พุทธวจนฉบับภพภูมิ
- 2. ราธะ ! ความพอใจอันใด ราคะอันใด นันทิอันใด ตัณหาอันใด มีอยูในรูป ในเวทนา
ในสัญญา ในสังขารทังหลาย และในวิญญาณ เพราะการติดแลว ของแลวในสิงนันๆ
้
่ ้
เพราะฉะนั้นจึงเรียกวา “สัตว” ดังนี้.
วัจฉะ ! เรายอมบัญญัติความบังเกิดขึ้น สําหรับสัตวผูที่ยังมีอุปาทานอยู
ไมใชสําหรับสัตวผูที่ไมมีอุปาทาน.
วัจฉะ ! เปรียบเหมือนไฟที่มีเชื้อ ยอมโพลงขึ้นได ที่ไมมีเชื้อ ก็โพลงขึ้นไมได
อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น.
วัจฉะ ! สมัยใด เปลวไฟ ถูกลมพัดหลุดปลิวไปไกล เรายอมบัญญัติเปลวไฟนั้นวา
มีลมนันแหละเปนเชือ เพราะวาสมัยนัน ลมยอมเปนเชือของเปลวไฟนัน.
่
้
้
้
้
วัจฉะ ! สมัยใด สัตวทอดทิ้งกายนี้ และยังไมบังเกิดขึ้นดวยกายอื่น เรากลาวสัตวนี้วา
มีตัณหานั่นแหละเปนเชื้อ เพราะวาสมัยนั้น ตัณหายอมเปนเชื้อของสัตวนั้น.
ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนทอนไมอันบุคคลซัดขึ้นไปสูอากาศ
บางคราวตกเอาโคนลง บางคราวตกเอาตอนกลางลง บางคราวตกเอาปลายลง ขอนีฉนใด.
้ั
้ั
ี
่ ้ ั
่
่
ภิกษุทั้งหลาย ! สัตวทงหลายผูมอวิชชาเปนเครืองกัน มีตณหาเปนเครืองผูก ทองเทียวไปมาอยู
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน บางคราวแลนไปจากโลกนี้สูโลกอื่น บางคราวแลนจากโลกอื่นสูโลกนี้.
ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๓๒/๓๖๗.
สฬา. สํ. ๑๘/๔๘๕/๘๐๐.
นิทาน. สํ. ๑๖/๒๑๙/๔๓๘-๔๓๙.
- 3. พุ ท ธ ว จ น
ฉบับ ๑๑
ภพภูมิ
พุทธวจนสถาบัน
รวมกันศึกษา ปฏิบัติ เผยแผคําของตถาคต
- 5. คําอนุโมทนา
ขออนุโมทนา กับคณะผูจัดทํา หนังสือพุทธวจน
ฉบับ “ภพภูมิ” ที่มีความตั้งใจและมีเจตนาอันเปนกุศล
ในการเผยแผคําสอนของตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ
ทีออกจากพระโอษฐของพระองคเอง ทีทานตรัสรูในหลาย
่
่
แงมุม เกี่ยวกับการแลนไป การทองเที่ยวไปในสังสารวัฏ
ของสัตวทงหลายตลอดกาลยืดยาวนาน เปนสัจจะตามหลัก
ั้
พุทธวจน เพื่อใหผูสนใจไดศึกษาและนํามาปฏิบัติใหถึง
ความพนทุกข
ด ว ยเหตุ ป จ จั ย ดั ง กล า ว ขอให ผู มี ส ว นร ว มใน
การรวบรวมคําสอนของตถาคตที่บัญญัติเกี่ยวกับภพภูมิ
จนสําเร็จมาเปนหนังสือเลมนี้ รวมถึงผูที่ไดอาน ไดศึกษา
และไดปฏิบติ พึงเกิดปญญาไดดวงตาเห็นธรรม กระทําทีสด
ั
ุ่
เพื่อการละขาดแหงภพทั้งหลายดวยเทอญ.
ขออนุโมทนา
พระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล
- 6. อักษรยอ
เพื่อความสะดวกแกผูที่ยังไมเขาใจเรื่องอักษรยอ
ที่ใชแทนชื่อคัมภีร ซึ่งมีอยูโดยมาก
มหาวิ. วิ.
ภิกฺขุนี. วิ.
มหา. วิ.
จุลฺล. วิ.
ปริวาร. วิ.
สี. ที.
มหา. ที.
ปา. ที.
มู. ม.
ม. ม.
อุปริ. ม.
สคาถ. สํ.
นิทาน. สํ.
ขนฺธ. สํ.
สฬา. สํ.
มหาวาร. สํ.
เอก. อํ.
ทุก. อํ.
ติก. อํ.
จตุกฺก. อํ.
มหาวิภังค
ภิกขุนีวิภังค
มหาวรรค
จุลวรรค
ปริวารวรรค
สีลขันธวรรค
มหาวรรค
ปาฏิกวรรค
มูลปณณาสก
มัชฌิมปณณาสก
อุปริปณณาสก
สคาถวรรค
นิทานวรรค
ขันธวารวรรค
สฬายตนวรรค
มหาวารวรรค
เอกนิบาต
ทุกนิบาต
ติกนิบาต
จตุกกนิบาต
วินัยปฎก.
วินัยปฎก.
วินัยปฎก.
วินัยปฎก.
วินัยปฎก.
ทีฆนิกาย.
ทีฆนิกาย.
ทีฆนิกาย.
มัชฌิมนิกาย.
มัชฌิมนิกาย.
มัชฌิมนิกาย.
สังยุตตนิกาย.
สังยุตตนิกาย.
สังยุตตนิกาย.
สังยุตตนิกาย.
สังยุตตนิกาย.
อังคุตตรนิกาย.
อังคุตตรนิกาย.
อังคุตตรนิกาย.
อังคุตตรนิกาย.
- 7. ปฺจก. อํ.
ฉกฺก. อํ.
สตฺตก. อํ.
อก. อํ.
นวก. อํ.
ทสก. อํ.
เอกาทสก. อํ.
ขุ. ขุ.
ธ. ขุ.
อุ. ขุ.
อิติวุ. ขุ.
สุตฺต. ขุ.
วิมาน. ขุ.
เปต. ขุ.
เถร. ขุ.
เถรี. ขุ.
ชา. ขุ.
มหานิ. ขุ.
จูฬนิ. ขุ.
ปฏิสมฺ. ขุ.
อปท. ขุ.
พุทฺธว. ขุ.
จริยา. ขุ.
ปญจกนิบาต
ฉักกนิบาต
สัตตกนิบาต
อัฏฐกนิบาต
นวกนิบาต
ทสกนิบาต
เอกาทสกนิบาต
ขุททกปาฐะ
ธรรมบท
อุทาน
อิติวุตตกะ
สุตตนิบาต
วิมานวัตถุ
เปตวัตถุ
เถรคาถา
เถรีคาถา
ชาดก
มหานิทเทส
จูฬนิทเทส
ปฏิสัมภิทามรรค
อปทาน
พุทธวงส
จริยาปฎก
อังคุตตรนิกาย.
อังคุตตรนิกาย.
อังคุตตรนิกาย
อังคุตตรนิกาย.
อังคุตตรนิกาย.
อังคุตตรนิกาย.
อังคุตตรนิกาย.
ขุททกนิกาย.
ขุททกนิกาย.
ขุททกนิกาย.
ขุททกนิกาย.
ขุททกนิกาย.
ขุททกนิกาย.
ขุททกนิกาย.
ขุททกนิกาย.
ขุททกนิกาย.
ขุททกนิกาย.
ขุททกนิกาย.
ขุททกนิกาย.
ขุททกนิกาย.
ขุททกนิกาย.
ขุททกนิกาย.
ขุททกนิกาย.
