SlideShare a Scribd company logo
–
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33202 ชื่อวิชา
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปี การศึกษา 2559
ชื่อโครงงาน แผนที่ความคิดสร้างจินตนาการ
ชื่อผู้ทาโครงงาน
1. นางสาว รามาวดี ปัญญา เลขที่ 12 ชั้น ม.6 ห้อง 4
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปี การศึกษา 2559
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
1.นางสาว รามาวดี ปัญญา เลขที่ 12 ชั้น ม.6 ห้อง 4
2.นางสาว ทอภัค ชื่นวิไลทรัพย์ เลขที่ 17 ขั้น ม.6 ห้อง 4
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
แผนที่ความคิดสร้างจินตนาการ
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Mina Map and imaginations
ประเภทโครงงาน พัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาว รามาวดี ปัญญา และ นางสาว ทอภัค
ชื่นวิไลทรัพย์
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
ก าร ศึ ก ษ า ใน ป ร ะเท ศ ไ ท ย ปัจ จุ บัน ยังเน้ น ที่ ก าร ท่ อ ง จ า
และจานวนปริมาณของเนื้อหาในการเรียน ซึ่งเป็ นปัจจัยหนึ่งที่ทาให้นักเรียน
นั ก ศึ ก ษ า ต้ อ ง อ่ า น ต า ร า แ ล ะ เรี ย น อ ย่ า ง เ ค ร่ ง เค รี ย ด
และในฐานะที่ผู้จัดทาโครงงานยังเป็ นเด็กนักเรียนที่ต้องเรียนในระบบการศึก
ษ า เ ช่ น นี้
จึงเกิดแนวคิดที่ว่าเราจะสามารถจดจาเนื้อหาการเรียนโดยที่ตัวเราไม่เครียดแ
ต่กลับกลายเป็นคนที่สนุกกับการเรียนและได้พัฒนาทักษะสมองในการท่องจาไ
ด้ อ ย่ า ง ไ ร แ ล ะ ผู้ จัด ท า โ ค ร ง ง า น ก็ ไ ด้ ศึ ก ษ า แ ล ะ พ บ ว่ า
การเรียนโดยการใช้ความรู้เชื่อมโยงกับ Mind Map หรือแผนที่ความคิดนั้น
ส า ม า ร ถ ช่ ว ย ใ ห้ ก า ร เ รี ย น พั ฒ น า ไ ด้
เพราะแผนที่ความคิดจะฝึกให้สมองคิดวิเคราะห์ จัดองค์ความรู้เป็ นหมวดๆ
โด ยการใช้สีและภาพ ประกอบ ไม่เพี ยงแต่พัฒนาสมองและความจา
แต่ก ารเรีย น ข อ งเราก็จ ะไม่น่ าเบื่อ อีก ต่อไ ป ทั้งห ม ด ที่ กล่าว ม า
จึ ง เป็ น เห ตุ ผ ล ที่ ผู้ จัด ท า โ ค ร ง ง า น ตั ด สิ น ใ จ เลื อ ก หั ว ข้ อ นี้
เ พ ร า ะ ไ ม่ เ พี ย ง แ ต่ ผู้ จั ด ท า จ ะ ไ ด้ รั บ ค ว า ม รู้ เ ท่ า นั้ น
แ ต่ ผู้ จั ด ท า ยั ง ส า ม า ร ถ เผ ย แ พ ร่ ค ว า ม รู้ นี้ ต่ อ นั ก เ รี ย น
นักศึกษาคนอื่นให้ได้วิธีการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพแบบนี้อีกด้วยเช่นกัน
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1.เพื่อศึกษาหาวิธีการเรียนให้ได้ประโยชน์สูงสุด
2.เรียนรู้การใช้สมองอย่างถูกต้อง
3.สามารถนาความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต
เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
1.กลไกในการจดจาของสมอง
2.รู้จักแผนที่ความคิดและวิธีการใช้
3.ปัจจัยในการจดจาของสมอง
4.ระบบการเรียนที่เหมาะกับวัย
หลักการและทฤษฎี
Mind Map คืออะไร
Mind Map ห รื อ แ ผ น ที่ ค ว า ม คิ ด
เป็ นวิธีการบันทึกความคิดเพื่อให้เห็นภาพของความคิดที่หลากหลายมุมมอง
ที่กว้าง และที่ชัดเจน โดยยังไม่จัดระบบระเบียบความคิดใดๆ ทั้งสิ้น
เ ป็ น ก า ร เ ขี ย น ต า ม ค ว า ม คิ ด ที่ เ กิ ด ขึ้ น ข ณ ะ นั้ น
การเขีย นมี ลักษ ณ ะเห มือน ต้นไม้แต กกิ่งก้านสาข าออกไปเรื่อย ๆ
ทาให้สมองได้คิดได้ทางานตามธรรมชาติ และมีการจินตนาการกว้างไกล
แ ผ น ที่ ค ว า ม คิ ด
ยังเป็ นวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการบันทึกค วามคิดข องการอภิปรายกลุ่ม
ห รือการระด มค วามคิด โด ย ให้สมาชิกทุ กค นเสนอค วามคิด เห็ น
และวิทยากรจะทาการจดบันทึกด้วยคาสั้นๆ คาโตๆ ให้ทุกคนมองเห็น
พ ร้ อ ม ทั้ ง โ ย ง เ ข้ า ห า กิ่ ง ก้ า น ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั น
เพื่อรวบรวมความคิดที่หลากหลายของทุกคน ไว้ในแผ่นกระดาษแผ่นเดียว
ท า ใ ห้ ทุ ก ค น ไ ด้ เห็ น ภ า พ ค ว า ม คิ ด ข อ ง ผู้ อื่ น ไ ด้ ชั ด เจ น
และเกิดความคิดใหม่ต่อไปได้
วิธีการเขียน Mind Map และวิธีการพัฒนาสมองและความจา
Mind map คื อ ก าร ถ่าย ท อ ด ค ว าม คิ ด ห รื อ ข้ อ มู ล ต่ าง ๆ
ที่มีอยู่ในสมองลอกลงกระดาษ โดยการใช้ ภาพ สี เส้น และการโยงใย
แทนการจดย่อแบบเดิม คนที่คิดเรื่อง Mind map ขึ้นมาคือ 'โทนี่ บูซาน'
โทนี่เป็ นคนที่สนใจศึกษาถึงเรื่องการทางานของสมองมนุษย์ เมื่อ 30
ปี ก่ อ น นั ก วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ พ บ ว่ า ส ม อ ง ข อ ง ม นุ ษ ย์ มี 2 ซี ก
ซีกซ้ายจะเป็ นเรื่องราวเกี่ยวกับทฤษฎีต่าง ๆเหตุผล ตัวเลขตรรกะ ลาดับ
การวิเคราะห์ จังหวะ ส่วนซีกขวา คือเรื่อง จินตนาการ ภาพ มิติ ภาพรวม สี
แ ต่ ข บ ว น ก า ร ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ใ น ปั จ จุ บั น
ฝึกให้เราใช้สมองซีกซ้ายเพียงข้างเดียว คือ จาแต่ตัวหนังสือ อ่านแต่ตัวหนังสือ
เราจึงไม่ได้ใช้สมองทั้งสองส่วนอย่างเต็มที่
โ ท นี่ สั ง เ ก ต ว่ า ค น ที่ เ รี ย น เ ก่ ง ๆ
จ ะ มี วิ ธี ก า ร จ ด บั น ทึ ก ที่ ไ ม่ เ ห มื อ น ค น ทั่ ว ไ ป
คื อ แ ท น ที่ จ ะ เริ่ ม เ ขี ย น จ า ก มุ ม ซ้ า ย ก ร ะ ด า ษ เ ป็ น แ ถ ว ๆ
ไปจน จบ บรรทัด แล้วขึ้น บรรทัด ให ม่ แต่ค นเห ล่านี้ จะเลือกใช้ค า
ห รื อ ป ร ะ เ ด็ น ห ลั ก ๆ ห รื อ ภ า พ แ ท น ป ร ะ โ ย ค ย า ว ๆ
เขาเลยพัฒนาแนวความคิดขึ้นมา Mind map นี้ก็เป็ นที่นิยมไปทั่วโลก
มีคนใช้วิธีการนี้ทั่งในด้านการเรียนและการทางานเป็นล้าน ๆ คน
การใช้ Mind map ในประเทศไทย
ใน ต่าง ป ร ะเท ศ มี ห ล าย ๆ ป ร ะเท ศ ที่ น าเรื่ อ ง Mind map
มาใช้ในการเรียนหรือการทางานมานานแล้ว โดยเฉพาะในบริษัทใหญ่ ๆ
ทั่ ว โ ล ก
ส่วนในเอเชียเท่าที่ทราบข้าราชการตารวจในประเทศสิงคโปร์ก็ใช้เรื่องนี้มาช่ว
ยในการสืบคดี การเชื่อมโยงข้อมูลของคดีต่าง ๆ การสืบหาตัวคนร้าย
ส่ ว น ใ น ป ร ะ เท ศ ไ ท ย เรื่ อ ง Mind map เข้ า ม า ค่ อ น ข้ า ง ช้ า
แต่ปัจจุบันนี้ก็เริ่มแพร่หลายมากขึ้นในระดับธุรกิจทราบมาว่า บริษัท AMD
(Thailand) ก็นามาใช้ในการพัฒนาทรัพ ยากรมนุษย์ โด ยรับมาจาก
บริษัทแม่ที่สหรัฐ ในด้านการเรียนการสอนก็มีหลายสถาบันศึกษาที่นาเรื่อง
Mind map มาใช้ เช่น สถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราช โรงเรียนรัตนาธิเบศร์
นนทบุรี เป็นต้น
Tony Buzan “พ่อมดมหัศจรรย์แห่งสมอง”
“ถ้าแกมีมันสมองในหัวสักหน่อย แกคงเป็ นคนดีเหมือนใคร ๆ เขา
แ ล ะ เ ป็ น ค น ดี ก ว่ า ค น บ า ง ค น เ สี ย อี ก
ในโลกนี้มันสมองเป็นสิ่งเดียวที่มีค่าไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นกาหรือเป็นคน”
เจ้ากาใน ห นังสือ “พ่ อม ด ม หัศ จรรย์ แห่งออซ ” บอกกับหุ่น ไล่ก า
ทาให้มันเกิดแรงบันดาลใจและตัดสินใจว่าจะพยายามอย่างหนักที่จะหามันสม
อ ง ใ ห้ ไ ด้
มันตัดสินใจร่วมขบวนเดินทางไปเมืองมรกตกับโดโรธีเพื่อขอสมองจากออซผู้
ยิ่งใหญ่ ตามนิทานที่แฟรงก์ โบม เล่าไว้เมื่อ 109 ปีก่อน
หลังจากแฟรงก์ โบมพิมพ์ห นังสือ “พ่อมดมหัศ จรรย์แห่งออซ ”
ออกจาหน่ายได้ประมาณ 70 ปี นักจิตวิทยาประยุกต์ชาวอังกฤษชื่อ “โทนี
บูซาน” (Tony Buzan) ก็ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ BBC ของอังกฤษ
แนะนาให้โลกได้รู้จักกับเครื่องมือช่วยให้คนเราใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภา
พสูงสุด เขาเรียกเครื่องมือที่เปรียบเสมือน “มีดพับอเนกประสงค์ของสมอง” ว่า
“Mind Map”
โ ท นี ยื น ยั น ว่ า Mind Map เ ป็ น เ ค รื่ อ ง มื อ ที่ ทุ ก ค น ใ ช้ ไ ด้
ตั้งแต่คนที่คิดว่าในหัวตัวเองมีแต่ “ขี้เลื่อย” แบบหุ่นไล่กาในนิทานของโบม
หรือผู้ที่เป็ นอัจฉริยบุคคลอย่างลีโอนาร์โด ดา วินชี เมื่อห้าร้อยปี ที่แล้ว
มาจนถึงบิล เกตต์ในยุคปัจจุบัน
“ด้ ว ย เ ท ค นิ ค นี้
นักเรีย นที่ เรีย นเป็ นที่ โห ล่ข องชั้ นสาม ารถก้า วขึ้นมา อยู่แ นวห น้ า
เพราะเด็กกลุ่มนี้รู้วิธีใช้สมองให้ดีขึ้น”
Mind Map เป็ นกระบวนการที่ทาให้เราได้ใช้ทักษะของสมองทุก ๆ
ส่ ว น อ ย่ า ง เ ต็ ม ที่
จนทาให้ผู้ที่ใช้มีอิสระที่จะท่องไปในอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุ
ดของสมอง
“ผ ม มี เ ซ ล ส ม อ ง อ ยู่ นั บ ล้ า น ล้ า น เ ซ ล
ในยามที่ผมมีความคิดสร้างสรรค์ผมรู้สึกได้เลยว่าเซลเหล่านี้ทางานอย่างมีสมร
รถนะสูง แต่เมื่อใดที่ผมเครียดหรือเหนื่อย ระดับของมันก็จะตกลงมา
มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ อาหารและเครื่องดื่มที่รับประทานเข้าไป
“จุดมุ่งหมายของผมอยู่ที่การให้การศึกษาผู้คนเรื่องสมองของพวกเขา
แ ล ะ ส อ น ใ ห้ รู้ วิ ธี ใ ช้ ส ม อ ง อ ย่ า ง มี แ ร ง จู ง ใ จ
ผมให้เครื่องมือกับผู้คนและสอนวิธีเรียนรู้ให้แก่พวกเขา”
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 เป็นต้นมา โทนี บูซานเดินทางไปบรรยายเรื่องสมอง
การเรียนรู้ ความคิดสร้างสรรค์และ Mind Map ให้กับนักเรียน นักศึกษา
ข้ า ร า ช ก า ร นั ก ธุ ร กิ จ
และผู้บริหารระดับบริษัทและระดับประเทศทั่วโลกประมาณ 100 ประเทศ
เ ข า จึ ง ว่ า เ ป็ น Pro. Trainer ร ะ ดั บ โ ล ก ที่ Go Training
ภาคภูมิใจที่จะนาเสนอ
ชีวิตวัยเด็ก
จากการที่ผู้เขีย นเป็ นศิษย์ ช าวไทย ค น แรกข อง โทนี บู ซ าน
