SlideShare a Scribd company logo
1 of 19
Download to read offline
1

                                             ไฟฟาเคมี
                                        (Electrochemistry)

         ไฟฟาเคมี เปนการศึกษาเกียวกับปฏิกิริยาเคมีที่ทําใหเกิดกระแสไฟฟา กระแสไฟฟาทําให
                                      ่
เกิดปฏิกิริยาเคมีหากใชการถายเทอิเล็กตรอนเปนเกณฑแลว ปฏิกิริยาเคมีแบงเปน 2 ประเภท
         1. ปฏิกิริยาที่มีการถายเทอิเล็กตรอน เรียกวาปฏิกิริยารีดอกซ (Redox Reaction)
         2. ปฏิกิริยาที่ไมมีการถายเทอิเล็กตรอน เรียกวาปฏิกิรยานอนรีดอกซ (Non redox Reaction)
                                                               ิ




        ปฏิกิริยารีดอกซ (Redox Reaction )
        ปฏิกิริยารีดอกซ หมายถึง ปฏิกิริยาที่เกียวกับการถายเทอิเล็กตรอน
                                                ่

       ตัวอยาง     เมื่อนําแผนโลหะทองแดง (Cu) จุมลงในสารละลายของ AgNO3 พบวาที่แผน
โลหะ Cu มีของแข็งสีขาวปนเทามาเกาะอยู และเมื่อนํามาเคาะจะพบวาโลหะ Cu เกิดการสึกกรอน
สวนสีของสารละลาย AgNO3 ก็จะเปลี่ยนจากใสไมมีสีเปนสีฟา
       การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้อธิบายไดวาการที่โลหะทองแดงเกิด    การสึกกรอนเปนเพราะ
โลหะทองแดง(Cu) เกิดการเสียอิเล็กตรอนกลายเปน Cu2+ ซึ่งมีสีฟาและเมื่อ Ag+ รับอิเล็กตรอนเขามา
จะกลายเปน Ag (โลหะเงิน) มาเกาะอยูทแผนโลหะทองแดง
                                       ี่

       ปฏิกิริยาที่เกิดขึน เขียนในรูปสมการไดดังนี้
                         ้
               Cu(s)            Cu2+(aq) + 2 e-      (oxidation reaction)
               Ag+(aq) + e-             Ag(s)        (reduction reaction)
         electron ที่ถายเทตองเทากัน สมการเคมีที่เกิดขึ้นทีแทจริงตองเปน
                                                                  ่
               Cu(s)            Cu2+(aq) + 2 e-      (oxidation reaction)
               2Ag+(aq) +2 e-              2Ag(s) (reduction reaction)
         ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในแตละสมการเรียกวา ครึ่งปฏิกิริยา ซึ่งการเกิดปฏิกิริยาถายเท อิเล็กตรอน
จะเกิดขึ้นไดสมบูรณก็ตอเมือตองนําครึ่งปฏิกิริยาทั้งสองมารวมกัน เขียนเปนสมการไดดังนี้
                              ่
               Cu(s) + Ag+(aq)               Cu2+(aq) + 2Ag(s)        (redox reduction)
2

        สรุปไดวาการเกิดปฏิกิริยารีดอกซจะตองประกอบไปดวย
        1. สารที่ให อิเล็กตรอนเรียกวาตัวรีดิวซ (reduce agent) เกิดปฏิกิรยาออกซิเดชัน
                                                                           ิ
(Oxidation Reaction)
        2. สารที่รับ อิเล็กตรอนเรียกวาตัวออกซิไดซ (oxidizing agent) เกิดปฏิกิริยารีดักชัน
(Reduction Reaction)




เซลลไฟฟาเคมี
        เนื่องจากการที่สารที่ให อิเล็กตรอนและสารที่รับ อิเล็กตรอนสัมผัสกันโดยตรง จะไมสามารถ
แสดงกระแสไฟฟาที่เกิดขึ้นได ดังนั้นหากตองการใหมีกระแสไฟฟาเกิดขึ้นตองมีการนําลวดตัวนํา
ไฟฟาตอเชื่อมเขาไประหวางขั้วไฟฟาของครึ่งเซลลที่ให อิเล็กตรอนและครึ่งเซลลที่รับ อิเล็กตรอน
และพรอมกับโวลตมิเตอร และสะพานเกลือเชื่อมระหวางครึ่งเซลลทั้งสอง

                              e-                          e-
         ขั้วไฟฟ                                                       ขั้วไฟฟ
            Cu                        สะพานเกลือ                            Ag         เซลลไฟฟาเคมี


                                   Cu2+             Ag+
                    Cu       Cu2+ + 2 e-                  Ag+ + e-      Ag
        ครึ่งเซลล Oxidation                                Reduction       (half reaction)
        ขั้วไฟฟา ลบ (Anode)                               บวก (Cathode) (Electrode)
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น Cu(s) + 2Ag+(aq)                Cu2+(aq) + 2Ag(s)     (Redox Reaction)
3



แผนภาพเซลลไฟฟาเคมี
       หากปฏิกิริยารีดอกซที่เกิดขึ้นเปน      A(s) + B+(aq)            A+(aq) + B(s)
       แผนภาพเซลลไฟฟาเคมี                    A(s) | A+(aq)       ||    B+(aq) | B(s)

                                            ครึ่งเซลลออกซิเดชัน        ครึ่งเซลลรีดักชัน

หมายเหตุ 1. | | แทนสะพานเกลือ และแตละครึ่งเซลลใหใชเครื่องหมาย | คั่นระหวางสารตาง
             สถานะ
         2. หากตองการระบุความเขมขนใหเขียนไวในวงเล็บแลววางหลังสารละลาย
             เชน     Cu(s) | Cu2+(aq)(0.1M) | | Ag+(aq)(0.1M) | Ag(s)
          3. หากสารในสถานะเดียวกันมีมากกวา 1 ชนิด ใหใชเครื่องจุลภาค ( , ) คั่น
             เชน     Fe(s) | Fe2+(aq) , Fe3+(aq) | | Cu2+(aq) | Cu(s)

              4. หากมีความดันเกียวของ ใหระบุความดันในวงเล็บ แลววางหลังกาซนั้น
                                ่
                 เชน     Pt(s) | H2(atm) | H+(aq) | | Ag+(aq) | Ag(s)
4




ศักยไฟฟามาตรฐาน (E°)
        ครึ่งเซลลมาตรฐานที่ใชเปรียบเทียบความสามารถในการใหรับ อิเล็กตรอน ของครึ่งเซลล
ตางๆ จะใชครึงเซลลไฮโดรเจนเขียนแทนดวย Pt(s) | H2(1atm) | H+(1M) และกําหนดใหคาศักยไฟฟา
               ่
ของไฮโดรเจนที่สภาวะมาตรฐาน(25°C,1atm) มีคาเทากับศูนยโวลต
                                 Eo H2 = 0.00 Volt
        การวัดคาศักยไฟฟามาตรฐาน Eo ของเซลลไฟฟาใดๆ ทําไดโดยการนําครึ่งเซลลมาตรฐาน
ไฮโดรเจนตอกับครึ่งเซลลที่สนใจ และขัวไฟฟาจะตองจุมอยูในสารละลายเขมขน 1 Molarโดย
                                       ้             
                                E°Cell = E°Cathode - E° Anode
5




ขอควรทราบเกี่ยวกับคา E°
         1. ถามีการกลับสมการ            คา E° จะเทาเดิม แตเครื่องหมายตรงกันขาม
         2. ถามีการคูณสมการดวยตัวเลขใดๆ              คา E° จะเทาเดิม ไมเปลี่ยนแปลง
         3. คา E°reduction ยิ่งมาก แสดงวาสารนันยิ่งรับ อิเล็กตรอน ไดดี (แนวโนมความเปนตัว
                                                   ้
ออกซิไดซมากขึ้น)
            คา E°reduction ยิ่งต่ํา แสดงวาสารนันยิ่งให อิเล็กตรอน ไดดี (แนวโนมความเปนตัว
                                                 ้
รีดิวซ มากขึน)
             ้
            โดยทั่วไปเมื่อกลาวถึง E° หากไมมีการระบุวาเปน E°reduction หรือ E°oxidation ใหถือวา
เปน E°reduction

ประโยชนของคา E°reduction
      1. ใชเปรียบเทียบความสามารถในการเปนตัวรีดวซและตัวออกซิไดซ
                                                       ิ
               Ä สารที่ให อิเล็กตรอน ไดดี E° ต่ํา , สารที่รับ อิเล็กตรอน ไดดี E° สูง

           เชน           Zn2+(aq) + 2 e-                 Zn(s)        E° = - 0.76 Volt
                          Ag+(aq) + e-                    Ag(s)        E° = 0.80 Volt

                          พิจารณา       Eo Zn2+       <       Eo Ag+

            ตัวรีดิวซ : Zn > Ag
            ตัวออกซิไดซ : Ag+ > Zn2+
6



        2. ใชคํานวณคาศักยไฟฟาของเซลลและครึ่งเซลล
                             E°Cell = E°Cathode - E° Anode
                                    = E°ขั้วบวก - E°ขั้วลบ
                                    = E°สูง - E°ต่ํา
            ประโยชนของคา E°Cell
                          E°Cell > 0             ปฏิกิริยาเกิดได
                          E°Cell < 0             ปฏิกิริยาเกิดไมได (เกิดในทิศตรงขาม)
                          E°Cell = 0             ปฏิกิริยาเกิดไมไดแนนอน

 ตัวอยางการคํานวณศักยไฟฟาของครึ่งเซลล
         EX. เมื่อนําครึ่งเซลลของ Ag | Ag+ ตอกับครึ่งเซลลของ Pt | H2 | H+ พบวาเข็มของโวลต
มิเตอรเบนหาขั้ว Ag และอานคาได 0.80 Volt ใหหาคา E° ของ Ag+ + e-          Ag
         วิธีทํา จากการที่เข็มโวลตเบนเขาหาขัว Ag
                                                 ้
                   แสดงวา Ag | Ag+ รับ e-
                              Pt | H2 | H+ ให e-
         จาก           E°Cell = E°Cathode - E° Anode
                       0.80 = Eo Ag - Eo H2
                       0.80 = Eo Ag – 0
         ดังนั้น       Eo Ag = 0.80 Volt
   นั่นหมายความวา Ag+ + e-                Ag        E° = 0.80 Volt

ตัวอยางการคํานวณศักยไฟฟาของเซลล
        EX. เมื่อนําครึ่งเซลลของ Fe | Fe2+ ตอเขากับ Ni | Ni2+ ใหหาคา E°Cell
กําหนด            Fe2+ + 2 e-          Fe E° = - 0.41 Volt
                 Ni2+ + 2 e-           Ni E° = - 0.23 Volt
        วิธีทํา  E°Cell = E°สูง - E° ต่ํา
                  E°Cell = E°Cathode - E° Anode
                          = - 0.23 - ( - 0.41)
                          = 0.18 Volt
7




อิเล็กโตรลิซิส (Electrolysis)
         ปฏิกิริยาใดที่เกิดขึ้นไมได เชน Cu(s) + Zn+(aq)       Cu2+(aq) + Zn(s)
         หากตองการทําใหเกิดปฏิกิรยาก็สามารถทําไดโดยผานพลังงานไฟฟาจากภายนอก ซึ่ง
                                        ิ
ปฏิกิริยาที่ไดจากการแยกสลายดวยดวยไฟฟานี้มีชื่อเรียกวา อิเล็กโตรลิซิส (Electrolysis)



สวนประกอบที่สําคัญของ Electrolytic Cell
1. แหลงพลังงานไฟฟาจากภายนอก
2. ขั้วไฟฟา
3. สารละลายอิเล็กโตรไลท
 ลักษณะการเกิดปฏิกิริยาเปนดังนี้
        สารที่ให อิเล็กตรอน แกขวบวก เกิดปฏิกริยา Oxidation
                                  ั้                  ิ                  ขั้วอาโนด -
        สารที่รับ อิเล็กตรอน จากขั้วลบ เกิดปฏิกิริยา Reduction           ขั้วคาโทด +
การดุลสมการรีดอกซ
ตองผานขั้นตอนการหาเลขออกซิเดชัน
        1.โดยเลขออกซิเดชันจะหมายถึงตัวเลขแสดงคาประจุไฟฟาที่แทจริงหรือประจุไฟฟาสมมติ
ของธาตุ
เกณฑการกําหนดคาเลขออกซิเดชัน (O.N.)
                  1. ธาตุอิสระ (ไมรวมตัวกับธาตุอื่น มีคา O.N. = ศูนย)
                        เชน      Mg , O2 , O3 , S8 , P4
                 2. ธาตุหมู 1 ในสารประกอบ มีคา O.N. = 1
                        เชน         LiNo3 , NaCl , KclO3
8

