SlideShare a Scribd company logo
1 of 15
ระบอบประชาธิปไตยทาให้เกิดการปกครองแบบประชาธิปไตย
1. ระบอบประชาธิปไตยทาให้เกิดการปกครองแบบประชาธิปไตย.
กระผมขอขอบคุณสภาผู้แทนราษฎรที่ให้เกียรติเชิญกระผมมาบรรยายเรื่องของคาบรรยายที่ตั้งให้นี้
ส่วนใหญ่เป็นปัญหาวิชาการกระผมจึงต้องขออภัยถ้าคาบรรยายต่อไปนี้ดูไปแล้วจะแก่วิชาการไปสักหน่อย
เรื่องนี้กระผมขอบรรยายในปัญหาเหล่านี้คือ1. ระบอบประชาธิปไตยคืออะไร2.ผู้สร้างระบอบประชาธิปไตย3.
เครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตย4.วิธีสร้างระบอบประชาธิปไตย5.เครื่องรักษาระบอบประชาธิปไตย1.
ระบอบประชาธิปไตยคืออะไร
ก่อนที่จะพูดถึงการสร้างระบอบประชาธิปไตยจะต้องมาทาความรู้จักกับระบอบประชาธิปไตยกันก่อน
ถ้าไม่รู้ว่าระบอบประชาธิปไตยคืออะไรก็ไม่ต้องพูดถึงการสร้างระบอบประชาธิปไตย
เหมือนเด็กทารกที่ยังไม่รู้ว่าบ้านคืออะไรเขาก็ไม่สามารถจะพูดกันถึงการสร้างบ้านคนไทยในระยะหลังๆ
ไม่รู้ระบอบประชาธิปไตยกันมากโดยเฉพาะในหมู่ปัญญาชนก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
ปัญญาชนบ้านเรารู้ระบอบประชาธิปไตยกันพอสมควรหลังเปลี่นแปลงการปกครองด้วยการปลูกฝังของ “คณะราษฎร”
ทาให้ความรู้ประชาธิปไตยของปัญญาชนค่อยๆสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูกทั้งๆที่มีการพูดกันมากที่สุด
บรรยายเรื่องประชาธิปไตยกันมากที่สุดอภิปรายเรื่องประชาธิปไตยกันมากที่สุดสัมมนาเรื่องประชาธิปไตยกันมากที่สุด
จนกล่าวได้ว่าไม่มีประเทศไหนในโลกที่จะพูดประชาธิปไตยกันมากเท่าประเทศไทย
แต่ยิ่งพูดดูเหมือนจะยิ่งไม่รู้ว่าระบอบประชาธิปไตยคืออะไรและหลักฐานข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
2. ผู้ไม่รู้ระบอบประชาธิปไตยมากกว่าใครๆคือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้หลักฐานข้อเท็จจริงสดๆร้อนๆคือ
กรณีทหารพรานไปชุมนุมประท้วงมรว.คึกฤทธิ์ทัศนะต่อกรณีนี้เป็นเครื่องวัดความเข้าใจระบอบประชาธิปไตย
ถ้าเข้าใจว่ามรว.คึกฤทธิ์ผิดทหารพรานถูกแสดงว่ารู้ระบอบประชาธิปไตยถ้าเข้าใจว่าทหารพรานผิดมรว.
คึกฤทธิ์ถูกแสดงว่าไม่รู้ระบอบประชาธิปไตยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่มีทัศนะว่าทหารผิดมรว.คึกฤทธิ์ถูก
ถึงกับเสนอญัตติและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างครึกโครมยิ่งกว่าในวงการใดๆซึ่งแสดงให้เห็นว่า
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่รู้ระบอบประชาธิปไตยยิ่งกว่าปัญญาชนในวงการอื่นๆปัญหาเสรีภาพของบุคคล
เป็นปัญหาพื้นฐานที่สุดปัญหาหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยเพราะว่าความหมายโดยย่อของระบอบประชาธิปไตยก็คือ
“อานาจอธิปไตยของปวงชนและเสรีภาพบริบูรณ์ของบุคคล”การไม่เข้าใจอานาจอธิปไตยของปวงชนก็ดี
การไม่เข้าใจเสรีภาพบริบูรณ์ของบุคคลก็ดีจึงเป็นเครื่องวัดความไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตยเสรีภาพของบุคคล
เป็นองค์ประกอบของการปกครองทุกระบอบ
แต่เสรีภาพบริบูรณ์ของบุคคลเป็นลักษณะพิเศษของระบอบประชาธิปไตยแม้ว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณา
จักรไทยพ.ศ.2521 ว่าด้วยเสรีภาพทางการเมืองจะมีข้อบกพร่องอย่างมากก็ตาม
แต่ก็ได้บรรจุสารสาคัญของเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยไว้ คือมาตรา 45ซึ่งบัญญัติไว้ว่า
“บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญให้เป็นปฏิปักษ์ต่อชาติศาสนา
พระมหากษัตริย์และรัฐธรรมนูญมิได้”กระผมว่าเรื่องนี้ให้บุคคลในแวดวงของท่านอธิบายเองดีกว่ากระผมอธิบาย
บังเอิญกระผมได้ไปเห็นเอกสารฉบับหนึ่งลงชื่อโดยอดีตส.ส.เป็นคาอธิบายปัญหานี้ที่ชัดเจน(แจกแก่ผู้ฟังทุกคน)
เอกสารฉบับนี้แสดงถึงความเข้าใจเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย
ซึ่งแสดงถึงการเข้าใจความหมายของระบอบประชาธิปไตยด้วยและเป็นหลักฐานให้เห็นว่าส.ส.
ส่วนใหญ่ในสภาชุดนี้ไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตยถ้าเข้าใจก็จะต้องพากันคัดค้านการกระทาของมรว.คึกฤทธิ์
ไม่ใช่ส่งเสริมกันใหญ่อย่างที่เสนอญัตติและวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ในที่นี้กระผมจะขออธิบายระบอบประชาธิปไตยโดยย่อ
ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ด้านคือหลักการปกครอง(Principleof government) และรูปการปกครอง(Formof government)
หลักการปกครองของระบอบประชาธิปไตยที่สาคัญมี5ประการคือ1.อานาจอธิปไตยของปวงชน(Sovereigntyof
people หรือPopularsovereignty) หมายถึงอานาจอธิปไตยของคนทั่วไปหรือคนทั้งหมด2.
เสรีภาพของบุคคล(Freedomof the person) หมายถึงเสรีภาพบริบูรณ์ของบุคคล
ทั้งเสรีภาพทางการเมืองและเสรีภาพส่วนบุคคลเอกชน3. ความเสมอภาค(Equality)
หมายถึงความเสมอภาคทางกฎหมายและความเสมอภาคทางโอกาส4.หลักนิติธรรม(Rule of law)
หมายความว่ากฎหมายในระบอบประชาธิปไตยทั้งกฎหมายหลัก(คือรัฐธรรมนูญ)และกฎหมายสามัญ
ต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม5.รัฐบาลจากการเลือกตั้ง(Electedgovernment)หมายถึง
การเลือกตั้งตามหลักนิยมของระบอบประชาธิปไตยคือFreevote และone manone vote หลักการปกครอง5
ประการของระบอบประชาธิปไตยนี้หลักอานาจอธิปไตยของปวงชนเป็นหัวใจแม้ว่ามีหลักอื่นๆ
แต่ถ้าไม่มีอานาจอธิปไตยของปวงชนก็ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยแต่ถ้ามีอานาจอธิปไตยของปวงชน
3. แม้ว่าจะขาดหลักอื่นๆไปบ้างในบางสภาวการณ์ก็เป็นระบอบประชาธิปไตยเช่น
เมื่อสถานการณ์ยังไม่เอื้ออานวยให้ทาการเลือกตั้งทั่วไปแต่มีอานาจอธิปไตยของปวงชน
ก็ยังคงเป็นระบอบประชาธิปไตยรูปการปกครองของระบอบประชาธิปไตยที่สาคัญมีอยู่2รูปคือระบอบรวมอานาจ
(Fusionof Powers)และระบบแยกอานาจ(SeparationofPowers) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าระบบรัฐสภา
(Parliamentarysystem) และระบบประธานาธิบดี(Presidential system) ระบบรวมอานาจหรือระบบรัฐสภา
หมายถึงอานาจนิติบัญญัติกับอานาจบริหารรวมกันโดยมีสภาผู้แทนราษฎรเป็นสถาบันหลัก
เช่นในอังกฤษระบบแยกอานาจหรือระบบประธานาธิบดีหมายถึงอานาจนิติบัญญัติและอานาจบริหารแยกกัน
คานกันและถ่วงดุลย์กันโดยมีประธานาธิบดีเป็นสถาบันหลักเช่นในสหรัฐอเมริกันแต่ในปัจจุบันมีระบบกึ่งแยกอานาจ
(Semi - Separationof Powers) หรือระบบกึ่งระบบประธานาธิบดี(Semi–Presidentialsystem) เกิดขึ้น
คือในฝรั่งเศสรูปการปกครองของระบอบประชาธิปไตยนี้
ไม่ว่าระบบรวมอานาจหรือระบบแยกอานาจไม่ว่าระบบรัฐสภาหรือระบบประธานาธิบดีระบอบเผด็จการมักจะนาไปใช้
เพื่อหลอกประชาชนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างเช่นระบอบเผด็จการบ้านเรานอกจากจะใช้รูปพิเศษต่างๆ
