8. 4
position คือตาแหน่งแห่งที่ทางสังคมของแต่ละกลุ่ม แต่ละคน ล้วนแล้วแต่สร้างความชอบธรรมผ่านเรื่องของทุนทาง
สัญลักษณ์ ที่จริงแล้วสถานภาพในสังคมเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ ดังนั้น social capital ถึงได้กลายเป็นทรัพยากรที่ช่วย
ให้ผู้คนสามารถต่อสู้ เพื่อปรับเปลี่ยนไปในสนามที่หลากหลาย
ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่ที่คิดเรื่องทุนทางสังคมจะคิดมากเรื่องของ trust ว่าเป็นหัวใจของสังคม เป็นฐานของการ
สร้างทุนทางสังคม หากมี trust มีความไว้วางใจก็จะทาให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เพราะนักสังคมวิทยาทางเศรษฐกิจท่าน
หนึ่ง (Mark Granovetter) ที่อยู่มหาวิทยาลัย Harvard ก็พูดเรื่องนี้ไว้มาก คือใช้ความคิดบวกกับ Karl Polanyi ที่ให้
ความสาคัญกับการยึดโยง โดยกล่าวว่าโลกปัจจุบันยึดโยงด้วยกับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นกันที่ใช้ทาธุรกิจ หรือ
อื่นๆ แต่ Bourdieu ไม่เล่นด้วยกับความคิดนี้ เพราะการมีหรือไม่มี trust ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่ตัว trust เอง แต่
Bourdieu ไม่ได้พูดคานี้อย่างชัดเจน ดังนั้น Bourdieu คิดว่าควรจะมองเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง
2.2 มุมมองแบบชุมชนนิยม
แนวความคิดที่โต้แย้ง Bourdieu จะเป็นอีกแนวหนึ่ง ซึ่งเป็นแนวคิดกระแสหลักที่ใช้กันอยู่ปัจจุบัน คือมุมมอง
แบบชุมชนนิยม เมื่อผู้คนส่วนใหญ่พูดถึงคาว่าทุนทางสังคมก็จะหมายถึงกรอบของมุมมองนี้ นักวิชาการหลักของ
มุมมองนี้คือ James Coleman เขียนบทความ Social Capital in the Creation of Human Capital ในปี ค.ศ. 1988 ก็
ได้อ้างงานของ Bourdieu เช่นกัน โดยใช้คาว่าทุนทางสังคมจาก Bourdieu แต่ในรายละเอียดต่างกัน บทความของ
Coleman มีอิทธิพลมาก เพราะได้ลงพิมพ์ใน American Journal of Sociology โดยมองว่า social capital มี 2 ทาง
เช่นกัน คือ
1. Coleman กล่าวว่า social capital as a relational construct หมายความว่าต้องสร้างความสัมพันธ์ขึ้นมา
ไม่ใช่ว่าความสัมพันธ์มีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นส่วนดีของเขาในแง่ที่ว่าหลายคนคิดว่าทุนทางสังคมมีอยู่แล้ว แต่ที่จริงไม่ใช่
เพราะต้องสร้างด้วย หากไม่สร้างขึ้นมาก็ไม่ได้เป็นส้มหล่น ไม่ได้มีมาเอง
2. social capital as providing resources to others through relationships with individuals คือทุนทาง
สังคมเป็นทรัพยากรที่จะช่วยให้สามารถสัมพันธ์กับคนต่างๆ ได้
หากถาม Coleman ว่า social capital คืออะไร คาตอบคือ 3 คา network, trust, shared norm สาหรับ trust