ตัวอยาง : ๑๔/๑๗๑/๒๔๕ ใหอานวา
ไตรปฎกฉบับสยามรัฐ เลม ๑๔ หนา ๑๗๑ ขอที่ ๒๔๕
- 9. คํานํา
เพราะเหตุ ว า สงสารนี้ กํ า หนดที่ สุ ด เบื้ อ งต น
เบื้องปลายไมได เมื่อเหลาสัตวผูมีอวิชชาเปนเครื่องกั้น
มีตัณหาเปนเครื่องผูก ทองเที่ยวไปมาอยู ที่สุดเบื้องตน
ยอมไมปรากฏ สัตวเหลานันไดเสวยความทุกข ความเผ็ดรอน
้
ความพินาศ ไดเพิ่มพูนปฐพีที่เปนปาชาตลอดกาลนาน
เหมือนอยางนั้น
น้ําตา ที่เราเคยหลั่งไหล น้ํานม ที่เราเคยไดดื่ม
เลือด ทีเราเคยสูญเสีย เปรียบกับน้าในมหาสมุทรทัง ๔ แลว
่
ํ
้
ไมมากกวาเลย ดวยเหตุวาสังสารวัฏนันกําหนดทีสดเบืองตน
้
ุ่ ้
เบื้องปลายไมได เมื่อเหลาสัตวผูมีอวิชชาเปนเครื่องกั้น
มีตณหาเปนเครื่องผูก ทองเที่ยวไปมาอยู
ั
เพียงพอหรือยังที่เราทั้งหลายจะบอกตนเองวา
ดวยเหตุเพียงเทานี้ ก็พอแลวเพื่อจะเบื่อหนายในสังขาร
ทังหลาย พอแลวเพือจะคลายกําหนัด พอแลวเพือจะหลุดพน
้
่
่
จากสังขารทั้งปวงนี้
ตถาคตอรหั น ตสั ม มาสั ม พุ ท ธะได ท รงเห็ น และ
ทรงแสดงภพภูมิตางๆ ใหเราไดทราบแลว
- 12. สารบัญ
ภพ
๑
๑. ภพ เปนอยางไร
๒. ความมีขึ้นแหงภพ (นัยที่ ๑)
๓. ความมีขึ้นแหงภพ (นัยที่ ๒)
๔. เครื่องนําไปสูภพ
๕. ความเกิดขึ้นแหงภพใหม
๖. ที่ตั้งอยูของวิญญาณ (นัยที่ ๑)
๗. ที่ตั้งอยูของวิญญาณ (นัยที่ ๒)
๘. ความมีขึ้นแหงภพ แมมีอยูชั่วขณะก็นารังเกียจ
สัตว
๙. ความหมายของคําวา “สัตว”
๑๐. เหตุใหมีการเกิด
๑๑. ลักษณะของการเกิด
๑๒. กายแบบตางๆ
๑๓. คติ ๕ และอุปมา
นรก
๑๔. เหตุใหทุคติปรากฏ
๑๕. โทษแหงศีลวิบัติของคนทุศีล
๑๖. ทุคติของผูทุศีล
๑๗. วิบากของผูทุศีล
๓
๔
๖
๘
๙
๑๑
๑๕
๑๙
๒๑
๒๓
๒๕
๒๗
๒๙
๓๑
๔๑
๔๒
๔๗
๔๙
๕๑
- 13. ๑๘. เคราะหรายอันใหญหลวงของคนพาล
๑๙. ปฏิปทาใหเขาถึงนรกชื่อปหาสะ
๒๐. ปฏิปทาใหเขาถึงนรกชื่อสรชิต
๒๑. อสัทธรรมที่ทําใหเกิดในนรกตลอดกัป
๒๒. อุปมาความทุกขในนรก
๒๓. ความทุกขในนรก
๒๔. อายุนรก
๒๕. การเขาถึงนรกในภพปจจุบัน (นัยที่ ๑)
๒๖. การเขาถึงนรกในภพปจจุบัน (นัยที่ ๒)
๒๗. การจองจําที่ทารุณเจ็บปวด
๒๘. ความเปนไปไดยาก
๒๙. การไมรูอริยสัจ มืดยิ่งกวาโลกันตริก
สัตวเดรัจฉาน
๕๔
๕๗
๕๙
๖๑
๖๓
๗๓
๘๙
๙๓
๙๖
๙๘
๑๐๑
๑๐๔
๑๐๗
๓๐. เหตุที่ทําใหเกิดเปนสัตวเดรัจฉาน
๑๐๘
๓๑. นาคเปนสัตวเดรัจฉาน
๑๑๑
๓๒. กําเนิดนาค ๔ จําพวก
๑๑๕
๓๓. เหตุใหนาครักษาอุโบสถ
๑๑๖
๓๔. เหตุใหเขาถึงความเปนสหายของนาค (นัยที่ ๑) ๑๑๗
๓๕. เหตุใหเขาถึงความเปนสหายของนาค (นัยที่ ๒) ๑๑๘
๓๖. กําเนิดครุฑ ๔ จําพวก
๑๑๙
๓๗. เหตุใหเขาถึงความเปนสหายพวกครุฑ (นัยที่ ๑) ๑๒๐
๓๘. เหตุใหเขาถึงความเปนสหายพวกครุฑ (นัยที่ ๒) ๑๒๑
๓๙. ปฏิปทาใหถึงความเปนสุนัขและโค
๑๒๓
- 14. ๔๐. สัตวที่อยูในอบายมีมาก
๔๑. การจองจําที่ทารุณเจ็บปวด
๔๒. ความเปนไปไดยาก
เปรตวิสัย
๔๓. เปรตวิสัย
๔๔. ภพภูมิที่บริโภคทานได
๔๕. ความเปนไปไดยาก
มนุษย
๔๖. เหตุใหสุคติปรากฏ
๔๗. อานิสงสแหงศีลสมบัติของคนมีศีล
๔๘. สุคติของผูมีศีล
๔๙. ขอดีของมนุษยเทียบกับ เทวดาชั้นดาวดึงส
๕๐. เหตุแหงการเกิดในครรภ
๕๑. สัตวตั้งอยูในครรภไดอยางไร
๕๒. เหตุแหงการดํารงอยูของชีวิต
๕๓. เหตุใหไดความเปนหญิงหรือชาย
๕๔. เหตุใหมนุษยเกิดมาแตกตางกัน
๕๕. ธรรมของพระเจาจักรพรรดิ
๕๖. กรรมกําหนด
๕๗. เหตุสําเร็จความปรารถนา
๕๘. การเกิดสังคมมนุษย
๕๙. ปจจัยตออายุขัยของมนุษย
๑๒๖
๑๒๙
๑๓๑
๑๓๕
๑๓๖
๑๔๙
๑๕๕
๑๕๙
๑๖๐
๑๖๕
๑๖๗
๑๖๙
๑๗๑
๑๗๕
๑๗๗
๑๘๑
๑๘๕
๑๙๗
๑๙๙
๒๐๑
๒๐๓
๒๑๗
- 15. ๖๐. ผลจากความไมมีธรรมะของมนุษย
๖๑. เหตุที่ทําใหมนุษยจํานวนลดลง
๖๒. เครื่องผูกพันสัตว
๖๓. เหตุที่สัตวบางพวกกลัวตาย บางพวกไมกลัวตาย
๖๔. โอกาสในการเกิดเปนมนุษยนั้นยาก
๖๕. ความเปนไปไดยาก
เทวดา
๖๖. ขอดีของเทวดาเทียบกับมนุษย
๖๗. ผลแหงความประพฤติเรียบรอย
๖๘. ผลจากการวางจิตเมื่อใหทาน
๖๙. ผลของการตอนรับบรรพชิต ดวยวิธีที่ตางกัน
๗๐. เหตุสําเร็จความปรารถนา
๗๑. เหตุเกิดขึ้นแหงทาน ๘ ประการ
๗๒. สัดสวนของทาน ศีล ภาวนา
๗๓. ความแตกตางของผูใหกับผูไมให
๗๔. อุปมาความสุขบนสวรรค
๗๕. อานิสงสการรักษาอุโบสถ
๗๖. เทวดาซึ่งนับเนื่องในหมูคนธรรพ
๗๗. เหตุใหเขาถึงความเปนสหายของเทวดา
ซึ่งนับเนื่องในหมูคนธรรพ (นัยที่ ๑)
๗๘. เหตุใหเขาถึงความเปนสหายของเทวดา
ซึ่งนับเนื่องในหมูคนธรรพ (นัยที่ ๒)
๒๒๒
๒๒๔
๒๒๗
๒๒๙
๒๓๕
๒๓๗
๒๔๑
๒๔๓
๒๔๔
๒๔๘
๒๕๓
๒๕๖
๒๖๔
๒๖๗
๒๗๓
๒๗๖
๒๘๙
๓๐๕
๓๐๗
๓๐๘
- 16. ๗๙. เทวดาซึ่งนับเนื่องในหมูวลาหก
๘๐. เหตุใหเขาถึงความเปนสหายของเทวดา
ซึ่งนับเนื่องในหมูวลาหก
๘๑. เทวดาเหลามนาปกายิกา
๘๒. เทวดาเขาถือเอาพื้นที่
๘๓. เหตุใหไดความเปนจอมเทพ
๘๔. การบูชาเทวดา
๘๕. การบูชาที่จัดเปนการบูชาอยางสูงสุด
๘๖. ทางเพื่อความเปนสหายแหงพรหม
๘๗. ความแตกตางระหวางปุถุชน
กับอริยสาวก ผูไดรูปสัญญา
๘๘. ผลของการเจริญรูปสัญญา
แลวเห็นความไมเที่ยง
๘๙. ความแตกตางระหวางปุถุชน
กับอริยสาวก ผูเจริญพรหมวิหาร
๙๐. ผลของการเจริญพรหมวิหาร
แลวเห็นความไมเที่ยง
๙๑. ความแตกตางระหวางปุถุชน
กับอริยสาวก ผูไดอรูปสัญญา
๙๒. ผลของการเจริญอรูปสัญญา
แลวเห็นความไมเที่ยง
๙๓. เทวดาชั้นสุทธาวาส
๙๔. ชุมนุมเทวดา
๓๑๐
๓๑๑
๓๑๓
๓๑๗
๓๑๙
๓๒๑
๓๒๒
๓๒๓
๓๒๕
๓๓๑
๓๓๓
๓๓๙
๓๔๒
๓๔๗
๓๔๙
๓๕๔
- 17. ๙๕. เทวดาเคยรบกับอสูร
๙๖. ตําแหนงที่สตรีเปนไมได
๙๗. อานิสงสแหงการฟงธรรมเนืองๆ
๙๘. การเขาถึงสวรรคในภพปจจุบัน
๙๙. แมแตเทวดาก็ไมเที่ยง
๑๐๐. ความเห็นผิดของพกพรหม
๑๐๑. เหตุที่มีความเห็นวา อัตตาและโลก
บางอยางเที่ยง บางอยางไมเที่ยง
