ธรณีกาล
- 2. 47
บทที่ 3
ลําดับชั้นหิน ซากดึกดําบรรพ และธรณีกาล
* ดร. จงพันธ จงลักษมณี
1. ลําดับชั้นหิน
บนพืนผิวโลกของเรา มีหินทีเ่ กิดเปนชัน ๆ คลุมพื้นทีประมาณสามในสี่ของพืนที่ทั้งหมด
้
้
่
้
ดังนั้นหินชั้นและการจัดเรียงลําดับของมันจึงมีความสําคัญเปนอยางมากและเปนขอมูลพื้นฐานแกวชา
ิ
ธรณีวิทยาสาขาอื่น ๆ เนื่องจากปรากฏการณตาง ๆ ในอดีตจะถูกบันทึกไวในชั้นหิน การศึกษาลําดับชั้น
หินจึงสามารถทําใหเราเขาใจเกี่ยวกับธรณีวทยาประวัติในบริเวณนั้น ๆ และนําไปสูการคนพบแหลงแร
ิ
เศรษฐกิจและแหลงเชื้อเพลิงธรรมชาติ เชน น้ํามันดิบและกาซธรรมชาติได
เมื่อเราสามารถอานปรากฏการณตาง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตตามลําดับการเกิดกอน-หลังแลว
เราก็ไดลําดับเวลา (time sequence) ของปรากฏการณนน ๆ ซึ่งเปนตารางเวลาเปรียบเทียบ (relative time
ั้
scale) แสดงใหเห็นวาปรากฏการณหนึ่ง ๆ เกิดขึ้นกอนหรือหลังปรากฏการณอื่น ๆ อยางไร
ในการคํานวณหาวาปรากฏการณในอดีตไดเกิดขึ้นมาแลวนานเทาใดนั้น เราตองวัดถอย
หลัง
ไปจากปรากฏการณหนึ่งๆ ที่ทราบอายุแนนอนกอน เชน เราอาจจะหาอายุปรากฏการณในอดีตโดยเทียบ
กับยุคปจจุบัน เราเรียกวิธีการนี้วาการหาเวลาหรืออายุที่วดได (Measured time scale) ซึ่งเวลาที่วัดไดนี้จะ
ั
บอกเราวาปรากฏการณในอดีตนั้น ๆ ไดเกิดขึ้นมานานเทาใดแลวจากยุคปจจุบัน
หลักการเบื้องตนของการเรียงลําดับชั้นหิน
การศึกษาวิจยเกี่ยวกับลําดับชั้นหิน อาศัยหลักพื้นฐานใหญ ๆ 3 ประการดังนี้
ั
หลักการวางตัวซอนทับ (Law of Superposition)
นายเจมส ฮัตตัน (James Hutton) เปนบุคคลแรกที่เสนอความคิดเกียวกับหลักการวางตัว
่
ซอนทับ โดยเขาไดศกษากระบวนการตกทับถมของตะกอนตามชายหาดและพบวาชั้นตะกอนที่ตกทับถม
ึ
ในตอนแรกจะถูกปดทับโดยชั้นตะกอนทีตกทับถมในเวลาถัดมา และความคิดนีใชไดกับชั้นหินที่วางตัว
่
้
ซอนๆ กัน หินแตละชั้นเกิดจากการสะสมตัวในชวงเวลาหนึ่ง อาจเปนชวงเวลาที่ยาวหรือสั้น ชวงเวลาตาง ๆ
เหลานี้จะถูกบันทึกไวในรูปของชั้นหินที่เรียงซอนกันเปนลําดับจากลางไปบน ลําดับชั้นหินอาจตอเนื่อง
หรือการสะสมตัวของตะกอนอาจมีการหยุดชะงัก หลักการวางตัวซอนทับ สรุปไดวา ในลําดับชั้นหินที่ไม
ถูกรบกวนจากกระบวนการตาง ๆ ที่เกิดภายหลังนั้นชันหินทีวางตัวอยูบนจะมีอายุออนกวา และชั้นหินที่
้
่
วางตัวอยูลางจะมีอายุแกกวา
* สาขาวิชาเทคโนโลยีธรณี สํานักวิชาวิศวกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
- 3. 48
หลักความเปนเอกภาพ (law of Uniformitarianism)
นอกจากหลักการเกี่ยวกับการวางตัวซอนทับแลวนายเจมส ฮัตตัน ยังไดกลาวถึงหลักการ
พื้นฐานอันสําคัญอีกขอหนึ่ง โดยเขาไดสังเกตการกัดกรอนของธารน้ําในหุบเขา และตามชายฝงและสรุปวา
หินชันชนิดตาง ๆ เกิดจากการสะสมตัวของวัสดุทไดมาจากการสึกกรอนและการผุพังทะลายของหินเกาดั้งเดิม
้
ี่
จากการสังเกตนี้ เขาสรุปเปนหลักพืนฐานขอหนึงของวิชาธรณีวทยาวา การเกิดหินชนิดตาง ๆ นั้นเราสามารถ
้
่
ิ
อธิบายโดยอาศัยหลักของกระบวนการตาง ๆ ที่กําลังเกิดอยูในปจจุบันได หลักการนี้อาจจะพูดไดวา
ปจจุบันสามารถจะใชเปนกุญแจอธิบายถึงอดีตกาลได และความคิดอันนี้ไดกลายมาเปนหลักพืนฐานที่รูจัก
้
กันในนามของหลักความเปนเอกภาพ
หลักการใชซากดึกดําบรรพในการหาความสัมพันธ (fossil correlation)
หลักการพื้นฐานขอที่สามเกี่ยวกับซากดึกดําบรรพที่พบในชั้นหินตาง ๆ โดยไดมีการ
คนพบวา ซากดึกดําบรรพที่เกิดในชั้นหินตาง ๆ นั้น มีรูปรางและเผาพันธุแตกตางกันไป ทั้งๆ ที่ชั้นหิน
อาจจะวางซอนอยูใกลๆ กัน ดังนั้น จึงมีการใชซากดึกดําบรรพที่แตกตางกันนี้มาตรวจสอบและแยกแยะชั้น
หินที่มีซากเหลานี้ ความคิดนี้จึงทําใหเกิดหลักการพืนฐานที่เรียกวา การหาความสัมพันธของชั้นหินโดย
้
อาศัยซากดึกดําบรรพ หลักการนี้คนพบโดย นายวิลเลียม สมิธ (William Smith) นักสํารวจและวิศวกรชาว
