More Related Content
Similar to Learning task behavio final
Similar to Learning task behavio final (20)
Learning task behavio final
- 2. 1.นำำเสนอสำระสำำคัญเกี่ยวกับกำรทดลองของ
นักกำรศึกษำแต่ละคนต่อไปนี้
นักกำร
ศึกษำ
กระบวนกำรที่สำำคัญ 3 ประกำร อันเป็นผลจำก
กำรเรียนรู้แบบวำงเงื่หอลันกไข กำคืร
อ กำรแผ่ขยำย คือ
ควำมสำมำรถของอินทรีย์ที่จะตอบสนองใน
ลักษณะเดิมต่อสิ่งเร้ำที่มีควำมคล้ำยคลึงกันได้
กำรจำำแนก คือ ควำมสำมำรถของอินทรีย์ในกำร
ที่จะจำำแนกควำมแตกต่ำงของสิ่งเร้ำได้ กำรลบ
พฤติกรรมชั่วครำว คือ กำรที่พฤติกรรม กำรตอบ
สนองลดน้อยลงอันเป็นผลเนื่องจำกกำรที่ไม่ได้รับ
สิ่งเร้ำที่ไม่ได้ถูกวำงเงื่อนไข ซึ้่งในที่นี้ก็คือรำงวัล
หรือสิ่งที่ต้องกำรนั่นเอง
กำรฟื้นตัวของกำรตอบสนองที่วำงเงื่อนไข หลัง
จำกเกิดกำรลบพฤติกรรมชั่วครำวแล้ว สักระยะ
หนึ่งพฤติกรรมที่ถูกลบเงื่อนไขแล้วอำจฟื้นตัวเกิด
ขึ้นมำอีกได้รับกำรกระตุ้นโดยสิ่งเร้ำที่วำง
เงื่อนไข
ทำำกำรทดลองกับสุนัข
แบ่งออกเป็น 3 ขั้น คือ
ก่อนกำรวำงเงื่อนไข
ระหว่ำงกำรวำง
เงื่อนไข และหลังกำร
วำงเงื่อนไข
ขั้นที่ 1 เสียงกระดิ่ง
(CS) ไม่มีนำ้ำลำย ผง
เนื้อ (UCS) นำ้ำลำย
ไหล (UCR)
ขั้นที่ 2 เสียงกระดิ่ง
นำ้ำลำยไหล (UCR)
และผงเนื้อ (UCS) ทำำ
ขั้นที่ 2 ซ้ำ้ำกันหลำย ๆ
ครั้ง
ขั้นที่ 3 เสียงกระดิ่ง
(CS) นำ้ำลำยไหล
(CR)
นักกำร
ศึกษำ กกำำรรททดดลลอองง หลักกำร
พำ เรียนรู้
ฟลอฟ
(Pavlo
v)
เรียนรู้
พำ
ฟลอฟ
(Pavlo
v)
ทำำกำรทดลองกับสุนัข
แบ่งออกเป็น 3 ขั้น คือ
ก่อนกำรวำงเงื่อนไข
ระหว่ำงกำรวำง
เงื่อนไข และหลังกำร
วำงเงื่อนไข
ขั้นที่ 1 เสียงกระดิ่ง
(CS) ไม่มีนำ้ำลำย ผง
เนื้อ (UCS) นำ้ำลำย
ไหล (UCR)
ขั้นที่ 2 เสียงกระดิ่ง
นำ้ำลำยไหล (UCR)
และผงเนื้อ (UCS) ทำำ
ขั้นที่ 2 ซ้ำ้ำกันหลำย ๆ
ครั้ง
ขั้นที่ 3 เสียงกระดิ่ง
(CS) นำ้ำลำยไหล
(CR)
กระบวนกำรที่สำำคัญ 3 ประกำร อันเป็นผลจำก
กำรเรียนรู้แบบวำงเงื่อนไข คือ กำรแผ่ขยำย คือ
ควำมสำมำรถของอินทรีย์ที่จะตอบสนองใน
ลักษณะเดิมต่อสิ่งเร้ำที่มีควำมคล้ำยคลึงกันได้
กำรจำำแนก คือ ควำมสำมำรถของอินทรีย์ในกำร
ที่จะจำำแนกควำมแตกต่ำงของสิ่งเร้ำได้ กำรลบ
พฤติกรรมชั่วครำว คือ กำรที่พฤติกรรม กำรตอบ
สนองลดน้อยลงอันเป็นผลเนื่องจำกกำรที่ไม่ได้รับ