ภายหลังการทารัฐประหารแล้วมักจะใช้รูประบบรัฐสภาหรือระบบรวมอานาจเป็นรูปการปกครอง
ทาให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย
อย่างเช่นระบบรวมอานาจหรือระบบรัฐสภาในปัจจุบันของเราพูดกันอย่างถึงที่สุดแล้วก็เป็นรูปหนึ่งของระบอบเผด็จการ
ซึ่งเราเรียกกันว่าระบอบประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์บ้างระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบบ้าง
และที่เราต้องมาพูดเรื่องการสร้างระบอบประชาธิปไตยกันก็เพราะยังไม่เป็นระบอบประชาธิปไตยนั่นเองฉะนั้น
การทาความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยส่วนสาคัญจึงต้องทาความเข้าใจPrincipleof government
ถ้าทาความเข้าใจแต่Formof governmentแต่ไม่ทาความเข้าใจPrinciple of government แล้ว
ก็จะไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตยบ้านเรามักจะสนใจแต่Formofgovernment แต่มองข้ามPrincipleof
government2. ผู้สร้างระบอบประชาธิปไตยระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบของประชาชนฉะนั้นกล่าวโดยทั่วไป
ผู้สร้างระบอบประชาธิปไตยก็คือประชาชนแต่ถ้ากล่าวโดยรูปธรรมผู้สร้างระบอบประชาธิปไตยคือพรรคประชาธิปไตย
พรรคประชาธิปไตยก็คือพรรคที่เป็นผู้แทนของประชาชนนั่นเองพรรค(Party) หรือพรรคการเมือง(Political Party)
ไม่หมายถึงแต่เฉพาะพรรคตามกฎหมายพรรคการเมืองบ้านเราในปัจุบันเท่านั้น
ที่สาคัญหมายถึงพรรคตามธรรมชาติซึ่งได้แก่คณะบุคคลที่ดาเนินกิจกรรมทางการเมืองภายใต้นโยบายเพื่อผลประโยชน์ข
องกลุ่มชนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชนส่วนน้อยหรือกลุ่มชนส่วนใหญ่ หรือประชาชนทั่วไป
คณะบุคคลที่เป็นผู้แทนทางการเมืองของประชาชนคือพรรคประชาธิปไตยไม่ว่าในประเทศไทยหรือในนานาประเทศ
ผู้สร้างระบอบประชาธิปไตยคือพรรคประชาธิปไตยทั้งสิ้นพรรคอื่นๆไม่สามารถสร้างระบอบประชาธิปไตยได้ เช่น
พรรคคอมมิวนิสต์โฆษณาว่าจะสร้างระบอบประชาธิปไตย
4. แท้จริงเป็นการหลอกประชาชนเพื่อนาไปสร้างระบอบคอมมิวนิสต์เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24
มิถุนายน2475 มีพรรคประชาธิปไตยอยู่2พรรคคือ
พรรคของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งประกอบด้วยรัชกาลที่7
กับผู้ร่วมงานไม่กี่คนขอเรียกง่ายๆว่า“พรรคร.7”และพรรคราษฎรซึ่งเรียกชื่อว่า“คณะราษฎร”พรรคร.7
มีอานาจรัฐอยู่ในกามือคณะราษฎรไม่มีอานาจรัฐและพยายามจะยึดอานาจแต่พรรคร.7ดาเนินการช้าไป
คณะราษฎรยึดอานาจเสียก่อนดังพระราชหัตถเลขาลงวันที่4กรกฎาคม2475 ตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าตั้งใจดีต่อราษฎร
และได้คิดที่จะให้พระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินแก่ราษฎรอยู่แล้วหากแต่ล่าช้าไปไม่ทันกาล”รัชกาลที่7
ทรงร่วมมือกับคณะราษฎรอย่างเต็มที่เพราะทรงมีพระราชดาริอยู่ก่อนแล้วว่าที่จะสร้างระบอบประชาธิปไตย
แต่แล้วก็ทรงทราบว่าหลักการไม่ตรงกันดังพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งว่า“ครั้นเมื่อข้าพเจ้ากลับไปกรุงเทพฯแล้ว
และได้เห็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่หลวงประดิษฐ์ฯได้นามาให้ข้าพเจ้าลงนามข้าพเจ้าก็รู้สึกทันทีว่า
หลักการของผู้ก่อการกับหลักการของข้าพเจ้านั้นไม่พ้องกันเสียแล้ว”ต่อมาจึงเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างร.7
กับคณะราษฎรและไม่สามารถตกลงกันได้ ในที่สุดต้องทรงสละพระราชสมบัติ
จากนั้นคณะราษฎรจึงดาเนินการสร้างระบอบประชาธิปไตยตามนโยบายของตนโดยลาพัง 3.
เครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตย
พรรคประชาธิปไตยซึ่งเป็นผู้สร้างระบอบประชาธิปไตยนั้นจะต้องมีเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตย
และเครื่องมือสร้างระบอบประชาธิปไตยก็คือนโยบายประชาธิปไตยของพรรคผู้สร้างระบอบประชาธิปไตยนั่นเองคาว่านโย
บายของพรรคการเมืองในภาษาไทยนั้นภาษาอังกฤษใช้คาว่าProgramหรือPlatformหมายถึงโครงการ
หรือความมุ่งหมายของพรรคที่ทาเป็นข้อๆไม่ใช่นโยบายซึ่งตรงกับPolicy ฉะนั้นถ้าจะหมายถึงProgramหรือ
Platformของพรรคการเมืองต้องพูดให้เต็มว่า “นโยบายของพรรคการเมือง”ถ้าพูดว่า“นโยบาย”เฉยๆจะตรงกับPolicy
ไปและนโยบายของพรรคประชาธิปไตยนี่เองคือเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตย
เมื่อพูดถึงเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยบ้านเรามีความเข้าใจผิดที่สาคัญที่จาเป็นต้องแก้ไข
มิฉะนั้นแล้วจะเป็นอุปสรรคร้ายแรงต่อการสร้างระบอบประชาธิปไตยคือ
ความเข้าใจผิดที่ว่ารัฐธรรมนูญเป็นเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยกระผมสังเกตเห็นว่าส.ส.
ส่วนมากมีความเข้าใจผิดเช่นนี้แต่ก็มีส.ส.อย่างน้อยท่านหนึ่งได้ให้คาอธิบายไว้ว่า
รัฐธรรมนูญไม่ใช่เครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยส.ส.ท่านนั้นคือดร.เกษมศิริสัมพันธ์ซึ่งได้เขียนไว้ในคอลัมน์
“เทศกาลบ้านเมือง”ของนสพ.“สยามรัฐฉบับวันที่11กรกฎาคม2521 ว่า“คนไทยเราด้วยการปลูกฝังของคณะราษฎร
ทาให้เชื่อมั่นว่า“รัฐธรรมนูญ”เป็นของคู่กับประชาธิปไตยและเชื่อว่าเราสามารถสร้าง“ประชาธิปไตย”
ด้วยการเขียนรัฐธรรมนูญ…คณะราษฎรท่านเชื่อว่าท่านจะใช้รัฐธรรมนูญสร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาให้ได้
ซึ่งความคิดเช่นนี้ก็ได้สร้างความล้มเหลวในทางการเมืองตลอดมาอย่างที่เห็นกันอยู่แม้จนทุกวันนี้…
บ้านเรามีความเข้าใจผิดในเรื่องประชาธิปไตยเพราะเชื่อกันว่ารัฐธรรมนูญเป็นเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตย
5. ซึ่งไม่เป็นความจริงรัฐธรรมนูญมีได้ทั้งในระบอบเผด็จการและระบอบประชาธิปไตย”แต่ดร.เกษมก็ไม่ได้บอกว่า
เมื่อรัฐธรรมนูญไม่ใช่เครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยแล้ว
อะไรคือเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยคือ
นโยบายของพรรคประชาธิปไตยที่ดาเนินการสร้างระบอบประชาธิปไตยซึ่งต่อไปนี้เพื่อความสะดวกกระผมก็ขอเรียกว่า
Program Programของพรรคร.7โดยสารสาคัญคือ
การทาให้อานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนตามพระราชหัตถเลขาซึ่งจารึกอยู่ณฐานพระราชอนุสาวรีย์
ที่ท่านทั้งหลายเดินผ่านอยู่ทุกวันว่า “ข้าพเจ้าสมัครใจจะสละอานาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิม
ให้แก่ราษฎรทั่วไป…”Programของคณะราษฎรคือหลัก6ประการประกอบด้วย(1) หลักเอกราช(2)
หลักความปลอดภัย(3) หลักเศรษฐกิจ(4) หลักความเสมอภาค(5) หลักเสรีภาพ(6) หลักการศึกษาProgram
ของคณะราษฎรไม่มีหลักอานาจอธิปไตยของปวงชนต่างกับProgramของพรรคร.7
ซึ่งยกเอาอานาจอธิปไตยของปวงชนเป็นหลักการสาคัญอันดับแรกตามที่ทรงมีพระราชหัตถเลขาไว้ว่า
หลักการของคณะราษฎรกับของพระองค์ท่านไม่พ้องกันเสียแล้วนั้นโดยสารสาคัญหมายถึงหลักการข้อนี้เองจึงเห็นว่า