อังกฤษ เขาแสดงใหเห็นวา การที่จะหาความสัมพันธทางเวลาของปรากฏการณตาง ๆ ไดก็โดยอาศัยการพบ
ซากดึกดําบรรพที่คลายคลึงกันในสถานทีตาง ๆ กัน ปจจุบันไดมการนําวิธีการนี้มาใชประโยชนในการ
่
ี
คนหาแหลงถานหินและเชื้อเพลิงธรรมชาติตลอดจนแรที่มีคาทางเศรษฐกิจอืน ๆ
่
ผลงานของ นายฮัตตัน นายสมิธ และนักธรณีวิทยาชาวยุโรปอื่น ๆ ในชวงพุทธศตวรรษที่
22 และ 23 ไดทําใหมีการคนพบเกี่ยวกับอายุเปรียบเทียบ (relative ages) ของชั้นหินที่เกิดขึ้นบนพื้นโลก ซึ่ง
งานตาง ๆ เหลานี้ไดเริ่มทําโดยการศึกษาถึงอายุสัมพันธของหินในที่ตาง ๆ กันหลายแหง แลวนํามา
เทียบเคียงปะติดปะตอกันใหสมบูรณขึ้น และพัฒนาเปนมาตรธรณีกาลที่ใชกันอยูในปจจุบัน
2. ซากดึกดําบรรพ
โลกของเราในปจจุบันมีสิ่งมีชีวิตนับจํานวนเปนพัน ๆ ลานตัวอาศัยอยู บางก็มีชีวิตอยูบนดิน
บางก็มีชีวิตอยูในน้ํา แมอากาศที่เราสูดหายใจเขาไปก็มสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กมากหลายชนิดอาศัยอยู ขนาด
ี
ของสิ่งมีชีวิตก็แตกตางกันไปเปนอยางมาก นับตั้งแตพชที่มีขนาดเล็กจนตองมองดูดวยกลองจุลทรรศนไป
ื
จนกระทั่งปลาวาฬขนาดใหญที่อาศัยอยูในมหาสมุทร
สิ่งมีชีวิต เมื่อตายลงซากของสิ่งมีชีวิตนั้นจะถูกทับถมดวยตะกอนและฝงตัวอยูในชั้นตะกอน
ซึ่งภายหลังเปลี่ยนสภาพกลายเปนหินตะกอนหรือหินชันไปในที่สุด คําวา “ซากดึกดําบรรพ” ใน
้
ภาษาอังกฤษมีรากศัพทมาจากภาษาลาติน คําวา fossilis (ฟอสซิลิส) ซึ่งแปลวา “ขุดขึ้นมา” แตซากดึกดํา
บรรพสวนใหญ
มิไดมาจากการขุดขึนมาจากพืนดินเสมอไป สวนใหญมักจะโผลใหเห็นหลังจากที่หิน
้
้
- 4. 49
ตะกอนเกิดการผุสลายหรือถูกกัดเซาะออกไปบางสวน ซากดึกดําบรรพมีทั้งพืชและสัตวมากมายหลายชนิด
ซากสัตวดึกดําบรรพมีขนาดแตกตางกันมากนับตั้งแตกระดูกไดโนเสาร ซึ่งมีความยาวมากกวา 2 เมตร และ
หนักหลายรอยกิโลกรัม ไปจนกระทั่งถึงซากสัตวดึกดําบรรพขนาดเล็กมากเทาหัวเข็มหมุด ซากสัตวที่มี
ขนาดเล็กเหลานี้เรารวมเรียกวา ซากจุลชีวนดึกดําบรรพ ทั้งนี้ เพราะการศึกษาซากดึกดําบรรพเหลานี้จะตอง
ิ
ใชกลองจุลทรรศนชวย
การเกิดซากดึกดําบรรพ
พืชและสัตวเมือตายไปแลวจะผุพังเนาเปอยเร็วมาก แตเปลือกแข็งของพืชและสัตวเหลานี้
่
เชน ฟน เปลือกนอก และเนื้อไม จะคงสภาพอยูไดและกลายเปนซากดึกดําบรรพไปในที่สุด แตภายใต
สภาวะพิเศษบางอยาง สิ่งมีชีวิตบางชนิดที่ไมมีเปลือกแข็ง อาทิ แมงกะพรุน อาจเหลือซากและคงสภาพอยูได
อยางไรก็ดี สิ่งมีชีวิตแมวาจะมีเปลือกแข็งก็อาจจะไมมีซากเหลือทิ้งไวใหเห็นเลยได ซาก
สิ่งมีชีวิตจะถูกทําลายไปไดหลายวิธี ภายหลังจากที่สัตวตายลง สวนที่เปนเนื้อจะถูกสัตวอื่น ๆ มากมาย
หลายชนิดกัดกิน เชน แรง หมาปา แมลง และแบคทีเรีย นอกจากนี้ แสงแดด ลม และฝนก็มีสวนชวยกระตุน
็
กระบวนการผุพังเนาเปอย เนื้อของสัตวกจะสลายตัวไปในไมชาก็เหลือแตเพียงกระดูก ฟน และเปลือกแข็ง
ไว แตสวนประกอบที่มีลักษณะแข็งดังกลาวนี้อาจจะถูกทําลายลงไดเชนกัน กระดูกอาจจะผุสลายตัวไปหาก
ไมถูกฝงจมดิน เปลือกแข็งและกระดูกอาจถูกบดใหแตกหักจนละเอียดโดยน้ําหนักของตะกอนทีสะสมตัว
่
ทับอยูเบื้องบน สวนอื่น ๆ อาจแตกหักและถูกกัดเซาะไปขณะถูกน้ําพัดพาครูดถูไปกับทองน้ํา หรือถูกคลื่น
ซัดใหโยนตัวไปมา
แมวามีองคประกอบหลายประการที่มีผลตอกระบวนการเกิดซากดึกดําบรรพ แตองคประกอบ
ที่สําคัญมีอยูเพียง 2 อยาง คือ องคประกอบแรก ถาสิ่งมีชีวิตนั้นมีสวนประกอบที่เปนของแข็งก็มีโอกาสที่
กลายเปนซากดึกดําบรรพไดมากขึ้น องคประกอบที่สอง ซากพืชและซากสัตวจะตองถูกฝงตัวอยางรวดเร็ว
ภายหลังจากทีตายลงไปโดยวัสดุที่สามารถเก็บรักษาซากสัตวหรือพืชเหลานี้ สภาพแวดลอมที่สิ่งมีชีวิตนั้น
่
อาศัยอยูจะเปนตัวชี้บงวาวัสดุชนิดใดจะมีสวนในการทับถมซากสิ่งมีชีวิต และกระบวนการเกิดเปนซาก
ดึกดําบรรพชนิดใดจะมีผลตอการเปลี่ยนแปลงนั้น ตัวอยางเชน ซากของสัตวทะเลจะถูกเก็บรักษาไว เพราะ