ในสายชุมชนนิยมนี้จะไม่มีปัญหา เพราะ trust นี้ดีมาก ไม่มีการตั้งคาถาม แต่ Bourdieu ตั้งคาถามกับ trust และรู้สึกไม่
ไว้วางใจความไว้วางใจ สาหรับ shared norm คือความคิดที่มีอยู่ร่วมกัน กล่าวคือทุนทางสังคมจะต้องมีความคิดร่วมกัน
ต้องไปด้วยกันได้ ซึ่งต่างจากแนวของ Bourdieu ที่ว่าไม่ร่วมกันก็ไปได้ ต้องขัดแย้งถึงจะไปได้ ดังนั้นโดยพื้นฐานจึงมอง
ต่างกันอย่างมาก หากขุดต่อไปก็จะพบว่าในความคิดแบบชุมชนนิยมนั้น social capital เป็นทรัพยากรที่มี function มี
หน้าที่ในฐานะที่เป็นทรัพยากรของแต่ละคนที่จะเอาไปใช้ได้ หรือทรัพยากรที่นาไปใช้เพื่อประโยชน์ได้
การอ่านงานความคิดนั้น จะอ่านแค่ผิวเผินไม่ได้ แต่ต้องเจาะไปถึงฐานคิด หากขุดไปที่ฐานคิดของกลุ่มชุมชน
นิยม พบว่าเป็นฐานคิดที่เรียกว่าแบบ American communitarianism คือชุมชนนิยมแบบอเมริกัน ไม่ใช่ว่าเป็นที่ไหนก็
ได้ แต่เป็นแบบ American โดยเฉพาะ หากไม่เข้าใจบริบทของเอมริกาก็อาจจะไม่รู้ว่าเป็นมาอย่างไร เพราะนอกจาก
ความคิดของ Coleman แล้ว ยังมี Robert Putnam ที่เป็นหัวหอกในความคิดนี้
Putnam เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย Harvard เป็นอีกคนซึ่งถูกอ้างอิงมาก ในกรณีของ Putnam นั้นเป็นนัก
รัฐศาสตร์ แต่ Coleman เป็นนักสังคมวิทยา Putnam บอกว่าความคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวความคิดในอเมริกาที่
9. 5
พยายามจะรักษาความหลากหลาย pluralism ความเป็นพหุนิยม เพราะสังคมอเมริกาเป็นพหุนิยม หมายความว่า
อเมริกาเป็น melting pot ที่มีหลากหลายชาติพันธุ์มาอยู่ด้วยกัน และต้องการรักษาความหลากหลายไว้ ในแต่ละชุมชน
ก็อาจจะมีความเป็นตัวของตัวเอง ความเป็นชุมชนเป็นเหมือนกับกระดูกสันหลังของอเมริกา เพราะอเมริกาไม่ใช่สร้าง
มาเป็นรัฐในตอนแรก แต่การสร้างรัฐเริ่มจากผู้คนหนีจากยุโรปแล้วมาตั้งเป็นชุมชน กล่าวคืออเมริกาในเริ่มแรกมาเป็น
ชุมชนเล็กแล้วมาสร้างเป็นชาติภายหลัง ซึ่งแตกต่างกับสังคมไทยที่สร้างชาติก่อน และสร้างชุมชนภายหลัง ฉะนั้นฐาน
ที่มาไม่เหมือนกัน คือฐานชุมชนของอเมริกาเข้มแข็งมาก แต่ก็เสื่อมไปช่วงหนึ่ง คือกลายมาเป็นปัจเจกชนมากขึ้น จึงได้
มีความพยายามฟื้นฟูความเป็นชุมชนกลับมาอีกครั้ง เพื่อให้เป็นพลังในสังคม ในทางการเมือง เพราะการเลือกตั้งที่
แท้จริงจะต้องมีฐานท้องถิ่น/ชุมชนที่มีความเข้มแข็ง ด้วยความเป็นนักรัฐศาสตร์ Putnam ตั้งสมมติฐานว่าที่การเมือง
อ่อนแอเป็นเพราะฐานชุมชนอ่อนแอเช่นกัน จึงพยายามปลุกให้ฐานชุมชนเข้มแข็งขึ้น เพื่อทาให้การเมืองดีขึ้น ดังนั้นจึง
มองเรื่องทุนทางสังคมในแง่ที่ว่าเป็นหน้าที่นิยม คือมีหน้าที่ในการบูรณาการทางสังคม