ไ ด้ มี โ อ ก า ส พ บ เ ข า ค รั้ ง แ ร ก ที่ สิ ง ค โ ป ร์ เ มื่ อ ปี พ .ศ . 2541
ประมาณหนึ่งปี หลังจากที่เดินทางไปรับการอบรมเพื่อมาเป็ นวิทยากรฝึกการใ
ช้ Mind Map จาก แ ว น ด า น อ ร์ ธ ที่ เมื อ งพู ล ส ห ร าช อ า ณ า จัก ร
ผู้เขียนได้มีโอกาสฟังโทนี เล่าถึงประวัติของเขาและกาเนิดของ Mind Map
นับครั้งไม่ถ้วน จึงขอประมวลมาแบ่งปันกับให้ผู้อ่าน Go Training ในฉบับนี้
โทนี บูซาน เป็ นชาวอังกฤษ เกิดที่ Brookfield Park Nursing Home,
Palmers Green, ใ น ก รุ ง London เมื่ อ วัน ที่ 2 มิ ถุ น า ย น 2485
ชื่ อ สู ติ บัต ร ข อ งเข า ต อ น แ ร ก เกิด คื อ “Anthony Peter Buzan”
เป็ นบุตรของนางจีน (นามสกุลเดิม née Burn) และนาย Gordon Buzan
มีนิวาสสถานอยู่ที่ Shangri-la, Western Drive, Shepperton
อันที่จริงนามสกุลของโทนี ถ้าจะเขียนให้ตรงกับเสียง ต้องเขียนว่า
“บิวแซ น” แต่ในประเทศ ไทย ได้มีการใช้ตัวเขีย นว่าเป็ น “บูซ าน ”
จนเป็นที่นิยมทั่วไป โทนี บูซานสาเร็จการศึกษาด้านจิตวิทยา ภาษาอังกฤษ
คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ทั่วไป จาก University of British Colombia
ใ น ป ร ะ เ ท ศ แ ค น า ด า
ซึ่งเขาได้พื้นฐานในการคิดนวัตกรรรมใหม่ในการจดบันทึกและรู้วิธีการใช้สม
องอย่างเต็มที่ จากก ารศึกษ าค้น ค ว้าใน มห าวิทย าลัย แ ห่งนี้ นี่ เอ ง
โดยช่วงที่เริ่มฟูมฟักทฤษฎี Mind Map ใหม่ ๆ โทนี จะช่วยเพื่อน เด็ก
แ ล ะ นั ก เรี ย น ที่ มี ปั ญ ห า ใ น ก า ร จ ด จ า จ า ก บั น ทึ ก ที่ จ ด ไ ว้
ให้กลายเป็นคนที่เรียนเก่งขึ้นมาได้
โทนีเคยย้อนราลึกว่า บ้านเดิมของเขาชื่อ Shangri-la ซึ่งหมายถึง
'ส ว ร ร ค์ บ น ดิ น ที่ ม นุ ษ ย์ จิ น ต น า ก า ร ขึ้ น ม า '
ดังนั้นเขาจึงจินตนาการถึงหุบเขาที่เป็นสวรรค์บนดินมาโดยตลอดการเดินทาง
ข อ ง ชี วิต แ ล ะซึ ม ซั บ สิ่ง นี้ จ น ท า ให้ เป็ น ค น ที่ ม อ งโ ล ก ใน แ ง่ดี
ชอบที่จะส่งเสริมให้ผู้อื่นได้ยกระดับความสามารถจนเต็มศักยภาพของตัวเอง
ช่วงปีพ.ศ. 2485-2450 สมัยที่โทนีเป็นเด็ก ศาสตราจารย์เซอร์เฟเดอริก ทรูบี
คิ ง ( Professor Sir Frederick Truby King)
เป็ นผู้ที่มีอิทธิพลต่อการเลี้ยงดูทารกในอังกฤษอย่างมาก หนังสือของเขาชื่อ
“ Mothercraft” เ ป็ น เ ส มื อ น คั ม ภี ร์ ก า ร เ ลี้ ย ง ดู ลู ก แ ห่ ง ยุ ค
จีนแม่ของโทนีก็อยู่ในกลุ่มคุณแม่วัยสาวที่เปิดตาราของทรูบีเลี้ยงโทนีและน้อง
ช า ย ข อ ง เ ข า ดั ง นั้ น
โทนีจึงได้รับการสั่งสอนจากแม่แบบค่อนข้างจะจู้จี้มากกว่าแม่ ๆ ในยุคปัจจุบัน
จ า ก ห น้ า ห นึ่ ง ใ น ส มุ ด บั น ทึ ก ข อ ง แ ม่ ข อ ง โ ท นี
เธอสังเกตว่าลูกชายของเธอแสดงความฉลาดเกินวัยมาตั้งแต่เล็ก ๆ
มี หัวคิ ด ที่ เป็ น เห ตุ เป็ น ผ ล ติ ด ห นั งสื อ แ ล ะมี ค วา ม จ าเป็ น เลิศ
ข อ ง เล่ น ที่ โ ท นี ช อ บ เป็ น พิ เศ ษ คื อ ลู ก ปั ด สี แ ล ะ เ ป็ ด ไ ม้
แต่ไม่สู้จะสนใจตุ๊กตาผ้าเท่าไร แต่อันที่จริงโทนีชอบ “ของจริง” มากกว่า
“ของเล่น”
ตอนอายุ 8 ขวบเด็กชายโทนีเลี้ยงแมว ชื่อ “แพดดี” และกระต่ายชื่อ
“ปองโก้” หนังสือเล่มแรกของโทนี เมื่อเขาอายุ 8 ขวบคือ “สัตว์เลี้ยงของฉัน”
เขาเขียนถึงกระต่ายน้อยปองโก้ที่ตายไปว่า “เจ้ากระต่ายปองโก้ตายไปแล้ว
แ ต่ฉั น เก็ บ เงิน ไว้ห้ าป อ น ด์ เพื่ อ จ ะให้ ค น ส ต๊าฟ มัน ไ ว้ให้ ฉั น ”
และโทนีก็มักติดเจ้าปองโก้สต๊าฟเวลาเดินทางไปไหนมาไหนจนเขาอายุ 40 ปี
ปองโก้สต๊าฟก็หมดสภาพ ต้องนาไปฝัง ส่วนเจ้าแมวเหมียวแพ ดดีนั้น
โทนีก็ผูกพันมากเช่นกัน แม้ว่าเมื่อมันตายลง โทนีจะไม่ได้เอามันไปสต๊าฟ
แต่เขาก็แทบจะกลั้นน้าตาไม่อยู่เพราะ “เจ้าน่ารักมากและฉันรักเจ้าจริง ๆ”
ด้ ว ย ค ว า ม รั ก แ ล ะ ผู ก พั น กั บ สั ต ว์ เ ลี้ ย ง
ทาให้ค วามฝั น ใน ชี วิต ข องโท นี ใน วัย เด็ กไป จน ถึงอายุ 20 ปี คื อ
การได้เป็ นนักกีฏวิทยา นักสัตววิทยา ผู้ดูแลสัตว์ในสวนสัตว์ สัตวแพทย์
และนักจิตวิทยาสัตว์
ในเรื่องการเป็ นนักอ่านและนักเขีย นเขาเริ่มต้นตอนอายุ 14 ปี
โ ด ย ก่ อ น ห น้ า นี้ โ ท นี คิ ด ว่ า บ ท ก วี เ ป็ น เ รื่ อ ง ไ ร้ ส า ร ะ
แต่เมื่อคุณครูคนหนึ่งอ่านบทกวีชื่อ “The Eagle” ของ “Alfred Lord
Tennyson” เ ข า ก็ เ ป ลี่ ย น ค ว า ม คิ ด
แ ล ะ ก ล า ย เป็ น ทั้ ง นั ก อ่ า น ตั ว ย ง แ ล ะ นั ก เ ขี ย น มื อ ฉ ก า จ
ห นั ง สื อ ที่ เ ข า อ่ า น เ ป็ น ป ร ะ จ า คื อ ง า น ข อ ง เ ช็ ค ส เปี ย ร์
และยังตามอ่านหนังสือที่เด็กติดกันงอมแงมทั้งโลก อย่าง “Lord of the
Rings” แ ล ะ “ Harry Potter”
ซึ่ ง โ ท นี คิ ด ว่ า เต็ ม ไ ป ด้ ว ย อ า ร ม ณ์ ขั น แ ล ะ ภ า พ ที่ ส ว ย ง า ม
นอกจากนี้เขายังเขียนบทกวีไว้เองถึง 1,000 ชิ้น และหนังสือนับร้อยเล่ม
หาคู่มือการใช้สมองไม่ได้เลยเขียนเสียเอง
โ ท นี เ ล่ า ว่ า ต อ น เ รี ย น อ ยู่ ที่ British Colombia
เขาเคยถามบรรณารักษ์ห้องสมุดว่าอยากได้หนังสือที่สอนวิธีใช้สมอง
บ ร ร ณ า รัก ษ์ ชี้ ไ ป ท า ง ห ม ว ด แ พ ท ย์ ศ า ส ต ร์ โ ท นี ไ ป พ ลิ ก ๆ
ดู แ ล้ ว ก็ ก ลั บ ม า ถ า ม บ ร ร ณ า รั ก ษ์ ใ ห ม่ ว่ า
ต้องการห นังสือที่บอกว่าจะใช้สมองอย่างไรต อนที่มันยังอยู่กับตัว
ไ ม่ ใ ช่ ผ่ า อ อ ก ม า ดู ว่ า มั น เ ป็ น อ ย่ า ง ไ ร
บรรณารักษ์จึงสรุปว่าไม่มีหนังสือแบบที่โทนีต้องการ
เขาจึงตัดสินใจว่า เขาจะเขียนหนังสือนี้ขึ้นมาให้ชาวโลกไว้อ่านเล่มหนึ่ง
และหนังสือเล่มนั้นก็คือหนังสือชื่อ “Use Your Head” หรือ “ใช้หัวคิด”
ซึ่งนับว่าเป็นหนังสือเล่มแรกที่อุทิศเนื้อหาทั้งเล่มให้กับการใช้สมองอย่างถูกวิธี
และให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื้อหาหนึ่งในนั้นก็คือการแนะนาให้โลกรู้จัก
Mind Map เป็นครั้งแรกด้วย
โทนี กับ Mind Map
โ ท นี ห ล ง เส น่ ห์ แ ล ะ ช อ บ ห นั ง สื อ ม า ตั้ ง แ ต่ อ ยู่ อ นุ บ า ล
เพ ราะในห นังสือจะใช้ตัวห นังสือข นาด ให ญ่และเขียนด้วย ดินสอ สี
แ ต่ ยิ่ ง เรี ย น ม า ก ขึ้ น ข น า ด ตั ว ห นั ง สื อ ก็ ค่ อ ย ๆ ล ด ล ง
ค วามน่ าสน ใจแ ละค วามโป รด ป ราน ก็ค่อย ๆ ลด ลงต ามไป ด้วย
แถมเมื่อโตขึ้นเรียนชั้นประถมตัวอักษรที่ครูให้เขาเขียนก็ถูกจองจาอยู่ในบรร
ทัด แล้วยังให้ใช้ปากกาหรือดินสอได้เพียงสีเดียว เหมือนกันทั้งชั้นเรียน
แม้โทนีจะเป็ นเด็กช่างจด แต่เขาก็เริ่มสังเกตว่ายิ่งจดมากยิ่งจาไม่ได้
พ อ เ ข้ า ม ห า วิ ท ย า ลั ย
ห นุ่ มน้อย โทนี ก็เริ่มเรีย น รู้และชื่ น ช มระบ บค วาม จาข องช าวกรีก
ที่ ใ ช้ จิ น ต น า ก า ร แ ล ะ ก า ร เชื่ อ ม โ ย ง ม า ช่ ว ย จ า สิ่ ง ต่ า ง ๆ
นับพันรายการได้อย่างแม่นยา โดยในวิชาเอกของเขา จิตวิทยาก็ยืนยันว่า
หลักการสองประการที่สาคัญในช่วงของการเรียนรู้คือการเชื่อมโยงข้อมูลและ
การใช้จินตนาการ
โ ท นี เ ริ่ ม ทึ่ ง กั บ ค ว า ม ส า ม า ร ถ ข อ ง ส ม อ ง
และพ บว่าสมองข องค น เรามี พ ลังที่ ยิ่งให ญ่ซ่อน ไว้อย่างมห าศ าล
เข าเริ่ม ทุ่ม ค ว า ม ส น ใ จ ให้ กับ เท ค นิ ค ค ว า ม จ า ก า ร จ ด บัน ทึ ก
และความคิดสร้างสรรค์ ยิ่งได้พ บว่า นักคิด ผู้ยิ่งให ญ่ข องโลก อย่าง
ลีโอนาร์โด ดา วินชิ ใช้รูปภาพและสัญลักษณ์ เป็ นสิ่งที่ช่วยในการจดจา
ก็ยิ่งเป็นการยืนยันในสิ่งที่เขากาลังทุ่มเทอยู่
โท นี เล่ าใ ห้ ฟั ง ว่ า “ใ น ต อ น นั้ น สิ่ ง เดี ย ว ที่ ผ ม นึ ก ถึ ง คื อ
เ ค รื่ อ ง มื อ ท า ง ค ว า ม คิ ด
ที่ จ ะ ส า ม า ร ถ ป ร ะ ยุ ก ต์ ใ ช้ ใ น ทุ ก รู ป แ บ บ กิ จ ก ร ร ม ข อ ง ม นุ ษ ย์
และตั้งอยู่บ น พื้ น ฐ าน ก ารทางาน แบ บ เดีย วกัน กับส มอ งข อ งเร า
ผมต้องการเครื่องมือที่สามารถทางานประสานกับการทางานของสมองตามธร
ร ม ช า ติ ม า ก ก ว่ า สิ่ ง ที่ จ ะ จ า กั ด ค ว า ม คิ ด ข อ ง ม นุ ษ ย์ เช่ น
การบังคับให้เราต้องทางาน ขัด แย้งกับลักษณะที่ธ รรมชาติสร้างมา
ใ น ที่ สุ ด สิ่ ง ที่ ป ร า ก ฏ ขึ้ น ใ น ค ว า ม คิ ด ข อ ง ผ ม
ก็คือเค รื่องมือทางค วามคิด ที่มีลักษ ณะเป็ นแฉก ๆ ค ล้ายรูป ‘ด าว’
มันดูเรียบง่าย สวยงาม และที่สาคัญเครื่องมือชนิดนี้ มีหลักการสาคัญ คือ
ความคิดสร้างสรรค์และกระบวนการคิดแบบแผ่รัศมีอีกด้วย”
แ ม้ จ ะ ยั งไ ม่ ไ ด้ พั ฒ น า เค รื่ อ ง มื อ ให ม่ อ ย่ า ง เต็ ม รู ป แ บ บ
แต่โทนีก็จบปริญญาตรีโดยได้รับ “เกียรตินิยม” ห้อยท้าย มหาวิทยาลัย
British Columbia จึ ง ต ะ ค รุ บ ตั ว เข า ไ ว้ ใ ห้ เ ป็ น อ า จ า ร ย์ ต่ อ
แ ละม อ บ ห ม าย ให้ ส อน วิช า จิต วิท ย า 101 ใ ห้กับ นัก ศึก ษ าปี 1
ซึ่งเขาก็ดาเนินการตามแบบอาจารย์รุ่นพี่ ๆ คือเตรียมสอนเป็นโน้ตแบบเดิม ๆ
แ ล้ ว ก็ อ่ า น ต า ม แ ผ่ น ก ร ะ ด า ษ ที่ จ ด ม า
ร ะ ห ว่ า ง ร่ า ย ย า ว นั ก ศึ ก ษ า ก็ จ ด ค า บ ร ร ย า ย เป็ น บ ร ร ทั ด ๆ
ด้วยปากกาหรือดินสอสีเดียว พอถึงเนื้อหาเรื่องช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ที่มีอยู่
4 ช่วงซึ่งสมองค นจะจาดีที่สุด คือ ช่วงต้น ต อนจบ ช่วงที่มีจุดเด่น
และช่วงที่มีการเชื่อมโยง โทนีก็นึกขึ้นมาได้ว่า
“นี่ผมกาลังสอ นนักศึกษาถึงเรื่องการฟื้ นค วามจาและห ลักการเรียนรู้
ด้วยวิธีที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมสอนโดยสิ้นเชิงหรือนี่ !”
จาก วัน นั้ น เป็ น ต้น ม าโท นี ก็ พัฒ น า Mind Map จ น ต ก ผ ลึก
และนามาใช้ในการถ่ายทอดความรู้ให้กับนักศึกษาของเขา โทนีสรุปว่า
