SlideShare a Scribd company logo
1 of 19
Download to read offline
บทที่ 2
การแต่งกายไทยตามสมัยประวัติศาสตร์และโบราณคดี
การแต่งการไทยตามสมัยประวัติศาสตร์และโบราณคดีในบทนี้ได้อ้างอิงการจัดแบ่ง
ลําดับเครื่องแต่งกายตามเอกสารทางวิชาการ“สมุดภาพแสดงเครื่องแต่งกายตามสมัย
ประวัติศาสตร์และโบราณคดี” ของกรมศิลปากรเนื่องในงานฉลองครบรอบ 20 ปี สภาการ
พิพิธภัณฑ์ระหว่างชาติ (2511) โดยจัดแบ่งลําดับออกเป็น 7 สมัย (กรมศิลปากร, 2511: 3)
ดังต่อไปนี้
1. สมัยทวารวดี ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-16
2. สมัยศรีวิชัย ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 13 - 18
3. สมัยลพบุรี ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16 – 19
4. สมัยเชียงแสน ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 17 – 25
5. สมัยสุโขทัย ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 19 – 20
6. สมัยอยุธยา ตั้งแต่ พ.ศ. 1893 – 2310
7. สมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2310 – รัชกาลปัจจุบัน
ทั้งนี้ได้แยกศึกษาสมัยรัตนโกสินทร์ ไว้ในบทที่ 3 เนื่องจากมีรายละเอียดและเนื้อหา
ของเครื่องแต่งกายที่น่าสนใจ รวมทั้งมีพัฒนาการของเครื่องแต่งการร่วมสมัย
2.1 สมัยทวาราวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-16)
“ทวารวดี” เป็นอาณาจักรที่นักโบราณคดีเรียกดินแดนระหว่างศรีเกษตร(ประเทศพม่า)
และอิศานปุระ (ประเทศกัมพูชา) (คณะอนุกรรมการแต่งกายไทย, 2543: 64) มีศูนย์กลางอยู่
บริเวณลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยาตอนล่างเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ที่มีประชาชนนับถือศาสนาพุทธ
และฮินดูได้รับอิทธิพลทางด้านศิลปวัฒนธรรมและการแต่งกายจากอินเดียเข้ามาผสมกับอารย
ธรรมพื้นเมืองของตนจนมีความเจริญก้าวหน้า(โอม รัชเวทย์, 2543: 4) ลักษณะของการแต่งการ
ได้บ่งบอกถึงฐานะของผู้คน เป็นตันว่า พระเจ้าแผ่นดินนุ่งผ้ายกดอกได้ ขุนนางธรรมดาใช้ได้แต่
10
ผ้ายกดอกสองชาย ส่วนราษฎรสามัญจะใช้ผ้ายกดอกได้แต่ผู้หญิงเท่านั้น (คณะอนุกรรมการแต่ง
กายไทย, 2543: 64) อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานแสดงให้เห็นถึงการแต่งการของคนในสมัยทวาร
วดี ปรากฎอยู่บนงานปฎิมากรรมต่างๆเช่นที่ พระเจดีย์จุลประโทน อําเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
ขุดพบภาพสลักลายเส้นบนแผ่นหินเป็นรูปเจ้านายชั้นสูงไม่สวมเสื้อ นุ่งโจงกระเบน รอบตัวมีหม้อ
นํ้า หอยสังข์ เงินตราและดาว (โอม รัชเวทย์, 2543: 4) ส่วนลักษณะการแต่งกายโดยทั่วไปมีดังนี้
ลักษณะการแต่งกายของหญิง
ผม ทําผมเกล้ามวย หรือถักเปียเป็นจอมสูงเหนือศีรษะ ใช้ผ้าสลับสีรัดเกล้าไว้ตรงกลาง
แล้วปล่อยชายผมลงมาหรือเกล้าแล้วรัดเกล้าไว้ไม่ปล่อยชายผมหรือถักเปียเป็นจอมสูงเหนือ
ศีรษะรัดตรงกลางให้ตอนบนสยายออก
เครื่องประดับ ต่างหูเป็นแผ่นกลม หรือเป็นห่วงกลม สายสร้อยทําเป็นแผ่นทับทรวงรูป
สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเป็นลวดลายนก ต้นแขนประดับด้วยกําไลเล็ก ๆ ทําด้วยทองคําสําริด และ
ลูกปัดสีต่าง ๆ สวมกําไลมือหลายเส้น
11
การแต่งกายสมัยทวาราวดี
ภาพเขียนเลียนแบบจากกรมศิลปากร (2511: 9)
12
เครื่องแต่งกาย นุ่งผ้าซิ่นจีบพื้นหรือลวดลาย ย้อมสีกรัก (สีจากแก่นขนุน) ทบซ้อนกัน
ข้างหน้าทิ้งชายแนบลําตัว ไม่สวมเสื้อ ห่มผ้าสะไบเฉียงบ่าซ้ายไพล่มาข้างขวา เป็นผ้า
ฝ้ ายบางจีบไม่สวมรองเท้า
ลักษณะการแต่งกายของชาย
ผม ถักเปียเป็นหลอดยาวประบ่า หรือเกล้าสูงรัดด้วยผ้า หรือเครื่องประดับแล้วปล่อย
ชายผมกลับลงมา เกล้าเป็นจุกก็มี
เครื่องประดับ ใส่กรองคอ กําไลแขน ต่างหู เข็มขัดโลหะคาดเอว
เครื่องแต่งกาย มีผ้าเฉลียงบ่าบาง ๆ นุ่งผ้าจีบชายผ้าด้านหน้าทิ้งลงไปคล้ายผ้าถุงครึ่ง
แข้ง ชายขมวดทิ้งลงไปข้างซ้าย คาดเข็มขัด ไม่สวมเสื้อ
การแต่งกายรูปแบบหนึ่งของชายสมัยทวาราวดี
ภาพเขียนเลียนแบบจากกรมศิลปากร (2511: 9)
13
2.2 สมัยศรีวิชัย (ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 13-18)
“ศรีวิชัย” เป็นรัฐที่เกิดขึ้นทางภาคใต้ โดยถูกอิทธิพลจาก “รัฐฟูนัน” ประเทศจีนที่เคยมี
อํานาจควบคุมทะเลจีนใต้ นอกจากนี้ “รัฐศรีวิชัย” ยังตั้งอยู่ในทําเลค้าขายที่สําคัญโดยมีการค้า
ขายกับจีน อินเดียและประเทศในตะวันออกกลาง (คณะอนุกรรมการแต่งกายไทย, 2543: 74)
ดังนั้น การแต่งกายของคนสมัยศรีวิชัย จึงได้รับอิทธิพลด้านการใช้ผ้าจากจีน และเครื่องประดับ
จากชาวอินเดีย (คณะอนุกรรมการแต่งกายไทย, 2543: 79-80)
ลักษณะการแต่งกายของหญิง
ผม เกล้ามวยสูงทําเป็นพุ่มทรงข้าวบิณฑ์ สวมกลีบรวบด้วยรัดเกล้า ปล่อยชายปรกลง
มาด้านหน้า บางทีมุ่นมวยเป็นทรงกลมเหนือศีรษะใช้รัดเกล้าเป็นชั้น ๆแล้วปล่อยชายผมลงประบ่า
ทั้ง 2 ข้าง หรือถักเปีย
การแต่งกายของหญิงสมัยศรีวิชัย
ภาพเขียนเลียนแบบจาก กรมศิลปากร (2511: 26)
14
เครื่องประดับ ประดับด้วยรัดเกล้า ตุ้มหูแผ่นกลมเป็นกลีบดอกไม้ ใส่กรองคอทับทรวง
ใส่กําไรต้นแขนทําด้วยโลหะ หรือลูกปัดร้อยเป็นพวงอุบะ ใส่กําไลมือและเท้า
เครื่องแต่งกาย นุ่งผ้าครึ่งแข้งปลายบานยกขอบ ผ้าผืนเดียวบางแนบเนื้อคล้ายผู้ชาย
ขอบผ้าชั้นบนทําเป็นวงโค้งเห็นส่วนท้อง คาดเข็มขัดปล่อยชายผ้าลงทางด้านขวา
ลักษณะการแต่งกายของชาย
ผม เกล้ามวยเป็นกระพุ่มเรียงสูง ด้วยเครื่องประดับ ปล่อยปลายผมสยายลงรอบศีรษะ
เป็นชั้น ๆ บางทีปล่อยชายผมชั้นล่างสยายลงประบ่า
เครื่องประดับ ใส่ตุ้มหูเป็นเม็ดกลมใหญ่ คล้องสายสังวาลย์ คาดเข็มขัดโลหะใส่กําไล
แขนและข้อมือ
เครื่องแต่งกาย นุ่งผ้าชายพกตํ่า ปล่อยชายย้อยเป็นกระหนก คาดเข็มขัดโลหะ
การแต่งกายของชาย สมัยศรีวิชัย
ภาพเขียนเลียนแบบจากกรมศิลปากร (2511: 20, 24)
15
2.3 สมัยลพบุรี (ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-19)
“เมืองลวปุระหรือละโว้หรือลพบุรี” เคยเป็นเมืองสําคัญมาแต่สมัยรัฐทวารวดีเมื่อครั้ง
อํานาจของรัฐทวารวดีในดินแดนภาคกลางของประเทศไทยเสื่อมลงไปแล้ว ละโว้จึงได้ปรับเปลี่ยน
คตินิยมไปเป็นแบบขอม(คณะอนุกรรมการแต่งกายไทย, 2543: 86) ดังนั้น ศิลปะลพบุรีได้รับ
รูปแบบมาจากศิลปะของขอมเป็นส่วนใหญ่ รูปหล่อสําริดที่มีอยู่เป็นจํานวนมากสะท้อนให้เห็นถึง
การแต่งกายของชาวลพบุรีที่รับเอาวัฒนธรรมมาจากขอม (โอม รัชเวทย์, 2543: 22) ลักษณะการ
แต่งกายสมัยลพบุรีโดยทั่วไปมีลักษณะดังนี้
ลักษณะการแต่งกายของผู้หญิง
ผม ผมแสกกลาง ตอนบนมุ่นเป็นมวย ปักด้วยปิ่นยอดแหลม
เครื่องประดับ สวมกําไลต้นแขน ข้อมือทั้ง 2 มีปิ่น เข็มขัดมีลวดลาย สวมเทริดที่
ศีรษะมีกรองคอทําลวดลายเป็นแผ่นใหญ่ ตุ้มหูทําเป็นหัวเป็ดควํ่า
เครื่องแต่งกาย ไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าให้ชายซ้อนกันตรงหน้า แล้วปล่อยชายออก 2 ข้าง
เป็นปลี บางทีปล่อยชายยาวลงถึงสะโพกทั้งขวาและซ้าย เป็นชายไหว คาดเข็มขัด ปลายทําเป็น