               3. ธาตุหมู 2 ในสารประกอบ มีคา O.N. = 2
                   เชน        MgCl2 , CaCO3 , BeCl2
               4. ธาตุไฮโดรเจน ในสารประกอบ มีคา O.N. = 1
                   เชน        HCl , NH3 , H2O
                   ยกเวน ในสารประกอบของโลหะ เชน NaH , AlH3                H มี O.N. = -1
               5. ธาตุออกซิเจน ในสารประกอบ มีคา O.N. = - 2
                   เชน        H2O , CO2 , C2O
                   ยกเวน H2O2 , Na2 O , NaO2 , OF O มี O.N. = -2

          6. ผลรวมของ O.N. ในสารประกอบมีคาเปนศูนย
                เชน        KmnO4 , MnO2 , Na2C2O4
           7. ผลรวมของ O.N. ในไอออนเทากับจํานวนประจุ
                เชน        MnO4- , Cr2O72-, Fe(CN)63-
Note ไอออนที่ควรจํา SO42- , CN- , CO32- , NO3- ไอออนที่มี O.N. เทากับจํานวนประจุ



ตัวอยางการหาเลขออกซิเดชันของธาตุ
        Mn2O7 2Mn + 7O = 0                         Na3PO4      3Na + P + 4O = 0
                2Mn + 7(-2) = 0                               3(1) + P + 4(-2) = 0
                2Mn          = 14                             3+P–8            = 0
                Mn           = +7         #                        P           = +5 #

       MnSO4 Mn + SO4            = 0               C2O42-      2C + 4O             =    -2
             Mn + (-2)           = 0                           2C + 4(-2)          =     -2
             Mn                  = +2     #                     2C                 =      6
                                                                 C                  =   +3 #

 ขั้นตอนการดุลสมการรีดอกซ
       1. หาธาตุที่มี O.N. เปลี่ยนไป ตอ 1 อะตอมของธาตุ
       2. นําเลข O.N. ที่เปลี่ยนไปมาคูณไขว (เพื่อใหจํานวน อิเล็กตรอน ที่ถายเทเทากัน)
       3. ดุลอะตอมของธาตุ (H กับ O ทําทีหลัง)
       4. ถาทอนไดใหทอนเปนอัตราสวนอยางต่ําดวย
9

ตัวอยางการดุลสมการรีดอกซ
        EX. FeCl3 + SnCl2                   FeCl2 + SnCl4
        1. หาเลข O.N. ที่เปลี่ยนไป ตอ 1 อะตอมของธาตุ
               FeCl3 + SnCl2                FeCl2 + SnCl4
               +3         +2                +2        +4
                               รับ 1 e-
                                  เสีย 2 e-



       2. คูณไขวจํานวน e- ใหถายเทเทากัน
              2FeCl3 + SnCl2                FeCl2 + SnCl4
       3. ดุลสมการ
              2FeCl3 + SnCl2                2FeCl2 + SnCl4



       EX. KMnO4+ KNO2 + H2SO4                       MnSO4 + H2O    + KNO3 + K2SO4
       1. หาเลข O.N. ที่เปลี่ยนไป ตอ 1 อะตอมของธาตุ
       KMnO4 + KNO2 + H2SO4                      MnSO4 + H2O        + KNO3   + K2SO4
       +7            +3                           +2                  +5
                          รับ 5 e-
                                        เสีย 2 e-
       2. คูณไขวจํานวน e- ใหถายเทเทากัน
       2KMnO4 + 5KNO2 + H2SO4 MnSO4 + H2O                           + KNO3   + K2SO4
       3. ดุลสมการ
       2KMnO4 + 5KNO2 + 3H2SO4                    2MnSO4 + 3H2O     + 5KNO3 + K2SO4

การดุลสมการรีดอกซแบบครึ่งปฏิกิริยา
       ทําตามขั้นตอนดังนี้
       1. ในสารละลายกรด
       EX. Fe2+ + Cr2O72-          Fe3+ + Cr3+
       วิธีทํา 1. แยกครึ่งปฏิกิริยา
                Fe2+       Fe3+                Cr2O72-       Cr3+
10

        2. ดุลอะตอม
       Fe2+       Fe3+                  Cr2O72-       2Cr3+
                                       เติม H2O ดานขาดออกซิเจนเทากับจํานวนที่ขาด
                                       ออกซิเจน
                                       Cr2O72-          2Cr3+ + 7H2O
                                        เติม H+ ดานขาดไฮโดรเจนเทากับจํานวนที่ขาด
                                       ไฮโดรเจน
                                        Cr2O72-- + 14H+           2Cr3+ + 7H2O
       3. ดุลประจุ (โดยการเติม e- )
       จาก Fe2+            Fe3+ + e-                           จํานวนประจุเทากันคือ 2
       Cr2O72- + 14H+ + 6 e-         2Cr3+ + 7H2O              จํานวนประจุเทากันคือ 6
       4. ทําการถายเท e- ใหเทากัน (โดยการคูณไขวจํานวน อิเล็กตรอน)
       6Fe2+         6Fe3+ + 6 e-
       Cr2O72- + 14H+ + 6 e-         2Cr3+ + 7H2O
        5. รวมสมการ
       6Fe2+ + Cr2O72- + 14H+                6Fe3+ + 2Cr3+ + 7H2O

2. ในสารละลายเบส
EX. I- + MnO4- ® I2 + MnO2
วิธีทํา แยกครึ่งปฏิกิริยา
         I-      I2            ดุลอะตอม           MnO4-       MnO2
            -
        2I        I2            ดุลประจุ           Q อะตอมของ Mn ดุลแลว
        2I- I2 + 2 e-                       ∴ ดุล O โดยเติม H2O ดานขาด Oเทากับ
                                                จํานวนที่ขาด O2
        MnO44-       MnO2 + 2H2O
        เติม H+ ดานขาด H เทากับจํานวนที่ขาด H
        MnO44-       MnO2 + 2H2O

       Q สารละลายเบสหามมีกรด ดังนั้นตองเติม OH- ทั้ง 2 ดาน
       MnO4- + 4H+ + 4OH-      MnO2 + 2H2O + 4OH-
          +      -
       Q H + OH         H2O ดังนั้นจะไดสมการเปน
            -
       MnO4 + 4H2O        MnO2 + 2H2O + 4OH-             หักลาง H2O
11

               MnO4- + 2H2O               MnO2 + 4OH-                   ดุลประจุ
               MnO4- + 2H2O + 3 e-            MnO2 + 4OH-
               ทํา e- ที่ถายเทใหเทากัน (โดยดุลจํานวน e- )
      Oxidation             2I-       I2 + 2 e-                                      (1)
      Reduction        MnO4- + 2H2O + 3 e-                MnO2 + 4OH-            (2)
     (1) x 3 จะได                                   6I-     3I2 + 6 e-
     (2) x 2 จะได            2MnO4- + 4H2O + 6 e-            2MnO2 + 8OH-
รวมสมการ 6I- + 2MnO4- + 4H2O                    3I2 + 2MnO2 + 8OH-
                                   ประโยชนของเซลลกัลวานิก

เซลลกัลวานิก อาจแบงออกไดเปน 2 ลักษณะ คือ
   1. เซลลปฐมภูมิ (Primary Cell)
        เปนเซลลที่เมื่อใชแลวไมอาจทําใหกลับไปสูสภาพเดิมไดอีกโดยใชศักยไฟฟาภาพนอก เซลล
ชนิดนี้ ไดแก ดาเนียลเซลล เซลลแหง และอื่นๆ
        1.1 เซลลแหงหรือถานไฟฉาย
         เซลลแหงหรือบางทีเรียกวาเซลลเลอคลัง เซลล (leclanche cell) เปนเซลลที่ใชในไฟฉาย ซึ่งมี
ลักษณะตามรูปที่ 1. กลองของเซลลทําดวยโลหะสังกะสีซึ่งทําหนาที่เปนขั้วลบ สวนแทงคารบอนหรือ
แกไฟตทําหนาที่เปนขั้วบวก ภายในกลองระหวางสองอิเล็กโตรดบรรจุดวยของผสมของแอมโมเนียม
คลอไรด, แมงกานีส (IV) ออกไซด, ซิงค (II) คลอไรด, ผงคารบอนกับของแข็งอื่นที่ไมมีสวนในการ
ทําปฏิกิริยาและทําใหชุมดวยน้ํา      ระหวางของผสมเหลานี้กับกลองสังกะสีกั้นดวยกระดาษพรุน
ตอนบนของเซลลผนึกดวยวัสดุที่สามารถรักษาความชื้นภายในเซลลใหคงที่ เมื่อเซลลทําหนาที่จาย
ไฟฟา Zn จะใหอิเล็กตรอนเปน Zn2+ เปนเหตุใหกลองสังกะสีเปนขั้วลบ ปฏิกิริยาที่เกิดขึนจึงเปน
                                                                                           ้
oxidation reaction

                                 Zn(s)               Zn2+(aq) + 2e-
                 ที่ขั้วบวก แมงกานีส(IV) ออกไซด จะถูกรีดวซ      ิ
                 ซึ่งมีปฏิกิริยาครึ่งเซลลเปนดังนี้
                2MnO2(s) + 8NH4+(aq) + 2e                     2Mn3+(aq) + 4H2O + 8NH3(aq)
                 เพราะฉะนันปฏิกิริยาสุทธิที่ไดจากปฏิกิริยาครึ่งเซลลทั้งสอง จึงเปน
                              ้
                 Zn(s) +2MnO2(s) + 8NH+4(aq)                  Zn2+(aq) + 2Mn3+(aq) + 8NH3(aq) +4H2O
12

         ถามีการจายกระแสไฟฟามากก็จะทําใหเกิด NH3 ขึ้น ซึ่งจะเขาทําปฏิกิริยากับ Zn2+ เกิด
เปนไอออนเชิงซอน เปนตนวา [Zn(NH3)4]2+ และ [ Zn(NH3)4 ]2+ และ [ Zn(NH3)2(H2O)2]2+ เซลลแหง
ดังกลาวจะใหศักยไฟฟาประมาณ 1.5 โวลต การเกิดไอออนเชิงซอนชวยรักษาความเขมขนของ Zn2+
ไมใหสูงขึ้น จึงทําใหศักยไฟฟาของเซลลเกือบคงที่เปนเวลานานพอสมควร




                                     สวนประกอบของเซลลแหง

        1.2 เซลลสําหรับวัตถุประสงคพิเศษ
         สําหรับเซลลวัตถุประสงคพิเศษ ที่จะกลาวถึง ไดแก เซลลรูบิน-มาลลอรี่(Rubin-Mallory cell)
หรือบางทีเรียกเซลลเมอรคิวรี(Mercury cell) ซึ่งมีขนาดเล็กและใชกนมากในเครื่องฟงเสียงสําหรับคน
                                                                   ั
หูพิการ หรือประโยชนอื่นๆ เซลลนี้ใชกลองสังกะสีเปนขั้วลบ แทงคารบอน(แกรไฟต เปนขั้วบวก
คลายกับของเซลลแหง แตใชอิเล็กโตรไลตเปนของผสมที่ชุมและเหนียวของเมอรคิวรี (II) ออกไซด
โซเดียมหรือโพแทสเซียมไฮ ดรอกไซด เซลลนี้จะใหศกยไฟฟาประมาณ 1.3 โวลต และมีปฏิกิริยาเคมี
                                                     ั
ดังนี้
                 ขั้วลบ : Zn(s) + 2OH-(aq)                     Zn(OH)2(s) + 2e-
                 ขั้วบวก : HgO(s) + 2H2O + 2e-                 Hg(l) + 2OH-(aq)
        ปฏิกิริยาสุทธิ : Zn(s) + HgO(s) + 2H2O                 Zn(OH)2(s) + Hg(l)