“คนเราทุกรูปทุกนามสามารถเป็ นคนฉลาดหลักแหลมด้วยกันได้ทั้งนั้น
มั น ขึ้ น อ ยู่ กั บ ว่ า เ ข า ไ ด้ รั บ โ อ ก า ส นั้ น ห รื อ ไ ม่
แ ล ะ เ ข า ไ ด้ เ ค รื่ อ ง มื อ พั ฒ น า ส ม อ ง ไ ป ใ ช้ ห รื อ ไ ม่
ขอย้าว่าการพัฒนาความคิดนั้นขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมมากกว่ากรรมพันธุ์
ผ ม ช อ บ ร ะ บ บ ก า ร ส อ น ที่ ผู้ ส อ น ใ ห้ นั ก เ รี ย น รู้ วิ ธี เ รี ย น
ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือในโรงเรียน ผมได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งรอบด้าน
ร ว ม ทั้ ง จ า ก ลี โ อ น า ร์ โ ด ด า วิ น ชี ด้ ว ย
เพราะเขานาศาสตร์และศิลป์ มาประยุกต์ใช้ร่วมกันได้อย่างลงตัว”
กฎง่ายๆของการใช้ Mind Map
1. แก่นแกน (ภาพหัวเรื่อง) มีขนาดพอเหมาะ ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป
2. ห้ามล้อมแก่นแกนด้วยเส้นรอบวงใด ๆ
ทั้งสิ้นเว้นแต่ว่ามีนัยสัมพันธ์กับเรื่องนั้น ๆ
3. เส้นของกิ่งแก้วต้องเชื่อมโยงกับแก่นแกนเสมอ
4. กิ่งก้อยที่แตกออกจากกิ่งแก้วควรมีสีเดียวกับกันเพื่อให้จาง่าย
5. เส้นต้องมีความยาวสัมพันธ์กับคาหรือภาพ
6. ต้องแตกกิ่งที่จุดสุดท้ายของเส้นเสมอ
7. เส้นทุกเส้นของกิ่งแก้วและกิ่งก้อยต้องเชื่อมโยงกัน
อย่าเขียนให้ขาดหรือแหว่ง
8. คายิ่งสั้นยิ่งดี
9. เวลาเขียน Mind Map บนกระดาษแผ่นเดียว
อย่าหมุนกระดาษจนเป็นวงกลม จนทาให้คาบางคากลับหัว
10. ห้ามเขียนภาพ หรือคาแล้วล้อมด้วยวงกลมหรือรูปเหลี่ยม
11. ห้ามเขียนคา/ภาพปิดท้ายเส้น
12. ห้ามเขียนคาคา/ภาพทั้งบนและใต้กิ่งเดียวกัน
13. ไม่ควรใช้วลีหรือประโยคใน Mind Map
เลือกแต่คาที่เป็นประเด็นหลักเท่านั้น
สมองเรียนรู้อย่างไร
ถึ ง แ ม้ ว่ า
สมองจะถูกเข้าใจว่าเป็ นสิ่งอัศจรรย์ ที่สุดในร่างกายมนุษย์มานานแล้ว
แต่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งเริ่มเข้าใจความมหัศจรรย์ของสมองมนุษย์อย่างลึกซึ้งเมื่
อช่วงปลายศตวรรษที่ 20 นี้เอง และสามารถให้คาอธิบายอย่างละเอียดว่า
สมองมนุษย์ที่น่าทึ่งนี้มีการทางานอย่างไร
ส ม อ ง มี ก า ร จั ด ร ะ บ บ ก า ร ท า ง า น ที่ ซั บ ซ้ อ น
และมีความยืดหยุ่นในการพัฒนาปรับเปลี่ยนตัวเองได้ดีไม่น้อยไปกว่าอวัยวะใ
ดๆ ในร่างกาย
สมองถูกออกแบบมาเพื่อการเรียนรู้ เพื่อ “ความอยู่รอด” เป็ นสาคัญ
เด็กเล็กๆ เริ่มเรียนรู้ที่จะร้องไห้ ยิ้ม หัวเราะ กินอาหาร คลาน นั่ง เดิน พูด
แ ล ะ ท า กิจ ก ร ร ม ต่ า ง ๆ เป็ น ผ ล จ า ก ก า ร ที่ ส ม อ ง รับ รู้ เรี ย น รู้
พัฒนาและเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อจะมีชีวิตรอด
สมองพัฒนาศักยภาพในการคิด ความจา ผ่านกระบวนการที่เรียนว่า
“ก ารเรี ย น รู้” ซึ่ งจ ะด าเนิ น ไป ต าม ก าห น ด “เวลา ” ที่ เห ม าะส ม
เราจึงให้ความสาคัญกับ “พัฒนาการตามช่วงวัย”
ส ม อ ง ม นุ ษ ย์ ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย เ ซ ล ล์ จ า น ว น ม ห า ศ า ล
เด็กแรกเกิดมีเซ ลล์สมองประมาณ หนึ่งแสนล้านเซ ลล์ (เมื่อเทีย บกับ
ลิงมีหนึ่งหมื่นล้านเซลล์ หนูมีห้าล้านเซลล์ และแมลงหวี่มีหนึ่งแสนเซลล์)
เ ชื่ อ ม ต่ อ กั น ด้ ว ย แ ข น ง ที่ ยื่ น อ อ ก จ า ก ตั ว เ ซ ล ล์
โยงใยเป็นเครือข่ายร่างแหของวงจรขนาดมหึมา
ส ม อ ง ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย เค รื อ ข่ าย เซ ล ล์ ส ม อ งที่ เชื่ อ ม โย งกัน
ซึ่งมีความสาคัญมากต่อการเรียนรู้ มีรายงานผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า
เด็กอนุบาลสามารถเรียนรู้ภาษาพร้อมกันได้ถึง 7 ภาษา
นักวิทยาศาสตร์ให้ข้อสังเกตว่า เด็กมีศักยภาพที่จะพูดได้กว่า 5,000
ภ าษ าเท่า ที่ มี อ ยู่ ใน โล ก แ ต่ ค ว าม ส าม ารถ นี้ จ ะค่อ ย ๆ ห ม ด ไ ป
เมื่อเด็กไม่ได้นามาใช้
เ มื่ อ เ ร า อ ยู่ ใ น ก ร ะ บ ว น ก า ร เ รี ย น รู้
เ ซ ล ล์ ส ม อ ง จ ะ ส ร้ า ง ก า ร เ ชื่ อ ม โ ย ง ที่ ซั บ ซ้ อ น
จนเกิดเป็นร่างแหเครือข่ายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจานวนเซลล์อาจไม่สาคัญเท่ากับ
การเชื่อมโยงเป็ นเครือข่ายซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ตลอดเวลาที่เรามี
ชี วิ ต อ ยู่
ความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนนี้เองที่ทาให้สมองมนุษย์สามารถเรียนรู้ได้ตล
อดชีวิต
สมองซีกซ้าย – สมองซีกขวา สอดประสานกันเป็นองค์รวม
สมองซีกซ้าย โดดเด่นในการเรียนรู้และทาความเข้าใจภาษา เหตุผ ล
รายละเอียด
สมองซีกขวา โดดเด่นในการเรียนรู้และทาความเข้าใจมิติ ความรู้สึก ภาพรวม
ส ม อ ง ส อ ง ซี ก ท า ง า น ป ร ะ ส า น กั น แ บ บ อ ง ค์ ร ว ม
ผ่ า น ใ ย ป ร ะ ส า ท ที่ พ า ด ผ่ า น จ า ก ซี ก ห นึ่ ง ไ ป ยั ง อี ก ซี ก ห นึ่ ง
เ ร า เ รี ย ก ก ลุ่ ม ใ ย ป ร ะ ส า ท นี้ ว่ า ค อ ร์ ปั ส แ ค ล โ ล ซั ม
ก า ร ผ ส า น ก า ร รั บ รู้ แ ล ะ มุ ม ม อ ง ข อ ง ส ม อ ง ทั้ ง ส อ ง ซึ ก
ทาให้เห็นภาพและเข้าใจความหมายของสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน
เ มื่ อ ไ ด้ รั บ ก า ร ก ร ะ ตุ้ น จ า ก สิ่ ง เ ร้ า ภ า ย น อ ก
เซลล์สมองจะส่งสัญญาณข้อมูลในรูปกระแสไฟฟ้าไปตามแขนงใยประสาทที่เรี
ยกว่า แอกซอน ส่งต่อให้แขนงใยประสาทที่ทาหน้าที่รับข้อมูลที่เรียกว่า
เดนไดรท์ของอีกเซลล์หนึ่ง
จุ ด ที่ เ ชื่ อ ม ต่ อ กั น ข อ ง แ อ ก ซ อ น แ ล ะ เ ด น ไ ด ร ท์
จะมีการแปลงข้อมูลในรูปสัญญาณไฟฟ้าเป็นสารเคมีที่เรียกว่า สารสื่อประสาท
เราเรีย กจุด เชื่ อมต่อในการรับส่งสัญ ญาณข้อมูลนี้ ว่า จุดซี นแนปส์
“นาทีแห่งการเรียนรู้” เริ่มขึ้น ณ จุดนี้
อารมณ์มีผลต่อกระบวนการเรียนรู้
อ า ร ม ณ์ มี อิ ท ธิ พ ล ต่ อ ค ว า ม ส น ใ จ แ ล ะ ค ว า ม ตั้ ง ใ จ
โดยอาจจะกระตุ้นหรือยับยั้งทาให้ความสนใจและความตั้งใจในการเรียนรู้เพิ่ม
ขึ้นหรือลดลงได้ ข้อมูลที่น่าเบื่อ ไม่น่าสนใจ ไม่มีความหมายต่อตนเอง
ห รื อ ส ม อ ง ไ ม่ เ ข้ า ใ จ ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ข อ ง ข้ อ มู ล
สมองส่วนที่ทาหน้าที่ส่วนสัญชาตญาณจะเตือนว่า “เลิกคิดได้แล้ว” เสียเวลา
เสียพลังงานสมอง
อ า ร ม ณ์ มี อิ ท ธิ พ ล ต่ อ ค ว า ม จ า
การผ่านพบสรรพสิ่งหรือเหตุการณ์ที่มีอารมณ์ประทับอยู่ด้วยจะกลายเป็นควา
มทรงจาที่แจ่มชัดยืนนานอย่างยิ่ง
อ า ร ม ณ์ เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ไ ด้ ด้ ว ย ก า ร เ รี ย น รู้
ส ม อ ง ส่ ว น อ า ร ม ณ์ ส า ม า ร ถ เ รี ย น รู้ แ ล ะ ป รั บ เป ลี่ ย น ไ ด้
เมื่อมีการบันทึกการตอบสนองอย่างใหม่ต่อสิ่งที่กระตุ้นเร้าลงในสมองส่วนอาร
ม ณ์ อ า ร ม ณ์ แ ล ะ ค ว า ม รู้ สึ ก ต่ อ สิ่ ง ต่ า ง ๆ
อาจแตกต่างและเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้ เช่น เคยเกลียดภาษาอังกฤษ
เพ ร า ะ อ า ย แ ล ะเสี ย ใ จ ที่ ถู ก ค รู ดุ แ ต่ เมื่ อ ไ ด้เรี ย น กับ ค รู ที่ ใ จ ดี
กลับเปลี่ยนเป็นชอบภาษาอังกฤษ
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
-ปรึกษาเลือกหัวข้อ
-นาเสนอหัวข้อกับครูผู้สอน
-ศึกษารวบรวมข้อมูล
-จัดทารายงาน
-นาเสนอครู
-ปรับปรุงและแก้ไข
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
-อินเตอร์เน็ต
-หนังสือที่เกี่ยวข้อง
-คอมพิวเตอร์
-โทรศัพท์
งบประมาณ
-100 บาท
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดั
บ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
1
1
1
2
1
3
1
4
1
5
1
6
17
1 คิดหัวข้อโครงงาน
2 ศึกษาและค้นคว้า
ข้อมูล
3 จัดทาโครงร่างงาน
4 ปฏิบัติการสร้างโค
รงงาน
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารราย
งาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.ผู้จัดทามีความเข้าใจในหัวข้อที่สนใจมากขึ้น
2.สามารถนาไปประยุกต์ใช้กับการเรียนได้จริง
3.สามารถนาความรู้เผยแพร่ให้กับเพื่อนนักเรียนได้
4.ผู้จัดทามีความเข้าใจในการทางานอย่างเป็นระบบมากขึ้น
สถานที่ดาเนินการ
1.ห้องคอมพิวเตอร์ โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย
2.ห้องสมุด โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
1.กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
2.กลุ่มพัฒนาผู้เรียน
บรรณานุกรม
Mind Map คืออะไร(2551). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
http://www.dpu.ac.th/techno/page.php?id=3334 (วันที่ค้นข้อมูล
: 24 มกราคม 2560)
วิธีการเขียน Mind Map + วิธีการพัฒนาสมองและความจา(2560).
[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
http://www.unigang.com/Article/1428 (วันที่ค้นข้อมูล : 24
มกราคม 2560)
Tony Buzan “พ่อมดมหัศจรรย์แห่งสมอง”(2552). [ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก
http://oknation.nationtv.tv/blog/MindMap/2009/03/22/entry-2
(วันที่ค้นข้อมูล : 6 มกราคม 2560)
ลากเส้นสีเป็นแผนที่ความคิด (Mind Map)(2552). [ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก
http://www.manager.co.th (วันที่ค้นข้อมูล : 6 มกราคม 2560)
สมองเรียนรู้อย่างไร(2557). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
http://www.okmd.or.th/bbl/documents/342/bbl-brain-learn
(วันที่ค้นข้อมูล : 6 มกราคม 2560)