พู่คล้ายกรวยเชิงห้อยเรียงเป็นแถว ไม่สวมรองเท้า
การแต่งกายของหญิง สมัยลพบุรี
ภาพเขียนเลียนแบบจากกรมศิลปากร (2511: 39, 41, 42)
16
ลักษณะการแต่งกายของผู้ชาย
ผม เกล้าผมเหนือศีรษะ
เครื่องประดับ คาดเข็มขัดหัวเข็มขัดผูกเป็นปมเงื่อนแบบสอดสร้อย ใส่ตุ้มหู กรองคอ
เป็นเส้นเกลี้ยง ซ้อนกัน2ชั้น ตรงกลางทําเป็นลวดลายดอกไม้เม็ดกลม ๆซ้อนกัน สวมกําไลต้นแขน
ข้อมือ และเท้า
เครื่องแต่งกาย นุ่งผ้าถุงสูง ขวาทับซ้ายแล้วทิ้งชายเป็นกาบใหญ่ คาดเข็มขัด นุ่งสั้น
เหนือเข่าทิ้งชายพกออกมา ข้าหน้าเป็นแผ่นใหญ่ ไม่สวมรองเท้า
การแต่งกายชาย สมัยลพบุรี
ภาพเขียนเลียนแบบจากกรมศิลปากร (2511: 37-38)
17
2.4 สมัยเชียงแสน (ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 18 – 24)
“เชียงแสน” ปัจจุบันเป็นอําเภอหนึ่งในจังหวัดเชียงราย ปัจจุบันนักวิชาการนิยมเรียกรัฐ
เชียงแสนว่า รัฐล้านนา ซึ่งมีอารยธรรมและวัฒนธรรมเป็นแบบหนึ่งโดยเฉพาะ (คณะอนุกรรมการ
แต่งกายไทย, 2543: 91) เชียงแสนมีดินแดนต่อกับดินแดนทางภาคเหนือของอาณาจักรสุโขทัย
ชาวเชียงแสนมีความเจริญทางด้านศิลปวัฒนธรรมและวิทยาการต่างๆ โดยได้รับอิทธิพลทางศิลป
จากอินเดียสมัยราชวงศ์ปาละ ผ่านทางมาทางประเทศพม่า และได้พัฒนาให้มีลักษณะของตัวเอง
จนกลายเป็นรูปแบบของศิลปไทยแท้ในยุคแรก มีหลักฐานกล่าวถึงผ้าหลายชนิดทั้งที่ทอขึ้นเป็น
ของตัวเองและทอขึ้นเพื่อเป็นสินค้าขายให้แก่อาณาจักรใกล้เคียง เช่นผ้าสีจันทร์ขาว ผ้าสีจันทร์
แดง ผ้าสีดอกจําปา แสดงว่ามีการย้อมสีจากธรรมชาติ (โอม รัชเวทย์, 2543: 40) ทางด้านการ
แต่งกายจึงเป็นการแต่งกายเป็นการผสมผสานระหว่าง พม่า และขอมลักษณะการแต่งกาย
โดยทั่วไปมีดังนี้
ลักษณะการแต่งกายของผู้หญิง
ผม ผมทรงสูง เกล้าผมไว้ตรงกลาง
เครื่องประดับ สวมเครื่องประดับศีรษะ มีรัดเกล้า สวมสร้อยสังวาล รัดแขน กําไลมือ
กําไลเท้า ใสตุ้มหู
เครื่องแต่งกาย นุ่งผ้าถุงยาวแบบตํ่าที่ระดับใต้สะดือ มีผ้าคาดทิ้งชายยาว ปล่อยชาย
พกห้อยออกมาที่ด้านหน้าเป็นแฉก ไม่สวมเสื้อ มีสไบแพรบางสําหรับรัดอกให้กระชับขณะทํางาน
ลักษณะการแต่งกายของผู้ชาย
ผม ไว้ผมทรงสูง สวมเครื่องประดับศีรษะ
เครื่องประดับ สวมกรองคอ สร้อยสังวาล กําไลมือ และกําไลเท้า
เครื่องแต่งกาย นุ่งผ้าสองชาย จับจีบลงมาเกือบถึงข้อเท้า ด้านหน้าซ้อนผ้าหลายชั้น
รัดชายออกเป็นปลีทางด้านข้างคล้ายชายไหวชายแครง มีผ้าข้าวม้าเคียนเอว หรือพาดบ่า อากาศ
หนาว จะสวมเสื้อแขนยาว
18
การแต่งกายสมัยเชียงแสน
ภาพวาดเลียนแบบจากจิตรกรรมฝาพนังวัดภูมินทร์จังหวัดน่านแสดงรูปแบบการแต่งกายของชาว
เชียงแสนล้านนาในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 25 (คณะอนุกรรมการแต่งกายไทย, 2543: 92-95)
2.5 สมัยสุโขทัย (ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 19 – 20)
เมื่อครั้งที่”พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” ทรงสถาปนากรุงสุโขทัยขึ้นเป็นราชธานี แห่งอาณาจักร
สุโขทัย เมื่อ พ.ศ.1762 ได้มีหัวเมืองต่างๆที่มีคนไทยปกครองก็หันมายอมรับเอากรุงสุโขทัยเป็น
ศูนย์กลางอํานาจ ทําให้มีอาณาเขตแผ่กว้างออกไป มีความเจริญก้าวหน้าในทุกด้านทั้ง
ศิลปวัฒนธรรมและวิทยาการ(โอม รัชเวทย์, 2543:44) การแต่งกายของชาวสุโทัยอาจเทียบเคียง
ได้จากภาพเขียนลายเส้นบนแผ่นศิลาจากวัดศรีชุม ภาพลายเส้นบนรอยพระพุทธบาทที่ทําด้วย
สําริด รูปหล่อสําริดและตุ๊กตาสังคโลก (คณะอนุกรรมการแต่งกายไทย, 2543: 102-103) ที่แสดง
ให้เห็นทั้งทรงผม เสื้อ ผ้าห่ม เครื่องประดับและเครื่องหอม
19
ลักษณะการแต่งกายของผู้หญิง
ผม ผมยาวเกล้ามวยบนศีรษะ มีพวงดอกไม้หรือพวงมาลัยสวมรอบมวย หรือไว้ผมแสก
กลาง รวบผมไว้ท้ายทอย มีเกี้ยวหรือห่วงกลมคล้องตรงที่รวบ
เครื่องประดับ กรองคอ รัดแขน กําไลมือและกําไลเท้า เครื่องปักผมเป็นเข็มเงิน เข็ม
ทอง ใส่แหวน รัดเกล้า
เครื่องแต่งกาย นุ่งผ้าซิ่นหรือผ้าถุงยาวกรอมถึงข้อเท้า
การแต่งกายของหญิง สมัยสุโขทัย
ภาพเขียนเลียนแบบจาก กรมศิลปากร (2511: 70, 72, 75)
ลักษณะการแต่งกายของผู้ชาย
ผม มุ่นผม หรือปล่อยผมเมื่อยามพักผ่อนอยู่บ้าน
เครื่องประดับ กษัตริย์จะสวมเทริด กําไล เพชร พลอยสี
เครื่องแต่งกาย นุ่งกางเกงครึ่งน่อง แล้วนุ่งผ้าถกเขมร หรือหยักรั้งทับกางเกงอีกที
ต่อมาประยุกต์เป็นนุ่งสั้นและทิ้งหางเหน็บ เรียกว่ากระเบนเหน็บ หรือนุ่งแบบโรยเชิง สวมเสื้อคอ
กลมหรือไม่สวม
20
การแต่งกายสมัยสุโขทัย (ชาย)
ภาพเขียนเลียนแบบจาก กรมศิลปากร (2511: 79, 81)
21
2.6 สมัยอยุธยา (พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2310)
ราวสมัย พ.ศ. 1893 สมัยพระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยา ชาวบ้านปลดกางเกงหรือ
สนับเพลาออกบ้างแล้ว คงใช้เฉพาะขุนนางข้าราชสํานัก แบบขัดเขมรจึงถูกปล่อยให้ยาวลงมาถึง
ใต้เข่าเป็น “นุ่งโจงกระเบน” เสื้อคอกลมแขนกรอมศอก สตรีนุ่งผ้าและผ้ายกห่มสไบเฉียง สวมเสื้อ
บ้างโดยมากเป็นแขนกระบอก
การแต่งกายของสมัยอยุธยามีการเปลี่ยนแปลงตามเหตุการณ์บ้านเมือง ซึ่งมี3 แบบ ดังนี้
1. การแต่งกายตามกฎมณเฑียรบาล เป็นแบบของเจ้านาย ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทั้ง
ผู้ชายและผู้หญิงตลอดจนพวกมีฐานะจะแต่งตามไปด้วย ผู้หญิงยังมีการเกล้ามวยอยู่
2. การแต่งกายแบบชาวบ้าน (ระยะกลางของสมัยอยุธยา) มีการนุ่งโจงกระเบนทางแถบ
เมืองเหนือ ผู้ชายอาจไว้ผมยาว ส่วนทางใต้ลงมาตัดผมสั้นลง ครั้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ได้มีการไว้ผมมหาดไทย ผู้หญิงยังคงไว้ผมยาวนิยมห่มสไบ
3. ยุคสงคราม (สมัยอยุธยาตอนปลาย) ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต้องช่วยกันต่อสู้กับศัตรู
ผู้หญิงตัดผมสั้นลง เพื่อปลอมเป็นผู้ชาย และสะดวกในการหลบหนี เสื้อผ้าอาภรณ์จึงตัดทอน
ไม่ให้รุ่มร่าม เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนที่และเคลื่อนไหว มีการห่มผ้าตะเบงมานคือห่มไขว้กัน
บริเวณหน้าอกแล้วรวบไปผูกไว้หลังคอ ส่วนผู้ชายไม่มีการเปลี่ยนแปลง (อภิโชค แซ่โค้ว, 2542:
22)
การแต่งกายยุคกรุงศรีอยุธยา จึงแบ่งออกเป็น 4 สมัย ดังนี้(สมภพ จันทรประภา,
2526: 28)
1. สมัยที่ 1 พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2031
หญิง
ผม ยังคงเกล้าผม การเกล้ามี 2 แบบ คือ เกล้าไว้ท้ายทอย และเกล้าสูงบน(หนูนหยิก)
ศีรษะมีเครื่องประดับเรียกว่า เกี้ยว เป็นเครื่องรัดมวยผม
เครื่องประดับ สร้อยตัว สร้อยข้อมือ กําไล ต่างหู
เครื่องแต่งกาย นุ่งซิ่นจีบหน้า สวมเสื้อแขนกระบอก คอกลม ผ่าหน้า เสื้อยาวเข้ารูป
มีผ้าคลุมสะโพกไว้ด้านในของตัวเสื้อแต่ปล่อยชายออกด้านนอก ต่อมาได้ต่อเข้ากับตัวเสื้อเป็น
ชายเสื้อลงมาอีกทีหนึ่ง
ชาย
ผม มหาดเล็กและคนรับใช้ตัดผมสั้น ชายยังคงเกล้าผมกลางกระหม่อมเช่นเดียวกับ
หญิง
22
เครื่องแต่งกาย นุ่งกางเกงยาวลงมาแค่หน้าแข้ง ปลายขาเรียวเล็กกว่าเดิม นุ่งผ้าหยักรั้ง
แบบเขมรซ้อนทับกางเกง ชายผ้ายาวเสมอเข่า ใช้ผ้าคาดเอว สวมเสื้อคอแหลม แขนยาวจรดข้อมือ
