SlideShare a Scribd company logo
1 of 44
บทที่ 4
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตร
มโนทัศน์(Concept)
คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของหลักสูตรคือ หลักสูตรควำมเป็นพลวัต
และปรับเปลี่ยนไปตำมควำมต้องกำรและควำมเปลี่ยนแปลงของสังคม จำกคุณสมบัติดังกล่ำว
กำรพัฒนำหลักสูตรจึงเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นอย่ำงต่อเนื่อง ตลอดเวลำที่สภำพสังคมเปลี่ยนแปลงไป
ดังนั้น กำรจัดกำรศึกษำให้สนองควำมต้องกำรของสังคมที่เปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งจำเป็น
และกำรเปลี่ยนแปลงหลักสูตรในลักษณะของกำรพัฒนำหลักสูตรเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลการเรียนรู้(Learning Outcome)
1. มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับควำมหมำยของกำรพัฒนำหลักสูตร
2. มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจ หลักกำร รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตร
สาระเนื้อหา(Content)
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตร
รูปแบบของกำรพัฒนำหลักสูตรส่วนมำกจะพัฒนำมำจำกแนวคิดของนักกำรศึกษำชำวต่ำงป
ระเทศ ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีรำยละเอียดที่แตกต่ำงกันไป
แต่กระบวนกำรและขั้นตอนควรประกอบด้วยกำรศึกษำวิเครำะห์ข้อมูลพื้นฐำนที่ซึ่งประกอบด้วยปรัช
ญำกำรศึกษำ ผู้เรียน สังคม สภำพแวดล้อมและเทคโนโลยีและอื่นๆ
เพื่อนำมำกำหนดจุดมุ่งหมำยเลือกเนื้อหำสำระและประสบกำรณ์กำรเรียนรู้จัดลงในหลักสูตร
แล้วนำหลักสูตรไปทดลองใช้เพื่อหำข้อบกพร่องเพื่อนำมำแก้ไขหลักสูตรที่สมบูรณ์และนำไปใช้
สุดท้ำยทำกำรประเมินผลหลักสูตรและนำผลจำกกำรประเมินไปปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรต่อไป
กระบวนกำรพัฒนำหลักสูตรจะเป็นไปอย่ำงต่อเนื่องอย่ำงเป็น วัฏจักร
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 2
1. ความหมายของการพัฒนาหลักสูตร
กำรพัฒนำหลักสูตรเป็นภำรกิจที่สำคัญและกว้ำงขวำง จึงมีผู้ให้ควำมหมำยของคำว่ำ
กำรพัฒนำหลักสูตรเกิดขึ้นกำรพัฒนำหลักสูตรไว้หลำยกรณี เช่น
กู๊ด (Good, 1973: 157-158) ได้ให้ควำมเห็นว่ำ กำรพัฒนำหลักสูตรเกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะ คือ
กำรปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตร กำรปรับปรุงหลักสูตรเป็นวิธีกำรพัฒนำหลักสูตรอย่ำงหนึ่ง
เพื่อให้เหมำะกับโรงเรียนและระบบโรงเรียน จุดมุ่งหมำยของกำรสอน วัสดุอุปกรณ์
วิธีกำรสอนรวมทั้งประมวลผล ส่วนคำว่ำ กำรเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
หมำยถึงกำรแก้ไขหลักสูตรให้แตกต่ำงไปจำกเดิม เป็นกำรสร้ำงโอกำสทำงกำรเรียนขึ้นใหม่
เชย์เลอร์ และอเล็กซำนเดอร์ (Saylor and Alexander, 1974: 7)
ให้คำจำกัดควำมหมำยของกำรพัฒนำหลักสูตรว่ำ หมำยถึงกำรจัดทำหลักสูตรเดิมที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น
หรือเป็นกำรจัดทำหลักสูตรใหม่โดยไม่มีหลักสูตรเดิมอยู่ก่อน
กำรพัฒนำหลักสูตรอำจหมำยรวมถึงกำรสร้ำงเอกสำรอื่นสำหรับนักเรียนด้วย
ทำบำ (Taba, 1962: 454) ได้กล่ำวไว้ว่ำ กำรพัฒนำหลักสูตร
หมำยถึงกำรเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงสูตรเดิมให้ได้ผลดียิ่งขึ้นทั้งในด้ำนกำรวำงจุดม่งหมำย
กำรจัดเนื้อหำวิชำกำรเรียนกำรสอน กำรวัดและกำรประเมินผลอื่นๆ
เพื่อให้บรรลุถึงจุดม่งหมำยอันใหม่ที่วำงไว้
กำรเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเป็นกำรเปลี่ยนแปลงทั้งระบบหรือเปลี่ยนแปลงทั้งหมด
ตั้งจุดมุ่งหมำยและวิธีกำร
และกำรเปลี่ยนแปลงหลักสูตรนี้จะมีผลกระทบทำงด้ำนควำมคิดและควำมรู้สึกของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ำ
ย ส่วนกำรปรับปรุงหลักสูตร
หมำยถึงกำรเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเพียงบำงส่วนโดยไม่เปลี่ยนแปลงแนวควำมคิดพื้นฐำนหรือรูปแบ
บของหลักสูตร
สงัด อุทรำนันท์ (2532:30) กล่ำวว่ำกำรพัฒนำหลักสูตรมีควำมหมำยอยู่ 2 ลักษณะ คือ
1. กำรทำหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นหรือสมบูรณ์ขึ้น และ 2.
กำรสร้ำงหลักสูตรขึ้นมำใหม่โดยไม่มีหลักสูตรเดิมเป็นพื้นฐำน
วิชัย วงษ์ใหญ่(2525: 10) กล่ำวว่ำ กำรพัฒนำหลักสูตรคือกำรพยำยำมวำงโครงกำร
ที่จะช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ตรงตำมจุดมุ่งหมำยที่กำหนดไว้
หรือกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอนระบบโครงสร้ำงของกำรจัดโปรแกรมกำรสอน
กำรกำหนดจุดมุ่งหมำย เนื้อหำสำระ กำรปรับปรุงตำรำ แบบเรียน คู่มือครู และสื่อกำรเรียนต่ำงๆ
กำรวัดและกำรประเมินผลกำรใช้หลักสูตรกำรปรับปรุงแก้ไข
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 3
และกำรให้กำรอบรมครูผู้ใช้หลักสูตรให้เป็นไปตำมวัตถุประสงค์ของกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอ
น รวมทั้งกำรบริกำรและกำรบริหำรหลักสูตร
ในกำรพัฒนำหลักสูตร เซย์เลอร์และอเล็กซำนเดอร์ (Saylor and Alexander, 1974: 8-9)
ชี้ให้เห็นว่ำกำรจัดทำหรือพัฒนำหลักสูตรนั้นมีงำนที่ต้องทำสำคัญๆ อยู่3 ประกำร คือ
1.
กำรพิจำรณำและกำรกำหนดเป้ำหมำยเบื้องต้นที่สำคัญของหลักสูตรที่จัดทำนั้นว่ำมีเป้ำหมำยเพื่ออะไร
ทั้งโดยส่วนรวมและส่วนย่อยของหลักสูตรนั้นๆ อย่ำงเด่นชัด
2. กำรเลือกกิจกรรมกำรเรียนกำรสอนและวัสดุประกอบกำรเรียนกำรสอน
กำรเลือกสรรเนื้อหำเพื่อสำระเพื่อกำรอ่ำน กำรเขียน กำรทำแบบฝึกหัด
และหัวข้อสำหรับกำรอภิปรำยตลอดจนกิจกรรมทั้งในและนอกห้องเรียน เป็นต้น
3. กำรกำหนดระบบกำรจัดวัสดุอุปกรณ์และกำรจัดกำรเรียนกำรสอน
ตลอดทั้งกำรทดลองที่เป็นประโยชน์ เหมำะสมกับกำรเรียนกำรสอนแต่ละวิชำและแต่ละชั้นเรียน
บำงครั้งเรำจะพบว่ำกำรพัฒนำหลักสูตรเป็นกระบวนกำรหรือขั้นตอนของกำรตัดสินใจเลือ
กหำทำงเลือกทำงกำรเรียนกำรสอนที่เหมำะสม หรือเป็นที่รวบรวมของทำงเลือกที่เหมำะสมต่ำงๆ
เข้ำด้วยกัน จนเป็นระบบที่สำมำรถปฏิบัติได้
และถ้ำหำกหลักสูตรมุ่งที่จะกำหนดสำหรับผู้เรียนหลำยกลุ่มหลำยประเภทโดยใช้วิธีกำรต่ำงๆ
และโอกำสต่ำงๆ กันแล้วนักพัฒนำหลักสูตรต้องคำนึงถึงภูมิหลักขององค์ประกอบต่ำงๆ
อย่ำงละเอียดและรอบคอบก่อนจะตัดสินใจเลือกทำงเลือกใดทำงเลือกหนึ่ง
และเมื่อตัดสินใจเลือกแล้วก็ต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นซึ่งอำจมีผลกระทบต่อสิ่งอื่นๆ เป็น
วัฏจักร
2. หลักการพัฒนาหลักสูตร
จำกควำมคิดเห็นของนักกำรศึกษำในเรื่องของควำมหมำยของกำรพัฒนำหลักสูตรที่กล่ำวมำ
จะเห็นได้ว่ำกำรพัฒนำหลักสูตรเป็นกระบวนกำรที่มีขั้นตอนๆ
อย่ำงเป็นระบบระเบียบและเพื่อให้งำนกำรพัฒนำหลักสูตรดำเนินไปสู่จุดมุ่งหมำยของกำรพัฒนำอย่ำง
แท้จริงเรำจึงต้องคำนึงถึงหลักในกำรพัฒนำหลักสูตร
1.
กำรพัฒนำหลักสูตรจำเป็นต้องมีผู้นำที่เชี่ยวชำญและมีควำมสำมำรถในงำนพัฒนำหลักสูตรเป็นอย่ำงดี
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 4
2.
กำรพัฒนำหลักสูตรจำเป็นต้องได้รับควำมร่วมมือและกำรประสำนงำนอย่ำงดีจำกบุคคลที่เกี่ยวข้องทุก
ฝ่ำยทุกระดับ
3.
กำรพัฒนำหลักสูตรจำเป็นต้องมีกำรดำเนินกำรเป็นระบบระเบียบแบบแผนต่อเนื่องกันไป
เริ่มตั้งแต่กำรวำงจุดมุ่งหมำยในกำรพัฒนำหลักสูตรนั้นจนถึงกำรประเมินผลกำรพัฒนำหลักสูตรในกำ
รดำเนินงำนจะต้องคำนึงถึงจุดเริ่มต้นในกำรเปลี่ยนแปลงว่ำ กำรพัฒนำหลักสูตรที่จุดใด
จะเป็นกำรพัฒนำส่วนย่อยหรือกำรพัฒนำทั้งระบบ และจุดดำเนินกำรอย่ำงไรในขั้นต่อไป
สิ่งเหล่ำนั้นเป็นสิ่งที่ผู้มีหน้ำที่ในกำรพัฒนำหลักสูตรไม่ว่ำจะเป็นผู้เชี่ยวชำญทำงด้ำนกำรจัดหลักสูตร
ครูผู้สอน หรือนักวิชำกำรทำงด้ำนกำรศึกษำและบุคคลต่ำงๆ
ที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือกันพิจำรณำอย่ำงรอบคอบ
และดำเนินกำรอย่ำงมีระเบียบระบบแบบแผนทีละขั้นตอน
4. กำรพัฒนำหลักสูตรจะต้องรวมถึงผลงำนต่ำงๆ
ทำงด้ำนหลักสูตรที่ได้สร้ำงขึ้นมำใหม่อย่ำงมีประสิทธิภำพ ไม่ว่ำจะเป็นเอกสำรหลักสูตร เนื้อหำวิชำ
กำรทำกำรทดสอบหลักสูตรกำรนำหลักสูตรไปใช้ หรือกำรจัดกำรเรียนกำรสอน
5.
กำรพัฒนำหลักสูตรที่มีประสิทธิภำพจะต้องมีกำรฝึกฝนอบรมครูประจำกำรให้มีควำมเข้ำใจในหลักสู
ตรใหม่ควำมคิดใหม่ แนวทำงกำรจัดกำรเรียนกำรสอนตำมหลักสูตรใหม่
6. กำรพัฒนำหลักสูตรจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ในด้ำนกำรพัฒนำจิตใจ
และทัศนคติของผู้เรียนด้วย
3. ผลที่ได้จากการพัฒนาหลักสูตร
กำรพัฒนำหลักสูตรเป็นงำนที่มีกระบวนกำรและขั้นตอนที่ซับซ้อน
และเป็นงำนที่ต้องอำศัยผู้เชี่ยวชำญทำงด้ำนกำรจัดหลักสูตร นักวิชำกำร นักพัฒนำหลักสูตร
ให้มำทำงำนร่วมกันกับบุคคลหลำยฝ่ำย และต้องได้รับควำมร่วมมือจำกทุกฝ่ำยด้วยดี
กำรพัฒนำหลักสูตรจึงจะประสบควำมสำเร็จเมื่อกำรพัฒนำหลักสูตรสำเร็จลุล่วงตำมจุดหมำยแห่งกำร
พัฒนำแล้วย่อมก่อให้เกิดประโยชน์ ดังนี้
1. เป็นกำรพัฒนำกำรศึกษำของชำติให้บรรลุตำมวัตถุประสงค์ตำมที่วำงไว้
เพื่อให้กำรศึกษำของชำติเป็นกำรศึกษำเพื่อพัฒนำผู้เรียนให้สอดคล้องกับควำมเจริญของสังคมและขอ
งโลก
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 5
2.
เป็นกำรพัฒนำระบบกำรศึกษำให้เจริญก้ำวหน้ำทันต่อกำรเปลี่ยนแปลงของสังคมและโลก
โดยเฉพำะในยุคที่เรียกว่ำ โลกยุคโลกำภิวัตน์
3.
