1. ปรัชญาเชิงศาสตร์
Philosophy of Science 3
มรรคาทางเข้าสู่ความรู้นานาแนวทาง
On the Path to Knowledge
Different Approaches
ศ.พิเศษ ดร.จิรโชค วีระสย
Jirachoke Virasaya, Ph.D. (Berkeley)
1. ความทั่วไป
1.1 ความหมาย “ความรู้” ตามพจนานุกรมเวบมสเตอร์ (Webster’s New world Dictionary)
1) be sure of or well informed about.รู้เรื่อง แน่ใจเกี่ยวกับ
2) have perceived or learned.เรียนรู้
3) have securely in the memory.อยู่ในตู้เซฟแห่งควมทรงจํา
4) to be acquainted or familiar withคุ้นเคยกับ
5) to have understandiny of or skill in as a result of study or experience.เข้าใจ
6) to recognizeนึกขึ้นได้
7) to distinguihแยกแยะได้
1.2 ตามพจนานุกรมไทย
ศ.พิเศษ ดร. จิรโชค (บรรพต) วีระสยJIRACHOKE VIRASAYA ได้รับทุนรัฐบาลศึกษาจบ ปริญญาตรีทางสังคมวิทยา
วิทยานิพนธ์เกียรตินิยม B.A. HONORS THESIS IN SOCIOLOGY, มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ณ นครเบอร์คลีย์UNIVERSITY OF
CALIFORNIA (BERKELEY) ; ปริญญาโทM.A. IN POLITICAL SCIENCE (UC, BERKELEY) ; ปริญญาเอกPh. D. UC. BERKELEY
; ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสมาคมเกียรตินิยมระดับชาติของ U.S.A. ตั้งแต่ปี 1962 PI SIGMA ALPHA, National Political Science Honor
Society, U.S.A., 1962. กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคําแหง (2513-14) Founding Member,
Ramkhamhaeng University หัวหน้าภาคผู้ก่อตั้งภาควิชาสังคมวิทยา (Founding Chairman)
คณบดีผู้ก่อตั้งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง (Founding Dean), Faculty of Political Science Ramkhamhaeng University,
Bangkok, 10240 Tel.02-310-8483-9 ต่อ 41, 36 อดีตรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ, อดีตรอง ผอ.สถาบันส่วนภูมิภาคว่าด้วยการอุดมศึกษา,
Former Deputy Director, Regional Institute of Higher Education, (RIHED) Singapore.
รก.ผอ.โครงการปรัชญาดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์, Acting Director ,Doctoral Program in Social Sciences, (10 สาขาวิชา) อาคาร
ท่าชัย มหาวิทยาลัยรามคําแหง, 02-310-8566-7 ปรับปรุง 22/08/55
ประกอบการบรรยาย 31 สิงหาคม 2556 วิชาขอบเขต
สงวนลิขสิทธิ์ Revised 28/08/2556 PC
2. 2
ประเด็นการเข้าสู่ “ความรู้” นั้น พึงตระหนักว่าเกี่ยวโยงกับการ “รู้” ตามคําอธิบายใน
พจนานุกรมบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ระบุว่าหมายถึง “แจ้ง, เข้าใจ, ทราบ” และยกหลาย
วลี เช่น 1) รู้กัน 2) รู้การรู้งาน 3) รู้กันอยู่ในที 4) รู้เขา รู้เรา 5) “รู้ความ” 6) “รู้คิด” “รู้อ่าน”
7) รู้คุณ 8) รู้ดีรู้ชั่ว9) รู้ตัวเอง 10) รู้ตื้นลึกหนาบาง 11) รู้เนื้อ รู้ตัว 12) รู้หนเหนือหนใต้ 13)
รู้เห็น 14) รู้เห็นเป็นใจ 15) รู้รส 16) รู้มาก เป็นต้น
1.3ศัพท์ที่ใช้ว่าเป็น “ความรู้” หมายถึง
1) สิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า หรือ ประสบการณ์ รวมทั้ง
ความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะ
2) ความเข้าใจหรือสารสนเทศ (information เพิ่มคําแปลภาษาอังกฤษ) ที่ได้รับมาจาก