ผ่าอก สาบซ้ายทับสาบขวา มีผ้ากุ๊นตรงปลายแหลม คอ สาบหน้า และชายเสื้อ
เครื่องประดับ จากหลักฐานการขุดกรุใต้พระปรางค์วัดราชบูรณะพบว่า ส่วนบนของ
มงกุฎที่ครอบมวยพระเศียรของกษัตริย์ พาหุรัดหรือทองกรเครื่องประดับศีรษะถักด้วยลวดทองคํา
การแต่งกายสมัยอยุธยา (สมัยที่ 1)
ภาพเขียนเลียนแบบจากพวงผกา คุโรวาท (2535: 55)
2. สมัยที่ 2 พ.ศ. 2034-2171
หญิง
ผม ตัดผมสั้น หวีเสยขึ้นไปเป็นผมปีก บ้างก็ยังไว้ผมยาวเกล้าบนศีรษะ เลิกเกล้าเมื่อ
พ.ศ.
2112 เพราะต้องทํางานหนักไม่มีเวลาเกล้าผม
เครื่องแต่งกาย นุ่งกางเกงหรือโจงกระเบน สวมเสื้อแขนกระบอก คอกลมผ่าอก ไม่นิยมสไบ
ผู้หญิงชั้นสูงสวมเสื้อคอแหลมมีผ้าคล้องไหล่2ข้าง
การห่มสไบมีหลายแบบ
1. พันรอบตัวเหน็บทิ้งชาย
23
2. ห่มแบบสไบเฉียงคือพันรอบอก 1รอบแล้วเฉวียงขึ้นบ่าปล่อยชายไว้ข้างหลังเพียงขาพับ
3. แบบสะพัก สองบ่า ใช้ผ้าพันรอบตัวทับกันที่อกแล้วจึงสะพักไหล่ทั้งสองปล่อยชายไปข้าง
หลังทั้ง2ข้าง
4. แบบคล้องไหล่เอาชายไว้ข้างหลังทั้งสองชาย
5. แบบคล้องคอห้อยชายไว้ข้างหน้า
6. แบบห่มคลุม
ชาย
ผม ตัดผมสั้น แสกกลาง
เครื่องแต่งกาย นุ่งโจงกระเบน ไม่สวมเสื้อ มีผ้าคล้องไหล่
การแต่งกายสมัยอยุธยา (สมัยที่ 2)
ภาพเขียนเลียนแบบจากพวงผกา กุโรวาท (2535: 56)
3. สมัยที่ 3 พ.ศ. 2173 – พ.ศ. 2275
หญิง
ผม สตรีในสํานักไว้ผมแบบหญิงพม่าและล้านนาไทย คือ เกล้าไว้บนกระหม่อมแล้ว
คล้องด้วยมาลัย ถัดลงมาปล่อยผมสยายยาว ส่วนหญิงชาวบ้านตัดผมสั้นตอนบนแล้วถอนไรผม
รอบ ๆ ผมตอนที่ถัดลงมาไว้ยาวประบ่า เรียกว่า “ผมปี ก” บางคนโกนท้ายทอย คนรุ่นสาวไว้ผม
ดอกกระทุ่มไม่โกนท้ายทอยปล่อยยาวเป็นรากไทร
24
การแต่งกาย หญิงในราชสํานักนุ่งผ้าซิ่น สวมเสื้อผ่าอก คอแหลม (เดิมนิยม คอกลม)
แขนกระบอกยาวจรดข้อมือหญิงชาวบ้านนุ่งผ้าจีบห่มสไบ มี 3 แบบ คือ รัดอก สไบเฉียง และห่ม
ตะเบงมาน (ห่มไขว้กันแล้วรวบไปผูกไว้หลังคอ) เหมาะสําหรับเวลาทํางาน บุกป่า ออกรบ
เครื่องประดับ ปักปิ่นทองที่มวยผม สวมแหวนหลายวง สร้อยคอ สร้อยข้อมือ
การแต่งหน้า หญิงชาววัง ผัดหน้า ย้อมฟัน และเล็บเป็นสีดํา ไว้เล็บยาวทางปากแดง
หญิงชาวบ้าน ชอบประแป้ งลายพร้อย ไม่ไว้เล็บ ไม่ทาแก้ม ปาก
ชาย
ผม ตัดสั้นทรงมหาดไทย (คงไว้ตอนบนศีรษะรอบๆ ตัดสั้นและโกนท้ายทอย)
การแต่งกาย นุ่งโจงกระเบน ใช้ผ้าขาวม้าคล้องคอ แล้วตลบไปห้อยชายไว้ทางด้านหลัง
สวมเสื้อคอกลม ผ่าอกแขนยาวจรดข้อมือ ในงานพิธีสวม เสื้อยาวถึงหัวเข่า ติดกระดุม ด้านหน้า
8 – 10 เม็ด แขนเสื้อกว้าง และสั้นมาก ไม่ถึงศอก นิยมสวมหมวกแบบต่าง ๆ ขุนนางจะสวม
ลอมพอกยอดแหลม ไปงานพิธีจะสวมรองเท้าแตะปลายแหลมแบบแขกมัวร์
การแต่งกายสมัยอยุธยา(สมัยที่ 3)
ภาพเขียนเลียนแบบจากพวงผกา คุโรวาท (2535: 58,60)
25
4. สมัยที่ 4 พ.ศ. 2275 ถึง พ.ศ. 2310
หลักฐานจากวัดใหญ่สุวรรณารามจังหวัดเพชรบุรีเป็นลักษณะเครื่องทรงในพระมหา
กษัตริย์และคนชั้นสูง
หญิง การแต่งผม มี 3 แบบ คือ
1. ทรงผมมวยกลางศีรษะ
2. ทรงผมปีกมีจอนผม
3. ทรงหนูนหยิกรักแครง (เกล้าพับสองแล้วเกี้ยว กระหวัดไว้ที่โคน รักแครง เกล้า
ผมมวยกลมเฉียงไว้ด้านซ้ายหรือขวา)
4. ทรงผมประบ่า มักจะรวมผมปีกและผมประป่าอยู่ในทรงเดียวกันและผมปีกทํา
เป็นมวยด้วย
เครื่องประดับ นิยมสวมเทริด สวมกําไลข้อมือหลายอัน มีสร้อยข้อมือที่ใหญ่กว่าสมัยใด
สร้อยตัวสวมเฉียงบ่ามีลวดลายดอกไม้ สิ่งที่ใหม่กว่าสมัยใดคือ สวมแหวนก้อยชนิดต่าง ๆ และ
แหวนงูรัดต้นแขน
การแต่งหน้าแต่งตัว ทาขมิ้นให้ตัวเหลืองดังทอง ผัดหน้าขาว ย้อมฟันดํา ย้อมนิ้ว
และเล็บด้วยดอกกรรณิการ์ให้สีแดง
การแต่งกาย ของคนชั้นสูงนุ่งซิ่นยก จีบหน้า ห่มตาด สวมเสื้อริ้วทอง (ทําด้วยผ้าไหม
สลับด้วยเส้นทองแดง) ห่มสไบ ชาวบ้านท่อนบนคาดผ้าแถบหรือห่มสไบ นุ่งโจงกระเบนหรือ
ผ้าถุง
การห่มสไบมี 2 แบบ คือ
1. ห่มคล้องคอตลบชายไปข้างหลังทั้ง 2 ข้าง กันบนเสื้อริ้วทอง และใช้เจียระบาด
(ผ้าคาดพุง) คาดทับเสื้อปล่อยชายลงตรงด้านหน้า
2. ห่มสไบเฉียงไม่ใส่เสื้อเมื่ออยู่กับบ้าน
ชาย ไว้ทรงมหาดไทย ทานํ้ามันหอม
การแต่งกาย สวมเสื้อคอกลมสวมศีรษะ แขนยาวเกือบจรดศอก มีผ้าห่มคล้องคอแล้ว
ตลบชายทั้งสองไปข้างหลัง นุ่งโจงกระเบน ส่วนเจ้านายจะทรงสนับเพลาก่อน แล้วทรงภูษา
จีบโจง มีไหมถักรัดพระองค์ แล้วจึงทรงฉลองพระองค์ คาดผ้าทิพย์ทับฉลองพระองค์อีกที
การแต่งกายสมัยอยุธยา สําหรับผู้ที่สนใจควรศึกษาลายละเอียดเพิ่มเติมจากหนังสือ
อยุธยาอาภรณ์ ของสมภพ จันทรประภา 2526 และการแต่งกายไทย : วิวัฒนาการจากอดีตสู่
ปัจจุบัน 1 สํานักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ 2543 จะได้ลายละเอียดเพิ่มเติม
26
การแต่งกายสมัยอยุธยา (สมัยที่ 4)
ภาพเขียนเลียนแบบจากพวงผกา คุโรวาท (2535: 62)
การแต่งกายของไทยเราจะแสดงลักษณะเด่นชัดตอนสมัยสุโขทัยเป็นราชธานีลงมา
เครื่องแต่งกายของคนย่อมเป็นไปตามสภาพดินฟ้ าอากาศ ในปัจจุบันก็ยังสรุปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
ว่าคนไทยเคยอยู่ตอนใต้ของประเทศจีนหรืออยู่ ณ ที่นี้มานานแล้ว มีความสําคัญในการที่จะ
สันนิษฐานว่าการแต่งตัวเหมือนเผ่าไทยที่ยังอยู่ในเขตแดนจีน มีอากาศหนาวจึงสวมเสื้อหลายชั้น
ถ้าคนไทยอยู่ใน ณ ที่นี้มานานแล้ว ซึ่งจะมีอากาศร้อน เสื้อผ้าก็จะมีลักษณะชนิดพันหลวม ๆ
มากว่าจะเป็นแบบรัดตรึงแนบตัว
นับตั้งแต่สมัยสุโขทัยลงมาเห็นได้ว่าเครื่องแต่งกายของคนอินเดียได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง
ของเครื่องแต่งกายไทย ผ้าจีบและสไบก็คือผ้าส่าหรีดัดแปลงเป็นสองท่อน ส่วนผ้านุ่งก็คือผ้านุ่ง
ของผู้ชายอินเดีย คนไทยมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อรับวัฒนธรรมของใคร
มาแล้วรู้จักดัดแปลงให้เข้ากับสภาพวิถีชีวิตของตนเอง จนกลายเป็นไทยในที่สุด นุ่งโจงห่มจีบ
27
ของไทยก็ได้มาจากห่มส่าหรีของแขกก็จริงแต่ไม่ใช่แขก เรามีการใช้คําว่าเครื่องนุ่งห่มมาก่อน
เครื่องแต่งกาย เพราะใช้นุ่งและห่มจริง คือใช้ปกคลุมท่อนล่างและบนแยกกันเป็นคนละส่วน
เครื่องนุ่งห่มของไทยตั้งแต่อดีตเป็นการใช้ประโยชน์ทั้งในด้านความเหมาะสม การประหยัด
และความคล่องตัวในการดัดแปลง เช่น ในสมัยอยุธยาการแต่งกายของสตรีไทยตามปกติจะ
แสดงออกซึ่งความนุ่มนวลและความเป็นผู้หญิง แต่พอถึงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อไทยจะทํา
สงครามกับพม่าเป็นเวลาที่สตรีไทยต้องออกต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับชาย การแต่งกายของสตรีก็
เปลี่ยนไปให้เหมาะสมกับบทบาทใหม่ คือ แต่งกายให้รัดกุม ไม่รุ่มร่าม สะดวกในการเคลื่อนไหว
เป็นการห่มผ้าแบบ “ตะเบงมาน” ผมก็ตัดสั้นเพื่อสะดวกในการรบ หนีภัย และการปลอมแปลง
เป็นชาย
สําหรับเครื่องแต่งกายที่ใช้สําหรับทํางานกลางแจ้ง หรือทําไร่ ทํานาของคนไทยนั้นก็จะใช้
สีเข้ม เพื่อไม่ให้สกปรกง่าย ตัวเสื้อของสตรีเป็นเสื้อผ่าอก แขนกระบอกเพื่อกันแดด (นฤมล
ปราชญโยธิน, 2525: 1,7)

