SlideShare a Scribd company logo
1 of 59
COMPUTER BASIC
เครือข่ายสังคม(Social Network)
การจัดการความรู้(Knowledge Management)
เครือข่ายสังคม
(SOCIAL NETWORK-SN)
เนื้อหา
 Introduction
 Social Network คืออะไร
 ความเป็นมาของ Social Network
 ประเภทของ Social Network
 ข้อดี-ข้อเสีย ของ Social Network
INTRODUCTION
ยุคที่เทคโนโลยีการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต การนาเสนอข้อมูลข่าวสารในรูปแบบของ
เว็บไซต์มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้อ่านสามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างกว้างขวางนาไปสู่การเรียนรู้ที่
ไร้ขีดจากัด ทาให้ทุกคนทุกสังคมต้องมีการปรับตัว และพัฒนาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงใน
โลกของการสื่อสาร ในอดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบันการนาเสนอข้อมูลต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์บาง
เว็บไซต์นั้น มักจะเป็นการนาเสนอจากผู้ดูแลเว็บไซต์ เพียงด้านเดียว (one-way
communication) และไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่เข้าใช้เว็บไซต์แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆ ได้
ซึ่งเรียกว่ายุคเว็บ 1.0(Web 1.0) แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคที่ 2 ของเทคโนโลยีของ WWW หรือ
Web 2.0 เป็นยุคที่ทาให้อินเทอร์เน็ตมีศักยภาพในการใช้งานมากขึ้น เน้นให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมใน
การสร้างสรรค์ข่าวสารลงบนเว็บไซต์ร่วมกันและสามารถโต้ตอบกับข้อมูลที่อยู่บนเว็ปไซต์ได้
ผู้ใช้สามารถสร้างเนื้อหาแลกเปลี่ยน และกระจายข้อมูลข่าวสารเพื่อแบ่งปันถึงกันได้ทั้งใน
ระดับบุคคล กลุ่ม และองค์กร เรียกว่า การสื่อสารสองทาง(Two-way Communication)
Web 2.0 ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้ในกลุ่มต่างๆ จนเกิดเป็นเครือข่าย
ทางสังคม (Social Network) บนโลกออนไลน์ที่สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
กลายเป็นสังคมเสมือนจริง(Virtual Communities)
SOCIAL NETWORK คืออะไร
 Social network คือ สังคมออนไลน์ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต
เขียนสร้างและอธิบายถึงตัวตนความสนใจและถึงกิจกรรมที่ได้ทา มีการ
เชื่อมโยงกับความสนใจในกิจกรรมของผู้อื่น
 Why Social Network
เนื่องจากสภาพสังคมที่คนเจอกันน้อยลงทุกที โดยเฉพาะในประเทศที่อัตราการใช้
อินเทอร์เน็ตอยู่ในระดับที่สูง ทาให้มนุษย์ต้องหาทางคิดค้นวิธีที่คนเราจะสามารถสร้าง
ปฏิสัมพันธ์ หรือสร้างความสัมพันธ์กันทางสังคมผ่านทางอินเทอร์เน็ต สิ่งนี้มาจากพื้นฐาน
ความคิดที่ว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราอยู่บนโลกแห่งนี้ด้วยการที่เราต้องพูดคุยและโต้ตอบ
กับใครคนอื่น แต่ในเมื่อชีวิตของมนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ถูกบังคับให้เจอกันน้อยลง ถูกบังคับ
ให้ทาทุกกิจกรรมหลายๆ อย่างผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ มนุษย์ก็เลยสร้างแหล่งที่ให้ผู้คน
พบปะผ่านทางโลกอินเทอร์เน็ต เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในเรื่องนี้
และนี่คือสิ่งที่มองว่าเป็นที่มาของบรรดา social networking system(SNS) ทั้งหลาย
องค์ประกอบ
ของ Social
Network
Communicate
(การสื่อสาร)
Definition
(คาจากัด
ความ)
Network
(เครือข่าย)
Sharing
(แบ่งปัน)
ความเป็นมาของ SOCIAL NETWORK
 1995 เป็นจุดเริ่มต้นจากเว็บไซต์ Classmates.com
 1997 เว็บไซต์ SixDegrees.com
ทั้งสองเป็นเว็บไซต์ที่จากัดการใช้งานเฉพาะนักเรียนที่เรียนในโรงเรียน
เดียวกันเพื่อสร้างประวัติ ข้อมูลติดต่อสื่อสาร ส่งข้อความ และแลกเปลี่ยน
ข้อมูลที่สนใจร่วมกันระหว่างเพื่อนในกลุ่มเท่านั้น
 1999 เว็บไซต์ Epinions.com เกิดขึ้นจากการพัฒนาของ Jonathan Bishop
ได้เพิ่มในส่วนของการที่ผู้ใช้สามารถควบคุมเนื้อหาและติดต่อถึงกันได้ไม่
เพียงแต่เพื่อนในกลุ่มเท่านั้น
ทั้งหมดนับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ Social Networking ทั้งหลายที่ก่อกาเนิด
ต่อมาในยุคปัจจุบัน เช่น MySpace, Hi5, Facebook, Twitter เป็นต้น
ประเภทของ SOCIAL NETWORK
Identify Network
Creative Network
Interested Network
Gaming/Virtual Reality
Collaboration Network
ประเภทของ SOCIAL NETWORK
1) การเผยแพร่ตัวตน Identity Network
สาหรับนาเสนอตัวตน และเผยแพร่เรื่องราวของตนเองผ่านทาง
อินเทอร์เน็ต เช่น สร้างอัลบัมรูปของตัวเอง สร้างกลุ่มเพื่อน และสร้างเครือข่าย
ขึ้นมาได้ ได้แก่ hi5 facebook myspace twitter เป็นต้น
ประเภทของ SOCIAL NETWORK
2) การเผยแพร่ผลงาน Creative Network
สามารถนาเสนอผลงานของตัวเองได้ในรูปแบบของวีดีโอ ภาพ หรือเสียงเพลง
เช่น Youtube Multiply Flickr
ประเภทของ SOCIAL NETWORK
3. ความสนใจตรงกัน Interested Network สาหรับกลุ่มคนที่สนใจอะไร
เหมือนๆกัน เช่น
 del.icio.us เป็น Online Bookmarking หรือ Social Bookmarking จากแนวคิดที่ว่า แทนที่
จะ Bookmark เว็บที่เราชอบเก็บไว้ในเครื่องของเราคนเดียว ก็ทา Bookmark เก็บไว้บน
เว็บไซต์แทนเพื่อจะได้แบ่งให้คนอื่นดูได้ด้วย และเราก็จะได้รู้ด้วยว่าเว็บไซต์ใดที่ได้รับความ
นิยมมาก โดยดูได้จากจานวนตัวเลขที่เว็บไซต์นั้นถูก Bookmark เอาไว้จากสมาชิกคนอื่นๆ
 Digg มีลักษณะคล้ายๆกัน แต่จะมีให้ Vote แต่ละเว็บที่ถูกยกมานาเสนอ และมีการ
เสนอแนะในแต่ละเรื่องนั้นได้ด้วย
 Zickr ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยคนไทย เป็นเว็บลักษณะเดียวกับ Digg แต่เป็นภาษาไทย บริการ
เพื่อคนไทย
ประเภทของ SOCIAL NETWORK
4. เพื่อร่วมกันทางาน Collaboration Network เป็นการร่วมกันพัฒนา
ซอฟต์แวร์หรือส่วนต่างๆ ของซอฟต์แวร์
 Wiki Pedia เเป็นสารานุกรมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่รวบรวมความรู้ ข่าวสาร และเหตุการณ์
ต่างๆ ไว้มากมาย
 ปัจจุบันเราสามารถใช้ Google Maps สร้างแผนที่ของตัวเอง หรือจะแบ่งปันแผนที่ให้คนอื่น
ได้ใช้ด้วย จึงทาให้มีสถานที่สาคัญ หรือสถานที่ต่างๆ ถูกปักหมุดเอาไว้ พร้อมกับข้อมูลของ
สถานที่นั้นๆ ไว้แสดงผลจากการค้นหา
ประเภทของ SOCIAL NETWORK
5. โลกเสมือน Gaming/Virtual Reality
ตัวอย่างของโลกเสมือนน เช่น เกมส์ออนไลน์นั่นเอง SecondLife เป็นโลก
เสมือนจริง สามารถสร้างตัวละครโดยสมมุติให้เป็นตัวเราเองขึ้นมาได้ ใช้
ชีวิตอยู่ในเกมส์ อยู่ในชุมชนหรือสังคมเสมือน(Virtual Community) สามารถ
ซื้อขายที่ดิน และหารายได้จากการทากิจกรรมต่างๆ ได้
หลักการพื้นฐานของการก่อกาเนิด SOCIAL NETWORK
1) Anticipated Reciprocity แรงจูงใจมาจากการที่คนๆ นั้นต้องการจะ
ได้รับข้อมูล ความรู้กลับคืน
2) Increased Recognition ความต้องการมีชื่อเสียง และเป็นที่จดจาของ
สังคม
3) Sense of efficacy ความรู้สึกภาคภูมิใจของคนที่ร่วมแสดงความเห็น
(contribute) แล้วเกิด Impact บางประการ
4) Sense of Community การมีอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างร่วมกัน เช่น
แสดงพลังทางการเมือง หรือ การรวมตัวกันเพื่อประโยชน์สาธารณะ
พลังของเครือข่ายสังคม (POWER OF SOCIAL NETWORK)
อิทธิพลของ Social Network มีทั้งด้านบวกและด้านลบอย่างมากมาย และมีการ
เรียนรู้พฤติกรรมของผู้รับสารได้เป็นอย่างดี
 การใช้สื่อใหม่(new media) ให้เกิดประโยชน์และมีการเรียนรู้พฤติกรรมของผู้รับสารได้
สร้างปรากฏการณ์ให้ “บารัค โอบามา” ได้เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของ
สหรัฐอเมริกา
 แนวโน้มของ Social network ที่เริ่มมีผลกระทบต่อสังคมอย่างชัดเจน คือ การพัฒนา
ระบบเว็ปไซต์ของสานักข่าวต่างๆให้เป็นพื้นที่สาธารณะมากขึ้น ขณะเดียวกันยัง
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารไปยังสาธารณชน(Public) หรือชุมชน (Community) ได้รับรู้
ร่วมกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันอีกด้วย เป็นการเปลี่ยนสภาพจากคนอ่าน
ข่าว ฟังข่าว ดูข่าว เป็นนักข่าว นักวิเคราะห์ และนักวิจารณ์ โดยปรากฏการณ์ลักษณะนี้
กาลังกลายเป็นแนวโน้มใหม่ของแวดวงสื่อสารมวลชนทั่วโลก
พลังของเครือข่ายสังคม (POWER OF SOCIAL NETWORK)
 การสื่อสารผ่านทางเทคโนโลยี VDO Link การสื่อสารผ่านระบบ Broadband Internet