เพื่อให้ครูผู้สอนมีควำมรู้ควำมเข้ำใจและควำมสำมรถในกำรพัฒนำกำรเรียนกำรสอนแก่ผู้เรียนดังต่อไ
ปนี้
3.1 มีควำมสำมำรถเปลี่ยนกับทักษะในด้ำนต่ำงๆ
3.2 มีควำมรู้เพียงพอที่จะศึกษำในระดับสูงขึ้นไป
3.3 ประพฤติตนเป็นพลเมืองดีของสังคม
3.4 มีจิตใจและร่ำงกำยที่สมบูรณ์แข็งแรง
3.5 มีควำมเข้ำใจและรักษำควำมงำมตำมธรรมชำติ
3.6 มีวัฒนธรรมและศีลธรรมอันดีงำม
3.7 มีควำมสนใจและเชี่ยวชำญในด้ำนใดด้ำนหนึ่งเป็นพิเศษ
3.8 มีควำมสนใจในกำรดำรงชีวิตในสังคมได้อย่ำงเหมำะสม
3.9 มีควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำในชีวิตและในสังคมได้
4. กระบวนการในการพัฒนาหลักสูตร
ถ้ำหลักสูตรได้รับกำรพิจำรณำว่ำเป็นทุกสิ่งทุกอย่ำงซึ่งเกิดขึ้นในกำรวำงแผนกำรเรียนกำรส
อนในสถำบันกำรศึกษำแล้ว กำรพัฒนำหลักสูตรก็จะเป็นกำรพัฒนำแผนเพื่อจัดโปรแกรมกำรศึกษำ
ซึ่งหมำยถึงกำรให้นิยำมและกำรเลือกจุดประสงค์ของกำรศึกษำ เลือกประสบกำรณ์กำรเรียนรู้
และกำรประเมินโปรแกรมกำรศึกษำ กำรพัฒนำหลักสูตรเป็นงำนปฏิบัติมิใช่งำนทฤษฎี
เป็นควำมพยำยำมที่จะออกแบบระบบ เพื่อให้ประสบควำมสำเร็จตำมจุดมุ่งหมำยของกำรศึกษำ
และระบบนี้จะต้องเป็นประโยชน์ที่แท้จริงปรำกฏต่อสังคมและต่อมนุษย์ ซึ่งมีควำมมุ่งหมำย
มีควำมฝักใฝ่ในสิ่งที่ตนชอบ มีกลไกกำรเคลื่อนไหว ดังนั้น
ขั้นตอนที่จำเป็นขั้นแรกในกำรพัฒนำหลักสูตร คือ กำรตรวจและวิเครำะห์สถำนกำรณ์สำคัญๆ
ซึ่งเป็นควำมมุ่งหมำยปลำยทำงของกำรพัฒนำหลักสูตรคือ
กำรเปลี่ยนแปลงของนักเรียนและครู ครูที่กลำยเป็นผู้ที่มีควำมรู้มำกขึ้น มีทักษะมำกขึ้น
และมีควำมไม่หยุดนิ่งมำกขึ้น
ครูซึ่งมีคุณสมบัติดังกล่ำวนี้จะเป็นผู้ที่ให้บริกำรแก่นักเรียนได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ
รำยละเอียดต่อไปนี้จะกล่ำวถึงกำรดำเนินงำนพัฒนำหลักสูตร และแนวคิดกำรพัฒนำหลักสูตร
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 6
แดเนียล แทนเนอร์ และลอร์เรล แทนเนอร์ (D.Tanner & L. Tanner. 1995 :385)
กล่ำวว่ำปัจจัยและอิทธิพลหลักสูตรมีปฏิสัมพันธ์จำกปรัชญำสังคม พฤติกรรมมนุษย์
และควำมรู้ที่ยิ่งใหญ่กว้ำงขวำงสิ่งเหล่ำนั้นมีอิทธิพลต่อผู้เรียนโดยแปรสภำพมำเป็นเนื้อหำวิชำสำหรับ
กำรเรียนกำรสอนเพื่อให้เกิดควำมเหมำะสมกับกำรพัฒนำคนในสังคมใหม่
ซึ่งเรียกว่ำกระบวนกำรทัศน์ด้วยหลักสูตร
มำร์ช และวิลลิส (Marsh & Willis. 1995 :278) ได้สรุปแนวคิดในกำรพัฒนำหลักสูตร ว่ำ
กระบวนกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรเปลี่ยนแปลงหลักสูตรแม้มีหลำยแนวคิด
แต่เมื่อสรุปรวมควำมคิดแล้วล้วนอยู่บนพื้นฐำนควำมต่อเนื่องเป็นอนุกรมโดยเริ่มจำกแรงกดดันและผ
ลกระทบจำกปัจจัยบริบทและควำมก้ำวหน้ำทำงเทคโนโลยีสู่กำรปรับปรุงหลักสูตร
กำรนำหลักสูตรไปสู่สถำบันเพื่อใช้จะได้รับแรงกดดันจำกปัจจัยต่ำงๆ
ทำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงปรับปรุงหลักสูตรขึ้นมำอีกในระยะต่อไปต่อเนื่องดังภำพประกอบ 2
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 7
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 8
ในกำรวำงแผนพัฒนำหลักสูตร
เพื่อดำเนินงำนพัฒนำหลักสูตรมีแรงผลักดันและปัจจัยอิทธิพลหลำยระดับตั้งแต่ระดับโรงเรียน
ระดับชุมชนครอบครัว สังคมประเทศชำติจนถึงระดับนำนำชำติ
พลังผลักดันของสังคมเป็นตัวเร่งสำคัญในกำรวำงแผนหลักสูตร (ParkayW.and Glen Hass, 2000 : 275)
องค์ประกอบในกำรดำเนินงำนพัฒนำหลักสูตรประกอบด้วยคณะกรรมกำรดำเนินงำนจัดทำหลักสูตร
ศึกษำวิเครำะห์สภำพของสังคมในปัจจุบัน
พร้อมทั้งวิเครำะห์หลักสูตรเดิมเพื่อนำข้อมูลที่ได้มำพิจำรณำร่วมกับข้อมูลพื้นฐำนต่ำงๆ ในกำรพัฒนำหลักสูตร
ปรับปรุงแก้ไข แล้วกำหนดจุดประสงค์ใหม่ องค์ประกอบในแต่ล่ะส่วนจะมีควำมสัมพันธ์กันและเท่ำเทียมกัน
จะขำดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งไม่ได้ ได้แก่
1. กำรกำหนดควำมมุ่งหมำยจะต้องชัดเจนว่ำต้องให้ผู้เรียนในระดับนั้นๆ มีคุณสมบัติอย่ำงไร
เมื่อกำหนดควำมมุ่งหมำยแล้วจะได้ใช้เป็นแนวทำงในกำรกำหนดเนื้อหำวิชำและประสบกำรณ์ในกำรเรียนรู้ต่อไ
ป
2. กำรวำงแผนกำหนดโครงสร้ำงของหลักสูตร และกำรเลือกเนื้อหำวิชำ
ในหลักสูตรจะต้องกำหนดโครงสร้ำงอะไรบ้ำง เช่น จะต้องใช้เวลำศึกษำนำนเท่ำไร
จะต้องเรียนทั้งหมดกี่หน่วยกำรเรียนจึงจะจบหลักสูตรได้
จะต้องเข้ำเรียนกี่คำบต่อสัปดำห์ต่อภำคเรียนมีกำรวัดและประเมินผลอย่ำงไร ระบบกำรให้คะแนนเป็นอย่ำงไร
มีวิชำใดบ้ำงที่จะต้องเรียนบังคับเท่ำไร และเลือกเท่ำไร
และวิชำเหล่ำนั้นประกอบไปด้วยเนื้อหำอะไรมีประสบกำรณ์อะไรบ้ำง
3. กำรทดลองใช้หลักสูตรหรือกระบวนกำรเรียนกำรสอนหรือวิธีกำร
และกำรจัดกำรเกี่ยวกับหลักสูตรเพื่อให้กำรเรียนกำรสอนเป็นไปตำมควำมมุ่งหมำยของหลักสูตรอย่ำงมีประสิท
ธิภำพ จำเป็นต้องจัดหำและปรับปรุงกระบวนกำรสอน กำรจัดชั้นเรียน
กำรใช้อุปกรณ์กำรวัดผลและประเมินผล และกำรจัดกิจกรรมเสริมทำงวิชำกำร
ตลอดจนกำรสอนซ่อมเสริมให้กำรนำหลักสูตรไปใช้เกิดประโยชน์สูงสุด
4. กำรประเมินผลหลักสูตร เป็นกำรประเมินคุณค่ำของหลักสูตรว่ำมีคุณภำพเป็นอย่ำงไร
เป็นกระบวนกำรที่ใช้พิจำรณำว่ำควำมมุ่งหมำยเป็นอย่ำงไร เนื้อหำวิชำและประสบกำรณ์ตรงกับควำม
มุ่งหมำยหรือไม่ กำรเรียนกำรสอนมีปัญหำและอุปสรรคอะไรบ้ำงและกำรประเมินผลอย่ำงไร ดังภำพประกอบ
3
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 9
ภำพประกอบ 3 แสดงกระบวนกำรพัฒนำหลักสูตร
ที่มำ : สงัด อุทรำนันท์ (2532 :24)
ปรับปรุง
แก้ไข
ศึกษำและวิเคร
ำะห์สหภำพสัง
คมและหลักสู
ตรเดิม
ประเมิน
ผล
คณะกรรมกำร
กำรดำเนินงำน
พัฒนำหลักสูต
ร
กำหนดควำ
มมุ่งหมำย
นำไปทด
ลองใช้
กำหนดโครงส
ร้ำงและเนื้อหำ
วิชำ
ศึกษำและวิเครำะ
ห์สภำพสังคมแล
ะหลักสูตรเดิม
แนวคิด (ปรัชญำ)
และผลกำรศึกษำค้นคว้ำทำงจิตวิทยำข้อมูลเกี่ยวกับนักเรี
ยนและกำรประกอบอำชีพข้อมูลควำมก้ำวหน้ำทำงวิชำก
ำร วิทยำศำสตร์ เทคโนโลยี
บทบำทของสถำบันกำรศึกษำ
และสื่อสำรมวลชนข้อมูลสภำพเศรษฐกิจ สังคม
กำรเมือง ค่ำนิยม และวัฒนธรรม
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 10
5. รูปแบบในการพัฒนาหลักสูตร
รูปแบบในกำรพัฒนำหลักสูตรเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น
เนื่องจำกรูปแบบหลักสูตรเปรียบเสมือนพิมพ์เขียว (Blue Print)
ที่ใช้เป็นแนวทำงกำรพัฒนำหลักสูตรจำกผู้เชี่ยวชำญทำงด้ำนหลักสูตร
นักวิชำกำรจึงมีควำมสำคัญเพื่อเป็นพื้นฐำนสำหรับกำรวิจัยครั้งนี้ รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรที่สำคัญมีดังนี้
5.1 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรจากแนวคิดต่างประเทศ
5.1.1 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของไทเลอร์ (Ralph W. Tyler)
ไทเลอร์ได้นำเสนอแนวคิดพื้นฐำนเกี่ยวกับกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอนซึ่งก็คือหลักกำรและเหตุ
ผลในกำรพัฒนำหลักสูตร(Tyler Rationale) ว่ำในกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอน
ต้องตอบคำถำมพื้นฐำนที่สำคัญ 4 ประกำร คือ (Tyler, 1949: 3)
1. จุดมุ่งหมำยทำงกำรศึกษำ (Educational Purposes)
อะไรบ้ำงที่โรงเรียนต้องกำรให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
2. ประสบกำรณ์ทำงกำรศึกษำ (Educational Experiences) อะไรบ้ำงที่โรงเรียนจะต้องจัดให้
เพื่อช่วยให้บรรลุจุดมุ่งหมำย
3. จะจัดประสบกำรณ์ทำงกำรศึกษำอย่ำงไรจึงจะทำให้สอนมีประสิทธิภำพ
4.
ประเมินประสิทธิภำพของกำรจัดประสบกำรณ์กำรเรียนอย่ำงไรจึงจะทรำบได้ว่ำผู้เรียนได้บรรลุเป้ำหมำยทำงกำ
รศึกษำ
ไทเลอร์ได้วำงรูปแบบโครงสร้ำงของหลักสูตรโดยใช้วิธีกำรและเป้ำหมำยปลำยทำง (Means and
ends approsch) ดังนี้ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537: 10-11)
ในกำรกำหนดจุดมุ่งหมำยนั้น ในขั้นแรกต้องกำหนดเป็นจุดมุ่งหมำยชั่วครำวก่อน
โดยต้องนำบริบทที่เกี่ยวข้อง เช่น บริบททำงด้ำนสังคม
ด้วยกำรนำสิ่งที่สังคมคำดหวังว่ำต้องกำรให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะอย่ำงไร และมีกำรศึกษำตัวผู้เรียน เช่น
ควำมต้องกำร ควำมสนใจ ฐำนะทำงเศรษฐกิจของครอบครัว เป็นต้น
นอกจำกนั้นยังต้องศึกษำแนวคิดของนักวิชำกำร (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537: 12)
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 11
ควำมเชื่อค่ำนิยมของสังคมเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องวิเครำะห์ให้ชัดเจน เพรำะกำรศึกษำสังคมค่ำนิยมขนบประเพณี
วัฒนธรรมจะให้คำตอบว่ำสังคมต้องกำรจัดกำรศึกษำเพื่ออะไร และจะจัดกำรศึกษำสำหรับใคร
สิ่งเหล่ำนี้ช่วยให้แสวงหำคำตอบที่ชัดเจนในกำรกำหนดเป้ำหมำยหรือทิศทำงของกำรศึกษำ (ดังภำพประกอบ 4)
แหล่งข้อมูลเพื่อ
นำมำกำหนด
จุดมุ่งหมำยชั่วครำว
กำรศึกษำสังคม
กำรศึกษำผู้เรียน
กำรศึกษำแนวคิดขอ
งนักวิชำกำร
ปรัชญำสังคม
กำหนด
จุดมุ่งหมำยชั่วครำว
ทฤษฎีกำรเรียนรู้
ปรัชญำกำรศึกษำ
ปรัชญำสังคม
จุดมุ่งหมำย
กำรเลือกและกำรจัดประสบกำรณ์กำ
รเรียน
กำรประเมินผล
ข้อมูลในกำรกำหนด
เกณฑ์ที่ตรวจสอบพิ
จำรณำกลั่นกรองเป็
นจุดมุ่งหมำยจริง
องค์ประกอบ
ของหลักสูตร
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 12
ภำพประกอบ 4 รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรของไทเลอร์
(วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537: 11)
กำรพัฒนำหลักสูตรและกำรเสนอของไทเลอร์ มีลักษณะสำคัญคือ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537 :12-14)
1. จุดมุ่งหมำยเป็นตัวกำหนดควบคุมกำรเลือกและจัดประสบกำรณ์กำรเรียนดังนั้น
กำรกำหนดจุดมุ่งหมำยจึงมี 2ขั้นตอน คือ
ตอนแรกเป็นกำรกำหนดจุดมุ่งหมำยชั่วครำวแล้วจึงหำวิธีกำรและเกณฑ์จำกทฤษฎีกำรเรียนรู้ปรัชญำกำรศึกษำแ
ละปรัชญำสังคมมำกลั่นกรองจุดมุ่งหมำยชั่วครำว เพื่อให้ได้มำเป็นจุดมุ่งหมำยที่แท้จริงของหลักสูตร
พื้นฐำนทำงจิตวิทยำและปรัชญำในกำรพัฒนำหลักสูตรจะเข้ำมำมีบทบำทและช่วยในกำรตรวจสอบเพื่อหำควำม
ชัดเจนของกำรกำหนดจุดมุ่งหมำยขั้นนี้เพื่อตอบคำถำมและหำควำมชัดเจนว่ำกำรจัดหลักสูตรเพื่อตอบสนองใคร
ตอบสนองผู้เรียนหรือสังคม
2.
กำรเลือกและจัดประสบกำรณ์กำรเรียนที่คำดหวังว่ำจะให้ผู้เรียนมีประสบกำรณ์กำรจัดกิจกรรมในกำรเรียนกำร
สอนและส่วนเสริมหลักสูตรนั้นมีอะไร
ทั้งนี้เพื่อให้กระบวนกำรเรียนกำรสอนดำเนินไปเพื่อตอบสนองจุดมุ่งหมำยที่กำหนดไว้
ไทเลอร์ได้เสนอเกณฑ์ในกำรพิจำรณำเลือกประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ไว้ดังนี้
2.1 ผู้เรียนควรมีโอกำสฝึกพฤติกรรมและกำรเรียนรู้เนื้อหำตำมที่ระบุไว้ในจุดมุ่งหมำย
2.2
กิจกรรมและประสบกำรณ์นั้นทำให้ผู้เรียนพอใจปฏิบัติกำรเรียนรู้อำจนำไปสู่จุดมุ่งหมำยที่กำหนดไว้เพียงข้อเดีย
วก็ได้
2.3 กิจกรรมและประสบกำรณ์นั้นอยู่ในข่ำยควำมพอใจที่พึงปฏิบัติได้
2.4 กิจกรรมและประสบกำรณ์หลำยๆ
ด้ำนของกำรเรียนรู้อำจนำไปสู่จุดมุ่งหมำยที่กำหนดไว้เพียงข้อเดียวก็ได้
2.5 กิจกรรมและประสบกำรณ์เรียนรู้เพียงหนึ่งอย่ำงอำจตรวจสอบจุดมุ่งหมำยหลำยๆ ข้อได้
3. กำรจัดประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ว่ำต้องคำนึงถึงควำมสัมพันธ์ในด้ำนเวลำต่อเวลำ
และเนื้อหำต่อเนื้อหำ เรียกว่ำควำมสัมพันธ์แบบแนวตั้ง (Vertical) กับแนวนอน (Horizontal)
ซึ่งมีเกณฑ์ในกำรจัดดังนี้
3.1 ควำมต่อเนื่อง (Continuity)
หมำยถึงควำมสัมพันธ์ในแนวตั้งของส่วนองค์ประกอบหลักของตัวหลักสูตรจำกระดับหนึ่งไปยังอีกระดับหนึ่งที่
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 13
สูงขึ้นไป เช่นในวิชำทักษะ ต้องเปิดโอกำสให้มีกำรฝึกทักษะในกิจกรรมและประสบกำรณ์บ่อยๆ
และต่อเนื่องกัน
3.2 กำรจัดช่วงลำดับ(Sequence)
หมำยถึงควำมสัมพันธ์แนวตั้งของส่วนองค์ประกอบหลักของตัวหลักสูตรจำกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนไปสู่สิ่งที่เกิดขึ้นภ
ำยหลัง หรือจำกสิ่งที่มีควำมง่ำยไปสู่ที่มีควำมยำก ดังนั้น
กำรจัดกิจกรรมและประสบกำรณ์ให้มีกำรเรียงลำดับก่อนหลังเพื่อให้ได้เรียนเนื้อหำที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
3.3 บูรณำกำร (Integration) หมำยถึง
ควำมสัมพันธ์กันในแนวนอนขององค์ประกอบหลักของตัวหลักสูตร
จำกหัวข้อเนื้อหำหนึ่งไปยังอีกหัวข้อหนึ่งของรำยวิชำ หรือจำกรำยวิชำหนึ่งไปยังรำยวิชำอื่นๆ
ที่มีควำมเกี่ยวข้องกัน
กำรจัดประสบกำรณ์จึงควรเป็นในลักษณะที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เพิ่มพูนควำมคิดเห็นและได้แสดงพฤติกรรมที่สอด
คล้องกัน เนื้อหำที่เรียนเป็นกำรเพิ่มควำมสำมำรถทั้งหมดของผู้เรียนที่ได้ประสบกำรณ์ในสถำนกำรณ์ต่ำงๆ กัน
ประสบกำรณ์กำรเรียนรู้จึงเป็นแบบแผนของปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่ำงผู้เรียนกับสถำนกำรณ์สิ่งแวดล้อม
4.