More Related Content

What's hot

กัณฑ์มัทรี
กัณฑ์มัทรีกัณฑ์มัทรี
กัณฑ์มัทรีMilky' __
 
รำวงมาตรฐาน
รำวงมาตรฐานรำวงมาตรฐาน
รำวงมาตรฐานพัน พัน
 
เฉลยแบบฝึกหัดชนิดของคำ
เฉลยแบบฝึกหัดชนิดของคำเฉลยแบบฝึกหัดชนิดของคำ
เฉลยแบบฝึกหัดชนิดของคำKu'kab Ratthakiat
 
หน่วยที่ 3 การเขียนเรื่องจากคำที่กำหนดให้
หน่วยที่ 3  การเขียนเรื่องจากคำที่กำหนดให้หน่วยที่ 3  การเขียนเรื่องจากคำที่กำหนดให้
หน่วยที่ 3 การเขียนเรื่องจากคำที่กำหนดให้ขนิษฐา ทวีศรี
 
วิธีบันทึกข้อมูลจากการอ่าน
วิธีบันทึกข้อมูลจากการอ่านวิธีบันทึกข้อมูลจากการอ่าน
วิธีบันทึกข้อมูลจากการอ่านASI403 : Arsomsilp Institue of the Arts
 
เศรษฐกิจในสมัยสุโขทัย อยุธยา และธนบุรี
เศรษฐกิจในสมัยสุโขทัย อยุธยา และธนบุรีเศรษฐกิจในสมัยสุโขทัย อยุธยา และธนบุรี
เศรษฐกิจในสมัยสุโขทัย อยุธยา และธนบุรีPrincess Chulabhorn's College, Chiang Rai Thailand
 
อจท. แผน 1 2 สุขศึกษาฯ ป.5 edit
อจท. แผน 1 2 สุขศึกษาฯ ป.5  editอจท. แผน 1 2 สุขศึกษาฯ ป.5  edit
อจท. แผน 1 2 สุขศึกษาฯ ป.5 editสุขใจ สุขกาย
 
ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก
ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก
ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกRuangrat Watthanasaowalak
 
พฤติกรรมที่เป็นปัญหาในการเรียนการ
พฤติกรรมที่เป็นปัญหาในการเรียนการพฤติกรรมที่เป็นปัญหาในการเรียนการ
พฤติกรรมที่เป็นปัญหาในการเรียนการJariya
 
ใบความรู้ องค์ประกอบของพยางค์และคำ
ใบความรู้ องค์ประกอบของพยางค์และคำใบความรู้ องค์ประกอบของพยางค์และคำ
ใบความรู้ องค์ประกอบของพยางค์และคำPiyarerk Bunkoson
 
ประวัติศาสตร์สุโขทัย
ประวัติศาสตร์สุโขทัยประวัติศาสตร์สุโขทัย
ประวัติศาสตร์สุโขทัยchatsawat265
 
หัวใจชายหนุ่ม
หัวใจชายหนุ่มหัวใจชายหนุ่ม
หัวใจชายหนุ่มkkrunuch
 
ใบงาน ระบบต่อมไร้ท่อ นักเรียน
ใบงาน ระบบต่อมไร้ท่อ นักเรียนใบงาน ระบบต่อมไร้ท่อ นักเรียน
ใบงาน ระบบต่อมไร้ท่อ นักเรียนสำเร็จ นางสีคุณ
 
องค์ประกอบศิลป์
องค์ประกอบศิลป์องค์ประกอบศิลป์
องค์ประกอบศิลป์actioncutpro
 
คำถามพร้อมตอบ อิเหนา-ตอน-ศึกกะหมังกุหนิง
คำถามพร้อมตอบ อิเหนา-ตอน-ศึกกะหมังกุหนิงคำถามพร้อมตอบ อิเหนา-ตอน-ศึกกะหมังกุหนิง
คำถามพร้อมตอบ อิเหนา-ตอน-ศึกกะหมังกุหนิงWan Wan
 
พันธุกรรมพื้นฐาน
พันธุกรรมพื้นฐานพันธุกรรมพื้นฐาน
พันธุกรรมพื้นฐานWichai Likitponrak
 
คำขอขมาพระอาจารย์และครูอาจารย์
คำขอขมาพระอาจารย์และครูอาจารย์คำขอขมาพระอาจารย์และครูอาจารย์
คำขอขมาพระอาจารย์และครูอาจารย์niralai
 
ภาษาและวัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน)
ภาษาและวัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน)ภาษาและวัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน)
ภาษาและวัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน)Chainarong Maharak
 
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิแบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิSurapong Klamboot
 

What's hot (20)

กัณฑ์มัทรี
กัณฑ์มัทรีกัณฑ์มัทรี
กัณฑ์มัทรี
 
รำวงมาตรฐาน
รำวงมาตรฐานรำวงมาตรฐาน
รำวงมาตรฐาน
 
เฉลยแบบฝึกหัดชนิดของคำ
เฉลยแบบฝึกหัดชนิดของคำเฉลยแบบฝึกหัดชนิดของคำ
เฉลยแบบฝึกหัดชนิดของคำ
 
หน่วยที่ 3 การเขียนเรื่องจากคำที่กำหนดให้
หน่วยที่ 3  การเขียนเรื่องจากคำที่กำหนดให้หน่วยที่ 3  การเขียนเรื่องจากคำที่กำหนดให้
หน่วยที่ 3 การเขียนเรื่องจากคำที่กำหนดให้
 
วิธีบันทึกข้อมูลจากการอ่าน
วิธีบันทึกข้อมูลจากการอ่านวิธีบันทึกข้อมูลจากการอ่าน
วิธีบันทึกข้อมูลจากการอ่าน
 
เศรษฐกิจในสมัยสุโขทัย อยุธยา และธนบุรี
เศรษฐกิจในสมัยสุโขทัย อยุธยา และธนบุรีเศรษฐกิจในสมัยสุโขทัย อยุธยา และธนบุรี
เศรษฐกิจในสมัยสุโขทัย อยุธยา และธนบุรี
 
อจท. แผน 1 2 สุขศึกษาฯ ป.5 edit
อจท. แผน 1 2 สุขศึกษาฯ ป.5  editอจท. แผน 1 2 สุขศึกษาฯ ป.5  edit
อจท. แผน 1 2 สุขศึกษาฯ ป.5 edit
 
สถาบันเศรษฐกิจ
สถาบันเศรษฐกิจสถาบันเศรษฐกิจ
สถาบันเศรษฐกิจ
 
ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก
ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก
ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก
 
พฤติกรรมที่เป็นปัญหาในการเรียนการ
พฤติกรรมที่เป็นปัญหาในการเรียนการพฤติกรรมที่เป็นปัญหาในการเรียนการ
พฤติกรรมที่เป็นปัญหาในการเรียนการ
 
ใบความรู้ องค์ประกอบของพยางค์และคำ
ใบความรู้ องค์ประกอบของพยางค์และคำใบความรู้ องค์ประกอบของพยางค์และคำ
ใบความรู้ องค์ประกอบของพยางค์และคำ
 
ประวัติศาสตร์สุโขทัย
ประวัติศาสตร์สุโขทัยประวัติศาสตร์สุโขทัย
ประวัติศาสตร์สุโขทัย
 