More Related Content

What's hot

การวางแผนการจัดการเรียนรู้ วิชาพระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปีท
การวางแผนการจัดการเรียนรู้  วิชาพระพุทธศาสนา  ชั้นมัธยมศึกษาปีทการวางแผนการจัดการเรียนรู้  วิชาพระพุทธศาสนา  ชั้นมัธยมศึกษาปีท
การวางแผนการจัดการเรียนรู้ วิชาพระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปีทkroobannakakok
 
เทคโนโลยี ป.1
เทคโนโลยี ป.1เทคโนโลยี ป.1
เทคโนโลยี ป.1
Kungkunk Naruk
 
Projectm6 2-2554
Projectm6 2-2554Projectm6 2-2554
Projectm6 2-2554Net'Net Zii
 
2014-07-04 การบริหารงานแนวพุทธ
2014-07-04 การบริหารงานแนวพุทธ2014-07-04 การบริหารงานแนวพุทธ
2014-07-04 การบริหารงานแนวพุทธ
Nopporn Thepsithar
 
I would like to be librarian
I would like to be librarianI would like to be librarian
I would like to be librarian
Maykin Likitboonyalit
 
Choen tawan vajiramedhi
Choen tawan vajiramedhiChoen tawan vajiramedhi
Choen tawan vajiramedhiKridgarin
 
Computer work
Computer workComputer work
Computer work
jungkookjin
 
วิเคราะห์หลักสูตรการสอนคณิต
วิเคราะห์หลักสูตรการสอนคณิตวิเคราะห์หลักสูตรการสอนคณิต
วิเคราะห์หลักสูตรการสอนคณิตkrutip Kanayat
 
วิเคราะห์ตัวชี้วัดสาระเศรษฐศาสตร์
วิเคราะห์ตัวชี้วัดสาระเศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ตัวชี้วัดสาระเศรษฐศาสตร์
วิเคราะห์ตัวชี้วัดสาระเศรษฐศาสตร์นันทนา วงศ์สมิตกุล
 
หนังสือสอบ เพื่อนครู2559 ติวอินดี้ ง่ายโคตร
หนังสือสอบ เพื่อนครู2559 ติวอินดี้ ง่ายโคตรหนังสือสอบ เพื่อนครู2559 ติวอินดี้ ง่ายโคตร
หนังสือสอบ เพื่อนครู2559 ติวอินดี้ ง่ายโคตร
หนังสือสอบ เพื่อนครู
 
บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์ และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์  และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์  และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์ และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์krunumc
 
04 แบบ ว-1ย-1ด-วณิชชา-แผนย่อย
04 แบบ ว-1ย-1ด-วณิชชา-แผนย่อย04 แบบ ว-1ย-1ด-วณิชชา-แผนย่อย
04 แบบ ว-1ย-1ด-วณิชชา-แผนย่อย
KruBeeKa
 

What's hot (20)

หน่วยที่๙
หน่วยที่๙หน่วยที่๙
หน่วยที่๙
 
ป.1 หน่วย1.1
ป.1 หน่วย1.1ป.1 หน่วย1.1
ป.1 หน่วย1.1
 
การวางแผนการจัดการเรียนรู้ วิชาพระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปีท
การวางแผนการจัดการเรียนรู้  วิชาพระพุทธศาสนา  ชั้นมัธยมศึกษาปีทการวางแผนการจัดการเรียนรู้  วิชาพระพุทธศาสนา  ชั้นมัธยมศึกษาปีท
การวางแผนการจัดการเรียนรู้ วิชาพระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปีท
 
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๙
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๙แผนการจัดการเรียนรู้ที่๙
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๙
 
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๖
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๖แผนการจัดการเรียนรู้ที่๖
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๖
 