๑๐๒. สุคติของเทวดา
๑๐๓. ความเปนไปไดยาก
ความยาวนาน แหงสังสารวัฏ
๑๐๔. ความนานแหงกัป (นัยที่ ๑)
๑๐๕. ความนานแหงกัป (นัยที่ ๒)
๑๐๖. ความยาวนานแหงสังสารวัฏ (นัยที่ ๑)
๑๐๗. ความยาวนานแหงสังสารวัฏ (นัยที่ ๒)
๑๐๘. การทองเที่ยวที่แสนยาวนาน
๑๐๙. การเวียนเกิดที่แสนยาวนาน
๑๑๐. ผูที่ไมเคยเกี่ยวของกัน หาไดยาก
๑๑๑. น้ําตา ที่เคยหลั่งไหล
๑๑๒. น้ํานม ที่เคยไดดื่ม
๑๑๓. ทุกข ที่เคยประสบ
๑๑๔. สุข ที่เคยไดรับ
๓๖๒
๓๖๖
๓๖๘
๓๗๓
๓๗๕
๓๗๗
๓๘๑
๓๘๗
๓๙๑
๓๙๕
๓๙๖
๓๙๘
๔๐๐
๔๐๒
๔๐๔
๔๐๖
๔๐๘
๔๑๑
๔๑๔
๔๑๖
๔๑๗
- 18. ๑๑๕. เลือด ที่เคยสูญเสีย
๔๑๘
๑๑๖. ความไมแนนอนของการไดอัตภาพ
๔๒๐
๑๑๗. สิ่งทั้งหลายไมเที่ยง (นัยที่ ๑)
๔๒๒
๑๑๘. สิ่งทั้งหลายไมเที่ยง (นัยที่ ๒)
๔๒๖
๑๑๙. เพราะไมรูอริยสัจ จึงตองทองเที่ยวไปในสังสารวัฏ๔๓๓
นิพพาน
๑๒๐. อุปมาแหงนิพพาน
๑๒๑. ความรูสึกของปุถุชน
๑๒๒. นิพพาน คือ ธรรมเปนที่สิ้นไปแหงอาสวะ
๑๒๓. ความสิ้นตัณหา คือ นิพพาน
๑๒๔. นิพพานที่เห็นไดเอง
๑๒๕. นิพพานที่เห็นไดเอง ตามคําของพระอานนท
๑๒๖. การปรินิพพานในปจจุบัน
๑๒๗. ความหมายของคําวา “ความดับ”
๑๒๘. ความดับของขันธ ๕ คือ ความดับของทุกข
๑๒๙. ความดับของอายตนะ คือ ความดับของทุกข
๑๓๐. ละตัณหาได คือ ละเบญจขันธได
๑๓๑. ดับตัณหา คือ ปลงภาระหนักลงได
๑๓๒. ละความพอใจในสิ่งใด คือ การละซึ่งสิ่งนั้น
๑๓๓. เมื่อ “เธอ” ไมมี
๑๓๔. สังขตลักษณะ
๑๓๕. อสังขตลักษณะ
๔๓๗
๔๓๘
๔๔๐
๔๔๓
๔๔๔
๔๔๖
๔๕๐
๔๕๒
๔๕๔
๔๕๕
๔๖๐
๔๖๑
๔๖๓
๔๖๕
๔๖๖
๔๖๗
๔๖๘
- 19. ๑๓๖. “ดิน น้ํา ไฟ ลม” ไมอาจหยั่งลงไดในที่ไหน
๑๓๗. “สิ่งนั้น” หาพบในกายนี้
๑๓๘. สิ่งๆ นั้น มีอยู
๑๓๙. สิ่งนั้น มีแน
๑๔๐. ลําดับการปฏิบัติ เพื่ออรหัตตผล
๑๔๑. ลําดับการหลุดพน เมื่อเห็นอนัตตา
๑๔๒. อริยมรรคมีองค ๘ คือ
ขอปฏิบัติเพื่อความพนทุกข
ภาคผนวก
๑๔๓. ตถาคตผูอรหันตสัมมาสัมพุทธะ
๑๔๔. บริษัทสมาคม ๘
๑๔๕. บุรพกรรมของการไดลักษณะของมหาบุรุษ
๑๔๖. อานิสงสของผูมีจิตเลื่อมใสในตถาคต
๑๔๗. วาดวยทักษิณา
๑๔๘. รัตนะที่หาไดยาก
๑๔๙. ผูมีอุปการะมาก
๑๕๐. ประพฤติพรหมจรรยเพื่อการละขาดซึ่งภพ
๔๖๙
๔๗๒
๔๗๓
๔๗๔
๔๗๖
๔๗๘
๔๘๐
๔๘๗
๔๘๘
๔๙๐
๔๙๒
๕๐๑
๕๐๔
๕๑๐
๕๑๑
๕๑๓
Dhammaintrend ร่วมเผยแพร่และแบ่งปันเป็นธรรมทาน
- 23. ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ ๓
๑
ภพ เปนอยางไร
ภิกษุทั้งหลาย ! ภพ1 เปนอยางไรเลา ?
ภิกษุทงหลาย ! ภพทังหลาย ๓ อยาง เหลานีคอ :ั้
้
้ื
2
กามภพ รูปภพ อรูปภพ.
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกวา ภพ.
ความกอขึ้นพรอมแหงภพ ยอมมี
เพราะความกอขึ้นพรอมแหงอุปาทาน
ความดับไมเหลือแหงภพ ยอมมี
เพราะความดับไมเหลือแหงอุปาทาน
มรรคอันประกอบดวยองคแปดอันประเสริฐนันเอง
่
เปนปฏิปทาใหถึงความดับไมเหลือแหงภพ
ไดแกสิ่งเหลานี้คือ :ความเห็นชอบ ความดําริชอบ
การพูดจาชอบ การทําการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ
ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตังใจมันชอบ.
้ ่
นิทาน. สํ. ๑๖/๕๑/๙๑.
1. ภพ : สถานทีอนวิญญาณใชตงอาศัยเพือเกิดขึน หรือเจริญงอกงามตอไป.
่ั
ั้
่
้
(ดูเพิมเติม ทีตงอยูของวิญญาณ น.๑๕ ตรัสภพเปรียบกับดิน วิญญาณ
่
่ ั้
่
เปรียบกับสวนของพืชเชน เมล็ด ทีสามารถเจริญงอกงามตอไปได)
2. กามภพ : ที่เกิดอันอาศัย ดิน นํ้า ไฟ ลม, รูปภพ : สถานที่เกิดอันอาศัย
สิงทีเ่ ปนรูปในสวนละเอียด, อรูปภพ : สถานทีเ่ กิดอันอาศัยสิงทีไมใชรป.
่
่ ่
ู
- 24. ๔ พุ ท ธ ว จ น
๒
ความมีขึ้นแหงภพ (นัยที่ ๑)
ขาแตพระองคผูเจริญ ! พระผูมพระภาคเจากลาวอยูวา
ี
‘ภพ–ภพ’ ดังนี้ ภพ ยอมมีได ดวยเหตุเพียงเทาไรเลา พระเจาขา !
อานนท ! ถากรรมมีกามธาตุ1เปนวิบาก จักไมไดมี
แลวไซร กามภพ จะพึงปรากฏไดแลหรือ ?
หามิได พระเจาขา !
อานนท ! ดวยเหตุนแหละ กรรมจึงเปนเนือนา
ี้
้
วิญญาณเปนเมล็ดพืช ตัณหาเปนยาง (สําหรับหลอเลี้ยง
เชื้องอก) ของพืช วิญญาณของสัตวทั้งหลาย มีอวิชชา
เปนเครื่องกั้น มีตัณหาเปนเครื่องผูก ตั้งอยูแลวดวย
ธาตุชั้นทราม (กามธาตุ) การบังเกิดขึ้นในภพใหมตอไป
ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้.
อานนท ! ถากรรมมีรปธาตุ2เปนวิบาก จักไมไดมี
ู
แลวไซร รูปภพ จะพึงปรากฏไดแลหรือ ?
หามิได พระเจาขา !
1. กามธาตุ : ธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตุลมและธาตุไฟ.
(ดูเพิ่มเติม ไตรปฎกไทย นิทาน. สํ. ๑๖/๑๔๘/๓๕๕-๖.)
2. รูปธาตุ : สิงทีเ่ ปนรูปในสวนละเอียด. (ดูเพิมเติม “มีอวัยวะนอยใหญครบถวน
่
่
มีอนทรียไมทราม” ไตรปฎกไทย สี. ที. ๙/๓๒/๔๙.)
ิ
- 25. ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ ๕
อานนท ! ดวยเหตุนแหละ กรรมจึงเปนเนือนา
ี้
้
วิญญาณเปนเมล็ดพืช ตัณหาเปนยางของพืช วิญญาณ
ของสัตวทั้งหลาย มีอวิชชาเปนเครื่องกั้น มีตัณหาเปน
เครื่องผูก ตั้งอยูแลวดวยธาตุชั้นกลาง (รูปธาตุ) การ
บังเกิดขึนในภพใหมตอไป ยอมมีได ดวยอาการอยางนี.้
้
อานนท ! ถากรรมมีอรูปธาตุ1เปนวิบาก จักไมไดมี
แลวไซร อรูปภพ จะพึงปรากฏไดแลหรือ ?
หามิได พระเจาขา !
อานนท ! ดวยเหตุนแหละ กรรมจึงเปนเนือนา
ี้
้
วิญญาณเปนเมล็ดพืช ตัณหาเปนยางของพืช วิญญาณ
ของสัตวทั้งหลาย มีอวิชชาเปนเครื่องกั้น มีตัณหาเปน
เครืองผูก ตังอยูแลวดวยธาตุชนประณีต (อรูปธาตุ) การ
่
้
ั้
บังเกิดขึนในภพใหมตอไป ยอมมีได ดวยอาการอยางนี.้
้
อานนท ! ภพ ยอมมีได ดวยอาการอยางนีแล.
้
ติก. อํ. ๒๐/๒๘๗/๕๑๖.