หัวใจชายหนุ่ม
หัวใจชายหนุ่มหัวใจชายหนุ่ม
หัวใจชายหนุ่ม
 
ใบงาน ระบบต่อมไร้ท่อ นักเรียน
ใบงาน ระบบต่อมไร้ท่อ นักเรียนใบงาน ระบบต่อมไร้ท่อ นักเรียน
ใบงาน ระบบต่อมไร้ท่อ นักเรียน
 
องค์ประกอบศิลป์
องค์ประกอบศิลป์องค์ประกอบศิลป์
องค์ประกอบศิลป์
 
คำถามพร้อมตอบ อิเหนา-ตอน-ศึกกะหมังกุหนิง
คำถามพร้อมตอบ อิเหนา-ตอน-ศึกกะหมังกุหนิงคำถามพร้อมตอบ อิเหนา-ตอน-ศึกกะหมังกุหนิง
คำถามพร้อมตอบ อิเหนา-ตอน-ศึกกะหมังกุหนิง
 
พันธุกรรมพื้นฐาน
พันธุกรรมพื้นฐานพันธุกรรมพื้นฐาน
พันธุกรรมพื้นฐาน
 
คำขอขมาพระอาจารย์และครูอาจารย์
คำขอขมาพระอาจารย์และครูอาจารย์คำขอขมาพระอาจารย์และครูอาจารย์
คำขอขมาพระอาจารย์และครูอาจารย์
 
ภาษาและวัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน)
ภาษาและวัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน)ภาษาและวัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน)
ภาษาและวัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน)
 
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิแบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
 

Viewers also liked

ใบงานท 2
ใบงานท   2ใบงานท   2
ใบงานท 2bmbeam
 
Copyof resume navdeep-latest
Copyof resume navdeep-latestCopyof resume navdeep-latest
Copyof resume navdeep-latestNavdeep Singh
 
เฉลยสถาบันหลักของชาติ M.5
เฉลยสถาบันหลักของชาติ M.5เฉลยสถาบันหลักของชาติ M.5
เฉลยสถาบันหลักของชาติ M.5Kunnai- เบ้
 
Sydney house prices
Sydney house pricesSydney house prices
Sydney house pricesLee Morley
 
Presentation EADL influence new technology learning
Presentation EADL influence new technology learningPresentation EADL influence new technology learning
Presentation EADL influence new technology learningWilfredRubens.com
 
珊瑚的介紹
珊瑚的介紹珊瑚的介紹
珊瑚的介紹hss8424
 
Đào tạo chỉ huy trưởng công trình xây dựng tại TPHCM,Bình Dương,Vũng Tàu và c...
Đào tạo chỉ huy trưởng công trình xây dựng tại TPHCM,Bình Dương,Vũng Tàu và c...Đào tạo chỉ huy trưởng công trình xây dựng tại TPHCM,Bình Dương,Vũng Tàu và c...
Đào tạo chỉ huy trưởng công trình xây dựng tại TPHCM,Bình Dương,Vũng Tàu và c...Ngốc Rùa
 
Apresentação foco na vida powerpoint
Apresentação foco na vida powerpointApresentação foco na vida powerpoint
Apresentação foco na vida powerpointPAULO RICARDO FERREIRA
 
Made4 u connect-eu
Made4 u connect-euMade4 u connect-eu
Made4 u connect-euvjkritis
 
ADWENYU DAVID CURRICULUM VITAE CURRE
ADWENYU DAVID CURRICULUM VITAE CURREADWENYU DAVID CURRICULUM VITAE CURRE
ADWENYU DAVID CURRICULUM VITAE CURREADWENYU DAVID
 
Using Social Media Tools To Leverage Your Job Search
Using Social Media Tools To Leverage Your Job SearchUsing Social Media Tools To Leverage Your Job Search
Using Social Media Tools To Leverage Your Job SearchReinfranck
 
Officenet
OfficenetOfficenet
Officenetyakito
 
DE LA TEORÍA A LA PRÁCTICA: PROPUESTAS PARA EL ABORDAJE DE LOS TEXTOS EN DIFE...
DE LA TEORÍA A LA PRÁCTICA: PROPUESTAS PARA EL ABORDAJE DE LOS TEXTOS EN DIFE...DE LA TEORÍA A LA PRÁCTICA: PROPUESTAS PARA EL ABORDAJE DE LOS TEXTOS EN DIFE...
DE LA TEORÍA A LA PRÁCTICA: PROPUESTAS PARA EL ABORDAJE DE LOS TEXTOS EN DIFE...ProfessorPrincipiante
 

Viewers also liked (20)

ใบงานท 2
ใบงานท   2ใบงานท   2
ใบงานท 2
 
ԻԿՄ (1)
ԻԿՄ (1)ԻԿՄ (1)
ԻԿՄ (1)
 
Copyof resume navdeep-latest
Copyof resume navdeep-latestCopyof resume navdeep-latest
Copyof resume navdeep-latest
 
เฉลยสถาบันหลักของชาติ M.5
เฉลยสถาบันหลักของชาติ M.5เฉลยสถาบันหลักของชาติ M.5
เฉลยสถาบันหลักของชาติ M.5
 
Sydney house prices
Sydney house pricesSydney house prices
Sydney house prices
 
Presentation EADL influence new technology learning
Presentation EADL influence new technology learningPresentation EADL influence new technology learning
Presentation EADL influence new technology learning
 
SmartCampus - Online School ERP
SmartCampus - Online School ERPSmartCampus - Online School ERP
SmartCampus - Online School ERP
 
Khishigzaya
KhishigzayaKhishigzaya
Khishigzaya
 
Driving effects caffeine vs napping
Driving effects caffeine vs nappingDriving effects caffeine vs napping
Driving effects caffeine vs napping
 
Uu 05 1952
Uu 05 1952Uu 05 1952
Uu 05 1952
 
珊瑚的介紹
珊瑚的介紹珊瑚的介紹
珊瑚的介紹
 
Đào tạo chỉ huy trưởng công trình xây dựng tại TPHCM,Bình Dương,Vũng Tàu và c...
Đào tạo chỉ huy trưởng công trình xây dựng tại TPHCM,Bình Dương,Vũng Tàu và c...Đào tạo chỉ huy trưởng công trình xây dựng tại TPHCM,Bình Dương,Vũng Tàu và c...
Đào tạo chỉ huy trưởng công trình xây dựng tại TPHCM,Bình Dương,Vũng Tàu và c...
 
Apresentação foco na vida powerpoint
Apresentação foco na vida powerpointApresentação foco na vida powerpoint
Apresentação foco na vida powerpoint
 
Made4 u connect-eu
Made4 u connect-euMade4 u connect-eu
Made4 u connect-eu
 
ADWENYU DAVID CURRICULUM VITAE CURRE
ADWENYU DAVID CURRICULUM VITAE CURREADWENYU DAVID CURRICULUM VITAE CURRE
ADWENYU DAVID CURRICULUM VITAE CURRE
 
Using Social Media Tools To Leverage Your Job Search
Using Social Media Tools To Leverage Your Job SearchUsing Social Media Tools To Leverage Your Job Search
Using Social Media Tools To Leverage Your Job Search
 
Officenet
OfficenetOfficenet
Officenet
 
DE LA TEORÍA A LA PRÁCTICA: PROPUESTAS PARA EL ABORDAJE DE LOS TEXTOS EN DIFE...
DE LA TEORÍA A LA PRÁCTICA: PROPUESTAS PARA EL ABORDAJE DE LOS TEXTOS EN DIFE...DE LA TEORÍA A LA PRÁCTICA: PROPUESTAS PARA EL ABORDAJE DE LOS TEXTOS EN DIFE...
DE LA TEORÍA A LA PRÁCTICA: PROPUESTAS PARA EL ABORDAJE DE LOS TEXTOS EN DIFE...
 