เทคโนโลยี ป.1
เทคโนโลยี ป.1เทคโนโลยี ป.1
เทคโนโลยี ป.1
 
Projectm6 2-2554
Projectm6 2-2554Projectm6 2-2554
Projectm6 2-2554
 
หน่วยที่๖
หน่วยที่๖หน่วยที่๖
หน่วยที่๖
 
2014-07-04 การบริหารงานแนวพุทธ
2014-07-04 การบริหารงานแนวพุทธ2014-07-04 การบริหารงานแนวพุทธ
2014-07-04 การบริหารงานแนวพุทธ
 
I would like to be librarian
I would like to be librarianI would like to be librarian
I would like to be librarian
 
Choen tawan vajiramedhi
Choen tawan vajiramedhiChoen tawan vajiramedhi
Choen tawan vajiramedhi
 
หน่วยที่๕
หน่วยที่๕หน่วยที่๕
หน่วยที่๕
 
หน่วยที่๑๐
หน่วยที่๑๐หน่วยที่๑๐
หน่วยที่๑๐
 
Computer work
Computer workComputer work
Computer work
 
วิเคราะห์หลักสูตรการสอนคณิต
วิเคราะห์หลักสูตรการสอนคณิตวิเคราะห์หลักสูตรการสอนคณิต
วิเคราะห์หลักสูตรการสอนคณิต
 
วิเคราะห์ตัวชี้วัดสาระเศรษฐศาสตร์
วิเคราะห์ตัวชี้วัดสาระเศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ตัวชี้วัดสาระเศรษฐศาสตร์
วิเคราะห์ตัวชี้วัดสาระเศรษฐศาสตร์
 
หนังสือสอบ เพื่อนครู2559 ติวอินดี้ ง่ายโคตร
หนังสือสอบ เพื่อนครู2559 ติวอินดี้ ง่ายโคตรหนังสือสอบ เพื่อนครู2559 ติวอินดี้ ง่ายโคตร
หนังสือสอบ เพื่อนครู2559 ติวอินดี้ ง่ายโคตร
 
บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์ และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์  และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์  และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์ และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
 
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๑๐
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๑๐แผนการจัดการเรียนรู้ที่๑๐
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๑๐
 
04 แบบ ว-1ย-1ด-วณิชชา-แผนย่อย
04 แบบ ว-1ย-1ด-วณิชชา-แผนย่อย04 แบบ ว-1ย-1ด-วณิชชา-แผนย่อย
04 แบบ ว-1ย-1ด-วณิชชา-แผนย่อย
 

Similar to Work1 pjcom

โครงงานหนูชื่ออาเซียน
โครงงานหนูชื่ออาเซียนโครงงานหนูชื่ออาเซียน
โครงงานหนูชื่ออาเซียนJar 'zzJuratip
 
Is โสรยา ประวัติส่วนตัว
Is โสรยา ประวัติส่วนตัวIs โสรยา ประวัติส่วนตัว
Is โสรยา ประวัติส่วนตัวKaembum Soraya
 
การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงาน
การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงานการพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงาน
การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงานteacherhistory
 
เค้าโครงโครงงานคอม
เค้าโครงโครงงานคอมเค้าโครงโครงงานคอม
เค้าโครงโครงงานคอม
'มะ ม่ะม่ะ มิ้นท์
 

Similar to Work1 pjcom (20)

3
33
3
 
โครงงานหนูชื่ออาเซียน
โครงงานหนูชื่ออาเซียนโครงงานหนูชื่ออาเซียน
โครงงานหนูชื่ออาเซียน
 
Is โสรยา ประวัติส่วนตัว
Is โสรยา ประวัติส่วนตัวIs โสรยา ประวัติส่วนตัว
Is โสรยา ประวัติส่วนตัว
 
การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงาน
การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงานการพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงาน
การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงาน
 
