11. 3. HC IN THE FROM OF EMULSION IN THE PRESENCE OF SURFACTANT
(น้ามันที่ไม่ละลายน้าที่มีสารลดแรงตึงผิว)
- เจอมากสุดในINDUSTRIAL W/W.
- CHEMICAL METHOD:โดยการเติมสารลดแรงตึงผิวเพื่อให้แยกชั้นชัดเจน
- Emulsion ในน้าเสียส่วนมาก เกิดจากการเติมสารลดแรงตึงผิว
- สารลดแรงตึงผิวมีคุณสมบัติอยู่ 2 ประการ > LYPOPHILICชอบน้ามัน
> POLAR มีขั้วชอบน้า
เติมสารลดแรงตึงผิวเพียงนิดเดียว ก็สามารถลด Interfacial tension ลงได้มาก เติมลงไปไม่นานก็จะเกิด
Emulsion ได้โดยไม่ต้องกวน
- การเกิด Emulsion จากการเติมสารลดแรงตึงผิว จะเกิดได้อย่างรวดเร็วและมีเสถียรภาพ
- หยดน้ามันจะมีขนาดเล็กกว่า 5 μ (มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า) ซึ่งเรียกว่า “STABILIZES Emulsion” และ
เคลื่อนตัวแบบ BROWNIAN(ทุกทิศทุกทาง) มากกว่าจะลอยขึ้นไปบนผิวน้าเพื่อรวมตัวกัน
- การเติมสารลดแรงตึงผิวทาให้ผิวของอนุภาคน้ามันมีประจุเดียวกัน และเกิดการผลักกันเมื่อเข้าใกล้กัน จึง
รวมตัวกันได้ยาก
- ในหลายๆกรณี จะใส่สาร (COSURFURFACTANT) ลดแรงตึงผิวมากกว่า 1 ชนิด (คล้ายๆ
SURFURFACTANT แต่ต่างกันที่ POLAR ไม่มีประจุ) เมื่อเติมสาร COSURFURFACTANT ยิ่งช่วยให้
Emulsion มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ทาให้อนุภาคของน้ามันลดลงเหลือ 0.01 -0.06 μm. และทาให้น้าใส, แสง
ผ่านได้ (ชีทเสริม หน้า 33)
12. 4. HC IN THE FROM OF LAYER OR FILM
(น้ามันที่แยกเป็นคนละชั้นกับน้า หรือเป็นแผ่นฟิล์มบางๆที่ผิวน้า)
- ส่วนใหญ่น้ามันจะมี ค.หนาแน่นน้อยกว่าน้า และสะสมบนผิวน้าจนเป็นชั้นหรือแผ่นฟิล์มบางๆ
- ถึงแม้จะมีปริมาณน้อยแต่สามารถปกคลุม พท.ผิวน้าได้กว้าง เช่น น้ามันปริมาณ 150-200 กก. จะสามารถปก
คลุม พท.ผิวน้าเป็นพื้นที่ 1 กม.2
อย่างเช่นกรณีของ เรือน้ามันล่ม หรือแท่นขุดเจาะน้ามันรั่ว
** แบบ 4 จะสามารถบาบัดได้โดยแยก Oil Emulsion ออกจากน้าให้เป็นชั้น(Layer) แล้วค่อยทาการแยกน้ามัน
ออก และนาไปกาจัดต่อไป
* ตัวอย่างอุตสาหกรรมที่มีปัญหาเรื่องFOG
- แท่นขุดเจาะน้ามัน - ช๊อปเครื่องกล นนาน้ามันผสมน้าในการเชื่อมโลหะ
- โรงกลั่นน้ามัน - โรงงานผลิตอาหารและขนม
- โรงงานผลิตยา - ห้องครัว
- โรงงานผลิตน้าหอม - โรงงานผลิตเครื่องสาอาง
TECHNIQUES APPLICABLE TO DIDDOLVED FOG (แบบ 1)
1. STRIPPING
2. ADSORPTION
3. BIOLOGICAL TREATMENT
13. - TECHNIQUES APPLICABLE TO DIDDOLVED FOG (แบบ 1)
1. STRIPPING (*ชีทเสริม หน้า 35 รูปที่ 4)
- ถ้าเป็นสารที่สามารถระเหยได้จะเลือกใช้วิธีนี้ (Volatile FOG หรือ MW ต่า)
- เป็นกระบวนการที่เคลื่อนย้ายมวลสารที่มีอยู่ในของเหลวไปยังอากาศ และแก๊สจากการ STRIPPING ต้องมี
กระบวนการบาบัดอากาศที่ออกไปด้วย เช่นเผา หรือ AC
- จะมีอัตราการระเหยเร็วขึ้น เมื่ออุณหภูมิสูงและความดันลดลง จนกระทั่งความเข้มข้นน้ามันในน้าและอากาศ
มีค่าสมดุลกัน(เท่ากัน) (สามารถอธิบายได้ด้วย Henrys’ law)
P= Partial Pressure ของสารพิษนั้น ที่สมดุล ในรูปแก๊ส
C = ความเข้มข้นของน้ามันในน้าที่สมดุล
2. ADSORPTION (*ชีทเสริม หน้า 35 รูปที่ 5)