การรายงานเหตุการณ์และการกระจายข่าวสารที่เกิดขึ้นในเว็ปไซต์สังคมเครือข่าย
(Social network) อย่างเช่น YouTube และ Blog ต่างๆอย่างทันที่ทันใดจากประชาชน
ผู้เห็นเหตุการณ์ที่บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึงการสื่อสารใน
กลุ่มประชาชนที่ใช้อินเทอร์เน็ตในเรื่องที่เกี่ยวข้องผ่านสังคมเครือข่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
Hi5 หรือ IM (Instant Messaging) เป็นต้น
 เป็นเวทีให้ที่เปิดโอกาสให้คนทั่วโลก และนักการตลาดได้ใช้เป็นแหล่งแพร่คลิปวีดิโอ
ไปสู่คนทั่วโลก ทาให้เราได้พบเห็น เหตุการณ์แปลกใหม่หรือเรื่องมหัศจรรย์ต่างๆ จาก
คลิปทั่วทุกมุมโลก
WORLD TOP 10 SOCIAL NETWORK WEBSITE
1. facebook.com
2. youtube.com
3. Wikipedia.org
4. myspace.com
5. twitter.com
6. flickr.com
7. linkedln.com
8. orkut.com.br
9. hi5.com
10. livejournal.com
THAILAND TOP 5 SOCIAL NETWORK WEBSITE
1. hi5
2. facebook.com
3. YouTube.com
3. Wikipedia.org
4. Multiply
5. Twitter
TOP HIT SOCIAL NETWORK WEBSITE AROUND ASIA
อันดับ 1 อันดับ 2
Thailand hi5 facebook
India facebook Orkut.co.in
Singapore facebook livejournal
China QQ.com sina.com.cn
South Korea never.com daum.net
Japan Yahoo blog fc2.com
Malaysia facebook blogger.com
ข้อดีของ SOCIAL NETWORK
(BENEFITS OF ON-LINE SOCIAL NETWORKS)
 สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในสิ่งที่สนใจร่วมกันได้
 เป็นคลังข้อมูลความรู้ขนาดย่อมเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความ
คิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ หรือตั้งคาถามในเรื่องต่างๆ เพื่อให้บุคคลอื่นที่
สนใจหรือมีคาตอบได้ช่วยกันตอบ
 ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น สะดวกและรวดเร็ว
 เป็นสื่อในการนาเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วีดิโอ
ต่างๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้ามารับชมและแสดงความคิดเห็น
 ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือบริการลูกค้าสาหรับบริษัท
และองค์กรต่างๆ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า
 ช่วยสร้างผลงานและรายได้ให้แก่ผู้ใช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆ ขึ้น
 Keeping in touch with old friends
 Fosters group interaction
 Transcends geographic
boundaries
 Alumni relations
 Virtual space
 Sense of belonging
 Finding new friends
 Aids in transition
 Personal exploration
 Group exploration
 Social presence
ข้อดีของ SOCIAL NETWORK
(BENEFITS OF ON-LINE SOCIAL NETWORKS)
ข้อเสียของ SOCIAL NETWORK
 เว็บไซต์ให้บริการบางแห่งอาจจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป หากผู้ใช้บริการไม่
ระมัดระวังในการกรอกข้อมูล อาจถูกผู้ไม่หวังดีนามาใช้ในทางเสียหาย หรือละเมิดสิทธิส่วน
บุคคลได้
 Social Network เป็นสังคมออนไลน์ที่กว้าง หากผู้ใช้รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดวิจารณญาณ
อาจโดนหลอกลวงผ่านอินเทอร์เน็ต หรือการนัดเจอกันเพื่อจุดประสงค์ร้าย ตามที่เป็นข่าว
ตามหน้าหนังสือพิมพ์
 เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้าง เพราะ Social Network
Service เป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงาน รูปภาพต่างๆ ของเราให้บุคคลอื่นได้ดูและแสดงความ
คิดเห็น
 ข้อมูลที่ต้องกรอกเพื่อสมัครสมาชิกและแสดงบนเว็บไซต์ในรูปแบบ Social Network ยากแก่
การตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ ดังนั้นอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่กาหนดอายุการสมัคร
สมาชิก หรือการถูกหลอกโดยบุคคลที่ไม่มีตัวตนได้
DANGERS
OF POSTING INFORMATION ON SOCIAL NETWORKS
 Data visibility
 Self-portrayal
 Unaffiliated parties
 Time management
 Candid pictures
 Questionable content
 School conduct implications
 Time management issues
 IP tracking
 Identity Theft
 Message and ad links
 Virus or spy ware threats
 Information misuse
 Information sold to third party
 Legal implications
การจัดการความรู้
(KNOWLEDGE MANAGEMENT-KM)
การจัดการความรู้ KNOWLEDGE MANAGEMENT-KM
ความหมายของการจัดการความรู้
แหล่งความรู้ขององค์กร
ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการจัดการความรู้
Web blog ที่ใช้กับการจัดการความรู้
ข้อมูล สารสนเทศ ความรู้ ปัญญา
ข้อมูล(Data) คือข้อเท็จจริงที่เราจัดเก็บเป็นตัวเลข (หรือตัวอักษร)
จาก สถานการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
สารสนเทศ(Information๗ คือ ข้อมูลที่นามาประมวลเป็นภาพรวม
ให้เห็นสภาพของสถานการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ความรู้(Knowledge) คือ ความเข้าใจ หรือความตระหนักเกี่ยวกับ
สถานการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ปัญญา(Wisdom) คือ ความเข้าใจลึกไปถึงสาเหตุและผลกระทบ
Data
Information
Knowledge
Wisdom
ข้อมูล สารสนเทศ ความรู้ ปัญญา
ความรู้ (KNOWLEDGE)
ความรู้(Knowledge) แตกต่างไปจาก สารสนเทศ และข้อมูล
 ความรู้ หมายถึง แนวคิด ความเข้าใจ และบทเรียนที่เราได้รับจากการผ่าน
เหตุการณ์และประสบการณ์ต่างๆ มาเป็นเวลาเนิ่นนาน
 ความรู้เป็นเรื่องส่วนตัวเฉพาะตน
 ความรู้สามารถถ่ายทอดกันได้
การจัดการความรู้ (KNOWLEDGE MANAGEMENT-KM)
การจัดการความรู้ คือ การจัดการการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยมี
ความคิดพื้นฐานอยู่ว่า ช่วยกันคิด ช่วยกันทา แลกเปลี่ยนสิ่งที่คิด
แลกเปลี่ยนสิ่งที่ทา ในที่สุดแล้วประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการ
ทางานจะสูงสุด ดังนั้นประเด็นสาคัญของ KM คือ “แลกเปลี่ยน
เรียนรู้”
พวกเราทุกคนจัดการความรู้เป็นประจาอยู่แล้ว แต่การจัดการของเราไม่เป็น
ระบบ ความรู้ของเราจึงไม่งอกเงย และเรายังสูญเสียความรู้ของเราออกไป
ตลอดเวลา การจัดการความรู้ของหน่วยงานจะช่วยให้บุคลากรสร้างแลกเปลี่ยน
และ นาความรู้ไปใช้งานได้ดีขึ้น
ลักษณะของความรู้
Tacit knowledge ความรู้ส่วนตัวที่ทรงจาอยู่ในสมอง มีลักษณะ
ผูกพันกับบริบทซึ่งยากที่จะเขียนเป็นสูตร บันทึก หรือ อธิบาย มัก
เกิดจากการปฏิบัติแบบลองผิดลองถูก
Explicit knowledge ความรู้ซึ่งสามารถถ่ายทอดเป็นภาษาหรือ
คาพูด นาไปจัดทาเอกสาร เก็บลงฐานข้อมูล จัดลงเว็บ หรือส่งทาง
อีเมล์
Implicit knowledge ความรู้ภายในองค์กรที่อาจไม่ปรากฏชัดเจน
เช่น ความรู้จากโครงสร้าง กระบวนการปฏิบัติงาน กฎระเบียบ
ข้อบังคับ
สื่อสาหรับจัดเก็บความรู้
 หนังสือ ตารา วารสาร รายงาน สาหรับจัดเก็บข้อความ ต่างๆ ที่เป็นความรู้
 ภาพถ่าย พิมพ์เขียว ไดอะแกรม
 ฟิล์มและเทปสาหรับเก็บภาพเคลื่อนไหว ภาพโทรทัศน์ ภาพยนตร์
 เทปเสียง สาหรับเก็บเสียง และการสนทนา
แหล่งความรู้
 คาแนะนา และ วิธีการปฏิบัติที่ดีที่สุด
 ตารา และเอกสารปฏิบัติงาน
 รายงานการค้นคว้า และผลงานวิจัย
 การดูงาน
 การประชุมและปรึกษาหารือ
 หนังสือ อินเทอร์เน็ต โทรทัศน์ วิทยุ
 ประสบการณ์ของบุคลากร
 การทางานร่วมกันของบุคลากร
 การปรึกษากันระหว่างบุคลากรกับ
ผู้รับบริการ
 ความรู้ที่แฝงอยู่ในโครงสร้างภายใน
 ความรู้ที่แฝงอยู่ในโครงสร้างภายนอก
 ความเชื่อ
 คุณค่า
 เกณฑ์ กลาง
 การพูดคุยสนทนา
 การระดมสมอง
 การสร้างสิ่งประดิษฐ์และอุปกรณ์
EXPLICIT KNOWLEDGE MANAGEMENT TOOL
 Content Management System - CMS
 BLOG
 Collaboration Tool
 Wiki
 Internet Forum
CONTENT MANAGEMENT SYSTEM - CMS
 CMS (Content Management System) ระบบจัดการบริหารข้อมูลเว็บไซต์ เป็นเครื่องมือ
ที่ใช้ในการบริหารข้อมูลภายในเว็บไซต์ซึ่งสามารถสนับสนุนการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงข้อมูล
ต่างๆภายในเว็บไซต์ โดยทาการควบคุมเนื้อหา รูปแบบ และกระบวนการนาเสนอเนื้อหา
 Drupal http://drupal.org/
 http://demo.opensourcecms.com/e107/e107_admin/admin.php
 Alfresco (http://dev.alfresco.com) open Source ECM (Enterprise Content Management)
 Knowledgetree (http://www.ktdms.com/): ระบบการจัดการเอกสาร(document management)