สิ่งเร้ำที่ไม่ได้ถูกวำงเงื่อนไข ซึ้่งในที่นี้ก็คือรำงวัล
หรือสิ่งที่ต้องกำรนั่นเอง
กำรฟื้นตัวของกำรตอบสนองที่วำงเงื่อนไข หลัง
จำกเกิดกำรลบพฤติกรรมชั่วครำวแล้ว สักระยะ
หนึ่งพฤติกรรมที่ถูกลบเงื่อนไขแล้วอำจฟื้นตัวเกิด
ขึ้นมำอีกได้รับกำรกระตุ้นโดยสิ่งเร้ำที่วำง
เงื่อนไข
- 3. 1.นำำเสนอสำระสำำคัญเกี่ยวกับกำรทดลองของ
นักกำรศึกษำแต่ละคนต่อไปนี้
นำำเสนอสำระสำำคัเกี่ยกับทดลองของ
กำศึกษำแต่ละคนต่อกำรนำำมำใช้ใน
กำรเรียนกำรสอน
กำรนำำมำใช้ใน
กำรเรียนกำรสอน
ในยกกำตัวรอนำำย่ำมำงเหใช้ตุกำในรกำณ์ร
ที่พบ
เรียนกำรสอน
ปิติวิตกกังวลในกำรสอบทุก
ครั้งทั้งๆ ที่กำรเรียนทั่วไป ครู
พบว่ำ เขำเรียนได้ดี แต่ผล
กำรสอบทุกครั้งจะไม่ดี จำก
กำรวิเครำะห์สำเหตุ พบว่ำปิติ
มีควำมกังวลในกำรสอบสูง
มำก ผู้เป็นครูควรแก้ปัญหำ
โดยให้กำำลังใจกับนักเรียนผู้นี้
รู้จักพูดคุยกับเขำก่อนถึงเวลำ
สอบ และขณะกำำลังสอบก็ควร
เดินไปให้กำำลังใจ เพื่อให้ลด
ควำมวิตกกังวลได้
ยกตัวอย่ำงเหตุกำรณ์ที่พบ
ในชีวิตประจำำวัน
ในชีวิตประจำำวัน
1.ครูสำมำรถนำำหลักกำรเรียนรู้ของทฤษฎี
ทำำควำมเข้ำใจพฤติกรรมของผู้เรียนที่
แสดงออกถึงอำรมณ์ ควำมรู้สึก ทั้งทำง
ด้ำนดีและไม่ดี
2.ครูใช้หลักกำรเรียนรู้ทฤษฎีปลูกฝังควำม
รู้สึก มีเจตคติที่ดีในตัวผู้เรียน ต่อเนื้อหำ
วิชำ ตัวครูผู้สอน รวมทั้งสิ่งแวดล้อมต่ำงๆ
3. ครูควรตระหนักว่ำ ครูเป็นบุคลสำำคัญ
คนหนึ่งที่สำมำรถสร้ำงควำมรู้สึก อำรมณ์
กลัวเกรง วิตกกังวลในตัวผู้เรียนได้
4.ครูควรที่จะป้องกันไม่ให้เด็กพบแต่ควำม
ล้มเหลวในชีวิต
1.ครูสำมำรถนำำหลักกำรเรียนรู้ของทฤษฎี
ทำำควำมเข้ำใจพฤติกรรมของผู้เรียนที่
แสดงออกถึงอำรมณ์ ควำมรู้สึก ทั้งทำง
ด้ำนดีและไม่ดี
2.ครูใช้หลักกำรเรียนรู้ทฤษฎีปลูกฝังควำม
รู้สึก มีเจตคติที่ดีในตัวผู้เรียน ต่อเนื้อหำ
วิชำ ตัวครูผู้สอน รวมทั้งสิ่งแวดล้อมต่ำงๆ
3. ครูควรตระหนักว่ำ ครูเป็นบุคลสำำคัญ
คนหนึ่งที่สำมำรถสร้ำงควำมรู้สึก อำรมณ์
กลัวเกรง วิตกกังวลในตัวผู้เรียนได้
4.ครูควรที่จะป้องกันไม่ให้เด็กพบแต่ควำม
ล้มเหลวในชีวิต
พำ
ฟลอฟ
(Pavlo
v)
พำ
ฟลอฟ
(Pavlo
v)
ในกำรนำำมำใช้ในกำร
เรียนกำรสอน
ปิติวิตกกังวลในกำรสอบทุก
ครั้งทั้งๆ ที่กำรเรียนทั่วไป ครู
พบว่ำ เขำเรียนได้ดี แต่ผล
กำรสอบทุกครั้งจะไม่ดี จำก