Program ของพรรคร.7เป็นเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องProgram
ของคณะราษฎรเป็นเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยที่ขาดหัวใจของหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
จึงขาดความสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่งฉะนั้นระบอบประชาธิปไตยที่สร้างโดยคณะราษฎรและรับช่วงสืบทอดต่อๆ
กันมาโดยพรรคต่างๆจนถึงปัจจุบันจึงเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์ หรือเป็นระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ
ซึ่งกล่าวตามพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่7ว่าเป็นระบอบเผด็จการทางอ้อมๆแต่ถ้าพูดอย่างถึงที่สุดก็คือ
ระบอบเผด็จการดีๆนี้เองแต่ใช้ระบอบรัฐสภาเป็นรูปการปกครองผู้คนจึงเข้าใจผิดไปว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย
ที่จริงแล้วควรจะเรียกระบอบปัจจุบันว่าเป็นระบอบเผด็จการรัฐสภาไม่ว่าในประเทศใดๆ
ถ้าพรรคประชาธิปไตยผู้สร้างระบอบประชาธิปไตยมี
Programประชาธิปไตยที่ไม่ถูกต้องการสร้างระบอบประชาธิปไตยในประเทศนั้นๆก็จะล้มเหลว
ในประเทศเราคระราษฎรมีนโยบายประชาธิปไตยไม่ถูกต้องซึ่งต่อเนื่องสืบทอดโดยพรรคอื่นๆเป็นลาดับมา
ทั้งที่ได้อานาจด้วยการทารัฐประหารและด้วยการเลือกตั้ง
การสร้างระบอบประชาธิปไตยจึงล้มเหลวตลอดมาแต่ในปัจจุบันบังเกิดมีProgramประชาธิปไตยที่ถูกต้องเกิดขึ้นแล้ว
คือ นโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ตามคาสั่งสานักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523
ซึ่งเสนอและยึดถือโดยกองทัพบกมีผลให้กองทัพบกซึ่งเป็นกลไกหลักของรัฐได้มีลักษณะพรรคประชาธิปไตย
และแสดงบทบาทของพรรคประชาธิปไตยอย่างเต็มที่Programประชาธิปไตยที่ถูกต้องซึ่งกองทัพบกยึดถือปฏิบัติอยู่นี้
ก็คือProgramประชาธิปไตยที่ถูกต้องต่อเนื่องจากProgramประชาธิปไตยที่ถูกต้องของพรรคร.7นั่นเอง
โดยสารสาคัญก็คือการขยายอานาจอธิปไตยของปวงชนตามที่กองทัพบกประกาศอยู่ตลอดเวลานั่นเองในปัจจุบัน
แม้ว่าจะมีพรรคประชาธิปไตยเกิดขึ้นในหมู่ประชาชนบ้างแล้วซึ่งมีProgramสอดคล้องกับนโยบาย66/23
โดยพื้นฐานก็ตามแต่ลักษณะพรรคประชาธิปไตยที่เข้มแข็งยังคงอยู่กับกองทัพบกฉะนั้น
6. กองทัพบกจึงต้องเข้าแบบภาระของผู้สร้างระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบันโดยมีนโยบาย66/23ซึ่งก็คือProgram
ประชาธิปไตยที่ถูกต้องเป็นเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยเงื่อนไขดังกล่าวนี้คือ
หลักประกันความสาเร็จของการสร้างระบอบประชาธิปไตย 4.
วิธีสร้างระบอบประชาธิปไตยวิธีสร้างระบอบประชาธิปไตยคือการปฏิวัติหรือRevolution
ซึ่งจะใช้คาพูดว่าอะไรก็แล้วแต่ความหมายก็คือการปฏิวัติหรือRevolution นั่นเองเช่นคณะราษฎรใช้คาว่า
“เปลี่ยนแปลงการปกครอง”ก็มีความหมายอย่างเดียวกันดังบันทึกการประชุมครั้งแรกของคณะราษฎรที่กรุงปารีส
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์พ.ศ.2470 ว่า“วัตถุประสงค์ของคณะราษฎรคือเปลี่ยนระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
มาเป็นระบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีศัพท์สมัยใหม่ว่า “ปฏิวัติ”หรือ“อภิวัฒน์”
เพื่อถ่ายทอดคาฝรั่งเศสอังกฤษRevolutionดังนั้นเราจึงใช้คาศัพท์ธรรมดาว่า
“เปลี่ยนการปกครองของกษัตริย์เหนือกฎหมายมาเป็นการปกครองที่มีกษัตริย์อยู่ใต้กฎหมาย”ซึ่งหมายถึงปฏิวัติหรือ
Revolution นั่นเองการสร้างระบอบประชาธิปไตยประกอบด้วย 2ด้านด้านหนึ่งคือการยกเลิกระบอบเผด็จการ
อีกด้านหนึ่งคือการสร้างระบอบประชาธิปไตยต้องดาเนินการไปด้วยกันทั้ง 2ด้าน
จึงจะเป็นการสร้างระบอบประชาธิปไตยนั่นเองเพราะว่าปัญหาพื้นฐานของการปฏิวัติก็คือการยกเลิกระบอบเก่า
และสถาปนาระบอบใหม่ขึ้นแทนนัยหนึ่งยกเลิกอานาจอธิปไตยของชนส่วนน้อย
และสถาปนาอานาจอธิปไตยของปวงชนขึ้นแทนเช่นมหาปฏิวัติฝรั่งเศส(GreatFrenchRevolution) “The fall of the
Bastille meanttheendof the oldorder,andestablishedthesovereigntyof the people”(จากA Historyof
Europe vol.IV ของD.B .Horn)ระบอบเก่าคือระบอบเผด็จการซึ่งมี2แบบ คือระบอบเผด็จการแบบเก่า
เรียกว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และระบอบเผด็จการแบบใหม่เรียกว่าระบอบเผด็จการระบอบคณาธิปไตย
ระบอบเผด็จการทหารระบอบฟาสซิสต์ระบอบเผด็จการรัฐสภาเป็นต้นการยกเลิกระบอบเก่า
หมายถึงการยกเลิกระบอบเผด็จการทั้งแบบเก่าและแบบใหม่ทุกรูปการปฏิวัตินั้นกล่าวกว้างๆคือการทาให้ดีขึ้น
แต่กล่าวให้ชัดเจนขึ้นไปหมายถึงการยกเลิกสิ่งไม่ดีและการสร้างสรรค์สิ่งดี
เพราะการสร้างสรรค์สิ่งดีไม่สามารถเป็นไปได้โดยไม่ยกเลิกสิ่งไม่ดีเช่นการปฏิบัติธรรมต้องมีทั้งปหานะและภาวนา
ปหานะคือละอกุศลกรรมภาวนาคือเจริญกุศลกรรมการเจริญกุศลกรรมโดยไม่ละอกุศลกรรมย่อมเป็นไปไม่ได้
การทาดีโดยไม่ละชั่วเป็นไปไม่ได้ เหมือนการทานาต้องกาจัดวัชพืชฉะนั้นการปฏิวัติทางการเมืองจึงหมายถึง
การยกเลิกระบอบเผด็จการและสถาปนาระบอบประชาธิปไตยขึ้นแทนนัยหนึ่งยกเลิกอานาจอธิปไตยของชนส่วนน้อย
และสถาปนาอานาจอธิปไตยของปวงชนขึ้นแทนเมื่อพูดถึงการปฏิวัติทางการเมืองควรเข้าใจด้วยว่า
ในยุคปัจจุบันมีการปฏิวัติ2 ชนิด คือ การปฏิวัติของพรรคประชาธิปไตย
และการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์การปฏิวัติของพรรคประชาธิปไตยเรียกว่าการปฏิวัติประชาธิปไตย(Democratic
revolution)การปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์เรียกว่าการปฏิวัติสังคมนิยม(Socialistrevolution)
7. แต่การปฏิวัติสังคมนิยมมี2ขั้นตอนขั้นตอนแรกพรรคคอมมิวนิสต์ยืมชื่อจากพรรคประชาธิปไตยไปใช้ จึงเรียกว่า
การปฏิวัติประชาธิปไตยเหมือนกันขั้นตอนหลังเรียกว่าการปฏิวัติสังคมนิยมฉะนั้น
การปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคคอมมิวนิสต์ก็คือการปฏิวัติสังคมนิยมนั่นเองแต่เป็นขั้นต้นของการปฏิวัติสังคมนิยม
จึงต้องระวังอย่าเอาการปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคประชาธิปไตย
กับการปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคคอมมิวนิสต์ไปปะปนกันเพราะถึงแม้จะมีชื่อตรงกัน
แต่ลักษณะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงการปฏิวัติที่กองทัพบกกาลังทาอยู่เป็นการปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคประชาธิปไตย
แต่มีบางคนพยายามบิดเบือนใส่ร้ายว่าเป็นการปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคคอมมิวนิสต์เช่น
การประดิษฐ์สภาเปรซิเดียมขึ้นมาโดยใส่กระผมเลยกลายเป็นการเปิดตัวเอาอย่างโจ่งแจ้งแดงแจ๋ว่าเป็น “แนวร่วม”
ชั้นวิเศษสุดของพคท.ที่กระผมกล่าวว่าในยุคปัจจุบันมีการปฏิวัติ2ชนิดคือ