- การถ่ายเทมลพิษจากของเหลวหรือแก๊สเข้าไปสู่ผิวของของแข็ง
- เหมาะที่จะใช้กับกรณีที่มี FOG ต่าๆ หรือใช้เป็นสาร Polishing Unit ต่อจาก Stripping เพราะ
ราคาในการบาบัดมลพิษค่อนข้างสูง ค่าสารregent และมีค่าฟื้นฟูสภาพถ่าน
- Asorption ดูดซับสาร Organic ทั้งหมด ไม่เลือกเฉพาะ FOG ทาให้ประสิทธิภาพในการบาบัด
FOG น้อย เพราะมันไปกาจัด BOD ส่วนอื่นๆแทน
- อุณหภูมิเพิ่มขึ้น การดูดซับยิ่งดี
14. 3. BIOLOGICAL TREATMENT
- ให้จุลินทรีย์ย่อยสลายน้ามันที่ละลายน้าเพราะน้ามันเป็นสาร Organics
- ถ้าใช้กับระบบที่มีถังเติมอากาศ จะเกิด Air Stripping ขึ้น ใช้อากาศที่เกิดขึ้นไปบาบัด และควรให้มีค่า SRT &
HPTในระบบมากๆ เพราะจะทาให้จุลินทรีย์สามารถย่อยสลายน้ามันได้ทัน และมีความหลากหลายทาง
ชีวภาพมากขึ้น
- ต้องเติม N P Fe ให้เหมาะสม
- TECHNIQUES APPLICABLE FOR FOG IN EMULSION IN THE ADSENCE
OF SURTACTANT (เทคนิคการบาบัดน้ามันที่ไม่ละลายน้าในกรณีที่ไม่มีสารลดแรงตึงผิว)
1. GREASE TRAP: ถังดักไขมัน
2. COALESENCE PROCESS
19. Techniques applicable to FOG in the form of layer and film
เทคนิคการบาบัดน้ามันไม่ละลายน้าในกรณีเป็นแผ่นฟิล์มหรือชั้น (แบบ 4)
Dispersion processใช้กรณีน้ามันเป็นชั้นบางๆ โดยให้จุลินทรีย์ย่อยสลาย มักเป็นวิธี clean up ในกรณี
น้ามันรั่วไหลลงทะเล โดยกาจัดน้ามันส่วนใหญ่ออกก่อนจนเหลือเป็นชั้นบางๆ จึงใช้วิธีนี้
Pumping process ใช้ปั๊มดูดชั้นน้ามันออกในขณะที่มีน้ามันมากๆ เพื่อลดปริมาณน้ามันลง
Adsorption process เคลื่อนย้ายน้ามันไปดูดซับบนผิวของแข็งที่เป็น adsorbent ที่อุปกรณ์ material ที่มัน
ชอบน้ามัน (lipophilic) และดูดซับไว้เพื่อเอาไปรวมในที่ที่ไว้รวบรวมน้ามัน ตัวอย่าง disc หน้า 45 ,belt
และ drum หน้า 46 ในชีทเสริม
20. Aeration & Mass Transfer
การเติมอากาศเป็นการถ่ายเทมวลระหว่างแก๊สออกซิเจนในบรรยากาศและในน้า, ค่า DO
ในสถานะแก๊สขึ้นกับความดันที่แตกต่างกัน, (แรงดันมากไปแรงดันน้อย)
ในสถานะของเหลวขึ้นอยู่กับความเข้มข้นที่ต่างกัน, (ความเข้มข้นมากไปความเข้มข้นน้อย)
ที่สภาวะสมดุล อัตราส่วนระหว่างความดันและความเข้มข้นจะใช้หลักการของ Henry
p = partial pressure
H= Henry constant (ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและส่วนประกอบของเหลว)
Cs= Saturated concentration or equilibrium concentration (ความเข้มข้นอิ่มตัวในน้า)
(ใช้เติมO2) Aeration Stripping (ใช้กาจัดพวกที่ระเหยง่าย เช่น NH3, H2, S, VOCs)
***REPAIRED***
กระบวนการการแพร่กระจาย
ของสารอธิบายได้จาก Fick 's
First law
Aqueous phase
O 769 𝑎𝑡𝑚/𝑚𝑜𝑙𝑎𝑟
a tm = อากาศ m o la r = น้า
N = mass transfer per unit time (dm/dt)
A = cross sectional area through which diffusion occurs
dC/dy = concentration gradient perpendicular to cross sectional
area (ความเข้มข้นที่ตั้งฉากกับ A)
DL = diffusion coefficient [L2
/T]
21. **Aeration เติมอากาศลงในน้า ส่วน Air stripping จะไล่อากาศจากน้าไปเป็นฟองอากาศ