กำรวิเครำะห์สำเหตุ พบว่ำปิติ
มีควำมกังวลในกำรสอบสูง
มำก ผู้เป็นครูควรแก้ปัญหำ
โดยให้กำำลังใจกับนักเรียนผู้นี้
รู้จักพูดคุยกับเขำก่อนถึงเวลำ
สอบ และขณะกำำลังสอบก็ควร
เดินไปให้กำำลังใจ เพื่อให้ลด
ควำมวิตกกังวลได้
- 4. 1.นำำเสนอสำระสำำคัญเกี่ยวกับกำรทดลองของ
นักกำรศึกษำแต่ละคนต่อไปนี้
นักกำร
ศึกษำ
1.นอสำระสำำคัญเกี่ยวกับกำรทดลองของ
นักกำรศึกษำแต่ละคนต่อไปนี้
นักกำร
ศึกษำ กกำำรรททดดลลอองง หหลัลักกกำกำร
ร
เรียนรู้
ทฤษฎีกำรเรียนรู้ เรีดัยงนนี้
รู้
1.พฤติกรรมเป็นสิ่งที่สำมำรถควบคุม
ให้เกิดขึ้นได้ โดยกำรควบคุมสิ่งเร้ำที่
วำงเงื่อนไขให้สัมพันธ์กับสิ่งเร้ำตำม
ธรรมชำติ และกำรเรียนรู้จะคงทน
ถำวรหำกมีกำรให้สิ่งเร้ำที่สัมพันธ์กัน
นั้นควบคู่กันไปอย่ำงสมำ่ำเสมอ
2. เมื่อสำมำรถทำำให้เกิดพฤติกรรม
ใด ๆ ได้ ก็สำมำรถลดพฤติกรรมนั้น
ให้หำยไปได้
วัตสัน
(Watso
n)
วัตสัน
(Watso
n)
ทดลองโดย
ให้เด็กคน
หนึ่งเล่นกับ
หนูขำว
ทดลองโดย
ให้เด็กคน
หนึ่งเล่นกับ
หนูขำว
ทฤษฎีกำรเรียนรู้ ดังนี้
1.พฤติกรรมเป็นสิ่งที่สำมำรถควบคุม
ให้เกิดขึ้นได้ โดยกำรควบคุมสิ่งเร้ำที่
วำงเงื่อนไขให้สัมพันธ์กับสิ่งเร้ำตำม
ธรรมชำติ และกำรเรียนรู้จะคงทน
ถำวรหำกมีกำรให้สิ่งเร้ำที่สัมพันธ์กัน
นั้นควบคู่กันไปอย่ำงสมำ่ำเสมอ
2. เมื่อสำมำรถทำำให้เกิดพฤติกรรม
ใด ๆ ได้ ก็สำมำรถลดพฤติกรรมนั้น
ให้หำยไปได้
- 5. 1.นำำเสนอสำระสำำคัญเกี่ยวกับกำรทดลองของ
นักกำรศึกษำแต่ละคนต่อไปนี้
นักกำร
ศึกษำ
1.นอสำระสำำคัญเกี่ยวกับกำรทดลองของ
นักกำรศึกษำแต่ละคนต่อไปนี้
กำรนำำมำใช้ในกำร
เรียนกำรสอน
กำรนำำมำใช้ในกำร
เรียนกำรสอน
ยกตัวอย่ำงเหตุกำรณ์ที่พบ
ในชั้ยนกตัเรีวยอนย่ำหนึ่งเหงๆ ตุเด็กำกมัรณ์กได้ที่พรับ
กำรวำงในเงื่ในอชีชีนวิวิไขตตปปอระระยู่เสจำำจำำมวัอ วัน
น
เช่น
เมื่อถึงชั่วโมงคณิตศำสตร์ (cs)
เมื่อใดก็ถูกครูดุหรือลงโทษทุก
ครั้ง (ucs) ในที่สุดเด็กคนนั้นก็
เกลียดวิชำคณิตศำสตร์ (cr)
ตรงข้ำมกับชั่วโมงวิทยำศำสตร์
(cs) ที่ครูสร้ำงบรรยำกำศใน
ห้องเรียนดี (ucs) (เด็กมีอิสระ
ในกำรคิด ในกำรทดลอง และ
สรุปผล ก่อนหมดชั่วโมงทุกครั้ง
เด็กจะภูมิใจผลที่เขำพบจำกกำร
ทดลอง) เมื่อไรที่เรียนวิชำนี้
เขำก็สึกสนุกกับกำรค้นคว้ำ
ทดลอง สุดท้ำยจะรู้สึกว่ำเขำ
ชอบเรียนวิชำนี้เป็นพิเศษ
(cr).