มีการตกจมลงไปสูทองทะเลโดยรวดเร็วหลังจากที่สัตวนั้นตายลง และถูกโคลนออนรวมทั้งทรายทับถมอยู
เบื้องบน โดยทั่วๆ ไป ยิ่งตะกอนที่มีขนาดอนุภาคยิ่งเล็กทับถมตัวเหนือซากสิ่งมีชีวิตโอกาสที่ซากสิ่งมีชีวิต
จะถูกเก็บรักษาไวเปนซากดึกดําบรรพยิ่งจะเพิ่มมากขึน
้
สิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมดมีการเปลี่ยนแปลงอยางมากมายในระหวางกระบวนการเกิดซาก
ดึกดําบรรพ แตถาสภาพแวดลอมมีความเหมาะสมพอดีแลวลักษณะอันละเอียดออนของพืชและสัตวก็จะ
ไดรับการถนอมรักษาโดยคงสภาพเดิมไวได ชางแมมมอธเปนตัวอยางที่ดีสําหรับกรณีที่สัตวทั้งตัวไดรับ
แมลงและแมงปองไดรับการรักษาสภาพไวในยางไมที่
การรักษาสภาพไวคงเดิมโดยการแชเย็นจนแข็ง
กลายเปนหินซึ่งมีชื่อเรียกวา อําพัน
- 5. 50
สารอินทรียที่ประกอบขึ้นเปนเปลือกแข็งมักจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายหลังจากที่ถูก
ทับถมตัวดวยตะกอน น้ําที่แรบางชนิดละลายปนอยูและซึมผานตะกอนไปจะคอยๆละลายเอาสารที่เปนแร
เชน แคลเซียมคารบอเนต (แคลไซค) จากเปลือกแข็ง แคลเซียมคารบอเนตตอมาอาจถูกแทนทีดวยซิลิกา
่
หรือแรชนิดอืน ๆ ในน้ํา ดวยกรรมวิธีดังกลาวมาแลว ซากสิ่งมีชีวิตก็จะกลายสภาพเปนหินไปในที่สุด
่
ภายใตสภาวะแวดลอมแบบอื่น ๆ สารละลายที่เขามาแทนที่อาจจะมีสารประกอบบางอยางละลายปนอยูใน
ั้
ปริมาณที่มาก เชน สารประกอบของเหล็ก แมกนีเซียมและแคลเซียม ซากดึกดําบรรพเกิดจากการแทนที่นน
ลักษณะรายละเอียดของเปลือกแข็งจะถูกถนอมรักษาไวเปนอยางดี และมีลักษณะสวยงามมาก
ซากดึกดําบรรพหลายชนิดเกิดขึ้นมาจากการสลายตัวเนาเปอยอยางเชื่องชาของสารอินทรีย
ภายหลังจากทีถูกฝงจมลงดวยตะกอน ในขณะที่เกิดกระบวนการสลายตัวเนาเปอยอยูนั้น สารอินทรียจะทิ้ง
่
รองรอยของคารบอนไวเปนฟลมบาง ๆ ซึ่งแสดงลักษณะรายละเอียดภายนอกของสิ่งมีชีวิตนั้น ซากชีวิต
ดึกดําบรรพชนิดนี้เกิดจากกระบวนการเพิมคารบอน (carbonization)
่
ซากชีวิตดึกดําบรรพจํานวนมากเกิดขึนมาในลักษณะของ รอยพิมพ (mold) และ รูปพิมพ
้
(cast) เพื่อทีจะเขาใจวาสิ่งเหลานี้เกิดขึนมาไดอยางไรนั้น ลองนึกถึงสภาพของเปลือกหอยที่ฝงตัวอยูกับ
่
้
ตะกอนในมหาสมุทร ภายหลังจากที่ตะกอนแข็งตัวกลายเปนหินแลว น้ําบาดาลจะคอยละลายเปลือกหอย
ออกไปเหลือที่วางซึ่งเคยเปนเปลือกหอยทิ้งไวในหิน ที่วางดังกลาวนี้เรียกวา แบบพิมพ ซึ่งถูกถนอมรักษา
ไวและแสดงใหเห็นถึงรองรอยของเปลือกหอย
เมื่อเวลาลวงเลยไปแบบพิมพอาจจะมีแรชนิดอื่นเขาไป
บรรจุอยูทั้งนี้แรเหลานี้เกิดจากน้ําบาดาลพามาสะสมตัว แรเหลานีอาจจะเกิดเปนตัวหลอของเปลือกหอย
้
ดั้งเดิม
การศึกษาซากดึกดําบรรพเพือใชในการหาความสัมพันธของชันหิน
่
้
ซากดึกดําบรรพสามารถนําไปใชหาความสัมพันธหรือเปรียบเทียบชั้นหินตาง ๆ ได ซาก
ดึกดําบรรพบางชนิดอาจเปนพืชหรือสัตว ไดเกิดขึ้นในชวงเวลาสั้น ๆ ของธรณีกาล และในขณะที่ซากดึก
ดําบรรพเหลานี้มีชีวิตอยูนั้นอาจจะมีการเจริญแพรพันธุไปไดกวางขวางมาก ซากดึกดําบรรพบางพวกมี
ลักษณะเฉพาะเดนชัดและสามารถนําไปใชกําหนดอายุของยุคใดยุคหนึ่งในธรณีกาลไดดี
ซึ่งซากดึกดํา
บรรพเหลานี้เราเรียกวาเปนซากดึกดําบรรพบงชี้หรือซากดึกดําบรรพดัชนี (guide or index fossils) ซึ่งจะมี
ประโยชนอยางมากในการบอกถึงอายุของชั้นหินที่มีซากดึกดําบรรพพวกนี้อยู เราทราบวาไดโนเสารเปน
สัตวที่เกิดขึนมาในมหายุคมีโซโซอิก หลังจากมหายุคนี้แลว ไดโนเสารก็สูญพันธุไป ดังนั้น ถาเราไปสํารวจ
้
พบซากไดโนเสารในชั้นหินใด ๆ ก็เปนการแนนอนวาชันหินนีเ้ กิดในมหายุคมีโซโซอิกดวยเชนกัน อยางไร
้
ก็ตามนักธรณีวิทยาหรือนักบรรพชีวินวิทยา มักจะใชกลุมของซากดึกดําบรรพมากกวาจะใชซากดึกดําบรรพ
ชนิดใดชนิดหนึ่งในการนํามากําหนดอายุของชั้นหินหรือในการตรวจสอบชั้นหินวาเปนชั้นเดียวกันหรือไม
- 6. 51
