More Related Content
More from Thongkum Virut (20)
หลักการการปฏิวัติประชาธิปไตย
- 1. หลักการการปฏิวัติประชาธิปไตย(The DemocraticRevolutionin Thailand)
การปฏิวัติประชาธิปไตย(DemocraticRevolution)
(1) เหตุแห่งความเสื่อมโทรมของประเทศชาติและความทุกข์ยากของประชาชน
ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรมนุษย์
เพราะตั้งอยู่ในชัยภูมิทางภูมิศาสตร์อันดีเลิศและคนไทยมีลักษณะพิเศษประจาชาติอันสูงส่งด้วยเหตุนี้
ประเทศไทยจึงเป็นประเทศรุ่งเรื่องในประวัติศาสตร์อันยาวนานและด้วยเหตุนี้
เมื่อมาอยู่ในท่ามกลางความก้าวหน้าของโลกปัจจุบันจึงไม่มีเหตุผลที่ประเทศไทยจะเป็นประเทศยากจน
และไม่มีเหตุผลที่คนไทยจะตกอยู่ในความทุกข์ยากดังที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้
รัฐบาลทุกชุดมีความตั้งใจจะแก้ปัญหาของประเทศชาติต้องการจะพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติไปสู่ความมั่งคั่ง
ต้องการจะแก้ไขความยากจนของประชาชนพยายามกันมานานแล้วแต่ก็ไม่สาเร็จยิ่งแก้ยิ่งยุ่งบ้านเมืองยิ่งทรุดโทรม
ประชาชนยิ่งเดือดร้อนโดยเฉพาะรัฐบาลชุดนี้มีทีมเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง(ของพรรคกิจสังคม)
มีมาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจมากมายทางานกันอย่างหนักก็ไปไม่รอดเช่นเดียวกัน
- 6. 5. รัฐบาลจากการเลือกตั้ง(ElectedGovernment) หมายความว่าฝ่ ายนิติบัญญัติ
และฝ่ าบริหารต้องมาจากการเลือกตั้งทั่วไป
เหล่านี้คือหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยการปกครองซึ่งเป็นไปตามหลักการเหล่านี้
ก็เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยและหลักการที่เป็นหัวใจคืออานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
ถ้ามีหลักการข้อนี้แล้วถึงจะยังขาดข้ออื่นๆอยู่บ้างก็เป็นระบอบประชาธิปไตยแต่ถ้าไม่มีข้อนี้ถึงจะมีข้ออื่นๆ
ก็เป็นระบอบเผด็จการเช่นประเทศไทยในปัจจุบันเป็นระบอเผด็จการที่มีเสรีภาพพอสมควรที่เรียกว่าประชาธิปไตยครึ่งใบ
เพราะว่าถึงจะมีเสรีภาพมีความเสมอภาคมีหลักกฎหมายอยู่บ้าง
และมีการเลือกตั้งแต่อานาจอธิปไตยมิได้เป็นของปวงชนฉะนั้นการปกครองของประเทศไทย
จึงไม่เป็นระบอบประชาธิปไตยแต่เป็นระบอบเผด็จการ
(5) อานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
อานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนเป็นหลักการปกครองหลักที่1ของระบอบประชาธิปไตย
และเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตยแต่ในประเทศไทย
มีการอธิบายกันอย่างกว้างขวางว่าหัวใจของระบอบประชาธิปไตยคือเสรีภาพของประชาชน
ซึ่งเป็นการชักจูงประชาชนให้เข้าใจผิดต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรงจนไม่รู้ว่าระบอบประชาธิปไตยคืออะไร
การปกครองทั้งหลายย่อมมีอานาจการปกครองบ้านย่อมมีอานาจของบ้านการปกครองของวัดย่อมมีอานาจของวัด
การปกครองย่อมมีอานาจของโรงเรียนไปจนถึงการปกครองประเทศย่อมมีอานาจของประเทศ
ในบรรดาอานาจทั้งหลายเหล่านั้นอานาจของประเทศเป็นอานาจสูงสุดคือสูงถึงขนาดฆ่าคนได้ และสิทธิ์ขาดโต้แย้งมิได้