เรำสำมำรถนำำทฤษฎีนี้ไป
ประยุกต์ใช้ในกำรเรียนกำร
สอนได้ดังนี้คือ ในกรณีที่มีครู
คนหนึ่งซึ้่งเป็นคนใจดี แต่เมื่อ
เวลำสอนครูผู้นี้จะสอนไม่
เข้ำใจ จนทำำให้เด็กรู้สึกน่ำ
เบื่อ ไม่อยำกเรียน
เรำสำมำรถนำำทฤษฎีนี้ไป
ประยุกต์ใช้ในกำรเรียนกำร
สอนได้ดังนี้คือ ในกรณีที่มีครู
คนหนึ่งซึ้่งเป็นคนใจดี แต่เมื่อ
เวลำสอนครูผู้นี้จะสอนไม่
เข้ำใจ จนทำำให้เด็กรู้สึกน่ำ
เบื่อ ไม่อยำกเรียน
วัตสัน
(Wats
on
วัตสัน
(Wats
on
ในชั้นเรียนหนึ่งๆ เด็กมักได้รับ
กำรวำงเงื่อนไขอยู่เสมอ เช่น
เมื่อถึงชั่วโมงคณิตศำสตร์ (cs)
เมื่อใดก็ถูกครูดุหรือลงโทษทุก
ครั้ง (ucs) ในที่สุดเด็กคนนั้นก็
เกลียดวิชำคณิตศำสตร์ (cr)
ตรงข้ำมกับชั่วโมงวิทยำศำสตร์
(cs) ที่ครูสร้ำงบรรยำกำศใน
ห้องเรียนดี (ucs) (เด็กมีอิสระ
ในกำรคิด ในกำรทดลอง และ
สรุปผล ก่อนหมดชั่วโมงทุกครั้ง
เด็กจะภูมิใจผลที่เขำพบจำกกำร
ทดลอง) เมื่อไรที่เรียนวิชำนี้
เขำก็สึกสนุกกับกำรค้นคว้ำ
ทดลอง สุดท้ำยจะรู้สึกว่ำเขำ
ชอบเรียนวิชำนี้เป็นพิเศษ
(cr).