3. ตารางธรณีกาล (Geologic time scale)
จากรองรอยและซากดึกดําบรรพของพืชและสัตวที่ไดมีการคนพบในชั้นหินของเปลือกโลก
ในที่ตาง ๆ เราสามารถนํามารวบรวมและอธิบายประวัติความเปนมาของโลกได ทําใหทราบถึงลําดับและ
วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตจากชีวิตแรกเริ่มในบรมยุคโพรเทอโรโซอิกจนถึงยุคปจจุบัน
หนวยเวลาที่ใหญสุดตามมาตราธรณีกาลเรียกวา บรมยุค (Eon) โลกของเราประกอบดวย 3
บรมยุค ไดแก บรมยุคคริปโทโซอิก (Cryptozoic) หรือ อารดีโอโซอิก (Archaeozoic) หรืออะโซอิก (Azoic)
เปนบรมยุคทีมีหินเกาสุด บรมยุคโพรเทอโรโซอิก (Proterozoic) เปนบรมยุคของสิ่งมีชีวิตแรกเริ่ม และบรม
่
ยุคฟาเนอโรโซอิก (Phanerozoic) เปนบรมยุคของสิ่งมีชีวิตที่มองเห็นไดซึ่งเปนชวงเวลาที่มีซากดึกดําบรรพ
แพรหลาย
นักธรณีวิทยาไดจําแนกบรมยุคฟาเนอโรโซอิกออกเปน 3 มหายุค (Era) ไดแก มหายุคพาลี
โอโซอิก (Paleozoic)เปนชวงของชีวิตเกา มหายุคมีโซโซอิก (Mesozoic) เปนชวงของชีวิตกลาง (หรือเรียก
ยุคของไดโนเสาร) และมหายุคซีโนโซอิก (Cenozoic) เปนชวงเวลาของชีวิตใหม
ในแตละมหายุคจะถูกแบงออกเปนยุค (Periods) ตาง ๆ และแตละยุคจะแบงยอยออกเปน
หนวยเล็ก ๆ เรียกวา สมัย (Epochs) เสนแบงมหายุค ยุค และสมัยออกจากกันนั้นขึ้นอยูกับการเปลียนแปลง
่
ของเหตุการณตาง ๆ ในอดีต เชนการเปลี่ยนแปลงของชนิดหรือเผาพันธุของพืชหรือสัตว และการเกิด
กระบวนการเกิดเทือกเขา ตัวอยางเชน การสูญพันธุของไดโนเสารถกใชเปนตัวแยกมหายุคมีโซโซอิกออกจาก
ู
มหายุคซีโนโซอิก และยุคควอเทอรนารี (Quaternary Period) จะถูกแบงออกเปนชวงตนคือ สมัยไพลสโตซีน
(Pleistocene Epoch) และชวงปลายคือสมัย โฮโลซีน (Holocene Epoch) ซึ่งก็คือยุคปจจุบันที่เรากําลังอาศัย
อยูนี้เอง การเริ่มตนของสมัยไพลสโตซีนจะเริ่มตั้งแตการเกิดของธารน้ําแข็งขนาดใหญที่เคลื่อนตัวลงมา
จากขัวโลกเหนือลงมาปกคลุมทวีปอเมริกาและทวีปยุโรป ซึ่งจะกลายเปนยุคน้ําแข็ง (Great Ice Age) ในชวง
้
สมัยไพลสโตซีน สวนสมัยโฮโลซีนจะเริ่มขึ้นเมื่อธารน้าแข็งตาง ๆ เหลานี้ถดถอยไปจากทวีปอเมริกาและ
ํ
ยุโรป ซึ่งเริ่มเมื่อ 10,000 ปมาแลว
- 7. 52
อายุที่วัดไดของหินยุคตาง ๆ ตามที่ปรากฏในมาตราธรณีกาลไดมาจากการคํานวณโดยวิธี
ตาง ๆ กัน แรบางชนิดในหินอัคนีมีธาตุกัมมันตรังสียูเรเนียมและธอเรียม ซึ่งจะแตกตัวตามธรรมชาติดวย
อัตราที่คงที่จนไดตะกัวในขั้นสุดทาย ถาเราทราบอัตราการสลายตัวก็สามารถหาอายุของชั้นหินนี้ได โดย
่
การหาอัตราสวนของปริมาณยูเรเนียมและปริมาณตะกัวที่มีอยูในหินนั้น
่
มหายุคพรีแคมเบรียม
มหายุคพรีแคมเบรียน มีอายุตั้งแตโลกเกิดจนถึงเมื่อ 545 ลานปมาแลว คลุมชวงเวลา
ประมาณ 4,000 ลานป หินทีมีอายุแกสุดนีมักอยูในสภาพที่โดนบีบอัดและเปลี่ยนแปรไปโดยความรอนและ
่
้
ความดันอยางรุนแรงจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก สวนใหญเปนหินพวกหินไนส หินชนวน หินชิสต
หินออนและหิน ควอรตไซต
สภาพภูมิประเทศในมหายุคพรีแคมเบรียน มีลักษณะโลงเตียน เปนภูเขา ทะเลทราย มีภูเขา
ํ
ไฟประทุรุนแรงเกิดธารลาวามากมาย ไอน้าในบรรยากาศเริ่มกลั่นตัวเปนน้ําฝน ทําใหเกิดแมน้ําและทะเล
ในตอนตนยุคพรีแคมเบรียน
บางแหงมีแกรไฟต
ซึ่งคงจะเกิดการแปรสภาพของ
หินดินดานเนือปนถาน (ถานคงเกิดจากสิงมีชีวิตแรกเริ่มที่อาศัยอยูในน้ํา) หินปูนบางแหงมีกอนกลม ๆ เกิด
้
่
จากการพอกตัวดวยชั้นบาง ๆ ของสาหรายหรือแบคทีเรีย รองรอยของสิ่งมีชีวิตในยุคนี้มีนอยเนื่องจากสัตว
สวนใหญในทะเลยุคตนนี้ไมมีเปลือกหรือฝาหุม
ภาพ 3.1 แบคทีเรียชนิด Cyanobacteria
- 8. 53
ยุคแคมเบรียน
ชื่อยุคมาจากคําวา แคมเบรีย (Cambria) ซึ่งเปนชื่อโรมันของแควนเวลส (Wales) มี
ชวงเวลายาวประมาณ 4 ลานป (จาก 454 ถึง 505 ลานปมาแลว) ในยุคนีทะเลน้ําตื้นไดคอยๆ รุกล้ําเขาไปใน
้
ผืนแผนดินสวนใหญ หินที่พบเปนพวกหินทราย หินดินดาน หินชนวนและหินปูน