การปฏิวัติประชาธิปไตยและการปฏิวัติสังคมนิยมนัยหนึ่งการปฏิวัติของพรรคประชาธิปไตย
และการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์นั้นหมายถึงแต่เฉพาะในประเทศด้อยพัฒนา(Underdevelopedcountry)
เท่านั้นไม่เกี่ยวกับประเทศกาลังพัฒนา(Developingcountry)และประเทศพัฒนา(Developedcountry)
เพราะว่าประเทศกาลังพัฒนานั้นทาการปฏิวัติทางการเมืองเสร็จแล้วจึงไม่ต้องทาการปฏิวัติทางการเมืองอีก
ภารกิจจึงมีแต่เพียงการพัฒนาเศรษฐกิจให้สมบูรณ์เท่านั้นส่วนในประเทศพัฒนาไม่มีการปฏิวัติ
เพราะปฏิวัติเสร็จแล้วทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจประเทศด้อยพัฒนา
คือประเทศที่ยังไม่ได้ทาการปฏิวัติทางการเมืองหรือทาการปฏิวัติทางการเมืองยังไม่เสร็จจึงต้องทาการปฏิวัติให้เสร็จ
ซึ่งแย่งชิงกันอยู่ระหว่างการปฏิวัติ2ชนิดคือระหว่างการปฏิวัติของพรรคประชาธิปไตยกับการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์
สถานการณ์เช่นนี้มีอยู่ในทุกประเทศด้อยพัฒนาตัวอย่างที่ชัดเจนและใกล้บ้านเราคือประเทศจีนพรรคประชาธิปไตย
(พรรคก๊กมินตั๋งหรือพรรคชาตินิยมซึ่งคนไทยนิยมเรียกจีนคณะชาติ)ทาการปฏิวัติเมื่อพ.ศ.2454 แต่ไม่เสร็จ
ทาได้เพียงยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และสถาปนาระบบประธานาธิบดีเท่านั้น
แต่ไม่บรรลุถึงระบอบประชาธิปไตยครั้นต่อมา10 ปี ถึงพ.ศ.2464 บังเกิดพรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้น
ซึ่งมุ่งทาการปฏิวัติสังคมนิยมในรูปการปฏิวัติประชาธิปไตยขั้นต้นแข่งกับการปฏิวัติประชาธิปไตยของพรคก๊กมินตั๋ง
ปัญหาจึงมีว่าใครจะปฏิวัติเสร็จพรรคก๊กมินตั๋งหรือพรรคคอมมิวนิสต์ถ้าพรรคก๊กมินตั๋งปฏิวัติเสร็จ
ประเทศจีนก็จะเป็นประชาธิปไตยถ้าพรรคคอมมิวนิสต์ปฏิวัติเสร็จประเทศจีนก็จะเป็นคอมมิวนิสต์ในสมัยที่
ดร.ซุนยัตเซ็นผู้นาของพรรคก๊กมินตั๋งมีชีวิตอยู่การแข่งขันอยู่ในรูปการร่วมมือระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์
แต่ ดร.ซุนยัตเซ็นสังเกตเห็นด้วยความห่วงใยถึงความอ่อนแอของพรรคก๊กมินตั๋ง
เกรงว่าจะไม่สามารถนาการปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคก๊กมินตั๋งไปบรรลุผลสาเร็จซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น
พรรคคอมมิวนิสต์ก็จะทาการปฏิวัติสาเร็จและทาประเทศจีนเป็นคอมมิวนิสต์ฉะนั้นก่อนถึงแก่กรรมดร.ซุนยัตเซ็น
จึงมอบพินัยกรรมเป็นกลอนให้แก่พรรคก๊กมินตั๋งไว้ว่าเก๊อะมิ่งซ่างเว่ยเฉิงกงถ่งจื้อย่งซูหนู่ลิแปลว่า
การปฏิวัติยังไม่เสร็จสหายทั้งหลายจงพยายามต่อไปแต่เจียงไคเช็คซึ่งรับช่วงการนาของพรรคก๊กมินตั๋งต่อจากดร.
8. ซุนยัตเซ็นมิได้ปฏิบัติพินัยกรรมนี้ทั้งยังสร้างระบอบเผด็จการอันรุนแรงขึ้นในประเทศจีนเหตุนี้หลังจากดร.ซุนยัตเซ็น
มอบพินัยกรรม22 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ทาการปฏิวัติสาเร็จ
ประเทศจีนจึงเป็นประเทศคอมมิวนิสต์อย่างที่เห็นกันอยู่ไม่ว่าในประเทศใดๆ
ถ้าพรรคประชาธิปไตยไม่ทาการปฏิวัติให้เสร็จพรรคคอมมิวนิสต์ก็จะทาการปฏิวัติเสร็จอย่างแน่นอนเช่นในรัสเซียและจีน
ฯลฯและถ้าพรรคประชาธิปไตยทาการปฏิวัติเสร็จพรรคคอมมิวนิสต์ก็หมดโอกาสที่จะทาการปฏิวัติต่อไปเช่นในอินเดีย
มาเลเซียสิงคโปร์ ฯลฯฉะนั้นวิธีทาลายการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์จึงมีอย่างเดียวคือ
พรรคประชาธิปไตยทาการปฏิวัติให้เสร็จพูดง่ายๆคือเอาการปฏิวัติปรามการปฏิวัติทานองหนามยอกเอาหนามบ่ง
นั่นเองประเทศไทยเกือบไปเราทาการปฏิวัติเมื่อพ.ศ.2475 ห้าสิบกว่าปีไม่เสร็จ
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยได้โอกาสทาสงครามปฏิวัติขึ้นทั่วประเทศ
กองทัพบกไหวทันชิงทาการปฏิวัติโดยออกนโยบาย 66/23 พคท.จึงแพ้สงคราม
แต่เปลี่ยนยุทธวิธีการต่อสู้ด้วยอาวุธเป็นยุทธวิธี“แนวร่วม”ซึ่งได้ผลอย่างใหญ่หลวงถึงขนาดจะฟื้นฟูสงครามขึ้นได้อีก
เหตุสาคัญเพราะกองทัพบกย่อหย่อนการปฏิบัติ66/23 คือย่อหย่อนการปฏิวัติ
เหตุนี้กองทัพบกจึงต้องเร่งรีบทาการปฏิวัติให้เสร็จดังที่ได้ประกาศและดาเนินการอยู่การปฏิวัตินั้น
ไม่ว่าการปฏิวัติของพรรคประชาธิปไตยหรือของพรรคคอมมิวนิสต์มี 2วิธีคือวิธีรุนแรงและวิธีสันติวิธีรุนแรงคือใช้อาวุธ
วิธีสันติคือไม่ใช้อาวุธตัวอย่างการปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคประชาธิปไตยในฝรั่งเศสซึ่งเรียกว่ามหาปฏิวัติฝรั่งเศส
เพราะถือกันว่าเป็นแบบฉบับของการปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคประชาธิปไตยตามที่คัดลอกมาว่า “The fall of the
Bastille”นั้นเป็นวิธีรุนแรงแต่การปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคประชาธิปไตยในญี่ปุ่นและอินเดีย
เป็นวิธีไม่รุนแรงการปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคคอมมิวนิสต์ในรัสเซียและในจีน
เป็นวิธีรุนแรงและการปฏิวัติสังคมนิยมในรัสเซียก็เป็นวิธีรุนแรงแต่การปฏิวัติสังคมนิยมในจีนในรูมาเนีย
ในเชคโกสโลวาเกียฯลฯเป็นวิธีไม่รุนแรงในประเทศไทยการปฏิวัติของคณะราษฎรเมื่อ24มิถุนายน2475 เป็นวิธีรุนแรง
(ใช้กาลังอาวุธยึดอานาจ)แต่การปฏิวัติของพรรคร.7เป็นวิธีไม่รุนแรง(พระราชหัตถเลขาฉบับเดียวกันตอนหนึ่งว่า
“ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้รับสืบราชสมบัติจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ
ข้าพเจ้าก็ได้คิดการที่จะบันดาลให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปได้โดยราบรื่นที่สุดที่จะเป็นไปได้”) การปฏิวัติพคท.
แนวทางอาวุธเป็นวิธีรุนแรงโดยเฉพาะคือทาสงครามกลางเมืองถึง10 ปี
การปฏิวัติของกองทัพบกเป็นวิธีไม่รุนแรงการปฏิวัติจะเป็นวิธีรุนแรงหรือวิธีไม่รุนแรง
ขึ้นอยู่กับลักษณะพิเศษของประเทศนั้นๆและกับสถานการณ์ในช่วงนั้นๆกล่าวโดยทั่วไป
การปฏิบัติของพรรคที่ไม่มีอานาจรัฐเป็นวิธีรุนแรงเพราะต้องยึดอานาจ
เช่นการปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคประชาธิปไตยฝรั่งเศสการปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย
และพรรคคอมมิวนิสต์จีนฯลฯการปฏิวัติของพรรคที่มีอานาจรัฐอยู่แล้วเป็นวิธีไม่รุนแรงเช่น
การปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคพระจักรพรรดิญี่ปุ่นการปฏิวัติสังคมนิยมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน(เพราะ
พคจ.กุมอานาจอย่างเข้มแข็งอยู่แล้ว)ฯลฯแต่ก็มีกรณีพิเศษเช่นการปฏิบัติประชาธิปไตยของพรรคคองเกรสในอินเดีย
9. ซึ่งไม่มีอานาจรัฐแต่เป็นวิธีไม่รุนแรงการปฏิวัติสังคมนิยมของพรรคบอลเชวิคซึ่งได้อานาจรัฐแล้วแต่ก็เป็นวิธีรุนแรง
(เพราะฝ่ ายต่อต้านใช้กาลังเข้าทาลายการปฏิวัติอย่างใหญ่โตมาก)ในประเทศไทยถ้าพรรคร.7มีโอกาสทาการปฏิวัติ
โดยคณะราษฎรไม่ชิงทาเสียก่อนก็จะเป็นวิธีไม่รุนแรงเพราะพรรคร.7มีอานาจรัฐอยู่แล้ว
