More Related Content
More from Dr.Krisada [Hua] RMUTT (18)
บทที่ 12 การจัดการสินค้าคงคลัง
- 5. 4. สินค้าที่ถูกสั่งซื้อจะถูกจัดลงในหลังจากนั้น ลังจะเคลื่อนไปบน
สายพาน โดยสัญลักษณ์บาร์โค้ดที่ติดอยู่กับตัวสินค้าจะ
ตรวจสอบถึง 15 ครั้ง เพื่อให้มีความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด
5. สินค้าทั้ง 3 รายการจะถูกลาเลียงมาที่ศูนย์กลาง เมื่อตรวจสอบ
พบว่าตัวเลขบาร์โค้ดที่สินค้าตรงกับใบสั่งซื้อ สินค้าจะถูกแยกใส่
กล่องสาหรับลูกค้าแต่ละรายและออกบาร์โค้ดใหม่
6. Amazon อบรมพนักงานสาหรับการห่อกล่องสินค้า ซึ่งแต่ละคน
ทาได้ถึง 30 ชิ้นต่อชั่วโมง
7. กล่องสินค้าจะได้รับการบรรจุติดเทปกาว ชั่งน้าหนัก และติด
ฉลากก่อนส่งออกจากคลังสินค้า
8. ภายใน 1 สัปดาห์ ลูกค้าจะได้รับสินค้า
- 7. ประเภทของสินค้าคงคลัง
แบ่งออกเป็น 4 ประเภทที่สาคัญ คือ
1. สินค้าคงคลังประเภทวัตถุดิบ (Raw material intervention)
2. สินค้าคงคลังประเภทงานระหว่างทา [work-in-process
inventory (WIP)]
3. สินค้าคงคลังประเภทอะไหล่สาหรับการซ่อมบารุง
[Material/Repair/Operation(MROs)]
4. สินค้าคงคลังประเภทผลิตสาเร็จรูป (Finished goods
inventory)
- 8. การแบ่งประเภทสินค้าคงคลังตามมาตรฐาน
กิจกรรม (ABC analysis)
แบ่งประเภทของสินค้าคงคลังออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่
• สินค้าคงคลังประเภท A จะมีสัดส่วนคิดเป็น 15% ของปริมาณ
สินค้าคงคลังทั้งหมด แต่มีมูลค่าสูงคิดเป็น 70-80% ของข้อมูล
สินค้าคงคลังทั้งหมด
• สินค้าคงคลังประเภท B จะมีสัดส่วนคิดเป็น 30% ของปริมาณ
สินค้าคงคลังทั้งหมด แต่มีมูลค่าสูงคิดเป็น 15-25% ของข้อมูล
สินค้าคงคลังทั้งหมด
• สินค้าคงคลังประเภท C จะมีสัดส่วนคิดเป็น 55% ของปริมาณ
สินค้าคงคลังทั้งหมด แต่มีมูลค่าสูงคิดเป็น 5% ของข้อมูลสินค้า
คงคลังทั้งหมด
- 9. การจัดการควบคุมสินค้าในธุรกิจบริการ มีดังนี้
1) คัดเลือกบุคลากร จัดการฝึกอบรม และออกกฎระเบียบข้อบังคับ
อย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพในการทางาน
ดูแลสินค้าให้มีระบบภายใต้กฎข้อบังคับที่องค์การได้ตั้งไว้ให้เป็นไปใน
ทิศทางเดียวกับเป้าหมายขององค์การ
2) ควบคุมการรับวัสดุหรือสินค้าอย่างเข้มงวด อาจทาได้โดย การ
ใช้บาร์โค้ด การเช็ดเวลาทาการ และการควบคุมด้านอื่นๆ
3) ใช้เทคนิคหรืออุปกรณ์อานวยความสะดวก ในการควบคุมสินค้า
อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้แถบแม่เหล็กบนเครื่องหมายการค้า
การควบคุมของพนักงานบริเวณทางออก การติดตั้งวงจรเพื่อตรวจตรา
ป้องกันการสูญหายหรือลักลอบขโมย เป็นต้น
- 10. ต้นทุนการเก็บรักษา การสั่งซื้อ และการจัดเตรียม