ยุคแคมเบรียนเปนยุคที่พบซากดึกดําบรรพที่รักษาสภาพไวดี ประกอบดวยทังพืชและสัตว
้
พืชเปนพวกสาหรายทะเล แตมักไมเหลือรองรอยไวในหิน สวนสัตวพบมากมายหลายพวกเนื่องจากมี
เปลือกหรือฝาหุมที่พบมากเปนพวกไทรโลไบต มีมากกวา 1,000 ชนิด แกรพโทไลทมีเฉพาะพวกเปน
รางแห (Dictyonema) หอยตะเกียงมีมากพอควร สวนใหญเปนพวก horny inarticulate พวกหอยมีนอยเปน
พวกหอยโขงทะเล และหอยสองฝา
ภาพ 3.2 ไทรโลไบทชนิด Nevadella
ภาพ 3.3 ไทรโลไบทชนิด Cambropallas
ยุคออรโดวิเชียน
ชื่อยุคมาจากคําวา ออรโดวิเชส (Ordovices) ซึ่งเปนชาวเผาเซลทิคอาศัยอยูในแควนเวลส
ยุคออรโดวิเชียนมีชวงเวลายาว 60 ลานป (จาก 505 ถึง 438 ลานปมาแลว) หินที่พบเปนพวกหินปูน โดโล
ไมต หินทรายและหินดินดาน
พืชที่พบในยุคนี้ยังเปนพวกสาหรายทะเล (สีเขียว สีแดง และสาหรายชนิดตาง ๆ) พวก
สัตวไรกระดูกสันหลังประกอบดวยไทรโลไบต ซึ่งมีความเจริญสูงสุด ทั้งชนิดและจํานวน แกรพโทไลท
เปนพวกรูปกิ่ง (Didymograptus) หอยตะเกียงพบมากเริ่มมีพวกที่ฝาเปนสารปูนและมีสภาพ articulate สวน
พวก horny inarticulates มีจานวนลดนอยลง ไบรโอซัวเปนสัตวตัวเล็ก ๆ มีหนวดคลายแขนและอยูเ ปนกลุม
ํ
พบมากในหินยุคนี้ พวกหอยมีพวกเซฟาโลพอด (จําพวกปลาหมึก) พบมากพอควร ที่สําคัญมีพวกฝาตรง
ยาวเรียว เชน ออรโธเซอราส (Orthoceras) หอยโขงทะเลพบทั่วไปในทะเลน้ําตืน แตหอยสองฝาพบไม
้
แพรหลาย สวนสัตวมีกระดูกสันหลังเริ่มพบพวกตัวคลายปลา ซึ่งเปนตนตระกูลปลา ออสทราโคเดิรม
- 9. 54
ภาพ 3.4 แกรพโทไลทรูปกิ่ง
ยุคไซลูเรียน
ชื่อยุคมาจากคําวา ไซลูเรส (Silures) เปนชาวเผาเซลทิค อาศัยอยูในแควนเวลส มีชวงเวลา
ยาว 30 ลานป (จาก 438 ถึง 408 ลานปมาแลว) หินที่พบในยุคนี้สวนใหญเปนหินปูน หินทรายและ
หินดินดานสีดา
ํ
พืชในยุคนี้มีทงพืชทะลและพืชบก สาหรายทะเลพบแพรหลายมาก มีพวกสีเขียว และสี
ั้
แดง ในตอนปลายยุคเริ่มพบพืชบกเปนครังแรกที่ประเทศออสเตรเลีย สัตวไรกระดูกสันหลังที่พบมากไดแก
้
พวกไบรโอซัว หอยตะเกียงเจริญสูงสุด พวกไทรไลไบทและแกรพโทไลทยังพบมากอยู แกรพโทไลทเปน
พวกรูปกิ่ง (Monograptus) ออสทราดอดเริ่มพบมาก นอกจากนี้สัตวที่พบบอยก็มีปะการัง (rugose และ
tabulate) และไครนอยด สัตวจําพวกหอย (หอยสองฝา, หอยโขง, และเซฟาโลพอด) พบนอย ในจําพวก
สัตวมีกระดูกสันหลัง เริ่มพบตนตระกูลปลาไรขากรรไกรเปนครั้งแรก
ภาพ 3.6 ไครนอยด
ภาพ 3.5 ครัสเทเชียนชนิด Eurypterus
- 10. 55
ยุคดีโวเนียน
ชื่อยุคมาจากชือเมืองดีวอนเชียร มีชวงเวลายาว 48 ลานป (จาก 408 ถึง 360 ลานปมาแลว)
่
หินสวนใหญที่พบในยุคดีโวเนียนเปนหินดินดาน หินปูน และหินทรายแดง
ตอนใกลสิ้นยุคไซลูเรียนมีการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกและการประทุของภูเขาไฟ ทําให
ทองทะเลเดิมบางสวนยกตัวขึ้นเปนผืนแผนดิน และปกคลุมดวยพืชบก นอกจากนี้บนบกเริ่มพบสัตวที่
หายใจทางอากาศได โดยมีการปรับตัวใหเขากับการดํารงชีพบนผืนแผนดิน เชน กิ้งกือ แมลงมุม และแมลง
ไรปก ในจําพวกสัตวมีกระดูกสันหลัง พบปลาน้ําจืดหลายชนิด (จนทําใหไดชื่อวาเปนยุคของปลา) เชน
ปลาไรขากรรไกร ปลาออสทราโคเดิรม ปลาครอสสออฟเทอริเกียน และปลาดิฟนอย (ปลามีปอด) และ
ในปลายยุคนีพบสัตวสะเทินน้ําสะเทินบกเปนครั้งแรก
้
ในจําพวกสัตวไรกระดูกสันหลังที่อาศัยอยูในทะเล หอยตะเกียง ปะการัง และสโทรมาโท
พอรอยด ยังพบอยูโดยทัวไป แกรฟโทไลทคงพบแตพวกรูปรางแห นอกนั้นสูญพันธุไปหมด ไครนอยด
่
และปลาดาวก็พบมากในยุคนี้
ภาพ 3.7 ปลา Placodermi
ภาพ 3.8 ปะการังชนิด Pleurodictyum
ยุคคารบอนิเฟอรัส
ที่เรียกชื่อยุคนีวา คารบอนิเฟอรัส เนื่องจากมีชั้นถานหินทีมีความหนาและแผไปกวางขวาง
้
่
มาก มีชวงเวลายาวประมาณ 34 ลานป (จาก 360 ถึง 286 ลานปมาแลว) หินสวนใหญประกอบดวยหินปูน
หินทราย หินดินดาน และถานหิน ชั้นถานหินพบมากในชวงหลังของยุคนี้