        1.3 ดาเนียลเซลล (Daniel Cell)
           จากภาพ อิเล็กโตรดทองแดงประกอบดวยโลหะทองแดงบรรจุอยูในสารละลายอิ่มตัวของ
คอปเปอร(||) ซัลเฟต (A) สวนลางของเซลลมีผลึกของคอปเปอรซัลเฟตเพื่อใหสารละลายอิ่มตัว สาร
อิเล็กโตรดสังกะสีประกอบดวย โลหะสังกะสี( B ) ลอยอยูในสารละลายสังกะสีซัลเฟตที่เจือจางไกลๆ
สวนบนของเซลล เหนือสารละลายคอปเปอรซัลเฟตซึ่งมีความหนาแนนมากกวา เมื่อโลหะสังกะสีและ
ทองแดงเชื่อมตอกันดวยลวด อิเล็กตรอนจะไหลผานเสนลวดจากสังกะสีซึ่งถูกออกซิไดซงายกวาไปยัง
13

ทองแดงซึ่งออกซิไดซยากกวา สังกะสีจะถูกออกซไดซกลายเปน Zn2+ ในสารละลาย ในขณะเดียวกัน
Cu2+ จะถูกรีดวซเปนทองแดง ดังสมการ
             ิ

                         Anode : Zn                            Zn2+ + 2e-
                         Cathode : Cu2+ + 2e-                  Cu
                ปฏิกิริยาสุทธิ Zn + Cu2+                      Zn2+ + Cu
        ถาความเขมขนของ Zn2+ เพิ่มขึ้น ปฏิกิริยาที่ขั้วบวก ( anode ) จะเลื่อนไปทางซาย เปนผลให
ศักยไฟฟาของเซลลลดลง เซลลที่ใชหลักการเดียวกับดาเนียลเซลล แตใชแคดเมียมและนิเกิลแทน
สังกะสีและทองแดงใชกันมากในแบตเตอรี่ เพราะมีอายุการใชงานที่นานกวา

     2. เซลลทุติยภูมSecondary Galvanic Cell
                       ิ
          เปนเซลลที่สารซึ่งเปนสวนประกอบของเซลลสามารถทํากลับใหอยูในสภาพเดิมไดอีกโดยให
                                                                                 
กระแสไฟฟาไหลผานในทิศทางตรงกันขามกับการจายไฟ (Discharge) วิธีการนี้เปนการใหประจุใหม
แกเซลล เซลลชนิดนี้ไดแก แบตเตอรี่ตะกัว และแบตเตอรี่แบบเอดิสันเปนตน
                                               ่
          2.1 แบตเตอรีสะสมไฟฟาแบบตะกั่ว (lead storage battery)
                          ่
          แบตเตอรี่สะสมไฟฟาแบบตะกัวจะ ประกอบดวยอิเล็กโตรสองอันซึ่งเปนแผนตะกัว และแผน
                                             ่                                          ่
เลด(IV) ออกไซด มีกรดซัลฟุริกเจือจางเปนอิเล็กโตรไลต เมื่อมีการจายไฟฟา แผนตะกัวจะถูกออกซิ
                                                                                      ่
ไดสเปนเลด (II) ไอออน และทําหนาทีเ่ ปนขั้วลบ ดังรูป 2
                                   Pb(s)               Pb2+(aq) + 2e-
          เลด(II) ไอออนจะรวมตัวกับชัลเฟตไอออนเปนเลด(II) ซัลเฟต
                            Pb2+(aq) + SO42- (aq)        PbSO4(s)
รูปที่2 สวนประกอบของแบตเตอรี่สะสมไฟฟาแบบตะกั่ว
เมื่อรวมสมการทั้งสองเขาดวยกัน ก็จะเปนปฏิกิริยาครึ่งเซลลที่มีการเกิดออกซิเดชัน
                            Pb(s) + SO42- (aq)              PbSO4(s) + 2e-
อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่จากขั้วลบตามเสนลวดไปยังอิเล็กโตรดอีกอันหนึ่งที่เปนเลด(IV) ออกไซด ซึ่งมี
ไฮโดรเจนไอออนจากอิเล็กโตรไลตและจะถูกรีดิวซืดังสมการ
                    PbO2(s) + 4H+(aq) + 2e-                 Pb2+(aq) + 2H2O
และ Pb2+ จะรวมตัวกับ SO2-4 ที่มีในสารละลาย
                            Pb2+(aq) + SO2-4(aq)         PbSO4 (s)
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นที่เลด (IV) ออกไซดจึงเปนปฏิกิริยาครึ่งเซลลที่มีการเกิดรีดักชัน
           PbO2(s) + 4H+(aq) + SO2-4(aq) + 2e-                PbSO4(s) + 2H2O
14

การจายไฟฟาที่เกิดขึ้นจากทังสองอิเล็กโตรดอาจสรุปไดดังนี้
                             ้
                          ขั้วลบ : Pb(s) + SO2-4(aq)            PbSO4(s) + 2e-
                 ขั้วบวก : PbO2(s) + 4H+(aq) + SO2-4(aq) + 2e-         PbSO4(s) + 2H2O
        ปฏิกิริยาสุทธิ : Pb(s) + PbO2(s) + 4H+(aq) + 2SO2-4(aq)           2PbSO4(s) + 2H2O

         ปฏิกิริยาของเชลลขางบนเปนแบบผันกลับได เพราะฉะนันถาตองการใหผันกลับก็จําเปน
                                                                 ้
จะตองมีการอัดไฟฟา โดยการตอขั้วบวกของเซลลกับขั้วบวกของเครื่องอัดไฟฟาและขั้วลบกับขั้วลบ
ของเครื่องอัดไฟฟา ปฏิกิริยาสุทธิขางบนก็จะเปลียนทิศทางเปนจากขวาไปซาย ในลักษณะนีเ้ ลด(II)
                                               ่
ซัลเฟตที่ขั้วลบก็จะเปลียนเปนตะกัว สวนอีกขั้วหนึ่ง เลด(II) ซัลเฟตจะเปลี่ยนเปนเลด (IV) ออกไซด
                       ่          ่
ตามปฏิกิริยาของแบตเตอรี่สะสมแบบตะกัวจะเห็นวาในขณะที่มีการจายไฟฟา ความเขมขนของกรด
                                         ่
จะลดลงเรื่อยๆ ตามปกติตอนที่มีศักย ไฟฟาเต็มที่จะมีความถวงจําเพาะ ประมาณ 1.25 ถึง 1.30 แลวแต
อุณหภูมิในขณะนันๆ ถาหากเมื่อใดมีความถวงจําเพาะต่ากวา 1.20 ที่อุณหภูมิของหองก็ควรจะมีการ
                   ้                                   ํ
อัดไฟฟาได แตละเซลลของแบตเตอรี่จะมีศักยไฟฟาประมาณ 2 โวลต เพราะฉะนันถารถยนตใช
                                                                               ้
แบตเตอรี่ 12 โวลตก็จะตองประกอบดวย 6 เซลล




                        ภาพประกอบของแบตเตอรี่สะสมไฟฟาแบบตะกัว
                                                             ่

         2.2 แบตเตอรีสะสมไฟฟาแบบเอดิสัน (Edison storage battery)
                        ่
         แบตเตอรี่แบบนี้ประกอบแผนเหล็กกลา บรรจุผงเหล็กละเอียดสวนนี้ทาหนาที่เปนขัวลบ
                                                                         ํ           ้
สําหรับขั้วบวกเปนแผนเหล็กกลาบรรจุดวยนิเกิล(IV) ออกไซดไฮเดรต สวนอิเล็กโตรไลตเปน
สารละลายที่มีโพแทสเซียมไฮดรอกไซด 21% ผสมลิเที่ยมไฮดรอกไซดเล็กนอย เมื่อมีการจายไฟฟา
ปฏิกิริยาครึ่งเซลลเกิดขึ้นดังนี้
                  ขั้วลบ : Fe(s) + 2OH-(aq)            Fe(OH)2(s) + 2e-
                  ขั้วบวก : NiO2(s) + 2H2O + 2e-           Ni(OH)2(s) + 2OH-(aq)
           ปฏิกิริยาสุทธิ : Fe(s) + NiO2(s) + 2H2O            Fe(OH)2(s) + Ni(OH)2(S)
15

          เมื่อมีการอัดไฟฟา ปฏิกิริยาจะเปลี่ยนทิศทางจากขวาไปซาย ศักยไฟฟาของแตละเซลลของ
แบตเตอรี่แบบเอดิสัน มีคาประมาณ 1.4 โวลต
         ถาใชผงแคดเมียมมาแทนผงเหล็กจะเปนแบตเตอรี่สะสมไฟฟาแบบนิกเกิล-แคดเมียม ซึ่งมี
ศักยไฟฟาประมาณ 1.3 โวลต และมีปฏิกิรยาครึ่งเซลล พอสรุปไดดังนี้
                                           ิ
                   ขั้วลบ : Cd(s) + 2OH-(aq)                 Cd(OH)2(s) + 2e-
                   ขั้วบวก: NiO2(s) + 2H2O + 2e-               Ni(OH)2(s) + 2OH-(aq)
         ปฏิกิริยาสุทธิ : Cd(s) + NiO2(s) + 2H2O            Cd(OH)2(s) + Ni(OH)2(s)
แบตเตอรี่ทั้งสองแบบที่กลาวถึงในหัวขอที่ 2. มีขอดีคือ สามารถเก็บไวนานๆไดโดยไมเสื่อมคุณภาพ
ใหศักยไฟฟาคอนขางคงที่ ใชกับอุปกรณวัดแสงในการถายรูป เครื่องคิดเลข และอืนๆ
                                                                              ่


                                ประโยชนของเซลลอิเล็กโทรไลต
          1. การชุบโลหะ
          หลักการทั่วไปสําหรับการชุบโลหะดวยไฟฟา
1.   ใชโลหะทีจะชุบเปนแคโทด
              ่
2.   จะชุบดวยโลหะใดใชโลหะนันเปนแอโนด
                               ้
3.   สารละลายอิเล็กโทรไลต ตองมีไอออนของโลหะที่เปนแอโนด
4.   ใชไฟฟากระแสตรง และควบคุมศักดิ์ไฟฟาของเซลลใหเหมาะสม
16

2. การทําโลหะใหบริสุทธิ์
       การทําโลหะใหบริสุทธิ์ดวยกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส ใชหลักการเดียวกับกับการชุบดวย
ไฟฟา โดยใชโลหะที่บริสุทธิ์เปนแคโทด โลหะที่ไมบริสุทธิ์เปนแอโนด และใชสารละลายที่มี
ไอออนของโลหะดังกลาวเปนอิเล็กโทรไลต เชนการทําทองแดงใหบริสุทธิ์




        โดยทัวๆไปจะไดทองแดงจากการถลุงแร ซึ่งจะมีความบริสทธิ์ไมเกิน 99% ที่เหลือจะเปน
             ่                                            ุ
พวกสิ่งเจือปนตาง ๆ เชน Fe Ag Au Pt และ Zn ถาใชกระบวนการอิเล็กโทรลิซิสเขาชวย จะได
ทองแดงที่มีความบริสุทธิ์ถึง 99.95% ในอุตสาหกรรมจะสรางเซลลดังนี้

                         การผุกรอนของโลหะและการปองกัน
         การผุกรอนของโลหะที่พบบอยในชีวิตประจําวันไดแก เหล็กเปนสนิม (สนิมเหล็กเปน
ออกไซดของเหล็ก Fe2O3.xH2O) ซึ่งเกิดจากสาเหตุหลายประการ ตัวอยางเชน การที่อะตอมของโลหะ
ที่ถูกออกซิไดสแลวรวมตัวกับออกซิเจนในอากาศเกิดเปนออกไซดของโลหะนั้น เชน สนิมเหล็ก
(Fe2O3) สนิมทองแดง (CuO) หรือสนิมอลูมิเนียม(Al2O3) การเกิดสนิมมีกระบวนการซับซอนมากและ
มีลักษณะเฉพาะตัวดังนี้
         1. การผุกรอนของโลหะ คือปฏิกิริยาเคมีทเี่ กิดระหวางโลหะกับภาวะแวดลอม
         2. ภาวะแวดลอมที่ทําใหผุกรอน คือ ความชื้น และออกซิเจน(H2O, O2) หรือ H2O กับอากาศ
         3. ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดในการผุกรอน เปนปฏิกิริยารีดอกซ
                  3.1 โลหะที่เกิดปฏิกิริยา Oxidation (ใหอเิ ล็กตรอน)
                  3.2 ภาวะแวดลอมเปนฝายรับอิเล็กตรอน เกิดปฏิกิริยา Reduction
         4. สมการแสดงปฏิกิริยาการผุกรอน (เกิดจากการทดลอง)
                  โลหะ + ภาวะแวดลอม                      Ion ของโลหะ + เบส
                  Fe (s) + H2O (l) + O2 (g)                   Fe2+ (aq) + OH- (aq)
         Fe2+ ทดสอบโดยใชสารละลาย K3Fe(CN)6 จะไดสน้ําเงิน ถาสีน้ําเงินเขม แสดงวามี Fe2+ มาก
                                                            ี
ถาจางมี Fe2+ นอย เบส(OH-) ทดสอบโดยสารละลายฟนอลฟทาลีน ไดสีชมพู
17

