More Related Content
Similar to โครงงานคอมพิวเตอร์
Similar to โครงงานคอมพิวเตอร์ (20)
More from Cake WhiteChocolate
More from Cake WhiteChocolate (20)
โครงงานคอมพิวเตอร์
- 2. ชื่อโครงงาน สื่ อเพื่อการศึกษาประเพณี และวัฒนธรรมชียงใหม่
ชื่อโครงงาน culture of chiangmai
ประเภทโครงงาน สื่ อเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน น.ส.กานต์ชนิต สุ ตาคํา เลขที่ 1
น.ส.กนกพร จันทร์พลอย เลขที่ 3
ชื่อที่ปรึกษา ครู เขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน 4 สัปดาห์
- 6. หลักการและทฤษฎี
เชียงใหม่ข้ ึนชื่อว่าเป็ นเมืองที่มีประเพณี และวัฒนธรรมที่มีความโดดเด่น
งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง รวมทั้งมีความเป็ นเอกลักษณ์เฉพาะด้วย ที่เป็ นเช่นนี้ สื บ
เนื่องมาจากการที่เมืองเชียงใหม่มีประวัติศาสตร์อนยาวนาน ซํ้ายังเคยเป็ นราชธานี
ั
และเป็ นศูนย์กลางความเจริ ญรุ่ งเรื องในทุกด้านของอาณาจักรล้านนา จึงทําให้
เชียงใหม่รับเอาวัฒนธรรมจากต่างถิ่นเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมของ
ตน รวมทั้งยังได้รับวัฒนธรรมจากพระพุทธศาสนาเข้ามาอีกทอดด้วย จึงทําให้
เชียงใหม่มีการผสมผสานหล่อหลอมวัฒนธรรมขึ้นมาใหม่กลายมาเป็ นวัฒนธรรม
อันมีเอกลักษณ์เฉพาะตน
- 8. คําขวัญนี้เป็ นคําขวัญประจําจังหวัดเชียงใหม่ที่สะท้อนให้เห็นถึงความงดงาม
ความเด่นสง่า ความลํ้าค่าและความเลื่องลือในหลายๆด้าน และหนึ่งในนั้นคือ ความ
งดงามทางด้านประเพณี และวัฒนธรรม ดอยสุ เทพขึ้นชื่อว่าเป็ นสัญลักษณ์ของ
จังหวัดเชียงใหม่ ถึงกับมีคาพูดที่หลายคนมักพูดกันจนติดปากว่า ใครก็ตามที่
ํ
เดินทางมาจังหวัดเชียงใหม่ หากไม่ได้แวะขึ้นไปบนดอยสุ เทพ ก็เท่ากับว่ายัง
เดินทางมาไม่ถึงจังหวัดเชียงใหม่ ความงดงามของดอยสุ เทพอันเป็ นที่ต้ งของวัด
ั
พระธาตุดอยสุ เทพนี้ นับว่าเป็ นจุดที่ดึงดูดสายตาของผูคนที่เดินทางมายังจังหวัด
้
เชียงใหม่ให้ไปเที่ยวชม เพราะหากมองจากบริ เวณด้านล่างขึ้นไปบนดอยสุ เทพ จะ
่
พบเห็นพระธาตุสีทองเด่นสง่าตั้งตระหง่านอยูบนดอยสุ เทพ ชวนให้เกิดความ
ศรัทธาและน่าเข้าไปกราบนมัสการเป็ นอย่างมาก นอกจากนั้นบนดอยสุ เทพยังมี
ความสวยสดงดงามด้านบุปผชาตินานาพันธุ์ให้ชื่นชมอีกมากมาย ดังนั้นการขึ้นไป
บนดอยสุ เทพจึงไม่ทาให้ผที่ข้ ึนไปเที่ยวชมนั้นผิดหวัง
ํ ู้
- 9. ประวัติความเป็ นมาพอสั งเขป
เชียงใหม่เป็ นจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์อนยาวนาน เคยเป็ นศูนย์กลางความเจริ ญรุ่ ง
ั
เรื่ องของอาณาจักรล้านนาซึ่ งแผ่อิทธิผลปกคลุมทางตอนเหนือของประเทศไทย พญามัง
รายทรงเป็ นปฐมกษัตริ ยแห่ งอาณาจักรล้านนา ทรงย้ายเมืองราชธานีจากเดิมคือเมืองเชียง
