More Related Content
Similar to Final project-612-22-42 (20)
More from jeeranuntacharoen (16)
Final project-612-22-42
- 6. Objective
เว็บไซต์ Thrillist ได้พูดถึงพฤติกรรมดังกล่าว
ว่าเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในออสเตรเลียและส
หราชอาณาจักร และงานวิจัยล่าสุดจาก
มหาวิทยาลัยเบย์เลอร์ที่ได้ทาการศึกษาเพื่อจะ
ยืนยันสิ่งที่เรารู้กันอยู่แล้วว่า การใช้
โทรศัพท์มือถือมากเกินความจาเป็นสามารถตัด
ความสัมพันธ์ให้สะบั้นลงได้จริง
ศาสตราจารย์เจมส์ เอ.โรเบิร์ตส์
(James A. Roberts) และผู้ช่วย
ศาสตราจารย์เมเรดิธ เดวิด (Meredith
David) จากมหาวิทยาลัยเบย์เลอร์ได้
เขียนงานวิจัยจากการสารวจแยกสอง
ครั้ง จากประชากรวัยกลางคนในสหรัฐ
กว่า 450 เพื่อดูว่าพวกเขาใช้หรือถูกทา
ให้เสียสมาธิจากโทรศัพท์มือถือบ่อยแค่
ไหนขณะที่กาลังใช้เวลากับคนรัก
- 11. Phubbing อาการติดโทรศัพท์ขั้นหนัก ไม่
เพียงแค่ทาให้เสียสุขภาพ แต่ยังร้ายแรงถึง
ความสัมพันธ์ ลองมาเช็กกันสิว่าคุณกาลังเป็น
หรือเปล่า ?
ทุกวันนี้สังคมของเรา ถูกขนานนาม
ว่า สังคมก้มหน้า เพราะต่างคนต่างก็ก้มหน้าก้ม
ตาเล่นโทรศัพท์กันโดยไม่สนใจคนอื่น ซึ่งการ
ติดโทรศัพท์มาก ๆ ก็ไม่ได้ส่งผลแค่ปัญหาเรื่อง
สุขภาพ แต่ยังส่งผลเสียต่อสภาพจิต และ
ก่อให้เกิดมารยาททางสังคมแบบผิด ๆ อีกด้วย
วันนี้เราจะพามารู้จักกับอาการติดโทรศัพท์อย่าง
MATERIAL
- 12. ● อาการติดโทรศัพท์เป็นอะไรที่แพร่หลายและเป็นไปอย่างธรรมชาติ
ในหมู่คนแทบทุกเพศทุกวัย สังเกตได้จากเวลาไปนั่งทานอาหาร
นอกบ้าน เกิน 50% ของคนในร้านไม่นับบริกรและพ่อครัว
จะต้องมีการควักเอามือถือ อวัยวะที่ 33 ออกมาเช็กอย่างไร้
เหตุผล แต่สาหรับทุกคนก็คงมีเหตุผลอะไรบางอย่างให้ต้องหลบ
เข้าไปในโลกอินเทอร์เน็ตทั้งที่เป็นช่วงเวลาที่ควรอยู่ในโลกแห่ง
ความจริงอย่างมากที่สุด
● อาจเป็นเรื่องธรรมดาของคนวัยทางานที่ใช้ข้ออ้างการเช็กงานหรือ
ทางานกลางโต๊ะกินข้าว เพราะติดนิสัยไปแล้ว แต่คนสูงวัยหรือ
เด็กตัวเล็กก็ยังคงต้องพึ่งอุปกรณ์สื่อสารเพื่อการมีสมาธิจดจ่ออยู่กับ
สิ่งหนึ่งขณะมื้ออาหารเช่นกัน
● สิ่งนี้เกิดขึ้นเป็นปกติ แม้ในเวลาที่ไม่ควรปกติอย่างตอนออกเดต
MATERIAL
- 13. ● ฟับบิ้ง (Phubbing) แปลว่าอาการติดโทรศัพท์หรือ
โซเชียลขั้นรุนแรงจนกระทั่งไม่สนใจคนรอบข้าง
คาว่าฟับบิ้งเป็นคาที่มาจากการผสมกันระหว่างคา
ว่า Phone และ Snubbing ซึ่งสาเหตุของ
อาการฟับบิ้งก็คือ ความกลัวที่จะตกข่าว หรือ
ตามกระแสสังคมไม่ทันจนไม่ยอมควบคุมการเล่น
