทศไทยที่นาโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ผู้บัญชาการทหารบก ที่ระบุถึงเหตุผลในการก่อการยึดอานาจเป็น “ครั้งที่ 12” ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ว่า เพื่อนาความสงบเรียบร ้อยกลับคืนสู่สังคมไทยโดยเร็ว และผลักดันการปฏิรูป
สื่อต่างประเทศระบุ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวัย 60 ปี
ได ้ประกาศการยึดอานาจครั้งนี้ทางโทรทัศน์ ไม่นานหลังจากที่ความพยายามของทางกองทัพในการเรียก
“คู่ขัดแย ้งทางการเมือง 7 ฝ่ าย” เข ้ามาหารือกันเป็นวันที่ 2 นั้น จบลงด ้วยความล ้มเหลว เพราะไม่มีฝ่ ายใด
“ยอมถอย” จากจุดยืนเดิมของตน
รายงานของสื่อนอกระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ ผู้บัญชาการทหารบก
ซึ่งในขณะนี้ได ้ทาหน้าที่ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบได ้ประกาศ “เคอร์ฟิว”
ห ้ามประชาชนออกนอกเคหสถานในยามวิกาล ครอบคลุมตั้งแต่เวลา 22.00 น. ไปจนถึงเวลา 05.00 น.
สื่อต่างประเทศระบุ ประเทศไทยซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นลาดับต ้นๆ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต ้
มีอันต ้องเผชิญกับ “วังวนแห่งการต่อสู้แย่งชิงอานาจ” ระหว่างกลุ่มการเมืองที่สนับสนุน และฝ่ ายต่อต ้าน
“พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกโค่นอานาจ
โดยความแตกแยกทางการเมืองที่สั่งสมมานานตั้งแต่ก่อนปี 2006 ส่งผลให ้สังคมไทยแตกแยกเป็นฝักฝ่ าย
และยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่ได ้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในระบบเศรษฐกิจที่เสรีและเปิดกว ้างที่สุดของโลก
ทั้งนี้ กองทัพไทยถูกระบุว่า มีประวัติในการพัวพันกับการเข ้าแทรกแซงทางการเมืองมาช ้านาน
โดยเฉพาะความพยายามยึดอานาจการปกครองประเทศที่เกิดขึ้นมาแล ้วนับสิบครั้ง
นับตั้งแต่ที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองเข ้าสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเมื่
อปี ค.ศ. 1932 โดยการยึดอานาจหนล่าสุด คือ การทารัฐประหารโค่นอานาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อกว่า 8
ปีก่อน
อย่างไรก็ดี วิกฤตทางการเมืองระลอกใหม่ของไทยที่ดาเนินมายาวนานกว่าครึ่งปี ตั้งแต่ปลายปี 2013
ตลอดจนเหตุรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ
- 2. และหัวเมืองโดยรอบซึ่งส่งผลให ้มีผู้เสียชีวิตไปแล ้วอย่างน้อย 28 ราย และได ้รับบาดเจ็บมากกว่า 700 คน
ตลอดจนการปฏิเสธที่จะ “ถอยคนละก ้าว” ของคู่ขัดแย ้งทางการเมืองในไทย ถูกระบุว่าเป็น “ฟางเส ้นสุดท ้าย”
ที่ทาให ้ทางกองทัพไทยต ้องเข ้าทาการแทรกแซงทางการเมืองด ้วยการยึดอานาจอีกครั้งหนึ่ง
รายงานของสื่อต่างประเทศ ยังระบุด ้วยว่า หลังการประกาศยึดอานาจการปกครองประเทศผ่านไปไม่ถึง
3 ชั่วโมง ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ได ้ออกคาแถลงยกเลิกการใช ้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของไทย ที่ประกาศใช ้เมื่อปี 2007
ยกเว ้นในหมวดหมู่ที่เกี่ยวข ้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่มีคาสั่งให ้หน่วยงานราชการ ศาลยุติธรรม
และองค์กรอิสระทั้งหลายยังคงทาหน้าที่ของตนต่อไปตามปกติ
พร ้อมออกคาสั่งให ้ผู้ชุมนุมทางการเมืองทั้งฝ่ ายสนับสนุนและฝ่ ายต่อต ้านรัฐบาลยุติการชุมนุมโดยไม่มีเงื่อนไ
ข
การยึดอานาจของกองทัพครั้งนี้ ถูกนักวิชาการในไทยตั้งข ้อสงสัยว่า
อาจไม่สามารถยุติความขัดแย ้งทางการเมืองในไทยได ้
และการทารัฐประหารที่เกิดขึ้นอาจกลายเป็นตัวกระตุ้นให ้เกิดความวุ่นวายมากยิ่งขึ้นในประเทศ
ซ้ารอยการยึดอานาจครั้งก่อนเมื่อปี 2006 ที่นาพาสังคมไทยดาดิ่งลงสู่ห ้วงลึกแห่งความขัดแย ้ง
แม ้จะเป็นที่ทราบกันดีว่า การยึดอานาจล่าสุดโดยคณะที่นาโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น
จะนามาซึ่งความปีติยินดีของฝ่ ายที่ต่อต ้านรัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็ตาม
อย่างไรก็ดี พอล แชมเบอร์ส ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันกิจการเอเชียตะวันออกเฉียงใต ้
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให ้ความเห็นว่า การทารัฐประหารของ คสช. มีสาเหตุเพียงประการเดียวเท่านั้น คือ
การที่รัฐบาลรักษาการของไทยซึ่งยืนอยู่ฝั่งเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร “ปฏิเสธที่จะสละอานาจ”
เพื่อเปิดทางให ้มีรัฐบาลชั่วคราวเพื่อนาการปฏิรูป
และการดึงดันอยู่ในอานาจต่อไปของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยนี้เอง ที่ทาให ้พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีทางเลือกอื่น
นอกจากต ้องทาการยึดอานาจซ้ารอยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2006
ด ้าน มาร์ค เฟนน์ ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ “เดอะ การ์เดียน” ของอังกฤษรายงานว่า
ทางกองทัพถูกบีบให ้ต ้องทาการยึดอานาจในครั้งนี้ ท่ามกลางระบอบประชาธิปไตยที่ “เปราะบาง” ของไทย
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการปกป้องสังคมไทยให ้รอดพ ้นจากภาวะ “สงครามกลางเมือง”