ชุมชนอเมริกาเคยเข้มแข็งในยุค 1950, 1960 แต่เมื่อช่วง 1970-1980 ก็เริ่มเสื่อม เพราะมีความขัดแย้งกันมาก
ตั้งแต่สงครามเวียดนามเอย ประกอบกับผู้คนกลายเป็นปัจเจกชนมากขึ้น ดังนั้นช่วงปี 1990 จึงพยายามที่จะฟื้นฟู แต่
ผมมองว่า จริงๆ แล้ว Putnam มองการเมืองแบบไร้การเมือง ส่วน Bourdieu ไม่ได้มองการเมือง แต่ความคิดเป็น
การเมือง ขณะที่นักรัฐศาสตร์จะต้องสนใจการเมือง กลับมองการเมืองที่ไม่มีการเมือง คือไม่มีอะไรเลย เหมือนว่าไป
ตามน้า ถ้าไปตามน้าก็ไม่เรียกการเมือง กล่าวคือการเมืองต้องขัดแย้ง ถ้าไม่ขัดแย้ง ไม่โต้เถียงกัน ก็จะไปตามน้า แต่
แนวของกระแสหลักมักจะเป็นลักษณะอย่าง Putnam ที่มองไม่เห็น conflict เลย เพราะ Putnam ได้รับอิทธิพลมาจาก
Alexis De Tocqueville เป็นนักคิดชาวฝรั่งเศสที่เดินทางไปเที่ยวอเมริกาในอดีต และได้เขียนหนังสือชื่อว่า Democracy
in America ซึ่งดังมาก และถูกอ้างถึงมาก ผู้คนต่างก็คิดว่าการเมืองอเมริกาเป็นเหมือนดังที่ De Tocqueville ว่า แต่ที่
จริงอเมริกาไม่ได้เป็นเช่นนั้น แม่แบบประชาธิปไตยอย่างเช่นอังกฤษ อเมริกานั้น ถ้ารู้ถึงเบื้องหลังแล้วจะรู้ว่าไม่ใช่
ประชาธิปไตยสักเท่าไหร่ หมายความว่ามีอานาจเบื้องหลังมากมาย แต่โฉมหน้าที่ De Tocqueville เห็นจากการ
เดินทางไปเที่ยวเท่านั้น ก็ romanticized American politics ผู้คนก็คิดว่าการเมืองอเมริกันดีอย่างนั้นอย่างนี้ ที่จริงแล้ว
คือการพยายามที่จะรักษาสถานภาพเดิม คือไม่มีการขัดแย้งอะไรมาก
เมื่อมาอ่านหนังสือของ Putnam ซึ่งเขียนปี ค.ศ. 1993 ชื่อว่า Making Democracy Works หากประชาธิปไตย
ดีจริง คงไม่จาเป็นต้องเขียนหนังสือเล่มนี้ ขนาดอเมริกาเมื่อปี ค.ศ.1993 ยังต้องเขียนหนังสือเล่มนี้ และเราก็คิดว่า
อเมริกาเป็นแม่แบบประชาธิปไตย ซึ่ง Putnam บอกว่า social capital เป็นทรัพยากรร่วมที่สาคัญที่จะผลักดันให้
democracy work เพราะช่วงหลังสังคมอเมริกามีลักษณะเป็นปัจเจกชน นิยมสูงมาก หากช่วงนั้นใครเรียนรัฐศาสตร์ก็จะ
ทราบว่ามีคนเขียนวิพากษ์วิจารณ์ โดยกล่าวว่าปัจเจกชนนิยมไม่ใช่ปัญหา แต่ที่เป็นปัญหาคือ possessive
individualism คือเป็นปัจเจกชนนิยมที่เห็นแก่ตัว เพราะผู้คนต่างก็เป็นปัจเจกชนกันหมด แต่ปัจเจกชนที่มีจิตใจ มีความ
เสียสละก็มาก และคนที่ทางานเพื่อสังคมก็เป็นปัจเจกชนทั้งสิ้น ดังนั้น Putnam พยายามที่จะไม่พูดในเชิงปัจเจกชน แต่
กลับไปที่ชุมชน ซึ่งก็เป็นปัญหาที่ทาให้แนวคิดของเขาเน้นด้านเดียวเกินไป ขณะที่ Bourdieu ให้ความสาคัญกับความ
ขัดแย้งและความหลากหลายมากกว่า
หนังสือเล่มที่สองของ Putnam เขียนในปี ค.ศ. 2000 ชื่อว่า Bowling Alone เขาจะแยกระหว่าง physical