โทรศัพท์ตัวเอง ซึ่งส่งผลเสียต่อการทางานหรือ
ความสัมพันธ์ต่าง ๆ โดยผู้ที่มีอาการฟับบิ้งจะถูก
เรียกว่า ฟับเบอร์ (Phubber) และมักจะมีอาการ
MATERIAL
- 15. ● ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร
Computers in Human Behavior แสดงให้เห็นถึงผลเสีย
อื่น ๆ อีกว่า อาการฟับบิ้ง ไม่เพียงแต่ทาลาย
ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยที่ทา
ให้เกิดภาวะซึมเศร้า และมีความพึงพอใจในชีวิตลดลง
อีกด้วย
● อาการฟับบิ้งจะไม่สามารถ
เกิดขึ้นได้หากเราสามารถควบคุมการใช้โทรศัพท์ของ
ตัวเองได้ โดยควรใช้แต่พอดี ทั้งนี้หากเป็นไปได้ไม่
ควรใช้โทรศัพท์มือถือขณะที่อยู่กับผู้อื่น หรือใช้เท่าที่
จาเป็นเทานั้น อีกทั้งยังควรหลีกเลี่ยงการเขาไปอยูใน
MATERIAL
- 16. MATERIAL
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Computers In Human Behavior บอกเรา
ว่า พฤติกรรมการ Phubbing นี้เกิดขึ้นกับคู่รักทั่วไป และไม่ว่าคุณ
จะเป็นผู้กระทาหรือถูกกระทาก็ตาม ความสัมพันธ์นี้กาลังน่าเป็นห่วง
โดย 46.3% ของผู้เข้าร่วมสารวจเผยว่า ถูกเมินจากคนรักของพวก
เขาที่กาลังง่วนอยู่กับการเช็กโทรศัพท์มือถือ และ 22.6% ในคนกลุ่ม
นั้นบอกว่า ทาให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์ นอกจากนั้นงานวิจัยยัง
บอกอีกว่า ความสัมพันธ์ของคนรักอาจเกิดผลลัพธ์ที่ไม่ดีนักจากการ
ถูกคั่นกลางระหว่างพวกเขาด้วยโทรศัพท์มือถือ และอาจทาให้คนใด
คนหนึ่งเกิดความรู้สึกไม่พอใจอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ
“โทรศัพท์มือถือถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นอุปกรณ์การสื่อสาร แต่ในอีกทาง
กลับเป็นตัวขัดแทนที่จะเป็น „ตัวกลาง‟ เพื่อการสื่อสารระหว่างคนรัก”
โรเบิร์ตสและเดวิดกล่าว
ในยุคที่เราใช้โทรศัพท์เพื่อติดต่องานขณะที่เราไม่ได้นั่งทางานที่ออฟฟิศ
มันอาจเป็นเรื่องยากที่จะวางไว้เฉยๆ ไม่เช็ก ไม่สนใจมัน ดังนั้นทาง
- 17. เว็บไซต์ Psychology Today ได้บอกเล่าเกี่ยวกับงานวิจัยว่า มีความเชื่อมโยงอยู่
ระหว่างพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือที่เพิ่มมากขึ้น แต่ระดับความสัมพันธ์กลับลดลง
สิ่งที่น่าสนใจคือ นี่เป็นงานวิจัยแรกที่บอกว่า ยิ่งเทคโนโลยีมีส่วนกับบุคคลมากเท่าไร
ยิ่งทาให้คนรักของเขาเป็นทุกข์ได้มากเท่านั้น
“ยิ่งเทคโนโลยีมีบทบาทกับชีวิตมากแค่ไหน ยิ่งมีส่วนทาให้เกิดความขัดแย้งใน
ความสัมพันธ์และน่าพึงพอใจน้อยลงด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือหรือ
เทคโนโลยีใดก็ตามที่มีความสาคัญมากขึ้นในชีวิต ยิ่งทาให้คนรู้สึกหดหู่ง่ายขึ้น และมี
ความสุขน้อยลงด้วย”
แม้ว่าเราจะรู้ว่าโทรศัพท์คู่ใจอาจเป็นตัวทาลายความสัมพันธ์ แต่ถ้ารู้ตัวว่าขาดมันไม่ได้
ทางที่ดีควรหาสมดุลระหว่างความสัมพันธ์และการสื่อสารให้พอดิบพอดี สามารถทาได้
โดยอย่างแรกควรจะรู้ว่าเป็นการเสียมารยาทเมื่อคุณหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อหน้าอีกฝ่าย
พฤติกรรมดังกล่าวนั้นทาให้ใครก็ตามที่อยู่กับเราขณะนั้นรู้สึกโดดเดี่ยว ทาตัวไม่ถูก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคนตรงข้ามเป็นคนรัก
MATERIAL
- 20. 5. คุณมักจะจ้องหน้าจอโทรศัพท์ตลอด แม้แต่ในเวลาที่กาลังคุยกับใครสัก
คน
6. แม้กาลังอยู่กับเพื่อน ๆ คุณก็ยังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กเวลาเบื่อ ๆ
หรือเวลาที่มีเสียงแจ้งเตือน
ดังขึ้น
7. ต่อให้กาลังคุยอยู่กับเพื่อน คุณก็สามารถหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใช้ได้
8. กาลังเดท หรืออยู่ในช่วงเวลาโรแมนติก คุณก็ยังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ก
ได้
9. ถ้าหากคุณและคู่สนทนาอีกฝ่ายเริ่มไม่มีอะไรจะคุยกัน คุณจะเริ่มหันไปให้
ความสนใจกับโทรศัพท์
แทนที่จะคุยกับคู่สนทนาต่อ
แบบทดสอบอาการฟับบิ้ง เช็กให้รู้ คุณติดโทรศัพท์มากไปหรือเปล่า ?
- 21. Phubbing ส่งผลเสียอย่างไร ?
Jupiter
ผลเสียที่ชัดเจนที่สุดของการฟับบิ้งคือปัญหาเรื่องความสัมพันธ์
เพราะการฟับบิ้งนั้นจะทาให้คนที่อยู่ใกล้ ๆ รู้สึกอึดอัด และ
ก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างความสัมพันธ์ขึ้น โดยมีการศึกษาหนึ่ง
พบว่า หากคนที่ไม่เคยมีพฤติกรรมติดโทรศัพท์นั้นถูกคนที่มี
อาการฟับบิ้ง แสดงอาการ Phub ใส่ก็จะทาให้คนคนนั้นมีอาการ
Phubbing ตามไปด้วย และจะไปแสดงอาการเดียวกันกับผู้อื่นต่อ
กลายเป็นวงจรแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่สิ้นสุด
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร
Computers in Human Behavior แสดงให้เห็นถึงผลเสียอื่น ๆ
อีกว่า อาการฟับบิ้ง ไม่เพียงแต่ทาลายความสัมพันธ์ระหว่าง
บุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยที่ทาให้เกิดภาวะซึมเศร้า และมี
ความพึงพอใจในชีวิตลดลงอีกด้วย
- 22. ซึ่งในการศึกษาดังกล่าวได้ทาการทดสอบกับอาสาสมัคร 453 คน โดยแบ่งคน
ออกเป็น 2 กลุ่ม อาสา สมัครกลุ่มแรก 308 คน ได้รับแบบสอบถามเรื่อง