ประสบการณ์
3) สิ่งที่ได้รับมาจากการได้ยินได้ฟัง การคิดหรือการปฎิบัติ
4) องค์วิชาในแต่ละสาขา เช่นความรู้เรื่องเมืองไทย ความรู้เรื่องสุขภาพ
1.4 อารยธรรมกรีกยุคเอเธนส์รุ่งเรือง
ในช่วงต้นของอารยธรรมตะวันตกปราณ 2500 ปีมาแล้วมี กล่าวถึงว่าตั้งแต่เดิมไม่มี
ความรู้แบบเปิดเผยคือเป็นเรื่องที่มหาชนทั่วไปเข้าถึง คือรับทราบจนกระทั่งมีผู้พยายามที่
จะได้มาซึ่งความรู้และผลของความอยากรู้อยากเห็นและการเพียรพยายามนั้นกลับ
ถูกลงโทษโดยอํานาจเบื้องบน
คือปรากฎในตํานานกรีก (mythology) เรื่องหนึ่งซึ่งกล่าวถึงมนุษย์คนแรกที่มี
อุตสาหะวิริยะจนกระทั่งเข้าสู่ประตูแห่งความฉลาดคือรู้จักการก่อไฟให้เกิดแสงสว่าง ชื่อ
ซิซิฟุส (Sisiphus) และต้องเผชิญกับความลําบากจากการล่วงละเมิดอํานาจสรวงสวรรค์ซึ่ง
ผูกขาด การมีความรู้
1.5ตํานานหรือนิทานปรัมปราดังกล่าวต่อมาแพร่หลายมากจากข้อเขียนที่เดิมเป็นหนังสือภาษา
ฝรั่งเศสโดย นักประพันธ์ลือชื่อผู้ได้รับรางวัลโนเบล(Nobel Prize) ชื่อ อัลแบร์ กามูส์
(Albert Camus)โดยมีชื่อเรื่องว่า ตํานานแห่งซิซิฟุส (“The Myth of Sisiphus”)
Albert Camus 1913-1960. Algerian-born French writer. (นักเขียนฝรั่งเศสผู้เกิดใน
อัลจีเรีย ซึ่งเคยอยู่ภายใต้ประเทศฝรั่งเศส.A journalist in France, he was
active in the Resistance during World War II. His novels, which owe much to
existentialism, include
3. 3
1) L’Etrangerแปลเป็นภาอังกฤษคือThe Outsider(คนนอก) 1942
2)La Peste แปลเป็นภาษาอังกฤษชื่อThe Plague(โรคระบาด) 1948 and
3) L’Homme revolteแปลเป็นภาษาอังกฤษชื่อThe Rebel (ผู้ทระนงหาญสู้)1952. He was
awarded the Nobel Prize for Literature 1957. ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม
พ.ศ. 2500
1.6 จาก Wikipedia
ความรู้คือความสนิทสนมคุ้นเคยกับบางคนหรือบางสิ่ง รวมทั้งข้อเท็จจริง สารสนเทศ คํา
พรรณนา หรือทักษะ ซึ่งได้มาจากประสบการณ์หรือการศึกษา
2. ศัพท์ใกล้เคียง
2.1 ในทางพุทธศาสนาเน้นความรู้ที่เรียกว่า “พุทธปัญญา”
2.2การพัฒนาความรู้ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในทางทฤษฎี(theoretical knowledge) และในทาง
นําไปใช้คือวิทยาการประยุกต์(applied knowledge)
2.3ความรู้ ย่อมแตกต่างจาก
1)ทรรศนะ คือ ความเห็น (opinions)
2)ทัศนคติหรือ เจตคติ (attitude)
3) ความเชื่อ (beliefs) และ
4)ศรัทธา(faith)
2.4ในทางพุทธศาสนาได้กล่าวไว้มากในเรื่องนี้ โดยเฉพาะที่ทึกทักว่าเป็นความรู้ อาจเป็น
“อวิชชา” (ignorance)ก็ได้ และค่อนข้างบ่อย
อาจเรียกเบื้องต้นว่า ข้อมูลผิด (false data , misinformation)
2.5ว่าด้วยความรู้ในทรรศนะของนักปรัชญามีปรากฏใน
1) The Oxford Guide to Philosophy,edited by Ted Honderich. Oxford University
Press, 2055.
2) จากพจนานุกรม Collins
a) knowing that something is the case. อะไรเป็นอะไร
b) knowing some person or place.
c) knowing how to do something.
(G. Vesey and P.Foulkes. Collins dictionary of Philosophy. London: Collins,
6. 6
(Collins Internet Linked Dictionary of Sociology.Edited by David Jary and Julia Jary.
