More Related Content
Similar to Work1 pjcom (20)
Work1 pjcom
- 2. ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
1.นางสาว รามาวดี ปัญญา เลขที่ 12 ชั้น ม.6 ห้อง 4
2.นางสาว ทอภัค ชื่นวิไลทรัพย์ เลขที่ 17 ขั้น ม.6 ห้อง 4
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
แผนที่ความคิดสร้างจินตนาการ
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Mina Map and imaginations
ประเภทโครงงาน พัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาว รามาวดี ปัญญา และ นางสาว ทอภัค
ชื่นวิไลทรัพย์
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
ก าร ศึ ก ษ า ใน ป ร ะเท ศ ไ ท ย ปัจ จุ บัน ยังเน้ น ที่ ก าร ท่ อ ง จ า
และจานวนปริมาณของเนื้อหาในการเรียน ซึ่งเป็ นปัจจัยหนึ่งที่ทาให้นักเรียน
นั ก ศึ ก ษ า ต้ อ ง อ่ า น ต า ร า แ ล ะ เรี ย น อ ย่ า ง เ ค ร่ ง เค รี ย ด
และในฐานะที่ผู้จัดทาโครงงานยังเป็ นเด็กนักเรียนที่ต้องเรียนในระบบการศึก
ษ า เ ช่ น นี้
จึงเกิดแนวคิดที่ว่าเราจะสามารถจดจาเนื้อหาการเรียนโดยที่ตัวเราไม่เครียดแ
ต่กลับกลายเป็นคนที่สนุกกับการเรียนและได้พัฒนาทักษะสมองในการท่องจาไ
ด้ อ ย่ า ง ไ ร แ ล ะ ผู้ จัด ท า โ ค ร ง ง า น ก็ ไ ด้ ศึ ก ษ า แ ล ะ พ บ ว่ า
การเรียนโดยการใช้ความรู้เชื่อมโยงกับ Mind Map หรือแผนที่ความคิดนั้น
ส า ม า ร ถ ช่ ว ย ใ ห้ ก า ร เ รี ย น พั ฒ น า ไ ด้
เพราะแผนที่ความคิดจะฝึกให้สมองคิดวิเคราะห์ จัดองค์ความรู้เป็ นหมวดๆ
โด ยการใช้สีและภาพ ประกอบ ไม่เพี ยงแต่พัฒนาสมองและความจา
แต่ก ารเรีย น ข อ งเราก็จ ะไม่น่ าเบื่อ อีก ต่อไ ป ทั้งห ม ด ที่ กล่าว ม า
จึ ง เป็ น เห ตุ ผ ล ที่ ผู้ จัด ท า โ ค ร ง ง า น ตั ด สิ น ใ จ เลื อ ก หั ว ข้ อ นี้
เ พ ร า ะ ไ ม่ เ พี ย ง แ ต่ ผู้ จั ด ท า จ ะ ไ ด้ รั บ ค ว า ม รู้ เ ท่ า นั้ น
แ ต่ ผู้ จั ด ท า ยั ง ส า ม า ร ถ เผ ย แ พ ร่ ค ว า ม รู้ นี้ ต่ อ นั ก เ รี ย น
นักศึกษาคนอื่นให้ได้วิธีการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพแบบนี้อีกด้วยเช่นกัน
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
- 4. Mind map คื อ ก าร ถ่าย ท อ ด ค ว าม คิ ด ห รื อ ข้ อ มู ล ต่ าง ๆ
ที่มีอยู่ในสมองลอกลงกระดาษ โดยการใช้ ภาพ สี เส้น และการโยงใย