นักกำร
ศึกษำ
- 6. 1.นำำเสนอสำระสำำคัญเกี่ยวกับกำรทดลองของ
นักกำรศึกษำแต่ละคนต่อไปนี้
1.นอสำระสำำคัญเกี่ยวกับกำรทดลองของ
นักกำรศึกษำแต่ละคนต่อไปนี้
กำรเรียนรู้เกิดจำกกำรลองผิดลอง
ถูก”
“กำรเรียนรู้เกิดจำกควำมสัมพันธ์
ระหว่ำงสิ่งเร้ำและกำรตอบสนอง”
สรุปเป็นกฎกำรเรียนรูดังนี้
1.กฎแห่งผล
2. กฎแห่งควำม
3. กฎแห่งกำรฝึก ( Law of
Exercise )
4. กฎแห่งกำรใช้ ( Law of Use and
Disuse ) กำรเรียนจะเกิดกำรเชื่อม
โยง ระหว่ำงสิ่งเร้ำกับกำรตอบสนอง
ถ้ำมีกำรนำำไปใช้บ่อย กำรเรียนรู้นั้น
จะมีควำมคงทน หำกไม่มีกำรนำำไป
ใช้บ่อยๆ อำจจะเกิดกำรลืม
นักกำร
ศึกษำ กกำำรรททดดลลอองง หลักกำร
นักกำร
ศึกษำ
หลักกำร
ธอร์น
ไดค์
(Thorndi
ธอร์น เรียนรู้
ไดค์
(Thorndi
เรียนรู้
ke)
ke)
แมวกับ
ประตูกล
แมวกับ
ประตูกล
กำรเรียนรู้เกิดจำกกำรลองผิดลอง
ถูก”
“กำรเรียนรู้เกิดจำกควำมสัมพันธ์
ระหว่ำงสิ่งเร้ำและกำรตอบสนอง”
สรุปเป็นกฎกำรเรียนรูดังนี้
1.กฎแห่งผล
2. กฎแห่งควำม
3. กฎแห่งกำรฝึก ( Law of
Exercise )
4. กฎแห่งกำรใช้ ( Law of Use and
Disuse ) กำรเรียนจะเกิดกำรเชื่อม
โยง ระหว่ำงสิ่งเร้ำกับกำรตอบสนอง
ถ้ำมีกำรนำำไปใช้บ่อย กำรเรียนรู้นั้น
จะมีควำมคงทน หำกไม่มีกำรนำำไป
ใช้บ่อยๆ อำจจะเกิดกำรลืม
- 7. 1.1.นำำนำำเสเสนนออสำสำระระสำำสำำคัคัญญเกี่เกี่ยยววกักับบกำกำรรททดดลลองของ
นันักกกำกำรรศึศึกกษำษำแต่แต่ละละคนต่ออไปไปนี้
นี้
นักกำร
กำรนำำมำใช้ในกำร
เรียนกำรสอน
กำรนำำมำใช้ในกำร
เรียนกำรสอน
ยกตัวอย่ำงเหตุกำรณ์ที่
ยกตัวอย่ำงเหตุกำรณ์ที่
พบในชีวิตประจำำวัน
มักเน้นอยู่เสมอว่ำกำรสอนใน
ชั้นเรียนต้องกำำหนดจุดมุ่งหมำย
ให้ชัดเจน กำรตั้งจุดมุ่งหมำยให้
ชัดเจนก็หมำยถึงกำรตั้งจุดมุ่ง
หมำยที่สังเกตกำรตอบ สนองได้
และครูจะต้อง จัดแบ่งเนื้อหำ
ออกเป็นหน่วย ๆ ให้เขำเรียนที
ละหน่วย เพื่อที่ผู้เรียนจะได้เกิด
ควำมรู้สึกพอใจในผลที่เขำ
เรียนในแต่ละหน่วยนั้น
มักเน้นอยเู่สมอว่ำกำรสอนใน พบในชีวิตประจำำวัน
ชั้นเรียนต้องกำำหนดจุดมุ่งหมำย
ให้ชัดเจน กำรตั้งจุดมุ่งหมำยให้
ชัดเจนก็หมำยถึงกำรตั้งจุดมุ่ง
หมำยที่สังเกตกำรตอบ สนองได้
และครูจะต้อง จัดแบ่งเนื้อหำ
ออกเป็นหน่วย ๆ ให้เขำเรียนที
ละหน่วย เพื่อที่ผู้เรียนจะได้เกิด
ควำมรู้สึกพอใจในผลที่เขำ
เรียนในแต่ละหน่วยนั้น
นักกำร
ศึกษำ
ธอร์น
ไดค์
(Thorndi
ธอร์น
ไดค์
(Thorndi
ke)
ke)
เมื่อผู้เรียนทำำผลงำนออกมำได้ดี
ครูชม นักเรียนเกิดควำม
กระตือรือร้นที่อยำกเรียนอยำก
ทำำงำน แต่ถ้ำครูไม่ชม นักเรียน
ก็ไม่เกิดควำมกระตือรือร้นที่จะ
ทำำงำน หรือค้นคว้ำเพิ่มเติม
เมื่อผู้เรียนทำำผลงำนออกมำได้ดี
ครูชม นักเรียนเกิดควำม
กระตือรือร้นที่อยำกเรียนอยำก
ทำำงำน แต่ถ้ำครูไม่ชม นักเรียน
ก็ไม่เกิดควำมกระตือรือร้นที่จะ