123pj
123pj123pj
123pj
 
123pj
123pj123pj
123pj
 
123pj
123pj123pj
123pj
 
123pj
123pj123pj
123pj
 
123pj
123pj123pj
123pj
 
123pj
123pj123pj
123pj
 
123pj
123pj123pj
123pj
 
123pj
123pj123pj
123pj
 
123pj
123pj123pj
123pj
 
123pj
123pj123pj
123pj
 
123pj
123pj123pj
123pj
 
123pj
123pj123pj
123pj
 
123pj
123pj123pj
123pj
 
123pj
123pj123pj
123pj
 
123pj
123pj123pj
123pj
 
เค้าโครงโครงงานคอม
เค้าโครงโครงงานคอมเค้าโครงโครงงานคอม
เค้าโครงโครงงานคอม
 

Work1 pjcom

  • 1. – แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ รหัสวิชา ง33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6 ปี การศึกษา 2559 ชื่อโครงงาน แผนที่ความคิดสร้างจินตนาการ ชื่อผู้ทาโครงงาน 1. นางสาว รามาวดี ปัญญา เลขที่ 12 ชั้น ม.6 ห้อง 4 ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปี การศึกษา 2559 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
  • 2. ใบงาน การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์ สมาชิกในกลุ่ม 1.นางสาว รามาวดี ปัญญา เลขที่ 12 ชั้น ม.6 ห้อง 4 2.นางสาว ทอภัค ชื่นวิไลทรัพย์ เลขที่ 17 ขั้น ม.6 ห้อง 4 ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย) แผนที่ความคิดสร้างจินตนาการ ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ) Mina Map and imaginations ประเภทโครงงาน พัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาว รามาวดี ปัญญา และ นางสาว ทอภัค ชื่นวิไลทรัพย์ ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1 ที่มาและความสาคัญของโครงงาน ก าร ศึ ก ษ า ใน ป ร ะเท ศ ไ ท ย ปัจ จุ บัน ยังเน้ น ที่ ก าร ท่ อ ง จ า และจานวนปริมาณของเนื้อหาในการเรียน ซึ่งเป็ นปัจจัยหนึ่งที่ทาให้นักเรียน นั ก ศึ ก ษ า ต้ อ ง อ่ า น ต า ร า แ ล ะ เรี ย น อ ย่ า ง เ ค ร่ ง เค รี ย ด และในฐานะที่ผู้จัดทาโครงงานยังเป็ นเด็กนักเรียนที่ต้องเรียนในระบบการศึก ษ า เ ช่ น นี้ จึงเกิดแนวคิดที่ว่าเราจะสามารถจดจาเนื้อหาการเรียนโดยที่ตัวเราไม่เครียดแ ต่กลับกลายเป็นคนที่สนุกกับการเรียนและได้พัฒนาทักษะสมองในการท่องจาไ ด้ อ ย่ า ง ไ ร แ ล ะ ผู้ จัด ท า โ ค ร ง ง า น ก็ ไ ด้ ศึ ก ษ า แ ล ะ พ บ ว่ า การเรียนโดยการใช้ความรู้เชื่อมโยงกับ Mind Map หรือแผนที่ความคิดนั้น ส า ม า ร ถ ช่ ว ย ใ ห้ ก า ร เ รี ย น พั ฒ น า ไ ด้ เพราะแผนที่ความคิดจะฝึกให้สมองคิดวิเคราะห์ จัดองค์ความรู้เป็ นหมวดๆ โด ยการใช้สีและภาพ ประกอบ ไม่เพี ยงแต่พัฒนาสมองและความจา แต่ก ารเรีย น ข อ งเราก็จ ะไม่น่ าเบื่อ อีก ต่อไ ป ทั้งห ม ด ที่ กล่าว ม า จึ ง เป็ น เห ตุ ผ ล ที่ ผู้ จัด ท า โ ค ร ง ง า น ตั ด สิ น ใ จ เลื อ ก หั ว ข้ อ นี้ เ พ ร า ะ ไ ม่ เ พี ย ง แ ต่ ผู้ จั ด ท า จ ะ ไ ด้ รั บ ค ว า ม รู้ เ ท่ า นั้ น แ ต่ ผู้ จั ด ท า ยั ง ส า ม า ร ถ เผ ย แ พ ร่ ค ว า ม รู้ นี้ ต่ อ นั ก เ รี ย น นักศึกษาคนอื่นให้ได้วิธีการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพแบบนี้อีกด้วยเช่นกัน วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
  • 3. 1.เพื่อศึกษาหาวิธีการเรียนให้ได้ประโยชน์สูงสุด 2.เรียนรู้การใช้สมองอย่างถูกต้อง 3.สามารถนาความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้ ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน) 1.กลไกในการจดจาของสมอง 2.รู้จักแผนที่ความคิดและวิธีการใช้ 3.ปัจจัยในการจดจาของสมอง 4.ระบบการเรียนที่เหมาะกับวัย หลักการและทฤษฎี Mind Map คืออะไร Mind Map ห รื อ แ ผ น ที่ ค ว า ม คิ ด เป็ นวิธีการบันทึกความคิดเพื่อให้เห็นภาพของความคิดที่หลากหลายมุมมอง ที่กว้าง และที่ชัดเจน โดยยังไม่จัดระบบระเบียบความคิดใดๆ ทั้งสิ้น เ ป็ น ก า ร เ ขี ย น ต า ม ค ว า ม คิ ด ที่ เ กิ ด ขึ้ น ข ณ ะ นั้ น การเขีย นมี ลักษ ณ ะเห มือน ต้นไม้แต กกิ่งก้านสาข าออกไปเรื่อย ๆ ทาให้สมองได้คิดได้ทางานตามธรรมชาติ และมีการจินตนาการกว้างไกล แ ผ น ที่ ค ว า ม คิ ด ยังเป็ นวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการบันทึกค วามคิดข องการอภิปรายกลุ่ม ห รือการระด มค วามคิด โด ย ให้สมาชิกทุ กค นเสนอค วามคิด เห็ น และวิทยากรจะทาการจดบันทึกด้วยคาสั้นๆ คาโตๆ ให้ทุกคนมองเห็น พ ร้ อ ม ทั้ ง โ ย ง เ ข้ า ห า กิ่ ง ก้ า น ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั น เพื่อรวบรวมความคิดที่หลากหลายของทุกคน ไว้ในแผ่นกระดาษแผ่นเดียว ท า ใ ห้ ทุ ก ค น ไ ด้ เห็ น ภ า พ ค ว า ม คิ ด ข อ ง ผู้ อื่ น ไ ด้ ชั ด เจ น และเกิดความคิดใหม่ต่อไปได้ วิธีการเขียน Mind Map และวิธีการพัฒนาสมองและความจา
  • 4. Mind map คื อ ก าร ถ่าย ท อ ด ค ว าม คิ ด ห รื อ ข้ อ มู ล ต่ าง ๆ ที่มีอยู่ในสมองลอกลงกระดาษ โดยการใช้ ภาพ สี เส้น และการโยงใย แทนการจดย่อแบบเดิม คนที่คิดเรื่อง Mind map ขึ้นมาคือ 'โทนี่ บูซาน' โทนี่เป็ นคนที่สนใจศึกษาถึงเรื่องการทางานของสมองมนุษย์ เมื่อ 30 ปี ก่ อ น นั ก วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ พ บ ว่ า ส ม อ ง ข อ ง ม นุ ษ ย์ มี 2 ซี ก ซีกซ้ายจะเป็ นเรื่องราวเกี่ยวกับทฤษฎีต่าง ๆเหตุผล ตัวเลขตรรกะ ลาดับ การวิเคราะห์ จังหวะ ส่วนซีกขวา คือเรื่อง จินตนาการ ภาพ มิติ ภาพรวม สี แ ต่ ข บ ว น ก า ร ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ใ น ปั จ จุ บั น ฝึกให้เราใช้สมองซีกซ้ายเพียงข้างเดียว คือ จาแต่ตัวหนังสือ อ่านแต่ตัวหนังสือ เราจึงไม่ได้ใช้สมองทั้งสองส่วนอย่างเต็มที่ โ ท นี่ สั ง เ ก ต ว่ า ค น ที่ เ รี ย น เ ก่ ง ๆ จ ะ มี วิ ธี ก า ร จ ด บั น ทึ ก ที่ ไ ม่ เ ห มื อ น ค น ทั่ ว ไ ป คื อ แ ท น ที่ จ ะ เริ่ ม เ ขี ย น จ า ก มุ ม ซ้ า ย ก ร ะ ด า ษ เ ป็ น แ ถ ว ๆ ไปจน จบ บรรทัด แล้วขึ้น บรรทัด ให ม่ แต่ค นเห ล่านี้ จะเลือกใช้ค า ห รื อ ป ร ะ เ ด็ น ห ลั ก ๆ ห รื อ ภ า พ แ ท น ป ร ะ โ ย ค ย า ว ๆ เขาเลยพัฒนาแนวความคิดขึ้นมา Mind map นี้ก็เป็ นที่นิยมไปทั่วโลก มีคนใช้วิธีการนี้ทั่งในด้านการเรียนและการทางานเป็นล้าน ๆ คน การใช้ Mind map ในประเทศไทย ใน ต่าง ป ร ะเท ศ มี ห ล าย ๆ ป ร ะเท ศ ที่ น าเรื่ อ ง Mind map มาใช้ในการเรียนหรือการทางานมานานแล้ว โดยเฉพาะในบริษัทใหญ่ ๆ ทั่ ว โ ล ก ส่วนในเอเชียเท่าที่ทราบข้าราชการตารวจในประเทศสิงคโปร์ก็ใช้เรื่องนี้มาช่ว ยในการสืบคดี การเชื่อมโยงข้อมูลของคดีต่าง ๆ การสืบหาตัวคนร้าย ส่ ว น ใ น ป ร ะ เท ศ ไ ท ย เรื่ อ ง Mind map เข้ า ม า ค่ อ น ข้ า ง ช้ า แต่ปัจจุบันนี้ก็เริ่มแพร่หลายมากขึ้นในระดับธุรกิจทราบมาว่า บริษัท AMD (Thailand) ก็นามาใช้ในการพัฒนาทรัพ ยากรมนุษย์ โด ยรับมาจาก บริษัทแม่ที่สหรัฐ ในด้านการเรียนการสอนก็มีหลายสถาบันศึกษาที่นาเรื่อง
  • 5. Mind map มาใช้ เช่น สถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราช โรงเรียนรัตนาธิเบศร์ นนทบุรี เป็นต้น Tony Buzan “พ่อมดมหัศจรรย์แห่งสมอง” “ถ้าแกมีมันสมองในหัวสักหน่อย แกคงเป็ นคนดีเหมือนใคร ๆ เขา แ ล ะ เ ป็ น ค น ดี ก ว่ า ค น บ า ง ค น เ สี ย อี ก ในโลกนี้มันสมองเป็นสิ่งเดียวที่มีค่าไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นกาหรือเป็นคน” เจ้ากาใน ห นังสือ “พ่ อม ด ม หัศ จรรย์ แห่งออซ ” บอกกับหุ่น ไล่ก า ทาให้มันเกิดแรงบันดาลใจและตัดสินใจว่าจะพยายามอย่างหนักที่จะหามันสม อ ง ใ ห้ ไ ด้ มันตัดสินใจร่วมขบวนเดินทางไปเมืองมรกตกับโดโรธีเพื่อขอสมองจากออซผู้ ยิ่งใหญ่ ตามนิทานที่แฟรงก์ โบม เล่าไว้เมื่อ 109 ปีก่อน หลังจากแฟรงก์ โบมพิมพ์ห นังสือ “พ่อมดมหัศ จรรย์แห่งออซ ” ออกจาหน่ายได้ประมาณ 70 ปี นักจิตวิทยาประยุกต์ชาวอังกฤษชื่อ “โทนี บูซาน” (Tony Buzan) ก็ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ BBC ของอังกฤษ แนะนาให้โลกได้รู้จักกับเครื่องมือช่วยให้คนเราใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภา พสูงสุด เขาเรียกเครื่องมือที่เปรียบเสมือน “มีดพับอเนกประสงค์ของสมอง” ว่า “Mind Map” โ ท นี ยื น ยั น ว่ า Mind Map เ ป็ น เ ค รื่ อ ง มื อ ที่ ทุ ก ค น ใ ช้ ไ ด้ ตั้งแต่คนที่คิดว่าในหัวตัวเองมีแต่ “ขี้เลื่อย” แบบหุ่นไล่กาในนิทานของโบม หรือผู้ที่เป็ นอัจฉริยบุคคลอย่างลีโอนาร์โด ดา วินชี เมื่อห้าร้อยปี ที่แล้ว มาจนถึงบิล เกตต์ในยุคปัจจุบัน “ด้ ว ย เ ท ค นิ ค นี้ นักเรีย นที่ เรีย นเป็ นที่ โห ล่ข องชั้ นสาม ารถก้า วขึ้นมา อยู่แ นวห น้ า เพราะเด็กกลุ่มนี้รู้วิธีใช้สมองให้ดีขึ้น” Mind Map เป็ นกระบวนการที่ทาให้เราได้ใช้ทักษะของสมองทุก ๆ ส่ ว น อ ย่ า ง เ ต็ ม ที่ จนทาให้ผู้ที่ใช้มีอิสระที่จะท่องไปในอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุ ดของสมอง “ผ ม มี เ ซ ล ส ม อ ง อ ยู่ นั บ ล้ า น ล้ า น เ ซ ล ในยามที่ผมมีความคิดสร้างสรรค์ผมรู้สึกได้เลยว่าเซลเหล่านี้ทางานอย่างมีสมร รถนะสูง แต่เมื่อใดที่ผมเครียดหรือเหนื่อย ระดับของมันก็จะตกลงมา มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ อาหารและเครื่องดื่มที่รับประทานเข้าไป “จุดมุ่งหมายของผมอยู่ที่การให้การศึกษาผู้คนเรื่องสมองของพวกเขา แ ล ะ ส อ น ใ ห้ รู้ วิ ธี ใ ช้ ส ม อ ง อ ย่ า ง มี แ ร ง จู ง ใ จ ผมให้เครื่องมือกับผู้คนและสอนวิธีเรียนรู้ให้แก่พวกเขา” นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 เป็นต้นมา โทนี บูซานเดินทางไปบรรยายเรื่องสมอง การเรียนรู้ ความคิดสร้างสรรค์และ Mind Map ให้กับนักเรียน นักศึกษา ข้ า ร า ช ก า ร นั ก ธุ ร กิ จ
