More Related Content
Similar to ระบอบประชาธิปไตยทำให้เกิดการปกครองแบบประชาธิปไตย (17)
More from Thongkum Virut (20)
ระบอบประชาธิปไตยทำให้เกิดการปกครองแบบประชาธิปไตย
- 3. แม้ว่าจะขาดหลักอื่นๆไปบ้างในบางสภาวการณ์ก็เป็นระบอบประชาธิปไตยเช่น
เมื่อสถานการณ์ยังไม่เอื้ออานวยให้ทาการเลือกตั้งทั่วไปแต่มีอานาจอธิปไตยของปวงชน
ก็ยังคงเป็นระบอบประชาธิปไตยรูปการปกครองของระบอบประชาธิปไตยที่สาคัญมีอยู่2 รูปคือระบอบรวมอานาจ
(Fusionof Powers) และระบบแยกอานาจ(Separationof Powers) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าระบบรัฐสภา
(Parliamentarysystem) และระบบประธานาธิบดี(Presidential system) ระบบรวมอานาจหรือระบบรัฐสภา
หมายถึงอานาจนิติบัญญัติกับอานาจบริหารรวมกันโดยมีสภาผู้แทนราษฎรเป็นสถาบันหลัก
เช่นในอังกฤษระบบแยกอานาจหรือระบบประธานาธิบดีหมายถึงอานาจนิติบัญญัติและอานาจบริหารแยกกัน
คานกันและถ่วงดุลย์กันโดยมีประธานาธิบดีเป็นสถาบันหลักเช่นในสหรัฐอเมริกันแต่ในปัจจุบันมีระบบกึ่งแยกอานาจ
(Semi - Separationof Powers) หรือระบบกึ่งระบบประธานาธิบดี(Semi –Presidentialsystem) เกิดขึ้น
คือในฝรั่งเศสรูปการปกครองของระบอบประชาธิปไตยนี้
ไม่ว่าระบบรวมอานาจหรือระบบแยกอานาจไม่ว่าระบบรัฐสภาหรือระบบประธานาธิบดีระบอบเผด็จการมักจะนาไปใช้
เพื่อหลอกประชาชนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างเช่นระบอบเผด็จการบ้านเรานอกจากจะใช้รูปพิเศษต่างๆ
ภายหลังการทารัฐประหารแล้วมักจะใช้รูประบบรัฐสภาหรือระบบรวมอานาจเป็นรูปการปกครอง
ทาให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย
อย่างเช่นระบบรวมอานาจหรือระบบรัฐสภาในปัจจุบันของเราพูดกันอย่างถึงที่สุดแล้วก็เป็นรูปหนึ่งของระบอบเผด็จการ
ซึ่งเราเรียกกันว่าระบอบประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์บ้างระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบบ้าง
และที่เราต้องมาพูดเรื่องการสร้างระบอบประชาธิปไตยกันก็เพราะยังไม่เป็นระบอบประชาธิปไตยนั่นเองฉะนั้น
การทาความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยส่วนสาคัญจึงต้องทาความเข้าใจPrincipleof government
ถ้าทาความเข้าใจแต่Formof government แต่ไม่ทาความเข้าใจPrinciple of government แล้ว
ก็จะไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตยบ้านเรามักจะสนใจแต่Formof government แต่มองข้ามPrinciple of
government
2. ผู้สร้างระบอบประชาธิปไตยระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบของประชาชนฉะนั้นกล่าวโดยทั่วไป
ผู้สร้างระบอบประชาธิปไตยก็คือประชาชนแต่ถ้ากล่าวโดยรูปธรรมผู้สร้างระบอบประชาธิปไตยคือพรรคประชาธิปไตย
พรรคประชาธิปไตยก็คือพรรคที่เป็นผู้แทนของประชาชนนั่นเองพรรค(Party) หรือพรรคการเมือง(Political Party)
ไม่หมายถึงแต่เฉพาะพรรคตามกฎหมายพรรคการเมืองบ้านเราในปัจุบันเท่านั้น
ที่สาคัญหมายถึงพรรคตามธรรมชาติซึ่งได้แก่คณะบุคคลที่ดาเนินกิจกรรมทางการเมืองภายใต้นโยบายเพื่อผลประโยชน์ข