**เครื่องหมาย – หน้า dC/dy มาจาก (C2-C1)/y โดยที่ C2 คือค่าน้อย C1 คือค่ามาก ค่าที่ได้ติดลบแน่นอน จึงต้อง
มีเครื่องหมายเป็นตัวปรับแก้
Gas phase **ตัวแปรเหมือนกับ Aqueous phase แต่เปลี่ยน gas phase**
จากทฤษฎีของ Whitman ในสภาวะคงที่ (ในชีทเสริม)
( ) ( ) ( ) ( )
De,g = eddy diffusion coefficient of the substance in the body of gas (สัมประสิทธิ์การแพร่ของสารในสถานะ
แก๊ส)
De,L = eddy diffusion coefficient of the substance in the body of liquid (สัมประสิทธิ์การแพร่ของสารใน
สถานะของเหลว)
สารที่ชอบละลายในน้า เช่น NH3, H2Sจะขึ้นกับค่า gas film limit (การกลายเป็นแผ่นฟิล์มในสถานะแก๊ส)
สารที่ไม่ละลายน้า เช่น O2,O3 จะขึ้นกับค่า liquid film limit (การกลายเป็นแผ่นฟิล์มในสถานะของเหลว)
Aeration (O2 transfer) → liquid film limit (สารเติมอากาศ จะขึ้นกับค่า liquid film limit)
ค่า Cs ขึ้นกับอุณหภูมิและส่วนประกอบของน้า โดยค่า Cs หาได้จาก Henry 's law หรือเปิดตาราง 5.1 ใน text
หน้า 160) หรือใช้สูตร
9
7 7 6 6 8
8 8 6 9 9
ที่ 1 atm &ไม่มี TDS **T หน่วย เคลวิน (°C+273)
22. 5 0 3 0 2 0 5 0
3 0
2 0
5 0
แบบอนุกรม 20 เป็นค่า
lim it ของ ≡ นี้
แบบขนานเป็น 50ค่า lim it ของ ≡ นี้
D iffu sed S u rfa ce
Whitman‘s two film theory
เมื่อสารที่สถานะต่างกันมาสัมผัสกันจะเกิดการสร้างแผ่นฟิล์มบางๆ ขึ้นมา เมื่อจะเกิดการถ่ายเทของสารใดๆ
จะต้องผ่านชั้นฟิล์มและเกิดการเปลี่ยนแปลงก่อนจะกลายเป็นอีกสถานะหนึ่ง
ในชีทเสริม (รูปบน gas → liquid) (รูปล่าง liquid → gas) จากรูปบน gas เคลื่อนที่ไปใน bulk เมื่อไปถึงผิวหน้า
ชั้น film จะเกิดการแพร่
การเคลื่อนที่ใน film จะช้าเพราะ มีแรงmolecular diffusion เพียงแรงเดียว
ถ้าการเปลี่ยนแปลงเป็นแบบอนุกรม (ที่ steady state ของทฤษฎีนี้)
ค่า limit จะขึ้นกับ ค่าที่ช้าที่สุดหรือตัวที่ถ่ายเทได้น้อยที่สุดของปฏิกิริยานั้น
ถ้าการเปลี่ยนแปลงเป็นแบบขนาน (เกิดพร้อมกันหลายอัน)
ค่า limit จะขึ้นกับ ค่าที่มากที่สุดหรือตัวที่ถ่ายเทได้มากที่สุดของปฏิกิริยานั้น
ค่าปรับแก้ของตัวแปรอื่นๆ
; Cs wastewater < Cs clean water (ค่า β ≈0.9)
ค่า KLa ขึ้นกับอุณหภูมิ
KL(T) = KL(20°C) ; θ = 1.02 for diffused aeration θ =1.012 for surface aeration
ค่า a ขึ้นกับอุณหภูมิเช่นกัน โดยแบบ diffused มีผลมากกว่าแบบ surface
อุณหภูมิจะส่งผลต่อขนาดของฟองอากาศมากกว่าขนาดหยดน้า ทาให้แบบ diffused ค่าอุณหภูมิมีความสาคัญ
มากกว่า
23. การกวนผสมจะสามารถลดความหนาของ liquid filmและ gas film ได้โดยจะเพิ่มค่า Kg และ KL
- ความลึกของน้าส่งผลต่อเครื่องเติมอากาศแบบ Diffuser เพราะถ้าน้ามีความลึกมาก จะทาให้สัมผัสกับ
ฟองอากาศได้นาน (ความลึกของระดับน้าส่งผลต่อเครื่องเติมอากาศ)
- ที่ระดับความลึกต่างกัน ค่า KLa จะต่างกันโดยหาได้จาก
ที่
ที่
( ) 7
- แบบ surface : ความสูงของหยดน้าที่กระจายไปบนอากาศจะมีค่ากาจัดอยู่ค่าหนึ่งและจะไม่มี
เปลี่ยนแปลงไปจากค่านี้
- ลักษณะของน้าเสียที่ส่งผลกระทบต่อค่า KLa ไหน text book หน้า 166