Proyecto
ProyectoProyecto
Proyecto
 
Animals africa
Animals africaAnimals africa
Animals africa
 

การแต่งกายสมัยต่างๆ

  • 1. บทที่ 2 การแต่งกายไทยตามสมัยประวัติศาสตร์และโบราณคดี การแต่งการไทยตามสมัยประวัติศาสตร์และโบราณคดีในบทนี้ได้อ้างอิงการจัดแบ่ง ลําดับเครื่องแต่งกายตามเอกสารทางวิชาการ“สมุดภาพแสดงเครื่องแต่งกายตามสมัย ประวัติศาสตร์และโบราณคดี” ของกรมศิลปากรเนื่องในงานฉลองครบรอบ 20 ปี สภาการ พิพิธภัณฑ์ระหว่างชาติ (2511) โดยจัดแบ่งลําดับออกเป็น 7 สมัย (กรมศิลปากร, 2511: 3) ดังต่อไปนี้ 1. สมัยทวารวดี ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-16 2. สมัยศรีวิชัย ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 13 - 18 3. สมัยลพบุรี ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16 – 19 4. สมัยเชียงแสน ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 17 – 25 5. สมัยสุโขทัย ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 19 – 20 6. สมัยอยุธยา ตั้งแต่ พ.ศ. 1893 – 2310 7. สมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2310 – รัชกาลปัจจุบัน ทั้งนี้ได้แยกศึกษาสมัยรัตนโกสินทร์ ไว้ในบทที่ 3 เนื่องจากมีรายละเอียดและเนื้อหา ของเครื่องแต่งกายที่น่าสนใจ รวมทั้งมีพัฒนาการของเครื่องแต่งการร่วมสมัย 2.1 สมัยทวาราวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-16) “ทวารวดี” เป็นอาณาจักรที่นักโบราณคดีเรียกดินแดนระหว่างศรีเกษตร(ประเทศพม่า) และอิศานปุระ (ประเทศกัมพูชา) (คณะอนุกรรมการแต่งกายไทย, 2543: 64) มีศูนย์กลางอยู่ บริเวณลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยาตอนล่างเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ที่มีประชาชนนับถือศาสนาพุทธ และฮินดูได้รับอิทธิพลทางด้านศิลปวัฒนธรรมและการแต่งกายจากอินเดียเข้ามาผสมกับอารย ธรรมพื้นเมืองของตนจนมีความเจริญก้าวหน้า(โอม รัชเวทย์, 2543: 4) ลักษณะของการแต่งการ ได้บ่งบอกถึงฐานะของผู้คน เป็นตันว่า พระเจ้าแผ่นดินนุ่งผ้ายกดอกได้ ขุนนางธรรมดาใช้ได้แต่
  • 2. 10 ผ้ายกดอกสองชาย ส่วนราษฎรสามัญจะใช้ผ้ายกดอกได้แต่ผู้หญิงเท่านั้น (คณะอนุกรรมการแต่ง กายไทย, 2543: 64) อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานแสดงให้เห็นถึงการแต่งการของคนในสมัยทวาร วดี ปรากฎอยู่บนงานปฎิมากรรมต่างๆเช่นที่ พระเจดีย์จุลประโทน อําเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ขุดพบภาพสลักลายเส้นบนแผ่นหินเป็นรูปเจ้านายชั้นสูงไม่สวมเสื้อ นุ่งโจงกระเบน รอบตัวมีหม้อ นํ้า หอยสังข์ เงินตราและดาว (โอม รัชเวทย์, 2543: 4) ส่วนลักษณะการแต่งกายโดยทั่วไปมีดังนี้ ลักษณะการแต่งกายของหญิง ผม ทําผมเกล้ามวย หรือถักเปียเป็นจอมสูงเหนือศีรษะ ใช้ผ้าสลับสีรัดเกล้าไว้ตรงกลาง แล้วปล่อยชายผมลงมาหรือเกล้าแล้วรัดเกล้าไว้ไม่ปล่อยชายผมหรือถักเปียเป็นจอมสูงเหนือ ศีรษะรัดตรงกลางให้ตอนบนสยายออก เครื่องประดับ ต่างหูเป็นแผ่นกลม หรือเป็นห่วงกลม สายสร้อยทําเป็นแผ่นทับทรวงรูป สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเป็นลวดลายนก ต้นแขนประดับด้วยกําไลเล็ก ๆ ทําด้วยทองคําสําริด และ ลูกปัดสีต่าง ๆ สวมกําไลมือหลายเส้น
  • 4. 12 เครื่องแต่งกาย นุ่งผ้าซิ่นจีบพื้นหรือลวดลาย ย้อมสีกรัก (สีจากแก่นขนุน) ทบซ้อนกัน ข้างหน้าทิ้งชายแนบลําตัว ไม่สวมเสื้อ ห่มผ้าสะไบเฉียงบ่าซ้ายไพล่มาข้างขวา เป็นผ้า ฝ้ ายบางจีบไม่สวมรองเท้า ลักษณะการแต่งกายของชาย ผม ถักเปียเป็นหลอดยาวประบ่า หรือเกล้าสูงรัดด้วยผ้า หรือเครื่องประดับแล้วปล่อย ชายผมกลับลงมา เกล้าเป็นจุกก็มี เครื่องประดับ ใส่กรองคอ กําไลแขน ต่างหู เข็มขัดโลหะคาดเอว เครื่องแต่งกาย มีผ้าเฉลียงบ่าบาง ๆ นุ่งผ้าจีบชายผ้าด้านหน้าทิ้งลงไปคล้ายผ้าถุงครึ่ง แข้ง ชายขมวดทิ้งลงไปข้างซ้าย คาดเข็มขัด ไม่สวมเสื้อ การแต่งกายรูปแบบหนึ่งของชายสมัยทวาราวดี ภาพเขียนเลียนแบบจากกรมศิลปากร (2511: 9)
  • 5. 13 2.2 สมัยศรีวิชัย (ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 13-18) “ศรีวิชัย” เป็นรัฐที่เกิดขึ้นทางภาคใต้ โดยถูกอิทธิพลจาก “รัฐฟูนัน” ประเทศจีนที่เคยมี อํานาจควบคุมทะเลจีนใต้ นอกจากนี้ “รัฐศรีวิชัย” ยังตั้งอยู่ในทําเลค้าขายที่สําคัญโดยมีการค้า ขายกับจีน อินเดียและประเทศในตะวันออกกลาง (คณะอนุกรรมการแต่งกายไทย, 2543: 74) ดังนั้น การแต่งกายของคนสมัยศรีวิชัย จึงได้รับอิทธิพลด้านการใช้ผ้าจากจีน และเครื่องประดับ จากชาวอินเดีย (คณะอนุกรรมการแต่งกายไทย, 2543: 79-80) ลักษณะการแต่งกายของหญิง ผม เกล้ามวยสูงทําเป็นพุ่มทรงข้าวบิณฑ์ สวมกลีบรวบด้วยรัดเกล้า ปล่อยชายปรกลง มาด้านหน้า บางทีมุ่นมวยเป็นทรงกลมเหนือศีรษะใช้รัดเกล้าเป็นชั้น ๆแล้วปล่อยชายผมลงประบ่า ทั้ง 2 ข้าง หรือถักเปีย การแต่งกายของหญิงสมัยศรีวิชัย ภาพเขียนเลียนแบบจาก กรมศิลปากร (2511: 26)
  • 6. 14 เครื่องประดับ ประดับด้วยรัดเกล้า ตุ้มหูแผ่นกลมเป็นกลีบดอกไม้ ใส่กรองคอทับทรวง ใส่กําไรต้นแขนทําด้วยโลหะ หรือลูกปัดร้อยเป็นพวงอุบะ ใส่กําไลมือและเท้า เครื่องแต่งกาย นุ่งผ้าครึ่งแข้งปลายบานยกขอบ ผ้าผืนเดียวบางแนบเนื้อคล้ายผู้ชาย ขอบผ้าชั้นบนทําเป็นวงโค้งเห็นส่วนท้อง คาดเข็มขัดปล่อยชายผ้าลงทางด้านขวา ลักษณะการแต่งกายของชาย ผม เกล้ามวยเป็นกระพุ่มเรียงสูง ด้วยเครื่องประดับ ปล่อยปลายผมสยายลงรอบศีรษะ เป็นชั้น ๆ บางทีปล่อยชายผมชั้นล่างสยายลงประบ่า เครื่องประดับ ใส่ตุ้มหูเป็นเม็ดกลมใหญ่ คล้องสายสังวาลย์ คาดเข็มขัดโลหะใส่กําไล แขนและข้อมือ เครื่องแต่งกาย นุ่งผ้าชายพกตํ่า ปล่อยชายย้อยเป็นกระหนก คาดเข็มขัดโลหะ การแต่งกายของชาย สมัยศรีวิชัย ภาพเขียนเลียนแบบจากกรมศิลปากร (2511: 20, 24)
  • 7. 15 2.3 สมัยลพบุรี (ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-19) “เมืองลวปุระหรือละโว้หรือลพบุรี” เคยเป็นเมืองสําคัญมาแต่สมัยรัฐทวารวดีเมื่อครั้ง อํานาจของรัฐทวารวดีในดินแดนภาคกลางของประเทศไทยเสื่อมลงไปแล้ว ละโว้จึงได้ปรับเปลี่ยน คตินิยมไปเป็นแบบขอม(คณะอนุกรรมการแต่งกายไทย, 2543: 86) ดังนั้น ศิลปะลพบุรีได้รับ รูปแบบมาจากศิลปะของขอมเป็นส่วนใหญ่ รูปหล่อสําริดที่มีอยู่เป็นจํานวนมากสะท้อนให้เห็นถึง การแต่งกายของชาวลพบุรีที่รับเอาวัฒนธรรมมาจากขอม (โอม รัชเวทย์, 2543: 22) ลักษณะการ แต่งกายสมัยลพบุรีโดยทั่วไปมีลักษณะดังนี้ ลักษณะการแต่งกายของผู้หญิง ผม ผมแสกกลาง ตอนบนมุ่นเป็นมวย ปักด้วยปิ่นยอดแหลม เครื่องประดับ สวมกําไลต้นแขน ข้อมือทั้ง 2 มีปิ่น เข็มขัดมีลวดลาย สวมเทริดที่ ศีรษะมีกรองคอทําลวดลายเป็นแผ่นใหญ่ ตุ้มหูทําเป็นหัวเป็ดควํ่า เครื่องแต่งกาย ไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าให้ชายซ้อนกันตรงหน้า แล้วปล่อยชายออก 2 ข้าง เป็นปลี บางทีปล่อยชายยาวลงถึงสะโพกทั้งขวาและซ้าย เป็นชายไหว คาดเข็มขัด ปลายทําเป็น พู่คล้ายกรวยเชิงห้อยเรียงเป็นแถว ไม่สวมรองเท้า การแต่งกายของหญิง สมัยลพบุรี ภาพเขียนเลียนแบบจากกรมศิลปากร (2511: 39, 41, 42)