องกลุ่มชนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชนส่วนน้อยหรือกลุ่มชนส่วนใหญ่ หรือประชาชนทั่วไป
คณะบุคคลที่เป็นผู้แทนทางการเมืองของประชาชนคือพรรคประชาธิปไตยไม่ว่าในประเทศไทยหรือในนานาประเทศ
ผู้สร้างระบอบประชาธิปไตยคือพรรคประชาธิปไตยทั้งสิ้นพรรคอื่นๆไม่สามารถสร้างระบอบประชาธิปไตยได้ เช่น
พรรคคอมมิวนิสต์โฆษณาว่าจะสร้างระบอบประชาธิปไตย
- 4. แท้จริงเป็นการหลอกประชาชนเพื่อนาไปสร้างระบอบคอมมิวนิสต์เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน2475
มีพรรคประชาธิปไตยอยู่2พรรคคือ พรรคของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งประกอบด้วยรัชกาลที่ 7
กับผู้ร่วมงานไม่กี่คนขอเรียกง่ายๆว่า“พรรคร.7” และพรรคราษฎรซึ่งเรียกชื่อว่า “คณะราษฎร”พรรคร.7
มีอานาจรัฐอยู่ในกามือคณะราษฎรไม่มีอานาจรัฐและพยายามจะยึดอานาจแต่พรรคร.7ดาเนินการช้าไป
คณะราษฎรยึดอานาจเสียก่อนดังพระราชหัตถเลขาลงวันที่ 4 กรกฎาคม2475 ตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าตั้งใจดีต่อราษฎร
และได้คิดที่จะให้พระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินแก่ราษฎรอยู่แล้วหากแต่ล่าช้าไปไม่ทันกาล”รัชกาลที่7
ทรงร่วมมือกับคณะราษฎรอย่างเต็มที่เพราะทรงมีพระราชดาริอยู่ก่อนแล้วว่าที่จะสร้างระบอบประชาธิปไตย
แต่แล้วก็ทรงทราบว่าหลักการไม่ตรงกันดังพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งว่า“ครั้นเมื่อข้าพเจ้ากลับไปกรุงเทพฯแล้ว
และได้เห็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่หลวงประดิษฐ์ฯได้นามาให้ข้าพเจ้าลงนามข้าพเจ้าก็รู้สึกทันทีว่า
หลักการของผู้ก่อการกับหลักการของข้าพเจ้านั้นไม่พ้องกันเสียแล้ว”ต่อมาจึงเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างร.7
กับคณะราษฎรและไม่สามารถตกลงกันได้ ในที่สุดต้องทรงสละพระราชสมบัติ
จากนั้นคณะราษฎรจึงดาเนินการสร้างระบอบประชาธิปไตยตามนโยบายของตนโดยลาพัง
3. เครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตย
พรรคประชาธิปไตยซึ่งเป็นผู้สร้างระบอบประชาธิปไตยนั้นจะต้องมีเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตย
และเครื่องมือสร้างระบอบประชาธิปไตยก็คือนโยบายประชาธิปไตยของพรรคผู้สร้างระบอบประชาธิปไตยนั่นเองคาว่านโย
บายของพรรคการเมืองในภาษาไทยนั้นภาษาอังกฤษใช้คาว่า ProgramหรือPlatformหมายถึงโครงการ
หรือความมุ่งหมายของพรรคที่ทาเป็นข้อๆไม่ใช่นโยบายซึ่งตรงกับPolicy ฉะนั้นถ้าจะหมายถึงProgramหรือ
Platformของพรรคการเมืองต้องพูดให้เต็มว่า “นโยบายของพรรคการเมือง”ถ้าพูดว่า“นโยบาย”เฉยๆจะตรงกับ
Policy ไปและนโยบายของพรรคประชาธิปไตยนี่เองคือเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตย
เมื่อพูดถึงเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยบ้านเรามีความเข้าใจผิดที่สาคัญที่จาเป็นต้องแก้ไข
มิฉะนั้นแล้วจะเป็นอุปสรรคร้ายแรงต่อการสร้างระบอบประชาธิปไตยคือ
ความเข้าใจผิดที่ว่ารัฐธรรมนูญเป็นเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยกระผมสังเกตเห็นว่าส.ส.