กำรประเมินผลเพื่อตรวจสอบดูว่ำกำรจัดกำรเรียนกำรสอนได้บรรลุตำมจุดมุ่งหมำยตำมที่กำหนดไว้หรือไม่
สมควรมีกำรปรับแก้ในส่วนใดบ้ำง พิจำรณำจำกสิ่งต่อไปนี้
4.1 กำหนดจุดมุ่งหมำยที่จะวัดและพฤติกรรมที่คำดหวัง
4.2 วัดและวิเครำะห์สถำนกำรณ์ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมเหล่ำนั้น
4.3 ศึกษำสำรวจข้อมูลเพื่อสร้ำงเครื่องมือวัดพฤติกรรมเหล่ำนั้นได้อย่ำงเหมำะสม
4.4 ตรวจสอบคุณภำพของเครื่องมือ โดยใช้เกณฑ์ในกำรพิจำรณำดังนี้
1. ควำมเป็นปรนัย (Objectivity)
2. ควำมเชื่อมั่นได้ (Reliability)
3. ควำมเที่ยงตรง (Validity)
4. ควำมถูกต้อง (Accuracy)
4.5
กำรพิจำรณำผลประเมินให้เป็นประโยชน์เพื่ออธิบำยผลกำรเรียนรู้เป็นรำยบุคคลหรือเป็นกลุ่ม
กำรอธิบำยถึงส่วนดีของหลักสูตรหรือสิ่งที่ต้องปรับแก้เพื่อเป็นแนวทำงในกำรปรับปรุงหลักสูตรให้มีคุณภำพยิ่ง
ขึ้น
5.1.2 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวความคิดของทาบา (Taba)
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 14
แนวคิดของทำบำในกำรพัฒนำหลักสูตรใช้วีแบบรำกหญ้ำ (Grass-roots approach)
มีควำมเชื่อว่ำหลักสูตรควรได้รับกำรออกแบบโดยครูผู้สอนมำกกว่ำพัฒนำจำกองค์กรที่อยู่ในระดับสูงขึ้น
ประกอบด้วยขั้นตอนต่ำงๆ ดังนี้ (Taba, 1962 :456-459)
1. วิเครำะห์ควำมต้องกำร (Diagnosis of needs) ใช้วิธีสำรวจสภำพปัญหำ ควำมต้องกำร
และควำมจำเป็นของผู้เรียนและของสังคม
2. กำหนดจุดมุ่งหมำย (Formulation of objectives)
ด้วยข้อมูลที่ได้จำกำรวิเครำะห์ควำมต้องกำร
3. คัดเลือกเนื้อหำสำระ (Selection of content)
เมื่อกำหนดจุดมุ่งหมำยแล้วก็ต้องเลือกเนื้อหำสำระ ซึ่งสอดคล้องกับจุดมุ่งหมำย
และต้องคำนึงถึงพัฒนำกำรของผู้เรียนด้วย
4. กำรจัดรวบรวมเนื้อหำสำระ (Organization of content)
เนื้อหำสำระที่รวบรวมต้องคำนึงถึงควำมยำกง่ำยและควำมต่อเนื่อง
รวมทั้งจัดให้เหมำะสมกับพัฒนำกำรและควำมสนใจของผู้เรียน
5. คัดเลือกประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ (Selection of learning experiences)
กำรคัดเลือกประสบกำรณ์เรียนรู้ให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมำยและเนื้อหำวิชำ
6. กำรจัดรวบรวมประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ (Organization of leaning experiences)
กำรจัดประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ควรคำนึงถึงควำมต่อเนื่องของเนื้อหำสำระ
7. กำหนดวิธีวัดและประเมินผล (Determination of what to evaluate and the ways and
means of doing it)
มีกำรประเมินเพื่อตรวจสอบว่ำประสบกำรณ์กำรเรียนที่จัดให้บรรลุจุดมุ่งหมำยที่กำหนดไว้หรือไม่
และกำหนดวิธีกำรประเมินรวมทั้งเครื่องมือที่ใช้ในกำรประเมินด้วยดังภำพประกอบ 5
1. วิเครำะห์ควำมต้องกำร (Diagnosis of needs)
2. กำหนดจุดมุ่งหมำย (Formulation of objectives)
3. คัดเลือกเนื้อหำสำระ (Selection of content)
4. กำรจัดรวบรวมเนื้อหำสำระ - ควำมคิดรวบยอด (Key concepts)
(Organization of content) - ควำมคิดหลัก (Main ideas)
- ข้อเท็จจริง (Facts)
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 15
ภำพประกอบ 5 รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของทำบำ
(Taba, 1962 :456-459)
จำกกำรพัฒนำหลักสูตรแนวคิดของทำบำจะเริ่มที่จุดใดจุดหนึ่งก่อนก็ได้ แต่เมื่อเริ่มที่
จุดใดแล้วจะต้องทำกำรศึกษำให้ครบกระบวนกำรทั้ง 7ขั้นตอน
จุดเด่นในแนวคิดของทำบำคือเรื่องยุทธวิธีกำรสอน (Teaching Strategies)
และประสบกำรณ์กำรเรียนรู้เป็นกระบวนกำรที่ต้องคำนึงถึง มีอยู่ 2ประกำร คือ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537 : 15-16)
1. ยุทธวิธีกำรสอนและประสบกำรณ์เรียนรู้ เป็นเครื่องกำหนดสถำนกำรณ์เงื่อนไขกำรเรียนรู้
กำรจัดกิจกรรมกำรเรียนกำรสอนแต่ละครั้งมีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับกำรเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเป็นผลผลิต ดังนั้น
กำรจัดรูปแบบของกำรเรียนกำรสอนต้องแสดงลำดับขั้นตอนของกำรเรียนรู้ด้วย
2.
ยุทธวิธีกำรสอนเป็นสิ่งที่หลอมรวมหลำยสิ่งหลำยอย่ำงเข้ำมำไว้ด้วยกันกำรพิจำรณำตัดสินใจเกี่ยวกับยุทธวิธีกำ
รสอนควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ คือ
2.1 กำรจัดเนื้อหำ ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่ำรำยวิชำนั้นๆ มุ่งให้ผู้เรียนเรียนรู้แบบใด
กว้ำงหรือลึกมำกน้อยเพียงใด และได้เรียงลำดับเนื้อหำวิชำไว้อย่ำงไร
กำรกำหนดโครงสร้ำงได้กระทำชัดเจนสอดคล้องกับโครงกำรในระดับใด
เพรำะแต่ละระดับมีจุดประสงค์เนื้อหำสำระที่มีควำมเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
2.2 หน่วยกำรเรียน สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่บ่งชี้ถึงกำรวัดและประเมินได้ชัดเจน
มีรำยละเอียดและมีควำมยืดหยุ่นเพื่อเปิดโอกำสให้ครูและนักเรียนมีส่วนร่วมในกำรวำงแผนกำรเรียนและทำกิจ
5. กำรคัดเลือกประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ (Selection of leaning experiences)
6. กำรจัดรวบรวมประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ (Organization of leaning experiences)
(กลวิธีกำรสอนเพื่อพัฒนำพุทธิพิสัย และเจตพิสัย)
7. กำหนดวิธีวัดและประเมินผล (Determination of what toevaluate)
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 16
กรรมตำมควำมต้องกำรและควำมสนใจ
กำรตรวจสอบควำมรู้พื้นฐำนของผู้เรียนจะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในกำรพัฒนำกระบวนกำรเรียนได้เป็นลำดับขั้
นตอนเพื่อนำไปสู่ข้อค้นพบ
ข้อสรุปที่เป็นหลักกำรที่มุ่งเน้นควำมคำดหวังเกี่ยวกับกำรเรียนรู้ที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียน
และกำรกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดกำรเรียนรู้ด้วยตนเองดังภำพประกอบ 6
กาหนดโดยการวิเคราะห์ กาหนดวัตถุประสงค์ การกาหนดจุดประสงค์
วิเคราะห์และการจาแนก แต่ละระดับ
1. วัฒนธรรมและควำมต้องกำรของ 1. ชนิดของพฤติกรรม 1. จุดมุ่งหมำยทั่วไปของกำรศึกษำ
สังคมและผู้เรียน 2. เนื้อหำวิชำ 2. จุดมุ่งหมำยระดับโรงเรียน
2. กระบวนกำรเรียนรู้และหลักกำร 3. ควำมต้องกำรด้ำนต่ำงๆ 3. จุดมุ่งหมำยระดับชั้นเรียน
เรียนรู้ของผู้เรียน
3. ธรรมชำติควำมรู้ในศำสตร์ต่ำงๆ
และวิธีกำรแสวงหำควำมรู้
4. อุดมกำรณ์ของประชำธิปไตย
กาหนดความรู้ การเลือกเนื้อหาและ สถาบันองค์กรที่เกี่ยวข้อง
ประสบการณ์การเรียนและ
ลักษณะการจัด
1.ลักษณะ, ธรรมชำติของควำมรู้ เนื้อหำสำระ 1. โรงเรียน, กำรบริหำร
ของศำสตร์ต่ำงๆ กิจกรรมและ ใช้ทรัพยำกร
2.ควำมรู้เกี่ยวกับกำรพัฒนำผู้เรียน ประสบกำรณ์ 2. องค์กรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
3.กำรเรียน กับกำรศึกษำบทบำทและ
4. พัฒนำผู้เรียน หน้ำที่ของแต่ละหน่วยงำน
สิ่งที่ต้องคานึง การจัดหลักสูตรรูปแบบ ผู้รับผิดชอบของบุคคล/
ของหลักสูตร หน่วยงาน
1. ควำมต่อเนื่องของควำมรู้ รำยงำน หมวดวิชำ มุ่งเน้นด้ำน 1.โรงเรียน
2.บูรณำกำรทำงควำมรู้ ชีวิตและสังคม กิจกรรมและ 2.คณะครูและเจ้ำหน้ำที่
ประสบกำรณ์ กิจกรรมของผู้เรียน 3.วิธีกำรที่จะใช้บุคลำกร
จุดรวม แนวคิดต่ำงๆ ให้เกิดประโยชน์จำก
กำรเรียนรู้
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 17
ภำพ 7.5 รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอนของทำบำ (วิชัยวงษ์ใหญ่, 2537:17)
ภำพประกอบ 6 รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอนของทำบำ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537:17)
5.1.3 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของเซย์เลอร์ อเล็กซานเดอร์ และเลวิส (J.
Galen Saylor, William M. Alexander and Arthur J. Lewis)
แนวคิดของเซย์เลอร์ อเล็กซำนเดอร์ และเลวิส ประกอบด้วย
กระบวนกำรพัฒนำหลักสูตรที่สำคัญ 4 ขั้นตอน คือ (Saylor and Alexander,1974 :265; Saylor,Alexander and
Lewis, 1981: 181)
1. เป้ำหมำย วัตถุประสงค์ และควำมครอบคลุม (Goals, Objective and domains)
หลักสูตรต้องประกอบด้วย เป้ำหมำย วัตถุประสงค์
และในแต่ละเป้ำหมำยควรบ่งบอกถึงควำมครอบคลุมของหลักสูตร (Curriculum Domain) วัตถุประสงค์
พัฒนำกำรส่วนบุคคล มนุษยสัมพันธ์ ทักษะกำรเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง และควำมชำนำญเฉพำะด้ำน
ซึ่งกำหนดจำกควำมเป็นโลกำภิวัฒน์ ควำมต้องกำรของสังคมที่อยู่อำศัยกฎหมำย ข้อบังคับ เป็นต้น
2. กำรออกแบหลักสูตร (Curriculum Design)
คือกำรวำงแผนเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับกำรเลือกและจัดเนื้อหำสำระและจัดประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ที่สอดคล้องกับ
เป้ำหมำย วัตถุประสงค์ โดยคำนึงถึงปรัชญำ ควำมต้องกำรของสังคมและผู้เรียนมำพิจำรณำด้วย
3. กำรนำหลักสูตรไปใช้ (Curriculum implementation)
ครูต้องเป็นผู้วำงแผนและวำงแผนกำรจัดกำรเรียนกำรสอนในรูปแบบต่ำงๆ (Instructional Plans)
รวมทั้งกำรจัดทำสื่อกำรเรียนกำรสอน เช่น ตำรำ แบบเรียน วัสดุอุปกรณ์ต่ำงๆ
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในสิ่งที่ครูตั้งเป้ำหมำยไว้
4. กำรประเมินผลหลักสูตร (Curriculum Evaluation)
ครูและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันตัดสินใจเพื่อเลือกวิธีกำรประเมินผลที่สำมำรถประเมินได้ว่ำ
หลักสูตรที่พัฒนำขึ้นได้ผลตำมควำมมุ่งหมำยกำรประเมินหลักสูตรจะเป็นข้อมูลสำคัญที่บอกผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ได้ว่ำควรจะปรับปรุงหลักสูตรในจุดใด เพื่อประกอบกำรตัดสินใจในกำรวำงแผนกำรใช้หลักสูตรในอนำคต
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 18
รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของเซย์เลอร์ อเล็กซำนเดอร์ และเลวิส
แสดงดังภำพประกอบ 7
(1) ให้ข้อมูลย้อนกลับและปรับปรุง
(2) (3) (4)
ภำพประกอบ 7 รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของเซย์เลอร์ อเล็กซำนเดอร์ และเลวิส
(Saylor and Alexander, 1974: 275; Saylor. Alexander and Lawis.1981 : 181)
5.1.4 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของโอลิวา (Oliva) (Oliva.1982 : 172)
1. จุดมุ่งหมำยของกำรศึกษำ (Aims of Education)
และหลักกำรปรัชญำและจิตวิทยำจำกกำรวิเครำะห์ควำมต้องกำรจำเป็นของสังคมและผู้เรียน
เป้าหมายจุดประสงค์และ
ความครอบคลุม
กำรออกแบบหลักสู
ตร
กำรนำหลักสูตรไปใช้ กำรประเมินผลหลักสู
ตร
-
ออกแบบโดยนักพัฒนำห
ลักสูตร
-
เลือกเนื้อหำสำระและประ
สบกำรณ์กำรเรียนรู้ที่เหม
ำะสมกับผู้เรียน
-
ครูเป็นผู้วำงแผนจัดทำแผน
กำรสอน
-จัดทำสื่อกำรเรียนกำรสอน
-
ครูเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเลือกวิธีป
ระเมินที่มีประสิทธิภำพ
-
นำข้อมูลที่ใช้จำกกำรประเมินมำป
รับปรุงแก้ไขหลักสูตร
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 19
2. วิเครำะห์ควำมต้องกำรจำเป็นของชุมชนที่สถำนศึกษำนั้นๆ ตั้งอยู่
ควำมต้องกำรจำเป็นของผู้เรียนในชุมชน และเนื้อหำวิชำที่จำเป็นเพื่อใช้ในกำรจัดกำรเรียนกำรสอน
3. เป้ำหมำยของหลักสูตร (Curriculum Goals) โดยอำศัยข้อมูลจำกขั้น 1และ 2
4. จุดประสงค์ของหลักสูตร (Curriculum Objectives) โดยอำศัยข้อมูลจำกขั้นที่ 1, 2 และ 3
แตกต่ำงจำกขั้นที่ 3 คือมีลักษณะเฉพำะเจำะจงเพื่อนำไปสู่กำรประยุกต์ใช้หลักสูตร
และกำรกำหนดโครงสร้ำงหลักสูตร
5. รวบรวมและนำไปใช้ (Organization and Implementation of theCurriculum)
เป็นขั้นของกำรกำหนดโครงสร้ำงหลักสูตร
6. กำหนดเป้ำหมำยของกำรสอน (Instructional Goals) ของแต่ละระดับ
7. กำหนดจุดประสงค์ของกำรจัดกำรเรียนกำรสอน (Instructional Objective) ใน แต่ละวิชำ
8. เลือกยุทธวิธีในกำรสอน (Selection of Strategies)
เป็นขั้นที่ผู้เรียนเลือกยุทธวิธีที่เหมำะสมกับผู้เรียน
9. เลือกเทคนิควิธีกำรประเมินผลก่อนที่นำไปสอนจริงคือ 9A (Preliminary selective of
evaluation techniques) และกำหนดวิธีประเมินผลหลังจำกกิจกรรมกำรเรียนกำรสอนสิ้นสุดคือ 9B (Find
selection of evaluation techniques)
10. นำยุทธวิธีไปใช้ปฏิบัติจริง(Implementation of Strategies)
เป็นขั้นของกำรใช้วิธีกำรที่กำหนดในขั้นที่ 8
11. ประเมินผลจำกกำรเรียนกำรสอน (Evaluation of Instruction)
เป็นขั้นที่เมื่อกำรดำเนินกำรจัดกำรเรียนกำรสอนเสร็จสิ้น
ก็มีกำรประเมินผลตำมที่ได้เลือกหรือกำหนดวิธีกำรประเมิน ขั้นที่ 9
12. ประเมินหลักสูตร (Evaluation of curriculum) เป็นขั้นตอนสุดท้ำยที่ทำให้วงจรครบถ้วน
กำรประเมินผลที่มิใช่ประเมินผู้เรียนและผู้สอน แต่เป็นกำรประเมินหลักสูตรที่จัดทำขึ้น