(Holding, ordering and setup costs )
1. ต้นทุนการเก็บรักษา เป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลสินค้าคงคลัง
ทั้งหมด รวมถึงต้นทุนสินค้าหมดอายุและการจัดเก็บ
2. ต้นทุนการสั่งซื้อ เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในกระบวนการ
สั่งซื้อ ตั้งแต่การออกใบสั่งซื้อ การบันทึกหลักฐาน การตรวจ
รับสินค้า การตรวจสอบเอกสาร และงานธุรการ
3. ต้นทุนการจัดเตรียม เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียม
เครื่องจักรหรือกระบวนการผลิตตามคาสั่งซื้อ
- 15. โดยสามารถกาหนดตัวแปรต่างๆดังนี้
Q = ปริมาณสั่งซื้อในแต่ละครั้ง
Q* = ปริมาณสั่งซื้อที่เหมาะสมที่สุด (ประหยัดที่สุด)
ในแต่ละครั้ง
D = ปริมาณความต้องการสินค้าต่อปี
S = ต้นทุนการจัดเตรียม หรือต้นทุนการสั่งซื้อ ในแต่ละครั้ง
H = ต้นทุนการเก็บรักษาต่อหน่วยต่อปี
1. การคานวณต้นทุนการจัดเตรียม หรือการสั่งซื้อต่อปี
ต้นทุนการสั่งซื้อต่อปี = จานวนครั้งของการสั่งซื้อต่อปี × ต้นทุนการสั่งซื้อ
= ปริมาณความต้องการสินค้าต่อปี × ต้นทุนการสั่งซื้อ
ปริมาณสั่งซื้อในแต่ละครั้ง
=
- 18. ตัวอย่าง บริษัท Sharp, Inc. ตัวแทนขายเข็มฉีดยาต้องการจะ
ลดค่าใช้จ่ายสินค้าคงคลังให้น้อยลง โดยใช้ตัวแบบปริมาณสั่งซื้อที่
ประหยัด ความต้องการสินค้าต่อปีเท่ากับ 1,000 หน่วย ต้นทุนการ
สั่งซื้อเท่ากับ 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อครั้ง ต้นทุนการเก็บรักษาต่อหน่วย
ต่อปีเท่ากับ 0.50 ดอลลาร์สหรัฐ จงคานวณหาปริมาณสั่งซื้อเข้มฉีด
ยาที่ประหยัดที่สุด
= 200 หน่วย
- 21. จุดสั่งซื้อใหม่ (Reorder points : ROP)
การกาหนดปริมาณสินค้าคงคลังส่วนหนึ่งไว้เป็น สินค้า
ปลอดภัย (Safety stock) เพื่อป้องกันสินค้าขาดแคลน โดยมี
สมมติฐานที่ว่า การได้รับสินค้าจะต้องเป็นไปโดยทันที ดังนี้
• บริษัทจะทาการสั่งซื้อเมื่อระดับสินค้าหมดลง
• สินค้าที่สั่งซื้อสามารถถูกจัดส่งได้ทันที โดยที่ระยะเวลา
ระหว่างการสั่งซื้อ และการได้รับสินค้า เรียกว่า เวลานา (Lead
time)หรือเวลาในการส่งมอบ (Delivery time) ซึ่งอาจเป็น
ช่วงเวลาที่สั้นไม่กี่ชั่วโมง หรืออาจนานเป็นเดือนก็ได้ ซึ่งหาได้
จาก
- 23. ตัวอย่าง บริษัทประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีความต้องการชิ้นส่วน
จานวน 8,000 ชิ้น/ปี บริษัทมีวันทางานใน 1 ปีเท่ากับ 250 วัน โดยเฉลี่ย
แล้ว เวลานาในการส่งมอบเท่ากับ 3 วัน จงคานวณหาจุดสั่งซื้อใหม่
d = D
จานวนวันทางานใน 1 ปี
= 8,000
250
= 32 ชิ้น
ROP = d x L
= 32 x 3
= 96 ชิ้น
ดังนั้น บริษัทจะทาการสั่งซื้อใหม่เมื่อมีระดับสินค้าคงคลังลดลง