การปฏิวัติของกองทัพบกเป็นวิธีไม่รุนแรงอย่างแน่นอนเพราะกองทัพบกมีอานาจมากที่สุดในบรรดาไกรัฐทั้งปวงฉะนั้น
ตามที่บางคนกล่าวว่าการปฏิวัติไม่รุนแรงจะเป็นไปได้อย่างไรนั้น
ไม่มีหลักฐานและเป็นคากล่าวของพวกที่ต้องการไม่ให้มีการปฏิวัติกับพวกพคท.
แนวทางอาวุธที่กลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ทาการปฏิวัติอย่างรุนแรงเท่านั้นการปฏิวัติที่กองทัพบกทาอยู่
เป็นการปฏิวัติตามวิถีทางประชาธิปไตยแนวทางสันติตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในพระราชหัตถเลขาว่า“ข้าพเจ้าก็ได้คิดการที่จะบันดาลให้การเปลี่ยนแปลงนั้น
เป็นไปได้โดยราบรื่นที่สุดที่จะเป็นไปได้”นักการเมืองและนักวิชาการบ้านเรามักจะเข้าใจกันว่า
การสร้างระบอบประชาธิปไตยจะทาได้โดยไม่ต้องทาการปฏิวัติพวกเขาอยากสร้างระบอบประชาธิปไตย
แต่ไม่ต้องการเห็นการปฏิวัติพยายามหลีกเลี่ยงการปฏิวัติกระทั้งแม้แต่คาว่า“ปฏิวัติ”ก็ไม่อยากจะได้ยินฉะนั้น
เมื่อกองทัพบกพูดถึงการปฏิวัติจึงฮือฮากันใหญ่โตซึ่งผู้คนในประเทศเพื่อนบ้านของเราคงจะแปลกใจกันมากทีเดียว
โดยเฉพาะชาวฟิลิปปินส์
ซึ่งประธานาธิบดีหญิงสถาปนารัฐบาลปฏิวัติขึ้นด้วยความสนับสนุนอยย่างท่วมท้นของชาวฟิลิปปินส์ทั้งๆ
ที่กระผมก็ยังไม่แน่ใจว่ารัฐบาลปฏิวัติของฟิลิปินส์นั้น
เป็นรัฐบาลปฏิวัติที่แท้จริวหรือไม่การสร้างระบอบประชาธิปไตยโดยไม่ทาการปฏิวัตินั้นจะทาได้อย่างไร
เพราะการสร้างระบอบประชาธิปไตยคือการยกเลิกรับอบเผด็จการและสถาปนาระบอบประชาธิปไตยซึ่งหมายความว่า
การสร้างระบอบประชาธิปไตยก็คือการปฏิวัตินั่นเองจะเอาระบอบประชาธิปไตยแต่ไม่เอาการปฏิวัติมันอะไรกันท่าน
ส.ส.ที่เคารพรัก5.เครื่องรักษาระบอบประชาธิปไตยเมื่อพรรคประชาธิปไตยทาการปฏิวัติเสร็จแล้วซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ
สร้างระบอบประชาธิปไตยเสร็จแล้วมีความจาเป็นที่จะต้องรักษาระบอบประชาธิปไตยให้มั่นคง
มิฉะนั้นแล้วระบอบประชาธิปไตยโดยเฉพาะระบอบประชาธิปไตยอันเยาว์วัยจะถูกทาลายลงเพราะว่า
ถึงแม้พวกคอมมิวนิสต์และพวกเผด็จการซึ่งเป็น“แนวร่วม”จะพ่ายแพ้ไปแล้ว
แต่ก็ยังคงใช้ความพยายามทุกวิถีทางที่จะทาลายการปฏิวัติของพรรคประชาธิปไตย
จึงต้องรักษาระบอบประชาธิปไตยให้มั่นคงไว้เครื่องรักษาระบอบประชาธิปไตยอันสาคัญที่สุดคือ
รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยเพราะรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยก็คือภาพสะท้อนของผลสาเร็จในการปฏิบัติProgram
ประชาธิปไตยในรูปของกฎหมายซึ่งประชาชนทุกคนต้องปฏิบัติตามผู้ทาลายรัฐธรรมนูญมีโทษถึงตายรัฐธรรมนูญกับ
Program มีเนื้อหาตรงกันต่างกันตรงที่ว่าProgramพูดถึงสิ่งที่จะทาแต่รัฐธรรมนูญพูดถึงสิ่งที่กระทาแล้วเช่น
10. Program พูดว่าจะทาให้อานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนรัฐธรรมนูญพูดว่าอานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
Program พูดว่าจะทาให้บุคคลมีเสรีภาพบริบูรณ์ รัฐธรรมนูญพูดว่าบุคคลมีเสรีภาพบริบูรณ์Program
กับรัฐธรรมนูญพูดตรงกันอย่างนี้นักการเมืองและนักวิชาการบ้านเราเลยนึกว่าไม่ต้องเอา Programก็ได้
เอารัฐธรรมนูญอย่างเดียวก็พอแล้วบ้านเราจึงพูดแต่รัฐธรรมนูญไม่พูดถึง Program
เลยนึกว่ารัฐธรรมนูญเป็นเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยไปพวกเราจึงพยายามร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย
โดยเข้าใจว่าถ้ารัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยแล้วก็จะทาให้ระบอบเป็นประชาธิปไตยความพยายามนี้ล้มเหลวตลอดกาล
ดังที่ ดร.เกษมศิริสัมพันธ์ว่าไว้ อันที่จริงเราเคยมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยอยู่เหมือนกันคือรัฐธรรมนูญฉบับแรก
ซึ่งมีชื่อว่าธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวประกาศใช้เมื่อวันที่ 27มิถุนายน2475 มาตรา1 บัญญัติไว้ว่า
“อานาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย”แต่ข้อความนี้ไม่มีในProgramของคณะราษฎร
คือไม่มีเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยจึงไม่มีระบอบประชาธิปไตยทั้งๆ
ที่รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญอีกฉบับหนึ่งก็เป็นประชาธิปไตยคือรัฐธรรมนูญพ.ศ.2517
ซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา3ว่า“อานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย”(ฉบับอื่นๆบัญญัติว่า
อานาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทย)แต่ข้อความนี้ก็ไม่มีในProgramของพรรคปกครองในขณะนั้น
จึงไม่มีระบอบประชาธิปไตยเช่นกันรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยทาหน้าที่รักษาระบอบประชาธิปไตย
ไม่ได้ทาหน้าที่สร้างระบอบประชาธิปไตยสิ่งทาหน้าที่สร้างระบอบประชาธิปไตยคือProgramประชาธิปไตยเมื่อไม่มี
Program ประชาธิปไตยก็จะไม่มีระบอบประชาธิปไตยและเมื่อไม่มีระบอบประชาธิปไตย
ถึงแม้จะมีรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยก็มีไว้เฉยๆ
ไม่ได้ใช้คุ้มครองรักษาสิ่งใดรัฐธรรมนูญบ้านเราจึงไร้ความหมายจะต้องสร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาก่อน
แล้วจึงจะมีรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยขึ้นมาทาหน้าที่คุ้มครองรักษาระบอบประชาธิปไตยนั้นได้ ข้อนี้ท่านส.ส.
ท่านหนึ่งก็พูดไว้ถูกต้องคือดร.เกษมศิริสัมพันธ์นั้นแหละเขียนไว้อีกตอนหนึ่งว่า“ปัญหาที่ว่า
ทุกวันนี้เราตัดสินใจกันหรือยังว่าเราเป็นประชาธิปไตยกันโดยแน่แท้ ถ้าเรามั่นใจในเรื่องนี้
เราก็ลงมือเป็นประชาธิปไตยกันได้เลย
แล้วเราจะมีรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาเอง”การตัดสินใจเป็นประชาธิปไตยก็คือ
การตัดสินใจทาการปฏิวัตินั่นเองกองทัพบกทาการปฏิวัติอยู่แล้วถ้าท่านส.ส.
ผู้มีเกียรติตัดสินใจร่วมทาการปฏิวัติกับกองทัพบก
การพูดของกระผมวันนี้ก็ประสบความสาเร็จขอรับการสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทยเหตุแห่งความล้มเหลวการตั้งหัวเ
รื่องว่า“เหตุแห่งความเหลวของการสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทย”
มีความมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความเข้าใจในปัญหาต่างๆของการสร้างประชาธิปไตย
เพราะประเทศเราประสบความล้มเหลวในการสร้างประชาธิปไตยจึงต้องรู้เหตุแห่งความล้มเหลว
การรู้เหตุแห่งความล้มเหลวของการสร้างประชาธิปไตยจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนาไปสู่ความเข้าใจในปัญหาต่างๆ
ของการสร้างประชาธิปไตยอันจะนาไปสู่ความสาเร็จของประชาธิปไตยในประเทศเรา
11. นาไปสู่ความสาเร็จของการทาให้ประเทศเราเป็นประชาธิปไตยคาว่า“ประชาธิปไตย”มีความหมายหลายนัย
เช่นหมายถึงเสรีภาพก็ได้ หมายถึงระบอบประชาธิปไตยก็ได้ หมายถึงการปกครองแบบประชาธิปไตยก็ได้