 Exponent http://www.exponentcms.org/
 Typo3 http://typo3.com
 Joomla http://www.joomla.org/
 Nucleus http://www.nucleuscms.org/
 List of CMS http://www.opensourcescripts.com/dir/Content_management_,040CMS,041
BLOG
 Blog มาจากคาเต็มว่า WeBlog บางครั้งอ่านว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web
Log
 Blog คือการบันทึกบทความของตนเอง(Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์
โดยเนื้อหาเป็นเรื่องใดก็ได้ ซึ่งข้อมูลจะประกอบด้วยข้อความ รูป และลิงค์ เป็น
ต้น
 blogging การเพิ่มบทความให้กับ blog ที่มีอยู่ เรียกว่า
 posts หรือ entries คือ บทความใน blog
 blogger บุคคลที่โพสต์ลงใน entries
BLOG
 สมุดบันทึกของแต่ละบุคคล
 เว็บไซต์เพื่อเขียนบันทึกเล่าเรื่องราว
 เรียงไล่ลาดับย้อนหลังตามวันเวลาการเขียนไป
เรื่อยๆ
 มักจะมีการลิงค์ในเนื้อหา หรือ รวมลิงค์
 แยกแยะเป็นกลุ่มๆ ตามหัวข้อหลักที่ผู้เขียนสร้าง
ขึ้น
 มีการเสนอความคิดเห็นต่างๆ เพิ่มเติม
จุดเด่นของ BLOG
1) Blog เป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่าง
ผู้เขียน Blog และผู้อ่านที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน
2) มีความสะดวกและง่ายในการเขียน Blog ทาให้สามารถเผยแพร่ความคิดเห็น
ของผู้เขียน Blog ได้ง่ายขึ้น
3) Comment จากผู้ที่สนใจเรื่องเดียวกันบางครั้งทาให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ
BLOG แตกต่างจากเว็บอื่นๆ อย่างไร
 การใส่ข้อมูลใหม่ทาได้ง่าย
 มี template อัตโนมัติช่วยจัดการ
 มีการกรองเนื้อหาแยกตามวัน ประเภทผู้แต่งหรืออื่นๆ
 ผู้ดูแลจัดการ Blog สามารถเชิญ หรือ เพิ่มผู้แต่งคนอื่น โดยจัดการเรื่องการ
อนุญาตและการเข้าถึงข้อมูลได้โดยง่าย
 เจ้าของ Blogจะเป็นผู้สร้างหัวข้อสนทนาเท่านั้น
BLOG
Blogging และวิถีชีวิตของคน
 Blog ส่งผลกระทบต่อสังคมได้ เช่นบาง Blog นั้นลูกจ้างอาจจะก่อราคาญใจต่อ
นายจ้างและทาให้บางคนถูกไล่ออก
 คนใช้ Blog ในทางอื่นๆ เช่นส่งข้อความสู่สาธารณะ อาจจะมีปัญหาตามมาได้ คือ
การไม่เคารพทรัพย์สินทางปัญญา หรือการให้ข่าวที่ไม่น่าเชื่อถือได้
 บางครั้งการสร้างข่าวลือก็เอื้อประโยชน์ต่อสื่อสารมวลชนที่สนใจเรื่องนั้น ๆ ได้
 Blog เป็นการรวบรวมความคิดของมนุษย์ สามารถนามาใช้ช่วยกับปัญหาด้าน
จิตวิทยา , อาชญากรรม , ชนกลุ่มน้อย ฯลฯ
 Blog เป็นช่องทางเผยแพร่งานพิมพ์อย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่าง BLOG
ตัวอย่างหน้าจอการ POST ข้อความใน BLOG
COLLABORATION TOOLS: WIKIPEDIA
Wikpedia
 สามารถสร้างและแก้ไขหน้าเว็บเพจขึ้นมาใหม่ผ่านทางบราวเซอร์ โดยไม่ต้องสร้าง
เอกสาร html เหมือนแต่ก่อน
 Wiki เน้นการทาระบบสารานุกรม HOWTOs ที่รวมองค์ความรู้หลายๆ แขนงเข้าไว้
ด้วยกันโดยเฉพาะ
 มีเครื่องมือที่ใช้ทา Wiki หลายอย่าง เช่น Wikipedia เป็นต้น
 Wikipedia เป็นระบบสารานุกรม(Encyclopedia) สาธารณะ ที่ทุกคนสามารถใส่ข้อมูล
ลงไปได้ รองรับภาษามากกว่า 70 ภาษารวมทั้งภาษาไทย
 มีการประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์วิกิที่สาคัญยิ่งในการสร้างสารานุกรม ที่เปิดโอกาสให้ใครก็
ได้มาร่วมกันสร้างสารานุกรมที่ http://www.wikipedia.org
COLLABORATION TOOLS: WIKIPEDIA
 Wikpedia
 วิกิพีเดียในภาคภาษาไทยที่ http://th.wikipedia.org
 ในปัจจุบันวิกิพีเดียถือว่าเป็นแหล่งความรู้ที่สาคัญ
 ซอฟต์แวร์เพื่อสังคมที่ดีพึงคงคุณลักษณะของการเปิดพื้นที่ให้กับปัจเจกบุคคลในการสื่อ
ต่อสาธารณะโดยมีการควบคุมน้อยที่สุด
 เพื่อให้การประมวลสังคม เป็นไปอย่างอิสระปราศจากการครอบงาจากเจ้าของ
เทคโนโลยีให้มากที่สุด
 ดังนั้นการสร้างหรือพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อสังคมใดๆ พึงตระหนักถึงหลักการเคารพใน
สิทธิของปัจเจก (individual)ให้มากที่สุดเท่าที่จะทาได้
WIKIPEDIA
HTTP://TH.WIKIPEDIA.ORG
COLLABORATION TOOLS: WIKIPEDIA
 MediaWiki (http://www.mediawiki.org/)
http://www.mediawiki.org/
Wikipedia http://wikipedia.org/
WikiQuote http://wikiquote.org/
WikiBooks http://wikibooks.org/
 List of Wiki Engines http://c2.com/cgi/wiki?WikiEngines
COLLABORATION TOOLS: INTERNET FORUM
Internet Forum
 ทาหน้าที่คล้าย bulletin board และ newsgroup
 รวบรวมข้อมูลทั่วๆไป เช่น เทคโนโลยี เกมคอมพิวเตอร์ และการเมือง
 ผู้ใช้สามารถโพสต์หัวข้อลงไปในกระดานได้
 ผู้ใช้คนอื่นๆ สามารถเลือกดูหัวข้อหรือแม้กระทั่งโพสต์ ความคิดเห็นของตนเอง
ลงไปได้
FORUM เรื่อง COMPUTER และ INTERNET
COLLABORATION TOOLS:
 Collaborative Real-Time Editors: เป็นซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่อนุญาตให้
ผู้ใช้หลายคนสามารถแก้ไขข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์จากแหล่งต่างๆ
 Google Docs (Not OpenSource) http://docs.google.com/
 Gobby http://darcs.0x539.de/trac/obby/cgi-bin/trac.cgi
 OpenEffort http://www.openeffort.com/
 List of Real Time Editors http://en.wikipedia.org/wiki/Collaborative_real-time_editor
กรณีศึกษา GOTOKNOW.ORG (BLOG)
GOTOKNOW.ORG – BLOG เพื่อการจัดการความรู้
บริหาร BLOG ได้เองอย่างเว็บส่วนตัว
การนา BLOG ไปใช้เพื่อการจัดการความรู้
 เป็นสมุดบันทึกความรู้เชิงปฏิบัติ และ เรื่องราวแห่งความสาเร็จ
 เป็นสมุดบันทึกกิจกรรมที่จะทา และ AAR – After Action Review
 เป็นเครื่องมือสร้างความรู้รวบรวมความรู้เป็นหมวดหมู่
 เป็นการสร้างเครือข่ายชุมชนนักปฏิบัติ
 เป็นตู้เก็บเอกสาร รูปภาพ และ multimedia
 เป็นเครื่องมือเผยแพร่ความรู้
 เป็นเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
 เป็นเวทีพูดจาสนทนาทักทาย
ชุมชนบล็อก GOTOKNOW.ORG
Bloggers
Blog
communities
GoToKnow Knowledge Repository
ประวิทย์ จากตรัง วาสนา จากชัยภูมิ
A
B
C D
เครือข่ายของบล็อกเกอร์ใน GOTOKNOW.ORG
SOCIAL NETWORK AND KNOWLEDGE MANAGEMENT
ในขณะที่กลุ่มต่างๆ เหล่านี้คุยกันหรือทากิจกรรมร่วมกัน สิ่งหนึ่งที่สมาชิกในกลุ่มได้
ทาไปโดยปริยาย คือ การจัดการความรู้ในเรื่องที่สนใจร่วมกัน อย่างน้อยการได้คุยกันก็คือ
การได้แบ่งปันความรู้หรือการที่พวกเขาได้ทากิจกรรมร่วมกันก็มีโอกาสที่พวกเขาจะสร้าง
องค์ความรู้ใหม่ หรือนาองค์ความรู้ที่ได้รับแบ่งปันมาประยุกต์ใช้ในขณะทากิจกรรมร่วมกัน
และส่วนใหญ่ความรู้ที่ว่านี้เป็นความรู้ในภาคปฏิบัติ ไม่ใช่ความรู้ประเภทที่เป็นทฤษฎีที่
นามาจากหนังสือเรียน เรียกว่า ชุมชนนักปฏิบัติหรือ community of practice(COP)
ความต้องการทางธรรมชาติในการที่อยากจะจัดการความรู้ในเรื่องที่ตนสนใจและ
ถนัด อันที่จริงแล้วในบางองค์กรก็ได้มีการทา social networking system ขึ้นมาในองค์กร
เพื่อสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างบุคลากรในองค์กร และเป็นการที่ทาให้บุคลากรในองค์กร
ที่ทางานในเนื้องานคล้าย ๆ กันมาเป็นเพื่อนกันเพื่อจัดการความรู้ร่วมกัน
social networking system เป็นสิ่งที่ดีแน่นอนในแง่ของการจัดการความรู้ แต่
อาจจะทาให้กลายเป็นสิ่งแย่ได้ ถ้าเราใช้ social networking system ในการบริหารจัดการ
ความรู้ประเภทที่ไม่เป็นประโยชน์หรือไร้ซึ่งคุณธรรม หรือเป็นความรู้ประเภทที่ทาให้เกิด
การมอมเมา
Why Social Networks in KMS?
People
Technology Organization
Processes
KM
Knowledge Management involves people, technology, and processes in
Overlapping parts.
SOCIAL NETWORK AND KNOWLEDGE MANAGEMENT
Why are we studying Social
Networks ?
What ties Information Architecture,
Knowledge Management and
Social Network Analysis more
closely together is the reciprocal
relationship between people and
content.
Information
Architecture
Knowledge
Management
Systems
Social
Networks
SOCIAL NETWORK AND KNOWLEDGE MANAGEMENT
REFERENCES
• http://en.wikipedia.org/wiki/Social_networking_service
• http://social-networking-websites-review.toptenreviews.com/
• http://www.alexa.com/topsites
• Blog & Knowledge Management โดย ดร.จันทวรรณ น้อยวัน และ ดร.
ธวัชชัย ปิยะวัฒน์ คณะวิทยาการจัดการ ม.สงขลานครินทร์
• http://gotoknow.org/home