  • 6. และผู้บริหารระดับบริษัทและระดับประเทศทั่วโลกประมาณ 100 ประเทศ เ ข า จึ ง ว่ า เ ป็ น Pro. Trainer ร ะ ดั บ โ ล ก ที่ Go Training ภาคภูมิใจที่จะนาเสนอ ชีวิตวัยเด็ก จากการที่ผู้เขีย นเป็ นศิษย์ ช าวไทย ค น แรกข อง โทนี บู ซ าน ไ ด้ มี โ อ ก า ส พ บ เ ข า ค รั้ ง แ ร ก ที่ สิ ง ค โ ป ร์ เ มื่ อ ปี พ .ศ . 2541 ประมาณหนึ่งปี หลังจากที่เดินทางไปรับการอบรมเพื่อมาเป็ นวิทยากรฝึกการใ ช้ Mind Map จาก แ ว น ด า น อ ร์ ธ ที่ เมื อ งพู ล ส ห ร าช อ า ณ า จัก ร ผู้เขียนได้มีโอกาสฟังโทนี เล่าถึงประวัติของเขาและกาเนิดของ Mind Map นับครั้งไม่ถ้วน จึงขอประมวลมาแบ่งปันกับให้ผู้อ่าน Go Training ในฉบับนี้ โทนี บูซาน เป็ นชาวอังกฤษ เกิดที่ Brookfield Park Nursing Home, Palmers Green, ใ น ก รุ ง London เมื่ อ วัน ที่ 2 มิ ถุ น า ย น 2485 ชื่ อ สู ติ บัต ร ข อ งเข า ต อ น แ ร ก เกิด คื อ “Anthony Peter Buzan” เป็ นบุตรของนางจีน (นามสกุลเดิม née Burn) และนาย Gordon Buzan มีนิวาสสถานอยู่ที่ Shangri-la, Western Drive, Shepperton อันที่จริงนามสกุลของโทนี ถ้าจะเขียนให้ตรงกับเสียง ต้องเขียนว่า “บิวแซ น” แต่ในประเทศ ไทย ได้มีการใช้ตัวเขีย นว่าเป็ น “บูซ าน ” จนเป็นที่นิยมทั่วไป โทนี บูซานสาเร็จการศึกษาด้านจิตวิทยา ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ทั่วไป จาก University of British Colombia ใ น ป ร ะ เ ท ศ แ ค น า ด า ซึ่งเขาได้พื้นฐานในการคิดนวัตกรรรมใหม่ในการจดบันทึกและรู้วิธีการใช้สม องอย่างเต็มที่ จากก ารศึกษ าค้น ค ว้าใน มห าวิทย าลัย แ ห่งนี้ นี่ เอ ง โดยช่วงที่เริ่มฟูมฟักทฤษฎี Mind Map ใหม่ ๆ โทนี จะช่วยเพื่อน เด็ก แ ล ะ นั ก เรี ย น ที่ มี ปั ญ ห า ใ น ก า ร จ ด จ า จ า ก บั น ทึ ก ที่ จ ด ไ ว้ ให้กลายเป็นคนที่เรียนเก่งขึ้นมาได้
  • 7. โทนีเคยย้อนราลึกว่า บ้านเดิมของเขาชื่อ Shangri-la ซึ่งหมายถึง 'ส ว ร ร ค์ บ น ดิ น ที่ ม นุ ษ ย์ จิ น ต น า ก า ร ขึ้ น ม า ' ดังนั้นเขาจึงจินตนาการถึงหุบเขาที่เป็นสวรรค์บนดินมาโดยตลอดการเดินทาง ข อ ง ชี วิต แ ล ะซึ ม ซั บ สิ่ง นี้ จ น ท า ให้ เป็ น ค น ที่ ม อ งโ ล ก ใน แ ง่ดี ชอบที่จะส่งเสริมให้ผู้อื่นได้ยกระดับความสามารถจนเต็มศักยภาพของตัวเอง ช่วงปีพ.ศ. 2485-2450 สมัยที่โทนีเป็นเด็ก ศาสตราจารย์เซอร์เฟเดอริก ทรูบี คิ ง ( Professor Sir Frederick Truby King) เป็ นผู้ที่มีอิทธิพลต่อการเลี้ยงดูทารกในอังกฤษอย่างมาก หนังสือของเขาชื่อ “ Mothercraft” เ ป็ น เ ส มื อ น คั ม ภี ร์ ก า ร เ ลี้ ย ง ดู ลู ก แ ห่ ง ยุ ค จีนแม่ของโทนีก็อยู่ในกลุ่มคุณแม่วัยสาวที่เปิดตาราของทรูบีเลี้ยงโทนีและน้อง ช า ย ข อ ง เ ข า ดั ง นั้ น โทนีจึงได้รับการสั่งสอนจากแม่แบบค่อนข้างจะจู้จี้มากกว่าแม่ ๆ ในยุคปัจจุบัน จ า ก ห น้ า ห นึ่ ง ใ น ส มุ ด บั น ทึ ก ข อ ง แ ม่ ข อ ง โ ท นี เธอสังเกตว่าลูกชายของเธอแสดงความฉลาดเกินวัยมาตั้งแต่เล็ก ๆ มี หัวคิ ด ที่ เป็ น เห ตุ เป็ น ผ ล ติ ด ห นั งสื อ แ ล ะมี ค วา ม จ าเป็ น เลิศ ข อ ง เล่ น ที่ โ ท นี ช อ บ เป็ น พิ เศ ษ คื อ ลู ก ปั ด สี แ ล ะ เ ป็ ด ไ ม้ แต่ไม่สู้จะสนใจตุ๊กตาผ้าเท่าไร แต่อันที่จริงโทนีชอบ “ของจริง” มากกว่า “ของเล่น” ตอนอายุ 8 ขวบเด็กชายโทนีเลี้ยงแมว ชื่อ “แพดดี” และกระต่ายชื่อ “ปองโก้” หนังสือเล่มแรกของโทนี เมื่อเขาอายุ 8 ขวบคือ “สัตว์เลี้ยงของฉัน” เขาเขียนถึงกระต่ายน้อยปองโก้ที่ตายไปว่า “เจ้ากระต่ายปองโก้ตายไปแล้ว แ ต่ฉั น เก็ บ เงิน ไว้ห้ าป อ น ด์ เพื่ อ จ ะให้ ค น ส ต๊าฟ มัน ไ ว้ให้ ฉั น ” และโทนีก็มักติดเจ้าปองโก้สต๊าฟเวลาเดินทางไปไหนมาไหนจนเขาอายุ 40 ปี ปองโก้สต๊าฟก็หมดสภาพ ต้องนาไปฝัง ส่วนเจ้าแมวเหมียวแพ ดดีนั้น โทนีก็ผูกพันมากเช่นกัน แม้ว่าเมื่อมันตายลง โทนีจะไม่ได้เอามันไปสต๊าฟ
  • 8. แต่เขาก็แทบจะกลั้นน้าตาไม่อยู่เพราะ “เจ้าน่ารักมากและฉันรักเจ้าจริง ๆ” ด้ ว ย ค ว า ม รั ก แ ล ะ ผู ก พั น กั บ สั ต ว์ เ ลี้ ย ง ทาให้ค วามฝั น ใน ชี วิต ข องโท นี ใน วัย เด็ กไป จน ถึงอายุ 20 ปี คื อ การได้เป็ นนักกีฏวิทยา นักสัตววิทยา ผู้ดูแลสัตว์ในสวนสัตว์ สัตวแพทย์ และนักจิตวิทยาสัตว์ ในเรื่องการเป็ นนักอ่านและนักเขีย นเขาเริ่มต้นตอนอายุ 14 ปี โ ด ย ก่ อ น ห น้ า นี้ โ ท นี คิ ด ว่ า บ ท ก วี เ ป็ น เ รื่ อ ง ไ ร้ ส า ร ะ แต่เมื่อคุณครูคนหนึ่งอ่านบทกวีชื่อ “The Eagle” ของ “Alfred Lord Tennyson” เ ข า ก็ เ ป ลี่ ย น ค ว า ม คิ ด แ ล ะ ก ล า ย เป็ น ทั้ ง นั ก อ่ า น ตั ว ย ง แ ล ะ นั ก เ ขี ย น มื อ ฉ ก า จ ห นั ง สื อ ที่ เ ข า อ่ า น เ ป็ น ป ร ะ จ า คื อ ง า น ข อ ง เ ช็ ค ส เปี ย ร์ และยังตามอ่านหนังสือที่เด็กติดกันงอมแงมทั้งโลก อย่าง “Lord of the Rings” แ ล ะ “ Harry Potter” ซึ่ ง โ ท นี คิ ด ว่ า เต็ ม ไ ป ด้ ว ย อ า ร ม ณ์ ขั น แ ล ะ ภ า พ ที่ ส ว ย ง า ม นอกจากนี้เขายังเขียนบทกวีไว้เองถึง 1,000 ชิ้น และหนังสือนับร้อยเล่ม หาคู่มือการใช้สมองไม่ได้เลยเขียนเสียเอง โ ท นี เ ล่ า ว่ า ต อ น เ รี ย น อ ยู่ ที่ British Colombia เขาเคยถามบรรณารักษ์ห้องสมุดว่าอยากได้หนังสือที่สอนวิธีใช้สมอง บ ร ร ณ า รัก ษ์ ชี้ ไ ป ท า ง ห ม ว ด แ พ ท ย์ ศ า ส ต ร์ โ ท นี ไ ป พ ลิ ก ๆ ดู แ ล้ ว ก็ ก ลั บ ม า ถ า ม บ ร ร ณ า รั ก ษ์ ใ ห ม่ ว่ า ต้องการห นังสือที่บอกว่าจะใช้สมองอย่างไรต อนที่มันยังอยู่กับตัว ไ ม่ ใ ช่ ผ่ า อ อ ก ม า ดู ว่ า มั น เ ป็ น อ ย่ า ง ไ ร บรรณารักษ์จึงสรุปว่าไม่มีหนังสือแบบที่โทนีต้องการ เขาจึงตัดสินใจว่า เขาจะเขียนหนังสือนี้ขึ้นมาให้ชาวโลกไว้อ่านเล่มหนึ่ง และหนังสือเล่มนั้นก็คือหนังสือชื่อ “Use Your Head” หรือ “ใช้หัวคิด” ซึ่งนับว่าเป็นหนังสือเล่มแรกที่อุทิศเนื้อหาทั้งเล่มให้กับการใช้สมองอย่างถูกวิธี และให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื้อหาหนึ่งในนั้นก็คือการแนะนาให้โลกรู้จัก Mind Map เป็นครั้งแรกด้วย โทนี กับ Mind Map โ ท นี ห ล ง เส น่ ห์ แ ล ะ ช อ บ ห นั ง สื อ ม า ตั้ ง แ ต่ อ ยู่ อ นุ บ า ล เพ ราะในห นังสือจะใช้ตัวห นังสือข นาด ให ญ่และเขียนด้วย ดินสอ สี แ ต่ ยิ่ ง เรี ย น ม า ก ขึ้ น ข น า ด ตั ว ห นั ง สื อ ก็ ค่ อ ย ๆ ล ด ล ง ค วามน่ าสน ใจแ ละค วามโป รด ป ราน ก็ค่อย ๆ ลด ลงต ามไป ด้วย แถมเมื่อโตขึ้นเรียนชั้นประถมตัวอักษรที่ครูให้เขาเขียนก็ถูกจองจาอยู่ในบรร ทัด แล้วยังให้ใช้ปากกาหรือดินสอได้เพียงสีเดียว เหมือนกันทั้งชั้นเรียน แม้โทนีจะเป็ นเด็กช่างจด แต่เขาก็เริ่มสังเกตว่ายิ่งจดมากยิ่งจาไม่ได้ พ อ เ ข้ า ม ห า วิ ท ย า ลั ย ห นุ่ มน้อย โทนี ก็เริ่มเรีย น รู้และชื่ น ช มระบ บค วาม จาข องช าวกรีก
  • 9. ที่ ใ ช้ จิ น ต น า ก า ร แ ล ะ ก า ร เชื่ อ ม โ ย ง ม า ช่ ว ย จ า สิ่ ง ต่ า ง ๆ นับพันรายการได้อย่างแม่นยา โดยในวิชาเอกของเขา จิตวิทยาก็ยืนยันว่า หลักการสองประการที่สาคัญในช่วงของการเรียนรู้คือการเชื่อมโยงข้อมูลและ การใช้จินตนาการ โ ท นี เ ริ่ ม ทึ่ ง กั บ ค ว า ม ส า ม า ร ถ ข อ ง ส ม อ ง และพ บว่าสมองข องค น เรามี พ ลังที่ ยิ่งให ญ่ซ่อน ไว้อย่างมห าศ าล เข าเริ่ม ทุ่ม ค ว า ม ส น ใ จ ให้ กับ เท ค นิ ค ค ว า ม จ า ก า ร จ ด บัน ทึ ก และความคิดสร้างสรรค์ ยิ่งได้พ บว่า นักคิด ผู้ยิ่งให ญ่ข องโลก อย่าง ลีโอนาร์โด ดา วินชิ ใช้รูปภาพและสัญลักษณ์ เป็ นสิ่งที่ช่วยในการจดจา ก็ยิ่งเป็นการยืนยันในสิ่งที่เขากาลังทุ่มเทอยู่ โท นี เล่ าใ ห้ ฟั ง ว่ า “ใ น ต อ น นั้ น สิ่ ง เดี ย ว ที่ ผ ม นึ ก ถึ ง คื อ เ ค รื่ อ ง มื อ ท า ง ค ว า ม คิ ด ที่ จ ะ ส า ม า ร ถ ป ร ะ ยุ ก ต์ ใ ช้ ใ น ทุ ก รู ป แ บ บ กิ จ ก ร ร ม ข อ ง ม นุ ษ ย์ และตั้งอยู่บ น พื้ น ฐ าน ก ารทางาน แบ บ เดีย วกัน กับส มอ งข อ งเร า ผมต้องการเครื่องมือที่สามารถทางานประสานกับการทางานของสมองตามธร ร ม ช า ติ ม า ก ก ว่ า สิ่ ง ที่ จ ะ จ า กั ด ค ว า ม คิ ด ข อ ง ม นุ ษ ย์ เช่ น การบังคับให้เราต้องทางาน ขัด แย้งกับลักษณะที่ธ รรมชาติสร้างมา ใ น ที่ สุ ด สิ่ ง ที่ ป ร า ก ฏ ขึ้ น ใ น ค ว า ม คิ ด ข อ ง ผ ม ก็คือเค รื่องมือทางค วามคิด ที่มีลักษ ณะเป็ นแฉก ๆ ค ล้ายรูป ‘ด าว’ มันดูเรียบง่าย สวยงาม และที่สาคัญเครื่องมือชนิดนี้ มีหลักการสาคัญ คือ ความคิดสร้างสรรค์และกระบวนการคิดแบบแผ่รัศมีอีกด้วย” แ ม้ จ ะ ยั งไ ม่ ไ ด้ พั ฒ น า เค รื่ อ ง มื อ ให ม่ อ ย่ า ง เต็ ม รู ป แ บ บ แต่โทนีก็จบปริญญาตรีโดยได้รับ “เกียรตินิยม” ห้อยท้าย มหาวิทยาลัย British Columbia จึ ง ต ะ ค รุ บ ตั ว เข า ไ ว้ ใ ห้ เ ป็ น อ า จ า ร ย์ ต่ อ แ ละม อ บ ห ม าย ให้ ส อน วิช า จิต วิท ย า 101 ใ ห้กับ นัก ศึก ษ าปี 1 ซึ่งเขาก็ดาเนินการตามแบบอาจารย์รุ่นพี่ ๆ คือเตรียมสอนเป็นโน้ตแบบเดิม ๆ แ ล้ ว ก็ อ่ า น ต า ม แ ผ่ น ก ร ะ ด า ษ ที่ จ ด ม า ร ะ ห ว่ า ง ร่ า ย ย า ว นั ก ศึ ก ษ า ก็ จ ด ค า บ ร ร ย า ย เป็ น บ ร ร ทั ด ๆ ด้วยปากกาหรือดินสอสีเดียว พอถึงเนื้อหาเรื่องช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ที่มีอยู่ 4 ช่วงซึ่งสมองค นจะจาดีที่สุด คือ ช่วงต้น ต อนจบ ช่วงที่มีจุดเด่น และช่วงที่มีการเชื่อมโยง โทนีก็นึกขึ้นมาได้ว่า “นี่ผมกาลังสอ นนักศึกษาถึงเรื่องการฟื้ นค วามจาและห ลักการเรียนรู้ ด้วยวิธีที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมสอนโดยสิ้นเชิงหรือนี่ !”