แต่เมื่อพูดถึงการสร้างประชาธิปไตยย่อมหมายถึงการสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย
หรือเมื่อพูดถึงการทาประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยย่อมหมายถึงการทาให้ประเทศมีการปกครองแบบประชาธิปไตย
ไม่หมายถึงประชาธิปไตยในความหมายอย่างอื่นเราพูดถึงอังกฤษฝรั่งเศสสหรัฐญี่ปุ่นฯลฯว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย
ย่อมหมายความว่าประเทศเหล่านั้นมีการปกครองแบบประชาธิปไตย
และการที่ประเทศเหล่านั้นมีการปกครองแบบประชาธิปไตยหรือเป็นประเทศประชาธิปไตยก็เพราะสร้างประชาธิปไตยสาเร็
จหรือทาให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยสาเร็จการที่ประเทศจะเป็นประชาธิปไตยได้นั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นขึ้นมาได้เฉยๆ
แต่จะต้องสร้างประชาธิปไตยขึ้นมาและต้องสร้างประชาธิปไตยให้สาเร็จด้วยถ้าไม่สร้างประชาธิปไตยให้สาเร็จ
ก็ไม่มีทางที่ประเทศจะเป็นประชาธิปไตยได้ เราคนไทยต้องการให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย
แต่เราไม่สร้างประชาธิปไตยแม้กระทั่งไม่พูดถึงการสร้างประชาธิปไตยหรือถ้าจะพูดถึงการสร้างประชาธิปไตยบ้าง
เช่นภายหลังที่คณะรสช.เข้าควบคุมอานาจก็กลับหมายถึงการสร้างสิ่งอื่นที่มิใช่การสร้างประชาธิปไตย
เช่นหมายถึงการสร้างรัฐธรรมนูญเป็นต้นเมื่อเราสร้างรัฐธรรมนูญก็ได้รัฐธรรมนูญ
ไม่สร้างประชาธิปไตยก็ไม่ได้ประชาธิปไตยอยากได้ประชาธิปไตยแต่ไปสร้างรัฐธรรมนูญ
ก็เหมือนอยากได้ข้าวแต่ไปปลูกถั่วเรานึกถึงแต่การสร้างรัฐธรรมนูญพูดถึงแต่การสร้างรัฐธรรมนูญ
และรู้จักแต่การสร้างรัฐธรรมนูญเราไม่นึกถึงการสร้างประชาธิปไตยไม่พูดถึงการสร้างประชาธิปไตย
และไม่รู้จักการสร้างประชาธิปไตย
ถ้าไม่รู้จักการสร้างประชาธิปไตยก็จะไม่มีการสร้างประชาธิปไตยก็ไม่มีทางที่ประเทศเราจะเป็นประชาธิปไตยได้ ฉะนั้น
จึงเป็นหน้าที่ของผู้รู้ทั้งหลายที่จะต้องช่วยกันทาให้ประชาชนและผู้ปกครองรู้จักการสร้างประชาธิปไตย
ดูเหมือนคนรุ่นใหม่จะไม่มีใครรู้เอาเสียเลยว่าเมืองไทยเคยมีการสร้างประชาธิปไตยคนรุ่นเก่า 70-80ปีเคยเห็น
แต่ก็คงลืมกันไปแล้วเพราะทิ้งช่วงมาถึง60กว่าปี เพิ่งจะมาพูดกันใหม่ถึงการสร้างประชาธิปไตยเมื่อไม่กี่เดือนมานี่เอง
แล้วก็มักจะพูดอย่างไม่ตรงความหมายอีกด้วยฉะนั้น
จึงจาเป็นที่กระผมจะต้องขอนาเอาประวัติศาสตร์มาทบทวน“การสร้างประชาธิปไตย”นั้นเป็นคาธรรมดา
ถ้าเป็นศัพท์เรียกว่า“การสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตย”
ตามพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในพระราชบันทึกถึงคณะรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่26ธันวาคม2477 ตอนหนึ่งมีข้อความว่าก่อนอื่นหมด
ข้าพเจ้าขอชี้แจงเสียโดยชัดเจนว่าเมื่อพระยาพหลฯและคณะผู้ก่อการฯ
ร้องขอให้ข้าพเจ้าคงอยู่ครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญข้าพเจ้าได้ยินดีรับรอง
ก็เพราะเข้าใจและเชื่อมั่นว่าคณะผู้ก่อการต้องการจะสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยหรือDemocratic
Government
และตามพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันพระราชทานแก่คณะรัฐมนตรีชุดนายสัญญา
12. ธรรมศักดิ์ภายหลังกรณี 14ตุลาคมในวันเข้าเฝ้ าถวายสัตย์ปฏิญาณเมื่อวันที่16ตุลาคม2516 ตอนหนึ่งว่า
“…จัดให้มีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับสภาพของประเทศชาติ”แม้ในพระราชวโรกาสอื่นๆ
ก็ทรงใช้คาว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยทั้งสิ้นเป็นต้นและจะเห็นได้ว่าสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงใช้คา
DemocraticGovernment กากับคาว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยเพื่อป้
องกันความสับสนเพราะคาว่าประชาธิปไตยมีความหมายหลายนัยดังกล่าวแล้ว
(กระผมอาจต้องขอใช้คาอังกฤษกับคาไทยบางคาตามความจาเป็นด้วย)การที่จะเข้าใจพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเ
ด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในการสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยหรือการสร้างประชาธิปไตยนั้น
จะต้องย้อนกลับไปสู่พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
จนถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งขอยกข้อเท็จจริงมาเป็นตัวอย่างดังนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม
2470
เป็พระราชบันทึกถึงพระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครองแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีข้อความ
ในตอนต้นว่า“เมื่อข้าพเจ้ากลับจากยุโรปครั้งหลังนี้ในพ.ศ.2467
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดาริว่า
ข้าพเจ้ามีอายุมากพอสมควรจะเล่าเรียนประเพณีการปกครองบ้านเมืองและราชการแผ่นดิน
เพื่อจะได้สามารถฉลองพระเดชพระคุณได้ตามโอกาสจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เจ้าพระยามหิธรนาหนังสือราชการมาให้ข้าพเจ้าอ่านและศึกษา
ทั้งนี้เป็นพระราชประเพณีมาแต่เดิม“ในบรรดาหนังสือที่เจ้าพระยามหิธรได้นามาให้ข้าพเจ้าอ่านนั้น
มีพระราชดารัสของพระพุทธเจ้าหลวงในเรื่องการเปลี่ยนแปลงแก้ไขการปกครองแผ่นดิน
เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านพระราชดารัสนี้แล้วรู้สึกว่าเป็นหนังสือที่สาคัญอย่างยิ่ง
ทั้งทาให้ข้าพเจ้ารู้สึกเพิ่มพูนความเลื่อมใสในพระปรีชาสามารถและพระบารมีของพระพุทธเจ้าหลวงยิ่งขึ้นอีก
ทาให้ความนับถือในพระองค์ซึ่งข้าพเจ้ามีอยู่แล้วเต็มหัวใจให้หนักแน่นเต็มตื้นมากขึ้นอีกด้วย“พระราชดารัสนี้ได้ทรงเรียบเ
รียงอย่างรอบคอบที่สุดแสดงให้เห็นชัดว่า
สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระปรีชารอบรู้ในรัฐประศาสน์ประเพณีการปกครองของไทยอย่างเก่าเป็นอย่างดี
และส่วนการประเพณีการปกครองอย่างที่นิยมกันอยู่ในทวีปยุโรปได้ทรงศึกษาทราบหลักการโดยตลอด
พระราชดารัสนี้จึงเป็นหนังสือที่ให้ความรู้ในการปกครองของประเทศสยามเป็นอย่างดียิ่ง“พระราชดารัสนี้
นอกจากจะให้ความรู้อันดียิ่งดังกล่าวมาแล้วยังทาให้ทราบในพระราชหฤทัยของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเป็นอย่างดีว่า
พระองค์ท่านมิได้นึกถึงสิ่งอื่นเลยนอกจากความสุขของประชาชนและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง
เป็นหลักสาคัญในการที่จะทรงพระราชดาริกิจการใดๆทั้งปวง“การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากแบบเดิมตั้งเป็นกระทรวง
12 กระทรวงนี้ต้องนับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงซึ่งเรียกได้อย่างพูดกันธรรมดาว่า “พลิกแผ่นดิน”
ถ้าจะเรียกตามภาษาอังกฤษก็ต้องเรียกว่า
13.