1. อรูปธาตุ : สิ่งที่ไมใชรูป เปนนามธรรม เชน เวทนา สัญญา สังขาร.
(ผูไดสมาธิระดับ อากาสานัญจายตนะขึ้นไป)
- 26. ๖ พุ ท ธ ว จ น
๓
ความมีขึ้นแหงภพ (นัยที่ ๒)
ขาแตพระองคผูเจริญ ! พระผูมพระภาคเจากลาวอยูวา
ี
‘ภพ–ภพ’ ดังนี้ ภพ ยอมมีได ดวยเหตุเพียงเทาไรเลา พระเจาขา !
อานนท ! ถากรรมมีกามธาตุเปนวิบาก จักไมไดมี
แลวไซร กามภพ จะพึงปรากฏไดแลหรือ ?
หามิได พระเจาขา !
อานนท ! ดวยเหตุนแหละ กรรมจึงเปนเนือนา
ี้
้
วิญญาณเปนเมล็ดพืช ตัณหาเปนยางของพืช (สําหรับ
หลอเลี้ยงเชื้องอก) ความเจตนาก็ดี ความปรารถนาก็ดี
ของสัตวทงหลาย ทีมอวิชชาเปนเครืองกัน มีตณหาเปน
ั้
่ ี
่ ้
ั
เครื่องผูก ตั้งอยูแลวดวยธาตุชั้นทราม (กามธาตุ) การ
บังเกิดขึนในภพใหมตอไป ยอมมีได ดวยอาการอยางนี.้
้
อานนท ! ถากรรมมีรปธาตุเปนวิบาก จักไมไดมี
ู
แลวไซร รูปภพ จะพึงปรากฏไดแลหรือ ?
หามิได พระเจาขา !
- 27. ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ ๗
อานนท ! ดวยเหตุนแหละ กรรมจึงเปนเนือนา
ี้
้
วิญญาณเปนเมล็ดพืช ตัณหาเปนยางของพืช ความเจตนา
ก็ดี ความปรารถนาก็ดีของสัตวทั้งหลาย ที่มีอวิชชา
เปนเครื่องกั้น มีตัณหาเปนเครื่องผูก ตั้งอยูแลวดวย
ธาตุชั้นกลาง (รูปธาตุ) การบังเกิดขึ้นในภพใหมตอไป
ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้.
อานนท ! ถากรรมมีอรูปธาตุเปนวิบาก จักไมไดมี
แลวไซร อรูปภพ จะพึงปรากฏไดแลหรือ ?
หามิได พระเจาขา !
อานนท ! ดวยเหตุนแหละ กรรมจึงเปนเนือนา
ี้
้
วิญญาณเปนเมล็ดพืช ตัณหาเปนยางของพืช ความเจตนา
ก็ดี ความปรารถนาก็ดีของสัตวทั้งหลาย ที่มีอวิชชา
เปนเครื่องกั้น มีตัณหาเปนเครื่องผูก ตั้งอยูแลวดวย
ธาตุชนประณีต (อรูปธาตุ) การบังเกิดขึนในภพใหมตอไป
้ั
้
ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้.
อานนท ! ภพ ยอมมีได ดวยอาการอยางนีแล.
้
ติก. อํ. ๒๐/๒๘๘/๕๑๗.
- 28. ๘ พุ ท ธ ว จ น
๔
เครื่องนําไปสูภพ
ขาแตพระองคผเู จริญ ! พระองคตรัสอยูวา ‘เครืองนําไปสูภพ
่
เครืองนําไปสูภพ’ ดังนี้ ก็เครืองนําไปสูภพ เปนอยางไร พระเจาขา !
่
่
และความดับไมเหลือของเครื่องนําไปสูภพนั้น เปนอยางไรเลา
พระเจาขา !
ราธะ ! ฉันทะ (ความพอใจ) ก็ดี ราคะ (ความ
กําหนัด) ก็ดี นันทิ (ความเพลิน) ก็ดี ตัณหา (ความอยาก)
ก็ดี อุ ป ายะ (กิเลสเปนเหตุเขาไปสูภพ) และอุ ป าทาน
(ความถือมั่นดวยอํานาจกิเลส) อันเปนเครื่องตั้งทับ เครื่อง
เขาไปอาศัย และเครื่องนอนเนื่องแหงจิตก็ดีใดๆ ในรูป
ในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั้งหลาย และในวิญญาณ
กิเลสเหลานี้ นี่เราเรียกวา ‘เครื่องนําไปสูภพ’
ความดับไมเหลือของเครื่องนําไปสูภพ มีได
เพราะความดับไมเหลือของกิเลส มีฉนทะ ราคะ เปนตน
ั
เหลานั้นเอง.
ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๓๓/๓๖๘.
- 29. ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ ๙
๕
ความเกิดขึ้นแหงภพใหม
ภิกษุทั้งหลาย !
ถาบุคคลยอมคิด (เจเตติ) ถึงสิ่งใดอยู ยอมดําริ
(ปกปฺเปติ) ถึงสิ่งใดอยู และยอมมีจิตฝงลงไป (อนุเสติ)
ในสิ่งใดอยู สิ่งนั้นยอมเปนอารมณ เพื่อการตั้งอยูแหง
วิ ญ ญาณ เมื่ อ อารมณ มี อ ยู ความตั้ ง ขึ้ น เฉพาะแห ง
วิญญาณ ยอมมี เมื่อวิญญาณนั้น ตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญ
งอกงามแลว ความเกิดขึ้นแหงภพใหมตอไป ยอมมี
เมื่อความเกิดขึ้นแหงภพใหมตอไป มีอยู ชาติชรามรณะ
โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้น
ครบถวน ความเกิดขึนพรอมแหงกองทุกขทงสินนี้ ยอมมี
้
ั้ ้
ดวยอาการอยางนี้.
ภิกษุทั้งหลาย !
ถาบุคคลยอมไมคด (โน เจเตติ) ถึงสิงใด ยอมไมดาริ
ิ
่
ํ
(โน ปกปฺเปติ) ถึงสิ่งใด แตเขายังมีจิตฝงลงไป (อนุเสติ)
ในสิ่งใดอยู สิ่งนั้นยอมเปนอารมณ เพื่อการตั้งอยูแหง
วิญญาณ เมืออารมณ มีอยู ความตังขึนเฉพาะแหงวิญญาณ
่
้ ้
- 30. ๑๐ พุ ท ธ ว จ น
ยอมมี เมื่อวิญญาณนั้น ตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแลว
ความเกิดขึนแหงภพใหมตอไป ยอมมี เมีอความเกิดขึนแหง
้
่
้
ภพใหมตอไป มีอยู ชาติชรามรณะโสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส
อุปายาสทังหลาย ยอมเกิดขึนครบถวน ความเกิดขึนพรอม
้
้
้
แหงกองทุกขทงสินนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี.้
้ั ้
ภิกษุทั้งหลาย !
ก็ถาวาบุคคลยอมไมคดถึงสิงใดดวย ยอมไมดาริ
ิ
่
ํ
ถึงสิงใดดวย และยอมไมมจตฝงลงไป (โน อนุเสติ) ในสิง
่
ีิ
่
ใดดวย ในกาลใด ในกาลนั้น สิ่งนั้น ยอมไมเปนอารมณ
เพื่ อ การตั้ ง อยู แ ห ง วิ ญ ญาณได เ ลย เมื่ อ อารมณ ไ ม มี
ความตังขึนเฉพาะแหงวิญญาณ ยอมไมมี เมือวิญญาณนัน
้ ้
่
้
ไมตั้งขึ้นเฉพาะ ไมเจริญงอกงามแลว ความเกิดขึ้นแหง
ภพใหมตอไป ยอมไมมี เมื่อความเกิดขึ้นแหงภพใหม
ตอไป ไมมี ชาติชรามรณะโสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส
อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น ความดับลงแหงกองทุกข
ทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้ ดังนี้แล.
นิทาน. สํ. ๑๖/๗๘/๑๔๕.
- 31. ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ ๑๑
๖
ที่ตั้งอยูของวิญญาณ (นัยที่ ๑)
อานนท ! วิญญาณฐิติ (ที่ตั้งอยูของวิญญาณ) ๗
เหลานี้ และ อายตนะ ๒ มีอยู.
วิญญาณฐิติ ๗ เหลาไหนเลา ?
วิญญาณฐิติ ๗ คือ :อานนท ! สัตวทั้งหลาย (สตฺตา) มีกายตางกัน
มีสญญาตางกัน มีอยู ไดแก มนุษยทงหลาย เทวดาบางพวก
ั
้ั
และวินิบาตบางพวก นี้คือ วิญญาณฐิติที่ ๑.
อานนท ! สัตวทั้งหลาย มีกายตางกัน มีสัญญา
อยางเดียวกัน มีอยู ไดแก พวกเทพผูนบเนืองในหมูพรหม
ั ่
1
ทีบงเกิดโดยปฐมภูมิ (ปมานิพพตฺตา) นีคอ วิญญาณฐิตท่ี ๒.2
่ ั
ฺ
้ื
ิ
1. ปฐมภูมิ : ภูมิเบื้องตน สามารถเขาถึงไดหลายทาง เชน ผูไดปฐมฌาน,
ผูเจริญเมตตา, ผูกระทํากุศลกรรมบท ๑๐, ผูประกอบพรอมดวย ศรัทธา
ศีล สุตตะ จาคะ ปญญา เปนตน. (ดูเพิ่มเติม สัตตาวาสที่ ๒ น.๒๙)
2. ในไตรปฎกฉบับสยามรัฐ เฉพาะในสูตรนี้ วิญญาณฐิติที่ ๒ จะพบวามีคําวา
อบายทั้ง ๔ อยูเพียงตําแหนงเดียวที่เปนพุทธวจน แตไมตรงกับสูตรอื่น
ุ ่
ที่กลาวถึงวิญญาณฐิติ ๗ (คือใน ๒ สูตรของพระสารีบตรทีพระพุทธเจารับรอง ๑ สูตร
และพระสารีบตรทรงจําเอง ๑ สูตร) และไมตรงกับไตรปฎกฉบับภาษามอญและ
ุ
ภาษายุโรป ดังนั้น คําวา อบายทั้ง ๔ จึงไมไดนํามาใสในที่นี้.