ส่วนมากมีความเข้าใจผิดเช่นนี้แต่ก็มีส.ส.อย่างน้อยท่านหนึ่งได้ให้คาอธิบายไว้ว่า
รัฐธรรมนูญไม่ใช่เครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยส.ส.ท่านนั้นคือดร.เกษมศิริสัมพันธ์ซึ่งได้เขียนไว้ในคอลัมน์
“เทศกาลบ้านเมือง”ของ นสพ.“สยามรัฐฉบับวันที่11 กรกฎาคม2521 ว่า“คนไทยเราด้วยการปลูกฝังของคณะราษฎร
ทาให้เชื่อมั่นว่า“รัฐธรรมนูญ”เป็นของคู่กับประชาธิปไตยและเชื่อว่าเราสามารถสร้าง“ประชาธิปไตย”
ด้วยการเขียนรัฐธรรมนูญ…คณะราษฎรท่านเชื่อว่าท่านจะใช้รัฐธรรมนูญสร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาให้ได้
ซึ่งความคิดเช่นนี้ก็ได้สร้างความล้มเหลวในทางการเมืองตลอดมาอย่างที่เห็นกันอยู่แม้จนทุกวันนี้…
บ้านเรามีความเข้าใจผิดในเรื่องประชาธิปไตยเพราะเชื่อกันว่ารัฐธรรมนูญเป็นเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตย
- 5. ซึ่งไม่เป็นความจริงรัฐธรรมนูญมีได้ทั้งในระบอบเผด็จการและระบอบประชาธิปไตย”แต่ดร.เกษมก็ไม่ได้บอกว่า
เมื่อรัฐธรรมนูญไม่ใช่เครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยแล้ว
อะไรคือเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยคือ
นโยบายของพรรคประชาธิปไตยที่ดาเนินการสร้างระบอบประชาธิปไตยซึ่งต่อไปนี้เพื่อความสะดวกกระผมก็ขอเรียกว่า
Program Programของพรรคร.7 โดยสารสาคัญคือ
การทาให้อานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนตามพระราชหัตถเลขาซึ่งจารึกอยู่ณฐานพระราชอนุสาวรีย์
ที่ท่านทั้งหลายเดินผ่านอยู่ทุกวันว่า “ข้าพเจ้าสมัครใจจะสละอานาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิม
ให้แก่ราษฎรทั่วไป…”Programของคณะราษฎรคือหลัก6 ประการประกอบด้วย(1) หลักเอกราช(2)
หลักความปลอดภัย(3) หลักเศรษฐกิจ(4) หลักความเสมอภาค(5) หลักเสรีภาพ(6) หลักการศึกษาProgram
ของคณะราษฎรไม่มีหลักอานาจอธิปไตยของปวงชนต่างกับProgramของพรรคร.7
ซึ่งยกเอาอานาจอธิปไตยของปวงชนเป็นหลักการสาคัญอันดับแรกตามที่ทรงมีพระราชหัตถเลขาไว้ว่า
หลักการของคณะราษฎรกับของพระองค์ท่านไม่พ้องกันเสียแล้วนั้นโดยสารสาคัญหมายถึงหลักการข้อนี้เองจึงเห็นว่า
Program ของพรรคร.7 เป็นเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องProgram
ของคณะราษฎรเป็นเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยที่ขาดหัวใจของหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
จึงขาดความสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่งฉะนั้นระบอบประชาธิปไตยที่สร้างโดยคณะราษฎรและรับช่วงสืบทอดต่อๆ
กันมาโดยพรรคต่างๆจนถึงปัจจุบันจึงเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์ หรือเป็นระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ
ซึ่งกล่าวตามพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่7ว่าเป็นระบอบเผด็จการทางอ้อมๆแต่ถ้าพูดอย่างถึงที่สุดก็คือ