จึงนิยมเรียกกันว่าอานาจสูงสุดของประเทศดังที่ใช้ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกและต่อมาเรียกให้เป็นศัพท์ว่าอานาจอธิปไตย
ซึ่งใช้ในรัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มา จนถึงปัจจุบัน
อานาจของประเทศหรืออานาจอธิปไตยนั้นมีอานาจเดียวแต่แสดงออกเป็น3 ด้านคือ(1) อานาจนิติบัญญัติ(2)
อานาจบริหาร(3) อานาจตุลการ
อานาจในการปกครองย่อมมีเจ้าของและเจ้าของอานาจก็คือผู้ปกครองนัยหนึ่งอานาจย่อมเป็นของผู้ปกครอง
อานาจของบ้านเป็นของเจ้าบ้านอานาจของวัดเป็นของสมภารอานาจของโรงเรียนเป็นของครูใหญ่
จนถึงอานาจของประเทศหรืออานาจอธิปไตยเป็นของผู้ปกครองประเทศ
ผู้ปกครองประเทศนั้นกล่าวอย่างกว้างมี2ชนิด คือ ชนส่วนน้อยและปวงชน(ประชาชน)
ถ้าชนส่วนน้อยเป็นผู้ปกครองประเทศอานาจของประเทศหรืออานาจอธิปไตยก็เป็นของชนส่วนน้อย
ถ้าปวงชนเป็นผู้ปกครองประเทศอานาจของประเทศหรืออานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
- 8. บุคคลย่อมมีเสรีภาพไม่ว่าภายใต้ระบอบใดๆเพราะบุคคลไม่สามารถดารงอยู่ได้โดยปราศจากเสรีภาพอย่างสิ้นเชิง
ต่างแต่ว่าเสรีภาพในกระบอบประชาธิปไตยไม่ว่าในรูปใดๆเป็นเสรีภาพบริบูรณ์ เสรีภาพในระบอบเผด็จการไม่ว่ารูปใดๆ
เป็นเสรีภาพไม่บริบูรณ์ เช่นในประเทศสวีเดนเป็นเสรีภาพบริบูรณ์ในประเทศไทยเป็นเสรีภาพไม่บริบูรณ์ เพราะ
สวีเดนเป็นระบอบประชาธิปไตยไทยเป็นระบอบเผด็จการ
เสรีภาพบริบูรณ์นั้นไม่ใช่บริบูรณ์อย่างไม่มีขอบเขตแต่บริบูรณ์ภายในขอบเขตถ้าเลยขอบเขตก็กลายเป็นไม่มีเสรีภาพ
เช่นผู้ขับรถยนต์มีเสรีภาพสมบูรณ์ในการขับรถยนต์ตามถนนแลพะตามกฎจราจร
ถ้าขับรถยนต์ออกนอกถนนหรือไม่ถือกฎจราจรก็ไม่มีเสรีภาพในการขับรถยนต์
เสรีภาพบริบูรณ์ภายในขอบเขตคือหลักธรรมชาติของเสรีภาพและขอบเขตของเสรีภาพบริบูรณ์คือ
การไม่ล่วงล้าเสรีภาพของบุคคลอื่นและไม่เป็นปรปักษ์ต่อส่วนรวมฉะนั้นคติที่ถือว่าเสรีภาพบริบูรณ์
คือเสรีภาพไม่มีขอบเขตจึงเป็นคติที่ผิดธรรมชาติจึงไม่ใช่คติของลัทธิประชาธิปไตยแต่เป็นคติของลัทธิอนาธิปไตย
การปฏิบัติตามคติของลัทธิอนาธิปไตย คือการทาลายเสรีภาพนั่นเองในบรรดาเสรีภาพทั้งปวงนั้น
เสรีภาพทางความคิดเป็นรากฐานคนเราถ้าไม่มีเสรีภาพทางความคิดก็เท่ากับไม่มีเสรีภาพและเท่ากับหมาดความเป็นคน
ฉะนั้นระบอบประชาธิปไตยซึ่งยึดถือหลักธรรมชาติของเสรีภาพจึงทาให้เสรีภาพบริบูรณ์แก่บุคคลในการนับถือศาสนา
และเชื่อถือลัทธิการเมืองในขอบเขตที่ไม่กระทาการอันขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม
ในระบอบประชาธิปไตยการที่บุคคลได้แสดงความคิดเห็นอย่างเสรีย่อมทาให้ได้มาซึ่งแนวความคิดที่ดีที่สุด
อันจะส่งผลให้ได้มาซึ่งนโยบายที่ดีและนาความผาสุกมาสู่คนส่วนรวม
และการให้บุคคลมีเสรีภาพทาให้บุคคลเกิดความรับผิดชอบต่อส่วนรวม
ฉะนั้นในระบอบประชาธิปไตยซึ่งบุคคลมีเสรีภาพบริบูรณ์
ประชาชนจึงมีจิตสานึกในการรักษาระเบียบวินัยด้วยความสมัครใจอานาจอธิปไตย
เป็นหลักคู่กับเสรีภาพในฐานะที่เสรีภาพขึ้นต่ออานาจอธิปไตยเพราะผู้ปกครองย่อมให้เสรีภาพย่างเต็มที่แก่ตนเองเสมอไป
ดังนั้นในระบอบเผด็จการซึ่งอานาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อยชนส่วนน้อยจึงมีเสรีภาพอย่างเต็มที่