capital, human capital และ social capital คือมอง capital มี 3 มิติ แต่ไม่ได้มองแบบ Bourdieu ที่ว่าเป็น economic
capital กับ cultural capital คือ Putnam ให้ความสาคัญกับ human capital ที่เป็นคุณสมบัติของปัจเจกชน ดังนั้นใน
10. 6
ทฤษฎีของ Putnam มองว่า social capital เกี่ยวข้องกับ network และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คือต้องมี
ความสัมพันธ์ร่วมกันจึงจะสามารถเกิด social capital ได้ ในขณะที่ Bourdieu ไม่ไว้วางใจ trust แต่ Putnam คิดว่า
trust มีคุณค่ามหาศาล หมายความว่า trust ไม่มีปัญหา ถ้ามี trust แล้วทุกอย่างจะดี ซึ่งมองต่างกัน trust ในความ
เข้าใจของ Putnam เป็นส่วนหนึ่งที่ทาให้ network ไปได้ดี trust เป็นเหมือนกับกาวใจ ดังนั้นเพื่อจะทาให้เกิดชุมชนที่
เข้มแข็ง จึงต้องมี trust เป็นหัวใจ และ social capital จึงมีฐานคิดอยู่ตรงที่ต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน
Putnam เคยมาบรรยายที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาพูดถึง democracy กับ social capital: what's the
connection และผมก็ได้สไลด์มาด้วย what is social capital? why is it important? เขากล่าวว่าเป็น social network
and norms of reciprocity และ core inside สาคัญคือ social network have value for individuals and for
communities ซึ่งดีกว่าบางคนที่มองไม่เห็นความสาคัญของ individual เลย Putnam ยังเห็นว่า individual สาคัญแต่
ต้องให้ทางานเพื่อสังคม ดังนั้น network ก็มีความสาคัญ ที่พูดถึง network มี 4 ประการ คือ
• Transmit information
• Help overcome dilemmas of collective action
• Encourage reciprocity and trust
• Influence identities and thus encourage altruism
หลายคนที่เอาความคิดของ Putnam ไปใช้มักเอาแต่ชื่อ เอาแต่คาว่า network เท่านั้น แต่ไม่ได้บอกว่า
network ข้างในมีอะไร ดังนั้นในความคิดของ Putnam ข้างใน network หมายถึงอีก 4 ข้อข้างต้น ยังต้องให้ความสาคัญ
กับเรื่องอัตลักษณ์ แต่ไม่ใช่ว่าทาเพื่อตนเอง แต่ทาเพื่อคนที่ไม่รู้จักก็ได้ด้วย ซึ่งก็เป็นประเด็นที่ Putnam เน้น ต่อมาเขา
บอกว่า different type also social capital ก็เหมือน human capital ก็มองได้หลายทาง ไม่ใช่มอง social capital ทาง
เดียวกันหมด social capital สามารถใช้ทั้งดีหรือไม่ดีก็ได้
สไลด์ต่อมา Putnam บอกว่า social capital เกี่ยวข้องกับอีกหลายเรื่อง คือหลายคนไปอ่านความคิดเขาแล้ว
ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร เขาบอกว่า social capital ไม่ได้มองแค่ social capital ต้องมองบริบทของ social capital ด้วย