์
แสนมาที่เมืองเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ.1839 เพราะทรงเห็นว่าเมืองเชียงใหม่มีทาเลที่ต้ ง
ํ
ั
เหมาะสม มีทรัพยากรทางธรรมชาติอนมังคัง และมีแหล่งนํ้าที่อุดมสมบูรณ์ อันได้แก่ แม่
ั ่ ่
่
นํ้าปิ ง ซึ่ งถือได้วาเป็ นสายโลหิ ตของผูคนในอาณาจักร
้
เมื่อทรงย้ายราชธานีมาที่เชียงใหม่ ได้ทรงสถาปนาชื่อเมืองว่า “นพบุรีศรี นคร
พิงค์ เชียงใหม่ ” นับแต่น้ น เมืองเชียงใหม่ได้กลายมาเป็ นศูนย์กลางความเจริ ญรุ่ งเรื องแห่ ง
ั
อาณาจักรล้านนาแทนที่เมืองเชียงแสนอันเป็ นราชธานีเดิม พญามังรายได้พฒนาเมือง
ั
เชียงใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังได้ทรงก่อสร้างวัดวาอารามขึ้นหลายแห่ งมีวดเชียงมัน เป็ น
ั
่
ต้น รวมทั้งได้มีการตรากฎหมายที่เรี ยกว่า “มังรายศาสตร์ ” ขึ้นใช้ภายในอาณาจักรอีกด้วย
- 10. ประวัติความเป็ นมาพอสั งเขป
เมื่อพระองค์สวรรคต เชื้อพระวงศ์ที่ทรงสื บทอดราชบัลลังก์ต่อจากพระองค์ได้
สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันปกครอง บริ หาร พัฒนาบ้านเมืองพระองค์แล้วพระองค์เล่าตามลําดับอยู่
เรื่ อยๆ ทําให้บานเมืองเจริ ญรุ่ งเรื่ องอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านพระพุทธศาสนานั้น มีการจัดทํา
้
สังคายนาขึ้น ใน พ.ศ.2020 ตรงกับราชสมัยของพระเจ้าติโลกราช กษัตริ ยองค์ที่ 9 แห่ง
์
อาณาจักรล้านนา พระองค์ทรงอุปถัมภ์การจัดทําสังคายนาในครั้งนี้ การทําสังคายนาในครั้งนี้
่
นั้น ถือได้วาเป็ นการทําสังคายนาครั้งที่ 9 ของโลก และเป็ นครั้งแรกที่ทาในดินแดนสยาม ต่อมา
ํ
ไม่นานอาณาจักรล้านนา ก็เข้าสู่ ยคเสื่ อม เพราะถูกรุ กรานจากอาณาจักรอื่นๆ มี อาณาจักร
ุ
สุ โขทัย เป็ นต้น และต่อมาอาณาจักรล้านนาก็สูญเสี ยเอกราชและถูกผนวกเข้าเป็ นส่ วนหนึ่งของ
อาณาจักรสุ โขทัยในที่สุด
ตลอดระยะที่เชียงใหม่เป็ นราชธานีและเป็ นศูนย์กลางความเจริ ญรุ่ งเรื องของอาณาจักร
ล้านนานั้น เมืองเชียงใหม่ได้ถูกพัฒนาจากผูปกครองบ้านเมืองให้เป็ นเมืองที่อุดมสมบูรณ์และ
้
เจริ ญรุ่ งเรื องในหลายๆด้าน อาทิ ด้านศาสนา การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ ขนบธรรมเนียม
ประเพณี และวัฒนธรรม เป็ นต้น ความเจริ ญรุ่ งเรื องดังกล่าวได้รับการสื บทอดกันมาอย่าง
ต่อเนื่องจนกระทังถึงปัจจุบน
ั
่
- 11. ความงดงามด้ านประเพณีและวัฒนธรรม
เชียงใหม่ข้ ึนชื่อว่าเป็ นเมืองที่มีประเพณี และวัฒนธรรมที่มีความโดดเด่น
งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง รวมทั้งมีความเป็ นเอกลักษณ์เฉพาะด้วย ที่เป็ นเช่นนี้ สื บ
เนื่องมาจากการที่เมืองเชียงใหม่มีประวัติศาสตร์อนยาวนาน ซํ้ายังเคยเป็ นราชธานี