More Related Content

What's hot

02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้องTanyarad Chansawang
 
การขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม Social Movement
การขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม Social Movementการขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม Social Movement
การขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม Social MovementSakulsri Srisaracam
 
Social Media กับการทำข่าวสอบสวน
Social Media กับการทำข่าวสอบสวนSocial Media กับการทำข่าวสอบสวน
Social Media กับการทำข่าวสอบสวนSakulsri Srisaracam
 
บทที่2
บทที่2บทที่2
บทที่2Tangkwa Tom
 
ภาพรวมของการนำเอา Social network มาใช้ในหน่วยงานภาครัฐ
ภาพรวมของการนำเอา Social network มาใช้ในหน่วยงานภาครัฐภาพรวมของการนำเอา Social network มาใช้ในหน่วยงานภาครัฐ
ภาพรวมของการนำเอา Social network มาใช้ในหน่วยงานภาครัฐsiriporn pongvinyoo
 
Brand me up! สร้างตัวตนให้เด่นจนเป็นแบรนด์
Brand me up! สร้างตัวตนให้เด่นจนเป็นแบรนด์Brand me up! สร้างตัวตนให้เด่นจนเป็นแบรนด์
Brand me up! สร้างตัวตนให้เด่นจนเป็นแบรนด์SadatSeidu1
 
Social Media (โซเชียลมีเดีย)
Social Media (โซเชียลมีเดีย)Social Media (โซเชียลมีเดีย)
Social Media (โซเชียลมีเดีย)Kanda Runapongsa Saikaew
 
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้องSirintip Kongchanta
 
รู้ทันอย่างเข้าใจ โซเชียลมีเดีย
รู้ทันอย่างเข้าใจ โซเชียลมีเดียรู้ทันอย่างเข้าใจ โซเชียลมีเดีย
รู้ทันอย่างเข้าใจ โซเชียลมีเดียPisan Chueachatchai
 

What's hot (14)

02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
 
Online community & journalism
Online community & journalismOnline community & journalism
Online community & journalism
 
การขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม Social Movement
การขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม Social Movementการขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม Social Movement
การขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม Social Movement
 
Mil chapter 1_2(2)
Mil chapter 1_2(2)Mil chapter 1_2(2)
Mil chapter 1_2(2)
 
WOM to Social Network
WOM to Social NetworkWOM to Social Network
WOM to Social Network
 
Aw016
Aw016Aw016
Aw016
 
Social Media กับการทำข่าวสอบสวน
Social Media กับการทำข่าวสอบสวนSocial Media กับการทำข่าวสอบสวน
Social Media กับการทำข่าวสอบสวน
 