อาการฟับบิ้งที่พวกเขาได้เจอจากคนใกล้ชิด ซึ่งได้คาตอบไม่ค่อยแตกต่างกัน
นัก ส่วนใหญ่มักตอบว่า เขามักเห็นคู่สนทนาของตนเองวางโทรศัพท์ไว้ในที่ที่
สามารถเห็นได้ตลอดเวลา และมักจะจ้องที่จอโทรศัพท์ขณะที่พูดคุยด้วย
ส่วนกลุ่มที่ 2 อาสาสมัคร 145 คน (ซึ่งอาสาสมัครในกลุ่มนี้จะเป็น
คนที่มีคนรักหรือแต่งงานแล้ว) โดยพวกเขาได้รับแบบสอบถามเกี่ยวกับ
ผลกระทบที่เกิดจากการถูก Phub ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ ความพึง
พอใจในชีวิตคู่ ความรู้สึกหดหู่ และอารมณ์ซึมเศร้าที่เกิดจากพฤติกรรมฟับบิ้ง
ของอีกฝ่าย ผลที่ได้คือกว่า 46% เคยถูกอาการฟับบิ้งจากคนอื่น และ
22.6% ยอมรับว่าอาการฟับบิ้งเป็นสาเหตุที่นาไปสู่ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์
Phubbing ส่งผลเสียอย่างไร ?
- 23. นอกจากนี้การศึกษายังได้เผยให้เห็นว่า 37% ของอาสาสมัครรู้สึกอึดอัด
เมื่อถูกอีกฝ่ายแสดงอาการ Phub ใส่ด้วยการก้มลงมองโทรศัพท์เพียง
แค่ไม่กี่นาที และเกิดความรู้สึกไม่ดีต่าง ๆ ขึ้น อันเป็นสาเหตุที่ทา
ให้ความรู้สึกพึงพอใจในความสัมพันธ์ลดลง
ทั้งนี้ อาการฟับบิ้งไม่ได้ส่งผลเสียในเรื่องความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ
ตามมา ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดคอ ปวดหลัง ปวดไหล่ รวมทั้ง
ปัญหาสายตาที่จะตามมาอีกมากมายจากแสงสีฟ้ า อาทิ โรคซีวีเอส
(Computer Vision Syndrome) ที่ทาให้เกิดอาการปวดตา แสบตา
ตามัว และอาการปวดหัว หรืออาการต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม ที่
อาจทาให้ตาบอดได้
Phubbing ส่งผลเสียอย่างไร ?
- 24. Phubbing ป้ องกันได้อย่างไร
?
อาการฟับบิ้งจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากเราสามารถควบคุม
การใช้โทรศัพท์ของตัวเองได้ โดยควรใช้แต่พอดี ทั้งนี้หาก
เป็นไปได้ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือขณะที่อยู่กับผู้อื่น หรือใช้
เท่าที่จาเป็นเท่านั้น อีกทั้งยังควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในกลุ่ม
คนที่มีอาการฟับบิ้ง หรือถ้าหากเลี่ยงไม่ได้ ก็ลองหากิจกรรม
สนุก ๆ และชักชวนให้กลุ่มคนเหล่านั้นร่วมด้วย เช่นกัน
หากคุณไปรับประทานอาหารกับเพื่อนที่มีอาการดังกล่าว ก็ให้
เพื่อนหยิบโทรศัพท์มาวางรวมกัน ใครหยิบโทรศัพท์ออกไปเล่น
ก่อนต้องจ่ายค่าอาหารหรือชักชวนคู่สนทนาพูดคุยในเรื่องที่เขา
สนใจ ก็จะช่วยให้เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาน้อยลง