ั
และเป็ นศูนย์กลางความเจริ ญรุ่ งเรื องในทุกด้านของอาณาจักรล้านนา จึงทําให้
เชียงใหม่รับเอาวัฒนธรรมจากต่างถิ่นเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมของ
ตน รวมทั้งยังได้รับวัฒนธรรมจากพระพุทธศาสนาเข้ามาอีกทอดด้วย จึงทําให้
เชียงใหม่มีการผสมผสานหล่อหลอมวัฒนธรรมขึ้นมาใหม่กลายมาเป็ นวัฒนธรรม
อันมีเอกลักษณ์เฉพาะตน
- 12. ประเพณีสงกรานต์
ประเพณี สงกรานต์เป็ นงานที่ยงใหญ่ของชาวล้านนา เนื่องจากเป็ นช่วงเวลาเปลี่ยนศักราชใหม่
ิ่
และขอสิ่ งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลาย ให้ปัดเป่ าทุกข์โศกโรคภัยให้ล่วงไปในปี เก่า พร้อมทั้ง เตรี ยม
ร่ างกายและจิตใจให้สดใสรับปี ใหม่ โดยจะเริ่ มจัดขึ้น ตั้งแต่วนที่ 13 ถึงวันที่ 18 เม.ย. ของทุกปี
ั
แต่ชาวล้านนาถือวันที่ 15 เม.ย. เป็ นวันเปลี่ยนศักราชใหม่ ต่างจากภาคกลาง และในระยะเวลา 6
วันนี้จะประกอบพิธีหลายอย่าง
- วันที่ 13 เม.ย. ถือเป็ นวันสังขารล่อง (วันสิ้ นสุ ดปี เก่า) ส่ วนใหญ่ชาวบ้านจะยิงปื น จุดประทัด
ก่อนสว่าง เพื่อขับไล่ เสนียดจัญไร แล้วเก็บกวาดบ้านเรื อน หิ้งพระ
- วันที่ 14 เม.ย. เป็ นวันที่เรี ยกกันว่า "วันเนา" หรื อ "วันเน่า" วันนี้ชาวเชียงใหม่จะทําแต่สิ่งที่เป็ น
สิ ริมงคล พร้อมทั้งตระเตรี ยมอาหาร คาวหวาน เครื่ องไทยทาน เพื่อทํางานบุญในวันสงกรานต์
และไปขนทรายเข้าวัด
- วันที่ 15 เรี ยกว่า "วันพญาวัน" ถือเป็ นวันเริ่ มศักราชใหม่ ชาวเชียงใหม่จะไปทําบุญตักบาตรที่
วัด และถวายอาหารพระที่เรี ยกว่า "ทานขันข้าว" เพื่ออุทิศแก่ผล่วงลับ และสรงนํ้าพระ หลังจาก
ู้
นั้นจึงนําขันข้าวตอก ดอกไม้ ธูปเทียน นํ้าขมิ้น ส้มป่ อย หรื ออาจมีเครื่ องนุ่งห่ม ไปรดนํ้าดําหัว
ผูใหญ่
้
- 13. ประเพณีเข้ าอินทขีล
อินทขีล เป็ นชื่อของเสาหลักเมืองของชาวเชียงใหม่ เดิมประดิษฐานอยู่ ณ วัด
สะดือเมือง หรื อวัดอินทขีล กลางเมืองเชียงใหม่ แต่ปัจจุบนย้ายไปไว้ที่วดเจดียหลวง ใน
ั
ั
์
สมัยของพระยากาวิละ และได้บูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่เป็ นเสาปูน
การจัดงานประเพณี เข้าอินทขีล จัดขึ้นในปลายเดือน 8 ต่อต้นเดือน 9 ซึ่ งชาวบ้าน
เรี ยกว่า วันเดือน 8 เข้า เดือน 9 ออกเดิมประเพณี น้ ี เจ้าผูครองนครจะจัดขึ้นเพื่อสังเวย
้
เทพยดาอารักษ์ บูชากุมภัณฑ์ และมีพิธีเข้าทรงผีเจ้านาย เพื่อสอบถามว่า ฝนฟ้ าจะอุดม
สมบูรณ์ และชะตาบ้านเมืองจะดีหรื อไม่ หากชะตาของบ้านเมืองไม่ดี ก็จะจัดพิธีสืบ
ชะตาเมืองเพิ่มขึ้นด้วย และปั จจุบนได้เพิ่มการทําพิธีทางพุทธศาสนาเข้ามาอีกอย่างหนึ่ง
ั
โดยการแห่พระพุทธรู ปคันธารราษฎร์ (พระเจ้าฝนแสนห่า) รอบเมือง และจะนํามา