        5. ในการ Balance สมการ เมื่อเหล็กสัมผัสกับอากาศและความชื้น อะตอมของเหล็กจะเกิด
oxidation reaction ดังสมการ
                                   Fe (s)            Fe2+ (aq) + 2e ……………….(1) Oxidation
                            น้ําและออกซิเจนรับอิเล็กตรอนจากเหล็ก ดังสมการ
                    2H2O (l) + O2 (g) + 4e            4OH- (aq) …………..…..(2) Reduction
           (1) * 2 + (2) ; 2Fe + 2H2O + O2            2Fe2+ + 4OH- ……………... (3) Redox

                                        การปองกันสนิมเหล็ก
       1. ทาสี ทาน้ํามัน การรมดํา และการเคลือบพลาสติก เปนการปองกันการถูกกับ O2 และความชืน ้
ซึ่งเปนการปองกันการเกิดสนิมของโลหะไดและเปนวิธที่สะดวกและใหผลดีในการปองกันสนิม
                                                       ี
       2. โลหะบางชนิดมีสมบัติพิเศษ กลาวคือเมื่อทําปฏิกิริยากับออกซิเจนจะเกิดเปนออกไซดของ
โลหะเคลือบอยูบนผิวของโลหะนั้นและไมเกิดการผุกรอนอีกตอไป โลหะที่มีสมบัติดังกลาวไดแก
อลูมิเนียม ดีบุก และสังกะสี การชุบ หรือเคลือบโดยโลหะที่ Oxide ของโลหะนั้นคงตัว สลายตัวยาก
จะเปนผิวบางๆ คลุมผิวโลหะอีกที ไดแก Cr (โครเมียม) และอลูมิเนียม(Al) เปนตน ดังนั้น
Cr2O3.Al2O3 สลายตัวยาก เรียกชื่อวาวิธี อะโนไดซ (Anodize)
          หมายเหตุ        เหล็กกลาไมเกิดสนิม (stainless steel) เกิดจาก Fe ผสม Cr




      3. การผุกรอนของโลหะมีปฏิกิริยาเกิดขึ้นเชนเดียวกับแอโนดในเซลลอิเล็กโทรไลต ดังนั้นถา
ไมตองการใหเกิดการผุกรอนจึงตองใหโลหะนั้นมีสภาวะเปนแคโทดหรือคลายกับแคโทด โดยใช
โลหะที่เสีย อิเล็กตรอนงายกวาเหล็กไปอยูกับเหล็ก ไดแก Fe ชุบ Zn สําหรับมุงหลังคา การฝงถุง Mg
                                          
ตามทอ หรือการผูก Mg ตามโครงเรือ จะทําให Fe ผุชาลง เนื่องจาก Zn & Mg เสีย e งายกวา Fe จะเสีย
e แทน Fe เรียกชื่อวิธี แคโธดิก (Cathodic)
18




         4. การปองกันการผุกรอนของโลหะในระบบหลอเย็นแบบปด
         เครื่องยนตที่ใชในรถยนตหรือเครื่องมือผลิตกระแสไฟฟาจะใชระบบหลอเย็นแบบปดเพื่อ
รักษาอุณหภูมของเครื่องยนตไมใหสูงมากเกินไป สารหลอเย็นที่ใชคือน้ําซึ่งมีออกซิเจนละลายอยู ถา
               ิ
เครื่องยนตมีโลหะผสมของอลูมิเนียม ออกซิเจนที่ละลายอยูในน้ําจะถูกใชในการสรางฟลมอลูมิเนียม
ออกไซด และฟลมนี้จะปองกันการผุกรอนเครื่องยนตได แตถาเครื่องยนตมีสวนประกอบที่เปนโลหะ
ผสมของเหล็ก สวนประกอบของเครื่องยนตที่สัมผัสกับน้ําจะเกิดการผุกรอนได เนื่องจากออกไซดของ
เหล็กไมมีสมบัติในการเปนสารเคลือบผิว จึงตองเติมสารยับยั้งการกัดกรอนซึ่งประกอบดวย
สารประกอบของไนไตรตโบแรกซ สารนี้จะทําใหน้ําในระบบหลอเย็นมี pH สูงกวา 8.5 และทําให
โลหะที่เปนสวนประกอบของเครื่องยนตเกิดoxidation reactionไดยาก การผุกรอนของโลหะจึงลดลง
นอกจากนี้การใชระบบปดมีผลดีอีกประการหนึ่งคือเปนการจํากัดปริมาณของออกซอเจนที่ละลายลง
ไปในน้ําจึงทําใหการผุกรอนของโลหะลดลง


ความกาวหนาทางเทคโนโลยีที่เกี่ยวของกับเซลลไฟฟาเคมี
          1. การทําอิเล็กโทรไดอะลิซิสน้ําทะเล
          อิเล็กโทรไดอะลิซิสเปนเซลลอิเล็กโทรไลตที่ใชแยกไอออนออกจากสารละลายโดยให
ไอออนเคลื่อนที่ผานเยื่อบางๆ ไปยังขั้วไฟฟาที่มีประจุตรงกันขามซึ่งอยูริมทั้งสองดานทําให
สารละลายสวนกลางมีความเขมขนไอออนลดลงจึงนําหลักการนี้ไปแยกไอออนของโซเดียมและคลอ
ไรดไอออนออกจากน้ําทะเลเพื่อผลิตน้ําจืดจากทะเลได
          2. เซลลเชื้อเพลิง (fuel cell)
          อีกวิธีหนึ่งทีใชเปลี่ยนพลังงานเคมีเปนพลังงานไฟฟาไดแก เซลลเชื้อเพลิง ซึ่งมีไดหลายแบบ
                        ่
ขึ้นกับวาจะใชสารอะไรเปนเชื้อเพลิง เชน ออกซิเจน(จากอากาศ) และน้ํามันเชื้อเพลิง (fossil fuel) หรือ
ไฮโดรเจนและไฮดราซีน (hydrazine,N2H4) แตเชื้อเพลิงที่ใชกันมากไดแก H2 และ O2 ซึ่งใชกันในยาน
19

อวกาศ เพราะเชื้อเพลิงที่ใชยงจรวดเปนเชื้อเพลิงชนิดเดียวกัน เซลลเชื้อเพลิงH2 - O2 แสดงในรูป ซึ่ง
                               ิ
แบงไดเปนสามหอง คือหองทางซายเปนทางเขาของ H2 และหองทางขวาซึ่งเปนทางเขาของO2 และ
หองที่มีตําแหนงอยูกลางบรรจุอิเล็กโตรไลตซึ่งเปนสารละลายเบส หองทั้งสามแยกออกจากกันดวย
ขั้วไฟฟาที่มีลกษณะพรุน (porous electrode) ที่ทําดวยวัตถุตัวนํา เชน คารบอนผสมดวยแพลตินัม
               ั
เล็กนอย เพื่อทําหนาที่เปนตัวเรง เมื่อปอน H2 และ O2 เขาทางหองทางซายและทางขวาพรอมกัน แกส
ทั้งสองจะแพรผานไปยังขั้วไฟฟา และทําปฏิกิริยากับอิเล็กโตรไลตในหองกลาง ออกซิเจนถูกรีดวซที่
                                                                                            ิ
คาโทดเกิดเปน OH- ดังนี้



         Cathode :     O2(g) + 2H2O(l) + 4e-              4OH-(aq)
                 OH-จะซึมผานไปยังแอโนด และทําปฏิกิริยากับ H2 ดังนี้
         Anode : H2(g) + 2OH-(aq)              2H2O(I)+2e-
                 ปฏิกิริยาสุทธิของเซลลคือ การเปลี่ยน H2 (g)และ O2(g) เปนน้ํานั่นเอง
                     2H2(g) + O2(g)           2H2O(I)

          โดยปกติจะใชอุณหภูมิสูงพอ เพื่อน้ําที่ไดสามารถระเหยออกจากเซลล และควบแนนเปนน้ํา
ดื่มสําหรับมนุษยอวกาศ ถานําเชื้อเพลิงหลายๆเซลลมาตอเขาดวยกัน จะสามารถผลิตกระแสไฟฟาได
หลายๆกิโลวัตต เซลลเชื้อเพลิงมีขอดีหลายประการเมื่อเปรียบเทียบกับเซลลแหงหรือเซลลสะสมตะกั่ว
เชนสามารถปอนเชื้อเพลิงตลอดเวลา จึงไดเกิดพลังงานขึ้นอยางไมมีที่สิ้นสุดและมีประสิทธิภาพสูง
กวา นอกจากนี้แลว เซลลเชื้อเพลิงสามารถเปลี่ยนพลังงานเคมีเปนพลังงานไฟฟาไดโดยตรง โดยไมมี
ผลิตผลพลอยไดที่ไมพึงปรารถนาอยางอื่น (การผลิตกระแสไฟฟาที่ใชกันในปจจุบนทั่วไปตองใช
                                                                                 ั
เชื้อเพลิงในการตมน้ําใหไดไอเพื่อนําไปหมุนกังหันที่ตอ) และยังมีประสิทธิภาพสูงกวา (เซลล
เชื้อเพลิงอาจมีประสิทธิภาพมากกวา 80% เปรียบเทียบกับเครื่องกําเนิดไฟฟากังหันไอน้ํา ซึ่งทั่วไปสูง
เพียงประมาณ 40% เทานั้น)เซลลเชื้อเพลิงจึงอาจเปนแหลงพลังงานที่สําคัญในอนาคต




                                  ภาพของเซลลเชื้อเพลิง

More Related Content

What's hot (19)

Electric chem8
Electric chem8Electric chem8
Electric chem8
 
ไฟฟ้าเคมี
ไฟฟ้าเคมีไฟฟ้าเคมี
ไฟฟ้าเคมี
 
ไฟฟ้าเคมี
ไฟฟ้าเคมีไฟฟ้าเคมี
ไฟฟ้าเคมี
 
Electrochemistry01
Electrochemistry01Electrochemistry01
Electrochemistry01
 
ไฟฟ้าเคมี
ไฟฟ้าเคมีไฟฟ้าเคมี
ไฟฟ้าเคมี
 
Electrochemistry01
Electrochemistry01Electrochemistry01
Electrochemistry01
 
Electrochem 1
Electrochem 1Electrochem 1
Electrochem 1
 
09เคมีไฟฟ้า
09เคมีไฟฟ้า09เคมีไฟฟ้า
09เคมีไฟฟ้า
 
Echem 1 redox
Echem 1 redoxEchem 1 redox
Echem 1 redox
 
Onet เคมี M6
Onet เคมี M6Onet เคมี M6
Onet เคมี M6
 
Chem equation
Chem equation  Chem equation
Chem equation
 
ไฟฟ้าเคมี
ไฟฟ้าเคมีไฟฟ้าเคมี
ไฟฟ้าเคมี
 
Bond
BondBond
Bond
 
Ch 02 ionic bond
Ch 02 ionic bond Ch 02 ionic bond
Ch 02 ionic bond
 
วิชาเคมี ม.ปลาย เรื่องตารางธาตุ
วิชาเคมี ม.ปลาย เรื่องตารางธาตุวิชาเคมี ม.ปลาย เรื่องตารางธาตุ
วิชาเคมี ม.ปลาย เรื่องตารางธาตุ
 
chemical bonding
chemical bondingchemical bonding
chemical bonding
 
บทที่ 2 ปฏิกิริยาเคมี
บทที่ 2 ปฏิกิริยาเคมีบทที่ 2 ปฏิกิริยาเคมี
บทที่ 2 ปฏิกิริยาเคมี
 