หมายความว่า social capital จะใช้ better educational outcome หมายความว่าจะทาให้เกิดการศึกษาดีขึ้นด้วย คือมี
ประโยชน์ ทาให้สวัสดิการเด็กดีขึ้น ทาให้ลดอาชญากรรม ฯลฯ คือมอง social capital ด้านดี ด้านไม่ดีก็มีเช่นกัน แต่
ด้านดีมีมากกว่า
เหล่านี้เป็นมุมมองจากนักทฤษฎีที่พูดถึงเรื่อง social capital ใน 2 แนวทาง ที่เป็นแนวทางใหญ่ๆ อาจจะมีนัก
ทฤษฎีคนอื่นที่พูดเรื่องนี้อีก แต่เป็นระดับย่อยๆ ลงมา
3. ทุนทางสังคมกับการพัฒนาเมือง
ผมจะเข้าสู่เรื่องเมือง การเชื่อมต่อกันระหว่างทุนทางสังคมกับการพัฒนาเมือง ทาให้ผมต้องมาอ่านเรื่อง
แนวคิดการพัฒนาเมือง เมื่อพูดถึงเรื่องการพัฒนาเมือง ต้องรู้ว่ามีการวิเคราะห์เรื่องเมืองอย่างไร ผมพยายามอ่านดูว่า
นักคิดหลักๆ ที่ผมชอบ และคิดว่างานที่สาคัญที่พูดถึงเมืองที่แตกต่างจากสาย urban planning หรือ regional planning
ผมก็รู้จักสายนี้มาก ที่มหาวิทยาลัย Cornell จะมี Department of Regional Planning ที่ใหญ่มาก และมีคนเรียน
มากมาย ซึ่งเป็นสายปกติหรือกระแสหลัก แต่ผมอยากรู้สายไม่ปกติ หรือสายวิพากษ์วิจารณ์ และบังเอิญไปเจอหนังสือ
ที่ออกในปี ค.ศ. 1970 ชื่อว่า The Urban Revolution เขียนโดย Henri Lefebvre เป็นนักคิดชาวฝรั่งเศส แต่ถูกแปลเป็น
11. 7
ภาษาอังกฤษเมื่อไม่นานมานี้ ช่วงปี 1990-2000 ซึ่ง Lefebvre กล่าวว่า urban society is not just in the city คือบาง
คนเมื่อพูดถึงเมืองก็นึกถึงแค่ตัวเมือง แต่ Lefebvre ไม่ได้พูดถึงเมือง เขาพูดถึง urban society คือสังคมเมือง ไม่ใช่ตัว
เมือง
Lefebvre บอกว่า urban คือความเป็นสังคมเมือง ไม่ได้มองเมืองเฉพาะตัวเมือง แต่มองที่บรรยากาศ มอง
สภาวะทั้งหมดของความเป็นเมือง ซึ่งบอกว่า urban phenomena นั้น จริงๆ แล้วเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ
สถาปนาสังคมอุตสาหกรรม Lefebvre พูดถึงฝรั่งเศสและตะวันตก โดยความเป็น urban ในสังคมตะวันตกเกิดใน
กระบวนการเดียวกับการสร้างอุตสาหกรรม เป็นการดูดทั้งทุนและแรงงาน สังคมเมืองเป็นการสร้างตัวดูดกระบวนการ
สถาปนาความเป็นสังคมเมืองที่สร้างเงื่อนไขเพื่อให้ทุนนิยมเดินได้ พูดง่ายๆ คือต้องการสร้างตัวดูดเพื่อให้การ
เคลื่อนไหวของทุน ที่สาคัญ คือว่าทาให้ทุน circulate และเดินได้/ทางานได้ หากทุนไม่มีศูนย์กลางก็ทางานไม่ได้ จึง
ต้องมีการรวมศูนย์ เพราะ Lefebvre เป็นมาร์กซิสต์ จึงมองเป็นเศรษฐศาสตร์การเมือง แต่เขามองว่า urban เป็น in
between space คือเขาเป็นเจ้าพ่อของทฤษฎี production of space คาว่า “space” ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า “พื้นที่”