5.1.5 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของมัลคอล์ม สกิลเบ็ก
สกิลเบ็ก (Sklibeck,1984 :230-239; สิทธิชัย เทวธีระรัตน์, 2543 : 43)
ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบของหลักสูตรในลักษณะที่เป็นพลวัต จุดเด่นคือ
กำรวิเครำะห์สถำนกำรณ์ซึ่งเป็นยุทธศำสตร์ที่สำคัญในกำรพัฒนำหลักสูตร ทั้งนี้ สกิลเบ็กเชื่อว่ำ
สถำนกำรณ์เป็นองค์ประกอบสำคัญในกำรกำหนดควำมแตกต่ำงของหลักสูตร
เพรำะไม่สำมำรถคำดเหตุกำรณ์สิ่งที่เกิดขึ้นภำยหน้ำได้
กำรกำหนดวัตถุประสงค์ของกำรเรียนรู้ไว้ก่อนมีกำรสำรวจสถำนกำรณ์จริงจึงขำดควำมน่ำเชื่อถือ ดังนั้น
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 20
กำรพัฒนำหลักสูตรโดยโรงเรียนเป็นผู้พัฒนำหลักสูตรเอง (School-based curriculum development หรือ SBCD)
เป็นวิธีที่สำมำรถนำไปปฏิบัติให้สอดคล้องกับควำมเป็นจริงได้ กำรวิเครำะห์องค์ประกอบต่ำงๆ
ที่เป็นปรำกฏกำรณ์ของสังคมแต่ละแห่งมีควำมแตกต่ำงกัน
ทำให้ไม่สำมำรถเจำะจงใช้รูปแบบหลักสูตรที่เป็นแบบเดียวกันได้ ดังนั้น รูปแบบหลักสูตรจึงเป็นพลวัต
แนวคิดกำรพัฒนำหลักสูตรของสกิลเบ็ก ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่1การวิเคราะห์สถานการณ์ (Analyze the situation)
วิเครำะห์ปัจจัยที่ทำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับหลักสูตร
ซึ่งส่งผลถึงโรงเรียนให้มีกำรพัฒนำหลักสูตรให้นำไปปฏิบัติได้จริงและบังเกิดผลให้นักเรียนได้เรียนรู้
ซึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงประกอบด้วย ปัจจัยภำยนอกและปัจจัยภำยใน
ก. ปัจจัยภายนอก ได้แก่
1. กำรเปลี่ยนแปลงทำงสังคมและวัฒนธรรม
ควำมคำดหวังของผู้ปกครองควำมต้องกำรของนำยจ้ำง ควำมต้องกำรของสังคม
ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงผู้ใหญ่กับเด็ก และอุดมคติของสังคม
2. กำรเปลี่ยนแปลงระบบกำรศึกษำและหลักสูตร ซึ่งประกอบด้วย นโยบำยกำรศึกษำ
ระบบกำรสอน อำนำจในกำรตัดสินใจของท้องถิ่น ผู้จบกำรศึกษำที่สอดคล้องกับควำมต้องกำรของสังคม
เป็นต้น
3. กำรเปลี่ยนแปลงเนื้อหำวิชำ กำรจัดกำรเรียนกำรสอนให้สอดคล้องกับยุคสมัย
4. กำรเพิ่มศักยภำพของครูอำจำรย์ ในกำรเรียนกำรสอนให้เหมำะสมกับยุคสมัย
5. กำรนำทรัพยำกรใช้ในโรงเรียน เพื่อพัฒนำกำรจัดกำรเรียนกำรสอน
ข. ปัจจัยภายใน ได้แก่
1. เจตคติ ควำมสำมำรถและควำมต้องกำรทำงกำรศึกษำของนักเรียน
2. ค่ำนิยม เจตคติ ทักษะ ประสบกำรณ์ของครู
ที่เป็นจุดเด่นและจุดด้อยของกำรจัดกำรเรียนกำรสอน
3. ควำมคำดหวังของโรงเรียน โครงสร้ำงกำรบริหำรงำน
กำรกระจำยอำนำจกำรบริหำรกำรศึกษำ วิธีจัดประสบกำรณ์ให้นักเรียน
แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของนักเรียนบรรทัดฐำนทำงสังคม กำรจัดกำรกับกำรเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 21
4. วัสดุอุปกรณ์ ทรัพยำกร งบประมำณ แผนงำน
และศักยภำพในกำรจัดกำรเรียนกำรสอนของโรงเรียน
5. กำรยอมรับและกำรรับรู้ปัญหำที่เกิดขึ้นจำกกำรนำหลักสูตรมำใช้
ขั้นตอนที่ 2การกาหนดวัตถุประสงค์ (Define Objectives)
กำรวิเครำะห์สถำนกำรณ์ในขั้นตอนที่ 1
เพื่อนำไปกำหนดวัตถุประสงค์ซึ่งกำรกำหนดวัตถุประสงค์แปลงเปลี่ยนไปตำมปัจจัยภำยนอกและภำยใน
สะท้อนควำมเป็นจริงของสถำนกำรณ์ที่เป็นอยู่ สอดคล้องกับค่ำนิยม ทิศทำงที่กำหนด
รวมทั้งผลลัพธ์ที่คำดหวังจำกกำรจัดกำรศึกษำ
กำรกำหนดวัตถุประสงค์ควรเขียนในลักษณะกำรเรียนรู้ที่คำดหวังจำกนักเรียนและกระบวนกำรจัดกำรเรียนกำร
สอนของครูที่ให้บรรลุวัตถุประสงค์
ซึ่งกำรกำหนดวัตถุประสงค์ประกอบด้วยวัตถุประสงค์ทั่วไปกับวัตถุประสงค์เฉพำะ
ในกำรกำหนดวัตถุประสงค์ต้องเกิดจำกกำรมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้องเช่น นักเรียน ครู ผู้ปกครอง ชุมชน
และนักวิชำกำร เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 3การออกแบบการจัดการเรียนการสอน (Design the teaching learning programme)
เป็นกำรออกแบบกำรเรียนกำรสอนต้องให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกำรจัดกำรศึกษำ
โรงเรียนต้องตอบคำถำมพื้นฐำน เช่นจะสอนอะไร
และนักเรียนจะเรียนรู้อะไรซึ่งต้องศึกษำเอกสำรที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับรำยวิชำที่นำมำจัดกำรเรียนกำรสอน
กำรกำหนดแบบแผนกำรสอนและกำรเรียนรู้เกี่ยวข้องกับกำรตัดสินใจในเรื่องต่ำงๆ ดังนี้
3.1 ข้อมูลพื้นฐำนหรือทิศทำงของหลักสูตรที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลำง
เป็นวิชำบังคับหรือวิชำเลือกตำมควำมสนใจ
3.2 กำรจัดกลุ่มและกำรบูรณำกำรของสำระวิชำต่ำงๆ
3.3 กำรจัดกลุ่มนักเรียน ซึ่งอำจจัดตำมควำมสนใจของนักเรียน
จัดให้เด็กเรียนเก่งเรียนด้วยกันและไม่เก่งเรียนด้วยกัน หรือจัดให้เด็กที่มีควำมสนใจต่ำงกันเรียนด้วยกัน
3.4 ควำมสัมพันธ์ของวิชำต่ำงๆ กับเป้ำหมำยของหลักสูตร
3.5 กำรเรียงลำดับของเนื้อหำกำรสอน
3.6 สถำนที่ ทรัพยำกร อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้ำ
3.7 ออกแบบวิธีกำรจัดกำรเรียนกำรสอน
3.8 แต่งตั้งคณะทำงำน
3.9 จัดทำตำรำงและกิจกรรมในกำรปฏิบัติงำน
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 22
ขั้นตอนที่ 4การนาหลักสูตรไปใช้ (Interpretand implement the programme)
กำรวำงแผนและกำรออกแบบหลักสูตรก็เพื่อให้หลักสูตรนั้นนำไปสู่กำรปฏิบัติให้บังเกิดผลตำมวัตถุประสงค์ที่ว
ำงไว้ซึ่งดูจำกผลกำรประเมินผลลัพธ์สุดท้ำยว่ำกำรเรียนกำรสอนเป็นไปตำมควำมต้องกำรหรือไม่
มีแผนงำนใดที่มีควำมพร้อมมำกที่สุด และรับรองคุณภำพได้ดังนั้น
ครูต้องมีจิตสำนึกในควำมเป็นมืออำชีพที่ต้องติดตำมควบคุม ดูแล และประเมินผลอย่ำงสม่ำเสมอ
เพื่อพิจำรณำว่ำสิ่งที่ออกแบบและดำเนินกำรอยู่มีประโยชน์คุ้มค่ำ
กำรพัฒนำหลักสูตรโรงเรียนจำกบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เช่นผู้บริหำรโรงเรียน หัวหน้ำภำค
อำจไม่ประสบควำมสำเร็จเนื่องจำกปัญหำกำรขำดกำรเอำใจใส่จำกครู ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ดังนั้นกำรบริหำรหลักสูตรที่ทำให้เกิดกำรยอมรับ และนำไปใช้ได้จริงๆ
ต้องดำเนินกำรโดยผู้ที่อยู่ในโรงเรียนซึ่งก็คือครูนั่นเองครูเป็นผู้ที่ใกล้ชิดและทรำบข้อมูลเกี่ยวกับควำมสนใจ
ควำมต้องกำรของนักเรียนเป็นอย่ำงดีดังนั้น
กำรปฏิบัติเพื่อพัฒนำหลักสูตรต้องเหมำะสมและต้องสอดคล้องกับศักยภำพของครู กำรนำไปใช้ขึ้นอยู่กับครู
ครูต้องเป็นบุคลำกรหลักในกำรออกแบบและกำรนำไปใช้ นั่นคือ ครูต้องเป็นผู้พัฒนำหลักสูตรดัวยตนเอง
ดีกว่ำรูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรที่บุคคลอื่นเป็นผู้จัดทำให้
ขั้นตอนที่ 5การประเมินการเรียนรู้และการประเมินผลหลักสูตร (Assess and evaluate)
กำรประเมินกำรเรียนรู้ (Assessment) เป็นกำรตัดสินคุณค่ำในศักยภำพกำรเรียนรู้และกำรปฏิบัติของผู้เรียนรู้
ส่วนกำรประเมินผล (Evaluation) หมำยถึงกำรรวบรวมหลักฐำนเพื่อนำมำตัดสินคุณค่ำเกี่ยวกับหลักสูตร
ซึ่งประกอบด้วย กำรวำงแผน กำรออกแบบ กำรนำไปใช้รวมทั้งผลกำรปฏิบัติหรือผลกำรเรียนรู้ของผู้เรียน
ซึ่งกำรประเมินกำรปฏิบัติของผู้เรียนเป็นกำรกำหนดเกณฑ์ที่ผู้เรียนต้องบรรลุ เช่นกำรกำหนดชิ้นงำน
กำรสังเกต กำรบันทึกกำรทำงำน กำรสอน กำรรำยงำนผล
กำรประเมินกำรเรียนรู้ของผู้เรียนต้องมีแนวทำงที่หลำกหลำยเพื่อให้ครอบคลุม
รวมทั้งเป็นกระบวนกำรที่ต่อเนื่องทุกครั้ง ดังนั้น กำรประเมินจึงไม่ใช่กิจกรรมที่กระทำรวบยอดครั้งเดียว
แต่เป็นกำรประเมินเพื่อพัฒนำผู้เรียน
รวมทั้งผู้ออกแบบหลักสูตรด้วยกำรกระทำเช่นนี้เป็นวงจรต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ
เพื่อนำไปสู่กำรปรับปรุงผู้เรียนและหลักสูตรให้ดียิ่งขึ้น
รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของสกิลเบ็กแสดงดังภำพประกอบ 8ดังนี้
1.กำ 1. วิเครำะห์สถำนกำรณ์
( Analyse the situation)
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 23
ภำพประกอบ 8 รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของสกิลเบ็ก ( Skilbeck , 1984 :230-239 )
5.1.6 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของวอล์คเกอร์ (Decker Walker)
เดคเกอร์ วอล์คเกอร์ (Decker Walker)
ปฏิเสธแนวคิดกำรพัฒนำหลักสูตรด้วยกำรกำหนดสิ่งต่ำงๆ
ที่เกี่ยวกับหลักสูตรด้วยกำรอธิบำยเชิงเหตุผลโดยปรำศจำกกำรค้นคว้ำหำข้อเท็จจริงมำก่อน
วิธีกำรของวอล์คเกอร์เป็นวิธีกำรศึกษำแบบประจักษ์นิยม (Epiricalism) หรือเป็นวิธีกำรศึกษำแบบธรรมชำติ
(Naturalistic model) ซึ่งเป็นวิธีกำรที่เป็นกำรแสวงหำข้อเท็จจริงจำกปรำกฏกำรณ์ทำงสังคม
และผ่ำนกระบวนกำรพิจำรณำไตร่ตรองอย่ำงเหมำะสมก่อนกำรตัดสินใจออกแบบหลักสูตร
ส่วนผลกำรพิจำรณำจะออกมำเช่นไรก็ยอมรับตำมสภำพกำรณ์ซึ่งเป็นวิธีคล้ำยกับเติบโตของสิ่งต่ำงๆ
ในธรรมชำติ (Marsh , 1986 , curricula ; An Analytical Introduction :53-57)
รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของวอล์คเกอร์
แบ่งเป็นกระบวนกำรพัฒนำหลักสูตรออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ (Walker , 1971, curriculum Theory Network :58-
59)
2.กำรกำหนดวัตถุประสงค์
( Define Objectives)
3.กำรออกแบบกำรจัดกำรเรียนกำรสอน
( Design theteaching –learning programme)
4.กำรนำหลักสูตรไปใช้
( Interpretand implement the programme )
5.กำรประเมินกำรเรียนรู้และกำรประเมินหลักสูตร
( Assess and evaluate )
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 24
ขั้นตอนที่ 1ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ซึ่งได้มำจำกกำรศึกษำเชิงประจักษ์ที่ได้จำกมุมมองต่ำงๆ
ควำมเชื่อ ค่ำนิยม ทฤษฎี แนวคิด เป้ำหมำย เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐำนในกำรพิจำรณำสร้ำงหลักสูตรต่อไปในอนำคต
ทั้งนี้ มีควำมจำเป็นที่ต้องวิเครำะห์ปัญหำต่ำงๆ ไว้ล่วงหน้ำซึ่งเป็นประโยชน์ในกำรดำเนินกำรขั้นต่อไป
ขั้นตอนที่ 2การพิจารณาไตร่ตรอง (Deliberates)
ซึ่งเป็นกำรนำข้อมูลพื้นฐำนทั่วไปที่ได้จำกกำรวิเครำะห์ปัญหำต่ำงเข้ำมำสู่กระบวนกำรปรึกษำหรือกำรอภิปรำย
กำรวิพำกษ์วิจำรณ์เพื่อพิจำรณำทำงเลือกต่ำงๆ ก่อนที่จะออกแบบหลักสูตร โดยกำรถ่วงน้ำหนักทำงเลือกต่ำงๆ
(eight alternatives) ในทุกๆ ด้ำนอย่ำงเป็นรูปธรรม ทั้งในเชิงต้นทุน ค่ำใช้จ่ำยและประโยชน์ที่ได้รับมำ
กำรพิจำรณำทำงเลือกนี้จะก่อให้เกิดควำมไม่แน่ใจว่ำเป็นทำงเลือกที่ดีที่สุด ดังนั้น
จึงสำมำรถที่จะยอมรับหรือปฏิเสธได้อย่ำงเต็มที่ก่อนกำรกำหนดทิศทำงที่ถูกต้องในกำรออกแบบหลักสูตรต่อไ
ป
ขั้นตอนที่ 3การออกแบบหลักสูตร (Curriculum design)
เป็นกำรวินิจฉัยเกี่ยวกับสำระสำคัญของหลักสูตรก่อน
โดยคำนึงถึงองค์ประกอบอย่ำงรอบด้ำนของกระบวนกำรพัฒนำหลักสูตร
ซึ่งไม่กำหนดรูปแบบหลักสูตรไว้ล่วงหน้ำ
แต่ใช้ในกำรแสวงหำควำมเหมำะสมที่สอดคล้องกับควำมเป็นจริงของสถำนกำรณ์
เป็นกำรเลือกที่ผ่ำนกำรกลั่นกรองมำแล้ว และมีควำมชัดเจนในองค์ประกอบต่ำงๆ
โดยสำมำรถชี้เฉพำะเจำะจงควำมต้องกำรหลักสูตรของชุมชนได้ชัดเจนมำกยิ่งกว่ำ
รูปแบบของหลักสูตรเชิงวัตถุประสงค์กำรออกแบบหลักสูตรเชิงพลวัตเป็นพรรณนำควำมเชื่อมโยงจำกข้อมูลพื้
นฐำน โดยนำตัวแปรต่ำงๆ ที่เกี่ยวข้องมำสู่กระบวนกำรพิจำรณำไตร่ตรองอย่ำงรอบคอบ (Deliberations)
ซึ่งเป็นกำรเลือกวิธีที่ดีที่สุดจำกนั้นเริ่มก้ำวไปสู่จุดสุดท้ำย คือ กำรออกแบบหลักสูตรที่มีลักษณะเฉพำะเจำะจง
รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของวอล์คเกอร์ แสดงดังภำพประกอบ 9
ควำมเชื่อค่ำนิยม
ทฤษฎี
แนวคิด เป้ำหมำย
ข้อมูลพื้นฐำนทั่วไป
(Platform )
กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 25
ภำพประกอบ 9 รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของวอล์คเกอร์
( สิทธิชัย เทวธีรัตน์ , 2543: 40)
5.2 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทย
กำรพัฒนำหลักสูตรเพื่อใช้ในกำรจัดกำรเรียนกำรสอนขั้นพื้นฐำนเท่ำที่ผ่ำนมำเป็นหน้ำที่ของหน่วยงำ
นระดับนโยบำย โดยกรมวิชำกำร เป็นผู้พัฒนำหลักสูตรแกนกลำงหรือหลักสูตรระดับชำติ
รวมทั้งเป็นผู้จัดเนื้อหำสำระแบบเรียน สื่อรำยวิชำต่ำงๆ ให้โรงเรียนใช้เหมือนกันทั่วประเทศ
แม้ว่ำในคู่มือหลักสูตรประถมศึกษำ พุทธศักรำช 2521 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักรำช 2533)
เปิดโอกำสให้โรงเรียนพัฒนำหลักสูตรให้สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนได้เอง
แต่ก็มีโรงเรียนจำนวนไม่น้อยมำกคือประมำณร้อยละ 27 (สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำแห่งชำติ.2543 :
296) ที่มีหลักสูตรสอดคล้องกับท้องถิ่นและผู้เรียน ดังนั้น
กำรศึกษำรูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรที่มุ่งส่งเสริมให้สถำนศึกษำสำมำรถพัฒนำหลักสูตรได้ในบริบทของประเ