ระบอบเผด็จการดีๆนี้เอง แต่ใช้ระบอบรัฐสภาเป็นรูปการปกครองผู้คนจึงเข้าใจผิดไปว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย
ที่จริงแล้วควรจะเรียกระบอบปัจจุบันว่าเป็นระบอบเผด็จการรัฐสภาไม่ว่าในประเทศใดๆ
ถ้าพรรคประชาธิปไตยผู้สร้างระบอบประชาธิปไตยมี
Programประชาธิปไตยที่ไม่ถูกต้องการสร้างระบอบประชาธิปไตยในประเทศนั้นๆก็จะล้มเหลว
ในประเทศเราคระราษฎรมีนโยบายประชาธิปไตยไม่ถูกต้องซึ่งต่อเนื่องสืบทอดโดยพรรคอื่นๆเป็นลาดับมา
ทั้งที่ได้อานาจด้วยการทารัฐประหารและด้วยการเลือกตั้ง
การสร้างระบอบประชาธิปไตยจึงล้มเหลวตลอดมาแต่ในปัจจุบันบังเกิดมี Program ประชาธิปไตยที่ถูกต้องเกิดขึ้นแล้ว
คือ นโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ตามคาสั่งสานักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523
ซึ่งเสนอและยึดถือโดยกองทัพบกมีผลให้กองทัพบกซึ่งเป็นกลไกหลักของรัฐได้มีลักษณะพรรคประชาธิปไตย
และแสดงบทบาทของพรรคประชาธิปไตยอย่างเต็มที่Programประชาธิปไตยที่ถูกต้องซึ่งกองทัพบกยึดถือปฏิบัติอยู่นี้
ก็คือProgram ประชาธิปไตยที่ถูกต้องต่อเนื่องจากProgramประชาธิปไตยที่ถูกต้องของพรรคร.7นั่นเอง
โดยสารสาคัญก็คือการขยายอานาจอธิปไตยของปวงชนตามที่กองทัพบกประกาศอยู่ตลอดเวลานั่นเองในปัจจุบัน
แม้ว่าจะมีพรรคประชาธิปไตยเกิดขึ้นในหมู่ประชาชนบ้างแล้วซึ่งมีProgramสอดคล้องกับนโยบาย66/23
โดยพื้นฐานก็ตามแต่ลักษณะพรรคประชาธิปไตยที่เข้มแข็งยังคงอยู่กับกองทัพบกฉะนั้น
- 6. กองทัพบกจึงต้องเข้าแบบภาระของผู้สร้างระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบันโดยมีนโยบาย 66/23 ซึ่งก็คือProgram
ประชาธิปไตยที่ถูกต้องเป็นเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยเงื่อนไขดังกล่าวนี้คือ
หลักประกันความสาเร็จของการสร้างระบอบประชาธิปไตย
4. วิธีสร้างระบอบประชาธิปไตยวิธีสร้างระบอบประชาธิปไตยคือการปฏิวัติหรือRevolution
ซึ่งจะใช้คาพูดว่าอะไรก็แล้วแต่ความหมายก็คือการปฏิวัติหรือRevolution นั่นเองเช่นคณะราษฎรใช้คาว่า
“เปลี่ยนแปลงการปกครอง”ก็มีความหมายอย่างเดียวกันดังบันทึกการประชุมครั้งแรกของคณะราษฎรที่กรุงปารีส
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์พ.ศ. 2470 ว่า“วัตถุประสงค์ของคณะราษฎรคือเปลี่ยนระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
มาเป็นระบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีศัพท์สมัยใหม่ว่า “ปฏิวัติ”หรือ“อภิวัฒน์”
เพื่อถ่ายทอดคาฝรั่งเศสอังกฤษRevolution ดังนั้นเราจึงใช้คาศัพท์ธรรมดาว่า
“เปลี่ยนการปกครองของกษัตริย์เหนือกฎหมายมาเป็นการปกครองที่มีกษัตริย์อยู่ใต้กฎหมาย”ซึ่งหมายถึงปฏิวัติหรือ
Revolution นั่นเองการสร้างระบอบประชาธิปไตยประกอบด้วย 2ด้านด้านหนึ่งคือการยกเลิกระบอบเผด็จการ
อีกด้านหนึ่งคือการสร้างระบอบประชาธิปไตยต้องดาเนินการไปด้วยกันทั้ง 2ด้าน