พันธะเคมี
พันธะเคมีพันธะเคมี
พันธะเคมี
 
ไฟฟ้าเคมี
ไฟฟ้าเคมีไฟฟ้าเคมี
ไฟฟ้าเคมี
 

Similar to Ec electrochem-text

กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis Chemistry)
กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis Chemistry)กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis Chemistry)
กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis Chemistry)ssuserb3caf5
 
09เคมีไฟฟ้า
09เคมีไฟฟ้า09เคมีไฟฟ้า
09เคมีไฟฟ้าkanjanachem
 
วิชาเคมี มัธยมปลาย เรื่องปฏิกริยาไฟฟ้าเคมี
วิชาเคมี มัธยมปลาย เรื่องปฏิกริยาไฟฟ้าเคมีวิชาเคมี มัธยมปลาย เรื่องปฏิกริยาไฟฟ้าเคมี
วิชาเคมี มัธยมปลาย เรื่องปฏิกริยาไฟฟ้าเคมีTutor Ferry
 
สรุปวิชาเคมี
สรุปวิชาเคมีสรุปวิชาเคมี
สรุปวิชาเคมีTutor Ferry
 
เคมีไฟฟ้า (Electrochemistry)
เคมีไฟฟ้า (Electrochemistry)เคมีไฟฟ้า (Electrochemistry)
เคมีไฟฟ้า (Electrochemistry)Dr.Woravith Chansuvarn
 
กสพท. เคมี 2562
กสพท. เคมี 2562กสพท. เคมี 2562
กสพท. เคมี 25629GATPAT1
 
สื่อการสอน Chemical equilibrium
สื่อการสอน Chemical equilibriumสื่อการสอน Chemical equilibrium
สื่อการสอน Chemical equilibriumพัน พัน
 
บทที่2ปฏิกิริยาเคมีม 2
บทที่2ปฏิกิริยาเคมีม 2บทที่2ปฏิกิริยาเคมีม 2
บทที่2ปฏิกิริยาเคมีม 2Wichai Likitponrak
 

Similar to Ec electrochem-text (19)

กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis Chemistry)
กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis Chemistry)กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis Chemistry)
กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis Chemistry)
 
09เคมีไฟฟ้า
09เคมีไฟฟ้า09เคมีไฟฟ้า
09เคมีไฟฟ้า
 
Chap 2 stoichiometry
Chap 2 stoichiometryChap 2 stoichiometry
Chap 2 stoichiometry
 
วิชาเคมี มัธยมปลาย เรื่องปฏิกริยาไฟฟ้าเคมี
วิชาเคมี มัธยมปลาย เรื่องปฏิกริยาไฟฟ้าเคมีวิชาเคมี มัธยมปลาย เรื่องปฏิกริยาไฟฟ้าเคมี
วิชาเคมี มัธยมปลาย เรื่องปฏิกริยาไฟฟ้าเคมี
 
สรุปวิชาเคมี
สรุปวิชาเคมีสรุปวิชาเคมี
สรุปวิชาเคมี
 
Chap 2 stoichiometry
Chap 2 stoichiometryChap 2 stoichiometry
Chap 2 stoichiometry
 
Atom
AtomAtom
Atom
 
เคมีไฟฟ้า (Electrochemistry)
เคมีไฟฟ้า (Electrochemistry)เคมีไฟฟ้า (Electrochemistry)
เคมีไฟฟ้า (Electrochemistry)
 
กสพท. เคมี 2562
กสพท. เคมี 2562กสพท. เคมี 2562
กสพท. เคมี 2562
 
Echem 2 redox balance
Echem 2 redox balanceEchem 2 redox balance
Echem 2 redox balance
 
สื่อการสอน Chemical equilibrium
สื่อการสอน Chemical equilibriumสื่อการสอน Chemical equilibrium
สื่อการสอน Chemical equilibrium
 
Electro chem
Electro chemElectro chem
Electro chem
 
บทที่2ปฏิกิริยาเคมีม 2
บทที่2ปฏิกิริยาเคมีม 2บทที่2ปฏิกิริยาเคมีม 2
บทที่2ปฏิกิริยาเคมีม 2
 