Harper and Collins, 2005, p. 343)
5. ความรู้กับประสาทสัมผัส
5.1การเข้าถึงความรู้นั้นย่อมอาศัยประสาทสัมผัส(senses)5 อย่างคือ เห็นด้วยตา ฟังด้วยหู
เป็นต้น
5.2ส่วนความรู้นอกเหนือจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 เรียกว่าสัมผัสที่ 6(sixth sense)ซึ่งมี
ภาพยนตร์ชื่อเรื่องนี้ (Sixth Sense) ด้วยแสดงนําโดย Bruce Willis
แนวคิด “ความรู้คู่ประสาทสัมผัส”ได้มีอิทธิพลครอบงําอยู่เป็นระยะเวลานาน เป็น
แนวคิดเชิงประจักษ์วาท(empiricism)ซึ่งพจนานุกรมเวบสเตอร์ (Webster’s New World
Dictionary3
rd
ed.)ได้ระบุว่าเป็นทฤษฎีที่ว่าประสบการณ์จากประสาทสัมผัสเป็นแหล่งที่มา
แห่งความรู้แหล่งเดียวเท่านั้น (the theory that sense experience is the only source of
knowledge).
5.3แนวประจักษ์วาทคือวาความรู้ได้มาจากอย่างน้อย 2 วิธีการ ได้แก่
1) จากการสังเกต(observation)ของบุคคลซึ่งย่อมหมายถึงการวัดด้วยเครื่องมือหรือ
มาตรต่าง ๆ
2) จากการทดลอง (experiment)
5.4นักคิดชาว ฝรั่งเศสระดับกูรู(Guru)ชื่อ ออกุสต์ ก๊องต์ (August Comte)ซึ่งมีชื่อเสียง ต่อมา
ในฐานะที่ได้ชื่อว่าเป็น “บิดาผู้ก่อกําเนิดสังคมวิทยา”ได้ก้าวไปเกินกว่านั้น
ค๊อง หรือ ก๊อง (แล้วแต่จะออกเสียง) ได้ตั้งทฤษฎีที่เรียกว่า“ปฏิฐานนิยม”
(Positivism)โดยเห็นข้อเท็จจริงหรือข้อมูลที่ สังเกต ได้หรือรับทราบได้จาก ประสาท
สัมผัส และปฏิเสธการคาดเดา(speculate)
5.5การเรียนรู้ตามครรลองหรือในวงกรอบหรือแนวทางแห่ง ปฏิฐานนิยมมีบทบาทมากทั้ง
ในทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ทางสังคม
ได้รับอิทธิพลมาจากนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Cambridge ประมาณ 3
ศตวรรษมาแล้วชื่อไอแซค นิวตัน (IsaacNewton,1642-1726)
5.6ไอแซค นิวตันมีอิทธิพลต่อการยึดแนวคิดแบบแยกส่วน หรือลดทอน (reductionism)ซึ่งเป็น
ความคิดแม่บทหรือกระบวนทัศน์ (paradigm)ที่ยึดถือกันมายาวนาน
ต่อมาที่ได้รับการท้าท้ายอย่างชัดแจ้งจากทฤษฎีสัมพัทธภาพ (relativity) อันเป็น
7. 7
ผลงานของแอลเบิร์ต ไอสไตน์(Albert Einstein, 1879-1955)
6. ความรู้พื้นฐาน
6.1 ศัพท์ปรัชญาที่ใช้ในภาษาไทย มักยึดแนวความหมายแห่งศัพท์ Philosophy ซึ่งมีรากศัพท์
มาจากภาษากรีกPhilosฟิล-ลอส ซึ่งแปลว่า ความรัก หรือ เพื่อน กับ sophos—โซ-ฟอส ซึ่ง
แปลว่า ความฉลาด ศัพท์ Philosophyจึงเท่ากับการรักหรือการเป็นสหายกับความฉลาด
รอบรู้
(G. Vesey and P. Foulkes.Collins Dictionary of Philosophy. London : Collins, 1990.)
6.2 ปรัชญาเป็นแขนงวิทยาการ (discipline) ที่แสวงหาความจริงW.T.Jonesเขียนไว้ว่า เป็นการ
แสวงหาเป็นนิรันดร การแสวงหาซึ่งย่อมไม่ประสบผลสําเร็จ (Philosophy is the eternal
search fortruth, a search which inevitably fails and yet not defeated)
6.3เจมส์ คริสเตียน ระบุว่า ปรัชญา เป็น “ศิลปะแห่งวิสัยทึ่ง”หรือ “ศิลปแห่งการมีความ
พิศวง” (art of wondering) ซึ่งเกี่ยวกับ การอยากรู้ (curiosity)
(James L. Christian. Philosophy, Rinehart Press, 1973.)