  • 8. 16 ลักษณะการแต่งกายของผู้ชาย ผม เกล้าผมเหนือศีรษะ เครื่องประดับ คาดเข็มขัดหัวเข็มขัดผูกเป็นปมเงื่อนแบบสอดสร้อย ใส่ตุ้มหู กรองคอ เป็นเส้นเกลี้ยง ซ้อนกัน2ชั้น ตรงกลางทําเป็นลวดลายดอกไม้เม็ดกลม ๆซ้อนกัน สวมกําไลต้นแขน ข้อมือ และเท้า เครื่องแต่งกาย นุ่งผ้าถุงสูง ขวาทับซ้ายแล้วทิ้งชายเป็นกาบใหญ่ คาดเข็มขัด นุ่งสั้น เหนือเข่าทิ้งชายพกออกมา ข้าหน้าเป็นแผ่นใหญ่ ไม่สวมรองเท้า การแต่งกายชาย สมัยลพบุรี ภาพเขียนเลียนแบบจากกรมศิลปากร (2511: 37-38)
  • 9. 17 2.4 สมัยเชียงแสน (ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 18 – 24) “เชียงแสน” ปัจจุบันเป็นอําเภอหนึ่งในจังหวัดเชียงราย ปัจจุบันนักวิชาการนิยมเรียกรัฐ เชียงแสนว่า รัฐล้านนา ซึ่งมีอารยธรรมและวัฒนธรรมเป็นแบบหนึ่งโดยเฉพาะ (คณะอนุกรรมการ แต่งกายไทย, 2543: 91) เชียงแสนมีดินแดนต่อกับดินแดนทางภาคเหนือของอาณาจักรสุโขทัย ชาวเชียงแสนมีความเจริญทางด้านศิลปวัฒนธรรมและวิทยาการต่างๆ โดยได้รับอิทธิพลทางศิลป จากอินเดียสมัยราชวงศ์ปาละ ผ่านทางมาทางประเทศพม่า และได้พัฒนาให้มีลักษณะของตัวเอง จนกลายเป็นรูปแบบของศิลปไทยแท้ในยุคแรก มีหลักฐานกล่าวถึงผ้าหลายชนิดทั้งที่ทอขึ้นเป็น ของตัวเองและทอขึ้นเพื่อเป็นสินค้าขายให้แก่อาณาจักรใกล้เคียง เช่นผ้าสีจันทร์ขาว ผ้าสีจันทร์ แดง ผ้าสีดอกจําปา แสดงว่ามีการย้อมสีจากธรรมชาติ (โอม รัชเวทย์, 2543: 40) ทางด้านการ แต่งกายจึงเป็นการแต่งกายเป็นการผสมผสานระหว่าง พม่า และขอมลักษณะการแต่งกาย โดยทั่วไปมีดังนี้ ลักษณะการแต่งกายของผู้หญิง ผม ผมทรงสูง เกล้าผมไว้ตรงกลาง เครื่องประดับ สวมเครื่องประดับศีรษะ มีรัดเกล้า สวมสร้อยสังวาล รัดแขน กําไลมือ กําไลเท้า ใสตุ้มหู เครื่องแต่งกาย นุ่งผ้าถุงยาวแบบตํ่าที่ระดับใต้สะดือ มีผ้าคาดทิ้งชายยาว ปล่อยชาย พกห้อยออกมาที่ด้านหน้าเป็นแฉก ไม่สวมเสื้อ มีสไบแพรบางสําหรับรัดอกให้กระชับขณะทํางาน ลักษณะการแต่งกายของผู้ชาย ผม ไว้ผมทรงสูง สวมเครื่องประดับศีรษะ เครื่องประดับ สวมกรองคอ สร้อยสังวาล กําไลมือ และกําไลเท้า เครื่องแต่งกาย นุ่งผ้าสองชาย จับจีบลงมาเกือบถึงข้อเท้า ด้านหน้าซ้อนผ้าหลายชั้น รัดชายออกเป็นปลีทางด้านข้างคล้ายชายไหวชายแครง มีผ้าข้าวม้าเคียนเอว หรือพาดบ่า อากาศ หนาว จะสวมเสื้อแขนยาว
  • 10. 18 การแต่งกายสมัยเชียงแสน ภาพวาดเลียนแบบจากจิตรกรรมฝาพนังวัดภูมินทร์จังหวัดน่านแสดงรูปแบบการแต่งกายของชาว เชียงแสนล้านนาในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 25 (คณะอนุกรรมการแต่งกายไทย, 2543: 92-95) 2.5 สมัยสุโขทัย (ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 19 – 20) เมื่อครั้งที่”พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” ทรงสถาปนากรุงสุโขทัยขึ้นเป็นราชธานี แห่งอาณาจักร สุโขทัย เมื่อ พ.ศ.1762 ได้มีหัวเมืองต่างๆที่มีคนไทยปกครองก็หันมายอมรับเอากรุงสุโขทัยเป็น ศูนย์กลางอํานาจ ทําให้มีอาณาเขตแผ่กว้างออกไป มีความเจริญก้าวหน้าในทุกด้านทั้ง ศิลปวัฒนธรรมและวิทยาการ(โอม รัชเวทย์, 2543:44) การแต่งกายของชาวสุโทัยอาจเทียบเคียง ได้จากภาพเขียนลายเส้นบนแผ่นศิลาจากวัดศรีชุม ภาพลายเส้นบนรอยพระพุทธบาทที่ทําด้วย สําริด รูปหล่อสําริดและตุ๊กตาสังคโลก (คณะอนุกรรมการแต่งกายไทย, 2543: 102-103) ที่แสดง ให้เห็นทั้งทรงผม เสื้อ ผ้าห่ม เครื่องประดับและเครื่องหอม
  • 11. 19 ลักษณะการแต่งกายของผู้หญิง ผม ผมยาวเกล้ามวยบนศีรษะ มีพวงดอกไม้หรือพวงมาลัยสวมรอบมวย หรือไว้ผมแสก กลาง รวบผมไว้ท้ายทอย มีเกี้ยวหรือห่วงกลมคล้องตรงที่รวบ เครื่องประดับ กรองคอ รัดแขน กําไลมือและกําไลเท้า เครื่องปักผมเป็นเข็มเงิน เข็ม ทอง ใส่แหวน รัดเกล้า เครื่องแต่งกาย นุ่งผ้าซิ่นหรือผ้าถุงยาวกรอมถึงข้อเท้า การแต่งกายของหญิง สมัยสุโขทัย ภาพเขียนเลียนแบบจาก กรมศิลปากร (2511: 70, 72, 75) ลักษณะการแต่งกายของผู้ชาย ผม มุ่นผม หรือปล่อยผมเมื่อยามพักผ่อนอยู่บ้าน เครื่องประดับ กษัตริย์จะสวมเทริด กําไล เพชร พลอยสี เครื่องแต่งกาย นุ่งกางเกงครึ่งน่อง แล้วนุ่งผ้าถกเขมร หรือหยักรั้งทับกางเกงอีกที ต่อมาประยุกต์เป็นนุ่งสั้นและทิ้งหางเหน็บ เรียกว่ากระเบนเหน็บ หรือนุ่งแบบโรยเชิง สวมเสื้อคอ กลมหรือไม่สวม
  • 13. 21 2.6 สมัยอยุธยา (พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2310) ราวสมัย พ.ศ. 1893 สมัยพระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยา ชาวบ้านปลดกางเกงหรือ สนับเพลาออกบ้างแล้ว คงใช้เฉพาะขุนนางข้าราชสํานัก แบบขัดเขมรจึงถูกปล่อยให้ยาวลงมาถึง ใต้เข่าเป็น “นุ่งโจงกระเบน” เสื้อคอกลมแขนกรอมศอก สตรีนุ่งผ้าและผ้ายกห่มสไบเฉียง สวมเสื้อ บ้างโดยมากเป็นแขนกระบอก การแต่งกายของสมัยอยุธยามีการเปลี่ยนแปลงตามเหตุการณ์บ้านเมือง ซึ่งมี3 แบบ ดังนี้ 1. การแต่งกายตามกฎมณเฑียรบาล เป็นแบบของเจ้านาย ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทั้ง ผู้ชายและผู้หญิงตลอดจนพวกมีฐานะจะแต่งตามไปด้วย ผู้หญิงยังมีการเกล้ามวยอยู่ 2. การแต่งกายแบบชาวบ้าน (ระยะกลางของสมัยอยุธยา) มีการนุ่งโจงกระเบนทางแถบ เมืองเหนือ ผู้ชายอาจไว้ผมยาว ส่วนทางใต้ลงมาตัดผมสั้นลง ครั้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้มีการไว้ผมมหาดไทย ผู้หญิงยังคงไว้ผมยาวนิยมห่มสไบ 3. ยุคสงคราม (สมัยอยุธยาตอนปลาย) ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต้องช่วยกันต่อสู้กับศัตรู ผู้หญิงตัดผมสั้นลง เพื่อปลอมเป็นผู้ชาย และสะดวกในการหลบหนี เสื้อผ้าอาภรณ์จึงตัดทอน ไม่ให้รุ่มร่าม เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนที่และเคลื่อนไหว มีการห่มผ้าตะเบงมานคือห่มไขว้กัน บริเวณหน้าอกแล้วรวบไปผูกไว้หลังคอ ส่วนผู้ชายไม่มีการเปลี่ยนแปลง (อภิโชค แซ่โค้ว, 2542: 22) การแต่งกายยุคกรุงศรีอยุธยา จึงแบ่งออกเป็น 4 สมัย ดังนี้(สมภพ จันทรประภา, 2526: 28) 1. สมัยที่ 1 พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2031 หญิง ผม ยังคงเกล้าผม การเกล้ามี 2 แบบ คือ เกล้าไว้ท้ายทอย และเกล้าสูงบน(หนูนหยิก) ศีรษะมีเครื่องประดับเรียกว่า เกี้ยว เป็นเครื่องรัดมวยผม เครื่องประดับ สร้อยตัว สร้อยข้อมือ กําไล ต่างหู เครื่องแต่งกาย นุ่งซิ่นจีบหน้า สวมเสื้อแขนกระบอก คอกลม ผ่าหน้า เสื้อยาวเข้ารูป มีผ้าคลุมสะโพกไว้ด้านในของตัวเสื้อแต่ปล่อยชายออกด้านนอก ต่อมาได้ต่อเข้ากับตัวเสื้อเป็น ชายเสื้อลงมาอีกทีหนึ่ง ชาย ผม มหาดเล็กและคนรับใช้ตัดผมสั้น ชายยังคงเกล้าผมกลางกระหม่อมเช่นเดียวกับ หญิง