มาอยู่ที่ 96 ชิ้น โดยใช้ระยะเวลาในการส่งมอบเท่ากับ 3 วัน
- 24. ตัวแบบปริมาณสั่งผลิต
(Production order quantity model)
จะสามารถนามาประยุกต์ใช้ได้ใน 2 กรณี ได้แก่
1. สินค้าคงคลังมีการไหลอย่างต่อเนื่อง หรือมีการส่งมอบสินค้า
เป็นระยะๆหลังจากทาการสั่งซื้อ
2. มีการผลิตและขายในเวลาเดียวกัน จึงต้องพิจารณา อัตราการ
ผลิตต่อวัน (อัตราการไหลของสินค้าคงคลัง) และอัตราความต้องการ
ต่อวัน (อัตราการใช้ต่อวัน)
- 26. 1. การคานวณต้นทุนการเก็บรักษาต่อปี
ต้นทุนการเก็บรักษาต่อปี = ปริมาณสินค้าคงคลังเฉลี่ย x ต้นทุนการเก็บรักษา
ต่อหน่วยต่อปี
2. การคานวณปริมาณสินค้าคงคลังเฉลี่ย
ปริมาณสินค้าคงคลังเฉลี่ย = ปริมาณสินค้าคงคลังสูงสุด (H)
2
3. การคานวณหาปริมาณสินค้าคงคลังสูงสุด
ปริมาณสินค้าคงคลังสูงสุด = ปริมาณการผลิตต่อช่วงเวลา – ปริมาณที่ใช้ต่อ
ช่วงเวลา
= pt – dt
อย่างไรก็ตาม Q = pt ดังนั้น
- 29. ตัวอย่าง บริษัท Nathan Manufacturing, Inc. ผู้ผลิตและขายฝา
ครอบล้อรถยนต์ คาดว่าปีหน้าจะมีปริมาณความต้องการเท่ากับ
1,000 หน่วย โดยมีความต้องการเฉลี่ยต่อวันเท่ากับ 4 หน่วยต่อวัน
ดังนั้นถ้าบริษัทผลิต 8 หน่วยต่อวัน แต่ใช้เพียงแค่ 4 หน่วยต่อวัน
บริษัทควรที่จะมีปริมาณการผลิตเท่าใดจึงจะเหมาะสมที่สุด
(โรงงานนี้มีวันทางาน 250 วันต่อปี)
- 30. ปริมาณความต้องการต่อปี (D) = 1,000 หน่วย
ต้นทุนการจัดเตรียม (S) = 10 ดอลลาร์สหรัฐ
ต้นทุนการเก็บรักษา (H) = 0.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อหน่วย
ต่อปี
อัตราการผลิตต่อวัน (p) = 8 หน่วย
อัตราความต้องการต่อวัน (d) = 4 หน่วย
จากสูตร =
แทนค่า =
= 282.4 หรือ 283 หน่วย
- 31. ตัวแบบส่วนลดปริมาณ(Quantity Model)
เป็นการเพิ่มยอดขาย โดยส่วนลดปริมาณ คือ จะมีการลดราคา (P)
เมื่อมีการสั่งซื้อสินค้าจานวนมาก
จะเห็นได้ว่าหากสั่งซื้อในปริมาณที่มากขึ้นจะได้รับส่วนลดมากยิ่งขึ้น
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้นทุนโดยรวมจะลดลงต่าสุด เพราะจะมีต้นทุนการ
เก็บรักษาจะมีค่าสูงขึ้นตามลาดับ ดังนั้นผลดีผลเสียระหว่างต้นทุนการผลิต
และการเก็บรักษาจึงต้องนามาพิจารณา
- 32. ต้นทุนรวม = ต้นทุนการจัดเตรียม + ต้นทุนการเก็บรักษา + ต้นทุนการผลิต
หรือ
กาหนดให้ Q = ปริมาณการสั่งซื้อในแต่ละครั้ง
D = ปริมาณความต้องการสินค้าต่อปี
S = ต้นทุนการจัดเตรียมต่อครั้ง หรือต้นทุนการสั่งซื้อต่อครั้ง
P = ราคาต่อหน่วย
H = ต้นทุนการเก็บรักษาต่อหน่วยต่อปี
ตัวแบบส่วนลดปริมาณ(Quantity Model)(ต่อ)
- 34. 2. นาค่าที่ได้จากข้อที่ 1 มาพิจารณาว่าสอดคล้องกับเงื่อนไข
ส่วนลดรายการใด หากไม่สอดคล้องจะต้องทาการปรับให้ปริมาณการ