แทนการจดย่อแบบเดิม คนที่คิดเรื่อง Mind map ขึ้นมาคือ 'โทนี่ บูซาน'
โทนี่เป็ นคนที่สนใจศึกษาถึงเรื่องการทางานของสมองมนุษย์ เมื่อ 30
ปี ก่ อ น นั ก วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ พ บ ว่ า ส ม อ ง ข อ ง ม นุ ษ ย์ มี 2 ซี ก
ซีกซ้ายจะเป็ นเรื่องราวเกี่ยวกับทฤษฎีต่าง ๆเหตุผล ตัวเลขตรรกะ ลาดับ
การวิเคราะห์ จังหวะ ส่วนซีกขวา คือเรื่อง จินตนาการ ภาพ มิติ ภาพรวม สี
แ ต่ ข บ ว น ก า ร ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ใ น ปั จ จุ บั น
ฝึกให้เราใช้สมองซีกซ้ายเพียงข้างเดียว คือ จาแต่ตัวหนังสือ อ่านแต่ตัวหนังสือ
เราจึงไม่ได้ใช้สมองทั้งสองส่วนอย่างเต็มที่
โ ท นี่ สั ง เ ก ต ว่ า ค น ที่ เ รี ย น เ ก่ ง ๆ
จ ะ มี วิ ธี ก า ร จ ด บั น ทึ ก ที่ ไ ม่ เ ห มื อ น ค น ทั่ ว ไ ป
คื อ แ ท น ที่ จ ะ เริ่ ม เ ขี ย น จ า ก มุ ม ซ้ า ย ก ร ะ ด า ษ เ ป็ น แ ถ ว ๆ
ไปจน จบ บรรทัด แล้วขึ้น บรรทัด ให ม่ แต่ค นเห ล่านี้ จะเลือกใช้ค า
ห รื อ ป ร ะ เ ด็ น ห ลั ก ๆ ห รื อ ภ า พ แ ท น ป ร ะ โ ย ค ย า ว ๆ
เขาเลยพัฒนาแนวความคิดขึ้นมา Mind map นี้ก็เป็ นที่นิยมไปทั่วโลก
มีคนใช้วิธีการนี้ทั่งในด้านการเรียนและการทางานเป็นล้าน ๆ คน
การใช้ Mind map ในประเทศไทย
ใน ต่าง ป ร ะเท ศ มี ห ล าย ๆ ป ร ะเท ศ ที่ น าเรื่ อ ง Mind map
มาใช้ในการเรียนหรือการทางานมานานแล้ว โดยเฉพาะในบริษัทใหญ่ ๆ
ทั่ ว โ ล ก
ส่วนในเอเชียเท่าที่ทราบข้าราชการตารวจในประเทศสิงคโปร์ก็ใช้เรื่องนี้มาช่ว
ยในการสืบคดี การเชื่อมโยงข้อมูลของคดีต่าง ๆ การสืบหาตัวคนร้าย
ส่ ว น ใ น ป ร ะ เท ศ ไ ท ย เรื่ อ ง Mind map เข้ า ม า ค่ อ น ข้ า ง ช้ า
แต่ปัจจุบันนี้ก็เริ่มแพร่หลายมากขึ้นในระดับธุรกิจทราบมาว่า บริษัท AMD
(Thailand) ก็นามาใช้ในการพัฒนาทรัพ ยากรมนุษย์ โด ยรับมาจาก
บริษัทแม่ที่สหรัฐ ในด้านการเรียนการสอนก็มีหลายสถาบันศึกษาที่นาเรื่อง
- 5. Mind map มาใช้ เช่น สถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราช โรงเรียนรัตนาธิเบศร์
นนทบุรี เป็นต้น
Tony Buzan “พ่อมดมหัศจรรย์แห่งสมอง”
“ถ้าแกมีมันสมองในหัวสักหน่อย แกคงเป็ นคนดีเหมือนใคร ๆ เขา
แ ล ะ เ ป็ น ค น ดี ก ว่ า ค น บ า ง ค น เ สี ย อี ก
ในโลกนี้มันสมองเป็นสิ่งเดียวที่มีค่าไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นกาหรือเป็นคน”