จึงจะเป็นการสร้างระบอบประชาธิปไตยนั่นเองเพราะว่าปัญหาพื้นฐานของการปฏิวัติก็คือการยกเลิกระบอบเก่า
และสถาปนาระบอบใหม่ขึ้นแทนนัยหนึ่ง ยกเลิกอานาจอธิปไตยของชนส่วนน้อย
และสถาปนาอานาจอธิปไตยของปวงชนขึ้นแทนเช่นมหาปฏิวัติฝรั่งเศส(GreatFrenchRevolution) “The fall of
the Bastille meantthe endof the oldorder,and establishedthe sovereigntyof the people”(จากA
Historyof Europe vol.IV ของ D.B .Horn)ระบอบเก่าคือระบอบเผด็จการซึ่งมี 2 แบบ คือระบอบเผด็จการแบบเก่า
เรียกว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และระบอบเผด็จการแบบใหม่เรียกว่าระบอบเผด็จการระบอบคณาธิปไตย
ระบอบเผด็จการทหารระบอบฟาสซิสต์ระบอบเผด็จการรัฐสภาเป็นต้นการยกเลิกระบอบเก่า
หมายถึงการยกเลิกระบอบเผด็จการทั้งแบบเก่าและแบบใหม่ทุกรูปการปฏิวัตินั้นกล่าวกว้างๆคือการทาให้ดีขึ้น
แต่กล่าวให้ชัดเจนขึ้นไปหมายถึงการยกเลิกสิ่งไม่ดีและการสร้างสรรค์สิ่งดี
เพราะการสร้างสรรค์สิ่งดีไม่สามารถเป็นไปได้โดยไม่ยกเลิกสิ่งไม่ดีเช่นการปฏิบัติธรรมต้องมีทั้งปหานะ และภาวนา
ปหานะคือละอกุศลกรรมภาวนาคือเจริญกุศลกรรมการเจริญกุศลกรรมโดยไม่ละอกุศลกรรมย่อมเป็นไปไม่ได้
การทาดีโดยไม่ละชั่วเป็นไปไม่ได้ เหมือนการทานาต้องกาจัดวัชพืชฉะนั้นการปฏิวัติทางการเมืองจึงหมายถึง
การยกเลิกระบอบเผด็จการและสถาปนาระบอบประชาธิปไตยขึ้นแทนนัยหนึ่งยกเลิกอานาจอธิปไตยของชนส่วนน้อย
และสถาปนาอานาจอธิปไตยของปวงชนขึ้นแทนเมื่อพูดถึงการปฏิวัติทางการเมืองควรเข้าใจด้วยว่า
ในยุคปัจจุบันมีการปฏิวัติ2 ชนิด คือ การปฏิวัติของพรรคประชาธิปไตย
และการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์การปฏิวัติของพรรคประชาธิปไตยเรียกว่าการปฏิวัติประชาธิปไตย(Democratic
revolution)การปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์เรียกว่าการปฏิวัติสังคมนิยม(Socialistrevolution)
- 8. ซุนยัตเซ็นมิได้ปฏิบัติพินัยกรรมนี้ทั้งยังสร้างระบอบเผด็จการอันรุนแรงขึ้นในประเทศจีนเหตุนี้หลังจากดร.ซุนยัตเซ็น
มอบพินัยกรรม22 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ทาการปฏิวัติสาเร็จ
ประเทศจีนจึงเป็นประเทศคอมมิวนิสต์อย่างที่เห็นกันอยู่ไม่ว่าในประเทศใดๆ
ถ้าพรรคประชาธิปไตยไม่ทาการปฏิวัติให้เสร็จพรรคคอมมิวนิสต์ก็จะทาการปฏิวัติเสร็จอย่างแน่นอนเช่นในรัสเซียและจีน
ฯลฯและถ้าพรรคประชาธิปไตยทาการปฏิวัติเสร็จพรรคคอมมิวนิสต์ก็หมดโอกาสที่จะทาการปฏิวัติต่อไปเช่นในอินเดีย
มาเลเซียสิงคโปร์ ฯลฯฉะนั้น วิธีทาลายการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์จึงมีอย่างเดียวคือ
พรรคประชาธิปไตยทาการปฏิวัติให้เสร็จพูดง่ายๆคือเอาการปฏิวัติปรามการปฏิวัติทานองหนามยอกเอาหนามบ่ง
นั่นเองประเทศไทยเกือบไปเราทาการปฏิวัติเมื่อพ.ศ.2475 ห้าสิบกว่าปีไม่เสร็จ
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยได้โอกาสทาสงครามปฏิวัติขึ้นทั่วประเทศ