9 วิชาสามัญ เคมี 56
9 วิชาสามัญ เคมี 569 วิชาสามัญ เคมี 56
9 วิชาสามัญ เคมี 56
 
Bk
BkBk
Bk
 
Bk
BkBk
Bk
 
Bk
BkBk
Bk
 
Bk
BkBk
Bk
 
Bk
BkBk
Bk
 

Ec electrochem-text

  • 1. 1 ไฟฟาเคมี (Electrochemistry) ไฟฟาเคมี เปนการศึกษาเกียวกับปฏิกิริยาเคมีที่ทําใหเกิดกระแสไฟฟา กระแสไฟฟาทําให ่ เกิดปฏิกิริยาเคมีหากใชการถายเทอิเล็กตรอนเปนเกณฑแลว ปฏิกิริยาเคมีแบงเปน 2 ประเภท 1. ปฏิกิริยาที่มีการถายเทอิเล็กตรอน เรียกวาปฏิกิริยารีดอกซ (Redox Reaction) 2. ปฏิกิริยาที่ไมมีการถายเทอิเล็กตรอน เรียกวาปฏิกิรยานอนรีดอกซ (Non redox Reaction) ิ ปฏิกิริยารีดอกซ (Redox Reaction ) ปฏิกิริยารีดอกซ หมายถึง ปฏิกิริยาที่เกียวกับการถายเทอิเล็กตรอน ่ ตัวอยาง เมื่อนําแผนโลหะทองแดง (Cu) จุมลงในสารละลายของ AgNO3 พบวาที่แผน โลหะ Cu มีของแข็งสีขาวปนเทามาเกาะอยู และเมื่อนํามาเคาะจะพบวาโลหะ Cu เกิดการสึกกรอน สวนสีของสารละลาย AgNO3 ก็จะเปลี่ยนจากใสไมมีสีเปนสีฟา การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้อธิบายไดวาการที่โลหะทองแดงเกิด การสึกกรอนเปนเพราะ โลหะทองแดง(Cu) เกิดการเสียอิเล็กตรอนกลายเปน Cu2+ ซึ่งมีสีฟาและเมื่อ Ag+ รับอิเล็กตรอนเขามา จะกลายเปน Ag (โลหะเงิน) มาเกาะอยูทแผนโลหะทองแดง ี่ ปฏิกิริยาที่เกิดขึน เขียนในรูปสมการไดดังนี้ ้ Cu(s) Cu2+(aq) + 2 e- (oxidation reaction) Ag+(aq) + e- Ag(s) (reduction reaction) electron ที่ถายเทตองเทากัน สมการเคมีที่เกิดขึ้นทีแทจริงตองเปน ่ Cu(s) Cu2+(aq) + 2 e- (oxidation reaction) 2Ag+(aq) +2 e- 2Ag(s) (reduction reaction) ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในแตละสมการเรียกวา ครึ่งปฏิกิริยา ซึ่งการเกิดปฏิกิริยาถายเท อิเล็กตรอน จะเกิดขึ้นไดสมบูรณก็ตอเมือตองนําครึ่งปฏิกิริยาทั้งสองมารวมกัน เขียนเปนสมการไดดังนี้ ่ Cu(s) + Ag+(aq) Cu2+(aq) + 2Ag(s) (redox reduction)
  • 2. 2 สรุปไดวาการเกิดปฏิกิริยารีดอกซจะตองประกอบไปดวย 1. สารที่ให อิเล็กตรอนเรียกวาตัวรีดิวซ (reduce agent) เกิดปฏิกิรยาออกซิเดชัน ิ (Oxidation Reaction) 2. สารที่รับ อิเล็กตรอนเรียกวาตัวออกซิไดซ (oxidizing agent) เกิดปฏิกิริยารีดักชัน (Reduction Reaction) เซลลไฟฟาเคมี เนื่องจากการที่สารที่ให อิเล็กตรอนและสารที่รับ อิเล็กตรอนสัมผัสกันโดยตรง จะไมสามารถ แสดงกระแสไฟฟาที่เกิดขึ้นได ดังนั้นหากตองการใหมีกระแสไฟฟาเกิดขึ้นตองมีการนําลวดตัวนํา ไฟฟาตอเชื่อมเขาไประหวางขั้วไฟฟาของครึ่งเซลลที่ให อิเล็กตรอนและครึ่งเซลลที่รับ อิเล็กตรอน และพรอมกับโวลตมิเตอร และสะพานเกลือเชื่อมระหวางครึ่งเซลลทั้งสอง e- e- ขั้วไฟฟ ขั้วไฟฟ Cu สะพานเกลือ Ag เซลลไฟฟาเคมี Cu2+ Ag+ Cu Cu2+ + 2 e- Ag+ + e- Ag ครึ่งเซลล Oxidation Reduction (half reaction) ขั้วไฟฟา ลบ (Anode) บวก (Cathode) (Electrode) ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น Cu(s) + 2Ag+(aq) Cu2+(aq) + 2Ag(s) (Redox Reaction)
  • 3. 3 แผนภาพเซลลไฟฟาเคมี หากปฏิกิริยารีดอกซที่เกิดขึ้นเปน A(s) + B+(aq) A+(aq) + B(s) แผนภาพเซลลไฟฟาเคมี A(s) | A+(aq) || B+(aq) | B(s) ครึ่งเซลลออกซิเดชัน ครึ่งเซลลรีดักชัน หมายเหตุ 1. | | แทนสะพานเกลือ และแตละครึ่งเซลลใหใชเครื่องหมาย | คั่นระหวางสารตาง สถานะ 2. หากตองการระบุความเขมขนใหเขียนไวในวงเล็บแลววางหลังสารละลาย เชน Cu(s) | Cu2+(aq)(0.1M) | | Ag+(aq)(0.1M) | Ag(s) 3. หากสารในสถานะเดียวกันมีมากกวา 1 ชนิด ใหใชเครื่องจุลภาค ( , ) คั่น เชน Fe(s) | Fe2+(aq) , Fe3+(aq) | | Cu2+(aq) | Cu(s) 4. หากมีความดันเกียวของ ใหระบุความดันในวงเล็บ แลววางหลังกาซนั้น ่ เชน Pt(s) | H2(atm) | H+(aq) | | Ag+(aq) | Ag(s)
  • 4. 4 ศักยไฟฟามาตรฐาน (E°) ครึ่งเซลลมาตรฐานที่ใชเปรียบเทียบความสามารถในการใหรับ อิเล็กตรอน ของครึ่งเซลล ตางๆ จะใชครึงเซลลไฮโดรเจนเขียนแทนดวย Pt(s) | H2(1atm) | H+(1M) และกําหนดใหคาศักยไฟฟา ่ ของไฮโดรเจนที่สภาวะมาตรฐาน(25°C,1atm) มีคาเทากับศูนยโวลต Eo H2 = 0.00 Volt การวัดคาศักยไฟฟามาตรฐาน Eo ของเซลลไฟฟาใดๆ ทําไดโดยการนําครึ่งเซลลมาตรฐาน ไฮโดรเจนตอกับครึ่งเซลลที่สนใจ และขัวไฟฟาจะตองจุมอยูในสารละลายเขมขน 1 Molarโดย ้  E°Cell = E°Cathode - E° Anode
  • 5. 5 ขอควรทราบเกี่ยวกับคา E° 1. ถามีการกลับสมการ คา E° จะเทาเดิม แตเครื่องหมายตรงกันขาม 2. ถามีการคูณสมการดวยตัวเลขใดๆ คา E° จะเทาเดิม ไมเปลี่ยนแปลง 3. คา E°reduction ยิ่งมาก แสดงวาสารนันยิ่งรับ อิเล็กตรอน ไดดี (แนวโนมความเปนตัว ้ ออกซิไดซมากขึ้น) คา E°reduction ยิ่งต่ํา แสดงวาสารนันยิ่งให อิเล็กตรอน ไดดี (แนวโนมความเปนตัว ้ รีดิวซ มากขึน) ้ โดยทั่วไปเมื่อกลาวถึง E° หากไมมีการระบุวาเปน E°reduction หรือ E°oxidation ใหถือวา เปน E°reduction ประโยชนของคา E°reduction 1. ใชเปรียบเทียบความสามารถในการเปนตัวรีดวซและตัวออกซิไดซ ิ Ä สารที่ให อิเล็กตรอน ไดดี E° ต่ํา , สารที่รับ อิเล็กตรอน ไดดี E° สูง เชน Zn2+(aq) + 2 e- Zn(s) E° = - 0.76 Volt Ag+(aq) + e- Ag(s) E° = 0.80 Volt พิจารณา Eo Zn2+ < Eo Ag+ ตัวรีดิวซ : Zn > Ag ตัวออกซิไดซ : Ag+ > Zn2+
  • 6. 6 2. ใชคํานวณคาศักยไฟฟาของเซลลและครึ่งเซลล E°Cell = E°Cathode - E° Anode = E°ขั้วบวก - E°ขั้วลบ = E°สูง - E°ต่ํา ประโยชนของคา E°Cell E°Cell > 0 ปฏิกิริยาเกิดได E°Cell < 0 ปฏิกิริยาเกิดไมได (เกิดในทิศตรงขาม) E°Cell = 0 ปฏิกิริยาเกิดไมไดแนนอน ตัวอยางการคํานวณศักยไฟฟาของครึ่งเซลล EX. เมื่อนําครึ่งเซลลของ Ag | Ag+ ตอกับครึ่งเซลลของ Pt | H2 | H+ พบวาเข็มของโวลต มิเตอรเบนหาขั้ว Ag และอานคาได 0.80 Volt ใหหาคา E° ของ Ag+ + e- Ag วิธีทํา จากการที่เข็มโวลตเบนเขาหาขัว Ag ้ แสดงวา Ag | Ag+ รับ e- Pt | H2 | H+ ให e- จาก E°Cell = E°Cathode - E° Anode 0.80 = Eo Ag - Eo H2 0.80 = Eo Ag – 0 ดังนั้น Eo Ag = 0.80 Volt นั่นหมายความวา Ag+ + e- Ag E° = 0.80 Volt ตัวอยางการคํานวณศักยไฟฟาของเซลล EX. เมื่อนําครึ่งเซลลของ Fe | Fe2+ ตอเขากับ Ni | Ni2+ ใหหาคา E°Cell กําหนด Fe2+ + 2 e- Fe E° = - 0.41 Volt Ni2+ + 2 e- Ni E° = - 0.23 Volt วิธีทํา E°Cell = E°สูง - E° ต่ํา E°Cell = E°Cathode - E° Anode = - 0.23 - ( - 0.41) = 0.18 Volt
  • 7. 7 อิเล็กโตรลิซิส (Electrolysis) ปฏิกิริยาใดที่เกิดขึ้นไมได เชน Cu(s) + Zn+(aq) Cu2+(aq) + Zn(s) หากตองการทําใหเกิดปฏิกิรยาก็สามารถทําไดโดยผานพลังงานไฟฟาจากภายนอก ซึ่ง ิ ปฏิกิริยาที่ไดจากการแยกสลายดวยดวยไฟฟานี้มีชื่อเรียกวา อิเล็กโตรลิซิส (Electrolysis) สวนประกอบที่สําคัญของ Electrolytic Cell 1. แหลงพลังงานไฟฟาจากภายนอก 2. ขั้วไฟฟา 3. สารละลายอิเล็กโตรไลท ลักษณะการเกิดปฏิกิริยาเปนดังนี้ สารที่ให อิเล็กตรอน แกขวบวก เกิดปฏิกริยา Oxidation ั้ ิ ขั้วอาโนด - สารที่รับ อิเล็กตรอน จากขั้วลบ เกิดปฏิกิริยา Reduction ขั้วคาโทด + การดุลสมการรีดอกซ ตองผานขั้นตอนการหาเลขออกซิเดชัน 1.โดยเลขออกซิเดชันจะหมายถึงตัวเลขแสดงคาประจุไฟฟาที่แทจริงหรือประจุไฟฟาสมมติ ของธาตุ เกณฑการกําหนดคาเลขออกซิเดชัน (O.N.) 1. ธาตุอิสระ (ไมรวมตัวกับธาตุอื่น มีคา O.N. = ศูนย) เชน Mg , O2 , O3 , S8 , P4 2. ธาตุหมู 1 ในสารประกอบ มีคา O.N. = 1 เชน LiNo3 , NaCl , KclO3
  • 8. 8 3. ธาตุหมู 2 ในสารประกอบ มีคา O.N. = 2 เชน MgCl2 , CaCO3 , BeCl2 4. ธาตุไฮโดรเจน ในสารประกอบ มีคา O.N. = 1 เชน HCl , NH3 , H2O ยกเวน ในสารประกอบของโลหะ เชน NaH , AlH3 H มี O.N. = -1 5. ธาตุออกซิเจน ในสารประกอบ มีคา O.N. = - 2 เชน H2O , CO2 , C2O ยกเวน H2O2 , Na2 O , NaO2 , OF O มี O.N. = -2 6. ผลรวมของ O.N. ในสารประกอบมีคาเปนศูนย เชน KmnO4 , MnO2 , Na2C2O4 7. ผลรวมของ O.N. ในไอออนเทากับจํานวนประจุ เชน MnO4- , Cr2O72-, Fe(CN)63- Note ไอออนที่ควรจํา SO42- , CN- , CO32- , NO3- ไอออนที่มี O.N. เทากับจํานวนประจุ ตัวอยางการหาเลขออกซิเดชันของธาตุ Mn2O7 2Mn + 7O = 0 Na3PO4 3Na + P + 4O = 0 2Mn + 7(-2) = 0 3(1) + P + 4(-2) = 0 2Mn = 14 3+P–8 = 0 Mn = +7 # P = +5 # MnSO4 Mn + SO4 = 0 C2O42- 2C + 4O = -2 Mn + (-2) = 0 2C + 4(-2) = -2 Mn = +2 # 2C = 6 C = +3 # ขั้นตอนการดุลสมการรีดอกซ 1. หาธาตุที่มี O.N. เปลี่ยนไป ตอ 1 อะตอมของธาตุ 2. นําเลข O.N. ที่เปลี่ยนไปมาคูณไขว (เพื่อใหจํานวน อิเล็กตรอน ที่ถายเทเทากัน) 3. ดุลอะตอมของธาตุ (H กับ O ทําทีหลัง) 4. ถาทอนไดใหทอนเปนอัตราสวนอยางต่ําดวย