- 32. ๑๒ พุ ท ธ ว จ น
อานนท ! สัตวท้ังหลาย มีกายอยางเดียวกัน
มีสัญญาตางกัน มีอยู ไดแก พวกเทพอาภัสสระ นี้คือ
วิญญาณฐิติที่ ๓.
อานนท ! สัตวท้ังหลาย มีกายอยางเดียวกัน
มีสญญาอยางเดียวกัน มีอยู ไดแก พวกเทพสุภกิณหะ นีคอ
ั
้ ื
วิญญาณฐิติที่ ๔.
อานนท ! สัตวทั้งหลาย เพราะกาวลวงเสียไดซึ่ง
รูปสัญญา1 โดยประการทั้งปวง เพราะความดับไปแหง
ปฏิฆสัญญา2 เพราะไมใสใจนานัตตสัญญา3 จึงเขาถึงอากาสานัญจายตนะ มีการทําในใจวา “อากาศไมมทสด” ดังนี้ มีอยู
ี ่ี ุ
นี้คือ วิญญาณฐิติที่ ๕.
อานนท ! สัตวทั้งหลาย เพราะกาวลวงเสียไดซึ่ง
อากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง จึงเขาถึงวิญญาณัญจายตนะ มีการทําในใจวา “วิญญาณไมมีที่สุด” ดังนี้
มีอยู นี้คือ วิญญาณฐิติที่ ๖.
อานนท ! สัตวทงหลาย เพราะกาวลวงเสียไดซึ่ง
้ั
วิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง จึงเขาถึงอากิญ1. รูปสัญญา : ความหมายรูในรูป.
2. ปฏิฆสัญญา : ความหมายรูอันไมนายินดีในสวนรูป.
3. นานัตตสัญญา : ความหมายรูอันมีประการตางๆ ในสวนรูป.
- 33. ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ ๑๓
จัญญายตนะ มีการทําในใจวา “อะไร ๆ ไมมี” ดังนี้ มีอยู
นี้คือ วิญญาณฐิติที่ ๗.
สวน อายตนะ ๒ นั้น คือ
อสัญญีสัตตายตนะที่ ๑
เนวสัญญานาสัญญายตนะที่ ๒
อานนท ! ในบรรดาวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒
(รวมเปน ๙) นั้น วิญญาณฐิติที่ ๑ อันใด มีอยู คือ สัตว
ั
้ั
ทังหลาย มีกายตางกัน มีสญญาตางกัน ไดแก มนุษยทงหลาย
้
เทวดาบางพวก และวินิบาตบางพวก.
อานนท ! ผูใดรูชัดวิญญาณฐิติที่ ๑ นั้น รูชัด
การเกิด (สมุทัย) แหงสิ่งนั้น รูชัดความดับ (อัตถังคมะ)
แหงสิ่งนั้น รูชัดรสอรอย (อัสสาทะ) แหงสิ่งนั้น รูชัดโทษ
ต่ําทราม (อาทีนวะ) แหงสิงนัน และรูชัดอุบายเปนเครืองออก
่ ้
่
่ ้
้
่ ู ้ั
ไปพน (นิสสรณะ) แหงสิงนัน ดังนีแลว ควรหรือหนอทีผนน
จะเพลิดเพลินยิงซึ่งวิญญาณฐิติที่ ๑ นั้น ?
่
ขอนั้น เปนไปไมได พระเจาขา !
(ในกรณีแหง วิญญาณฐิตที่ ๒ วิญญาณฐิตที่ ๓ วิญญานิ
ิ
ฐิติที่ ๔ วิญญาณฐิติที่ ๕ วิญญาณฐิติที่ ๖ วิญญาณฐิติที่ ๗ และ
อสัญญีสตตายตนะที่ ๑ ซึงมีลกษณะเฉพาะอยางดังทีกลาวแลวขางตน
ั
่ ั
่
ก็ไดมการอธิบาย ตรัสถาม และทูลตอบ โดยขอความทํานองเดียวกัน
ี
- 34. ๑๔ พุ ท ธ ว จ น
กับในกรณีแหงวิญญาณฐิติที่ ๑ นั้น ทุกประการ ตางกันแตชื่อแหง
สภาพธรรมนั้นๆ เทานั้น สวนเนวสัญญานาสัญญายตนะที่ ๒ นั้น
จะไดบรรยายดวยขอความเต็มอีกครั้งหนึ่ง ดังตอไปนี้ :-)
อานนท ! ในบรรดาวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒
(รวมเปน ๙) นัน เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ความหมายรูวา
้
มีกไมใช ไมมกไมใช) อันใด มีอยู.
็
ี็
อานนท ! ผูใดรูชดเนวสัญญานาสัญญายตนะนัน
ั
้
รูชดการเกิดแหงสิงนัน รูชดการดับแหงสิงนัน รูชดรสอรอย
ั
่ ้ ั
่ ้ ั
แหงสิ่งนั้น รูชัดโทษอันต่ําทรามแหงสิ่งนั้น และรูชัดอุบาย
เปนเครื่องออกแหงสิ่งนั้น ดังนี้แลว ควรหรือหนอ ที่ผูนั้น
จะเพลิดเพลินยิ่งซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ?
ขอนั้น เปนไปไมได พระเจาขา !
อานนท ! เมื่อใดแล ภิกษุรูแจงชัดตามเปนจริง
ซึงการเกิด การดับ รสอรอย โทษอันตําทราม และอุบายเปน
่
่
เครืองออกแหงวิญญาณฐิติ ๗ เหลานี้ และแหงอายตนะ ๒
่
เหลานีดวยแลว เปนผูหลุดพนเพราะความไมยดมัน.
้
ึ ่
อานนท ! ภิกษุนเี้ รากลาววา ผูเปนปญญาวิมตติ.
ุ
มหา. ที. ๑๐/๘๑-๘๓/๖๕.
- 35. ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ ๑๕
๗
ที่ตั้งอยูของวิญญาณ (นัยที่ ๒)
ภิกษุทงหลาย ! สิงทีใชเปนพืชมี ๕ อยาง เหลานี.้
ั้
่ ่
๕ อยาง เหลาไหนเลา ? ๕ อยาง คือ :(๑) พืชจากเหงาหรือราก (มูลพีช)
(๒) พืชจากตน (ขนฺธพีช)
(๓) พืชจากตาหรือผล (ผลพีช)
(๔) พืชจากยอด (อคฺคพีช)
(๕) พืชจากเมล็ด (พีชพีช)
ภิกษุทั้งหลาย ! ถาสิงทีใชเปนพืช ๕ อยาง เหลานี้
่ ่
ทีไมถกทําลาย ยังไมเนาเปอย ยังไมแหงเพราะลมและแดด
่ ู
ยั ง มี เ ชื้ อ งอกบริ บู ร ณ อ ยู และอั น เจ า ของเก็ บ ไว ด ว ยดี
แตดิน น้ํา ไมมี.
ภิกษุทงหลาย ! สิงทีใชเปนพืช ๕ อยาง เหลานัน
ั้
่ ่
้
จะพึงเจริญงอกงามไพบูลย ไดแลหรือ ?
หาเปนเชนนั้นไม พระเจาขา !
ภิกษุทั้งหลาย ! ถาสิงทีใชเปนพืช ๕ อยาง เหลานี้
่ ่
แหละ ที่ไมถูกทําลายยังไมเนาเปอย ยังไมแหงเพราะลม
และแดด ยังมีเชื้องอกบริบูรณอยู และอันเจาของเก็บไว
ดวยดี ทั้งดิน น้ํา ก็มีดวย.
- 36. ๑๖ พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทงหลาย ! สิงทีใชเปนพืช ๕ อยาง เหลานัน
ั้
่ ่
้
จะพึงเจริญ งอกงาม ไพบูลย ไดมิใชหรือ ?
อยางนั้น พระเจาขา !
ภิกษุทั้งหลาย !
วิญญาณฐิติ ๔ อยาง (รูป เวทนา สัญญา สังขาร)
พึงเห็นวา เหมือนกับ ดิน.
ภิกษุทั้งหลาย !
นันทิราคะ (ความกําหนัดดวยอํานาจแหงความเพลิน)
พึงเห็นวาเหมือนกับ นํ้า.
ภิกษุทั้งหลาย !
วิ ญ ญาณ ซึ่ ง ประกอบด ว ยป จ จั ย พึ ง เห็ น ว า
เหมือนกับ พืชสดทั้ง ๕ นั้น.
ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ! วิ ญ ญาณ ซึ่ ง เข า ถื อ เอารู ป
ตังอยู ก็ตงอยูได เปนวิญญาณทีมรปเปนอารมณ มีรปเปน
้
ั้
่ ีู
ู
ที่ตั้งอาศัย มีนันทิเปนที่เขาไปสองเสพ ก็ถึงความเจริญ
งอกงาม ไพบูลยได.