  • 14. 22 เครื่องแต่งกาย นุ่งกางเกงยาวลงมาแค่หน้าแข้ง ปลายขาเรียวเล็กกว่าเดิม นุ่งผ้าหยักรั้ง แบบเขมรซ้อนทับกางเกง ชายผ้ายาวเสมอเข่า ใช้ผ้าคาดเอว สวมเสื้อคอแหลม แขนยาวจรดข้อมือ ผ่าอก สาบซ้ายทับสาบขวา มีผ้ากุ๊นตรงปลายแหลม คอ สาบหน้า และชายเสื้อ เครื่องประดับ จากหลักฐานการขุดกรุใต้พระปรางค์วัดราชบูรณะพบว่า ส่วนบนของ มงกุฎที่ครอบมวยพระเศียรของกษัตริย์ พาหุรัดหรือทองกรเครื่องประดับศีรษะถักด้วยลวดทองคํา การแต่งกายสมัยอยุธยา (สมัยที่ 1) ภาพเขียนเลียนแบบจากพวงผกา คุโรวาท (2535: 55) 2. สมัยที่ 2 พ.ศ. 2034-2171 หญิง ผม ตัดผมสั้น หวีเสยขึ้นไปเป็นผมปีก บ้างก็ยังไว้ผมยาวเกล้าบนศีรษะ เลิกเกล้าเมื่อ พ.ศ. 2112 เพราะต้องทํางานหนักไม่มีเวลาเกล้าผม เครื่องแต่งกาย นุ่งกางเกงหรือโจงกระเบน สวมเสื้อแขนกระบอก คอกลมผ่าอก ไม่นิยมสไบ ผู้หญิงชั้นสูงสวมเสื้อคอแหลมมีผ้าคล้องไหล่2ข้าง การห่มสไบมีหลายแบบ 1. พันรอบตัวเหน็บทิ้งชาย
  • 15. 23 2. ห่มแบบสไบเฉียงคือพันรอบอก 1รอบแล้วเฉวียงขึ้นบ่าปล่อยชายไว้ข้างหลังเพียงขาพับ 3. แบบสะพัก สองบ่า ใช้ผ้าพันรอบตัวทับกันที่อกแล้วจึงสะพักไหล่ทั้งสองปล่อยชายไปข้าง หลังทั้ง2ข้าง 4. แบบคล้องไหล่เอาชายไว้ข้างหลังทั้งสองชาย 5. แบบคล้องคอห้อยชายไว้ข้างหน้า 6. แบบห่มคลุม ชาย ผม ตัดผมสั้น แสกกลาง เครื่องแต่งกาย นุ่งโจงกระเบน ไม่สวมเสื้อ มีผ้าคล้องไหล่ การแต่งกายสมัยอยุธยา (สมัยที่ 2) ภาพเขียนเลียนแบบจากพวงผกา กุโรวาท (2535: 56) 3. สมัยที่ 3 พ.ศ. 2173 – พ.ศ. 2275 หญิง ผม สตรีในสํานักไว้ผมแบบหญิงพม่าและล้านนาไทย คือ เกล้าไว้บนกระหม่อมแล้ว คล้องด้วยมาลัย ถัดลงมาปล่อยผมสยายยาว ส่วนหญิงชาวบ้านตัดผมสั้นตอนบนแล้วถอนไรผม รอบ ๆ ผมตอนที่ถัดลงมาไว้ยาวประบ่า เรียกว่า “ผมปี ก” บางคนโกนท้ายทอย คนรุ่นสาวไว้ผม ดอกกระทุ่มไม่โกนท้ายทอยปล่อยยาวเป็นรากไทร
  • 16. 24 การแต่งกาย หญิงในราชสํานักนุ่งผ้าซิ่น สวมเสื้อผ่าอก คอแหลม (เดิมนิยม คอกลม) แขนกระบอกยาวจรดข้อมือหญิงชาวบ้านนุ่งผ้าจีบห่มสไบ มี 3 แบบ คือ รัดอก สไบเฉียง และห่ม ตะเบงมาน (ห่มไขว้กันแล้วรวบไปผูกไว้หลังคอ) เหมาะสําหรับเวลาทํางาน บุกป่า ออกรบ เครื่องประดับ ปักปิ่นทองที่มวยผม สวมแหวนหลายวง สร้อยคอ สร้อยข้อมือ การแต่งหน้า หญิงชาววัง ผัดหน้า ย้อมฟัน และเล็บเป็นสีดํา ไว้เล็บยาวทางปากแดง หญิงชาวบ้าน ชอบประแป้ งลายพร้อย ไม่ไว้เล็บ ไม่ทาแก้ม ปาก ชาย ผม ตัดสั้นทรงมหาดไทย (คงไว้ตอนบนศีรษะรอบๆ ตัดสั้นและโกนท้ายทอย) การแต่งกาย นุ่งโจงกระเบน ใช้ผ้าขาวม้าคล้องคอ แล้วตลบไปห้อยชายไว้ทางด้านหลัง สวมเสื้อคอกลม ผ่าอกแขนยาวจรดข้อมือ ในงานพิธีสวม เสื้อยาวถึงหัวเข่า ติดกระดุม ด้านหน้า 8 – 10 เม็ด แขนเสื้อกว้าง และสั้นมาก ไม่ถึงศอก นิยมสวมหมวกแบบต่าง ๆ ขุนนางจะสวม ลอมพอกยอดแหลม ไปงานพิธีจะสวมรองเท้าแตะปลายแหลมแบบแขกมัวร์ การแต่งกายสมัยอยุธยา(สมัยที่ 3) ภาพเขียนเลียนแบบจากพวงผกา คุโรวาท (2535: 58,60)
  • 17. 25 4. สมัยที่ 4 พ.ศ. 2275 ถึง พ.ศ. 2310 หลักฐานจากวัดใหญ่สุวรรณารามจังหวัดเพชรบุรีเป็นลักษณะเครื่องทรงในพระมหา กษัตริย์และคนชั้นสูง หญิง การแต่งผม มี 3 แบบ คือ 1. ทรงผมมวยกลางศีรษะ 2. ทรงผมปีกมีจอนผม 3. ทรงหนูนหยิกรักแครง (เกล้าพับสองแล้วเกี้ยว กระหวัดไว้ที่โคน รักแครง เกล้า ผมมวยกลมเฉียงไว้ด้านซ้ายหรือขวา) 4. ทรงผมประบ่า มักจะรวมผมปีกและผมประป่าอยู่ในทรงเดียวกันและผมปีกทํา เป็นมวยด้วย เครื่องประดับ นิยมสวมเทริด สวมกําไลข้อมือหลายอัน มีสร้อยข้อมือที่ใหญ่กว่าสมัยใด สร้อยตัวสวมเฉียงบ่ามีลวดลายดอกไม้ สิ่งที่ใหม่กว่าสมัยใดคือ สวมแหวนก้อยชนิดต่าง ๆ และ แหวนงูรัดต้นแขน การแต่งหน้าแต่งตัว ทาขมิ้นให้ตัวเหลืองดังทอง ผัดหน้าขาว ย้อมฟันดํา ย้อมนิ้ว และเล็บด้วยดอกกรรณิการ์ให้สีแดง การแต่งกาย ของคนชั้นสูงนุ่งซิ่นยก จีบหน้า ห่มตาด สวมเสื้อริ้วทอง (ทําด้วยผ้าไหม สลับด้วยเส้นทองแดง) ห่มสไบ ชาวบ้านท่อนบนคาดผ้าแถบหรือห่มสไบ นุ่งโจงกระเบนหรือ ผ้าถุง การห่มสไบมี 2 แบบ คือ 1. ห่มคล้องคอตลบชายไปข้างหลังทั้ง 2 ข้าง กันบนเสื้อริ้วทอง และใช้เจียระบาด (ผ้าคาดพุง) คาดทับเสื้อปล่อยชายลงตรงด้านหน้า 2. ห่มสไบเฉียงไม่ใส่เสื้อเมื่ออยู่กับบ้าน ชาย ไว้ทรงมหาดไทย ทานํ้ามันหอม การแต่งกาย สวมเสื้อคอกลมสวมศีรษะ แขนยาวเกือบจรดศอก มีผ้าห่มคล้องคอแล้ว ตลบชายทั้งสองไปข้างหลัง นุ่งโจงกระเบน ส่วนเจ้านายจะทรงสนับเพลาก่อน แล้วทรงภูษา จีบโจง มีไหมถักรัดพระองค์ แล้วจึงทรงฉลองพระองค์ คาดผ้าทิพย์ทับฉลองพระองค์อีกที การแต่งกายสมัยอยุธยา สําหรับผู้ที่สนใจควรศึกษาลายละเอียดเพิ่มเติมจากหนังสือ อยุธยาอาภรณ์ ของสมภพ จันทรประภา 2526 และการแต่งกายไทย : วิวัฒนาการจากอดีตสู่ ปัจจุบัน 1 สํานักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ 2543 จะได้ลายละเอียดเพิ่มเติม
  • 18. 26 การแต่งกายสมัยอยุธยา (สมัยที่ 4) ภาพเขียนเลียนแบบจากพวงผกา คุโรวาท (2535: 62) การแต่งกายของไทยเราจะแสดงลักษณะเด่นชัดตอนสมัยสุโขทัยเป็นราชธานีลงมา เครื่องแต่งกายของคนย่อมเป็นไปตามสภาพดินฟ้ าอากาศ ในปัจจุบันก็ยังสรุปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ว่าคนไทยเคยอยู่ตอนใต้ของประเทศจีนหรืออยู่ ณ ที่นี้มานานแล้ว มีความสําคัญในการที่จะ สันนิษฐานว่าการแต่งตัวเหมือนเผ่าไทยที่ยังอยู่ในเขตแดนจีน มีอากาศหนาวจึงสวมเสื้อหลายชั้น ถ้าคนไทยอยู่ใน ณ ที่นี้มานานแล้ว ซึ่งจะมีอากาศร้อน เสื้อผ้าก็จะมีลักษณะชนิดพันหลวม ๆ มากว่าจะเป็นแบบรัดตรึงแนบตัว นับตั้งแต่สมัยสุโขทัยลงมาเห็นได้ว่าเครื่องแต่งกายของคนอินเดียได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ของเครื่องแต่งกายไทย ผ้าจีบและสไบก็คือผ้าส่าหรีดัดแปลงเป็นสองท่อน ส่วนผ้านุ่งก็คือผ้านุ่ง ของผู้ชายอินเดีย คนไทยมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อรับวัฒนธรรมของใคร มาแล้วรู้จักดัดแปลงให้เข้ากับสภาพวิถีชีวิตของตนเอง จนกลายเป็นไทยในที่สุด นุ่งโจงห่มจีบ
  • 19. 27 ของไทยก็ได้มาจากห่มส่าหรีของแขกก็จริงแต่ไม่ใช่แขก เรามีการใช้คําว่าเครื่องนุ่งห่มมาก่อน เครื่องแต่งกาย เพราะใช้นุ่งและห่มจริง คือใช้ปกคลุมท่อนล่างและบนแยกกันเป็นคนละส่วน เครื่องนุ่งห่มของไทยตั้งแต่อดีตเป็นการใช้ประโยชน์ทั้งในด้านความเหมาะสม การประหยัด และความคล่องตัวในการดัดแปลง เช่น ในสมัยอยุธยาการแต่งกายของสตรีไทยตามปกติจะ แสดงออกซึ่งความนุ่มนวลและความเป็นผู้หญิง แต่พอถึงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อไทยจะทํา สงครามกับพม่าเป็นเวลาที่สตรีไทยต้องออกต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับชาย การแต่งกายของสตรีก็ เปลี่ยนไปให้เหมาะสมกับบทบาทใหม่ คือ แต่งกายให้รัดกุม ไม่รุ่มร่าม สะดวกในการเคลื่อนไหว เป็นการห่มผ้าแบบ “ตะเบงมาน” ผมก็ตัดสั้นเพื่อสะดวกในการรบ หนีภัย และการปลอมแปลง เป็นชาย สําหรับเครื่องแต่งกายที่ใช้สําหรับทํางานกลางแจ้ง หรือทําไร่ ทํานาของคนไทยนั้นก็จะใช้ สีเข้ม เพื่อไม่ให้สกปรกง่าย ตัวเสื้อของสตรีเป็นเสื้อผ่าอก แขนกระบอกเพื่อกันแดด (นฤมล ปราชญโยธิน, 2525: 1,7)