  • 9. 9 ตัวอยางการดุลสมการรีดอกซ EX. FeCl3 + SnCl2 FeCl2 + SnCl4 1. หาเลข O.N. ที่เปลี่ยนไป ตอ 1 อะตอมของธาตุ FeCl3 + SnCl2 FeCl2 + SnCl4 +3 +2 +2 +4 รับ 1 e- เสีย 2 e- 2. คูณไขวจํานวน e- ใหถายเทเทากัน 2FeCl3 + SnCl2 FeCl2 + SnCl4 3. ดุลสมการ 2FeCl3 + SnCl2 2FeCl2 + SnCl4 EX. KMnO4+ KNO2 + H2SO4 MnSO4 + H2O + KNO3 + K2SO4 1. หาเลข O.N. ที่เปลี่ยนไป ตอ 1 อะตอมของธาตุ KMnO4 + KNO2 + H2SO4 MnSO4 + H2O + KNO3 + K2SO4 +7 +3 +2 +5 รับ 5 e- เสีย 2 e- 2. คูณไขวจํานวน e- ใหถายเทเทากัน 2KMnO4 + 5KNO2 + H2SO4 MnSO4 + H2O + KNO3 + K2SO4 3. ดุลสมการ 2KMnO4 + 5KNO2 + 3H2SO4 2MnSO4 + 3H2O + 5KNO3 + K2SO4 การดุลสมการรีดอกซแบบครึ่งปฏิกิริยา ทําตามขั้นตอนดังนี้ 1. ในสารละลายกรด EX. Fe2+ + Cr2O72- Fe3+ + Cr3+ วิธีทํา 1. แยกครึ่งปฏิกิริยา Fe2+ Fe3+ Cr2O72- Cr3+
  • 10. 10 2. ดุลอะตอม Fe2+ Fe3+ Cr2O72- 2Cr3+ เติม H2O ดานขาดออกซิเจนเทากับจํานวนที่ขาด ออกซิเจน Cr2O72- 2Cr3+ + 7H2O เติม H+ ดานขาดไฮโดรเจนเทากับจํานวนที่ขาด ไฮโดรเจน Cr2O72-- + 14H+ 2Cr3+ + 7H2O 3. ดุลประจุ (โดยการเติม e- ) จาก Fe2+ Fe3+ + e- จํานวนประจุเทากันคือ 2 Cr2O72- + 14H+ + 6 e- 2Cr3+ + 7H2O จํานวนประจุเทากันคือ 6 4. ทําการถายเท e- ใหเทากัน (โดยการคูณไขวจํานวน อิเล็กตรอน) 6Fe2+ 6Fe3+ + 6 e- Cr2O72- + 14H+ + 6 e- 2Cr3+ + 7H2O 5. รวมสมการ 6Fe2+ + Cr2O72- + 14H+ 6Fe3+ + 2Cr3+ + 7H2O 2. ในสารละลายเบส EX. I- + MnO4- ® I2 + MnO2 วิธีทํา แยกครึ่งปฏิกิริยา I- I2 ดุลอะตอม MnO4- MnO2 - 2I I2 ดุลประจุ Q อะตอมของ Mn ดุลแลว 2I- I2 + 2 e- ∴ ดุล O โดยเติม H2O ดานขาด Oเทากับ จํานวนที่ขาด O2 MnO44- MnO2 + 2H2O เติม H+ ดานขาด H เทากับจํานวนที่ขาด H MnO44- MnO2 + 2H2O Q สารละลายเบสหามมีกรด ดังนั้นตองเติม OH- ทั้ง 2 ดาน MnO4- + 4H+ + 4OH- MnO2 + 2H2O + 4OH- + - Q H + OH H2O ดังนั้นจะไดสมการเปน - MnO4 + 4H2O MnO2 + 2H2O + 4OH- หักลาง H2O
  • 11. 11 MnO4- + 2H2O MnO2 + 4OH- ดุลประจุ MnO4- + 2H2O + 3 e- MnO2 + 4OH- ทํา e- ที่ถายเทใหเทากัน (โดยดุลจํานวน e- ) Oxidation 2I- I2 + 2 e- (1) Reduction MnO4- + 2H2O + 3 e- MnO2 + 4OH- (2) (1) x 3 จะได 6I- 3I2 + 6 e- (2) x 2 จะได 2MnO4- + 4H2O + 6 e- 2MnO2 + 8OH- รวมสมการ 6I- + 2MnO4- + 4H2O 3I2 + 2MnO2 + 8OH- ประโยชนของเซลลกัลวานิก เซลลกัลวานิก อาจแบงออกไดเปน 2 ลักษณะ คือ 1. เซลลปฐมภูมิ (Primary Cell) เปนเซลลที่เมื่อใชแลวไมอาจทําใหกลับไปสูสภาพเดิมไดอีกโดยใชศักยไฟฟาภาพนอก เซลล ชนิดนี้ ไดแก ดาเนียลเซลล เซลลแหง และอื่นๆ 1.1 เซลลแหงหรือถานไฟฉาย เซลลแหงหรือบางทีเรียกวาเซลลเลอคลัง เซลล (leclanche cell) เปนเซลลที่ใชในไฟฉาย ซึ่งมี ลักษณะตามรูปที่ 1. กลองของเซลลทําดวยโลหะสังกะสีซึ่งทําหนาที่เปนขั้วลบ สวนแทงคารบอนหรือ แกไฟตทําหนาที่เปนขั้วบวก ภายในกลองระหวางสองอิเล็กโตรดบรรจุดวยของผสมของแอมโมเนียม คลอไรด, แมงกานีส (IV) ออกไซด, ซิงค (II) คลอไรด, ผงคารบอนกับของแข็งอื่นที่ไมมีสวนในการ ทําปฏิกิริยาและทําใหชุมดวยน้ํา ระหวางของผสมเหลานี้กับกลองสังกะสีกั้นดวยกระดาษพรุน ตอนบนของเซลลผนึกดวยวัสดุที่สามารถรักษาความชื้นภายในเซลลใหคงที่ เมื่อเซลลทําหนาที่จาย ไฟฟา Zn จะใหอิเล็กตรอนเปน Zn2+ เปนเหตุใหกลองสังกะสีเปนขั้วลบ ปฏิกิริยาที่เกิดขึนจึงเปน ้ oxidation reaction Zn(s) Zn2+(aq) + 2e- ที่ขั้วบวก แมงกานีส(IV) ออกไซด จะถูกรีดวซ ิ ซึ่งมีปฏิกิริยาครึ่งเซลลเปนดังนี้ 2MnO2(s) + 8NH4+(aq) + 2e 2Mn3+(aq) + 4H2O + 8NH3(aq) เพราะฉะนันปฏิกิริยาสุทธิที่ไดจากปฏิกิริยาครึ่งเซลลทั้งสอง จึงเปน ้ Zn(s) +2MnO2(s) + 8NH+4(aq) Zn2+(aq) + 2Mn3+(aq) + 8NH3(aq) +4H2O
  • 12. 12 ถามีการจายกระแสไฟฟามากก็จะทําใหเกิด NH3 ขึ้น ซึ่งจะเขาทําปฏิกิริยากับ Zn2+ เกิด เปนไอออนเชิงซอน เปนตนวา [Zn(NH3)4]2+ และ [ Zn(NH3)4 ]2+ และ [ Zn(NH3)2(H2O)2]2+ เซลลแหง ดังกลาวจะใหศักยไฟฟาประมาณ 1.5 โวลต การเกิดไอออนเชิงซอนชวยรักษาความเขมขนของ Zn2+ ไมใหสูงขึ้น จึงทําใหศักยไฟฟาของเซลลเกือบคงที่เปนเวลานานพอสมควร สวนประกอบของเซลลแหง 1.2 เซลลสําหรับวัตถุประสงคพิเศษ สําหรับเซลลวัตถุประสงคพิเศษ ที่จะกลาวถึง ไดแก เซลลรูบิน-มาลลอรี่(Rubin-Mallory cell) หรือบางทีเรียกเซลลเมอรคิวรี(Mercury cell) ซึ่งมีขนาดเล็กและใชกนมากในเครื่องฟงเสียงสําหรับคน ั หูพิการ หรือประโยชนอื่นๆ เซลลนี้ใชกลองสังกะสีเปนขั้วลบ แทงคารบอน(แกรไฟต เปนขั้วบวก คลายกับของเซลลแหง แตใชอิเล็กโตรไลตเปนของผสมที่ชุมและเหนียวของเมอรคิวรี (II) ออกไซด โซเดียมหรือโพแทสเซียมไฮ ดรอกไซด เซลลนี้จะใหศกยไฟฟาประมาณ 1.3 โวลต และมีปฏิกิริยาเคมี ั ดังนี้ ขั้วลบ : Zn(s) + 2OH-(aq) Zn(OH)2(s) + 2e- ขั้วบวก : HgO(s) + 2H2O + 2e- Hg(l) + 2OH-(aq) ปฏิกิริยาสุทธิ : Zn(s) + HgO(s) + 2H2O Zn(OH)2(s) + Hg(l) 1.3 ดาเนียลเซลล (Daniel Cell) จากภาพ อิเล็กโตรดทองแดงประกอบดวยโลหะทองแดงบรรจุอยูในสารละลายอิ่มตัวของ คอปเปอร(||) ซัลเฟต (A) สวนลางของเซลลมีผลึกของคอปเปอรซัลเฟตเพื่อใหสารละลายอิ่มตัว สาร อิเล็กโตรดสังกะสีประกอบดวย โลหะสังกะสี( B ) ลอยอยูในสารละลายสังกะสีซัลเฟตที่เจือจางไกลๆ สวนบนของเซลล เหนือสารละลายคอปเปอรซัลเฟตซึ่งมีความหนาแนนมากกวา เมื่อโลหะสังกะสีและ ทองแดงเชื่อมตอกันดวยลวด อิเล็กตรอนจะไหลผานเสนลวดจากสังกะสีซึ่งถูกออกซิไดซงายกวาไปยัง
  • 13. 13 ทองแดงซึ่งออกซิไดซยากกวา สังกะสีจะถูกออกซไดซกลายเปน Zn2+ ในสารละลาย ในขณะเดียวกัน Cu2+ จะถูกรีดวซเปนทองแดง ดังสมการ ิ Anode : Zn Zn2+ + 2e- Cathode : Cu2+ + 2e- Cu ปฏิกิริยาสุทธิ Zn + Cu2+ Zn2+ + Cu ถาความเขมขนของ Zn2+ เพิ่มขึ้น ปฏิกิริยาที่ขั้วบวก ( anode ) จะเลื่อนไปทางซาย เปนผลให ศักยไฟฟาของเซลลลดลง เซลลที่ใชหลักการเดียวกับดาเนียลเซลล แตใชแคดเมียมและนิเกิลแทน สังกะสีและทองแดงใชกันมากในแบตเตอรี่ เพราะมีอายุการใชงานที่นานกวา 2. เซลลทุติยภูมSecondary Galvanic Cell ิ เปนเซลลที่สารซึ่งเปนสวนประกอบของเซลลสามารถทํากลับใหอยูในสภาพเดิมไดอีกโดยให  กระแสไฟฟาไหลผานในทิศทางตรงกันขามกับการจายไฟ (Discharge) วิธีการนี้เปนการใหประจุใหม แกเซลล เซลลชนิดนี้ไดแก แบตเตอรี่ตะกัว และแบตเตอรี่แบบเอดิสันเปนตน ่ 2.1 แบตเตอรีสะสมไฟฟาแบบตะกั่ว (lead storage battery) ่ แบตเตอรี่สะสมไฟฟาแบบตะกัวจะ ประกอบดวยอิเล็กโตรสองอันซึ่งเปนแผนตะกัว และแผน ่ ่ เลด(IV) ออกไซด มีกรดซัลฟุริกเจือจางเปนอิเล็กโตรไลต เมื่อมีการจายไฟฟา แผนตะกัวจะถูกออกซิ ่ ไดสเปนเลด (II) ไอออน และทําหนาทีเ่ ปนขั้วลบ ดังรูป 2 Pb(s) Pb2+(aq) + 2e- เลด(II) ไอออนจะรวมตัวกับชัลเฟตไอออนเปนเลด(II) ซัลเฟต Pb2+(aq) + SO42- (aq) PbSO4(s) รูปที่2 สวนประกอบของแบตเตอรี่สะสมไฟฟาแบบตะกั่ว เมื่อรวมสมการทั้งสองเขาดวยกัน ก็จะเปนปฏิกิริยาครึ่งเซลลที่มีการเกิดออกซิเดชัน Pb(s) + SO42- (aq) PbSO4(s) + 2e- อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่จากขั้วลบตามเสนลวดไปยังอิเล็กโตรดอีกอันหนึ่งที่เปนเลด(IV) ออกไซด ซึ่งมี ไฮโดรเจนไอออนจากอิเล็กโตรไลตและจะถูกรีดิวซืดังสมการ PbO2(s) + 4H+(aq) + 2e- Pb2+(aq) + 2H2O และ Pb2+ จะรวมตัวกับ SO2-4 ที่มีในสารละลาย Pb2+(aq) + SO2-4(aq) PbSO4 (s) ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นที่เลด (IV) ออกไซดจึงเปนปฏิกิริยาครึ่งเซลลที่มีการเกิดรีดักชัน PbO2(s) + 4H+(aq) + SO2-4(aq) + 2e- PbSO4(s) + 2H2O
  • 14. 14 การจายไฟฟาที่เกิดขึ้นจากทังสองอิเล็กโตรดอาจสรุปไดดังนี้ ้ ขั้วลบ : Pb(s) + SO2-4(aq) PbSO4(s) + 2e- ขั้วบวก : PbO2(s) + 4H+(aq) + SO2-4(aq) + 2e- PbSO4(s) + 2H2O ปฏิกิริยาสุทธิ : Pb(s) + PbO2(s) + 4H+(aq) + 2SO2-4(aq) 2PbSO4(s) + 2H2O ปฏิกิริยาของเชลลขางบนเปนแบบผันกลับได เพราะฉะนันถาตองการใหผันกลับก็จําเปน ้ จะตองมีการอัดไฟฟา โดยการตอขั้วบวกของเซลลกับขั้วบวกของเครื่องอัดไฟฟาและขั้วลบกับขั้วลบ ของเครื่องอัดไฟฟา ปฏิกิริยาสุทธิขางบนก็จะเปลียนทิศทางเปนจากขวาไปซาย ในลักษณะนีเ้ ลด(II) ่ ซัลเฟตที่ขั้วลบก็จะเปลียนเปนตะกัว สวนอีกขั้วหนึ่ง เลด(II) ซัลเฟตจะเปลี่ยนเปนเลด (IV) ออกไซด ่ ่ ตามปฏิกิริยาของแบตเตอรี่สะสมแบบตะกัวจะเห็นวาในขณะที่มีการจายไฟฟา ความเขมขนของกรด ่ จะลดลงเรื่อยๆ ตามปกติตอนที่มีศักย ไฟฟาเต็มที่จะมีความถวงจําเพาะ ประมาณ 1.25 ถึง 1.30 แลวแต อุณหภูมิในขณะนันๆ ถาหากเมื่อใดมีความถวงจําเพาะต่ากวา 1.20 ที่อุณหภูมิของหองก็ควรจะมีการ ้ ํ อัดไฟฟาได แตละเซลลของแบตเตอรี่จะมีศักยไฟฟาประมาณ 2 โวลต เพราะฉะนันถารถยนตใช ้ แบตเตอรี่ 12 โวลตก็จะตองประกอบดวย 6 เซลล ภาพประกอบของแบตเตอรี่สะสมไฟฟาแบบตะกัว ่ 2.2 แบตเตอรีสะสมไฟฟาแบบเอดิสัน (Edison storage battery) ่ แบตเตอรี่แบบนี้ประกอบแผนเหล็กกลา บรรจุผงเหล็กละเอียดสวนนี้ทาหนาที่เปนขัวลบ ํ ้ สําหรับขั้วบวกเปนแผนเหล็กกลาบรรจุดวยนิเกิล(IV) ออกไซดไฮเดรต สวนอิเล็กโตรไลตเปน สารละลายที่มีโพแทสเซียมไฮดรอกไซด 21% ผสมลิเที่ยมไฮดรอกไซดเล็กนอย เมื่อมีการจายไฟฟา ปฏิกิริยาครึ่งเซลลเกิดขึ้นดังนี้ ขั้วลบ : Fe(s) + 2OH-(aq) Fe(OH)2(s) + 2e- ขั้วบวก : NiO2(s) + 2H2O + 2e- Ni(OH)2(s) + 2OH-(aq) ปฏิกิริยาสุทธิ : Fe(s) + NiO2(s) + 2H2O Fe(OH)2(s) + Ni(OH)2(S)