พืชที่อาศัยอยูบนผืนแผนดินเกิดแพรหลายมากสวนใหญเปนพวก ไลโดพอด (Scale-trees)
และเฟรนมีเมล็ด ในทะเลมีสาหรายที่สรางสารปูน สัตวที่อาศัยอยูบนบกมีพวกหอยสองฝา หอยขม และ
สัตวพวกขาเปนปลอง สวนสัตวมกระดูกสันหลังพวกสะเทินน้ําสะเทินบกมีการพัฒนามากจนเรียกไดวา
ี
เปนยุคของสัตวสะเทินน้ําสะเทินบก และเริ่มมีสัตวเลื้อนคลาน ปลาน้ําจืดพบแพรหลายมาก ในทองทะเล
หอยตะเกียง
ไดรนอยดและปะการังพบอยูจํานวนมาก
ไบรโอซัวก็มีอยูแพรหลายเปนพวกรูปพัด
- 11. 56
(Fenestella) สัตวพวกหอยพบอยูพอสมควรที่สําคัญก็มีพวกหอยสองฝา หอยโขง และ เซฟาโลพอด อีไค
นอยดพบมากพอสมควร สวนพลาสตอยตมีความเจริญสูงสุดในยุคนี้ ที่นาสังเกต พวกแกรพโทไลท รูป
รางแหสูญพันธุไปหมดสิ้น และในปลายยุคเริ่มมีพวก ฟอแรมมินิเฟอราตัวใหญ (Fusulina) สวนสัตวมี
กระดูกสันหลังที่อาศัยอยูในทะเล สวนใหญเปนพวกปลาฉลาม
ภาพ 3.9 ใบไมไลโคพอดชนิด
Lepidodendron sternbergii
ภาพ 3.10 แสดงสัตวสะเทินน้ําสะเทินบกชนิด
Amphibiamus lyelli
- 12. 57
ยุคเพอรเมียน
ชื่อยุคมาจากคําวา เพอรม (Perm) เปนชื่อจังหวัดหนึ่งในเทือกเขาอูราล มีชวงเวลายาว
ประมาณ 41 ลานป (จาก 286 ถึง 245 ลานปมาแลว) หินสวนใหญประกอบดวย หินปูน หินดินดาน หิน
เกลือและหินทรายสีแดง
การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ซึ่งเริ่มมาตั้งแตยุคคารบอนิเฟอรัสมีความรุนแรงสูงสุดในยุค
เพอรเมียนนี้ ทําใหเกิดเทือกเขาสูงและมีการระเบิดของภูเขาไฟมาก บนผืนแผนดินพืชที่ปกคลุมอยูสวน
ใหญเปนพวก เฟรนและเฟรนมีเมล็ด ในซีกโลกใต (กอนดวานาแลนด) มีพวกพืชกลอสซอฟเทอริส เริ่มพบ
แมลงชนิดใหม ๆ ในยุคนี้ เชน แมลงปกแข็งและจักจั่น สวนสัตวมีกระดูกสันหลังที่อยูบนบกก็มีสัตว
๊
สะเทินน้ําสะเทินบกขนาดใหญ สัตวเลื้อยคลานหลายชนิด รวมทั้งสัตวเลื้อยคลายคลายพวกเลี้ยงลูกดวยนม
ปลาน้ําจืดมีพวกปลาพาลีโอนิสติด และปลาฉลาม เปนตน
ในทองทะเล ฟอเแรมมินิเซอราตัวใหญหรือฟูซูลินิด พบอยูแพรหลายมาก เชนเดียวกับ
ไบรโอซัว และหอยตะเกียง ปะการังพบไมมากนัก แตสัตวพวกหอย (หอยสองฝาและแอมโมนอยด) เริ่มพบ
มาก และเริ่มมีพวกเบเล็มนอยด เปนที่นาสังเกตวา หลังยุคเพอรเมียน พวกฟูซูลินิด ปะการังพวกรูโกส ไบร
โอซัว ฟเน็สเท็ลลิด หอยตะเกียงโพรดักทิด และไทรโลไบท ไดสูญพันธุไปหมดสิ้น
ภาพ 3.11 แมลงชนิด Dunbaria fasciipennis
- 13. 58
ภาพ 3.12 (ก) ฟอแรมมินิเฟอราชนิด
Fusulinid
ภาพ 3.12 (ข) ฟอแรมมินิเฟอราชนิด Fusulinid
ในภาพตัดขวาง
ยุคไทรแอสสิก
ชื่อยุคมาจากคําวา ไทรแอส (Trias) เนื่องจากที่ภาคใตของประเทศเยอรมนีสามารถจําแนก
หินยุคนี้ออกไดเปนสามสวน แตในประเทศอังกฤษเรียกหินยุคนีวา หินทรายแดงใหม ยุคไทรแอสสิกมี
้
ชวงเวลายาว 37 ลานป (จาก 245 ถึง 208 ลานปมาแลว) หินสวนใหญประกอบดวยหินสีแดงและหินเกลือที่
เกิดในสภาวะที่รอนและแหงแลง เชน ในเขตทะเลทราย และหินปูนและหินดินดานที่เกิดในทะเลตื้นและ
น้ําอุน
ยุคไทรแอสสิกเปนการเริ่มตนยุคใหมของสิ่งมีชีวิต มีสัตวพวกใหมๆ ปรากฏตัวขึ้น
มากมาย ทั้งบนบกและในทะเล บนผืนแผนดินมีสภาวะที่ไมเหมาะสมตอการเจริญเติบโตของพืชมากมาย
นัก จนกระทังปลายยุคมีตนปรง และเฟรน เจริญเติบโตดี สัตวมีขาเปนปลอง พวกครัสเทเชียนหลายชนิด
่
ปรับตัวอาศัยอยูในสระน้ํา เชน พวกหมัดที่เรียกวา แอสเธอเรีย (Estheria) พวกแมลงปอง พบในทะเลทราย
และแมลงตาง ๆ พบในชั้นถานหิน สวนสัตวมกระดูกสันหลังที่อาศัยอยูบนบก มีพวกปลามีปอด
ี
(Ceratodus) ปลาพวกนี้มดตัวอยูในโคลน และยังคงมีชีวิตอยูไดแมน้ําในแมน้ําหรือทะเลสาปแหงขอดลง
ุ
สัตวเลื้อยคลานมีทั้งชนิดและจํานวนเพิ่มมากขึ้น และในตอนปลายยุค สัตวเลื้อยคลายคลายพวกเลียงลูกดวย
้
นม ซึ่งมีมากในตนยุค จะถูกแทนที่ดวยพวกไดโนเสาร นอกจากนียังพบเตา จระเข และริงโคเซฟาเลียน
้
(rhynchocephalian) กอนสินยุคไทรแอสสิก นี้สัตวเลี้ยงลูกดวยนมเริมปรากฏตัว