ทศจำกแนวคิดของหน่วยงำนต่ำงๆ ซึ่งมีส่วนสำคัญในกำรกำหนดรูปแบบ รวมทั้งแนวคิดของนักวิชำกำร
อันนำไปสู่กำรสังเครำะห์เป็นรูปแบบสำหรับกำรพัฒนำหลักสูตรโรงเรียนในครั้งนี้ มีดังต่อไปนี้
5.2.1 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของกรมวิชาการ
กรมวิชำกำร กระทรวงศึกษำธิกำร (2539:2-35)
ได้กำหนดให้โรงเรียนสำมำรถพัฒนำหลักสูตรเองได้ภำยใต้แนวทำงกำรพัฒนำหลักสูตรท้องถิ่นซึ่งมีรูปแบบกำ
รดำเนินงำนพัฒนำหลักสูตร 4 ลักษณะ ดังต่อไปนี้
1. กำรพัฒนำหลักสูตรโดยกำรปรับกิจกรรมกำรเรียนกำรสอน
2. กำรพัฒนำหลักสูตรโดยกำรปรับรำยละเอียดของเนื้อหำ
3. กำรพัฒนำหลักสูตรโดยกำรพัฒนำสื่อกำรเรียนกำรสอน
4. กำรพัฒนำหลักสูตรโดยกำรจัดทำวิชำ/รำยวิชำเพิ่มเติมขึ้นมำใหม่
1. การพัฒนาหลักสูตรโดยการปรับกิจกรรมการเรียนการสอน
กำรพิจำรณำไตร่ตรอง
(Deliberation )
กำรออกแบบหลักสูตร
(Curriculum design )
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4

More Related Content

Similar to บทที่ 4 (20)

บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
บทที่4
บทที่4บทที่4
บทที่4
 
บทที่4
บทที่4บทที่4
บทที่4
 
บทที่4
บทที่4บทที่4
บทที่4
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
บทที่4
บทที่4บทที่4
บทที่4
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
4 170819173249
4 1708191732494 170819173249
4 170819173249
 
4 170819173249
4 1708191732494 170819173249
4 170819173249
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
4 170819173249
4 1708191732494 170819173249
4 170819173249
 
4 170819173249
4 1708191732494 170819173249
4 170819173249
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
4 170819173249
4 1708191732494 170819173249
4 170819173249
 
4 170819173249
4 1708191732494 170819173249
4 170819173249
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
บทที่4
บทที่4บทที่4
บทที่4
 
โครงงานอาชีพ
โครงงานอาชีพโครงงานอาชีพ
โครงงานอาชีพ
 

More from Naruephon (11)

บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 6
บทที่ 6บทที่ 6
บทที่ 6
 
บทที่ 5
บทที่ 5บทที่ 5
บทที่ 5
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 

บทที่ 4

  • 1. บทที่ 4 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตร มโนทัศน์(Concept) คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของหลักสูตรคือ หลักสูตรควำมเป็นพลวัต และปรับเปลี่ยนไปตำมควำมต้องกำรและควำมเปลี่ยนแปลงของสังคม จำกคุณสมบัติดังกล่ำว กำรพัฒนำหลักสูตรจึงเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นอย่ำงต่อเนื่อง ตลอดเวลำที่สภำพสังคมเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น กำรจัดกำรศึกษำให้สนองควำมต้องกำรของสังคมที่เปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งจำเป็น และกำรเปลี่ยนแปลงหลักสูตรในลักษณะของกำรพัฒนำหลักสูตรเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลการเรียนรู้(Learning Outcome) 1. มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับควำมหมำยของกำรพัฒนำหลักสูตร 2. มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจ หลักกำร รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตร สาระเนื้อหา(Content) รูปแบบการพัฒนาหลักสูตร รูปแบบของกำรพัฒนำหลักสูตรส่วนมำกจะพัฒนำมำจำกแนวคิดของนักกำรศึกษำชำวต่ำงป ระเทศ ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีรำยละเอียดที่แตกต่ำงกันไป แต่กระบวนกำรและขั้นตอนควรประกอบด้วยกำรศึกษำวิเครำะห์ข้อมูลพื้นฐำนที่ซึ่งประกอบด้วยปรัช ญำกำรศึกษำ ผู้เรียน สังคม สภำพแวดล้อมและเทคโนโลยีและอื่นๆ เพื่อนำมำกำหนดจุดมุ่งหมำยเลือกเนื้อหำสำระและประสบกำรณ์กำรเรียนรู้จัดลงในหลักสูตร แล้วนำหลักสูตรไปทดลองใช้เพื่อหำข้อบกพร่องเพื่อนำมำแก้ไขหลักสูตรที่สมบูรณ์และนำไปใช้ สุดท้ำยทำกำรประเมินผลหลักสูตรและนำผลจำกกำรประเมินไปปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรต่อไป กระบวนกำรพัฒนำหลักสูตรจะเป็นไปอย่ำงต่อเนื่องอย่ำงเป็น วัฏจักร
  • 2. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 2 1. ความหมายของการพัฒนาหลักสูตร กำรพัฒนำหลักสูตรเป็นภำรกิจที่สำคัญและกว้ำงขวำง จึงมีผู้ให้ควำมหมำยของคำว่ำ กำรพัฒนำหลักสูตรเกิดขึ้นกำรพัฒนำหลักสูตรไว้หลำยกรณี เช่น กู๊ด (Good, 1973: 157-158) ได้ให้ควำมเห็นว่ำ กำรพัฒนำหลักสูตรเกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะ คือ กำรปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตร กำรปรับปรุงหลักสูตรเป็นวิธีกำรพัฒนำหลักสูตรอย่ำงหนึ่ง เพื่อให้เหมำะกับโรงเรียนและระบบโรงเรียน จุดมุ่งหมำยของกำรสอน วัสดุอุปกรณ์ วิธีกำรสอนรวมทั้งประมวลผล ส่วนคำว่ำ กำรเปลี่ยนแปลงหลักสูตร หมำยถึงกำรแก้ไขหลักสูตรให้แตกต่ำงไปจำกเดิม เป็นกำรสร้ำงโอกำสทำงกำรเรียนขึ้นใหม่ เชย์เลอร์ และอเล็กซำนเดอร์ (Saylor and Alexander, 1974: 7) ให้คำจำกัดควำมหมำยของกำรพัฒนำหลักสูตรว่ำ หมำยถึงกำรจัดทำหลักสูตรเดิมที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น หรือเป็นกำรจัดทำหลักสูตรใหม่โดยไม่มีหลักสูตรเดิมอยู่ก่อน กำรพัฒนำหลักสูตรอำจหมำยรวมถึงกำรสร้ำงเอกสำรอื่นสำหรับนักเรียนด้วย ทำบำ (Taba, 1962: 454) ได้กล่ำวไว้ว่ำ กำรพัฒนำหลักสูตร หมำยถึงกำรเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงสูตรเดิมให้ได้ผลดียิ่งขึ้นทั้งในด้ำนกำรวำงจุดม่งหมำย กำรจัดเนื้อหำวิชำกำรเรียนกำรสอน กำรวัดและกำรประเมินผลอื่นๆ เพื่อให้บรรลุถึงจุดม่งหมำยอันใหม่ที่วำงไว้ กำรเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเป็นกำรเปลี่ยนแปลงทั้งระบบหรือเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ตั้งจุดมุ่งหมำยและวิธีกำร และกำรเปลี่ยนแปลงหลักสูตรนี้จะมีผลกระทบทำงด้ำนควำมคิดและควำมรู้สึกของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ำ ย ส่วนกำรปรับปรุงหลักสูตร หมำยถึงกำรเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเพียงบำงส่วนโดยไม่เปลี่ยนแปลงแนวควำมคิดพื้นฐำนหรือรูปแบ บของหลักสูตร สงัด อุทรำนันท์ (2532:30) กล่ำวว่ำกำรพัฒนำหลักสูตรมีควำมหมำยอยู่ 2 ลักษณะ คือ 1. กำรทำหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นหรือสมบูรณ์ขึ้น และ 2. กำรสร้ำงหลักสูตรขึ้นมำใหม่โดยไม่มีหลักสูตรเดิมเป็นพื้นฐำน วิชัย วงษ์ใหญ่(2525: 10) กล่ำวว่ำ กำรพัฒนำหลักสูตรคือกำรพยำยำมวำงโครงกำร ที่จะช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ตรงตำมจุดมุ่งหมำยที่กำหนดไว้ หรือกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอนระบบโครงสร้ำงของกำรจัดโปรแกรมกำรสอน กำรกำหนดจุดมุ่งหมำย เนื้อหำสำระ กำรปรับปรุงตำรำ แบบเรียน คู่มือครู และสื่อกำรเรียนต่ำงๆ กำรวัดและกำรประเมินผลกำรใช้หลักสูตรกำรปรับปรุงแก้ไข
  • 3. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 3 และกำรให้กำรอบรมครูผู้ใช้หลักสูตรให้เป็นไปตำมวัตถุประสงค์ของกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอ น รวมทั้งกำรบริกำรและกำรบริหำรหลักสูตร ในกำรพัฒนำหลักสูตร เซย์เลอร์และอเล็กซำนเดอร์ (Saylor and Alexander, 1974: 8-9) ชี้ให้เห็นว่ำกำรจัดทำหรือพัฒนำหลักสูตรนั้นมีงำนที่ต้องทำสำคัญๆ อยู่3 ประกำร คือ 1. กำรพิจำรณำและกำรกำหนดเป้ำหมำยเบื้องต้นที่สำคัญของหลักสูตรที่จัดทำนั้นว่ำมีเป้ำหมำยเพื่ออะไร ทั้งโดยส่วนรวมและส่วนย่อยของหลักสูตรนั้นๆ อย่ำงเด่นชัด 2. กำรเลือกกิจกรรมกำรเรียนกำรสอนและวัสดุประกอบกำรเรียนกำรสอน กำรเลือกสรรเนื้อหำเพื่อสำระเพื่อกำรอ่ำน กำรเขียน กำรทำแบบฝึกหัด และหัวข้อสำหรับกำรอภิปรำยตลอดจนกิจกรรมทั้งในและนอกห้องเรียน เป็นต้น 3. กำรกำหนดระบบกำรจัดวัสดุอุปกรณ์และกำรจัดกำรเรียนกำรสอน ตลอดทั้งกำรทดลองที่เป็นประโยชน์ เหมำะสมกับกำรเรียนกำรสอนแต่ละวิชำและแต่ละชั้นเรียน บำงครั้งเรำจะพบว่ำกำรพัฒนำหลักสูตรเป็นกระบวนกำรหรือขั้นตอนของกำรตัดสินใจเลือ กหำทำงเลือกทำงกำรเรียนกำรสอนที่เหมำะสม หรือเป็นที่รวบรวมของทำงเลือกที่เหมำะสมต่ำงๆ เข้ำด้วยกัน จนเป็นระบบที่สำมำรถปฏิบัติได้ และถ้ำหำกหลักสูตรมุ่งที่จะกำหนดสำหรับผู้เรียนหลำยกลุ่มหลำยประเภทโดยใช้วิธีกำรต่ำงๆ และโอกำสต่ำงๆ กันแล้วนักพัฒนำหลักสูตรต้องคำนึงถึงภูมิหลักขององค์ประกอบต่ำงๆ อย่ำงละเอียดและรอบคอบก่อนจะตัดสินใจเลือกทำงเลือกใดทำงเลือกหนึ่ง และเมื่อตัดสินใจเลือกแล้วก็ต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นซึ่งอำจมีผลกระทบต่อสิ่งอื่นๆ เป็น วัฏจักร 2. หลักการพัฒนาหลักสูตร จำกควำมคิดเห็นของนักกำรศึกษำในเรื่องของควำมหมำยของกำรพัฒนำหลักสูตรที่กล่ำวมำ จะเห็นได้ว่ำกำรพัฒนำหลักสูตรเป็นกระบวนกำรที่มีขั้นตอนๆ อย่ำงเป็นระบบระเบียบและเพื่อให้งำนกำรพัฒนำหลักสูตรดำเนินไปสู่จุดมุ่งหมำยของกำรพัฒนำอย่ำง แท้จริงเรำจึงต้องคำนึงถึงหลักในกำรพัฒนำหลักสูตร 1. กำรพัฒนำหลักสูตรจำเป็นต้องมีผู้นำที่เชี่ยวชำญและมีควำมสำมำรถในงำนพัฒนำหลักสูตรเป็นอย่ำงดี
  • 4. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 4 2. กำรพัฒนำหลักสูตรจำเป็นต้องได้รับควำมร่วมมือและกำรประสำนงำนอย่ำงดีจำกบุคคลที่เกี่ยวข้องทุก ฝ่ำยทุกระดับ 3. กำรพัฒนำหลักสูตรจำเป็นต้องมีกำรดำเนินกำรเป็นระบบระเบียบแบบแผนต่อเนื่องกันไป เริ่มตั้งแต่กำรวำงจุดมุ่งหมำยในกำรพัฒนำหลักสูตรนั้นจนถึงกำรประเมินผลกำรพัฒนำหลักสูตรในกำ รดำเนินงำนจะต้องคำนึงถึงจุดเริ่มต้นในกำรเปลี่ยนแปลงว่ำ กำรพัฒนำหลักสูตรที่จุดใด จะเป็นกำรพัฒนำส่วนย่อยหรือกำรพัฒนำทั้งระบบ และจุดดำเนินกำรอย่ำงไรในขั้นต่อไป สิ่งเหล่ำนั้นเป็นสิ่งที่ผู้มีหน้ำที่ในกำรพัฒนำหลักสูตรไม่ว่ำจะเป็นผู้เชี่ยวชำญทำงด้ำนกำรจัดหลักสูตร ครูผู้สอน หรือนักวิชำกำรทำงด้ำนกำรศึกษำและบุคคลต่ำงๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือกันพิจำรณำอย่ำงรอบคอบ และดำเนินกำรอย่ำงมีระเบียบระบบแบบแผนทีละขั้นตอน 4. กำรพัฒนำหลักสูตรจะต้องรวมถึงผลงำนต่ำงๆ ทำงด้ำนหลักสูตรที่ได้สร้ำงขึ้นมำใหม่อย่ำงมีประสิทธิภำพ ไม่ว่ำจะเป็นเอกสำรหลักสูตร เนื้อหำวิชำ กำรทำกำรทดสอบหลักสูตรกำรนำหลักสูตรไปใช้ หรือกำรจัดกำรเรียนกำรสอน 5. กำรพัฒนำหลักสูตรที่มีประสิทธิภำพจะต้องมีกำรฝึกฝนอบรมครูประจำกำรให้มีควำมเข้ำใจในหลักสู ตรใหม่ควำมคิดใหม่ แนวทำงกำรจัดกำรเรียนกำรสอนตำมหลักสูตรใหม่ 6. กำรพัฒนำหลักสูตรจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ในด้ำนกำรพัฒนำจิตใจ และทัศนคติของผู้เรียนด้วย 3. ผลที่ได้จากการพัฒนาหลักสูตร กำรพัฒนำหลักสูตรเป็นงำนที่มีกระบวนกำรและขั้นตอนที่ซับซ้อน และเป็นงำนที่ต้องอำศัยผู้เชี่ยวชำญทำงด้ำนกำรจัดหลักสูตร นักวิชำกำร นักพัฒนำหลักสูตร ให้มำทำงำนร่วมกันกับบุคคลหลำยฝ่ำย และต้องได้รับควำมร่วมมือจำกทุกฝ่ำยด้วยดี กำรพัฒนำหลักสูตรจึงจะประสบควำมสำเร็จเมื่อกำรพัฒนำหลักสูตรสำเร็จลุล่วงตำมจุดหมำยแห่งกำร พัฒนำแล้วย่อมก่อให้เกิดประโยชน์ ดังนี้ 1. เป็นกำรพัฒนำกำรศึกษำของชำติให้บรรลุตำมวัตถุประสงค์ตำมที่วำงไว้ เพื่อให้กำรศึกษำของชำติเป็นกำรศึกษำเพื่อพัฒนำผู้เรียนให้สอดคล้องกับควำมเจริญของสังคมและขอ งโลก
  • 5. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 5 2. เป็นกำรพัฒนำระบบกำรศึกษำให้เจริญก้ำวหน้ำทันต่อกำรเปลี่ยนแปลงของสังคมและโลก โดยเฉพำะในยุคที่เรียกว่ำ โลกยุคโลกำภิวัตน์ 3. เพื่อให้ครูผู้สอนมีควำมรู้ควำมเข้ำใจและควำมสำมรถในกำรพัฒนำกำรเรียนกำรสอนแก่ผู้เรียนดังต่อไ ปนี้ 3.1 มีควำมสำมำรถเปลี่ยนกับทักษะในด้ำนต่ำงๆ 3.2 มีควำมรู้เพียงพอที่จะศึกษำในระดับสูงขึ้นไป 3.3 ประพฤติตนเป็นพลเมืองดีของสังคม 3.4 มีจิตใจและร่ำงกำยที่สมบูรณ์แข็งแรง 3.5 มีควำมเข้ำใจและรักษำควำมงำมตำมธรรมชำติ 3.6 มีวัฒนธรรมและศีลธรรมอันดีงำม 3.7 มีควำมสนใจและเชี่ยวชำญในด้ำนใดด้ำนหนึ่งเป็นพิเศษ 3.8 มีควำมสนใจในกำรดำรงชีวิตในสังคมได้อย่ำงเหมำะสม 3.9 มีควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำในชีวิตและในสังคมได้ 4. กระบวนการในการพัฒนาหลักสูตร ถ้ำหลักสูตรได้รับกำรพิจำรณำว่ำเป็นทุกสิ่งทุกอย่ำงซึ่งเกิดขึ้นในกำรวำงแผนกำรเรียนกำรส อนในสถำบันกำรศึกษำแล้ว กำรพัฒนำหลักสูตรก็จะเป็นกำรพัฒนำแผนเพื่อจัดโปรแกรมกำรศึกษำ ซึ่งหมำยถึงกำรให้นิยำมและกำรเลือกจุดประสงค์ของกำรศึกษำ เลือกประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ และกำรประเมินโปรแกรมกำรศึกษำ กำรพัฒนำหลักสูตรเป็นงำนปฏิบัติมิใช่งำนทฤษฎี เป็นควำมพยำยำมที่จะออกแบบระบบ เพื่อให้ประสบควำมสำเร็จตำมจุดมุ่งหมำยของกำรศึกษำ และระบบนี้จะต้องเป็นประโยชน์ที่แท้จริงปรำกฏต่อสังคมและต่อมนุษย์ ซึ่งมีควำมมุ่งหมำย มีควำมฝักใฝ่ในสิ่งที่ตนชอบ มีกลไกกำรเคลื่อนไหว ดังนั้น ขั้นตอนที่จำเป็นขั้นแรกในกำรพัฒนำหลักสูตร คือ กำรตรวจและวิเครำะห์สถำนกำรณ์สำคัญๆ ซึ่งเป็นควำมมุ่งหมำยปลำยทำงของกำรพัฒนำหลักสูตรคือ กำรเปลี่ยนแปลงของนักเรียนและครู ครูที่กลำยเป็นผู้ที่มีควำมรู้มำกขึ้น มีทักษะมำกขึ้น และมีควำมไม่หยุดนิ่งมำกขึ้น ครูซึ่งมีคุณสมบัติดังกล่ำวนี้จะเป็นผู้ที่ให้บริกำรแก่นักเรียนได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ รำยละเอียดต่อไปนี้จะกล่ำวถึงกำรดำเนินงำนพัฒนำหลักสูตร และแนวคิดกำรพัฒนำหลักสูตร