บทที่2
บทที่2บทที่2
บทที่2
 
ภาพรวมของการนำเอา Social network มาใช้ในหน่วยงานภาครัฐ
ภาพรวมของการนำเอา Social network มาใช้ในหน่วยงานภาครัฐภาพรวมของการนำเอา Social network มาใช้ในหน่วยงานภาครัฐ
ภาพรวมของการนำเอา Social network มาใช้ในหน่วยงานภาครัฐ
 
Brand me up! สร้างตัวตนให้เด่นจนเป็นแบรนด์
Brand me up! สร้างตัวตนให้เด่นจนเป็นแบรนด์Brand me up! สร้างตัวตนให้เด่นจนเป็นแบรนด์
Brand me up! สร้างตัวตนให้เด่นจนเป็นแบรนด์
 
Social Media (โซเชียลมีเดีย)
Social Media (โซเชียลมีเดีย)Social Media (โซเชียลมีเดีย)
Social Media (โซเชียลมีเดีย)
 
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
 
รู้ทันอย่างเข้าใจ โซเชียลมีเดีย
รู้ทันอย่างเข้าใจ โซเชียลมีเดียรู้ทันอย่างเข้าใจ โซเชียลมีเดีย
รู้ทันอย่างเข้าใจ โซเชียลมีเดีย
 
Reseachconvergence
ReseachconvergenceReseachconvergence
Reseachconvergence
 

Similar to Socialnetwork

เทคโนโลยีเว็บ 2.0
เทคโนโลยีเว็บ 2.0เทคโนโลยีเว็บ 2.0
เทคโนโลยีเว็บ 2.0dechathon
 
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้องบทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้องNew Tomza
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ ครูสมร
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ ครูสมรแบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ ครูสมร
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ ครูสมรM'suKanya MinHyuk
 
Social networking, direct media
Social networking, direct mediaSocial networking, direct media
Social networking, direct mediapawineeyooin
 
ความสำคัญและแน้วโน้มของของ Social media ในปัจจุบัน
ความสำคัญและแน้วโน้มของของ Social media ในปัจจุบันความสำคัญและแน้วโน้มของของ Social media ในปัจจุบัน
ความสำคัญและแน้วโน้มของของ Social media ในปัจจุบันKittipong Kansamroeng
 
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง1
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง102 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง1
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง1Thanggwa Taemin
 
งานนำเสนอ2
งานนำเสนอ2งานนำเสนอ2
งานนำเสนอ2nutdanai13
 
บทที่ 2เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2เอกสารที่เกี่ยวข้องบทที่ 2เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2เอกสารที่เกี่ยวข้องBeeiiz Gubee
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2She's Ning
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2teerarat55
 

Similar to Socialnetwork (20)

เทคโนโลยีเว็บ 2.0
เทคโนโลยีเว็บ 2.0เทคโนโลยีเว็บ 2.0
เทคโนโลยีเว็บ 2.0
 
2
22
2
 
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้องบทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ ครูสมร
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ ครูสมรแบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ ครูสมร
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ ครูสมร
 
Social networking, direct media
Social networking, direct mediaSocial networking, direct media
Social networking, direct media
 
ความสำคัญและแน้วโน้มของของ Social media ในปัจจุบัน
ความสำคัญและแน้วโน้มของของ Social media ในปัจจุบันความสำคัญและแน้วโน้มของของ Social media ในปัจจุบัน
ความสำคัญและแน้วโน้มของของ Social media ในปัจจุบัน
 
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้องบทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
 
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง1
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง102 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง1
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง1
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
0222
02220222
0222
 
งานนำเสนอ2
งานนำเสนอ2งานนำเสนอ2
งานนำเสนอ2
 
บทที่ 2เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2เอกสารที่เกี่ยวข้องบทที่ 2เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2เอกสารที่เกี่ยวข้อง
 
บทที่ 22
บทที่ 22บทที่ 22
บทที่ 22
 
บทที่ 22
บทที่ 22บทที่ 22
บทที่ 22
 
บทที่ 22
บทที่ 22บทที่ 22
บทที่ 22
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
Social Networking For Organizations
Social Networking For OrganizationsSocial Networking For Organizations
Social Networking For Organizations
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 