ทำำงำน หรือค้นคว้ำเพิ่มเติม
ศึกษำ
- 8. 1.นำำเสนอสำระสำำคัญเกี่ยวกับกำรทดลองของ
นักกำรศึกษำแต่ละคนต่อไปนี้
นักกำร
1.นอสำระสำำคัญเกี่ยวกับกำรทดลองของ
นักกำรศึกษำแต่ละคนต่อไปนี้
นักกำร
ศึกษำ กกำำรรททดดลลอองง หลักกำร
กำรทดลองคือจับหนู
ไปใส่กล่องทดลอง
เมื่อหนูหิวจะวิ่งวนไป
เรื่อย ๆ และไปเหยียบ
ถูกคันโยก
ก็จะมีอำหำรตกลงมำ
ทำำให้หนูเกิดกำรเรียน
รู้ว่ำกำรเหยียบคันโยก
จะได้รับอำหำรครั้งต่อ
ไปเมื่อหนูหิวก็จะตรง
ไปเหยียบคันโยกทันที
ซึ่งพฤติกรรมดังกล่ำว
ถือว่ำหนูตัวนี้เกิดกำร
เรียนรู้แบบกำร
ลงมือกระทำำเอง
หลักกำร
สกิศึนกษำ
เนอ
เรีเรียยนนรู้ รู้
สกินเนอ
ร์
ร์
(Skinner
(Skinner
)
)
กำรทดลองคือจับหนู
ไปใส่กล่องทดลอง
เมื่อหนูหิวจะวิ่งวนไป
เรื่อย ๆ และไปเหยียบ
ถูกคันโยก
ก็จะมีอำหำรตกลงมำ
ทำำให้หนูเกิดกำรเรียน
รู้ว่ำกำรเหยียบคันโยก
จะได้รับอำหำรครั้งต่อ
ไปเมื่อหนูหิวก็จะตรง
ไปเหยียบคันโยกทันที
ซึ่งพฤติกรรมดังกล่ำว
ถือว่ำหนูตัวนี้เกิดกำร
เรียนรู้แบบกำร
ลงมือกระทำำเอง
กำรเรียนรู้เกิดจำกกำรลงมือกระทำำ
และถ้ำหำกได้รับกำรเสริมแรง จะ
ทำำให้เกิดพฤติกรรมนั้นซำ้ำอีก
กำรเรียนรู้เกิดจำกกำรลงมือกระทำำ
และถ้ำหำกได้รับกำรเสริมแรง จะ
ทำำให้เกิดพฤติกรรมนั้นซำ้ำอีก
- 9. 1.1.นำำนำำเสเสนนออสำสำระระสำำสำำคัคัญญเกี่เกี่ยยววกักับบกำกำรรททดดลลองของ
นันักกกำกำรรศึศึกกษำษำแต่แต่ละละคนต่ออไปไปนี้
นี้
กำรนำำมำใช้ในกำร
เรียนกำรสอน
กำรนำำมำใช้ในกำร
เรียนกำรสอน
ยกตัวอย่ำงเหตุกำรณ์ที่พบ
ยกตัวอย่ำงเหตุกำรณ์ที่พบ
ในชีวิตประจำำวัน
ในชีวิตประจำำวัน
ครูจัดสภำพกำรเรียนกำรสอน
เพื่อให้นักเรียนได้รับกำรเสริม
แรง พฤติกรรมใดที่ได้รับกำร
เสริมแรงพฤติกรรมนั้นจะเป็น
ส่วนหนึ่งที่นักเรียนเรียนรู้
ครูจัดสภำพกำรเรียนกำรสอน
เพื่อให้นักเรียนได้รับกำรเสริม
แรง พฤติกรรมใดที่ได้รับกำร
เสริมแรงพฤติกรรมนั้นจะเป็น
ส่วนหนึ่งที่นักเรียนเรียนรู้
นักกำร
ศึกษำ
สกิน
เนอ
ร์(Skin
ner)
สกิน
เนอ
ร์(Skin
ner)
-บทเรียนสำำเร็จรูป
-กำรสอนแบบ
โปรแกรม(Program
Instruction or Program
Learning)
-บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
(CAI)
-บทเรียนสำำเร็จรูป
-กำรสอนแบบ
โปรแกรม(Program
Instruction or Program
Learning)
-บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
(CAI)
นักกำร
ศึกษำ
- 10. ให้ระบุว่ำจุดร่วมที่ทั้ง 4 ท่ำนเหมือนกัน
สรุปหลักกำรสำำคคัญือขออะงไกรำรบเ้รำียงนรู้ที่เหมือนกัน
ดังนี้
1 2 3
กำรเรียนรู้เกิด
จำกกำรรับรู้
และเข้ำใจถึง
ควำมสัมพันธ์
ของสิ่งเร้ำต่ำงๆ
เป็นภำพรวม
แล้วจึงสำมำรถ
มองเห็นวิธีกำร
แก้ปัญหำได้
โดยทันทีทันใด
จึงเรียกว่ำกำร
หยั่งรู้ (Insight)
บุคคลที่จะ
สำมำรถมอง
เห็นควำม
สัมพันธ์ต่ำง
ของสิ่งเร้ำต่ำงๆ
ได้จะต้องมี