ประดิษฐาน ณ วัดเจดียหลวง เพื่อให้ชาวเมืองสรงนํ้า จากนั้นพระสงฆ์ 9 รู ป จะเจริ ญพระ
์
่
พุทธมนต์บูชาเสาอินทขีล ซึ่ งฝังอยูใต้ดิน การประกอบพิธีน้ ี เพื่อมุ่งเสริ มสร้างขวัญและ
กําลังใจของชาวเมืองก่อนที่จะเริ่ มต้นฤดูกาลเพาะปลูก
- 14. ประเพณีสรงนาพระธาตุจอมทอง
้
่
วัดพระธาตุจอมทองวรวิหาร เป็ นศาสนสถานเก่าแก่ที่สาคัญ ตั้งอยูบนเนินสูงราว 10
ํ
เมตร ที่เรี ยกว่า "ดอยจอมทอง" และมีเจดียซ่ ึงเป็ นที่ประดิษฐานพระทักษิณโมลีธาตุ
์
่
พระบรมสารี ริกธาตุจอมทองนั้น ประดิษฐานอยูในพระโกศ 5 ชั้น มีจานวน 1 องค์ ขนาด
ํ
เท่าเมล็ดถัวเขียว มีสีขาวนวลและ ออกนํ้าตาลคล้ายสี ดอกพิกลแห้ง บรรจุไว้ในเจดีย ์ ซึ่งจะมีการ
ุ
่
อัญเชิญออกมาให้ประชาชนได้สกการะและสรงนํ้า 2 ครั้ง ในทุกปี คือวันที่พระบรมสารี ริกธาตุ
ั
เข้าพรรษาและออกพรรษา
วันขึ้น 15 คํ่า เดือน 9 ของแต่ละปี จะเป็ นวันที่พระบรมสารี ริกธาตุเข้าพรรษา พระภิกษุ
จะอัญเชิญพระบรมสารี ริกธาตุออกจากพระโกศ 5 ชั้น มาประดิษฐานในพระโกศแก้วใส แล้วแห่
ไปทําพิธีที่โบสถ์ ในระหว่างทางชาวบ้านจะโยนข้าวตอกดอกไม้ไปยังพระโกศ เพื่อถวายเป็ น
สักการะ เมื่อทําพิธีเสร็ จก็จะแห่จากโบสถ์ไปยังหอสรงข้างวิหาร หอสรงนี้จะมีรางนํ้าเป็ นรู ปตัว
นาคสําหรับใช้สรงนํ้า และเดิมจะใช้น้ าแม่กลาง ผสมด้วยดอกคําฝอย เป็ นนํ้าสําหรับสรง แต่
ํ
ปัจจุบนใช้น้ าสะอาดธรรมดา เสร็ จแล้วจึงอัญเชิญเข้าจําพรรษาในพระโกศ 5 ชั้น ตามเดิม และ
ั
ํ
กลางคืนพระภิกษุจะสวดเจริ ญพระพุทธมนต์ เป็ นอันเสร็ จพิธี
- 15. ประเพณีการทาบุญสลากภัตต์
การทําบุญนี้เดิมชาวบ้านเรี ยกว่า "กิ๋นสะลากฮากไม้" ปัจจุบนเรี ยก "ทานสลาก" หรื อ
ั
"ทําบุญสลาก" ทําขึ้นที่วดเชียงมัน ในวันขึ้น 15 คํ่า เดือน 12 เหนือ วัดเจดียหลวง ในวันแรม 8
ั
์
่
คํ่า เดือน 12 เหนือ และวัดพระสิ งห์ ในวันแรม 15 คํ่า เดือน 12 เหนือ
สมัยก่อนไม่มีการเลี้ยงข้าวปลาอาหารเช่นปัจจุบน คือ เมื่อพระสงฆ์หรื อสามเณรจับ
ั
สลากมากน้อยเพียงใด ก็ขบฉันเฉพาะอาหาร เท่าที่บอกในสลากเท่านั้น
การจับสลากภัตต์มี 2 วิธี คือ จับเส้นและจับเบอร์ การจับเส้นเป็ นวิธีเก่า คือเขียนข้อความ
การทําบุญสลากและชื่อผูศรัทธา ลงในแผ่นกระดาษแข็ง ใบตาล ใบลาน หรื อวัตถุอื่นใดเท่ากับ
้
จํานวนของไทยทาน เป็ นการอุทิศส่ วนกุศลแก่ผล่วงลับและเพือเป็ นบุญกุศลต่อตนเอง โดยการ
ู้
่
ํ
นําไปกองรวมกันในโบสถ์หรื อวิหารที่จดไว้ แล้วให้พระเณรมาจับตามจํานวนที่กาหนด ส่ วน
ั
สลากที่เหลือก็ถวายแก่พระพุทธ จากนั้นชาวบ้านจึงถวายของตามชื่อเส้นของตน หลังจากพระ
ให้ศีลให้พรแล้ว จึงรับเส้นของตนไปเผา พร้อมทั้งตรวจนํ้าอุทิศส่ วนกุศลให้ผตาย เป็ นอันเสร็ จ
ู้
พิธี
- 16. ประเพณีการเลียงขันโตก
้