1) วิสัยทึ่ง เป็นหนึ่งในหลายวลี คิดขึ้นโดย จิรโชค วีระสย โดยให้สืบต่อจาก
2)‚วิสัยทัศน์‛
3)“วิสัยทา” (ลงมือปฏิบัติการ)
4) “วิสัยทน” (ขันติ อดทน)
5) “วิสัยทาง” (หลายทางเลือก)
6) “วิสัยแท้”(คุณธรรม จิตวิญญาณ) และ
7) “วิสัยทัน” (ไม่ล่าช้า, ทันเวลา, ทันเหตุการณ์)
6.4 เนื้อหาสาระของปรัชญามีขอบข่ายกว้างขวางเพราะสืบสานมรดกทางปัญญา แบบรวม ๆ
กัน
มีการแบ่งศาสตร์ออกเป็น 1)“ศาสตร์อ่อน”หรือศาสตร์ประณีต (softsciences)อัน
ได้แก่ มนุษยศาสตร์, สังคมศาสตร์, และศิลปะ (fine arts) และ 2) วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ
หรือ“ศาสตร์แข็ง” (hard sciences)อันได้แก่ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ST)
7.ทรรศนะอื่น ๆ ว่าด้วยปรัชญา
7.1นักปรัชญาช่วงกลางศตวรรษที่20 ชื่อ วิลล์ ดิวรั้น(Will Durant)กล่าวว่าปรัชญาเริ่มต้นเมื่อ
เรียนรู้ที่จะตั้งข้อสงสัยโดยเฉพาะกังขาความเชื่อที่เคยชื่นชม (Philosophy begins when one
8. 8
learns to doubtparticularly to doubt one s cherished beliefs one s dogmas and one s
axioms.)
(Christian, p.120.)
7.2Mel Thompsonในหนังสือ Philosophy. Chicago:NTC Publishing Group,1995. กล่าวว่า
Thephilosophy of science(ปรัชญาแห่งศาสตร์) ตรวจสอบวิธีการต่าง ๆ ที่ใช้โดย
วิทยาศาสตร์ธรรมชาติวิธีการต่าง ๆ ซึ่งสมมติฐานและกฎหมายต่าง ๆ ถูกกําหนดจาก
หลักฐานต่าง ๆ (examines the methodsused by science, the ways in which hypotheses
and laws are formulated from evidence, and thegrounds on which scientific claims about
the world may be justified.)
1)ปรัชญาและวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามของกันและกัน (Philosophy and
science are not in principleopposed to one another but are in many ways parallel
operations, for both seek to understandthe nature of the world and its structures.)
2)ปรัชญามักพยายามเกี่ยวข้องกับกระบวนการ คือ ขั้นตอนกําหนดหลักการต่างๆ
(Whereas the individual sciences do so by gathering data from within their
particular spheres andformulating general theories for understanding them,
philosophy tends to concern itself withthe process of formulating principles and
establishing how they relate together into an overall view.)
7.3อ้างอิงเพิ่มเติม
1) Eliot Deutsch and Ron Bontekoe, ed. A Companion to World Philosophers.
Blackwell, 1999.หนังสือเล่มนี้ครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ อย่างกว้างขวางในประมาณ 600
หน้า
เฉพาะบทที่1 เกี่ยวโยงกับปรัชญานานาอารยธรรมคือ
1) Chinese
2) Indian
3) African
4) Buddhist
5) Islamic
2) Brooke N. Moore and Kenneth Bruder. Philosophy: The Power of Ideas. 5th
ed.
Boston: Mc Graw-Hill, 2002. มีสาระสําคัญ เช่น การขยายขอบข่ายแห่งความหมาย
9. 9
ปรัชญาให้เป็นเรื่องที่คนสนใจได้ระดับโลกในหัวข้อ Philosophy: A Worldwide
Search for Wisdom and Understandingและกล่าวถึงผลงานสตรีในปรัชญาเช่น Mary
E. Waithe.A History of Women Philosophery.
3) S.E.Frost, Jr. Basic Teachings of the Great Philosophers. New York: Donbleday,
1962.