Socialnetwork

  • 3. เนื้อหา  Introduction  Social Network คืออะไร  ความเป็นมาของ Social Network  ประเภทของ Social Network  ข้อดี-ข้อเสีย ของ Social Network
  • 4. INTRODUCTION ยุคที่เทคโนโลยีการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต การนาเสนอข้อมูลข่าวสารในรูปแบบของ เว็บไซต์มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้อ่านสามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างกว้างขวางนาไปสู่การเรียนรู้ที่ ไร้ขีดจากัด ทาให้ทุกคนทุกสังคมต้องมีการปรับตัว และพัฒนาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงใน โลกของการสื่อสาร ในอดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบันการนาเสนอข้อมูลต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์บาง เว็บไซต์นั้น มักจะเป็นการนาเสนอจากผู้ดูแลเว็บไซต์ เพียงด้านเดียว (one-way communication) และไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่เข้าใช้เว็บไซต์แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆ ได้ ซึ่งเรียกว่ายุคเว็บ 1.0(Web 1.0) แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคที่ 2 ของเทคโนโลยีของ WWW หรือ Web 2.0 เป็นยุคที่ทาให้อินเทอร์เน็ตมีศักยภาพในการใช้งานมากขึ้น เน้นให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมใน การสร้างสรรค์ข่าวสารลงบนเว็บไซต์ร่วมกันและสามารถโต้ตอบกับข้อมูลที่อยู่บนเว็ปไซต์ได้ ผู้ใช้สามารถสร้างเนื้อหาแลกเปลี่ยน และกระจายข้อมูลข่าวสารเพื่อแบ่งปันถึงกันได้ทั้งใน ระดับบุคคล กลุ่ม และองค์กร เรียกว่า การสื่อสารสองทาง(Two-way Communication) Web 2.0 ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้ในกลุ่มต่างๆ จนเกิดเป็นเครือข่าย ทางสังคม (Social Network) บนโลกออนไลน์ที่สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด กลายเป็นสังคมเสมือนจริง(Virtual Communities)
  • 5. SOCIAL NETWORK คืออะไร  Social network คือ สังคมออนไลน์ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต เขียนสร้างและอธิบายถึงตัวตนความสนใจและถึงกิจกรรมที่ได้ทา มีการ เชื่อมโยงกับความสนใจในกิจกรรมของผู้อื่น  Why Social Network เนื่องจากสภาพสังคมที่คนเจอกันน้อยลงทุกที โดยเฉพาะในประเทศที่อัตราการใช้ อินเทอร์เน็ตอยู่ในระดับที่สูง ทาให้มนุษย์ต้องหาทางคิดค้นวิธีที่คนเราจะสามารถสร้าง ปฏิสัมพันธ์ หรือสร้างความสัมพันธ์กันทางสังคมผ่านทางอินเทอร์เน็ต สิ่งนี้มาจากพื้นฐาน ความคิดที่ว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราอยู่บนโลกแห่งนี้ด้วยการที่เราต้องพูดคุยและโต้ตอบ กับใครคนอื่น แต่ในเมื่อชีวิตของมนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ถูกบังคับให้เจอกันน้อยลง ถูกบังคับ ให้ทาทุกกิจกรรมหลายๆ อย่างผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ มนุษย์ก็เลยสร้างแหล่งที่ให้ผู้คน พบปะผ่านทางโลกอินเทอร์เน็ต เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในเรื่องนี้ และนี่คือสิ่งที่มองว่าเป็นที่มาของบรรดา social networking system(SNS) ทั้งหลาย
  • 7.
  • 8. ความเป็นมาของ SOCIAL NETWORK  1995 เป็นจุดเริ่มต้นจากเว็บไซต์ Classmates.com  1997 เว็บไซต์ SixDegrees.com ทั้งสองเป็นเว็บไซต์ที่จากัดการใช้งานเฉพาะนักเรียนที่เรียนในโรงเรียน เดียวกันเพื่อสร้างประวัติ ข้อมูลติดต่อสื่อสาร ส่งข้อความ และแลกเปลี่ยน ข้อมูลที่สนใจร่วมกันระหว่างเพื่อนในกลุ่มเท่านั้น  1999 เว็บไซต์ Epinions.com เกิดขึ้นจากการพัฒนาของ Jonathan Bishop ได้เพิ่มในส่วนของการที่ผู้ใช้สามารถควบคุมเนื้อหาและติดต่อถึงกันได้ไม่ เพียงแต่เพื่อนในกลุ่มเท่านั้น ทั้งหมดนับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ Social Networking ทั้งหลายที่ก่อกาเนิด ต่อมาในยุคปัจจุบัน เช่น MySpace, Hi5, Facebook, Twitter เป็นต้น
  • 9. ประเภทของ SOCIAL NETWORK Identify Network Creative Network Interested Network Gaming/Virtual Reality Collaboration Network
  • 10. ประเภทของ SOCIAL NETWORK 1) การเผยแพร่ตัวตน Identity Network สาหรับนาเสนอตัวตน และเผยแพร่เรื่องราวของตนเองผ่านทาง อินเทอร์เน็ต เช่น สร้างอัลบัมรูปของตัวเอง สร้างกลุ่มเพื่อน และสร้างเครือข่าย ขึ้นมาได้ ได้แก่ hi5 facebook myspace twitter เป็นต้น
  • 11. ประเภทของ SOCIAL NETWORK 2) การเผยแพร่ผลงาน Creative Network สามารถนาเสนอผลงานของตัวเองได้ในรูปแบบของวีดีโอ ภาพ หรือเสียงเพลง เช่น Youtube Multiply Flickr
  • 12. ประเภทของ SOCIAL NETWORK 3. ความสนใจตรงกัน Interested Network สาหรับกลุ่มคนที่สนใจอะไร เหมือนๆกัน เช่น  del.icio.us เป็น Online Bookmarking หรือ Social Bookmarking จากแนวคิดที่ว่า แทนที่ จะ Bookmark เว็บที่เราชอบเก็บไว้ในเครื่องของเราคนเดียว ก็ทา Bookmark เก็บไว้บน เว็บไซต์แทนเพื่อจะได้แบ่งให้คนอื่นดูได้ด้วย และเราก็จะได้รู้ด้วยว่าเว็บไซต์ใดที่ได้รับความ นิยมมาก โดยดูได้จากจานวนตัวเลขที่เว็บไซต์นั้นถูก Bookmark เอาไว้จากสมาชิกคนอื่นๆ  Digg มีลักษณะคล้ายๆกัน แต่จะมีให้ Vote แต่ละเว็บที่ถูกยกมานาเสนอ และมีการ เสนอแนะในแต่ละเรื่องนั้นได้ด้วย  Zickr ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยคนไทย เป็นเว็บลักษณะเดียวกับ Digg แต่เป็นภาษาไทย บริการ เพื่อคนไทย
  • 13. ประเภทของ SOCIAL NETWORK 4. เพื่อร่วมกันทางาน Collaboration Network เป็นการร่วมกันพัฒนา ซอฟต์แวร์หรือส่วนต่างๆ ของซอฟต์แวร์  Wiki Pedia เเป็นสารานุกรมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่รวบรวมความรู้ ข่าวสาร และเหตุการณ์ ต่างๆ ไว้มากมาย  ปัจจุบันเราสามารถใช้ Google Maps สร้างแผนที่ของตัวเอง หรือจะแบ่งปันแผนที่ให้คนอื่น ได้ใช้ด้วย จึงทาให้มีสถานที่สาคัญ หรือสถานที่ต่างๆ ถูกปักหมุดเอาไว้ พร้อมกับข้อมูลของ สถานที่นั้นๆ ไว้แสดงผลจากการค้นหา
  • 14. ประเภทของ SOCIAL NETWORK 5. โลกเสมือน Gaming/Virtual Reality ตัวอย่างของโลกเสมือนน เช่น เกมส์ออนไลน์นั่นเอง SecondLife เป็นโลก เสมือนจริง สามารถสร้างตัวละครโดยสมมุติให้เป็นตัวเราเองขึ้นมาได้ ใช้ ชีวิตอยู่ในเกมส์ อยู่ในชุมชนหรือสังคมเสมือน(Virtual Community) สามารถ ซื้อขายที่ดิน และหารายได้จากการทากิจกรรมต่างๆ ได้
  • 15. หลักการพื้นฐานของการก่อกาเนิด SOCIAL NETWORK 1) Anticipated Reciprocity แรงจูงใจมาจากการที่คนๆ นั้นต้องการจะ ได้รับข้อมูล ความรู้กลับคืน 2) Increased Recognition ความต้องการมีชื่อเสียง และเป็นที่จดจาของ สังคม 3) Sense of efficacy ความรู้สึกภาคภูมิใจของคนที่ร่วมแสดงความเห็น (contribute) แล้วเกิด Impact บางประการ 4) Sense of Community การมีอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างร่วมกัน เช่น แสดงพลังทางการเมือง หรือ การรวมตัวกันเพื่อประโยชน์สาธารณะ
  • 16. พลังของเครือข่ายสังคม (POWER OF SOCIAL NETWORK) อิทธิพลของ Social Network มีทั้งด้านบวกและด้านลบอย่างมากมาย และมีการ เรียนรู้พฤติกรรมของผู้รับสารได้เป็นอย่างดี  การใช้สื่อใหม่(new media) ให้เกิดประโยชน์และมีการเรียนรู้พฤติกรรมของผู้รับสารได้ สร้างปรากฏการณ์ให้ “บารัค โอบามา” ได้เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของ สหรัฐอเมริกา  แนวโน้มของ Social network ที่เริ่มมีผลกระทบต่อสังคมอย่างชัดเจน คือ การพัฒนา ระบบเว็ปไซต์ของสานักข่าวต่างๆให้เป็นพื้นที่สาธารณะมากขึ้น ขณะเดียวกันยัง สามารถส่งข้อมูลข่าวสารไปยังสาธารณชน(Public) หรือชุมชน (Community) ได้รับรู้ ร่วมกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันอีกด้วย เป็นการเปลี่ยนสภาพจากคนอ่าน ข่าว ฟังข่าว ดูข่าว เป็นนักข่าว นักวิเคราะห์ และนักวิจารณ์ โดยปรากฏการณ์ลักษณะนี้ กาลังกลายเป็นแนวโน้มใหม่ของแวดวงสื่อสารมวลชนทั่วโลก