เจ้ากาใน ห นังสือ “พ่ อม ด ม หัศ จรรย์ แห่งออซ ” บอกกับหุ่น ไล่ก า
ทาให้มันเกิดแรงบันดาลใจและตัดสินใจว่าจะพยายามอย่างหนักที่จะหามันสม
อ ง ใ ห้ ไ ด้
มันตัดสินใจร่วมขบวนเดินทางไปเมืองมรกตกับโดโรธีเพื่อขอสมองจากออซผู้
ยิ่งใหญ่ ตามนิทานที่แฟรงก์ โบม เล่าไว้เมื่อ 109 ปีก่อน
หลังจากแฟรงก์ โบมพิมพ์ห นังสือ “พ่อมดมหัศ จรรย์แห่งออซ ”
ออกจาหน่ายได้ประมาณ 70 ปี นักจิตวิทยาประยุกต์ชาวอังกฤษชื่อ “โทนี
บูซาน” (Tony Buzan) ก็ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ BBC ของอังกฤษ
แนะนาให้โลกได้รู้จักกับเครื่องมือช่วยให้คนเราใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภา
พสูงสุด เขาเรียกเครื่องมือที่เปรียบเสมือน “มีดพับอเนกประสงค์ของสมอง” ว่า
“Mind Map”
โ ท นี ยื น ยั น ว่ า Mind Map เ ป็ น เ ค รื่ อ ง มื อ ที่ ทุ ก ค น ใ ช้ ไ ด้
ตั้งแต่คนที่คิดว่าในหัวตัวเองมีแต่ “ขี้เลื่อย” แบบหุ่นไล่กาในนิทานของโบม
หรือผู้ที่เป็ นอัจฉริยบุคคลอย่างลีโอนาร์โด ดา วินชี เมื่อห้าร้อยปี ที่แล้ว
มาจนถึงบิล เกตต์ในยุคปัจจุบัน
“ด้ ว ย เ ท ค นิ ค นี้
นักเรีย นที่ เรีย นเป็ นที่ โห ล่ข องชั้ นสาม ารถก้า วขึ้นมา อยู่แ นวห น้ า
เพราะเด็กกลุ่มนี้รู้วิธีใช้สมองให้ดีขึ้น”
Mind Map เป็ นกระบวนการที่ทาให้เราได้ใช้ทักษะของสมองทุก ๆ
ส่ ว น อ ย่ า ง เ ต็ ม ที่
จนทาให้ผู้ที่ใช้มีอิสระที่จะท่องไปในอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุ
ดของสมอง
“ผ ม มี เ ซ ล ส ม อ ง อ ยู่ นั บ ล้ า น ล้ า น เ ซ ล
ในยามที่ผมมีความคิดสร้างสรรค์ผมรู้สึกได้เลยว่าเซลเหล่านี้ทางานอย่างมีสมร
รถนะสูง แต่เมื่อใดที่ผมเครียดหรือเหนื่อย ระดับของมันก็จะตกลงมา
มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ อาหารและเครื่องดื่มที่รับประทานเข้าไป
“จุดมุ่งหมายของผมอยู่ที่การให้การศึกษาผู้คนเรื่องสมองของพวกเขา
แ ล ะ ส อ น ใ ห้ รู้ วิ ธี ใ ช้ ส ม อ ง อ ย่ า ง มี แ ร ง จู ง ใ จ
ผมให้เครื่องมือกับผู้คนและสอนวิธีเรียนรู้ให้แก่พวกเขา”
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 เป็นต้นมา โทนี บูซานเดินทางไปบรรยายเรื่องสมอง
การเรียนรู้ ความคิดสร้างสรรค์และ Mind Map ให้กับนักเรียน นักศึกษา
ข้ า ร า ช ก า ร นั ก ธุ ร กิ จ