“เรโวลูชั่น”“การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงดังนี้มีน้อยประเทศนักที่จะทาสาเร็จไปได้โดยปราศจากการจลาจลหรือจะว่า
ไม่มีเลยก็เกือบจะว่าได้ ประเทศญี่ปุ่นได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินเหมือนอย่างประเทศสยาม
แต่หาดาเนินการโดยสงบราบคาบอย่างประเทศสยามไม่ยังมีการจลาจลในบ้านเมืองเช่นกบฏสัตสุมา
เป็นต้น“การที่ประเทศสยามได้เปลี่ยนแปลงวิธีการปกครองอย่างเรโวลูชั่นได้โดยไม่ต้องมีใครเสียเลือดเสียเนื้อ
แม้แต่หยดเดียวดังนี้ต้องนับว่าเป็นมหัศจรรย์ต้องเป็นโชคดีของประเทศสยามเป็นอย่างยิ่ง
การเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมขัดกับประโยชน์ของบุคคลบางจาพวก
จึงยากที่จะสาเร็จได้โดยราบคาบ“การที่การเปลี่ยนแปลงอย่างนี้รัฐบาลในประเทศสยามได้ทาไปโดยราบคาบ
เพราะเรโวลูชั่นของเรานั้นสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ทรงริเริ่ม
ประกอบกับพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นทรงพระปรีชาสามารถยิ่งกว่าผู้ใดทั้งหมดในเวลานั้น
ทั้งมีพระอัธยาศัยละมุนละม่อมทรงสามารถปลูกความจงรักภักดีในชนทุกชั้นที่ได้เข้าเฝ้
าใกล้ชิดพระองค์แม้แต่เพียงครั้งเดียว“สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทร
งเล็งเห็นกาลภายหน้าอย่างชัดเจนและทรงทราบกาลที่ล่วงไปแล้วเป็นอย่างดีได้ทรงพระราชดาริตริตรองโดยรอบครอบ
ได้ทรงเลือกประเพณีการปกครองทั้งของไทยเราและของต่างประเทศประกอบกันด้วยพระปรีชาญาณอันยิ่งยวด
ได้ทรงจัดการเปลี่ยนแปลงวิธีการปกครองเป็นลาดับมาล้วนเหมาะกับเหตุการณ์และเหมาะกับเวลาไม่ช้าเกินไป
ไม่เร็วเกินไป”นี่คือข้อความส่วนหนึ่งของพระราชหัตถเลขาของสมเด็จพระปกเกล้าฯ
กล่าวถึงพระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครองแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก่อนอื่นพึงสังเกตว่า
สมเด็จพระปกเกล้าฯทรงใช้คาว่าเรโวลูชั่นซึ่งในเวลานั้นใช้ทับศัพท์ Revolution เพราะยังไม่มีการบัญญัติศัพท์ว่า
“ปฏิวัติ” การบัญญัติศัพท์Revolution ว่า“ปฏิวัติ”นั้นเพิ่งจะมีขึ้นภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง24มิถุนายน2475
แต่ประชาชนยอมรับคาว่า“ปฏิวัติ”สมัยต้นรัชกาลที่5ไม่มีการบัญญัติศัพท์ใช้ทับศัพท์แทบทั้งสิ้นเช่น
เอกเสกคิวตีฟปรีเมียรีเยนต์ลิยัสเลตีฟรีฟอมปาลีเมนต์เป็นต้นและคาว่า “รัฐประหาร”
ก็เพิ่งบัญญัติศัพท์ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง24มิถุนายน2475 เช่นกันก่อนหน้านั้นคณะราษฎรเรียกCupd’
etatเป็นคาไทยธรรมดาว่า“การยึดอานาจอย่างฉับพลัน”ซึ่งคณะราษฎรนามาใช้เป็นวิธีของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
24 มิถุนายนและต่อมามีผู้เลียนแบบคณะราษฎรทารัฐประหารกันบ่อยๆและเอาการรัฐประหารไปปะปนกับการปฏิวัติ
ทาให้เกิดความสับสนระหว่าง2สิ่งนี้กลายเป็นอคติต่อการปฏิวัติ
เข้าใจว่าการปฏิวัติเป็นสิ่งที่ไม่ดีเช่นเดียวกับการรัฐประหารกระทั่งเห็นการปฏิวัติเป็นการรัฐประหารไปเลยทีเดียว
ตามที่พูดกันว่า“ปฏิวัติรัฐประหาร”เป็นเหตุให้เกิดความรังเกียจเกลียดชังต่อการปฏิวัติ
ถึงกับนักวิชาการเกิดความกลัวที่จะใช้คาว่าปฏิวัติทาให้เป็นนักวิชาการที่ไม่เอื้อเฟื้อต่อหลักวิชาไป(ครั้งหนึ่งกระผมพูดว่า
“ไม่ทารัฐประหารแต่ไม่ปฏิเสธที่จะทาการปฏิวัติ”ก็มีเสียงโจมตีกระผมเป็นการใหญ่)
จึงขอให้เรายึดถือหลักวิชาโดยจาแนกการปฏิวัติกับการรัฐประหารอย่างถูกต้องว่าการปฏิวัติเป็นของดี
การรัฐประหารเป็นของไม่ดีและการรัฐประหารจะเป็นของดีก็ต่อเมื่อการรัฐประหารเพื่อการปฏิวัติเท่านั้น
14. แต่สาหรับประเทศไทยแล้วไม่มีความจาเป็นที่จะต้องใช้การรัฐประหารเพื่อทาการปฏิวัติ
เราสามารถทาการปฏิวัติได้โดยไม่ต้องทาการรัฐประหาร
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคือตัวอย่างยอดเยี่ยมของผู้ทาการปฏิวัติโดยไม่ต้องทารัฐประหารดั่งพระราชหัต
ถเลขาของสมเด็จพะรปกเกล้าฯที่ยกมาในตอนต้นว่า “การเปลี่ยนแปลงอย่างนี้
รัฐบาลในประเทศสยามได้ทาไปโดยราบคาบเพราะเรโวลูชั่นของเรานั้นสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ทรงริเริ่ม”ด้วยเหตุนี้
จึงมีผู้รู้หลายท่านได้ถวายพระสมัญญาแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าทรงเป็น “นักปฏิวัติผู้ยิ่งใหญ่”เช่น
พล.ต.มรว.คึกฤทธิ์ปราโมชและหลวงวิจิตรวาทการเป็นต้นและสมเด็จพระปกเกล้าฯ
ก็ได้ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะทาการปฏิวัติโดยไม่ทารัฐประหารดั่งปรากฏในพระราชหัตถเลขาอีกตอนหนึ่งว่า
“ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้รับสืบราชสมบัติจากพระบาสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ
ข้าพเจ้าก็คิดการที่จะบันดาลให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปได้โดยราบรื่นที่สุดที่จะเป็นไปได้”และด้วยเหตุนี้
เมื่อคณะราษฎรได้ทาการปฏิวัติด้วยวิธีรัฐประหารเมื่อวันที่24มิถุนายน2475
จึงได้เป็นไปโดยปราศจากการเสียเลือดเนื้อด้วยพระบารมีที่พระราชทานความร่วมมือและความช่วยเหลือ
มิฉะนั้นแล้วจะต้องเกิดการจลาจลเป็นกลียุคอย่างแน่นอนกระผมจึงขอให้นักวิชาการ
นักการเมืองและประชาชนขจัดความสับสนระหว่างการปฏิวัติกับการรัฐประหาร
ซึ่งเป็นการขจัดอวิชชาทางการเมืองที่สาคัญประการหนึ่งในประเทศเราพระราชหัตถเลขาของสมเด็จพระปกเกล้าฯ
ที่ยกมานี้คือการอธิบายRevolution หรือการปฏิวัติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และการปฏิวัติในประเทศที่ยังมีการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือการปกครองแบบเผด็จการรูปใดรูปหนึ่งนั้น
หมายถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองแบบเผด็จการให้เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยนั่นเอง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้ริเริ่มสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยในประเทศไทยพูดง่ายๆ
ว่าทรงริเริ่มสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทยนั่นเอง
(กระผมขอยกเอารูปธรรมแห่งพระราชกรณียกิจการสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยขั้นตอนต่างๆ
ของพระองค์ท่านมากล่าวในการปาฐกถาครั้งนี้พอเป็นสังเขป)
เริ่มด้วยการดึงเอาพระราชอานาจกลับคืนมาตั้งแต่เมื่อเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติใหม่ๆ
ด้วยพระราชประสงค์ที่จะทรงใช้พระราชอานาจนั้นสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตย
แต่ไม่มีบุคคลใดได้ทราบถึงพระราชดารินี้จึงได้มีเจ้านายและบุคคลคณะหนึ่ง
มีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ทรงเป็นหัวหน้าทาหนังสือกราบบังคมทูลเมื่อวันที่8มกราคม2428
ระบอบประชาธิปไตยทำให้เกิดการปกครองแบบประชาธิปไตย