และในระบอบประชาธิปไตยซึ่งอานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนบุคคลทั่วไปจึงมีเสรีภาบริบูรณ์ในประเทศปัจจุบัน
อานาจอธิปไตยเป็นของกลุ่มผลประโยชน์ผูกขาดซึ่งเป็นชนส่วนน้อย
เสรีภาพอย่างเต็มที่จึงมีแก่เฉพาะบุคคลในกลุ่มผลประโยชน์ผูกขาดเท่านั้นบุคคลทั่วไปขาดเสรีภาพอย่างมากมายดังนั้น
จึงต้องทาการปฏิวัติประชาธิปไตยเปลี่ยนอานาจอธิปไตยจากคนส่วนน้อยมาเป็นของปวงชน
เพื่อเสรีภาพบริบูรณ์จะได้มีแก่บุคคลทั่วไปอย่างเสมอหน้ากัน
(7) ความเสมอภาค
- 14. ดังเช่นระยะแรกของระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยภายหลังการปฏิวัติ 24 มิถุนายน2475 ไม่มีการเลือกตั้ง
ต่อเมื่อเข้ารูปเข้ารอยแล้วจึงมีการเลือกตั้ง
นอกจากนั้นยังมีการปะปนหลักอานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนกับหลักการปกครองจากการเลือกตั้ง
โดยเถือว่าเมื่อมีการเลือกตั้งส.ส.เข้าสภาและสภาเป็นผู้ตั้งคณะรัฐมนตรีและควบคุมคณะรัฐมนตรี
ก็คือสภาและคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อานาจอธิปไตยแทนปวงชนแล้วจึงเปลี่ยนคาว่า “อานาจอธิปไตยเป็นของ ปวงชน ”
เป็น “ อานาจอธิปไตยมาจากปวงชน ” ดังที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญเกือบทุกฉบับของประเทศเรา
ซึ่งเป็นการทาลายหลักอันเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตย
ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีการปกครองจากการเลือกตั้งแต่อานาจอธิปไตยไม่ได้เป็นของปวงชน
แต่เป็นของกลุ่มผลประโยชน์ผูกขาดฉะนั้น
จึงต้องเปลี่ยนอานาจอธิปไตยของกลุ่มผลประโยชน์ผูกขาดมาเป็นอานาจอธิปไตยของปวงชนเสียก่อน
การปกครองมากจากการเลือกตั้งจึงเป็นหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้
หลักการปกครองของระบอบประชาธิปไตยมี5 ประการคือ1. อานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน 2
เสรีภาพบริบูรณ์ของบุคคล3.ความเสมอภาค4. หลักกฎหมาย5. การปกครองจากการเลือกตั้ง
แต่หลักที่เป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตยคืออานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนแม้ว่าจะมีหลักอื่นๆ
แต่ไม่มีหลักอานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนก็ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย
ฉะนั้นจะดูว่าระบอบใดเป็นระบอบประชาธิปไตยหรือไม่
ก่อนอื่นก็ต้องดูที่ว่าอานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนหรือเป็นของคนส่วนน้อย
(10) หลักการปกครองกับรูปการปกครอง
หลักการปกครอง(Principle of Government) กับรูปแบบการปกครอง(Formof Government)
เป็นสิ่งที่จะต้องอยู่คู่กันแยกออกจากกันไม่ได้หลักการปกครองจะต้องอยู่ในรูปการปกครองในรูปใดรูปหนึ่งเสมอไป
- 17. ด้วยเหตุนี้เมื่อประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญจึงได้มีการบัญญัติรับรองและบังคับไว้ในรัฐธรรมนูญว่า
ประเทศไทยต้องเป็นราชอาณาจักรและมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศคือ
รัฐธรรมนูญฉบับที่1 (พ.ศ.2475) มาตรา1 บัญญัติว่า“ กษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ”รัฐธรรมนูญฉบับที่2 (พ.ศ.