  • 6. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 6 แดเนียล แทนเนอร์ และลอร์เรล แทนเนอร์ (D.Tanner & L. Tanner. 1995 :385) กล่ำวว่ำปัจจัยและอิทธิพลหลักสูตรมีปฏิสัมพันธ์จำกปรัชญำสังคม พฤติกรรมมนุษย์ และควำมรู้ที่ยิ่งใหญ่กว้ำงขวำงสิ่งเหล่ำนั้นมีอิทธิพลต่อผู้เรียนโดยแปรสภำพมำเป็นเนื้อหำวิชำสำหรับ กำรเรียนกำรสอนเพื่อให้เกิดควำมเหมำะสมกับกำรพัฒนำคนในสังคมใหม่ ซึ่งเรียกว่ำกระบวนกำรทัศน์ด้วยหลักสูตร มำร์ช และวิลลิส (Marsh & Willis. 1995 :278) ได้สรุปแนวคิดในกำรพัฒนำหลักสูตร ว่ำ กระบวนกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรเปลี่ยนแปลงหลักสูตรแม้มีหลำยแนวคิด แต่เมื่อสรุปรวมควำมคิดแล้วล้วนอยู่บนพื้นฐำนควำมต่อเนื่องเป็นอนุกรมโดยเริ่มจำกแรงกดดันและผ ลกระทบจำกปัจจัยบริบทและควำมก้ำวหน้ำทำงเทคโนโลยีสู่กำรปรับปรุงหลักสูตร กำรนำหลักสูตรไปสู่สถำบันเพื่อใช้จะได้รับแรงกดดันจำกปัจจัยต่ำงๆ ทำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงปรับปรุงหลักสูตรขึ้นมำอีกในระยะต่อไปต่อเนื่องดังภำพประกอบ 2
  • 8. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 8 ในกำรวำงแผนพัฒนำหลักสูตร เพื่อดำเนินงำนพัฒนำหลักสูตรมีแรงผลักดันและปัจจัยอิทธิพลหลำยระดับตั้งแต่ระดับโรงเรียน ระดับชุมชนครอบครัว สังคมประเทศชำติจนถึงระดับนำนำชำติ พลังผลักดันของสังคมเป็นตัวเร่งสำคัญในกำรวำงแผนหลักสูตร (ParkayW.and Glen Hass, 2000 : 275) องค์ประกอบในกำรดำเนินงำนพัฒนำหลักสูตรประกอบด้วยคณะกรรมกำรดำเนินงำนจัดทำหลักสูตร ศึกษำวิเครำะห์สภำพของสังคมในปัจจุบัน พร้อมทั้งวิเครำะห์หลักสูตรเดิมเพื่อนำข้อมูลที่ได้มำพิจำรณำร่วมกับข้อมูลพื้นฐำนต่ำงๆ ในกำรพัฒนำหลักสูตร ปรับปรุงแก้ไข แล้วกำหนดจุดประสงค์ใหม่ องค์ประกอบในแต่ล่ะส่วนจะมีควำมสัมพันธ์กันและเท่ำเทียมกัน จะขำดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งไม่ได้ ได้แก่ 1. กำรกำหนดควำมมุ่งหมำยจะต้องชัดเจนว่ำต้องให้ผู้เรียนในระดับนั้นๆ มีคุณสมบัติอย่ำงไร เมื่อกำหนดควำมมุ่งหมำยแล้วจะได้ใช้เป็นแนวทำงในกำรกำหนดเนื้อหำวิชำและประสบกำรณ์ในกำรเรียนรู้ต่อไ ป 2. กำรวำงแผนกำหนดโครงสร้ำงของหลักสูตร และกำรเลือกเนื้อหำวิชำ ในหลักสูตรจะต้องกำหนดโครงสร้ำงอะไรบ้ำง เช่น จะต้องใช้เวลำศึกษำนำนเท่ำไร จะต้องเรียนทั้งหมดกี่หน่วยกำรเรียนจึงจะจบหลักสูตรได้ จะต้องเข้ำเรียนกี่คำบต่อสัปดำห์ต่อภำคเรียนมีกำรวัดและประเมินผลอย่ำงไร ระบบกำรให้คะแนนเป็นอย่ำงไร มีวิชำใดบ้ำงที่จะต้องเรียนบังคับเท่ำไร และเลือกเท่ำไร และวิชำเหล่ำนั้นประกอบไปด้วยเนื้อหำอะไรมีประสบกำรณ์อะไรบ้ำง 3. กำรทดลองใช้หลักสูตรหรือกระบวนกำรเรียนกำรสอนหรือวิธีกำร และกำรจัดกำรเกี่ยวกับหลักสูตรเพื่อให้กำรเรียนกำรสอนเป็นไปตำมควำมมุ่งหมำยของหลักสูตรอย่ำงมีประสิท ธิภำพ จำเป็นต้องจัดหำและปรับปรุงกระบวนกำรสอน กำรจัดชั้นเรียน กำรใช้อุปกรณ์กำรวัดผลและประเมินผล และกำรจัดกิจกรรมเสริมทำงวิชำกำร ตลอดจนกำรสอนซ่อมเสริมให้กำรนำหลักสูตรไปใช้เกิดประโยชน์สูงสุด 4. กำรประเมินผลหลักสูตร เป็นกำรประเมินคุณค่ำของหลักสูตรว่ำมีคุณภำพเป็นอย่ำงไร เป็นกระบวนกำรที่ใช้พิจำรณำว่ำควำมมุ่งหมำยเป็นอย่ำงไร เนื้อหำวิชำและประสบกำรณ์ตรงกับควำม มุ่งหมำยหรือไม่ กำรเรียนกำรสอนมีปัญหำและอุปสรรคอะไรบ้ำงและกำรประเมินผลอย่ำงไร ดังภำพประกอบ 3
  • 9. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 9 ภำพประกอบ 3 แสดงกระบวนกำรพัฒนำหลักสูตร ที่มำ : สงัด อุทรำนันท์ (2532 :24) ปรับปรุง แก้ไข ศึกษำและวิเคร ำะห์สหภำพสัง คมและหลักสู ตรเดิม ประเมิน ผล คณะกรรมกำร กำรดำเนินงำน พัฒนำหลักสูต ร กำหนดควำ มมุ่งหมำย นำไปทด ลองใช้ กำหนดโครงส ร้ำงและเนื้อหำ วิชำ ศึกษำและวิเครำะ ห์สภำพสังคมแล ะหลักสูตรเดิม แนวคิด (ปรัชญำ) และผลกำรศึกษำค้นคว้ำทำงจิตวิทยำข้อมูลเกี่ยวกับนักเรี ยนและกำรประกอบอำชีพข้อมูลควำมก้ำวหน้ำทำงวิชำก ำร วิทยำศำสตร์ เทคโนโลยี บทบำทของสถำบันกำรศึกษำ และสื่อสำรมวลชนข้อมูลสภำพเศรษฐกิจ สังคม กำรเมือง ค่ำนิยม และวัฒนธรรม
  • 10. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 10 5. รูปแบบในการพัฒนาหลักสูตร รูปแบบในกำรพัฒนำหลักสูตรเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น เนื่องจำกรูปแบบหลักสูตรเปรียบเสมือนพิมพ์เขียว (Blue Print) ที่ใช้เป็นแนวทำงกำรพัฒนำหลักสูตรจำกผู้เชี่ยวชำญทำงด้ำนหลักสูตร นักวิชำกำรจึงมีควำมสำคัญเพื่อเป็นพื้นฐำนสำหรับกำรวิจัยครั้งนี้ รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรที่สำคัญมีดังนี้ 5.1 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรจากแนวคิดต่างประเทศ 5.1.1 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของไทเลอร์ (Ralph W. Tyler) ไทเลอร์ได้นำเสนอแนวคิดพื้นฐำนเกี่ยวกับกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอนซึ่งก็คือหลักกำรและเหตุ ผลในกำรพัฒนำหลักสูตร(Tyler Rationale) ว่ำในกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอน ต้องตอบคำถำมพื้นฐำนที่สำคัญ 4 ประกำร คือ (Tyler, 1949: 3) 1. จุดมุ่งหมำยทำงกำรศึกษำ (Educational Purposes) อะไรบ้ำงที่โรงเรียนต้องกำรให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ 2. ประสบกำรณ์ทำงกำรศึกษำ (Educational Experiences) อะไรบ้ำงที่โรงเรียนจะต้องจัดให้ เพื่อช่วยให้บรรลุจุดมุ่งหมำย 3. จะจัดประสบกำรณ์ทำงกำรศึกษำอย่ำงไรจึงจะทำให้สอนมีประสิทธิภำพ 4. ประเมินประสิทธิภำพของกำรจัดประสบกำรณ์กำรเรียนอย่ำงไรจึงจะทรำบได้ว่ำผู้เรียนได้บรรลุเป้ำหมำยทำงกำ รศึกษำ ไทเลอร์ได้วำงรูปแบบโครงสร้ำงของหลักสูตรโดยใช้วิธีกำรและเป้ำหมำยปลำยทำง (Means and ends approsch) ดังนี้ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537: 10-11) ในกำรกำหนดจุดมุ่งหมำยนั้น ในขั้นแรกต้องกำหนดเป็นจุดมุ่งหมำยชั่วครำวก่อน โดยต้องนำบริบทที่เกี่ยวข้อง เช่น บริบททำงด้ำนสังคม ด้วยกำรนำสิ่งที่สังคมคำดหวังว่ำต้องกำรให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะอย่ำงไร และมีกำรศึกษำตัวผู้เรียน เช่น ควำมต้องกำร ควำมสนใจ ฐำนะทำงเศรษฐกิจของครอบครัว เป็นต้น นอกจำกนั้นยังต้องศึกษำแนวคิดของนักวิชำกำร (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537: 12)
  • 11. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 11 ควำมเชื่อค่ำนิยมของสังคมเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องวิเครำะห์ให้ชัดเจน เพรำะกำรศึกษำสังคมค่ำนิยมขนบประเพณี วัฒนธรรมจะให้คำตอบว่ำสังคมต้องกำรจัดกำรศึกษำเพื่ออะไร และจะจัดกำรศึกษำสำหรับใคร สิ่งเหล่ำนี้ช่วยให้แสวงหำคำตอบที่ชัดเจนในกำรกำหนดเป้ำหมำยหรือทิศทำงของกำรศึกษำ (ดังภำพประกอบ 4) แหล่งข้อมูลเพื่อ นำมำกำหนด จุดมุ่งหมำยชั่วครำว กำรศึกษำสังคม กำรศึกษำผู้เรียน กำรศึกษำแนวคิดขอ งนักวิชำกำร ปรัชญำสังคม กำหนด จุดมุ่งหมำยชั่วครำว ทฤษฎีกำรเรียนรู้ ปรัชญำกำรศึกษำ ปรัชญำสังคม จุดมุ่งหมำย กำรเลือกและกำรจัดประสบกำรณ์กำ รเรียน กำรประเมินผล ข้อมูลในกำรกำหนด เกณฑ์ที่ตรวจสอบพิ จำรณำกลั่นกรองเป็ นจุดมุ่งหมำยจริง องค์ประกอบ ของหลักสูตร
  • 12. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 12 ภำพประกอบ 4 รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรของไทเลอร์ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537: 11) กำรพัฒนำหลักสูตรและกำรเสนอของไทเลอร์ มีลักษณะสำคัญคือ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537 :12-14) 1. จุดมุ่งหมำยเป็นตัวกำหนดควบคุมกำรเลือกและจัดประสบกำรณ์กำรเรียนดังนั้น กำรกำหนดจุดมุ่งหมำยจึงมี 2ขั้นตอน คือ ตอนแรกเป็นกำรกำหนดจุดมุ่งหมำยชั่วครำวแล้วจึงหำวิธีกำรและเกณฑ์จำกทฤษฎีกำรเรียนรู้ปรัชญำกำรศึกษำแ ละปรัชญำสังคมมำกลั่นกรองจุดมุ่งหมำยชั่วครำว เพื่อให้ได้มำเป็นจุดมุ่งหมำยที่แท้จริงของหลักสูตร พื้นฐำนทำงจิตวิทยำและปรัชญำในกำรพัฒนำหลักสูตรจะเข้ำมำมีบทบำทและช่วยในกำรตรวจสอบเพื่อหำควำม ชัดเจนของกำรกำหนดจุดมุ่งหมำยขั้นนี้เพื่อตอบคำถำมและหำควำมชัดเจนว่ำกำรจัดหลักสูตรเพื่อตอบสนองใคร ตอบสนองผู้เรียนหรือสังคม 2. กำรเลือกและจัดประสบกำรณ์กำรเรียนที่คำดหวังว่ำจะให้ผู้เรียนมีประสบกำรณ์กำรจัดกิจกรรมในกำรเรียนกำร สอนและส่วนเสริมหลักสูตรนั้นมีอะไร ทั้งนี้เพื่อให้กระบวนกำรเรียนกำรสอนดำเนินไปเพื่อตอบสนองจุดมุ่งหมำยที่กำหนดไว้ ไทเลอร์ได้เสนอเกณฑ์ในกำรพิจำรณำเลือกประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ไว้ดังนี้ 2.1 ผู้เรียนควรมีโอกำสฝึกพฤติกรรมและกำรเรียนรู้เนื้อหำตำมที่ระบุไว้ในจุดมุ่งหมำย 2.2 กิจกรรมและประสบกำรณ์นั้นทำให้ผู้เรียนพอใจปฏิบัติกำรเรียนรู้อำจนำไปสู่จุดมุ่งหมำยที่กำหนดไว้เพียงข้อเดีย วก็ได้ 2.3 กิจกรรมและประสบกำรณ์นั้นอยู่ในข่ำยควำมพอใจที่พึงปฏิบัติได้ 2.4 กิจกรรมและประสบกำรณ์หลำยๆ ด้ำนของกำรเรียนรู้อำจนำไปสู่จุดมุ่งหมำยที่กำหนดไว้เพียงข้อเดียวก็ได้ 2.5 กิจกรรมและประสบกำรณ์เรียนรู้เพียงหนึ่งอย่ำงอำจตรวจสอบจุดมุ่งหมำยหลำยๆ ข้อได้ 3. กำรจัดประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ว่ำต้องคำนึงถึงควำมสัมพันธ์ในด้ำนเวลำต่อเวลำ และเนื้อหำต่อเนื้อหำ เรียกว่ำควำมสัมพันธ์แบบแนวตั้ง (Vertical) กับแนวนอน (Horizontal) ซึ่งมีเกณฑ์ในกำรจัดดังนี้ 3.1 ควำมต่อเนื่อง (Continuity) หมำยถึงควำมสัมพันธ์ในแนวตั้งของส่วนองค์ประกอบหลักของตัวหลักสูตรจำกระดับหนึ่งไปยังอีกระดับหนึ่งที่
  • 13. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 13 สูงขึ้นไป เช่นในวิชำทักษะ ต้องเปิดโอกำสให้มีกำรฝึกทักษะในกิจกรรมและประสบกำรณ์บ่อยๆ และต่อเนื่องกัน 3.2 กำรจัดช่วงลำดับ(Sequence) หมำยถึงควำมสัมพันธ์แนวตั้งของส่วนองค์ประกอบหลักของตัวหลักสูตรจำกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนไปสู่สิ่งที่เกิดขึ้นภ ำยหลัง หรือจำกสิ่งที่มีควำมง่ำยไปสู่ที่มีควำมยำก ดังนั้น กำรจัดกิจกรรมและประสบกำรณ์ให้มีกำรเรียงลำดับก่อนหลังเพื่อให้ได้เรียนเนื้อหำที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น 3.3 บูรณำกำร (Integration) หมำยถึง ควำมสัมพันธ์กันในแนวนอนขององค์ประกอบหลักของตัวหลักสูตร จำกหัวข้อเนื้อหำหนึ่งไปยังอีกหัวข้อหนึ่งของรำยวิชำ หรือจำกรำยวิชำหนึ่งไปยังรำยวิชำอื่นๆ ที่มีควำมเกี่ยวข้องกัน กำรจัดประสบกำรณ์จึงควรเป็นในลักษณะที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เพิ่มพูนควำมคิดเห็นและได้แสดงพฤติกรรมที่สอด คล้องกัน เนื้อหำที่เรียนเป็นกำรเพิ่มควำมสำมำรถทั้งหมดของผู้เรียนที่ได้ประสบกำรณ์ในสถำนกำรณ์ต่ำงๆ กัน ประสบกำรณ์กำรเรียนรู้จึงเป็นแบบแผนของปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่ำงผู้เรียนกับสถำนกำรณ์สิ่งแวดล้อม 4. กำรประเมินผลเพื่อตรวจสอบดูว่ำกำรจัดกำรเรียนกำรสอนได้บรรลุตำมจุดมุ่งหมำยตำมที่กำหนดไว้หรือไม่ สมควรมีกำรปรับแก้ในส่วนใดบ้ำง พิจำรณำจำกสิ่งต่อไปนี้ 4.1 กำหนดจุดมุ่งหมำยที่จะวัดและพฤติกรรมที่คำดหวัง 4.2 วัดและวิเครำะห์สถำนกำรณ์ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมเหล่ำนั้น 4.3 ศึกษำสำรวจข้อมูลเพื่อสร้ำงเครื่องมือวัดพฤติกรรมเหล่ำนั้นได้อย่ำงเหมำะสม 4.4 ตรวจสอบคุณภำพของเครื่องมือ โดยใช้เกณฑ์ในกำรพิจำรณำดังนี้ 1. ควำมเป็นปรนัย (Objectivity) 2. ควำมเชื่อมั่นได้ (Reliability) 3. ควำมเที่ยงตรง (Validity) 4. ควำมถูกต้อง (Accuracy) 4.5 กำรพิจำรณำผลประเมินให้เป็นประโยชน์เพื่ออธิบำยผลกำรเรียนรู้เป็นรำยบุคคลหรือเป็นกลุ่ม กำรอธิบำยถึงส่วนดีของหลักสูตรหรือสิ่งที่ต้องปรับแก้เพื่อเป็นแนวทำงในกำรปรับปรุงหลักสูตรให้มีคุณภำพยิ่ง ขึ้น 5.1.2 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวความคิดของทาบา (Taba)