้
่
ในทองทะเล หอยตะเกียงและไครนอยด (Encrinus) ยังพบมากพอควร ปะการัง มีพวกใหม
ที่เรียกวา ปะการังหกเหลี่ยม (Hexacorals) ซึ่งยังพบอยูในปจจุบัน หอยสองฝาและหอยโขง เริ่มพบมากขึ้น
ในทะเลน้ําตื้น สวนเซฟาโลพอด มีพวกเซอราไททิส (Ceratites) มาก (เปนแอมโมนอยดที่มี Ceratitic
suture-line) พวกสัตวมีขาเปนปลองเริ่มมีครัสเทเชียนตัวคลายกุง สวนสัตวมีกระดูกสันหลัง พบพวกตน
- 14. 59
ภาพ 3.13 สัตวเลื้อยคลานชนิด Icthyosaurs
ตระกูลปลากระดูกแข็ง (bony fishes) รวมทั้งปลาที่บินไดจํานวนมาก แตปลาฉลามมีนอยลง เริ่มพบ
สัตวเลื้อยคลานกินเนื้อรูปรางคลายปลา (icthyosaurs)
ยุคจูแรสซิก
ชื่อยุคมากจากคําวา จูรา (Jura) เปนชื่อเทือกเขาซึ่งกั้นเขตประเทศฝรั่งเศสและสวิตเซอร
แลนด
มีชวงยาวประมาณ 64 ลานป (จาก 208 ถึง 144 ลานปมาแลว) หินยุคนีสวนใหญประกอบดวย
้
หินปูนเม็ด ไขปลา หินดินดานและหินทราย
ลักษณะภูมิประเทศในยุคจูแรสซิก เปนเนินเตี้ย ๆ มีทะเลน้ําตื้นคลุมพื้นที่สวนใหญ บนผืน
แผนดินมีพืชมากมาย หลายชนิดเชน ตนสน ปรง เฟรน และตนกิงโก (Ginkgo) ยุคนี้บางทีก็เรียกวาเปนยุค
ของตนปรง พืชดอกที่แทจริงยังไมปรากฏ พวกแมลงมีพวกแมลงปอ ตั๊กแตน แมลงปกแข็ง และปลวก เปน
ตน พวกหอยโขง (Viviparus) มีมากในสระหรือทะเลสาบบางแหง สวนพวกสัตวมีกระดูกสันหลังนัน เริ่มมี
้
พวกกบและอึงอาง สัตวเลื้อยคลานเจริญสูงสุดและมีจํานวนมาก เชน ไดโนเสาร เทอโรซอรที่บินได จระเข
่
และเตา นกตัวแรก (Archaeopteryx) ไดพฒนามาจากสัตวเลื้อยคลานในยุคนี้ สัตวเลื้อยคลานคลายพวกเลี้ยง
ั
ลูกดวยนม มีแตตัวขนาดเล็ก สัตวเลี้ยงลูกดวยนมมีตัวขนาดเล็กเชนกันและมีจํานวนนอย
่
ในทองทะเลพบพวกพืชมีสาหรายทะเลเนื้อปูน(สาหรายสีแดง)มากในทะเลน้ําตื้นทีใสและ
อุน สัตวจาพวกสัตวไรกระดูกสันหลังพวกปะการังหกเหลี่ยมมีมากและมักเกิดเปนเทือกปะการัง และมี
ํ
สัตวจําพวกหอย ไบรโอซัว และฟองน้าเนื้อปูน เกิดรวมดวย หอยตะเกียงทีพบมากมีอยู 2 พวก ไดแก
ํ
่
ทีเรบราทูลิด (terebratulids) พวกมีฝาเรียบ และ ริงโคเนลลิด (rhynchonellids) พวกที่ฝามีซี่ หอยสองฝาที่
เปนพวกใหมไดแก หอยพวกไทรโกเนีย (trigonias) และหอยนางรม แอมโมไนทในยุคจูแรสสิกนี้พบ
แพรหลายมาก มีววัฒนาการที่รวดเร็วจึงใชเปนตัวบงอายุของหินในที่ตาง ๆ กันได แอมโมไนทบางชนิด
ิ
- 15. 60
อาศัยคืบคลานอยูตามพื้นทะเล บางชนิดก็วายไปมาอยูใกลผิวน้ํา พวกเบเล็มไนท (จําพวกปลาหมึก) ก็พบ
มากเหมือนกันในยุคนี้ สัตวพวกไดรนอยดและเอคินอยดพบมากพอสมควรในทะเลน้ําตื้น สวนพวกโอฟอู
รอยดพบมากเปนบางแหง ปูพบเปนครั้งแรกในยุคนีนอกจากนี้ ครัสเทเชียน ตัวคลายกุงก็พบมาก สัตวมี
้
กระดูกสันหลังที่อาศัยอยูในทะเล
สวนใหญเปนพวกสัตวเลื้อยคลานที่สําคัญมีพวกอิคไธโอซอร
(Ichthyosaurs) และเพลซิโอซอร (Plesiosaurs) นอกจากนันก็มพวกปลาที่พบมากเปนปลากระดูกแข็ง
้ ี
โบราณ ปลาฉลาม และปลากระเบน เปนตน
ภาพ 3.15 ไดโนเสาร Sauropod
ชนิด Brachiosaurus
ภาพ 3.16 ใบไมชนิด
Pterophyllum
ภาพ 3.17 ปลาชนิด
Sinamia
- 16. 61
ยุคครีเทเซียส
ชื่อยุคมาจากคําละติน ครีทา (Creta) แปลวา หินชอลก ซึ่งเปนหินทีพบมากในชวงปลายยุค
่
มีชวงยาว 78 ลานป (จาก 144 ถึง 66 ลานปมาแลว) หินชอลคสวนใหญประกอบดวยสารปูน (แคลเซียม
คารบอเนต) ไดจากเศษชิ้นของพืชขนาดเล็ก (พวกสาหราย) ที่เรียกวา คอคโคลิธ ปะปนอยูกับเศษเปลือก
หอยและฟอแรมมินิเฟอรา เชน โกลบิเจอรินา (Globigerina) เปนตน
ชีวิตบนผืนแผนดิน ตอนตนยุคพืชยังคงคลายคลึงกับพวกที่พบในยุคจูแรสสิก คือมีพวก
ปรง สน และเฟรน เปนตน กลางยุคเริ่มมีพืชดอก (แองกิโอสเปรม) และในชวงปลายยุคมีพืชกลุมปจจุบัน
ปกคลุมอยูทั่วไป พวกสัตวมีกระดูกสันหลัง ไดโนเสารยังคงมีความสําคัญอยู แตสัตวเลี้ยงลูกดวยนมยังมี
จํานวนนอย
ชีวตในทองทะเลในยุคครีเทเซียส มีมากมายหลายจําพวก ฟองน้ําพบทัวไปในบริเวณน้าตื้น