- 6. และผู้บริหารระดับบริษัทและระดับประเทศทั่วโลกประมาณ 100 ประเทศ
เ ข า จึ ง ว่ า เ ป็ น Pro. Trainer ร ะ ดั บ โ ล ก ที่ Go Training
ภาคภูมิใจที่จะนาเสนอ
ชีวิตวัยเด็ก
จากการที่ผู้เขีย นเป็ นศิษย์ ช าวไทย ค น แรกข อง โทนี บู ซ าน
ไ ด้ มี โ อ ก า ส พ บ เ ข า ค รั้ ง แ ร ก ที่ สิ ง ค โ ป ร์ เ มื่ อ ปี พ .ศ . 2541
ประมาณหนึ่งปี หลังจากที่เดินทางไปรับการอบรมเพื่อมาเป็ นวิทยากรฝึกการใ
ช้ Mind Map จาก แ ว น ด า น อ ร์ ธ ที่ เมื อ งพู ล ส ห ร าช อ า ณ า จัก ร
ผู้เขียนได้มีโอกาสฟังโทนี เล่าถึงประวัติของเขาและกาเนิดของ Mind Map
นับครั้งไม่ถ้วน จึงขอประมวลมาแบ่งปันกับให้ผู้อ่าน Go Training ในฉบับนี้
โทนี บูซาน เป็ นชาวอังกฤษ เกิดที่ Brookfield Park Nursing Home,
Palmers Green, ใ น ก รุ ง London เมื่ อ วัน ที่ 2 มิ ถุ น า ย น 2485
ชื่ อ สู ติ บัต ร ข อ งเข า ต อ น แ ร ก เกิด คื อ “Anthony Peter Buzan”
เป็ นบุตรของนางจีน (นามสกุลเดิม née Burn) และนาย Gordon Buzan
มีนิวาสสถานอยู่ที่ Shangri-la, Western Drive, Shepperton
อันที่จริงนามสกุลของโทนี ถ้าจะเขียนให้ตรงกับเสียง ต้องเขียนว่า
“บิวแซ น” แต่ในประเทศ ไทย ได้มีการใช้ตัวเขีย นว่าเป็ น “บูซ าน ”
จนเป็นที่นิยมทั่วไป โทนี บูซานสาเร็จการศึกษาด้านจิตวิทยา ภาษาอังกฤษ
คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ทั่วไป จาก University of British Colombia
ใ น ป ร ะ เ ท ศ แ ค น า ด า
ซึ่งเขาได้พื้นฐานในการคิดนวัตกรรรมใหม่ในการจดบันทึกและรู้วิธีการใช้สม
องอย่างเต็มที่ จากก ารศึกษ าค้น ค ว้าใน มห าวิทย าลัย แ ห่งนี้ นี่ เอ ง
โดยช่วงที่เริ่มฟูมฟักทฤษฎี Mind Map ใหม่ ๆ โทนี จะช่วยเพื่อน เด็ก
แ ล ะ นั ก เรี ย น ที่ มี ปั ญ ห า ใ น ก า ร จ ด จ า จ า ก บั น ทึ ก ที่ จ ด ไ ว้
ให้กลายเป็นคนที่เรียนเก่งขึ้นมาได้
- 7. โทนีเคยย้อนราลึกว่า บ้านเดิมของเขาชื่อ Shangri-la ซึ่งหมายถึง
'ส ว ร ร ค์ บ น ดิ น ที่ ม นุ ษ ย์ จิ น ต น า ก า ร ขึ้ น ม า '
ดังนั้นเขาจึงจินตนาการถึงหุบเขาที่เป็นสวรรค์บนดินมาโดยตลอดการเดินทาง
ข อ ง ชี วิต แ ล ะซึ ม ซั บ สิ่ง นี้ จ น ท า ให้ เป็ น ค น ที่ ม อ งโ ล ก ใน แ ง่ดี
ชอบที่จะส่งเสริมให้ผู้อื่นได้ยกระดับความสามารถจนเต็มศักยภาพของตัวเอง
ช่วงปีพ.ศ. 2485-2450 สมัยที่โทนีเป็นเด็ก ศาสตราจารย์เซอร์เฟเดอริก ทรูบี