  • 14. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 14 แนวคิดของทำบำในกำรพัฒนำหลักสูตรใช้วีแบบรำกหญ้ำ (Grass-roots approach) มีควำมเชื่อว่ำหลักสูตรควรได้รับกำรออกแบบโดยครูผู้สอนมำกกว่ำพัฒนำจำกองค์กรที่อยู่ในระดับสูงขึ้น ประกอบด้วยขั้นตอนต่ำงๆ ดังนี้ (Taba, 1962 :456-459) 1. วิเครำะห์ควำมต้องกำร (Diagnosis of needs) ใช้วิธีสำรวจสภำพปัญหำ ควำมต้องกำร และควำมจำเป็นของผู้เรียนและของสังคม 2. กำหนดจุดมุ่งหมำย (Formulation of objectives) ด้วยข้อมูลที่ได้จำกำรวิเครำะห์ควำมต้องกำร 3. คัดเลือกเนื้อหำสำระ (Selection of content) เมื่อกำหนดจุดมุ่งหมำยแล้วก็ต้องเลือกเนื้อหำสำระ ซึ่งสอดคล้องกับจุดมุ่งหมำย และต้องคำนึงถึงพัฒนำกำรของผู้เรียนด้วย 4. กำรจัดรวบรวมเนื้อหำสำระ (Organization of content) เนื้อหำสำระที่รวบรวมต้องคำนึงถึงควำมยำกง่ำยและควำมต่อเนื่อง รวมทั้งจัดให้เหมำะสมกับพัฒนำกำรและควำมสนใจของผู้เรียน 5. คัดเลือกประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ (Selection of learning experiences) กำรคัดเลือกประสบกำรณ์เรียนรู้ให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมำยและเนื้อหำวิชำ 6. กำรจัดรวบรวมประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ (Organization of leaning experiences) กำรจัดประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ควรคำนึงถึงควำมต่อเนื่องของเนื้อหำสำระ 7. กำหนดวิธีวัดและประเมินผล (Determination of what to evaluate and the ways and means of doing it) มีกำรประเมินเพื่อตรวจสอบว่ำประสบกำรณ์กำรเรียนที่จัดให้บรรลุจุดมุ่งหมำยที่กำหนดไว้หรือไม่ และกำหนดวิธีกำรประเมินรวมทั้งเครื่องมือที่ใช้ในกำรประเมินด้วยดังภำพประกอบ 5 1. วิเครำะห์ควำมต้องกำร (Diagnosis of needs) 2. กำหนดจุดมุ่งหมำย (Formulation of objectives) 3. คัดเลือกเนื้อหำสำระ (Selection of content) 4. กำรจัดรวบรวมเนื้อหำสำระ - ควำมคิดรวบยอด (Key concepts) (Organization of content) - ควำมคิดหลัก (Main ideas) - ข้อเท็จจริง (Facts)
  • 15. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 15 ภำพประกอบ 5 รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของทำบำ (Taba, 1962 :456-459) จำกกำรพัฒนำหลักสูตรแนวคิดของทำบำจะเริ่มที่จุดใดจุดหนึ่งก่อนก็ได้ แต่เมื่อเริ่มที่ จุดใดแล้วจะต้องทำกำรศึกษำให้ครบกระบวนกำรทั้ง 7ขั้นตอน จุดเด่นในแนวคิดของทำบำคือเรื่องยุทธวิธีกำรสอน (Teaching Strategies) และประสบกำรณ์กำรเรียนรู้เป็นกระบวนกำรที่ต้องคำนึงถึง มีอยู่ 2ประกำร คือ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537 : 15-16) 1. ยุทธวิธีกำรสอนและประสบกำรณ์เรียนรู้ เป็นเครื่องกำหนดสถำนกำรณ์เงื่อนไขกำรเรียนรู้ กำรจัดกิจกรรมกำรเรียนกำรสอนแต่ละครั้งมีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับกำรเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเป็นผลผลิต ดังนั้น กำรจัดรูปแบบของกำรเรียนกำรสอนต้องแสดงลำดับขั้นตอนของกำรเรียนรู้ด้วย 2. ยุทธวิธีกำรสอนเป็นสิ่งที่หลอมรวมหลำยสิ่งหลำยอย่ำงเข้ำมำไว้ด้วยกันกำรพิจำรณำตัดสินใจเกี่ยวกับยุทธวิธีกำ รสอนควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ คือ 2.1 กำรจัดเนื้อหำ ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่ำรำยวิชำนั้นๆ มุ่งให้ผู้เรียนเรียนรู้แบบใด กว้ำงหรือลึกมำกน้อยเพียงใด และได้เรียงลำดับเนื้อหำวิชำไว้อย่ำงไร กำรกำหนดโครงสร้ำงได้กระทำชัดเจนสอดคล้องกับโครงกำรในระดับใด เพรำะแต่ละระดับมีจุดประสงค์เนื้อหำสำระที่มีควำมเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน 2.2 หน่วยกำรเรียน สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่บ่งชี้ถึงกำรวัดและประเมินได้ชัดเจน มีรำยละเอียดและมีควำมยืดหยุ่นเพื่อเปิดโอกำสให้ครูและนักเรียนมีส่วนร่วมในกำรวำงแผนกำรเรียนและทำกิจ 5. กำรคัดเลือกประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ (Selection of leaning experiences) 6. กำรจัดรวบรวมประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ (Organization of leaning experiences) (กลวิธีกำรสอนเพื่อพัฒนำพุทธิพิสัย และเจตพิสัย) 7. กำหนดวิธีวัดและประเมินผล (Determination of what toevaluate)
  • 16. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 16 กรรมตำมควำมต้องกำรและควำมสนใจ กำรตรวจสอบควำมรู้พื้นฐำนของผู้เรียนจะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในกำรพัฒนำกระบวนกำรเรียนได้เป็นลำดับขั้ นตอนเพื่อนำไปสู่ข้อค้นพบ ข้อสรุปที่เป็นหลักกำรที่มุ่งเน้นควำมคำดหวังเกี่ยวกับกำรเรียนรู้ที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียน และกำรกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดกำรเรียนรู้ด้วยตนเองดังภำพประกอบ 6 กาหนดโดยการวิเคราะห์ กาหนดวัตถุประสงค์ การกาหนดจุดประสงค์ วิเคราะห์และการจาแนก แต่ละระดับ 1. วัฒนธรรมและควำมต้องกำรของ 1. ชนิดของพฤติกรรม 1. จุดมุ่งหมำยทั่วไปของกำรศึกษำ สังคมและผู้เรียน 2. เนื้อหำวิชำ 2. จุดมุ่งหมำยระดับโรงเรียน 2. กระบวนกำรเรียนรู้และหลักกำร 3. ควำมต้องกำรด้ำนต่ำงๆ 3. จุดมุ่งหมำยระดับชั้นเรียน เรียนรู้ของผู้เรียน 3. ธรรมชำติควำมรู้ในศำสตร์ต่ำงๆ และวิธีกำรแสวงหำควำมรู้ 4. อุดมกำรณ์ของประชำธิปไตย กาหนดความรู้ การเลือกเนื้อหาและ สถาบันองค์กรที่เกี่ยวข้อง ประสบการณ์การเรียนและ ลักษณะการจัด 1.ลักษณะ, ธรรมชำติของควำมรู้ เนื้อหำสำระ 1. โรงเรียน, กำรบริหำร ของศำสตร์ต่ำงๆ กิจกรรมและ ใช้ทรัพยำกร 2.ควำมรู้เกี่ยวกับกำรพัฒนำผู้เรียน ประสบกำรณ์ 2. องค์กรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 3.กำรเรียน กับกำรศึกษำบทบำทและ 4. พัฒนำผู้เรียน หน้ำที่ของแต่ละหน่วยงำน สิ่งที่ต้องคานึง การจัดหลักสูตรรูปแบบ ผู้รับผิดชอบของบุคคล/ ของหลักสูตร หน่วยงาน 1. ควำมต่อเนื่องของควำมรู้ รำยงำน หมวดวิชำ มุ่งเน้นด้ำน 1.โรงเรียน 2.บูรณำกำรทำงควำมรู้ ชีวิตและสังคม กิจกรรมและ 2.คณะครูและเจ้ำหน้ำที่ ประสบกำรณ์ กิจกรรมของผู้เรียน 3.วิธีกำรที่จะใช้บุคลำกร จุดรวม แนวคิดต่ำงๆ ให้เกิดประโยชน์จำก กำรเรียนรู้
  • 17. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 17 ภำพ 7.5 รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอนของทำบำ (วิชัยวงษ์ใหญ่, 2537:17) ภำพประกอบ 6 รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอนของทำบำ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537:17) 5.1.3 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของเซย์เลอร์ อเล็กซานเดอร์ และเลวิส (J. Galen Saylor, William M. Alexander and Arthur J. Lewis) แนวคิดของเซย์เลอร์ อเล็กซำนเดอร์ และเลวิส ประกอบด้วย กระบวนกำรพัฒนำหลักสูตรที่สำคัญ 4 ขั้นตอน คือ (Saylor and Alexander,1974 :265; Saylor,Alexander and Lewis, 1981: 181) 1. เป้ำหมำย วัตถุประสงค์ และควำมครอบคลุม (Goals, Objective and domains) หลักสูตรต้องประกอบด้วย เป้ำหมำย วัตถุประสงค์ และในแต่ละเป้ำหมำยควรบ่งบอกถึงควำมครอบคลุมของหลักสูตร (Curriculum Domain) วัตถุประสงค์ พัฒนำกำรส่วนบุคคล มนุษยสัมพันธ์ ทักษะกำรเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง และควำมชำนำญเฉพำะด้ำน ซึ่งกำหนดจำกควำมเป็นโลกำภิวัฒน์ ควำมต้องกำรของสังคมที่อยู่อำศัยกฎหมำย ข้อบังคับ เป็นต้น 2. กำรออกแบหลักสูตร (Curriculum Design) คือกำรวำงแผนเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับกำรเลือกและจัดเนื้อหำสำระและจัดประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ที่สอดคล้องกับ เป้ำหมำย วัตถุประสงค์ โดยคำนึงถึงปรัชญำ ควำมต้องกำรของสังคมและผู้เรียนมำพิจำรณำด้วย 3. กำรนำหลักสูตรไปใช้ (Curriculum implementation) ครูต้องเป็นผู้วำงแผนและวำงแผนกำรจัดกำรเรียนกำรสอนในรูปแบบต่ำงๆ (Instructional Plans) รวมทั้งกำรจัดทำสื่อกำรเรียนกำรสอน เช่น ตำรำ แบบเรียน วัสดุอุปกรณ์ต่ำงๆ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในสิ่งที่ครูตั้งเป้ำหมำยไว้ 4. กำรประเมินผลหลักสูตร (Curriculum Evaluation) ครูและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันตัดสินใจเพื่อเลือกวิธีกำรประเมินผลที่สำมำรถประเมินได้ว่ำ หลักสูตรที่พัฒนำขึ้นได้ผลตำมควำมมุ่งหมำยกำรประเมินหลักสูตรจะเป็นข้อมูลสำคัญที่บอกผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้ว่ำควรจะปรับปรุงหลักสูตรในจุดใด เพื่อประกอบกำรตัดสินใจในกำรวำงแผนกำรใช้หลักสูตรในอนำคต
  • 18. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 18 รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของเซย์เลอร์ อเล็กซำนเดอร์ และเลวิส แสดงดังภำพประกอบ 7 (1) ให้ข้อมูลย้อนกลับและปรับปรุง (2) (3) (4) ภำพประกอบ 7 รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของเซย์เลอร์ อเล็กซำนเดอร์ และเลวิส (Saylor and Alexander, 1974: 275; Saylor. Alexander and Lawis.1981 : 181) 5.1.4 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของโอลิวา (Oliva) (Oliva.1982 : 172) 1. จุดมุ่งหมำยของกำรศึกษำ (Aims of Education) และหลักกำรปรัชญำและจิตวิทยำจำกกำรวิเครำะห์ควำมต้องกำรจำเป็นของสังคมและผู้เรียน เป้าหมายจุดประสงค์และ ความครอบคลุม กำรออกแบบหลักสู ตร กำรนำหลักสูตรไปใช้ กำรประเมินผลหลักสู ตร - ออกแบบโดยนักพัฒนำห ลักสูตร - เลือกเนื้อหำสำระและประ สบกำรณ์กำรเรียนรู้ที่เหม ำะสมกับผู้เรียน - ครูเป็นผู้วำงแผนจัดทำแผน กำรสอน -จัดทำสื่อกำรเรียนกำรสอน - ครูเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเลือกวิธีป ระเมินที่มีประสิทธิภำพ - นำข้อมูลที่ใช้จำกกำรประเมินมำป รับปรุงแก้ไขหลักสูตร
  • 19. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 19 2. วิเครำะห์ควำมต้องกำรจำเป็นของชุมชนที่สถำนศึกษำนั้นๆ ตั้งอยู่ ควำมต้องกำรจำเป็นของผู้เรียนในชุมชน และเนื้อหำวิชำที่จำเป็นเพื่อใช้ในกำรจัดกำรเรียนกำรสอน 3. เป้ำหมำยของหลักสูตร (Curriculum Goals) โดยอำศัยข้อมูลจำกขั้น 1และ 2 4. จุดประสงค์ของหลักสูตร (Curriculum Objectives) โดยอำศัยข้อมูลจำกขั้นที่ 1, 2 และ 3 แตกต่ำงจำกขั้นที่ 3 คือมีลักษณะเฉพำะเจำะจงเพื่อนำไปสู่กำรประยุกต์ใช้หลักสูตร และกำรกำหนดโครงสร้ำงหลักสูตร 5. รวบรวมและนำไปใช้ (Organization and Implementation of theCurriculum) เป็นขั้นของกำรกำหนดโครงสร้ำงหลักสูตร 6. กำหนดเป้ำหมำยของกำรสอน (Instructional Goals) ของแต่ละระดับ 7. กำหนดจุดประสงค์ของกำรจัดกำรเรียนกำรสอน (Instructional Objective) ใน แต่ละวิชำ 8. เลือกยุทธวิธีในกำรสอน (Selection of Strategies) เป็นขั้นที่ผู้เรียนเลือกยุทธวิธีที่เหมำะสมกับผู้เรียน 9. เลือกเทคนิควิธีกำรประเมินผลก่อนที่นำไปสอนจริงคือ 9A (Preliminary selective of evaluation techniques) และกำหนดวิธีประเมินผลหลังจำกกิจกรรมกำรเรียนกำรสอนสิ้นสุดคือ 9B (Find selection of evaluation techniques) 10. นำยุทธวิธีไปใช้ปฏิบัติจริง(Implementation of Strategies) เป็นขั้นของกำรใช้วิธีกำรที่กำหนดในขั้นที่ 8 11. ประเมินผลจำกกำรเรียนกำรสอน (Evaluation of Instruction) เป็นขั้นที่เมื่อกำรดำเนินกำรจัดกำรเรียนกำรสอนเสร็จสิ้น ก็มีกำรประเมินผลตำมที่ได้เลือกหรือกำหนดวิธีกำรประเมิน ขั้นที่ 9 12. ประเมินหลักสูตร (Evaluation of curriculum) เป็นขั้นตอนสุดท้ำยที่ทำให้วงจรครบถ้วน กำรประเมินผลที่มิใช่ประเมินผู้เรียนและผู้สอน แต่เป็นกำรประเมินหลักสูตรที่จัดทำขึ้น 5.1.5 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของมัลคอล์ม สกิลเบ็ก สกิลเบ็ก (Sklibeck,1984 :230-239; สิทธิชัย เทวธีระรัตน์, 2543 : 43) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบของหลักสูตรในลักษณะที่เป็นพลวัต จุดเด่นคือ กำรวิเครำะห์สถำนกำรณ์ซึ่งเป็นยุทธศำสตร์ที่สำคัญในกำรพัฒนำหลักสูตร ทั้งนี้ สกิลเบ็กเชื่อว่ำ สถำนกำรณ์เป็นองค์ประกอบสำคัญในกำรกำหนดควำมแตกต่ำงของหลักสูตร เพรำะไม่สำมำรถคำดเหตุกำรณ์สิ่งที่เกิดขึ้นภำยหน้ำได้ กำรกำหนดวัตถุประสงค์ของกำรเรียนรู้ไว้ก่อนมีกำรสำรวจสถำนกำรณ์จริงจึงขำดควำมน่ำเชื่อถือ ดังนั้น