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่งเขาถือเอาเวทนา
ตั้ ง อยู ก็ ตั้ ง อยู ไ ด เป น วิ ญ ญาณที่ มี เ วทนาเป น อารมณ
มีเวทนาเปนที่ตั้งอาศัย มีนันทิเปนที่เขาไปสองเสพ ก็ถึง
ความเจริญ งอกงาม ไพบูลยได.
- 37. ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ ๑๗
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่งเขาถือเอาสัญญา
ตั้ ง อยู ก็ ตั้ ง อยู ไ ด เป น วิ ญ ญาณที่ มี สั ญ ญาเป น อารมณ
มีสัญญาเปนที่ตั้งอาศัย มีนันทิเปนที่เขาไปสองเสพ ก็ถึง
ความเจริญ งอกงาม ไพบูลยได.
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่งเขาถือเอาสังขาร
ตั้ ง อยู ก็ ตั้ ง อยู ไ ด เป น วิ ญ ญาณที่ มี สั ง ขารเป น อารมณ
มีสังขารเปนที่ตั้งอาศัย มีนันทิเปนที่เขาไปสองเสพ ก็ถึง
ความเจริญ งอกงาม ไพบูลยได.
ภิกษุทั้งหลาย ! ผูใดจะพึงกลาวอยางนี้วา :เราจักบัญญัติซึ่งการมา การไป
การจุติ (การตาย) การอุบัติ (การเกิด)
ความเจริญ ความงอกงาม
และความไพบูลยของวิญญาณ
โดยเวนจากรูป เวนจากเวทนา
เวนจากสัญญา และเวนจากสังขาร ดังนี้นั้น
นี่ไมใชฐานะที่จักมีไดเลย.
ภิกษุทงหลาย ! ถาราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ
ั้
ในสัญญาธาตุ ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ เปนสิงทีภกษุ
่ ่ ิ
ละไดแลว.
- 38. ๑๘ พุ ท ธ ว จ น
เพราะละราคะได
อารมณสําหรับวิญญาณก็ขาดลง
ที่ตั้งของวิญญาณก็ไมมี
วิญญาณอันไมมีที่ตั้งนั้น ก็ไมงอกงาม
หลุดพนไป เพราะไมถูกปรุงแตง
เพราะหลุดพนไป ก็ตั้งมั่น
เพราะตั้งมั่น ก็ยินดีในตนเอง
เพราะยินดีในตนเอง ก็ไมหวั่นไหว
เมื่อไมหวั่นไหว ก็ปรินิพพานเฉพาะตน
ยอมรูชัดวา
ชาติสิ้นแลว พรหมจรรยอยูจบแลว
กิจที่ควรทําไดสําเร็จแลว
กิจอืนทีจะตองทําเพือความเปนอยางนี้ มิไดมอก ดังนี.้
่ ่
่
ี ี
ขนฺธ. สํ. ๑๗/๖๗-๖๘/๑๐๖-๑๐๗.
- 39. ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ ๑๙
๘
ความมีขึ้นแหงภพ
แมมีอยูชั่วขณะก็นารังเกียจ
ภิกษุทั้งหลาย !
คูถ แมนิดเดียว ก็เปนของมีกลิ่นเหม็น ฉันใด.
ภิกษุทั้งหลาย !
สิ่งที่เรียกวา ภพ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
แมมีประมาณนอย ชั่วลัดนิ้วมือเดียว
ก็ไมมีคุณอะไรที่พอจะกลาวได.
เอก. อํ. ๒๐/๔๖/๒๐๓.
(ในสูตรถัดไป ไดตรัสอุปมาดวยมูตร ดวยนําลาย ดวยหนอง
้
ดวยโลหิต โดยทํานองเดียวกัน เอก. อํ. ๒๐/๔๖/๒๐๔.)
- 43. ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ ๒๓
๙
ความหมายของคําวา “สัตว”
ขาแตพระองคผเู จริญ ! ทีเรียกกันวา ‘สัตว สัตว’ ดังนี,
่
้
อันวาสัตวมีได ดวยเหตุเพียงไรเลา พระเจาขา !
ราธะ ! ฉันทะ (ความพอใจ) ราคะ (ความกําหนัด)
นันทิ (ความเพลิน) ตัณหา (ความอยาก) ใดๆ มีอยูในรูป
เพราะการติดแลว ของแลวในรูปนัน เพราะฉะนัน จึงเรียกวา
้
้
“สัตว” (ผูของติดในขันธทง ๕) ดังนี้.
้ั
ราธะ ! ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา ใดๆ มีอยู
ในเวทนา (ความรูสึกสุข ทุกขและไมสุขไมทุกข) เพราะการ
ติดแลว ของแลวในเวทนานั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกวา
“สัตว” ดังนี้.
ราธะ ! ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา ใดๆ มีอยู
ในสัญญา (ความหมายรู) เพราะการติดแลว ของแลวใน
สัญญานั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกวา “สัตว” ดังนี้.
ราธะ ! ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา ใดๆ มีอยู
ในสังขารทั้งหลาย (ความปรุงแตง) เพราะการติดแลว
ของแลวในสังขารทังหลายนัน เพราะฉะนัน จึงเรียกวา “สัตว”
้
้
้
ดังนี้.
- 44. ๒๔ พุ ท ธ ว จ น
ราธะ ! ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา ใดๆ มีอยู
ในวิญญาณ เพราะการติดแลว ของแลวในวิญญาณนั้น
เพราะฉะนัน จึงเรียกวา “สัตว” ดังนี้แล.
้
ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๓๒/๓๖๗.
- 45. ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ ๒๕
๑๐
เหตุใหมีการเกิด
วัจฉะ !
เรายอมบัญญัติความบังเกิดขึ้น
สําหรับสัตวผูที่ยังมีอุปาทาน (เชื้อ) อยู
ไมใชสําหรับสัตวผูที่ไมมีอุปาทาน.
วัจฉะ ! เปรียบเหมือนไฟทีมเชือ ยอมโพลงขึนได
่ ี ้
้
ทีไมมเชือ ก็โพลงขึนไมได อุปมานีฉนใด อุปไมยก็ฉนนัน.
่ ี ้
้
้ั
ั ้
วัจฉะ ! เรายอมบัญญัติความบังเกิดขึ้น สําหรับ
สัตวผทยงมีอปาทานอยู ไมใชสาหรับสัตวผทไมมอปาทาน.
ู ่ี ั ุ
ํ
ู ่ี ี ุ
พระโคดมผูเจริญ ! ถาสมัยใด เปลวไฟ ถูกลมพัด
หลุดปลิวไปไกล สมัยนั้น พระโคดมยอมบัญญัติซึ่งอะไรวาเปน
เชื้อแกเปลวไฟนั้น ถาถือวามันยังมีเชื้ออยู ?
วัจฉะ ! สมัยใด เปลวไฟ ถูกลมพัดหลุดปลิวไปไกล
เรายอมบัญญัติเปลวไฟนั้น วา มีลมนั่นแหละเปนเชื้อ
เพราะวา สมัยนั้นลมยอมเปนเชื้อของเปลวไฟนั้น.
พระโคดมผูเจริญ ! ถาสมัยใด สัตวทอดทิ้งกายนี้ และ
ยังไมบังเกิดขึ้นดวยกายอื่น สมัยนั้น พระโคดมยอมบัญญัติซึ่ง
อะไรวาเปนเชื้อแกสัตวนั้น ถาถือวามันยังมีเชื้ออยู ?
- 46. ๒๖ พุ ท ธ ว จ น
วัจฉะ !
สมัยใด สัตวทอดทิ้งกายนี้
และยังไมบงเกิดขึนดวยกายอืน
ั
้
่
เรากลาวสัตวนวา มีตณหานันแหละเปนเชือ
้ี ั
่
้
เพราะวาสมัยนัน ตัณหายอมเปนเชือของสัตวนน.
้
้
้ั
สฬา. สํ. ๑๘/๔๘๕/๘๐๐.
- 47. ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ ๒๗
๑๑
ลักษณะของการเกิด
สารีบุตร ! กําเนิด ๔ ประการเหลานี้ มีอยู.
๔ ประการ อยางไรเลา ? คือ :(๑) อัณฑชะกําเนิด (เกิดในไข)
(๒) ชลาพุชะกําเนิด (เกิดในครรภ)
(๓) สังเสทชะกําเนิด (เกิดในเถาไคล)
(๔) โอปปาติกะกําเนิด (เกิดผุดขึ้น)
สารีบุตร ! ก็อัณฑชะกําเนิด เปนอยางไรเลา ?
สัตวทงหลายเหลานัน ชําแรกเปลือกแหงฟองเกิด
้ั
้
นี้เราเรียกวา อัณฑชะกําเนิด.
สารีบุตร ! ชลาพุชะกําเนิด เปนอยางไรเลา ?
สัตวทั้งหลายเหลานั้นใด ชําแรกไส (มดลูก) เกิด
นี้เราเรียกวา ชลาพุชะกําเนิด.
สารีบุตร ! สังเสทชะกําเนิด เปนอยางไรเลา ?
สัตวทั้งหลายเหลานั้นใด ยอมเกิดในปลาเนา
ในซากศพเนา ในขนมบูด หรือในน้ําครํา ในเถาไคล
(ของสกปรก) นี้เราเรียกวา สังเสทชะกําเนิด.
- 48. ๒๘ พุ ท ธ ว จ น
สารีบุตร ! โอปปาติกะกําเนิด เปนอยางไรเลา ?
เทวดา สัตวนรก มนุษยบางจําพวก และวินิบาต
บางจําพวก นี้เราเรียกวา โอปปาติกะกําเนิด.
สารีบุตร ! เหลานี้แล กําเนิด ๔ ประการ.
มู. ม. ๑๒/๑๔๖/๑๖๙.