กองทัพบกไหวทันชิงทาการปฏิวัติโดยออกนโยบาย 66/23 พคท.จึงแพ้สงคราม
แต่เปลี่ยนยุทธวิธีการต่อสู้ด้วยอาวุธเป็นยุทธวิธี“แนวร่วม”ซึ่งได้ผลอย่างใหญ่หลวงถึงขนาดจะฟื้นฟูสงครามขึ้นได้อีก
เหตุสาคัญเพราะกองทัพบกย่อหย่อนการปฏิบัติ66/23 คือย่อหย่อนการปฏิวัติ
เหตุนี้กองทัพบกจึงต้องเร่งรีบทาการปฏิวัติให้เสร็จดังที่ได้ประกาศและดาเนินการอยู่การปฏิวัตินั้น
ไม่ว่าการปฏิวัติของพรรคประชาธิปไตยหรือของพรรคคอมมิวนิสต์มี 2 วิธีคือวิธีรุนแรงและวิธีสันติวิธีรุนแรงคือใช้อาวุธ
วิธีสันติคือไม่ใช้อาวุธตัวอย่างการปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคประชาธิปไตยในฝรั่งเศสซึ่งเรียกว่ามหาปฏิวัติฝรั่งเศส
เพราะถือกันว่าเป็นแบบฉบับของการปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคประชาธิปไตยตามที่คัดลอกมาว่า “The fall of the
Bastille”นั้นเป็นวิธีรุนแรงแต่การปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคประชาธิปไตยในญี่ปุ่นและอินเดีย
เป็นวิธีไม่รุนแรงการปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคคอมมิวนิสต์ในรัสเซียและในจีน
เป็นวิธีรุนแรงและการปฏิวัติสังคมนิยมในรัสเซียก็เป็นวิธีรุนแรงแต่การปฏิวัติสังคมนิยมในจีนในรูมาเนีย
ในเชคโกสโลวาเกียฯลฯเป็นวิธีไม่รุนแรงในประเทศไทยการปฏิวัติของคณะราษฎรเมื่อ24 มิถุนายน2475 เป็นวิธีรุนแรง
(ใช้กาลังอาวุธยึดอานาจ)แต่การปฏิวัติของพรรคร.7เป็นวิธีไม่รุนแรง(พระราชหัตถเลขาฉบับเดียวกันตอนหนึ่งว่า
“ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้รับสืบราชสมบัติจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ
ข้าพเจ้าก็ได้คิดการที่จะบันดาลให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปได้โดยราบรื่นที่สุดที่จะเป็นไปได้”) การปฏิวัติพคท.
แนวทางอาวุธเป็นวิธีรุนแรงโดยเฉพาะคือทาสงครามกลางเมืองถึง 10 ปี
การปฏิวัติของกองทัพบกเป็นวิธีไม่รุนแรงการปฏิวัติจะเป็นวิธีรุนแรงหรือวิธีไม่รุนแรง
ขึ้นอยู่กับลักษณะพิเศษของประเทศนั้นๆและกับสถานการณ์ในช่วงนั้นๆกล่าวโดยทั่วไป
การปฏิบัติของพรรคที่ไม่มีอานาจรัฐเป็นวิธีรุนแรงเพราะต้องยึดอานาจ
เช่นการปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคประชาธิปไตยฝรั่งเศสการปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย
และพรรคคอมมิวนิสต์จีนฯลฯการปฏิวัติของพรรคที่มีอานาจรัฐอยู่แล้วเป็นวิธีไม่รุนแรงเช่น
การปฏิวัติประชาธิปไตยของพรรคพระจักรพรรดิญี่ปุ่นการปฏิวัติสังคมนิยมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน(เพราะ
พคจ.กุมอานาจอย่างเข้มแข็งอยู่แล้ว)ฯลฯแต่ก็มีกรณีพิเศษเช่นการปฏิบัติประชาธิปไตยของพรรคคองเกรสในอินเดีย
- 10. Program พูดว่าจะทาให้อานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนรัฐธรรมนูญพูดว่าอานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน Program