คิ ง ( Professor Sir Frederick Truby King)
เป็ นผู้ที่มีอิทธิพลต่อการเลี้ยงดูทารกในอังกฤษอย่างมาก หนังสือของเขาชื่อ
“ Mothercraft” เ ป็ น เ ส มื อ น คั ม ภี ร์ ก า ร เ ลี้ ย ง ดู ลู ก แ ห่ ง ยุ ค
จีนแม่ของโทนีก็อยู่ในกลุ่มคุณแม่วัยสาวที่เปิดตาราของทรูบีเลี้ยงโทนีและน้อง
ช า ย ข อ ง เ ข า ดั ง นั้ น
โทนีจึงได้รับการสั่งสอนจากแม่แบบค่อนข้างจะจู้จี้มากกว่าแม่ ๆ ในยุคปัจจุบัน
จ า ก ห น้ า ห นึ่ ง ใ น ส มุ ด บั น ทึ ก ข อ ง แ ม่ ข อ ง โ ท นี
เธอสังเกตว่าลูกชายของเธอแสดงความฉลาดเกินวัยมาตั้งแต่เล็ก ๆ
มี หัวคิ ด ที่ เป็ น เห ตุ เป็ น ผ ล ติ ด ห นั งสื อ แ ล ะมี ค วา ม จ าเป็ น เลิศ
ข อ ง เล่ น ที่ โ ท นี ช อ บ เป็ น พิ เศ ษ คื อ ลู ก ปั ด สี แ ล ะ เ ป็ ด ไ ม้
แต่ไม่สู้จะสนใจตุ๊กตาผ้าเท่าไร แต่อันที่จริงโทนีชอบ “ของจริง” มากกว่า
“ของเล่น”
ตอนอายุ 8 ขวบเด็กชายโทนีเลี้ยงแมว ชื่อ “แพดดี” และกระต่ายชื่อ
“ปองโก้” หนังสือเล่มแรกของโทนี เมื่อเขาอายุ 8 ขวบคือ “สัตว์เลี้ยงของฉัน”
เขาเขียนถึงกระต่ายน้อยปองโก้ที่ตายไปว่า “เจ้ากระต่ายปองโก้ตายไปแล้ว
แ ต่ฉั น เก็ บ เงิน ไว้ห้ าป อ น ด์ เพื่ อ จ ะให้ ค น ส ต๊าฟ มัน ไ ว้ให้ ฉั น ”
และโทนีก็มักติดเจ้าปองโก้สต๊าฟเวลาเดินทางไปไหนมาไหนจนเขาอายุ 40 ปี
ปองโก้สต๊าฟก็หมดสภาพ ต้องนาไปฝัง ส่วนเจ้าแมวเหมียวแพ ดดีนั้น
โทนีก็ผูกพันมากเช่นกัน แม้ว่าเมื่อมันตายลง โทนีจะไม่ได้เอามันไปสต๊าฟ
- 8. แต่เขาก็แทบจะกลั้นน้าตาไม่อยู่เพราะ “เจ้าน่ารักมากและฉันรักเจ้าจริง ๆ”
ด้ ว ย ค ว า ม รั ก แ ล ะ ผู ก พั น กั บ สั ต ว์ เ ลี้ ย ง
ทาให้ค วามฝั น ใน ชี วิต ข องโท นี ใน วัย เด็ กไป จน ถึงอายุ 20 ปี คื อ
การได้เป็ นนักกีฏวิทยา นักสัตววิทยา ผู้ดูแลสัตว์ในสวนสัตว์ สัตวแพทย์
และนักจิตวิทยาสัตว์
ในเรื่องการเป็ นนักอ่านและนักเขีย นเขาเริ่มต้นตอนอายุ 14 ปี
โ ด ย ก่ อ น ห น้ า นี้ โ ท นี คิ ด ว่ า บ ท ก วี เ ป็ น เ รื่ อ ง ไ ร้ ส า ร ะ
แต่เมื่อคุณครูคนหนึ่งอ่านบทกวีชื่อ “The Eagle” ของ “Alfred Lord
Tennyson” เ ข า ก็ เ ป ลี่ ย น ค ว า ม คิ ด
แ ล ะ ก ล า ย เป็ น ทั้ ง นั ก อ่ า น ตั ว ย ง แ ล ะ นั ก เ ขี ย น มื อ ฉ ก า จ
ห นั ง สื อ ที่ เ ข า อ่ า น เ ป็ น ป ร ะ จ า คื อ ง า น ข อ ง เ ช็ ค ส เปี ย ร์