สั่งซื้ออยู่ที่ระดับต่าที่สุดในแต่ละเงื่อนไขส่วนลด
ตัวแบบส่วนลดปริมาณ(Quantity Model)(ต่อ)
- 36. 3. คานวณหาต้นทุนสาหรับทุก Q* ที่ได้จากขั้นตอนที่ 1 และ 2 หาก
มีการปรับค่า Q* เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีช่วงที่ต่ากว่าช่วงปริมาณที่ได้รับ
ส่วนลดที่ต้องการ จะต้องแน่ใจว่ามีการปรับค่าของ Q* ด้วย
4. เลือก Q* ที่มีต้นทุนรวมต่าที่สุดที่ได้มาจากขั้นตอนที่ 3 เป็น
เกณฑ์ในการตัดสินใจ ซึ่งเป็นปริมาณการสั่งซื้อที่จะทาให้ต้นทุนสินค้าคง
คลังโดยรวมมีค่าต่าที่สุด
ตัวแบบส่วนลดปริมาณ(Quantity Model)(ต่อ)
- 37. ตัวอย่าง ร้านค้าปลีก Wohl’s ผู้จาหน่ายรถแข่งเด็กเล่นได้จัดทา
ตารางส่วนลดสาหรับรถแข่งเหล่านี้
นอกจากนี้ ต้นทุนการสั่งซื้อต่อครั้งเท่ากับ 49 ดอลลาร์สหรัฐ
ปริมาณความต้องการต่อปีเท่ากับ 5,000 คัน ต้นทุนการเก็บรักษาคิด
เป็นร้อยละ 20 ของราคาต่อหน่วย (I) หรือ 0.2 จงคานวณหาปริมาณ
สั่งซื้อที่จะทาให้ต้นทุนสินค้าคงคลังโดยรวมต่าที่สุด
ตัวแบบส่วนลดปริมาณ(Quantity Model)(ต่อ)
- 38. ขั้นตอนที่ 1 คือ การคานวณหาค่า Q* สาหรับทุกๆส่วนลดใน
ตัวแบบส่วนลดปริมาณ(Quantity Model)(ต่อ)
- 39. ขั้นตอนที่ 2 ปรับค่า Q* ที่อยู่ในระดับต่ากว่าอัตราส่วนลดให้สูงขึ้น
เนื่องจาก Q1* อยู่ในช่วงระหว่าง 0 – 999 คัน จึงไม่จาเป็นต้องทาการปรับ
ขณะที่ Q2* มีค่าต่ากว่าระดับการได้รับส่วนลดคือช่วงระหว่าง 1,000-
1,999 คัน จึงต้องทาการปรับขึ้นเป็น 1,000 คัน เช่นเดียวกันกับ Q3* ซึ่ง
ต้องปรับขึ้นเป็น 2,000 คัน
Q1* = 700 คัน
Q2* = 1,000 คัน – ทาการปรับ
Q3* = 2,000 คัน – ทาการปรับ
ตัวแบบส่วนลดปริมาณ(Quantity Model)(ต่อ)
- 41. ขั้นตอนที่ 4 เลือกปริมาณการสั่งซื้อที่มีต้นทุนรวมต่าที่สุด จากตาราง
เลือกปริมาณการสั่งซื้อที่ 1,000 คัน จะมีต้นทุนรวมต่าที่สุด แต่ต้นทุน
รวมจากการสั่งซื้อที่ 2,000 คัน มีค่ามากกว่าการสั่งซื้อที่ 1,000 คันเพียง
เล็กน้อย ดังนั้น ถ้าส่วนลดในรายการที่ 3 มีราคาที่ต่าลงจนถึง 4.65 ดอลลาร์
สหรัฐเมื่อใด ก็จะทาให้การสั่งซื้อที่ 2,000 คันมีต้นทุนรวมต่าที่สุด
ตัวแบบส่วนลดปริมาณ(Quantity Model)(ต่อ)
- 44. บทสรุป
สินค้าคงคลังสามารถจาแนกออกเป็น 4 ประเภท
1. สินค้าคงคลังประเภทวัตถุดิบ
2. สินค้าคงคลังประเภทงานระหว่างทา
3. สินค้าคงคลังประเภทอะไหล่สาหรับการซ่อมบารุง
4. สินค้าคงคลังประเภทผลิตสาเร็จรูป
อีกทั้งสินค้าคงคลังยังมีเป็นระบบสาหรับกรณีความ
ต้องการที่เป็นอิสระ การแบ่งประเภทสินค้าคงคลังตามฐาน
กิจกรรม ความถูกต้องแม่นยาของการบันทึกรายการสินค้าคง
คลัง การตรวจนับตามรอบเวลา และตัวแบบสินค้าคงคลัง
สาหรับกรณีความต้องการที่เป็นอิสระสามรูปแบบ