  • 17. พลังของเครือข่ายสังคม (POWER OF SOCIAL NETWORK)  การสื่อสารผ่านทางเทคโนโลยี VDO Link การสื่อสารผ่านระบบ Broadband Internet การรายงานเหตุการณ์และการกระจายข่าวสารที่เกิดขึ้นในเว็ปไซต์สังคมเครือข่าย (Social network) อย่างเช่น YouTube และ Blog ต่างๆอย่างทันที่ทันใดจากประชาชน ผู้เห็นเหตุการณ์ที่บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึงการสื่อสารใน กลุ่มประชาชนที่ใช้อินเทอร์เน็ตในเรื่องที่เกี่ยวข้องผ่านสังคมเครือข่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Hi5 หรือ IM (Instant Messaging) เป็นต้น  เป็นเวทีให้ที่เปิดโอกาสให้คนทั่วโลก และนักการตลาดได้ใช้เป็นแหล่งแพร่คลิปวีดิโอ ไปสู่คนทั่วโลก ทาให้เราได้พบเห็น เหตุการณ์แปลกใหม่หรือเรื่องมหัศจรรย์ต่างๆ จาก คลิปทั่วทุกมุมโลก
  • 18. WORLD TOP 10 SOCIAL NETWORK WEBSITE 1. facebook.com 2. youtube.com 3. Wikipedia.org 4. myspace.com 5. twitter.com 6. flickr.com 7. linkedln.com 8. orkut.com.br 9. hi5.com 10. livejournal.com
  • 19. THAILAND TOP 5 SOCIAL NETWORK WEBSITE 1. hi5 2. facebook.com 3. YouTube.com 3. Wikipedia.org 4. Multiply 5. Twitter
  • 20. TOP HIT SOCIAL NETWORK WEBSITE AROUND ASIA อันดับ 1 อันดับ 2 Thailand hi5 facebook India facebook Orkut.co.in Singapore facebook livejournal China QQ.com sina.com.cn South Korea never.com daum.net Japan Yahoo blog fc2.com Malaysia facebook blogger.com
  • 21. ข้อดีของ SOCIAL NETWORK (BENEFITS OF ON-LINE SOCIAL NETWORKS)  สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในสิ่งที่สนใจร่วมกันได้  เป็นคลังข้อมูลความรู้ขนาดย่อมเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความ คิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ หรือตั้งคาถามในเรื่องต่างๆ เพื่อให้บุคคลอื่นที่ สนใจหรือมีคาตอบได้ช่วยกันตอบ  ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น สะดวกและรวดเร็ว  เป็นสื่อในการนาเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วีดิโอ ต่างๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้ามารับชมและแสดงความคิดเห็น  ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือบริการลูกค้าสาหรับบริษัท และองค์กรต่างๆ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า  ช่วยสร้างผลงานและรายได้ให้แก่ผู้ใช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆ ขึ้น
  • 22.  Keeping in touch with old friends  Fosters group interaction  Transcends geographic boundaries  Alumni relations  Virtual space  Sense of belonging  Finding new friends  Aids in transition  Personal exploration  Group exploration  Social presence ข้อดีของ SOCIAL NETWORK (BENEFITS OF ON-LINE SOCIAL NETWORKS)
  • 23. ข้อเสียของ SOCIAL NETWORK  เว็บไซต์ให้บริการบางแห่งอาจจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป หากผู้ใช้บริการไม่ ระมัดระวังในการกรอกข้อมูล อาจถูกผู้ไม่หวังดีนามาใช้ในทางเสียหาย หรือละเมิดสิทธิส่วน บุคคลได้  Social Network เป็นสังคมออนไลน์ที่กว้าง หากผู้ใช้รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดวิจารณญาณ อาจโดนหลอกลวงผ่านอินเทอร์เน็ต หรือการนัดเจอกันเพื่อจุดประสงค์ร้าย ตามที่เป็นข่าว ตามหน้าหนังสือพิมพ์  เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้าง เพราะ Social Network Service เป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงาน รูปภาพต่างๆ ของเราให้บุคคลอื่นได้ดูและแสดงความ คิดเห็น  ข้อมูลที่ต้องกรอกเพื่อสมัครสมาชิกและแสดงบนเว็บไซต์ในรูปแบบ Social Network ยากแก่ การตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ ดังนั้นอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่กาหนดอายุการสมัคร สมาชิก หรือการถูกหลอกโดยบุคคลที่ไม่มีตัวตนได้
  • 24. DANGERS OF POSTING INFORMATION ON SOCIAL NETWORKS  Data visibility  Self-portrayal  Unaffiliated parties  Time management  Candid pictures  Questionable content  School conduct implications  Time management issues  IP tracking  Identity Theft  Message and ad links  Virus or spy ware threats  Information misuse  Information sold to third party  Legal implications
  • 27. ข้อมูล สารสนเทศ ความรู้ ปัญญา ข้อมูล(Data) คือข้อเท็จจริงที่เราจัดเก็บเป็นตัวเลข (หรือตัวอักษร) จาก สถานการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สารสนเทศ(Information๗ คือ ข้อมูลที่นามาประมวลเป็นภาพรวม ให้เห็นสภาพของสถานการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความรู้(Knowledge) คือ ความเข้าใจ หรือความตระหนักเกี่ยวกับ สถานการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ปัญญา(Wisdom) คือ ความเข้าใจลึกไปถึงสาเหตุและผลกระทบ
  • 29. ความรู้ (KNOWLEDGE) ความรู้(Knowledge) แตกต่างไปจาก สารสนเทศ และข้อมูล  ความรู้ หมายถึง แนวคิด ความเข้าใจ และบทเรียนที่เราได้รับจากการผ่าน เหตุการณ์และประสบการณ์ต่างๆ มาเป็นเวลาเนิ่นนาน  ความรู้เป็นเรื่องส่วนตัวเฉพาะตน  ความรู้สามารถถ่ายทอดกันได้
  • 30. การจัดการความรู้ (KNOWLEDGE MANAGEMENT-KM) การจัดการความรู้ คือ การจัดการการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยมี ความคิดพื้นฐานอยู่ว่า ช่วยกันคิด ช่วยกันทา แลกเปลี่ยนสิ่งที่คิด แลกเปลี่ยนสิ่งที่ทา ในที่สุดแล้วประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการ ทางานจะสูงสุด ดังนั้นประเด็นสาคัญของ KM คือ “แลกเปลี่ยน เรียนรู้” พวกเราทุกคนจัดการความรู้เป็นประจาอยู่แล้ว แต่การจัดการของเราไม่เป็น ระบบ ความรู้ของเราจึงไม่งอกเงย และเรายังสูญเสียความรู้ของเราออกไป ตลอดเวลา การจัดการความรู้ของหน่วยงานจะช่วยให้บุคลากรสร้างแลกเปลี่ยน และ นาความรู้ไปใช้งานได้ดีขึ้น
  • 31. ลักษณะของความรู้ Tacit knowledge ความรู้ส่วนตัวที่ทรงจาอยู่ในสมอง มีลักษณะ ผูกพันกับบริบทซึ่งยากที่จะเขียนเป็นสูตร บันทึก หรือ อธิบาย มัก เกิดจากการปฏิบัติแบบลองผิดลองถูก Explicit knowledge ความรู้ซึ่งสามารถถ่ายทอดเป็นภาษาหรือ คาพูด นาไปจัดทาเอกสาร เก็บลงฐานข้อมูล จัดลงเว็บ หรือส่งทาง อีเมล์ Implicit knowledge ความรู้ภายในองค์กรที่อาจไม่ปรากฏชัดเจน เช่น ความรู้จากโครงสร้าง กระบวนการปฏิบัติงาน กฎระเบียบ ข้อบังคับ
  • 32. สื่อสาหรับจัดเก็บความรู้  หนังสือ ตารา วารสาร รายงาน สาหรับจัดเก็บข้อความ ต่างๆ ที่เป็นความรู้  ภาพถ่าย พิมพ์เขียว ไดอะแกรม  ฟิล์มและเทปสาหรับเก็บภาพเคลื่อนไหว ภาพโทรทัศน์ ภาพยนตร์  เทปเสียง สาหรับเก็บเสียง และการสนทนา
  • 33. แหล่งความรู้  คาแนะนา และ วิธีการปฏิบัติที่ดีที่สุด  ตารา และเอกสารปฏิบัติงาน  รายงานการค้นคว้า และผลงานวิจัย  การดูงาน  การประชุมและปรึกษาหารือ  หนังสือ อินเทอร์เน็ต โทรทัศน์ วิทยุ  ประสบการณ์ของบุคลากร  การทางานร่วมกันของบุคลากร  การปรึกษากันระหว่างบุคลากรกับ ผู้รับบริการ  ความรู้ที่แฝงอยู่ในโครงสร้างภายใน  ความรู้ที่แฝงอยู่ในโครงสร้างภายนอก  ความเชื่อ  คุณค่า  เกณฑ์ กลาง  การพูดคุยสนทนา  การระดมสมอง  การสร้างสิ่งประดิษฐ์และอุปกรณ์
  • 34. EXPLICIT KNOWLEDGE MANAGEMENT TOOL  Content Management System - CMS  BLOG  Collaboration Tool  Wiki  Internet Forum
  • 35. CONTENT MANAGEMENT SYSTEM - CMS  CMS (Content Management System) ระบบจัดการบริหารข้อมูลเว็บไซต์ เป็นเครื่องมือ ที่ใช้ในการบริหารข้อมูลภายในเว็บไซต์ซึ่งสามารถสนับสนุนการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงข้อมูล ต่างๆภายในเว็บไซต์ โดยทาการควบคุมเนื้อหา รูปแบบ และกระบวนการนาเสนอเนื้อหา  Drupal http://drupal.org/  http://demo.opensourcecms.com/e107/e107_admin/admin.php  Alfresco (http://dev.alfresco.com) open Source ECM (Enterprise Content Management)  Knowledgetree (http://www.ktdms.com/): ระบบการจัดการเอกสาร(document management)  Exponent http://www.exponentcms.org/  Typo3 http://typo3.com  Joomla http://www.joomla.org/  Nucleus http://www.nucleuscms.org/  List of CMS http://www.opensourcescripts.com/dir/Content_management_,040CMS,041