- 49. ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ ๒๙
๑๒
กายแบบตางๆ
ภิกษุทั้งหลาย ! สัตตาวาส1 ๙ มีอยู.
สัตตาวาส ๙ อยางไรเลา ?
ภิกษุทั้งหลาย !
สัตวพวกหนึง (สตฺตา) มีกายตางกัน มีสญญาตางกัน
่
ั
เหมือนมนุษยทงหลาย เทวดาบางพวก และวินบาตบางพวก
้ั
ิ
นี้เปนสัตตาวาสที่ ๑
สัตวพวกหนึงมีกายตางกัน มีสญญาอยางเดียวกัน
่
ั
เหมือนเทวดาผูนับเนื่องในหมูพรหม ผูเกิดในปฐมภูมิ
(ปมานิพพตฺตา) นี้เปนสัตตาวาสที่ ๒
ฺ
สัตวพวกหนึงมีกายอยางเดียวกัน มีสญญาตางกัน
่
ั
เหมือนพวกเทพอาภัสสระ นี้เปนสัตตาวาสที่ ๓
สัตวพวกหนึ่งมีกายอยางเดียวกัน มีสัญญาอยาง
เดียวกัน เหมือนพวกเทพสุภกิณหะ นี้เปนสัตตาวาสที่ ๔
สัตวพวกหนึ่งไมมีสัญญา ไมเสวยเวทนา เหมือน
พวกเทพผูเปนอสัญญีสัตว2 นี้เปนสัตตาวาสที่ ๕
1. ที่อยู ที่อาศัยของสัตว.
2. สัตวผไมมสญญา ไมเสวยเวทนา เขาถึงโดยผูทไดสญญาเวทยิตนิโรธ เปนตน.
ู ี ั
ี่ ั
- 50. ๓๐ พุ ท ธ ว จ น
สัตวพวกหนึ่ง เพราะกาวลวงเสียไดซึ่งรูปสัญญา
โดยประการทั้งปวง เพราะความดับไปแหงปฏิฆสัญญา
เพราะไมใสใจนานัตตสัญญา จึงเขาถึงอากาสานัญจายตนะ1
มีการทําในใจวา “อากาศไมมทสนสุด” ดังนี้ นีเปนสัตตาวาส
ี ่ี ้ิ
้
ที่ ๖
สัตวพวกหนึง เพราะกาวลวงเสียไดซงอากาสานัญ่
่ึ
จายตนะโดยประการทังปวง จึงเขาถึงวิญญาณัญจายตนะ2
้
มีการทําในใจวา “วิญญาณไมมทสด” ดังนี้ นีเปนสัตตาวาส
ี ่ี ุ
้
ที่ ๗
สัตวพวกหนึง เพราะกาวลวงเสียไดซงวิญญาณัญ่
่ึ
จายตนะโดยประการทั้งปวง จึงเขาถึงอากิญจัญญายตนะ3
มีการทําในใจวา “อะไรๆ ก็ไมม” ดังนี้ นีเปนสัตตาวาสที่ ๘
ี
้
สัตวพวกหนึง เพราะกาวลวงเสียไดซงอากิญจัญญา่
่ึ
ยตนะโดยประการทังปวง จึงเขาถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ4
้
ดังนี้ นีเปนสัตตาวาสที่ ๙.
้
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล สัตตาวาส ๙.
สตฺตก. อํ. ๒๓/๔๑๓/๒๒๘.
1. ความหมายรูในความไมมีที่สิ้นสุดของอากาศ.
2. ความหมายรูในความไมมีที่สุดของวิญญาณ.
3. ความหมายรูในความไมมีอะไร.
4. ความหมายรูวา สัญญามีก็ไมใช สัญญาไมมีก็ไมใช.
- 51. ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ ๓๑
๑๓
คติ ๕ และอุปมา
สารีบุตร ! คติ1 ๕ ประการเหลานี้ มีอยู.
๕ ประการ อยางไรเลา ? คือ :(๑) นรก
(๒) กําเนิดเดรัจฉาน
(๓) เปรตวิสัย
(๔) มนุษย
(๕) เทวดา
สารีบตร ! เรายอมรูชดซึงนรก ทางยังสัตวใหถง
ุ
ั ่
ึ
นรก และปฏิปทาอันจะยังสัตวใหถงนรก อนึง สัตวผปฏิบติ
ึ
่
ู ั
ประการใด เบื้องหนาแตตายเพราะกายแตก ยอมเขาถึง
อบาย ทุคติ วินบาต นรก2 เรายอมรูชดซึงประการนันดวย.
ิ
ั ่
้
สารีบตร ! เรายอมรูชดซึงกําเนิดเดรัจฉาน ทาง
ุ
ั ่
ยังสัตวใหถงกําเนิดเดรัจฉาน และปฏิปทาอันจะยังสัตวใหถง
ึ
ึ
กําเนิดเดรัจฉาน อนึง สัตวผูปฏิบัติประการใด เบืองหนา
่
้
แตตายเพราะกายแตก ยอมเขาถึงกําเนิดเดรัจฉาน เรายอม
รูชัดซึ่งประการนั้นดวย.
1. คติ : ทางไปของสัตว. (ที่นําไปสูภพ)
2. อบาย ทุคติ วินิบาต นรก : ที่เกิดของสัตวตํ่ากวามนุษย.
- 53. ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ ๓๓
สารีบตร ! เรายอมรูชดซึงเปรตวิสย ทางยังสัตว
ุ
ั ่
ั
ใหถึงเปรตวิสัย และปฏิปทาอันจะยังสัตวใหถึงเปรตวิสัย
อนึง สัตวผปฏิบตประการใด เบืองหนาแตตายเพราะกายแตก
่
ู ั ิ
้
ยอมเขาถึงเปรตวิสัย เรายอมรูชัดซึ่งประการนั้นดวย.
สารี บุ ต ร ! เราย อ มรู ชั ด ซึ่ งเหล า มนุ ษ ย ทาง
ยังสัตวใหถึงมนุษยโลก และปฏิปทาอันจะยังสัตวใหถึง
มนุษยโลก อนึ่ง สัตวผปฏิบตประการใด เบืองหนาแตตาย
ู ั ิ
้
เพราะกายแตก ยอมบังเกิดในหมูมนุษย เรายอมรูชัดซึ่ง
ประการนั้นดวย.
สารีบตร ! เรายอมรูชดซึงเทวดาทังหลาย ทางยังสัตว
ุ
ั ่
้
ใหถงเทวโลก และปฏิปทาอันจะยังสัตวใหถงเทวโลก อนึง
ึ
ึ
่
สัตวผูปฏิบัติประการใด เบื้องหนาแตตาย เพราะกายแตก
ยอมเขาถึงสุคติโลกสวรรค เรายอมรูชดซึงประการนันดวย.
ั ่
้
สารีบุตร ! เรายอมรูชัดซึ่งนิพพาน ทางยังสัตว
ใหถงนิพพาน และปฏิปทาอันจะยังสัตวใหถงนิพพาน อนึง
ึ
ึ
่
สัตวผูปฏิบัติประการใด ยอมกระทําใหแจงซึงเจโตวิมุตติ
่
ปญญาวิมตติ อันหาอาสวะมิได เพราะอาสวะทังหลายสินไป
ุ
้
้
ดวยปญญาอันยิงเองในปจจุบน เขาถึงแลวแลอยู เรายอม
่
ั
รูชดซึ่งประการนั้นดวย.
ั
- 54. ๓๔ พุ ท ธ ว จ น
อุปมาการเห็นคติ
สารีบตร ! เปรียบเหมือนหลุมถานเพลิง ลึกยิง
ุ
่
กว า ชั่ ว บุ รุ ษ เต็ ม ไปด ว ยถ า นเพลิ ง ปราศจากเปลว
ปราศจากควัน ลําดับนัน บุรษผูมตวอันความรอนแผดเผา
้ ุ ี ั
เหน็ดเหนื่อย หิว ระหาย มุงมาสูหลุมถานเพลิงนั้นแหละ
โดยมรรคาสายเดียว บุรุษผูมีจักษุเห็นเขาแลว พึงกลาว
อยางนี้วา “บุรุษผูเจริญนี้ ปฏิบัติอยางนั้น ดําเนินอยางนั้น
และขึ้นสูหนทางนั้น จักมาถึงหลุมถานเพลิงนี้ทีเดียว”
โดยสมัยตอมา บุรุษผูมีจักษุนั้น พึงเห็นเขาตกลงในหลุม
ถานเพลิงนั้น เสวยทุกขเวทนาอันแรงกลา เผ็ดรอนโดย
สวนเดียว แมฉันใด.
สารีบุตร ! เรายอมกําหนดรูใจบุคคลบางคนใน
โลกนีดวยใจฉันนันเหมือนกันวา บุคคลนี้ปฏิบัติอยางนั้น
้
้
ดําเนินอยางนั้น และขึ้นสูหนทางนั้น เบื้องหนาแตตาย
เพราะกายแตก จักเขาถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
โดยสมัยตอมา เราไดเห็นบุคคลนั้น เบื้องหนาแตตาย
เพราะกายแตก เขาถึงแลวซึ่งอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
เสวยทุกขเวทนาอันแรงกลา เผ็ดรอนโดยสวนเดียว
ดวยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ลวงจักษุของมนุษย.