ระดับสติปัญญำ
ดีพอสมควรจึง
สำมำรถแก้
ปัญหำโดยกำร
หยั่งรู้ได้
ประสบกำรณ์
หรือควำมรู้เดิม
ถือเป็นปัจจัยที่
สำำคัญที่ช่วยให้
เกิดกำรหยั่งรู้
ถึงวิธีกำรแก้
ปัญหำได้อย่ำง
รวดเร็วและมี
ประสิทธิภำพ
มำกขึ้น
- 13. 3.หลักการออกแบบการสอนตามแนวพฤติกรรม
นิยมเป็นอย่างไร
3.หลักการอแบบรอนตามแนวพฤติกรรม
นิยนอย่างไร
ระบุวัตถุประสงค์การ
ระบุวัตถุประสงค์การ
สอนทชีั่ดเจน
สอนทชีั่ดเจน
การสอน นำาไปสกู่ารเรียนแบบ
รอบรู้ (Mastery learning)
ให้ผู้เรียน เรียนตามอัตรา
การสอน นำาไปสู่การเรียนแบบ
รอบรู้ (Mastery learning)
ให้ผู้เรียน เรียนตามอัตรา
การเรียนรู้ของตนเอง
การเรียนรู้ของตนเอง
ดำาเนินการสอนจาก
ดำาเนินการสอนจาก
ง่ายไปยาก
ง่ายไปยาก
การออกแบบการเรียน
เป็นลักษณะเชิงเส้น
การออกแบบการเรียน
เป็นลักษณะเชิงเส้น
ให้ผลตอบกลับ
ทันทีทันใด
ให้ผลตอบกลับ
ทันทีทันใด
- 14. 4.วิเคราะห์ความสอดคล้องของการออกแบบการสอน
ตามแนวพฤติกรรมนิยม
กับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
วิเคราะห์ความสอดคล้ององรอกการสน
มแนวพกรมนิยบการเรีนรู้ในศตวรรษที่ 21
การออกแบบการสอนตามแนว
พฤติกรรมนิยมจะเน้นความสัมพันธ์
ระหว่างสิ่งเร้าภายนอกกับการตอบสนอง
ของผู้เรียน โดยไม่สนใจกระบวนการคิด
วิเคราะห์ของผู้เรียน หรือการสร้างองค์
ความรู้ของผู้เรียน และเชื่อว่าความรู้นั้น
เป็นสิ่งที่ตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเมื่อ
เปรียบเทียบกับการเรียนรู้ในศตวรรษที่
21 ที่จะเน้นผู้เรียนเป็นสำาคัญ ให้ผู้เรียนมี
การคิดวิเคราะห์สร้างความรู้ขึ้นเอง และ
ความรู้นั้นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ตาม
แนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ทำาให้
การออกแบบการสอนตามแนวทฤษฎี
พฤติกรรมนิยมนั้นไม่สอดคล้องกับการ
- 15. แต่อย่างไรก็ดี การออกแบบการสอนตามแนวพฤติกรรมนิยม
แต่อย่างไรก็ดี การออกแบบการสอนตามแนวพฤติกรรมนิยม
นั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถนำามาใช้ในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ได้
แต่ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้เรียนและรายวิชาที่เรียน
นั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถนำามาใช้ในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ได้
แต่ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้เรียนและรายวิชาที่เรียน
เพราะทฤษฎีพฤติกรรมนิยมนั้นสามารถวัดและสังเกตผลได้จาก
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หากเป็นรายวิชาที่ต้องใช้การท่องจำา
การทำาซำ้าบ่อยๆให้เกิดความชำานาญ ก็สามารถประยุกต์ใช้การ
เพราะทฤษฎีพฤติกรรมนิยมนั้นสามารถวัดและสังเกตผลได้จาก