ขันโตก เป็ นภาชนะสําหรับใส่ อาหารของชาวเหนือ ทําด้วยไม้
สัก ทาด้วยหางสี แดง สูง 8-10 นิ้ว มีขาไม้สกกลึงเป็ นรู ปกลมตั้งบนวง
ั
ล้อรับอีกอันหนึ่ง ขันโตกจะกว้างประมาณ 10-30 นิ้ว
สมัยโบราณคนพื้นเมืองนิยมใช้ขนโตกสําหรับใส่ อาหาร รับประทาน
ั
ในครัวเรื อน แต่ความนิยมใช้ค่อยเสื่ อมลงเมื่อบ้านเมืองเจริ ญขึ้น และ
คนหันไปนิยมของใช้จากต่างประเทศแทน ขันโตกจึงใช้เฉพาะเป็ น
ธรรมเนียมในการต้อนรับแขกเมือง และบุคคลสําคัญเท่านั้น
- 17. ประเพณียเี่ ป็ ง
เป็ นงานประเพณี อันยิงใหญ่แห่งดินแดนล้านนา ที่ได้ปฎิบติสืบ
ั
่
ทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลหรื อวันเพ็ญ เดือนยีของชาว ล้านนา
่
ตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 ของภาคกลาง อันเป็ นช่วงปลายฤดูฝน ต้นฤดู
หนาว อากาศ ปลอดโปร่ งท้องฟ้ าแจ่มใส ธรรมเนียม ปฎิบติของชาว
ั
ล้านนาอย่างหนึ่งนอกเหนือจากการลอยกระทงในแม่น้ าก็คือ การจุด
ํ
ประทีปโคมลอยขึ้นไปสว่างไสวบนท้องฟ้ า โดยมีคติความเชื่อว่า เพื่อ
บูชาพระเกตุแก้วจุฬามณี บนสรวง สวรรค์ หรื อบ้างก็เชื่อว่าเป็ นการ
ลอยเคราะห์ หรื อสะเดาะเคราะห์ ให้เกิดความเป็ นมงคลแก่ชีวต
ิ
- 18. ประเพณียเี่ ป็ ง
ความรู ้เกี่ยวกับประเพณี ยเี่ ป็ ง ในภาษาคําเมืองของทางเหนือ “ยี” แปลว่า
่
สอง และคําว่า “เป็ ง” หมายถึง เพ็ญ หรื อพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้นจึง หมายถึง
ประเพณี พระจันทร์เต็มดวงในเดือนสอง โดยในพงศาวดารโยนกและจามเทวี มี
บันทึกว่าครั้งหนึ่งได้เกิด อหิ วาตกโรคขึ้นในแคว้นหริ ภุญไชย ทําให้ชาวเมืองต้อง
อพยพไปอยูเ่ มืองหงสาวดี นานถึง 6 ปี จึงจะเดินทางกลับ มายัง บ้านเมืองเดิมได้
เมื่อเวลาเวียนมาถึง วันที่ จากบ้านจากเมืองไป จึงได้มีการทํากระถางใส่ เครื่ อง
สักการบูชา ธูปเทียนลอย ลอยตามนํ้า เพื่อให้ไปถึงญาติพี่นองที่ล่วงลับไป เรี ยกว่า
้
การลอยโขมด หรื อลอยไฟ ในงานบุญยีเ่ ป็ ง ยังมีการเทศน์มหาชาติ ผูคนจะออกมา
้
ตกแต่งบ้านเรื อน วัดวาอาราม และถนนหนทาง ด้วยต้นกล้วย อ้อย ทางมะพร้าว
ดอกไม้ ตุงช่อประทีปและชักโคมยีเ่ ป็ งแบบต่าง ๆ ขึ้นเป็ นพุทธบูชา ยามคํ่าคืน จะ
มีการจุดโคมลอย ปล่อยขึ้นสู่ทองฟ้ า เพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณี บนสรวงสรรค์
้
่
ชั้นดาวดึงส์ จุดเด่นของงานนี้อยูที่การปล่อย โคมลอย ขึ้นไปในท้องฟ้ า โดยเชื่อกัน
ว่า เปลวไฟในโคมเป็ นสัญลักษณ์ของความรู ้ และแสงสว่างที่ได้รับจากโคม จะ
ส่ งผลให้ ดําเนินชีวตไปในทางที่ถกต้อง
ิ
ู
- 19. ประเพณียเี่ ป็ ง
การจุดโคมลอยมี 2 แบบ คือแบบที่ใช้ปล่อยในประเพณี ยเี่ ปงจะเริ่ มตั้งแต่วนขึ้น 13 คํ่า
ั