และยังตามอ่านหนังสือที่เด็กติดกันงอมแงมทั้งโลก อย่าง “Lord of the
Rings” แ ล ะ “ Harry Potter”
ซึ่ ง โ ท นี คิ ด ว่ า เต็ ม ไ ป ด้ ว ย อ า ร ม ณ์ ขั น แ ล ะ ภ า พ ที่ ส ว ย ง า ม
นอกจากนี้เขายังเขียนบทกวีไว้เองถึง 1,000 ชิ้น และหนังสือนับร้อยเล่ม
หาคู่มือการใช้สมองไม่ได้เลยเขียนเสียเอง
โ ท นี เ ล่ า ว่ า ต อ น เ รี ย น อ ยู่ ที่ British Colombia
เขาเคยถามบรรณารักษ์ห้องสมุดว่าอยากได้หนังสือที่สอนวิธีใช้สมอง
บ ร ร ณ า รัก ษ์ ชี้ ไ ป ท า ง ห ม ว ด แ พ ท ย์ ศ า ส ต ร์ โ ท นี ไ ป พ ลิ ก ๆ
ดู แ ล้ ว ก็ ก ลั บ ม า ถ า ม บ ร ร ณ า รั ก ษ์ ใ ห ม่ ว่ า
ต้องการห นังสือที่บอกว่าจะใช้สมองอย่างไรต อนที่มันยังอยู่กับตัว
ไ ม่ ใ ช่ ผ่ า อ อ ก ม า ดู ว่ า มั น เ ป็ น อ ย่ า ง ไ ร
บรรณารักษ์จึงสรุปว่าไม่มีหนังสือแบบที่โทนีต้องการ
เขาจึงตัดสินใจว่า เขาจะเขียนหนังสือนี้ขึ้นมาให้ชาวโลกไว้อ่านเล่มหนึ่ง
และหนังสือเล่มนั้นก็คือหนังสือชื่อ “Use Your Head” หรือ “ใช้หัวคิด”
ซึ่งนับว่าเป็นหนังสือเล่มแรกที่อุทิศเนื้อหาทั้งเล่มให้กับการใช้สมองอย่างถูกวิธี
และให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื้อหาหนึ่งในนั้นก็คือการแนะนาให้โลกรู้จัก
Mind Map เป็นครั้งแรกด้วย
โทนี กับ Mind Map
โ ท นี ห ล ง เส น่ ห์ แ ล ะ ช อ บ ห นั ง สื อ ม า ตั้ ง แ ต่ อ ยู่ อ นุ บ า ล
เพ ราะในห นังสือจะใช้ตัวห นังสือข นาด ให ญ่และเขียนด้วย ดินสอ สี
แ ต่ ยิ่ ง เรี ย น ม า ก ขึ้ น ข น า ด ตั ว ห นั ง สื อ ก็ ค่ อ ย ๆ ล ด ล ง
ค วามน่ าสน ใจแ ละค วามโป รด ป ราน ก็ค่อย ๆ ลด ลงต ามไป ด้วย
แถมเมื่อโตขึ้นเรียนชั้นประถมตัวอักษรที่ครูให้เขาเขียนก็ถูกจองจาอยู่ในบรร
ทัด แล้วยังให้ใช้ปากกาหรือดินสอได้เพียงสีเดียว เหมือนกันทั้งชั้นเรียน
แม้โทนีจะเป็ นเด็กช่างจด แต่เขาก็เริ่มสังเกตว่ายิ่งจดมากยิ่งจาไม่ได้
พ อ เ ข้ า ม ห า วิ ท ย า ลั ย
ห นุ่ มน้อย โทนี ก็เริ่มเรีย น รู้และชื่ น ช มระบ บค วาม จาข องช าวกรีก
- 9. ที่ ใ ช้ จิ น ต น า ก า ร แ ล ะ ก า ร เชื่ อ ม โ ย ง ม า ช่ ว ย จ า สิ่ ง ต่ า ง ๆ
นับพันรายการได้อย่างแม่นยา โดยในวิชาเอกของเขา จิตวิทยาก็ยืนยันว่า
หลักการสองประการที่สาคัญในช่วงของการเรียนรู้คือการเชื่อมโยงข้อมูลและ
การใช้จินตนาการ
โ ท นี เ ริ่ ม ทึ่ ง กั บ ค ว า ม ส า ม า ร ถ ข อ ง ส ม อ ง