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หากเป็นรายวิชาที่ต้องใช้การท่องจำา
การทำาซำ้าบ่อยๆให้เกิดความชำานาญ ก็สามารถประยุกต์ใช้การ
ออกแบบการสอนตามแนวพฤติกรรมนิยมได้
ออกแบบการสอนตามแนวพฤติกรรมนิยมได้
ยกตัวอย่าง เช่น ห้องเรียนวิชาภาษาไทย
ผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนสามารถอ่าน
ทำานองเสนาะได้ ก็ทำาการมอบภารกิจให้
ผู้เรียนอ่านบทร้อยกรองทำานองเสนาะ
ซำ้าๆ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถจดจำาการออก
เสียงทำานองเสนาะ การเว้นวรรคตอนได้
และครูผู้สอนก็สามารถวัดผลได้จากการ
ฟังนักเรียนอ่านทำานองเสนาะใน
ห้องเรียนว่านักเรียนอ่านได้ถูกต้องหรือ
ไม่
ยกตัวอย่าง เช่น ห้องเรียนวิชาภาษาไทย
ผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนสามารถอ่าน
ทำานองเสนาะได้ ก็ทำาการมอบภารกิจให้
ผู้เรียนอ่านบทร้อยกรองทำานองเสนาะ
ซำ้าๆ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถจดจำาการออก
เสียงทำานองเสนาะ การเว้นวรรคตอนได้
และครูผู้สอนก็สามารถวัดผลได้จากการ
ฟังนักเรียนอ่านทำานองเสนาะใน
ห้องเรียนว่านักเรียนอ่านได้ถูกต้องหรือ
ไม่
Editor's Notes
- 1) ระบุวัตถุประสงค์การสอนที่ชัดเจน โดยกำหนดพฤติกรรมเฉพาะที่ต้องการให้เกิดขึ้นหลังจากการเรียนรู้นั้นประสบความสำเร็จ ซึ่งวัตถุประสงค์จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
2) การสอนในแต่ละขั้นตอน นำไปสู่การเรียนแบบรอบรู้ (Mastery learning) ในหน่วยการสอนรวม
3) ให้ผู้เรียนได้เรียนไปตามอัตราการเรียนรู้ของตนเอง
4) ดำเนินการสอนไปตามโปรแกรม หรือลำดับขั้นที่กำหนดไว้ จากง่ายไปยาก โดยเป็นการแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนย่อยๆ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถจดจำได้ง่าย
5) การออกแบบการเรียนเป็นลักษณะเชิงเส้นที่เป็นลำดับขั้นตอน
6) การให้ผลตอบกลับทันทีทันใด เมื่อผู้เรียนกระทำพฤติกรรมนั้นเสร็จจะได้รับผลกลับพร้อมทั้งแรงเสริมทันทีทันใดในขณะที่เรียนรู้
1. ครูต้องทราบพฤติกรรมของนักเรียน ว่านักเรียนเรียนรู้แล้วมีอะไรบ้าง และให้แรงเสริมพฤติกรรมนั้นๆ
2. ในช่วงแรกควรให้แรงเสริมทุกครั้งที่นักเรียนแสดงพฤติกรรมที่พึงปรารถนา แต่ช่วงหลังใช้เสริมเป็นครั้งคราว
3. ครูอาจใช้แรงเสริมที่เป็นขนม หรือสิ่งของ เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของนักเรียนบางคน
4. ครูจะต้องระวังไม่ให้แรงเสริม เมื่อนักเรียนแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาถ5. สำหรับพฤติกรรมที่ซับซ้อน ครูควรใช้หลักการปรับพฤติกรรม (Shaping)
6. ค่อยๆลดสัญญาณ การบอก การชี้แนะลง เมื่อเริ่มเห็นว่าไม่จำเป็น
7.ค่อยๆลดแรงเสริมแบบให้ทุกครั้งลง เมื่อเห็นว่าผู้เรียนกระทำได้แล้ว