พูดว่าจะทาให้บุคคลมีเสรีภาพบริบูรณ์ รัฐธรรมนูญพูดว่าบุคคลมีเสรีภาพบริบูรณ์Program
กับรัฐธรรมนูญพูดตรงกันอย่างนี้นักการเมืองและนักวิชาการบ้านเราเลยนึกว่าไม่ต้องเอา Programก็ได้
เอารัฐธรรมนูญอย่างเดียวก็พอแล้วบ้านเราจึงพูดแต่รัฐธรรมนูญไม่พูดถึง Program
เลยนึกว่ารัฐธรรมนูญเป็นเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยไปพวกเราจึงพยายามร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย
โดยเข้าใจว่าถ้ารัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยแล้วก็จะทาให้ระบอบเป็นประชาธิปไตยความพยายามนี้ล้มเหลวตลอดกาล
ดังที่ ดร.เกษมศิริสัมพันธ์ว่าไว้ อันที่จริงเราเคยมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยอยู่เหมือนกันคือรัฐธรรมนูญฉบับแรก
ซึ่งมีชื่อว่าธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวประกาศใช้เมื่อวันที่ 27มิถุนายน2475 มาตรา1 บัญญัติไว้ว่า
“อานาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย”แต่ข้อความนี้ไม่มีในProgramของคณะราษฎร
คือไม่มีเครื่องสร้างระบอบประชาธิปไตยจึงไม่มีระบอบประชาธิปไตยทั้งๆ
ที่รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญอีกฉบับหนึ่งก็เป็นประชาธิปไตยคือรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2517
ซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา3ว่า“อานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย”(ฉบับอื่นๆบัญญัติว่า
อานาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทย)แต่ข้อความนี้ก็ไม่มีในProgramของพรรคปกครองในขณะนั้น
จึงไม่มีระบอบประชาธิปไตยเช่นกันรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยทาหน้าที่รักษาระบอบประชาธิปไตย
ไม่ได้ทาหน้าที่สร้างระบอบประชาธิปไตยสิ่งทาหน้าที่สร้างระบอบประชาธิปไตยคือProgramประชาธิปไตยเมื่อไม่มี
Program ประชาธิปไตยก็จะไม่มีระบอบประชาธิปไตยและเมื่อไม่มีระบอบประชาธิปไตย
ถึงแม้จะมีรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยก็มีไว้เฉยๆ
ไม่ได้ใช้คุ้มครองรักษาสิ่งใดรัฐธรรมนูญบ้านเราจึงไร้ความหมายจะต้องสร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาก่อน
แล้วจึงจะมีรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยขึ้นมาทาหน้าที่คุ้มครองรักษาระบอบประชาธิปไตยนั้นได้ ข้อนี้ท่านส.ส.
ท่านหนึ่งก็พูดไว้ถูกต้องคือดร.เกษมศิริสัมพันธ์นั้นแหละเขียนไว้อีกตอนหนึ่งว่า“ปัญหาที่ว่า
ทุกวันนี้เราตัดสินใจกันหรือยังว่าเราเป็นประชาธิปไตยกันโดยแน่แท้ ถ้าเรามั่นใจในเรื่องนี้
เราก็ลงมือเป็นประชาธิปไตยกันได้เลย
แล้วเราจะมีรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาเอง”การตัดสินใจเป็นประชาธิปไตยก็คือ
การตัดสินใจทาการปฏิวัตินั่นเองกองทัพบกทาการปฏิวัติอยู่แล้วถ้าท่านส.ส.