  • 15. 15 เมื่อมีการอัดไฟฟา ปฏิกิริยาจะเปลี่ยนทิศทางจากขวาไปซาย ศักยไฟฟาของแตละเซลลของ แบตเตอรี่แบบเอดิสัน มีคาประมาณ 1.4 โวลต ถาใชผงแคดเมียมมาแทนผงเหล็กจะเปนแบตเตอรี่สะสมไฟฟาแบบนิกเกิล-แคดเมียม ซึ่งมี ศักยไฟฟาประมาณ 1.3 โวลต และมีปฏิกิรยาครึ่งเซลล พอสรุปไดดังนี้ ิ ขั้วลบ : Cd(s) + 2OH-(aq) Cd(OH)2(s) + 2e- ขั้วบวก: NiO2(s) + 2H2O + 2e- Ni(OH)2(s) + 2OH-(aq) ปฏิกิริยาสุทธิ : Cd(s) + NiO2(s) + 2H2O Cd(OH)2(s) + Ni(OH)2(s) แบตเตอรี่ทั้งสองแบบที่กลาวถึงในหัวขอที่ 2. มีขอดีคือ สามารถเก็บไวนานๆไดโดยไมเสื่อมคุณภาพ ใหศักยไฟฟาคอนขางคงที่ ใชกับอุปกรณวัดแสงในการถายรูป เครื่องคิดเลข และอืนๆ ่ ประโยชนของเซลลอิเล็กโทรไลต 1. การชุบโลหะ หลักการทั่วไปสําหรับการชุบโลหะดวยไฟฟา 1. ใชโลหะทีจะชุบเปนแคโทด ่ 2. จะชุบดวยโลหะใดใชโลหะนันเปนแอโนด ้ 3. สารละลายอิเล็กโทรไลต ตองมีไอออนของโลหะที่เปนแอโนด 4. ใชไฟฟากระแสตรง และควบคุมศักดิ์ไฟฟาของเซลลใหเหมาะสม
  • 16. 16 2. การทําโลหะใหบริสุทธิ์ การทําโลหะใหบริสุทธิ์ดวยกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส ใชหลักการเดียวกับกับการชุบดวย ไฟฟา โดยใชโลหะที่บริสุทธิ์เปนแคโทด โลหะที่ไมบริสุทธิ์เปนแอโนด และใชสารละลายที่มี ไอออนของโลหะดังกลาวเปนอิเล็กโทรไลต เชนการทําทองแดงใหบริสุทธิ์ โดยทัวๆไปจะไดทองแดงจากการถลุงแร ซึ่งจะมีความบริสทธิ์ไมเกิน 99% ที่เหลือจะเปน ่ ุ พวกสิ่งเจือปนตาง ๆ เชน Fe Ag Au Pt และ Zn ถาใชกระบวนการอิเล็กโทรลิซิสเขาชวย จะได ทองแดงที่มีความบริสุทธิ์ถึง 99.95% ในอุตสาหกรรมจะสรางเซลลดังนี้ การผุกรอนของโลหะและการปองกัน การผุกรอนของโลหะที่พบบอยในชีวิตประจําวันไดแก เหล็กเปนสนิม (สนิมเหล็กเปน ออกไซดของเหล็ก Fe2O3.xH2O) ซึ่งเกิดจากสาเหตุหลายประการ ตัวอยางเชน การที่อะตอมของโลหะ ที่ถูกออกซิไดสแลวรวมตัวกับออกซิเจนในอากาศเกิดเปนออกไซดของโลหะนั้น เชน สนิมเหล็ก (Fe2O3) สนิมทองแดง (CuO) หรือสนิมอลูมิเนียม(Al2O3) การเกิดสนิมมีกระบวนการซับซอนมากและ มีลักษณะเฉพาะตัวดังนี้ 1. การผุกรอนของโลหะ คือปฏิกิริยาเคมีทเี่ กิดระหวางโลหะกับภาวะแวดลอม 2. ภาวะแวดลอมที่ทําใหผุกรอน คือ ความชื้น และออกซิเจน(H2O, O2) หรือ H2O กับอากาศ 3. ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดในการผุกรอน เปนปฏิกิริยารีดอกซ 3.1 โลหะที่เกิดปฏิกิริยา Oxidation (ใหอเิ ล็กตรอน) 3.2 ภาวะแวดลอมเปนฝายรับอิเล็กตรอน เกิดปฏิกิริยา Reduction 4. สมการแสดงปฏิกิริยาการผุกรอน (เกิดจากการทดลอง) โลหะ + ภาวะแวดลอม Ion ของโลหะ + เบส Fe (s) + H2O (l) + O2 (g) Fe2+ (aq) + OH- (aq) Fe2+ ทดสอบโดยใชสารละลาย K3Fe(CN)6 จะไดสน้ําเงิน ถาสีน้ําเงินเขม แสดงวามี Fe2+ มาก ี ถาจางมี Fe2+ นอย เบส(OH-) ทดสอบโดยสารละลายฟนอลฟทาลีน ไดสีชมพู
  • 17. 17 5. ในการ Balance สมการ เมื่อเหล็กสัมผัสกับอากาศและความชื้น อะตอมของเหล็กจะเกิด oxidation reaction ดังสมการ Fe (s) Fe2+ (aq) + 2e ……………….(1) Oxidation น้ําและออกซิเจนรับอิเล็กตรอนจากเหล็ก ดังสมการ 2H2O (l) + O2 (g) + 4e 4OH- (aq) …………..…..(2) Reduction (1) * 2 + (2) ; 2Fe + 2H2O + O2 2Fe2+ + 4OH- ……………... (3) Redox การปองกันสนิมเหล็ก 1. ทาสี ทาน้ํามัน การรมดํา และการเคลือบพลาสติก เปนการปองกันการถูกกับ O2 และความชืน ้ ซึ่งเปนการปองกันการเกิดสนิมของโลหะไดและเปนวิธที่สะดวกและใหผลดีในการปองกันสนิม ี 2. โลหะบางชนิดมีสมบัติพิเศษ กลาวคือเมื่อทําปฏิกิริยากับออกซิเจนจะเกิดเปนออกไซดของ โลหะเคลือบอยูบนผิวของโลหะนั้นและไมเกิดการผุกรอนอีกตอไป โลหะที่มีสมบัติดังกลาวไดแก อลูมิเนียม ดีบุก และสังกะสี การชุบ หรือเคลือบโดยโลหะที่ Oxide ของโลหะนั้นคงตัว สลายตัวยาก จะเปนผิวบางๆ คลุมผิวโลหะอีกที ไดแก Cr (โครเมียม) และอลูมิเนียม(Al) เปนตน ดังนั้น Cr2O3.Al2O3 สลายตัวยาก เรียกชื่อวาวิธี อะโนไดซ (Anodize) หมายเหตุ เหล็กกลาไมเกิดสนิม (stainless steel) เกิดจาก Fe ผสม Cr 3. การผุกรอนของโลหะมีปฏิกิริยาเกิดขึ้นเชนเดียวกับแอโนดในเซลลอิเล็กโทรไลต ดังนั้นถา ไมตองการใหเกิดการผุกรอนจึงตองใหโลหะนั้นมีสภาวะเปนแคโทดหรือคลายกับแคโทด โดยใช โลหะที่เสีย อิเล็กตรอนงายกวาเหล็กไปอยูกับเหล็ก ไดแก Fe ชุบ Zn สําหรับมุงหลังคา การฝงถุง Mg  ตามทอ หรือการผูก Mg ตามโครงเรือ จะทําให Fe ผุชาลง เนื่องจาก Zn & Mg เสีย e งายกวา Fe จะเสีย e แทน Fe เรียกชื่อวิธี แคโธดิก (Cathodic)
  • 18. 18 4. การปองกันการผุกรอนของโลหะในระบบหลอเย็นแบบปด เครื่องยนตที่ใชในรถยนตหรือเครื่องมือผลิตกระแสไฟฟาจะใชระบบหลอเย็นแบบปดเพื่อ รักษาอุณหภูมของเครื่องยนตไมใหสูงมากเกินไป สารหลอเย็นที่ใชคือน้ําซึ่งมีออกซิเจนละลายอยู ถา ิ เครื่องยนตมีโลหะผสมของอลูมิเนียม ออกซิเจนที่ละลายอยูในน้ําจะถูกใชในการสรางฟลมอลูมิเนียม ออกไซด และฟลมนี้จะปองกันการผุกรอนเครื่องยนตได แตถาเครื่องยนตมีสวนประกอบที่เปนโลหะ ผสมของเหล็ก สวนประกอบของเครื่องยนตที่สัมผัสกับน้ําจะเกิดการผุกรอนได เนื่องจากออกไซดของ เหล็กไมมีสมบัติในการเปนสารเคลือบผิว จึงตองเติมสารยับยั้งการกัดกรอนซึ่งประกอบดวย สารประกอบของไนไตรตโบแรกซ สารนี้จะทําใหน้ําในระบบหลอเย็นมี pH สูงกวา 8.5 และทําให โลหะที่เปนสวนประกอบของเครื่องยนตเกิดoxidation reactionไดยาก การผุกรอนของโลหะจึงลดลง นอกจากนี้การใชระบบปดมีผลดีอีกประการหนึ่งคือเปนการจํากัดปริมาณของออกซอเจนที่ละลายลง ไปในน้ําจึงทําใหการผุกรอนของโลหะลดลง ความกาวหนาทางเทคโนโลยีที่เกี่ยวของกับเซลลไฟฟาเคมี 1. การทําอิเล็กโทรไดอะลิซิสน้ําทะเล อิเล็กโทรไดอะลิซิสเปนเซลลอิเล็กโทรไลตที่ใชแยกไอออนออกจากสารละลายโดยให ไอออนเคลื่อนที่ผานเยื่อบางๆ ไปยังขั้วไฟฟาที่มีประจุตรงกันขามซึ่งอยูริมทั้งสองดานทําให สารละลายสวนกลางมีความเขมขนไอออนลดลงจึงนําหลักการนี้ไปแยกไอออนของโซเดียมและคลอ ไรดไอออนออกจากน้ําทะเลเพื่อผลิตน้ําจืดจากทะเลได 2. เซลลเชื้อเพลิง (fuel cell) อีกวิธีหนึ่งทีใชเปลี่ยนพลังงานเคมีเปนพลังงานไฟฟาไดแก เซลลเชื้อเพลิง ซึ่งมีไดหลายแบบ ่ ขึ้นกับวาจะใชสารอะไรเปนเชื้อเพลิง เชน ออกซิเจน(จากอากาศ) และน้ํามันเชื้อเพลิง (fossil fuel) หรือ ไฮโดรเจนและไฮดราซีน (hydrazine,N2H4) แตเชื้อเพลิงที่ใชกันมากไดแก H2 และ O2 ซึ่งใชกันในยาน
  • 19. 19 อวกาศ เพราะเชื้อเพลิงที่ใชยงจรวดเปนเชื้อเพลิงชนิดเดียวกัน เซลลเชื้อเพลิงH2 - O2 แสดงในรูป ซึ่ง ิ แบงไดเปนสามหอง คือหองทางซายเปนทางเขาของ H2 และหองทางขวาซึ่งเปนทางเขาของO2 และ หองที่มีตําแหนงอยูกลางบรรจุอิเล็กโตรไลตซึ่งเปนสารละลายเบส หองทั้งสามแยกออกจากกันดวย ขั้วไฟฟาที่มีลกษณะพรุน (porous electrode) ที่ทําดวยวัตถุตัวนํา เชน คารบอนผสมดวยแพลตินัม ั เล็กนอย เพื่อทําหนาที่เปนตัวเรง เมื่อปอน H2 และ O2 เขาทางหองทางซายและทางขวาพรอมกัน แกส ทั้งสองจะแพรผานไปยังขั้วไฟฟา และทําปฏิกิริยากับอิเล็กโตรไลตในหองกลาง ออกซิเจนถูกรีดวซที่ ิ คาโทดเกิดเปน OH- ดังนี้ Cathode : O2(g) + 2H2O(l) + 4e- 4OH-(aq) OH-จะซึมผานไปยังแอโนด และทําปฏิกิริยากับ H2 ดังนี้ Anode : H2(g) + 2OH-(aq) 2H2O(I)+2e- ปฏิกิริยาสุทธิของเซลลคือ การเปลี่ยน H2 (g)และ O2(g) เปนน้ํานั่นเอง 2H2(g) + O2(g) 2H2O(I) โดยปกติจะใชอุณหภูมิสูงพอ เพื่อน้ําที่ไดสามารถระเหยออกจากเซลล และควบแนนเปนน้ํา ดื่มสําหรับมนุษยอวกาศ ถานําเชื้อเพลิงหลายๆเซลลมาตอเขาดวยกัน จะสามารถผลิตกระแสไฟฟาได หลายๆกิโลวัตต เซลลเชื้อเพลิงมีขอดีหลายประการเมื่อเปรียบเทียบกับเซลลแหงหรือเซลลสะสมตะกั่ว เชนสามารถปอนเชื้อเพลิงตลอดเวลา จึงไดเกิดพลังงานขึ้นอยางไมมีที่สิ้นสุดและมีประสิทธิภาพสูง กวา นอกจากนี้แลว เซลลเชื้อเพลิงสามารถเปลี่ยนพลังงานเคมีเปนพลังงานไฟฟาไดโดยตรง โดยไมมี ผลิตผลพลอยไดที่ไมพึงปรารถนาอยางอื่น (การผลิตกระแสไฟฟาที่ใชกันในปจจุบนทั่วไปตองใช ั เชื้อเพลิงในการตมน้ําใหไดไอเพื่อนําไปหมุนกังหันที่ตอ) และยังมีประสิทธิภาพสูงกวา (เซลล เชื้อเพลิงอาจมีประสิทธิภาพมากกวา 80% เปรียบเทียบกับเครื่องกําเนิดไฟฟากังหันไอน้ํา ซึ่งทั่วไปสูง เพียงประมาณ 40% เทานั้น)เซลลเชื้อเพลิงจึงอาจเปนแหลงพลังงานที่สําคัญในอนาคต ภาพของเซลลเชื้อเพลิง