More Related Content

Similar to ระบอบประชาธิปไตยทำให้เกิดการปกครองแบบประชาธิปไตย

แบบฝึกหัดนักธรรมชั้นตรี ปี 2563
แบบฝึกหัดนักธรรมชั้นตรี ปี 2563แบบฝึกหัดนักธรรมชั้นตรี ปี 2563
แบบฝึกหัดนักธรรมชั้นตรี ปี 2563Theeraphisith Candasaro
 
โครงสร้างหลักสูตรลูกเสือประชาธิปไตย
โครงสร้างหลักสูตรลูกเสือประชาธิปไตยโครงสร้างหลักสูตรลูกเสือประชาธิปไตย
โครงสร้างหลักสูตรลูกเสือประชาธิปไตยwatdang
 
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนาการบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนาวัดดอนทอง กาฬสินธุ์
 
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา๒
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา๒การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา๒
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา๒วัดดอนทอง กาฬสินธุ์
 
ประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยjirapom
 
แนวข้อสอบ Onet สังคม
แนวข้อสอบ Onet สังคมแนวข้อสอบ Onet สังคม
แนวข้อสอบ Onet สังคมJinwara Sriwichai
 
แนวคิดของลัทธิขงจื๊อกับระบอบประชาธิปไตย
แนวคิดของลัทธิขงจื๊อกับระบอบประชาธิปไตย แนวคิดของลัทธิขงจื๊อกับระบอบประชาธิปไตย
แนวคิดของลัทธิขงจื๊อกับระบอบประชาธิปไตย Klangpanya
 
สื่อเลือกข้างผิดหลักจริยธรรมหรือเปล่า
สื่อเลือกข้างผิดหลักจริยธรรมหรือเปล่าสื่อเลือกข้างผิดหลักจริยธรรมหรือเปล่า
สื่อเลือกข้างผิดหลักจริยธรรมหรือเปล่าSoraj Hongladarom
 
กลางภาค ส31101 4
กลางภาค ส31101 4กลางภาค ส31101 4
กลางภาค ส31101 4thnaporn999
 
3. ข้อสอบ o net - สังคมศึกษา (มัธยมปลาย) 0
3. ข้อสอบ o net - สังคมศึกษา (มัธยมปลาย) 03. ข้อสอบ o net - สังคมศึกษา (มัธยมปลาย) 0
3. ข้อสอบ o net - สังคมศึกษา (มัธยมปลาย) 0Nattarika Wonkumdang
 
สังคม
สังคมสังคม
สังคมyyyim
 
วิชา สังคมศึกษา
วิชา สังคมศึกษาวิชา สังคมศึกษา
วิชา สังคมศึกษาChariyakornkul
 

Similar to ระบอบประชาธิปไตยทำให้เกิดการปกครองแบบประชาธิปไตย (20)

Social onet
Social onetSocial onet
Social onet
 
Social onet
Social onetSocial onet
Social onet
 
แบบฝึกหัดนักธรรมชั้นตรี ปี 2563
แบบฝึกหัดนักธรรมชั้นตรี ปี 2563แบบฝึกหัดนักธรรมชั้นตรี ปี 2563
แบบฝึกหัดนักธรรมชั้นตรี ปี 2563
 
โครงสร้างหลักสูตรลูกเสือประชาธิปไตย
โครงสร้างหลักสูตรลูกเสือประชาธิปไตยโครงสร้างหลักสูตรลูกเสือประชาธิปไตย
โครงสร้างหลักสูตรลูกเสือประชาธิปไตย
 
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนาการบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา
 
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา๒
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา๒การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา๒
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา๒
 
ประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยประชาธิปไตย
ประชาธิปไตย
 
แนวข้อสอบ Onet สังคม
แนวข้อสอบ Onet สังคมแนวข้อสอบ Onet สังคม
แนวข้อสอบ Onet สังคม
 
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๙
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๙แผนการจัดการเรียนรู้ที่๙
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๙
 
แนวคิดของลัทธิขงจื๊อกับระบอบประชาธิปไตย
แนวคิดของลัทธิขงจื๊อกับระบอบประชาธิปไตย แนวคิดของลัทธิขงจื๊อกับระบอบประชาธิปไตย
แนวคิดของลัทธิขงจื๊อกับระบอบประชาธิปไตย
 
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๘
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๘แผนการจัดการเรียนรู้ที่๘
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๘
 
Ps0005584
Ps0005584Ps0005584
Ps0005584
 
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๕
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๕แผนการจัดการเรียนรู้ที่๕
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๕
 
สื่อเลือกข้างผิดหลักจริยธรรมหรือเปล่า
สื่อเลือกข้างผิดหลักจริยธรรมหรือเปล่าสื่อเลือกข้างผิดหลักจริยธรรมหรือเปล่า
สื่อเลือกข้างผิดหลักจริยธรรมหรือเปล่า
 
กลางภาค ส31101 4
กลางภาค ส31101 4กลางภาค ส31101 4
กลางภาค ส31101 4
 
3. ข้อสอบ o net - สังคมศึกษา (มัธยมปลาย) 0
3. ข้อสอบ o net - สังคมศึกษา (มัธยมปลาย) 03. ข้อสอบ o net - สังคมศึกษา (มัธยมปลาย) 0
3. ข้อสอบ o net - สังคมศึกษา (มัธยมปลาย) 0
 
สังคม
สังคมสังคม
สังคม
 
1
11
1
 
วิชา สังคมศึกษา
วิชา สังคมศึกษาวิชา สังคมศึกษา
วิชา สังคมศึกษา
 
สังคม
สังคมสังคม
สังคม
 

More from Thongkum Virut

งานวิจัย
งานวิจัยงานวิจัย
งานวิจัยThongkum Virut
 
ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)
ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)
ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)Thongkum Virut
 
บิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทย
บิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทยบิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทย
บิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทยThongkum Virut
 
การปกครองของไทยในสมัยโบราณ
การปกครองของไทยในสมัยโบราณการปกครองของไทยในสมัยโบราณ
การปกครองของไทยในสมัยโบราณThongkum Virut
 
หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...
หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน   อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน   อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...
หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...Thongkum Virut
 
หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓
หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓
หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓Thongkum Virut
 
หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...
หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...
หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...Thongkum Virut
 
หนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริ
หนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริหนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริ
หนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริThongkum Virut
 
หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่
หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่
หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่Thongkum Virut
 
ประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร
ประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทรประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร
ประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทรThongkum Virut
 
ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์
ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์
ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์Thongkum Virut
 
สหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการ
สหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการสหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการ
สหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการThongkum Virut
 
ประวัติรัฐหวู
ประวัติรัฐหวูประวัติรัฐหวู
ประวัติรัฐหวูThongkum Virut
 
เหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลก
เหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลกเหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลก
เหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลกThongkum Virut
 
ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...
ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...
ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...Thongkum Virut
 
เรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตย
เรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตยเรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตย
เรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตยThongkum Virut
 
คู่ขัดแย้งในสังคมไทย
คู่ขัดแย้งในสังคมไทยคู่ขัดแย้งในสังคมไทย
คู่ขัดแย้งในสังคมไทยThongkum Virut
 
ระบอบเผด็จการรัฐสภา
ระบอบเผด็จการรัฐสภาระบอบเผด็จการรัฐสภา
ระบอบเผด็จการรัฐสภาThongkum Virut
 

More from Thongkum Virut (20)

งานวิจัย
งานวิจัยงานวิจัย
งานวิจัย
 
ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)
ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)
ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)
 
All10
All10All10
All10
 
บิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทย
บิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทยบิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทย
บิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทย
 
ข้าว
ข้าวข้าว
ข้าว
 
การปกครองของไทยในสมัยโบราณ
การปกครองของไทยในสมัยโบราณการปกครองของไทยในสมัยโบราณ
การปกครองของไทยในสมัยโบราณ
 
หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...
หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน   อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน   อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...
หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...
 
หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓
หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓
หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓
 
หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...
หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...
หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...
 
หนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริ
หนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริหนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริ
หนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริ
 
หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่
หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่
หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่
 
ประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร
ประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทรประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร
ประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร
 
ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์
ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์
ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์
 
สหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการ
สหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการสหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการ
สหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการ
 
ประวัติรัฐหวู
ประวัติรัฐหวูประวัติรัฐหวู
ประวัติรัฐหวู
 
เหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลก
เหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลกเหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลก
เหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลก
 
ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...
ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...
ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...
 
เรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตย
เรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตยเรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตย
เรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตย
 
คู่ขัดแย้งในสังคมไทย
คู่ขัดแย้งในสังคมไทยคู่ขัดแย้งในสังคมไทย
คู่ขัดแย้งในสังคมไทย
 
ระบอบเผด็จการรัฐสภา
ระบอบเผด็จการรัฐสภาระบอบเผด็จการรัฐสภา
ระบอบเผด็จการรัฐสภา
 

ระบอบประชาธิปไตยทำให้เกิดการปกครองแบบประชาธิปไตย