ซึ่งถือว่าเป็ น "วันดา" หรื อวันจ่ายของเตรี ยมไปทําบุญเลี้ยงพระที่วด ครั้น ถึงวันขึ้น 14 คํ่า พ่ออุย
ั
้
แม่อุยและผูมีศรัทธาก็จะพากันไปถือศีล ฟังธรรม และทําบุญเลี้ยงพระที่วด มีการทํา กระทง
้
้
ั
ขนาด ใหญ่ต้ งไว้ที่ลานวัด ในกระทงนั้นจะใส่ ของกินของใช้ ใครจะเอาของมาร่ วมสมทบด้วยก็
ั
ได้เพื่อเป็ น ทานแก่คนยากจน ครั้นถึงวันขึ้น 15 คํ่า จึงนํากระทงใหญ่ที่วดและกระทงเล็ก ๆ ของ
ั
ส่ วนตัวไปลอยในลํานํ้าในงาน บุญยีเ่ ป็ งนอกจากจะมีการปฏิบติธรรม ฟังเทศน์มหาชาติตามวัด
ั
วาอารามต่าง ๆ แล้ว ยังมีการประดับตกแต่งวัด บ้านเรื อน และถนนหนทางด้วย ต้นกล้วย ต้น
อ้อย ทางมะพร้าว ดอกไม้ ตุง ช่อประทีป และชักโคมยีเ่ ป็ ง แบบต่าง ๆ ขึ้นเป็ นพุทธบูชา พอตก
กลางคืนก็จะมีมหรสพและ การละเล่นมากมาย มีการแห่โคมทอง พร้อมกับมีการจุดถ้วย ประทีป
เพื่อบูชาพระรัตนตรัยการจุดบอกไฟ การจุดโคมไฟประดับตกแต่งตาม วัดวาอาราม และการจุด
โคมลอยปล่อยขึ้นสท้องฟ้ าเพื่อเพื่อบูชาพระเกตุ แก้ว จุฬามณี บนสรวงสวรรค์ช้ นดาวดึงส์ ความ
ั
่
เชื่อ การปล่อยว่าวไฟหรื อโคมลอยนี้ ชาวบ้านมักมีความเชื่อกันว่า เพื่อให้วาวได้นาเอาเคราะห์
ํ
ร้ายภัยพิบติต่างๆออก ไป
ั
- 21. วัฒนธรรมการแต่ งกาย
ชาวเชียงใหม่มีวฒนธรรมอันเป็ นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างหนึ่งคือ เป็ นคน
ั
ที่ชอบรักสวยรักงาม ดังนั้นวัฒนธรรมการแต่งกายจึงดูออกมาสวยงาม การแต่ง
กายของชาวเชียงใหม่น้ ีที่นิยมแต่งกันคือ การแต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองเชียงใหม่ ซึ่ง
เป็ นชุดย้อนยุคของผูคนชาวล้านนาในอดีต เป็ นชุดที่นิยมแต่งกันเวลามีงานหรื อ
้
กิจกรรมสําคัญๆ เช่น ไปทําบุญที่วด ร่ วมประเพณี ยเี่ ป็ ง ร่ วมกิจกรรมย้อนยุค
ั
ต่างๆ เป็ นต้น ส่ วนใหญ่ชุดพื้นเมืองทํามาจากผ้าฝ้ าย อันเป็ นพืชที่นิยมปลูกกันใน
บริ เวณภาคเหนือของไทย ในปัจจุบนพบว่า ส่ วนใหญ่ผคนชาวเชียงใหม่ไม่ค่อยมี
ั
ู้
ใครนิยมแต่งกายด้วยชุดพื้นเมือง เวลาออกไปเรี ยนหรื อทํางาน เพราะเป็ นการขัด
ต่อวัฒนธรรมสมัยใหม่นนเอง ดังนั้น เราจะเห็นชาวเชียงใหม่แต่งกายด้วยชุด
ั่
่ ้
พื้นเมืองก็เวลาอยูบาน มีงาน ประเพณี หรื อกิจกรรมที่สาคัญเท่านั้น
ํ
- 22. วัฒนธรรมการสร้ างบ้ านเรือน
ชาวเชียงใหม่นิยมสร้างบ้านเรื อนตามฐานะของตน ผูที่มีฐานะดีหน่อยจะสร้างบ้านที่มี
้
การประดับตกแต่งอย่างสวยงามเหมาะสมตามฐานะของตน ขณะที่คนมีฐานะยากจนขัดสนจะ
สร้างบ้านก็เพียงแค่เป็ นที่ซุกหัวนอนพอยังอัตภาพให้เป็ นไปเท่านั้น ดังนั้น การสร้างบ้านจึงดู
ออกมาต่างกัน อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมการสร้างบ้านของชาวเชียงใหม่น้ นอาจแบ่งลักษณะการ
ั
สร้างตามฐานะได้ 2 แบบ คือ บ้านของคนมีฐานะรํ่ารวย กับ บ้านของคนยากจน