อย่างการแปลเป็นภาษาไทย แต่ space หมายความถึงพื้นที่ของความสัมพันธ์ทางสังคม คล้ายๆ กับที่ Bourdieu พูดว่า
เป็น field แต่เมื่อแปลเป็นภาษาไทยทาให้ความเข้าใจจึงจากัด เป็นปัญหาทางภาษา ดังนั้นเมื่อ Lefebvre พูดว่าเป็น in
between space ก็คือรอยต่อของความสัมพันธ์ของพื้นที่ต่างๆ เป็นรอยต่อ/ตัวเชื่อม
Lefebvre บอกว่า urban society ไม่ได้เป็น empirical fact เพราะเราเป็นนักสังคมศาสตร์ เรามองอะไรก็เป็น
ความจริงที่ปรากฏ ความจริงเชิงประจักษ์ เมื่อไปมองสังคมเมืองจึงมองในฐานะที่เป็นความจริงเชิงประจักษ์ แต่
Lefebvre มองว่าสังคมเมืองเป็นความคิด เป็นการเคลื่อนไหวทางความคิดเพื่อเป้าหมายที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม
บางอย่าง นั่นคือเป้าหมายของทุน การเป็นอุตสาหกรรม Lefebvre ไม่ได้มองว่าเป็นเพียงความจริงที่ปรากฏ แต่เป็น
การเคลื่อนไหวของความคิด ดังนั้นจะต้องเข้าใจ Lefebvre ก่อน ที่บอกว่า urban level ระดับของความเป็นเมืองขึ้นอยู่
กับการสร้างทิศทาง เงื่อนไขต่างๆ เพื่อจะขับเคลื่อนความคิด ตรงนี้จะคล้ายกับความคิดของ Karl Polanyi ที่เป็นนัก
เศรษฐศาสตร์สายสถาบันนิยม แต่เมืองไทยเป็น neo-classic หมด ไม่มีสถาบัน ทั้งๆ ที่ปัจจุบันคนเริ่มหันกลับมาอ่าน
Polanyi กันใหม่บ้างแล้ว
Polanyi มีความคิดหนึ่งที่เรียกว่า double movement หมายความว่าในตัวเมืองไม่ได้มีความคิดกระแสเดียว
หรือกระแสที่ครอบงา คือกระแสที่ต้องการจะสร้างเมืองเป็นศูนย์กลางของทุน แต่ภายในพื้นที่ของเมืองจะมี 2 กระแส
ต่อสู้กัน คือมีทั้งกระแสครอบงา และกระแสต่อต้าน เมื่อมองในแนวมาร์กซิสต์ต้องมองเป็น dialectic คือไม่มีอะไรที่
ไปทางเดียว วิภาษวิธีที่เราเรียกกัน แต่วิภาษวิธีก็มีหลายมิติ ซึ่งมิติหนึ่งที่สาคัญคือ ต้องมองทุกอย่างสองด้าน ห้ามมอง
ด้านเดียว เมืองก็มีสองด้าน เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ มีทั้งด้านครอบงา และด้านต่อต้าน ซึ่งด้านต่อต้านจะเรียกว่าเป็น
public space คือพื้นที่สาธารณะ เมื่อมองเมือง ต้องพยายามมองหาพื้นที่ต่อสู้ เพราะเราจะไม่เข้าใจความเป็นเมืองเลย
หากไม่สามารถ identify พื้นที่ที่คนมาโต้เถียงกัน หรือมาต่อสู้กัน ด้วยเมืองที่เคลื่อนไปนั้น ไม่ได้เคลื่อนเพราะคนที่
ครอบงาเท่านั้น แต่ที่เคลื่อนไปเพราะมีการต่อสู้กัน ทาให้รู้ว่าจะเคลื่อนไปทางไหน เพื่อลดการต่อสู้ หรือทาให้การต่อสู้
เคลื่อนไปสู่การพัฒนาเมืองสู่คุณภาพใหม่ เมืองที่พัฒนามาได้ เพราะว่ามีสู้กันมาตลอด แต่ถ้าไปมองเมืองแบบที่ไหลไป
ตามน้าก็จะไม่เห็นเมืองจริง ๆ การเปลี่ยนแปลงของทุกเมืองมักจะมาจากการถกเถียงกัน สู้กันจนหัวปักหัวปา ถึงได้มี
ความเปลี่ยนแปลง