8. เกี่ยวโยงกับญาณวิทยา หรือทฤษฎีแห่งการเรียนรู้
8.1ปรัชญาแห่งศาสตร์ เกี่ยวโยงกับ“ญาณวิทยา”(Epistemology)เอป-ปิส-เต็ม-มอล-โล-ยีซึ่ง
ตามหนังสือบัญญัติศัพท์ของราชบัณฑิตยสถาน(Royal Institute) ระบุว่า หมายถึง
“ปรัชญาที่เข้าถึงที่ว่าด้วยบ่อเกิดลักษณะหน้าที่ ประเภท ระเบียบ วิธี และความ
สมเหตุสมผล” (rationalจิรโชค แปล)บางทีใช้คําว่า “theory of knowledge”ทฤษฎีแห่ง
ความรู้
8.2การศึกษา “แนวการศึกษา”หรือ “วิธีการศึกษา” (approach)มีต่าง ๆ เช่น เชิงประวัติศาสตร์
เชิงภูมิศาสตร์ เชิงนิเวศวิทยา เชิงสังคมวิทยา เชิงจิตวิทยา เชิงเศรษฐศาสตร์ เชิง
ศึกษาศาสตร์ เชิงบริหารธุรกิจ เชิงรัฐศาสตร์ เชิงนิติศาสตร์ ที่แพร่หลาย และเป็นที่คุ้นเคย
ในยุคร่วมสมัยและรวมทั้งแนวศาสนาต่าง ๆ
9. ปรัชญากับปรัชญาแห่งวิทยาศาสตร์
9.1ว่าด้วย “ศาสตร์”หรือวิทยาการ (science) ต่างๆ ซึ่งไม่ได้หมายถึงเฉพาะวิทยาศาสตร์) คือ
1) วิธีการและความรู้ที่เป็นระบบ
2) เป็นเหตุเป็นผลหรือสมเหตุสมผล
3) เป็นวัตถุวิสัย หรือสภาวะวิสัย (objective)
9.2เพื่อที่เข้าถึงซึ่งความรู้ อันอยู่ในขอบข่ายของวิชาการชื่อ ญาณวิทยา (epistemology) ซึ่งเป็น
สาขาหนึ่งของวิชา “ปรัชญาทั่วไป”
10. ปรัชญาทั่วไป ประกอบด้วย 3 สาขาหลัก คือ
10.1อภิปรัชญา (เม็ตตาฟิสิกส์ —metaphysics) or หรือ ออน-ตอล-โลยี่ ontology เกี่ยวกับ
appearance and reality ภาพที่ปรากฏและความเป็นจริง, existence of God การสถิติอยู่
ขององค์พระผู้เป็นเจ้า, soul, angels, whether abstract objects have an existence
independent of human thinking
(Earle, p.16.)
10. 10
10.2 ญาณวิทยา (Epistemology)
10.3 คุณวิทยา (axiologyแอกซิออลโลยี่) ซึ่งว่าด้วยเกณฑ์
ก. ทาง“จริยธรรม”และเกณฑ์
ข. แห่ง“ความงาม”และ
ค. “ความไพเราะ” (สุนทรียะ)
11. “Epistemology” (ญาณวิทยา) หรือทฤษฎีแห่งความรู้
11.1 ญาณวิทยา (บางครั้งเรียกว่าทฤษฎีแห่งความรู้) มีการกําหนดนิยามด้วยวิธีการตั้งคําถาม
สําคัญ
1)อะไรคือความรู้
2)การหาความรู้ (เพิ่มเติม) ด้วยวิธีการอย่างไร
รวมทั้งนฤมิตกรรมทางปัญญา (creativity)
11.2 มีการวิเคราะห์มโนทัศน์(concepts)ต่างๆ เช่น
1) belief(ความเชื่อ)
2)truth(ความเป็นจริง) and
3)justification(การหาทางยืนยันว่าถูกต้อง)
a. How can I be sure that my beliefs are true? I know that people sometimes believe
things without good reasons, without real evidence. What, then, should count as
good reasons, orreal evidence, for various kinds of beliefs?
b. How do I know I have good reasons, or evidence, for my beliefs?
(Cf. William J.Earle. Introduction to Philosophy. McGraw-Hill, 1992,p.15.)
12.พจนานุกรม Oxford Dictionary of Sociology (John Scott & Gordon Marshall. Oxford
Dictionaryof Sociology. New York: Oxford, 2005. p.145) อธิบายว่า ทฤษฎีแห่งความรู้
โดยทั่วไปมี 2 สํานักคิดใหญ่ ๆ ได้แก่
1) สํานักเชิงตรรกะหรือเชิงสมเหตุสมผล (rationalism) และ
2) สํานักประจักษวาท (empiricism)
12.1ทั้งสองแนวคิดเกิดขึ้นในช่วงแห่งการปฏิวัติทางด้านวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 17 โดยที่
ต่างสนใจที่จะหารากฐานที่มั่นคงแห่งความรู้ โดยให้แยกแยะออกจากสิ่งที่เรียกว่า
1)อคติ