ผู้มีเกียรติตัดสินใจร่วมทาการปฏิวัติกับกองทัพบก
การพูดของกระผมวันนี้ก็ประสบความสาเร็จขอรับการสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทยเหตุแห่งความล้มเหลวการตั้งหัวเ
รื่องว่า“เหตุแห่งความเหลวของการสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทย”
มีความมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความเข้าใจในปัญหาต่างๆของการสร้างประชาธิปไตย
เพราะประเทศเราประสบความล้มเหลวในการสร้างประชาธิปไตยจึงต้องรู้เหตุแห่งความล้มเหลว
การรู้เหตุแห่งความล้มเหลวของการสร้างประชาธิปไตยจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนาไปสู่ความเข้าใจในปัญหาต่างๆ
ของการสร้างประชาธิปไตยอันจะนาไปสู่ความสาเร็จของประชาธิปไตยในประเทศเรา
- 12. ธรรมศักดิ์ภายหลังกรณี 14ตุลาคมในวันเข้าเฝ้ าถวายสัตย์ปฏิญาณเมื่อวันที่16 ตุลาคม2516 ตอนหนึ่งว่า
“…จัดให้มีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับสภาพของประเทศชาติ”แม้ในพระราชวโรกาสอื่นๆ
ก็ทรงใช้คาว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยทั้งสิ้นเป็นต้นและจะเห็นได้ว่าสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงใช้คา
DemocraticGovernment กากับคาว่าการปกครองแบบประชาธิปไตย
เพื่อป้ องกันความสับสนเพราะคาว่าประชาธิปไตยมีความหมายหลายนัยดังกล่าวแล้ว
(กระผมอาจต้องขอใช้คาอังกฤษกับคาไทยบางคาตามความจาเป็นด้วย)การที่จะเข้าใจพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเ
ด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในการสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยหรือการสร้างประชาธิปไตยนั้น
จะต้องย้อนกลับไปสู่พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
จนถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งขอยกข้อเท็จจริงมาเป็นตัวอย่างดังนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม
2470
เป็พระราชบันทึกถึงพระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครองแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีข้อความ
ในตอนต้นว่า“เมื่อข้าพเจ้ากลับจากยุโรปครั้งหลังนี้ในพ.ศ.2467
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดาริว่า
ข้าพเจ้ามีอายุมากพอสมควรจะเล่าเรียนประเพณีการปกครองบ้านเมืองและราชการแผ่นดิน
เพื่อจะได้สามารถฉลองพระเดชพระคุณได้ตามโอกาสจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เจ้าพระยามหิธรนาหนังสือราชการมาให้ข้าพเจ้าอ่านและศึกษา
ทั้งนี้เป็นพระราชประเพณีมาแต่เดิม“ในบรรดาหนังสือที่เจ้าพระยามหิธรได้นามาให้ข้าพเจ้าอ่านนั้น
มีพระราชดารัสของพระพุทธเจ้าหลวงในเรื่องการเปลี่ยนแปลงแก้ไขการปกครองแผ่นดิน
เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านพระราชดารัสนี้แล้วรู้สึกว่าเป็นหนังสือที่สาคัญอย่างยิ่ง
ทั้งทาให้ข้าพเจ้ารู้สึกเพิ่มพูนความเลื่อมใสในพระปรีชาสามารถและพระบารมีของพระพุทธเจ้าหลวงยิ่งขึ้นอีก
ทาให้ความนับถือในพระองค์ซึ่งข้าพเจ้ามีอยู่แล้วเต็มหัวใจให้หนักแน่นเต็มตื้นมากขึ้นอีกด้วย“พระราชดารัสนี้ได้ทรงเรียบเ
รียงอย่างรอบคอบที่สุดแสดงให้เห็นชัดว่า
สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระปรีชารอบรู้ในรัฐประศาสน์ประเพณีการปกครองของไทยอย่างเก่าเป็นอย่างดี
และส่วนการประเพณีการปกครองอย่างที่นิยมกันอยู่ในทวีปยุโรปได้ทรงศึกษาทราบหลักการโดยตลอด
พระราชดารัสนี้จึงเป็นหนังสือที่ให้ความรู้ในการปกครองของประเทศสยามเป็นอย่างดียิ่ง“พระราชดารัสนี้
นอกจากจะให้ความรู้อันดียิ่งดังกล่าวมาแล้วยังทาให้ทราบในพระราชหฤทัยของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเป็นอย่างดีว่า
พระองค์ท่านมิได้นึกถึงสิ่งอื่นเลยนอกจากความสุขของประชาชนและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง
เป็นหลักสาคัญในการที่จะทรงพระราชดาริกิจการใดๆทั้งปวง“การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากแบบเดิมตั้งเป็นกระทรวง
12 กระทรวงนี้ต้องนับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงซึ่งเรียกได้อย่างพูดกันธรรมดาว่า “พลิกแผ่นดิน”
ถ้าจะเรียกตามภาษาอังกฤษก็ต้องเรียกว่า