  • 10. จาก วัน นั้ น เป็ น ต้น ม าโท นี ก็ พัฒ น า Mind Map จ น ต ก ผ ลึก และนามาใช้ในการถ่ายทอดความรู้ให้กับนักศึกษาของเขา โทนีสรุปว่า “คนเราทุกรูปทุกนามสามารถเป็ นคนฉลาดหลักแหลมด้วยกันได้ทั้งนั้น มั น ขึ้ น อ ยู่ กั บ ว่ า เ ข า ไ ด้ รั บ โ อ ก า ส นั้ น ห รื อ ไ ม่ แ ล ะ เ ข า ไ ด้ เ ค รื่ อ ง มื อ พั ฒ น า ส ม อ ง ไ ป ใ ช้ ห รื อ ไ ม่ ขอย้าว่าการพัฒนาความคิดนั้นขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมมากกว่ากรรมพันธุ์ ผ ม ช อ บ ร ะ บ บ ก า ร ส อ น ที่ ผู้ ส อ น ใ ห้ นั ก เ รี ย น รู้ วิ ธี เ รี ย น ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือในโรงเรียน ผมได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งรอบด้าน ร ว ม ทั้ ง จ า ก ลี โ อ น า ร์ โ ด ด า วิ น ชี ด้ ว ย เพราะเขานาศาสตร์และศิลป์ มาประยุกต์ใช้ร่วมกันได้อย่างลงตัว” กฎง่ายๆของการใช้ Mind Map 1. แก่นแกน (ภาพหัวเรื่อง) มีขนาดพอเหมาะ ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป 2. ห้ามล้อมแก่นแกนด้วยเส้นรอบวงใด ๆ ทั้งสิ้นเว้นแต่ว่ามีนัยสัมพันธ์กับเรื่องนั้น ๆ 3. เส้นของกิ่งแก้วต้องเชื่อมโยงกับแก่นแกนเสมอ 4. กิ่งก้อยที่แตกออกจากกิ่งแก้วควรมีสีเดียวกับกันเพื่อให้จาง่าย 5. เส้นต้องมีความยาวสัมพันธ์กับคาหรือภาพ 6. ต้องแตกกิ่งที่จุดสุดท้ายของเส้นเสมอ 7. เส้นทุกเส้นของกิ่งแก้วและกิ่งก้อยต้องเชื่อมโยงกัน อย่าเขียนให้ขาดหรือแหว่ง 8. คายิ่งสั้นยิ่งดี 9. เวลาเขียน Mind Map บนกระดาษแผ่นเดียว อย่าหมุนกระดาษจนเป็นวงกลม จนทาให้คาบางคากลับหัว 10. ห้ามเขียนภาพ หรือคาแล้วล้อมด้วยวงกลมหรือรูปเหลี่ยม 11. ห้ามเขียนคา/ภาพปิดท้ายเส้น
  • 11. 12. ห้ามเขียนคาคา/ภาพทั้งบนและใต้กิ่งเดียวกัน 13. ไม่ควรใช้วลีหรือประโยคใน Mind Map เลือกแต่คาที่เป็นประเด็นหลักเท่านั้น สมองเรียนรู้อย่างไร ถึ ง แ ม้ ว่ า สมองจะถูกเข้าใจว่าเป็ นสิ่งอัศจรรย์ ที่สุดในร่างกายมนุษย์มานานแล้ว แต่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งเริ่มเข้าใจความมหัศจรรย์ของสมองมนุษย์อย่างลึกซึ้งเมื่ อช่วงปลายศตวรรษที่ 20 นี้เอง และสามารถให้คาอธิบายอย่างละเอียดว่า สมองมนุษย์ที่น่าทึ่งนี้มีการทางานอย่างไร ส ม อ ง มี ก า ร จั ด ร ะ บ บ ก า ร ท า ง า น ที่ ซั บ ซ้ อ น และมีความยืดหยุ่นในการพัฒนาปรับเปลี่ยนตัวเองได้ดีไม่น้อยไปกว่าอวัยวะใ ดๆ ในร่างกาย สมองถูกออกแบบมาเพื่อการเรียนรู้ เพื่อ “ความอยู่รอด” เป็ นสาคัญ เด็กเล็กๆ เริ่มเรียนรู้ที่จะร้องไห้ ยิ้ม หัวเราะ กินอาหาร คลาน นั่ง เดิน พูด แ ล ะ ท า กิจ ก ร ร ม ต่ า ง ๆ เป็ น ผ ล จ า ก ก า ร ที่ ส ม อ ง รับ รู้ เรี ย น รู้ พัฒนาและเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อจะมีชีวิตรอด สมองพัฒนาศักยภาพในการคิด ความจา ผ่านกระบวนการที่เรียนว่า “ก ารเรี ย น รู้” ซึ่ งจ ะด าเนิ น ไป ต าม ก าห น ด “เวลา ” ที่ เห ม าะส ม เราจึงให้ความสาคัญกับ “พัฒนาการตามช่วงวัย”
  • 12. ส ม อ ง ม นุ ษ ย์ ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย เ ซ ล ล์ จ า น ว น ม ห า ศ า ล เด็กแรกเกิดมีเซ ลล์สมองประมาณ หนึ่งแสนล้านเซ ลล์ (เมื่อเทีย บกับ ลิงมีหนึ่งหมื่นล้านเซลล์ หนูมีห้าล้านเซลล์ และแมลงหวี่มีหนึ่งแสนเซลล์) เ ชื่ อ ม ต่ อ กั น ด้ ว ย แ ข น ง ที่ ยื่ น อ อ ก จ า ก ตั ว เ ซ ล ล์ โยงใยเป็นเครือข่ายร่างแหของวงจรขนาดมหึมา ส ม อ ง ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย เค รื อ ข่ าย เซ ล ล์ ส ม อ งที่ เชื่ อ ม โย งกัน ซึ่งมีความสาคัญมากต่อการเรียนรู้ มีรายงานผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า เด็กอนุบาลสามารถเรียนรู้ภาษาพร้อมกันได้ถึง 7 ภาษา นักวิทยาศาสตร์ให้ข้อสังเกตว่า เด็กมีศักยภาพที่จะพูดได้กว่า 5,000 ภ าษ าเท่า ที่ มี อ ยู่ ใน โล ก แ ต่ ค ว าม ส าม ารถ นี้ จ ะค่อ ย ๆ ห ม ด ไ ป เมื่อเด็กไม่ได้นามาใช้ เ มื่ อ เ ร า อ ยู่ ใ น ก ร ะ บ ว น ก า ร เ รี ย น รู้ เ ซ ล ล์ ส ม อ ง จ ะ ส ร้ า ง ก า ร เ ชื่ อ ม โ ย ง ที่ ซั บ ซ้ อ น จนเกิดเป็นร่างแหเครือข่ายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจานวนเซลล์อาจไม่สาคัญเท่ากับ การเชื่อมโยงเป็ นเครือข่ายซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ตลอดเวลาที่เรามี ชี วิ ต อ ยู่ ความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนนี้เองที่ทาให้สมองมนุษย์สามารถเรียนรู้ได้ตล อดชีวิต สมองซีกซ้าย – สมองซีกขวา สอดประสานกันเป็นองค์รวม สมองซีกซ้าย โดดเด่นในการเรียนรู้และทาความเข้าใจภาษา เหตุผ ล รายละเอียด
  • 13. สมองซีกขวา โดดเด่นในการเรียนรู้และทาความเข้าใจมิติ ความรู้สึก ภาพรวม ส ม อ ง ส อ ง ซี ก ท า ง า น ป ร ะ ส า น กั น แ บ บ อ ง ค์ ร ว ม ผ่ า น ใ ย ป ร ะ ส า ท ที่ พ า ด ผ่ า น จ า ก ซี ก ห นึ่ ง ไ ป ยั ง อี ก ซี ก ห นึ่ ง เ ร า เ รี ย ก ก ลุ่ ม ใ ย ป ร ะ ส า ท นี้ ว่ า ค อ ร์ ปั ส แ ค ล โ ล ซั ม ก า ร ผ ส า น ก า ร รั บ รู้ แ ล ะ มุ ม ม อ ง ข อ ง ส ม อ ง ทั้ ง ส อ ง ซึ ก ทาให้เห็นภาพและเข้าใจความหมายของสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน เ มื่ อ ไ ด้ รั บ ก า ร ก ร ะ ตุ้ น จ า ก สิ่ ง เ ร้ า ภ า ย น อ ก เซลล์สมองจะส่งสัญญาณข้อมูลในรูปกระแสไฟฟ้าไปตามแขนงใยประสาทที่เรี ยกว่า แอกซอน ส่งต่อให้แขนงใยประสาทที่ทาหน้าที่รับข้อมูลที่เรียกว่า เดนไดรท์ของอีกเซลล์หนึ่ง จุ ด ที่ เ ชื่ อ ม ต่ อ กั น ข อ ง แ อ ก ซ อ น แ ล ะ เ ด น ไ ด ร ท์ จะมีการแปลงข้อมูลในรูปสัญญาณไฟฟ้าเป็นสารเคมีที่เรียกว่า สารสื่อประสาท เราเรีย กจุด เชื่ อมต่อในการรับส่งสัญ ญาณข้อมูลนี้ ว่า จุดซี นแนปส์ “นาทีแห่งการเรียนรู้” เริ่มขึ้น ณ จุดนี้ อารมณ์มีผลต่อกระบวนการเรียนรู้ อ า ร ม ณ์ มี อิ ท ธิ พ ล ต่ อ ค ว า ม ส น ใ จ แ ล ะ ค ว า ม ตั้ ง ใ จ โดยอาจจะกระตุ้นหรือยับยั้งทาให้ความสนใจและความตั้งใจในการเรียนรู้เพิ่ม ขึ้นหรือลดลงได้ ข้อมูลที่น่าเบื่อ ไม่น่าสนใจ ไม่มีความหมายต่อตนเอง ห รื อ ส ม อ ง ไ ม่ เ ข้ า ใ จ ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ข อ ง ข้ อ มู ล สมองส่วนที่ทาหน้าที่ส่วนสัญชาตญาณจะเตือนว่า “เลิกคิดได้แล้ว” เสียเวลา เสียพลังงานสมอง อ า ร ม ณ์ มี อิ ท ธิ พ ล ต่ อ ค ว า ม จ า การผ่านพบสรรพสิ่งหรือเหตุการณ์ที่มีอารมณ์ประทับอยู่ด้วยจะกลายเป็นควา มทรงจาที่แจ่มชัดยืนนานอย่างยิ่ง อ า ร ม ณ์ เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ไ ด้ ด้ ว ย ก า ร เ รี ย น รู้ ส ม อ ง ส่ ว น อ า ร ม ณ์ ส า ม า ร ถ เ รี ย น รู้ แ ล ะ ป รั บ เป ลี่ ย น ไ ด้ เมื่อมีการบันทึกการตอบสนองอย่างใหม่ต่อสิ่งที่กระตุ้นเร้าลงในสมองส่วนอาร ม ณ์ อ า ร ม ณ์ แ ล ะ ค ว า ม รู้ สึ ก ต่ อ สิ่ ง ต่ า ง ๆ อาจแตกต่างและเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้ เช่น เคยเกลียดภาษาอังกฤษ เพ ร า ะ อ า ย แ ล ะเสี ย ใ จ ที่ ถู ก ค รู ดุ แ ต่ เมื่ อ ไ ด้เรี ย น กับ ค รู ที่ ใ จ ดี กลับเปลี่ยนเป็นชอบภาษาอังกฤษ
  • 14. วิธีดาเนินงาน แนวทางการดาเนินงาน -ปรึกษาเลือกหัวข้อ -นาเสนอหัวข้อกับครูผู้สอน -ศึกษารวบรวมข้อมูล -จัดทารายงาน -นาเสนอครู -ปรับปรุงและแก้ไข เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ -อินเตอร์เน็ต -หนังสือที่เกี่ยวข้อง -คอมพิวเตอร์ -โทรศัพท์ งบประมาณ -100 บาท ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน ลาดั บ ที่ ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 1 0 1 1 1 2 1 3 1 4 1 5 1 6 17 1 คิดหัวข้อโครงงาน 2 ศึกษาและค้นคว้า ข้อมูล 3 จัดทาโครงร่างงาน 4 ปฏิบัติการสร้างโค รงงาน
  • 15. 5 ปรับปรุงทดสอบ 6 การทาเอกสารราย งาน 7 ประเมินผลงาน 8 นาเสนอโครงงาน ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1.ผู้จัดทามีความเข้าใจในหัวข้อที่สนใจมากขึ้น 2.สามารถนาไปประยุกต์ใช้กับการเรียนได้จริง 3.สามารถนาความรู้เผยแพร่ให้กับเพื่อนนักเรียนได้ 4.ผู้จัดทามีความเข้าใจในการทางานอย่างเป็นระบบมากขึ้น สถานที่ดาเนินการ 1.ห้องคอมพิวเตอร์ โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย 2.ห้องสมุด โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง 1.กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 2.กลุ่มพัฒนาผู้เรียน บรรณานุกรม Mind Map คืออะไร(2551). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://www.dpu.ac.th/techno/page.php?id=3334 (วันที่ค้นข้อมูล : 24 มกราคม 2560) วิธีการเขียน Mind Map + วิธีการพัฒนาสมองและความจา(2560). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://www.unigang.com/Article/1428 (วันที่ค้นข้อมูล : 24 มกราคม 2560) Tony Buzan “พ่อมดมหัศจรรย์แห่งสมอง”(2552). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://oknation.nationtv.tv/blog/MindMap/2009/03/22/entry-2 (วันที่ค้นข้อมูล : 6 มกราคม 2560) ลากเส้นสีเป็นแผนที่ความคิด (Mind Map)(2552). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://www.manager.co.th (วันที่ค้นข้อมูล : 6 มกราคม 2560)