บ้านของคนมีฐานะรํ่ารวยนั้น จะเป็ นบ้านที่มีขนาดใหญ่ สร้างด้วยไม้เนื้อแข็ง ส่ วนใหญ่นิยม
สร้างด้วยไม้สก ส่ วนบริ เวณจัวหลังคาบ้าน นิยมประดับประดาตกแต่งด้วยกาแล อันเป็ นไม้
ั
่
ประดับบนยอดจัวหลังคาของบ้านล้านนาของภาคเหนือ บ้านประเภทนี้เรี ยกว่า เรื อนกาแล
่
่
เหตุผลที่ตกแต่งด้วยกาแลก็เพราะความเชื่อที่วา กาแลสามารถช่วยป้ องกันอีกาหรื อนกไม่ให้มา
เกาะบนหลังคาบ้าน อีกอย่างก็เพื่อป้ องกันสิ่ งอัปมงคลทั้งหลายไม่ให้เข้ามาภายในบ้าน
- 23. วัฒนธรรมการสร้ างบ้ านเรือน
ส่ วนบ้านของคนยากจน จะเป็ นบ้านที่มีขนาดเล็ก ใช้วสดุที่พอหา
ั
ได้ตามท้องถิ่นของตน เช่น ไม้ไผ่ ใบตองตึง และไม้ชนิดต่างๆ เป็ นต้น
็
สําหรับผูที่มีฐานะดีข้ ึนมาหน่อย อาจสร้างบ้านเหมือนผูมีฐานะดีกได้
้
้
็
แต่กจะมีขนาดเล็กลดหลังตามฐานะของตน ส่ วนใหญ่บานประเภทนี้มก
้
ั
่
่
พบตามชานเมืองที่อยูนอกเมืองออกไป
ในปั จจุบน พบว่า วัฒนธรรมการสร้างบ้านของชาวเชียงใหม่
ั
เปลี่ยนไป กล่าวคือ มีการสร้างบ้านทรงยุโรป หรื อทรงตะวันตกกันมาก
ขึ้น มีการนําวัสดุที่มีราคาเพียงมาใช้ในการสร้างบ้าน และมีการประดับ
ตกแต่งบ้านด้วยวัสดุเครื่ องประดับอย่างหรู หรา
- 24. วัฒนธรรมการใช้ ภาษา
ชาวเชียงใหม่มีภาษาใช้สื่อสารเป็ นของตนเองที่นอกเหนือจาก
ภาษาไทย และเรี ยกภาษาของตนว่า ภาษาล้านนา หรื อ คําเมือง ซึ่ งเป็ น
ั
ภาษาที่มีใช้กนมานานตั้งแต่เมื่อครั้งอาณาจักรล้านนาแล้ว และได้สืบ
ทอดต่อๆกันมา มีการดัดแปลงสําเนียงการพูดบ้าง ตัวอักษรบ้าง
โครงสร้างทางภาษาบ้าง เพื่อให้มีความเหมาะสมกับบริ บทแต่ละท้องถิ่น
ชาวเชียงใหม่นิยมใช้ภาษาล้านนาหรื อคําเมือง พูดสื่ อสารกันใน
ชีวิตประจําวัน ตัวอย่างเช่น มืนตา (ลืมตา) ข้าเจ้า (ดิฉน)เพิ่น (เขา) บ่อ
ั
หื้ อ (ไม่ให้) เวิยๆ (ไวๆ) ฯลฯ และมีนอยนักที่จะพูดภาษาไทยอันเป็ น
้
ภาษากลางกัน ยกเว้นในกรณี ที่พบปะพูดคุยกันอย่างเป็ นทางกัน เช่น ใน
ห้องเรี ยน ในที่ประชุมใหญ่ๆ พิธีการที่สาคัญๆ เป็ นต้น
ํ
- 25. วัฒนธรรมการใช้ ภาษา
ชาวเชียงใหม่ยงนิยมเรี ยนภาษาล้านนาหรื อคําเมืองกันตาม
ั
โรงเรี ยนอีกด้วย ซึ่ งพบเห็นได้ทวๆไปในโรงเรี ยนในเชียงใหม่และ
ั่
บางแห่งยังได้เอาภาษาล้านนาหรื อคําเมืองเป็ นวิชาเลือกของโรงเรี ยน
อีกด้วย นอกจากนั้นแล้ว ชาวเชียงใหม่ยงได้มีการนําภาษาล้านนาหรื อ
ั
ั
คําเมืองมาเขียนเทียบคู่กบภาษาไทยตามป้ ายประชาสัมพันธ์หรื อชื่อ
สถานที่ที่สาคัญๆ เช่น โรงเรี ยน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย หน่วยงาน
ํ
ราชการอื่นๆ เป็ นต้น
- 26. วัฒนธรรมการใช้ ภาษา
ความงดงามและความเป็ นเอกลักษณ์เฉพาะด้านการใช้ภาษา เป็ น