- 55. ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ ๓๕
สารีบุตร ! เปรียบเหมือนหลุมคูถ ลึกยิ่งกวา
ชัวบุรษ เต็มไปดวยคูถ ลําดับนัน บุรษผูมตวอันความรอน
่ ุ
้ ุ ี ั
แผดเผา เหน็ดเหนือย หิว ระหาย มุงมาสูหลุมคูถนันแหละ
่
้
โดยมรรคาสายเดียว บุรุษผูมีจักษุเห็นเขาแลว พึงกลาว
อยางนี้วา “บุรุษผูเจริญนี้ ปฏิบัติอยางนั้น ดําเนินอยางนั้น
และขึ้นสูหนทางนั้น จักมาถึงหลุมคูถนี้ทีเดียว” โดยสมัย
ตอมา บุรุษผูมีจักษุนั้น พึงเห็นเขาตกลงในหลุมคูถนั้น
เสวยทุกขเวทนาอันแรงกลา เผ็ดรอน แมฉันใด.
สารีบุตร ! เรายอมกําหนดรูใจบุคคลบางคนใน
โลกนีดวยใจฉันนันเหมือนกันวา บุคคลนีปฏิบตอยางนัน
้
้
้ ั ิ
้
ดําเนินอยางนั้น และขึ้นสูหนทางนั้น เบื้องหนาแตตาย
เพราะกายแตก จักเขาถึงกําเนิดเดรัจฉาน โดยสมัยตอมา
เรายอมเห็นบุคคลนั้น เบื้องหนาแตตายเพราะกายแตก
เขาถึงแลวซึงกําเนิดเดรัจฉาน เสวยทุกขเวทนาอันแรงกลา
่
เผ็ดรอน ดวยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ลวงจักษุของมนุษย.
สารีบุตร ! เปรียบเหมือนตนไมเกิดในพื้นที่อัน
ไมเสมอ มีใบออนและใบแกอันเบาบาง มีเงาอันโปรง
ลําดับนั้น บุรุษผูมีตัวอันความรอนแผดเผา เหน็ดเหนือย
่
- 56. ๓๖ พุ ท ธ ว จ น
หิว ระหาย มุงมาสูตนไมนั้นแหละ โดยมรรคาสายเดียว
บุรษผูมจกษุเห็นเขาแลว พึงกลาวอยางนีวา “บุรษผูเจริญนี้
ุ ีั
้
ุ
ปฏิ บั ติ อ ย า งนั้ น ดํ า เนิ น อย า งนั้ น และขึ้ น สู ห นทางนั้ น
จักมาถึงตนไมนี้ทีเดียว” โดยสมัยตอมา บุรุษผูมีจักษุนั้น
พึงเห็นเขานั่งหรือนอนในเงาตนไมนั้น เสวยทุกขเวทนา
เปนอันมาก แมฉันใด.
สารีบุตร ! เรายอมกําหนดรูใจบุคคลบางคนใน
โลกนีดวยใจฉันนันเหมือนกันวา บุคคลนีปฏิบตอยางนัน
้
้
้ ั ิ
้
ดําเนินอยางนั้น และขึ้นสูหนทางนั้น เบื้องหนาแตตาย
เพราะกายแตก จักเขาถึงเปรตวิสัย โดยสมัยตอมา
เรายอมเห็นบุคคลนั้น เบื้องหนาแตตายเพราะกายแตก
เขาถึงแลวซึ่งเปรตวิสัย เสวยทุกขเวทนาเปนอันมาก
ดวยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ลวงจักษุของมนุษย.
สารีบุตร ! เปรียบเหมือนตนไมเกิดในพื้นที่อัน
เสมอ มีใบออนและใบแกอนหนา มีเงาหนาทึบ ลําดับนัน
ั
้
บุรษผูมตวอันความรอนแผดเผา เหน็ดเหนือย หิว ระหาย
ุ ี ั
่
มุงมาสูตนไมนั้นแหละ โดยมรรคาสายเดียว บุรษผูมจกษุ
ุ ีั
เห็นเขาแลว พึงกลาวอยางนีวา “บุรษผูเ จริญนี้ ปฏิบตอยางนัน
้
ุ
ัิ
้
- 57. ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ ๓๗
ดําเนินอยางนัน และขึนสูหนทางนี้ จักมาถึงตนไมนทเดียว”
้
้
้ี ี
โดยสมัยตอมา บุรุษผูมีจักษุนั้น พึงเห็นเขานั่งหรือนอน
ในเงาตนไมนั้น เสวยสุขเวทนาเปนอันมาก แมฉันใด.
สารีบุตร ! เรายอมกําหนดรูใจบุคคลบางคนใน
โลกนีดวยใจฉันนันเหมือนกันวา บุคคลนีปฏิบตอยางนัน
้
้
้ ั ิ
้
ดําเนินอยางนั้น และขึ้นสูหนทางนั้น เบื้องหนาแตตาย
เพราะกายแตก จักบังเกิดในหมูมนุษย โดยสมัยตอมา
เรายอมเห็นบุคคลนั้น เบื้องหนาแตตายเพราะกายแตก
บังเกิดแลวในหมูมนุษย เสวยสุขเวทนาเปนอันมาก ดวย
ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ลวงจักษุของมนุษย.
สารีบตร ! เปรียบเหมือนปราสาท ในปราสาทนัน
ุ
้
มีเรือนยอด ซึ่งฉาบทาแลว ทั้งภายในและภายนอก
หาชองลมมิได มีวงกรอบอันสนิท มีบานประตู และ
หนาตางอันปดสนิทดี ในเรือนยอดนัน มีบลลังกอนลาด
้
ั
ั
ดวยผาโกเชาวขนยาว ลาดดวยเครืองลาดทําดวยขนแกะ
่
สีขาว ลาดดวยขนเจียมเปนแผนทึบ มีเครืองลาดอยางดี
่
ทําดวยหนังชะมด มีเพดานกันในเบืองบน มีหมอนแดง
้
้
วาง ณ ขางทั้งสอง ลําดับนั้น บุรุษผูมีตัวอันความรอน
- 58. ๓๘ พุ ท ธ ว จ น
แผดเผา เหน็ดเหนือย หิว ระหาย มุงมาสูปราสาทนันแหละ
่
้
โดยมรรคาสายเดียว บุรุษผูมีจักษุเห็นเขาแลว พึงกลาว
อยางนี้วา “บุรุษผูเจริญนี้ ปฏิบัติอยางนั้น ดําเนินอยางนั้น
และขึ้นสูหนทางนั้น จักมาถึงปราสาทนี้ทีเดียว” โดยสมัย
ตอมา บุรุษผูมีจักษุนั้น พึงเห็นเขานั่งหรือนอนบนบัลลังก
ในเรือนยอด ณ ปราสาทนั้น เสวยสุขเวทนาโดยสวนเดียว
แมฉันใด.
สารีบุตร ! เรายอมกําหนดรูใจบุคคลบางคนใน
โลกนีดวยใจฉันนันเหมือนกันวา บุคคลนีปฏิบตอยางนัน
้
้
้ ั ิ
้
ดําเนินอยางนั้น และขึ้นสูหนทางนั้น เบื้องหนาแตตาย
เพราะกายแตก จักเขาถึงสุคติโลกสวรรค โดยสมัยตอมา
เรายอมเห็นบุคคลนั้น เบื้องหนาแตตายเพราะกายแตก
เขาถึงแลวซึงสุคติโลกสวรรค เสวยสุขเวทนาโดยสวนเดียว
่
ดวยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ลวงจักษุของมนุษย.
สารีบตร ! เปรียบเหมือนสระโบกขรณี มีนาอันเย็น
ุ
ํ้
ใสสะอาด มีทาอันดี นารืนรมย และในทีไมไกลสระโบกขรณีนน
่
่
้ั
มีแนวปาอันทึบ ลําดับนัน บุรษผูมตวอันความรอนแผดเผา
้ ุ ีั
เหน็ดเหนื่อย หิว ระหาย มุงมาสูสระโบกขรณีนั้นแหละ
- 59. ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ ๓๙
โดยมรรคาสายเดียว บุรุษผูมีจักษุเห็นเขาแลว พึงกลาว
อยางนี้วา “บุรุษผูเจริญนี้ ปฏิบัติอยางนั้น ดําเนินอยางนั้น
และขึ้นสูหนทางนั้น จักมาถึงสระโบกขรณีนี้ทีเดียว” โดย
สมัยตอมา บุรษผูมจกษุนน พึงเห็นเขาลงสูสระโบกขรณีนน
ุ ี ั ้ั
้ั
อาบและดืม ระงับความกระวนกระวาย ความเหน็ดเหนือย
่
่
และความรอนหมดแลว ขึ้นไปนั่งหรือนอนในแนวปานั้น
เสวยสุขเวทนาโดยสวนเดียว แมฉันใด.
สารีบุตร ! เรายอมกําหนดรูใจบุคคลบางคนใน
โลกนีดวยใจฉันนันเหมือนกันวา บุคคลนีปฏิบตอยางนัน
้
้
้ ั ิ
้
ดําเนินอยางนั้น และขึ้นสูหนทางนั้น จักกระทําใหแจง
ซึ่งเจโตวิมุตติ ปญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได เพราะ
อาสวะทั้งหลายสิ้นไป ดวยปญญาอันยิ่งเองในปจจุบัน
เขาถึงอยู โดยสมัยตอมา เรายอมเห็นบุรุษนั้น กระทํา
ให แ จ ง ซึ่ ง เจโตวิ มุ ต ติ ป ญ ญาวิ มุ ต ติ อั น หาอาสวะมิ ไ ด
เพราะอาสวะทังหลายสินไป ดวยปญญาอันยิงเองในปจจุบน
้
้
่
ั
เขาถึงแลวแลอยู เสวยสุขเวทนาโดยสวนเดียว.
มู. ม. ๑๒/๑๔๗-๑๕๓/๑๗๐-๑๗๖.