  • 36. BLOG  Blog มาจากคาเต็มว่า WeBlog บางครั้งอ่านว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log  Blog คือการบันทึกบทความของตนเอง(Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาเป็นเรื่องใดก็ได้ ซึ่งข้อมูลจะประกอบด้วยข้อความ รูป และลิงค์ เป็น ต้น  blogging การเพิ่มบทความให้กับ blog ที่มีอยู่ เรียกว่า  posts หรือ entries คือ บทความใน blog  blogger บุคคลที่โพสต์ลงใน entries
  • 37. BLOG  สมุดบันทึกของแต่ละบุคคล  เว็บไซต์เพื่อเขียนบันทึกเล่าเรื่องราว  เรียงไล่ลาดับย้อนหลังตามวันเวลาการเขียนไป เรื่อยๆ  มักจะมีการลิงค์ในเนื้อหา หรือ รวมลิงค์  แยกแยะเป็นกลุ่มๆ ตามหัวข้อหลักที่ผู้เขียนสร้าง ขึ้น  มีการเสนอความคิดเห็นต่างๆ เพิ่มเติม
  • 38. จุดเด่นของ BLOG 1) Blog เป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่าง ผู้เขียน Blog และผู้อ่านที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน 2) มีความสะดวกและง่ายในการเขียน Blog ทาให้สามารถเผยแพร่ความคิดเห็น ของผู้เขียน Blog ได้ง่ายขึ้น 3) Comment จากผู้ที่สนใจเรื่องเดียวกันบางครั้งทาให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ
  • 39. BLOG แตกต่างจากเว็บอื่นๆ อย่างไร  การใส่ข้อมูลใหม่ทาได้ง่าย  มี template อัตโนมัติช่วยจัดการ  มีการกรองเนื้อหาแยกตามวัน ประเภทผู้แต่งหรืออื่นๆ  ผู้ดูแลจัดการ Blog สามารถเชิญ หรือ เพิ่มผู้แต่งคนอื่น โดยจัดการเรื่องการ อนุญาตและการเข้าถึงข้อมูลได้โดยง่าย  เจ้าของ Blogจะเป็นผู้สร้างหัวข้อสนทนาเท่านั้น
  • 40. BLOG Blogging และวิถีชีวิตของคน  Blog ส่งผลกระทบต่อสังคมได้ เช่นบาง Blog นั้นลูกจ้างอาจจะก่อราคาญใจต่อ นายจ้างและทาให้บางคนถูกไล่ออก  คนใช้ Blog ในทางอื่นๆ เช่นส่งข้อความสู่สาธารณะ อาจจะมีปัญหาตามมาได้ คือ การไม่เคารพทรัพย์สินทางปัญญา หรือการให้ข่าวที่ไม่น่าเชื่อถือได้  บางครั้งการสร้างข่าวลือก็เอื้อประโยชน์ต่อสื่อสารมวลชนที่สนใจเรื่องนั้น ๆ ได้  Blog เป็นการรวบรวมความคิดของมนุษย์ สามารถนามาใช้ช่วยกับปัญหาด้าน จิตวิทยา , อาชญากรรม , ชนกลุ่มน้อย ฯลฯ  Blog เป็นช่องทางเผยแพร่งานพิมพ์อย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ
  • 43. COLLABORATION TOOLS: WIKIPEDIA Wikpedia  สามารถสร้างและแก้ไขหน้าเว็บเพจขึ้นมาใหม่ผ่านทางบราวเซอร์ โดยไม่ต้องสร้าง เอกสาร html เหมือนแต่ก่อน  Wiki เน้นการทาระบบสารานุกรม HOWTOs ที่รวมองค์ความรู้หลายๆ แขนงเข้าไว้ ด้วยกันโดยเฉพาะ  มีเครื่องมือที่ใช้ทา Wiki หลายอย่าง เช่น Wikipedia เป็นต้น  Wikipedia เป็นระบบสารานุกรม(Encyclopedia) สาธารณะ ที่ทุกคนสามารถใส่ข้อมูล ลงไปได้ รองรับภาษามากกว่า 70 ภาษารวมทั้งภาษาไทย  มีการประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์วิกิที่สาคัญยิ่งในการสร้างสารานุกรม ที่เปิดโอกาสให้ใครก็ ได้มาร่วมกันสร้างสารานุกรมที่ http://www.wikipedia.org
  • 44. COLLABORATION TOOLS: WIKIPEDIA  Wikpedia  วิกิพีเดียในภาคภาษาไทยที่ http://th.wikipedia.org  ในปัจจุบันวิกิพีเดียถือว่าเป็นแหล่งความรู้ที่สาคัญ  ซอฟต์แวร์เพื่อสังคมที่ดีพึงคงคุณลักษณะของการเปิดพื้นที่ให้กับปัจเจกบุคคลในการสื่อ ต่อสาธารณะโดยมีการควบคุมน้อยที่สุด  เพื่อให้การประมวลสังคม เป็นไปอย่างอิสระปราศจากการครอบงาจากเจ้าของ เทคโนโลยีให้มากที่สุด  ดังนั้นการสร้างหรือพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อสังคมใดๆ พึงตระหนักถึงหลักการเคารพใน สิทธิของปัจเจก (individual)ให้มากที่สุดเท่าที่จะทาได้
  • 46. COLLABORATION TOOLS: WIKIPEDIA  MediaWiki (http://www.mediawiki.org/) http://www.mediawiki.org/ Wikipedia http://wikipedia.org/ WikiQuote http://wikiquote.org/ WikiBooks http://wikibooks.org/  List of Wiki Engines http://c2.com/cgi/wiki?WikiEngines
  • 47. COLLABORATION TOOLS: INTERNET FORUM Internet Forum  ทาหน้าที่คล้าย bulletin board และ newsgroup  รวบรวมข้อมูลทั่วๆไป เช่น เทคโนโลยี เกมคอมพิวเตอร์ และการเมือง  ผู้ใช้สามารถโพสต์หัวข้อลงไปในกระดานได้  ผู้ใช้คนอื่นๆ สามารถเลือกดูหัวข้อหรือแม้กระทั่งโพสต์ ความคิดเห็นของตนเอง ลงไปได้
  • 48. FORUM เรื่อง COMPUTER และ INTERNET
  • 49. COLLABORATION TOOLS:  Collaborative Real-Time Editors: เป็นซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่อนุญาตให้ ผู้ใช้หลายคนสามารถแก้ไขข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์จากแหล่งต่างๆ  Google Docs (Not OpenSource) http://docs.google.com/  Gobby http://darcs.0x539.de/trac/obby/cgi-bin/trac.cgi  OpenEffort http://www.openeffort.com/  List of Real Time Editors http://en.wikipedia.org/wiki/Collaborative_real-time_editor
  • 51. GOTOKNOW.ORG – BLOG เพื่อการจัดการความรู้
  • 53. การนา BLOG ไปใช้เพื่อการจัดการความรู้  เป็นสมุดบันทึกความรู้เชิงปฏิบัติ และ เรื่องราวแห่งความสาเร็จ  เป็นสมุดบันทึกกิจกรรมที่จะทา และ AAR – After Action Review  เป็นเครื่องมือสร้างความรู้รวบรวมความรู้เป็นหมวดหมู่  เป็นการสร้างเครือข่ายชุมชนนักปฏิบัติ  เป็นตู้เก็บเอกสาร รูปภาพ และ multimedia  เป็นเครื่องมือเผยแพร่ความรู้  เป็นเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้  เป็นเวทีพูดจาสนทนาทักทาย
  • 54. ชุมชนบล็อก GOTOKNOW.ORG Bloggers Blog communities GoToKnow Knowledge Repository ประวิทย์ จากตรัง วาสนา จากชัยภูมิ A B C D
  • 56. SOCIAL NETWORK AND KNOWLEDGE MANAGEMENT ในขณะที่กลุ่มต่างๆ เหล่านี้คุยกันหรือทากิจกรรมร่วมกัน สิ่งหนึ่งที่สมาชิกในกลุ่มได้ ทาไปโดยปริยาย คือ การจัดการความรู้ในเรื่องที่สนใจร่วมกัน อย่างน้อยการได้คุยกันก็คือ การได้แบ่งปันความรู้หรือการที่พวกเขาได้ทากิจกรรมร่วมกันก็มีโอกาสที่พวกเขาจะสร้าง องค์ความรู้ใหม่ หรือนาองค์ความรู้ที่ได้รับแบ่งปันมาประยุกต์ใช้ในขณะทากิจกรรมร่วมกัน และส่วนใหญ่ความรู้ที่ว่านี้เป็นความรู้ในภาคปฏิบัติ ไม่ใช่ความรู้ประเภทที่เป็นทฤษฎีที่ นามาจากหนังสือเรียน เรียกว่า ชุมชนนักปฏิบัติหรือ community of practice(COP) ความต้องการทางธรรมชาติในการที่อยากจะจัดการความรู้ในเรื่องที่ตนสนใจและ ถนัด อันที่จริงแล้วในบางองค์กรก็ได้มีการทา social networking system ขึ้นมาในองค์กร เพื่อสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างบุคลากรในองค์กร และเป็นการที่ทาให้บุคลากรในองค์กร ที่ทางานในเนื้องานคล้าย ๆ กันมาเป็นเพื่อนกันเพื่อจัดการความรู้ร่วมกัน social networking system เป็นสิ่งที่ดีแน่นอนในแง่ของการจัดการความรู้ แต่ อาจจะทาให้กลายเป็นสิ่งแย่ได้ ถ้าเราใช้ social networking system ในการบริหารจัดการ ความรู้ประเภทที่ไม่เป็นประโยชน์หรือไร้ซึ่งคุณธรรม หรือเป็นความรู้ประเภทที่ทาให้เกิด การมอมเมา
  • 57. Why Social Networks in KMS? People Technology Organization Processes KM Knowledge Management involves people, technology, and processes in Overlapping parts. SOCIAL NETWORK AND KNOWLEDGE MANAGEMENT
  • 58. Why are we studying Social Networks ? What ties Information Architecture, Knowledge Management and Social Network Analysis more closely together is the reciprocal relationship between people and content. Information Architecture Knowledge Management Systems Social Networks SOCIAL NETWORK AND KNOWLEDGE MANAGEMENT
  • 59. REFERENCES • http://en.wikipedia.org/wiki/Social_networking_service • http://social-networking-websites-review.toptenreviews.com/ • http://www.alexa.com/topsites • Blog & Knowledge Management โดย ดร.จันทวรรณ น้อยวัน และ ดร. ธวัชชัย ปิยะวัฒน์ คณะวิทยาการจัดการ ม.สงขลานครินทร์ • http://gotoknow.org/home