ผลทําให้เชียงใหม่มีความโดดเด่นขึ้นมาและเป็ นมนต์เสน่ห์ที่ดึงดูดความ
สนใจของผูคนจากทัวมุมโลกให้ไปเที่ยวชม ไปศึกษาเรี ยนรู ้ถึงความลํ้า
้
่
ค่านี้ ที่นอกเหนือจากความงดงามและความลํ้าค่าทางด้านโบราณสถาน
โบราณวัตถุและธรรมชาติ เชียงใหม่จึงเป็ นเมืองๆหนึ่งที่มีนกท่องเที่ยว
ั
เดินทางมาเที่ยวชมเป็ นจํานวนมาก
- 27. บทสรุป
การที่เชียงใหม่มีประวัติศาสตร์อนยาวนานนับ 700 ปี และเคยเป็ นราชธานี
ั
รวมทั้งเป็ นศูนย์กลางความเจริ ญรุ่ งเรื องของอาณาจักรล้านนา ทําให้เชียงใหม่ได้
หล่อหลอมเอาวัฒนธรรมอันลํ้าค่าจากแหล่งอื่นๆมาเป็ นวัฒนธรรมอันโดดเด่น มี
ความเป็ นเอกลักษณ์เฉพาะของตน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความงดงามในความเป็ น
วัฒนธรรมเฉพาะตนอันเป็ นมนต์เสน่ห์ที่ดึงดูดความสนใจของผูคนจากทุกสารทิศ
้
ทัวมุมโลกให้มาเที่ยวชม นอกจากวัฒนธรรมแล้ว เชียงใหม่ยงมีประเพณี ที่แสดงถึง
ั
่
ความศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อพระพุทธศาสนา ชาวเชียงใหม่พากันจัดประเพณี
ต่างๆขึ้น เพื่อเสริ มสร้างความสมัครสมานสามัคคีของผูคนในหมู่คณะและเป็ น
้
อุปถัมภ์ค้ าจุน สื บทอดมรดกทางพระพุทธศาสนาเอาไว้ให้ยงยืน เพื่อตกทอดมรดก
ํ
ั่
อันลํ้าค่านี้ให้แก่อนุชนรุ่ นหลัง และที่สาคัญประเพณี บางอย่างยังเป็ นเครื่ องแสดง
ํ
ความถึงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษอีกด้วย
- 28. บทสรุป
สิ่ งที่บรรพบุรุษชาวเชียงใหม่สืบทอดมรดกมาสู่ลูกหลานในสมัยปั จจุบนนั้น ถือว่าเป็ น
ั
มรดกอันลํ้าค่าอย่างยิงที่หาไม่มีในที่แห่งอื่น สะท้อนให้เห็นถึงความเป็ นเอกลักษณ์เฉพาะ และที่
่
สําคัญมรดกเหล่านี้ ไม่เพียงแต่มีความงดงามด้านรู ปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น หากยังรวมถึงความ
งดงามอันมีค่ามหาศาลภายในจิตใจของผูคนที่มาเที่ยวชม อีกด้วย ซึ่ งเป็ นสิ่ งที่อนุชนรุ่ นหลัง
้
จะต้องตระหนักเห็นคุณค่า ความสําคัญ และเก็บรักษาสิ่ งลํ้าค่านี้ไว้ให้ดี
ทั้งประเพณี และวัฒนธรรมของเชียงใหม่ เป็ นสิ่ งที่งดงาม โดดเด่น ลํ้าค่าเกินคําบรรยาย ถือว่า
เป็ นต้นแบบของประเพณี และวัฒนธรรมในท้องถิ่นอื่น ท้องถิ่นอื่น ถือเอาแม่แบบที่ได้จาก
เชียงใหม่น้ ี นําไปประยุกต์ใช้เพื่อให้เหมาะสมกับบริ บทของท้องถิ่นตน ความงดงามทางด้าน
ประเพณี และวัฒนธรรมนี้เองที่ทาให้เชียงใหม่กลายเป็ นศูนย์กลางแห่งการท่องเที่ยวด้าน
ํ
ประเพณี และวัฒนธรรม รวมทั้งด้านธรรมชาติดวย จึงทําให้เชียงใหม่มีชื่อเลื่องลือขจรขจายไป
้
ทัวโลก
่
- 32. ผลที่คาดว่ าจะได้ รับ
วัยรุ่ นสมัยใหม่มีความรู ้ดานประเพณี และวัฒนธรรมมากขึ้นและต้องการ
้
่
สื บทอดและประเพณี และวัฒนธรรมเหล่านั้นให้คงอยูและสื บทอดต่อไป