  • 20. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 20 กำรพัฒนำหลักสูตรโดยโรงเรียนเป็นผู้พัฒนำหลักสูตรเอง (School-based curriculum development หรือ SBCD) เป็นวิธีที่สำมำรถนำไปปฏิบัติให้สอดคล้องกับควำมเป็นจริงได้ กำรวิเครำะห์องค์ประกอบต่ำงๆ ที่เป็นปรำกฏกำรณ์ของสังคมแต่ละแห่งมีควำมแตกต่ำงกัน ทำให้ไม่สำมำรถเจำะจงใช้รูปแบบหลักสูตรที่เป็นแบบเดียวกันได้ ดังนั้น รูปแบบหลักสูตรจึงเป็นพลวัต แนวคิดกำรพัฒนำหลักสูตรของสกิลเบ็ก ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้ ขั้นตอนที่1การวิเคราะห์สถานการณ์ (Analyze the situation) วิเครำะห์ปัจจัยที่ทำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับหลักสูตร ซึ่งส่งผลถึงโรงเรียนให้มีกำรพัฒนำหลักสูตรให้นำไปปฏิบัติได้จริงและบังเกิดผลให้นักเรียนได้เรียนรู้ ซึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงประกอบด้วย ปัจจัยภำยนอกและปัจจัยภำยใน ก. ปัจจัยภายนอก ได้แก่ 1. กำรเปลี่ยนแปลงทำงสังคมและวัฒนธรรม ควำมคำดหวังของผู้ปกครองควำมต้องกำรของนำยจ้ำง ควำมต้องกำรของสังคม ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงผู้ใหญ่กับเด็ก และอุดมคติของสังคม 2. กำรเปลี่ยนแปลงระบบกำรศึกษำและหลักสูตร ซึ่งประกอบด้วย นโยบำยกำรศึกษำ ระบบกำรสอน อำนำจในกำรตัดสินใจของท้องถิ่น ผู้จบกำรศึกษำที่สอดคล้องกับควำมต้องกำรของสังคม เป็นต้น 3. กำรเปลี่ยนแปลงเนื้อหำวิชำ กำรจัดกำรเรียนกำรสอนให้สอดคล้องกับยุคสมัย 4. กำรเพิ่มศักยภำพของครูอำจำรย์ ในกำรเรียนกำรสอนให้เหมำะสมกับยุคสมัย 5. กำรนำทรัพยำกรใช้ในโรงเรียน เพื่อพัฒนำกำรจัดกำรเรียนกำรสอน ข. ปัจจัยภายใน ได้แก่ 1. เจตคติ ควำมสำมำรถและควำมต้องกำรทำงกำรศึกษำของนักเรียน 2. ค่ำนิยม เจตคติ ทักษะ ประสบกำรณ์ของครู ที่เป็นจุดเด่นและจุดด้อยของกำรจัดกำรเรียนกำรสอน 3. ควำมคำดหวังของโรงเรียน โครงสร้ำงกำรบริหำรงำน กำรกระจำยอำนำจกำรบริหำรกำรศึกษำ วิธีจัดประสบกำรณ์ให้นักเรียน แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของนักเรียนบรรทัดฐำนทำงสังคม กำรจัดกำรกับกำรเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์
  • 21. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 21 4. วัสดุอุปกรณ์ ทรัพยำกร งบประมำณ แผนงำน และศักยภำพในกำรจัดกำรเรียนกำรสอนของโรงเรียน 5. กำรยอมรับและกำรรับรู้ปัญหำที่เกิดขึ้นจำกกำรนำหลักสูตรมำใช้ ขั้นตอนที่ 2การกาหนดวัตถุประสงค์ (Define Objectives) กำรวิเครำะห์สถำนกำรณ์ในขั้นตอนที่ 1 เพื่อนำไปกำหนดวัตถุประสงค์ซึ่งกำรกำหนดวัตถุประสงค์แปลงเปลี่ยนไปตำมปัจจัยภำยนอกและภำยใน สะท้อนควำมเป็นจริงของสถำนกำรณ์ที่เป็นอยู่ สอดคล้องกับค่ำนิยม ทิศทำงที่กำหนด รวมทั้งผลลัพธ์ที่คำดหวังจำกกำรจัดกำรศึกษำ กำรกำหนดวัตถุประสงค์ควรเขียนในลักษณะกำรเรียนรู้ที่คำดหวังจำกนักเรียนและกระบวนกำรจัดกำรเรียนกำร สอนของครูที่ให้บรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งกำรกำหนดวัตถุประสงค์ประกอบด้วยวัตถุประสงค์ทั่วไปกับวัตถุประสงค์เฉพำะ ในกำรกำหนดวัตถุประสงค์ต้องเกิดจำกกำรมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้องเช่น นักเรียน ครู ผู้ปกครอง ชุมชน และนักวิชำกำร เป็นต้น ขั้นตอนที่ 3การออกแบบการจัดการเรียนการสอน (Design the teaching learning programme) เป็นกำรออกแบบกำรเรียนกำรสอนต้องให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกำรจัดกำรศึกษำ โรงเรียนต้องตอบคำถำมพื้นฐำน เช่นจะสอนอะไร และนักเรียนจะเรียนรู้อะไรซึ่งต้องศึกษำเอกสำรที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับรำยวิชำที่นำมำจัดกำรเรียนกำรสอน กำรกำหนดแบบแผนกำรสอนและกำรเรียนรู้เกี่ยวข้องกับกำรตัดสินใจในเรื่องต่ำงๆ ดังนี้ 3.1 ข้อมูลพื้นฐำนหรือทิศทำงของหลักสูตรที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลำง เป็นวิชำบังคับหรือวิชำเลือกตำมควำมสนใจ 3.2 กำรจัดกลุ่มและกำรบูรณำกำรของสำระวิชำต่ำงๆ 3.3 กำรจัดกลุ่มนักเรียน ซึ่งอำจจัดตำมควำมสนใจของนักเรียน จัดให้เด็กเรียนเก่งเรียนด้วยกันและไม่เก่งเรียนด้วยกัน หรือจัดให้เด็กที่มีควำมสนใจต่ำงกันเรียนด้วยกัน 3.4 ควำมสัมพันธ์ของวิชำต่ำงๆ กับเป้ำหมำยของหลักสูตร 3.5 กำรเรียงลำดับของเนื้อหำกำรสอน 3.6 สถำนที่ ทรัพยำกร อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้ำ 3.7 ออกแบบวิธีกำรจัดกำรเรียนกำรสอน 3.8 แต่งตั้งคณะทำงำน 3.9 จัดทำตำรำงและกิจกรรมในกำรปฏิบัติงำน
  • 22. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 22 ขั้นตอนที่ 4การนาหลักสูตรไปใช้ (Interpretand implement the programme) กำรวำงแผนและกำรออกแบบหลักสูตรก็เพื่อให้หลักสูตรนั้นนำไปสู่กำรปฏิบัติให้บังเกิดผลตำมวัตถุประสงค์ที่ว ำงไว้ซึ่งดูจำกผลกำรประเมินผลลัพธ์สุดท้ำยว่ำกำรเรียนกำรสอนเป็นไปตำมควำมต้องกำรหรือไม่ มีแผนงำนใดที่มีควำมพร้อมมำกที่สุด และรับรองคุณภำพได้ดังนั้น ครูต้องมีจิตสำนึกในควำมเป็นมืออำชีพที่ต้องติดตำมควบคุม ดูแล และประเมินผลอย่ำงสม่ำเสมอ เพื่อพิจำรณำว่ำสิ่งที่ออกแบบและดำเนินกำรอยู่มีประโยชน์คุ้มค่ำ กำรพัฒนำหลักสูตรโรงเรียนจำกบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เช่นผู้บริหำรโรงเรียน หัวหน้ำภำค อำจไม่ประสบควำมสำเร็จเนื่องจำกปัญหำกำรขำดกำรเอำใจใส่จำกครู ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นกำรบริหำรหลักสูตรที่ทำให้เกิดกำรยอมรับ และนำไปใช้ได้จริงๆ ต้องดำเนินกำรโดยผู้ที่อยู่ในโรงเรียนซึ่งก็คือครูนั่นเองครูเป็นผู้ที่ใกล้ชิดและทรำบข้อมูลเกี่ยวกับควำมสนใจ ควำมต้องกำรของนักเรียนเป็นอย่ำงดีดังนั้น กำรปฏิบัติเพื่อพัฒนำหลักสูตรต้องเหมำะสมและต้องสอดคล้องกับศักยภำพของครู กำรนำไปใช้ขึ้นอยู่กับครู ครูต้องเป็นบุคลำกรหลักในกำรออกแบบและกำรนำไปใช้ นั่นคือ ครูต้องเป็นผู้พัฒนำหลักสูตรดัวยตนเอง ดีกว่ำรูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรที่บุคคลอื่นเป็นผู้จัดทำให้ ขั้นตอนที่ 5การประเมินการเรียนรู้และการประเมินผลหลักสูตร (Assess and evaluate) กำรประเมินกำรเรียนรู้ (Assessment) เป็นกำรตัดสินคุณค่ำในศักยภำพกำรเรียนรู้และกำรปฏิบัติของผู้เรียนรู้ ส่วนกำรประเมินผล (Evaluation) หมำยถึงกำรรวบรวมหลักฐำนเพื่อนำมำตัดสินคุณค่ำเกี่ยวกับหลักสูตร ซึ่งประกอบด้วย กำรวำงแผน กำรออกแบบ กำรนำไปใช้รวมทั้งผลกำรปฏิบัติหรือผลกำรเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งกำรประเมินกำรปฏิบัติของผู้เรียนเป็นกำรกำหนดเกณฑ์ที่ผู้เรียนต้องบรรลุ เช่นกำรกำหนดชิ้นงำน กำรสังเกต กำรบันทึกกำรทำงำน กำรสอน กำรรำยงำนผล กำรประเมินกำรเรียนรู้ของผู้เรียนต้องมีแนวทำงที่หลำกหลำยเพื่อให้ครอบคลุม รวมทั้งเป็นกระบวนกำรที่ต่อเนื่องทุกครั้ง ดังนั้น กำรประเมินจึงไม่ใช่กิจกรรมที่กระทำรวบยอดครั้งเดียว แต่เป็นกำรประเมินเพื่อพัฒนำผู้เรียน รวมทั้งผู้ออกแบบหลักสูตรด้วยกำรกระทำเช่นนี้เป็นวงจรต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ เพื่อนำไปสู่กำรปรับปรุงผู้เรียนและหลักสูตรให้ดียิ่งขึ้น รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของสกิลเบ็กแสดงดังภำพประกอบ 8ดังนี้ 1.กำ 1. วิเครำะห์สถำนกำรณ์ ( Analyse the situation)
  • 23. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 23 ภำพประกอบ 8 รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของสกิลเบ็ก ( Skilbeck , 1984 :230-239 ) 5.1.6 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของวอล์คเกอร์ (Decker Walker) เดคเกอร์ วอล์คเกอร์ (Decker Walker) ปฏิเสธแนวคิดกำรพัฒนำหลักสูตรด้วยกำรกำหนดสิ่งต่ำงๆ ที่เกี่ยวกับหลักสูตรด้วยกำรอธิบำยเชิงเหตุผลโดยปรำศจำกกำรค้นคว้ำหำข้อเท็จจริงมำก่อน วิธีกำรของวอล์คเกอร์เป็นวิธีกำรศึกษำแบบประจักษ์นิยม (Epiricalism) หรือเป็นวิธีกำรศึกษำแบบธรรมชำติ (Naturalistic model) ซึ่งเป็นวิธีกำรที่เป็นกำรแสวงหำข้อเท็จจริงจำกปรำกฏกำรณ์ทำงสังคม และผ่ำนกระบวนกำรพิจำรณำไตร่ตรองอย่ำงเหมำะสมก่อนกำรตัดสินใจออกแบบหลักสูตร ส่วนผลกำรพิจำรณำจะออกมำเช่นไรก็ยอมรับตำมสภำพกำรณ์ซึ่งเป็นวิธีคล้ำยกับเติบโตของสิ่งต่ำงๆ ในธรรมชำติ (Marsh , 1986 , curricula ; An Analytical Introduction :53-57) รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของวอล์คเกอร์ แบ่งเป็นกระบวนกำรพัฒนำหลักสูตรออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ (Walker , 1971, curriculum Theory Network :58- 59) 2.กำรกำหนดวัตถุประสงค์ ( Define Objectives) 3.กำรออกแบบกำรจัดกำรเรียนกำรสอน ( Design theteaching –learning programme) 4.กำรนำหลักสูตรไปใช้ ( Interpretand implement the programme ) 5.กำรประเมินกำรเรียนรู้และกำรประเมินหลักสูตร ( Assess and evaluate )
  • 24. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 24 ขั้นตอนที่ 1ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ซึ่งได้มำจำกกำรศึกษำเชิงประจักษ์ที่ได้จำกมุมมองต่ำงๆ ควำมเชื่อ ค่ำนิยม ทฤษฎี แนวคิด เป้ำหมำย เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐำนในกำรพิจำรณำสร้ำงหลักสูตรต่อไปในอนำคต ทั้งนี้ มีควำมจำเป็นที่ต้องวิเครำะห์ปัญหำต่ำงๆ ไว้ล่วงหน้ำซึ่งเป็นประโยชน์ในกำรดำเนินกำรขั้นต่อไป ขั้นตอนที่ 2การพิจารณาไตร่ตรอง (Deliberates) ซึ่งเป็นกำรนำข้อมูลพื้นฐำนทั่วไปที่ได้จำกกำรวิเครำะห์ปัญหำต่ำงเข้ำมำสู่กระบวนกำรปรึกษำหรือกำรอภิปรำย กำรวิพำกษ์วิจำรณ์เพื่อพิจำรณำทำงเลือกต่ำงๆ ก่อนที่จะออกแบบหลักสูตร โดยกำรถ่วงน้ำหนักทำงเลือกต่ำงๆ (eight alternatives) ในทุกๆ ด้ำนอย่ำงเป็นรูปธรรม ทั้งในเชิงต้นทุน ค่ำใช้จ่ำยและประโยชน์ที่ได้รับมำ กำรพิจำรณำทำงเลือกนี้จะก่อให้เกิดควำมไม่แน่ใจว่ำเป็นทำงเลือกที่ดีที่สุด ดังนั้น จึงสำมำรถที่จะยอมรับหรือปฏิเสธได้อย่ำงเต็มที่ก่อนกำรกำหนดทิศทำงที่ถูกต้องในกำรออกแบบหลักสูตรต่อไ ป ขั้นตอนที่ 3การออกแบบหลักสูตร (Curriculum design) เป็นกำรวินิจฉัยเกี่ยวกับสำระสำคัญของหลักสูตรก่อน โดยคำนึงถึงองค์ประกอบอย่ำงรอบด้ำนของกระบวนกำรพัฒนำหลักสูตร ซึ่งไม่กำหนดรูปแบบหลักสูตรไว้ล่วงหน้ำ แต่ใช้ในกำรแสวงหำควำมเหมำะสมที่สอดคล้องกับควำมเป็นจริงของสถำนกำรณ์ เป็นกำรเลือกที่ผ่ำนกำรกลั่นกรองมำแล้ว และมีควำมชัดเจนในองค์ประกอบต่ำงๆ โดยสำมำรถชี้เฉพำะเจำะจงควำมต้องกำรหลักสูตรของชุมชนได้ชัดเจนมำกยิ่งกว่ำ รูปแบบของหลักสูตรเชิงวัตถุประสงค์กำรออกแบบหลักสูตรเชิงพลวัตเป็นพรรณนำควำมเชื่อมโยงจำกข้อมูลพื้ นฐำน โดยนำตัวแปรต่ำงๆ ที่เกี่ยวข้องมำสู่กระบวนกำรพิจำรณำไตร่ตรองอย่ำงรอบคอบ (Deliberations) ซึ่งเป็นกำรเลือกวิธีที่ดีที่สุดจำกนั้นเริ่มก้ำวไปสู่จุดสุดท้ำย คือ กำรออกแบบหลักสูตรที่มีลักษณะเฉพำะเจำะจง รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของวอล์คเกอร์ แสดงดังภำพประกอบ 9 ควำมเชื่อค่ำนิยม ทฤษฎี แนวคิด เป้ำหมำย ข้อมูลพื้นฐำนทั่วไป (Platform )
  • 25. กำรพัฒนำหลักสูตร หน้ำ 25 ภำพประกอบ 9 รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของวอล์คเกอร์ ( สิทธิชัย เทวธีรัตน์ , 2543: 40) 5.2 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทย กำรพัฒนำหลักสูตรเพื่อใช้ในกำรจัดกำรเรียนกำรสอนขั้นพื้นฐำนเท่ำที่ผ่ำนมำเป็นหน้ำที่ของหน่วยงำ นระดับนโยบำย โดยกรมวิชำกำร เป็นผู้พัฒนำหลักสูตรแกนกลำงหรือหลักสูตรระดับชำติ รวมทั้งเป็นผู้จัดเนื้อหำสำระแบบเรียน สื่อรำยวิชำต่ำงๆ ให้โรงเรียนใช้เหมือนกันทั่วประเทศ แม้ว่ำในคู่มือหลักสูตรประถมศึกษำ พุทธศักรำช 2521 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักรำช 2533) เปิดโอกำสให้โรงเรียนพัฒนำหลักสูตรให้สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนได้เอง แต่ก็มีโรงเรียนจำนวนไม่น้อยมำกคือประมำณร้อยละ 27 (สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำแห่งชำติ.2543 : 296) ที่มีหลักสูตรสอดคล้องกับท้องถิ่นและผู้เรียน ดังนั้น กำรศึกษำรูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรที่มุ่งส่งเสริมให้สถำนศึกษำสำมำรถพัฒนำหลักสูตรได้ในบริบทของประเ ทศจำกแนวคิดของหน่วยงำนต่ำงๆ ซึ่งมีส่วนสำคัญในกำรกำหนดรูปแบบ รวมทั้งแนวคิดของนักวิชำกำร อันนำไปสู่กำรสังเครำะห์เป็นรูปแบบสำหรับกำรพัฒนำหลักสูตรโรงเรียนในครั้งนี้ มีดังต่อไปนี้ 5.2.1 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของกรมวิชาการ กรมวิชำกำร กระทรวงศึกษำธิกำร (2539:2-35) ได้กำหนดให้โรงเรียนสำมำรถพัฒนำหลักสูตรเองได้ภำยใต้แนวทำงกำรพัฒนำหลักสูตรท้องถิ่นซึ่งมีรูปแบบกำ รดำเนินงำนพัฒนำหลักสูตร 4 ลักษณะ ดังต่อไปนี้ 1. กำรพัฒนำหลักสูตรโดยกำรปรับกิจกรรมกำรเรียนกำรสอน 2. กำรพัฒนำหลักสูตรโดยกำรปรับรำยละเอียดของเนื้อหำ 3. กำรพัฒนำหลักสูตรโดยกำรพัฒนำสื่อกำรเรียนกำรสอน 4. กำรพัฒนำหลักสูตรโดยกำรจัดทำวิชำ/รำยวิชำเพิ่มเติมขึ้นมำใหม่ 1. การพัฒนาหลักสูตรโดยการปรับกิจกรรมการเรียนการสอน กำรพิจำรณำไตร่ตรอง (Deliberation ) กำรออกแบบหลักสูตร (Curriculum design )