ิ
่
ํ
สวนใหญเปนเนื้อปูน สวนพวกซิลิเซียสอยูในน้ําลึกกวา ไบรโอซัวพบมากเปนบางแหงในเขตน้ําตืน
้
เหมือนกัน หอยตะเกียงพบมากพอสมควรสวนใหญยังคงเปนพวกเทรีบราทูลิดและ ริงโคเนลลิด หอยสอง
ฝายังคงพบมากอยู สวนแอมโมไนทพบนอยลงและสูญพันธุใปในปลายยุค เบเล็มไนทก็พบนอยลงเชนกัน
และสูญหายไปเกือบหมดเมือสิ้นยุคนี้ อารโทรพอดมีพวกกุงซึ่งพบอยูทั่วไป มีพวกเอไคนอยด ไครนอยด
่
และปลาดาวอยูมาก แตปะการังมีความสําคัญนอยลง พวกสัตวเซลเดียว มีฟอแรมมินิเฟอราและราดิโอ
ลาเรียอยูแพรหลาย สวนสัตวมีกระดูกสันหลัง พบปลาจําพวกฉลามและกระเบนที่คลายคลึงกับชนิดปจจุบัน
อยูทั่วไป
ภาพ 3.18 ไดโนเสาร Theropod ชนิด
Torosus
ภาพ 3.19 ใบไมของพืชดอกชนิด
Banksia
- 17. 62
ภาพ 3.20 สัตวเลื้อยคลานบินไดชนิด
Pterodactylus
ยุคเทอเธียรี
ยุคนี้ประกอบดวยสมัยพาลีโอซีน อีโอซีน และโอลิโกซีน มีชวงอายุ 38 ลานป (จาก 66 ถึง
28 ลานปมาแลว)
ในยุคนี้พบพืชบกโดยทั่วไป สวนใหญเปนพวกที่มีลักษณะคลายพืชปจจุบัน แหลงถาน
ลิกไนทที่สําคัญเกิดในสมัยโอลิโกซีน จําพวกสัตวมีกระดูกสันหลังพบปลาฉลามอยูทั่วไป ปลากระดูกแข็ง
(ทีลีออสท) เริ่มมีมากขึ้น สัตวเลื้อยคลายมีพวกจระเข เตา เริ่มพบเตาที่อาศัยอยูบนบก พวกนกมีฟนสูญพันธุ
ไป มีนกที่บินไมไดตวขนาดใหญ สัตวเลี้ยงลูกดวยนม ในสมัยยุคพาลีโอซีนมีขนาดเล็ก ในสมัยไมโอซีน
ั
ตอนกลางและตอนปลายมีขนาดใหญและลักษณะซับซอนขึ้น นอกจากนียังพบสัตวเลี้ยงลูกดวยนมที่อาศัย
้
ิ
อยูในน้ํา เชน ปลาวาฬ และวัวทะเล ที่บินไดบนอากาศก็มีเชน คางคาว พวกลิง ซึ่งเกิดมาจากสัตวกนแมลงก็
พบแพรหลาย
สัตวไรกระดูกสันหลัง ที่อาศัยอยูในทะเล มีพวกฟอแรมมินิเฟอรามาก (เชน นัมมูไลท)
พวกหอยเชน หอยสองฝา หอยโขง ก็พบมาก นอกจากนั้นที่พบอยูทั่วไปก็มพวกอีไคนอยด อารโธรพอด
ี
เชน พวกครัสเทเชียน บารนาเคิล ออสทราดอด และแมลงชนิดตาง ๆ หอยตะเกียงพบนอยลงและไมมี
ความสําคัญมาก ปะการังพบอยูตามแถบรอน
- 18. 63
ภาพ 3.21 สัตวเลี้ยงลูกดวยนมชนิด
Hyaenodon horridus
ภาพ 3.22 ตนตระกูลสัตวเลี้ยงลูกดวยนม
ยุคนีโอจีน
ยุคนีโอจีนประกอบดวยสมัย ไมโอซีนและไพลโอซีน มีชวงอายุประมาณ 26 ลานป
(จาก 28 ถึง 1.6 ลานปมาแลว)
พวกพืชใบเลี้ยงคู (แองกิโอสเปรม) เจริญเติบโตดีขนบนผืนแผนดินในยุคนี้ บริเวณทุง
ึ้
หญาไดขยายขอบเขตไปกวางขวาง พวกปลากระดูกแข็งมีจํานวนมากและชนิดตาง ๆ กัน พบปลาฉลาม
มากเปนพิเศษ พบนกพวกปจจุบันหลายชนิดและมีนกบินไมไดขนาดใหญ พวกสัตวเลี้ยงลูกดวยนมสวน
ใหญเปนตระกูลที่พบอยูในปจจุบัน ชางหลายชนิดที่มีตนกําเนิดในอาฟริกาและยังพบในยุโรป เอเชีย และ
อเมริกา นอกจากนี้มีสัตวพวกใหม ๆ เชน กวาง อูฐ แรด หมูยักษ และ พวกมาก็ยังคงมีการวิวฒนาการและ
ั
ปรับตัวเขากับเขตทุงหญาไดดี มีเสือเขียวโงงยาว เริ่มพบลิงเอฟคลายมนุษยในอาฟริกากลางและยุโรป ใน
้
อาฟริกาใตพบออสทราโลพิธีคุส ซึ่งอาจเปนตนตระกูลของมนุษยปจจุบัน
สัตวไรกระดูกสันหลัง ที่อาศัยอยูในทะเล ยังพบฟอแรมมินิเฟอราอยูมาก แตนัมมูไลท
สูญพันธุไป หอยสองฝามีมากและมีชนิดใหมหลายชนิด รวมทั้งชนิดปจจุบันหลายชนิดดวย หอยโขงก็มี
มาก เซฟาโลฟอดมีมากเชน นอทิลอยดและอีไดนอยดพบอยูโดยทัวไป อารโธรพอด เชน ออสทราดอด
่
พบแพรหลายทั่วไป และมีแมลงพวกปจจุบันหลายชนิด เรดิโอลาเรีย พบมากใหกําเนิดหินเนื้อซิลิเซียส มี
- 19. 64
ไดอะตอม (สาหรายเซลเดียว) เกิดกวางขวางและเปนแหลงดินเบาที่สาคัญ นอกจากนี้ยังมีพวกสาหรายที่
ํ
เปนตัวกําเนิดหินปูนที่สําคัญ
ภาพ 3.23 ชาง Mastodon
ภาพ 3.24 ชาง Moeritherium
ยุคควอเทอรนารี
ยุคควอเทอรนารี ประกอบดวยสมัยไพลสโตซีนหรือสมัยน้ําแข็ง และโฮโลซีนหรือสมัย
หลังน้ําแข็ง (หรือสมัยปจจุบัน) มีชวงอายุ 1.6 ลานปถึง 10,000 ป สวนสมัยโฮโลซีนมีอายุจาก 10,000 ปมา
จนถึงปจจุบัน (ค.ศ. 1950)
ภาพ 3.25 ชาง Mammoth