และพ บว่าสมองข องค น เรามี พ ลังที่ ยิ่งให ญ่ซ่อน ไว้อย่างมห าศ าล
เข าเริ่ม ทุ่ม ค ว า ม ส น ใ จ ให้ กับ เท ค นิ ค ค ว า ม จ า ก า ร จ ด บัน ทึ ก
และความคิดสร้างสรรค์ ยิ่งได้พ บว่า นักคิด ผู้ยิ่งให ญ่ข องโลก อย่าง
ลีโอนาร์โด ดา วินชิ ใช้รูปภาพและสัญลักษณ์ เป็ นสิ่งที่ช่วยในการจดจา
ก็ยิ่งเป็นการยืนยันในสิ่งที่เขากาลังทุ่มเทอยู่
โท นี เล่ าใ ห้ ฟั ง ว่ า “ใ น ต อ น นั้ น สิ่ ง เดี ย ว ที่ ผ ม นึ ก ถึ ง คื อ
เ ค รื่ อ ง มื อ ท า ง ค ว า ม คิ ด
ที่ จ ะ ส า ม า ร ถ ป ร ะ ยุ ก ต์ ใ ช้ ใ น ทุ ก รู ป แ บ บ กิ จ ก ร ร ม ข อ ง ม นุ ษ ย์
และตั้งอยู่บ น พื้ น ฐ าน ก ารทางาน แบ บ เดีย วกัน กับส มอ งข อ งเร า
ผมต้องการเครื่องมือที่สามารถทางานประสานกับการทางานของสมองตามธร
ร ม ช า ติ ม า ก ก ว่ า สิ่ ง ที่ จ ะ จ า กั ด ค ว า ม คิ ด ข อ ง ม นุ ษ ย์ เช่ น
การบังคับให้เราต้องทางาน ขัด แย้งกับลักษณะที่ธ รรมชาติสร้างมา
ใ น ที่ สุ ด สิ่ ง ที่ ป ร า ก ฏ ขึ้ น ใ น ค ว า ม คิ ด ข อ ง ผ ม
ก็คือเค รื่องมือทางค วามคิด ที่มีลักษ ณะเป็ นแฉก ๆ ค ล้ายรูป ‘ด าว’
มันดูเรียบง่าย สวยงาม และที่สาคัญเครื่องมือชนิดนี้ มีหลักการสาคัญ คือ
ความคิดสร้างสรรค์และกระบวนการคิดแบบแผ่รัศมีอีกด้วย”
แ ม้ จ ะ ยั งไ ม่ ไ ด้ พั ฒ น า เค รื่ อ ง มื อ ให ม่ อ ย่ า ง เต็ ม รู ป แ บ บ
แต่โทนีก็จบปริญญาตรีโดยได้รับ “เกียรตินิยม” ห้อยท้าย มหาวิทยาลัย
British Columbia จึ ง ต ะ ค รุ บ ตั ว เข า ไ ว้ ใ ห้ เ ป็ น อ า จ า ร ย์ ต่ อ
แ ละม อ บ ห ม าย ให้ ส อน วิช า จิต วิท ย า 101 ใ ห้กับ นัก ศึก ษ าปี 1
ซึ่งเขาก็ดาเนินการตามแบบอาจารย์รุ่นพี่ ๆ คือเตรียมสอนเป็นโน้ตแบบเดิม ๆ
แ ล้ ว ก็ อ่ า น ต า ม แ ผ่ น ก ร ะ ด า ษ ที่ จ ด ม า
ร ะ ห ว่ า ง ร่ า ย ย า ว นั ก ศึ ก ษ า ก็ จ ด ค า บ ร ร ย า ย เป็ น บ ร ร ทั ด ๆ
ด้วยปากกาหรือดินสอสีเดียว พอถึงเนื้อหาเรื่องช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ที่มีอยู่
4 ช่วงซึ่งสมองค นจะจาดีที่สุด คือ ช่วงต้น ต อนจบ ช่วงที่มีจุดเด่น
และช่วงที่มีการเชื่อมโยง โทนีก็นึกขึ้นมาได้ว่า
“นี่ผมกาลังสอ นนักศึกษาถึงเรื่องการฟื้ นค วามจาและห ลักการเรียนรู้
ด้วยวิธีที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมสอนโดยสิ้นเชิงหรือนี่ !”