2475) มาตรา1 บัญญัติว่า“ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร”รัฐธรรมนูญฉบับอื่นนอกจาก2ฉบับนี้
นอกจากบัญญัติว่า“ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร”แล้วยังบัญญัติว่า“ประเทศไทย
มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”อีกด้วยซึ่งหมายความว่า
ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรและสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศไทยตรงกันทุฉบับ
แต่มีการพูดกันอย่างกว้างขวางให้ผิดไปจากรัฐธรรมนูญว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”เป็นการลดฐานะของพระมหากษัตริย์จากประมุขของประเทศ
มาเป็นประมุขของระบอบซึ่งผิดจากเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญจากหลักวิชาการและจากข้อเท็จจริง
ซึ่งถ้าคณะปกครองละเมิดรัฐธรรมนูญโดยทาให้ระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการแล้ว
ก็อาจกระทบกระเทือนถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เพราะในยุคปัจจุบัน
ระบอบประชาธิปไตยเป็นปัจจัยของความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์
ระบอบเผด็จการบั่นทอนความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์
การปฏิวัติประชาธิปไตยคือการเปลี่ยนระบอบเผด็จการเป็นระบอบประชาธิปไตย
ฉะนั้นการปฏิวัติประชาธิปไตยในประเทศไทยจึงเป็นการกระทาเพื่อความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาตินอกจากมีภารกิจในการปฏิวัติประชาธิปไตยแล้ว
ยังมีความมุ่งหมายเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยให้สาเร็จและมีอุดมคติเพื่อสร้างสังคมประชาธิปไตยให้สาเร็จด้วยฉะนั้น
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติในประเทศไทย
จึงเป็นผุ้ส่งเสริมที่แท้จริงให้สถาบันพรมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศไทยตลอดไป
(12) ระบบรัฐสภาและระบบประธานาธิบดี
- 18. โดยทั่วไปรูปการปกครองของระบอบประชาธิปไตยมี3รูปคือระบบรัฐสภา (ParliamentarySystem)
แบะระบบประธานาธิบดี(PresidentialSystem)ส่วนระบบกึ่งประธานาธิบดี(Semi-Presidential System)
นั้นอยู่ในฝ่ ายระบบประธานาธิบดี
ในประเทศไทยเมื่อกล่าวถึงระบบรัฐสภาและระบบประธานาธิบดีมีปัญหาสับสนซึ่งจาเป็นต้องทาความกระจ่างอยู่2
ปัญหา คือ
1. มักจะเข้าใจกันว่า
ระบบรัฐสภาและระบบประธานาธิบดีเป็นรูปการปกครองแต่เฉพาะของระบอบประชาธิปไตยระบอบเดียวฉะนั้น
เมื่อเห็นว่าประเทศใดมีรูปการปกครองเป็นระบบรัฐสภาหรือระบบประธานาธิบดี
ก็ถือว่าประเทศนั้นมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยนัยหนึ่งถือว่าระบบรัฐสภานั่นเองคือระบอบประชาธิปไตย
ส่วนในประเทศที่มีรูปการปกครองเป็นระบบประธานาธิบดีก็ถือว่ามีการปกครองระบอบประชาธิปไตย
โดยถือว่าระบบประธานาธิบดีคือระบอบประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน
แต่ความจริงแล้วประเทศที่ใช้ระบบรัฐสภาหรือระบบประธานาธิบดีเป็นรูปการปกครอง
อาจมีการปกครองระบอบเผด็จการก็ได้ เช่นระบบประธานาธิบดีในคิวบาสมัยบาติสตา
ระบบประธานาธิบดีในนิการากัวสมัยโซโมซาเป็นระบอบเผด็จการในทานองเดียวกัน
ระบบรัฐสภาสมัยพระยาพหลพยุหเสนาเป็นระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภาสมัยจอมพลป.พิบูลสงครามและต่อๆ
มาเป็นระบบเผด็จการ
ฉะนั้นพึงเข้าใจว่าระบบรัฐสภาและระบบประธานาธิบดีอาจเป็นระบอบประชาธิปไตยหรือระบอบเผด็จการก็ได้
ไม่ควรคิดว่าเมื่อเป็นระบบรัฐสภาหรือระบบประธานาธิบดีแล้วจะเป็นระบอบประชาธิปไตยเสมอไป
แต่ในที่นี้เราพูดกันถึงระบบรัฐสภาและระบบประธานาธิบดีที่เป็นระบอบประชาธิปไตย
2. มักจะเข้าใจกันว่าระบบรัฐสภาและระบบประธานาธิบดีเป็นปัญหาประมุขของประเทศเพราะมีคาว่า “ประธานาธิบดี
” จึงคิดว่าระบบนี้หมายถึงประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศไม่ใช่พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