- 10. จาก วัน นั้ น เป็ น ต้น ม าโท นี ก็ พัฒ น า Mind Map จ น ต ก ผ ลึก
และนามาใช้ในการถ่ายทอดความรู้ให้กับนักศึกษาของเขา โทนีสรุปว่า
“คนเราทุกรูปทุกนามสามารถเป็ นคนฉลาดหลักแหลมด้วยกันได้ทั้งนั้น
มั น ขึ้ น อ ยู่ กั บ ว่ า เ ข า ไ ด้ รั บ โ อ ก า ส นั้ น ห รื อ ไ ม่
แ ล ะ เ ข า ไ ด้ เ ค รื่ อ ง มื อ พั ฒ น า ส ม อ ง ไ ป ใ ช้ ห รื อ ไ ม่
ขอย้าว่าการพัฒนาความคิดนั้นขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมมากกว่ากรรมพันธุ์
ผ ม ช อ บ ร ะ บ บ ก า ร ส อ น ที่ ผู้ ส อ น ใ ห้ นั ก เ รี ย น รู้ วิ ธี เ รี ย น
ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือในโรงเรียน ผมได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งรอบด้าน
ร ว ม ทั้ ง จ า ก ลี โ อ น า ร์ โ ด ด า วิ น ชี ด้ ว ย
เพราะเขานาศาสตร์และศิลป์ มาประยุกต์ใช้ร่วมกันได้อย่างลงตัว”
กฎง่ายๆของการใช้ Mind Map
1. แก่นแกน (ภาพหัวเรื่อง) มีขนาดพอเหมาะ ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป
2. ห้ามล้อมแก่นแกนด้วยเส้นรอบวงใด ๆ
ทั้งสิ้นเว้นแต่ว่ามีนัยสัมพันธ์กับเรื่องนั้น ๆ
3. เส้นของกิ่งแก้วต้องเชื่อมโยงกับแก่นแกนเสมอ
4. กิ่งก้อยที่แตกออกจากกิ่งแก้วควรมีสีเดียวกับกันเพื่อให้จาง่าย
5. เส้นต้องมีความยาวสัมพันธ์กับคาหรือภาพ
6. ต้องแตกกิ่งที่จุดสุดท้ายของเส้นเสมอ
7. เส้นทุกเส้นของกิ่งแก้วและกิ่งก้อยต้องเชื่อมโยงกัน
อย่าเขียนให้ขาดหรือแหว่ง
8. คายิ่งสั้นยิ่งดี
9. เวลาเขียน Mind Map บนกระดาษแผ่นเดียว
อย่าหมุนกระดาษจนเป็นวงกลม จนทาให้คาบางคากลับหัว
10. ห้ามเขียนภาพ หรือคาแล้วล้อมด้วยวงกลมหรือรูปเหลี่ยม
11. ห้ามเขียนคา/ภาพปิดท้ายเส้น
- 11. 12. ห้ามเขียนคาคา/ภาพทั้งบนและใต้กิ่งเดียวกัน
13. ไม่ควรใช้วลีหรือประโยคใน Mind Map
เลือกแต่คาที่เป็นประเด็นหลักเท่านั้น
สมองเรียนรู้อย่างไร
ถึ ง แ ม้ ว่ า
สมองจะถูกเข้าใจว่าเป็ นสิ่งอัศจรรย์ ที่สุดในร่างกายมนุษย์มานานแล้ว
แต่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งเริ่มเข้าใจความมหัศจรรย์ของสมองมนุษย์อย่างลึกซึ้งเมื่
อช่วงปลายศตวรรษที่ 20 นี้เอง และสามารถให้คาอธิบายอย่างละเอียดว่า
สมองมนุษย์ที่น่าทึ่งนี้มีการทางานอย่างไร
ส ม อ ง มี ก า ร จั ด ร ะ บ บ ก า ร ท า ง า น ที่ ซั บ ซ้ อ น
และมีความยืดหยุ่นในการพัฒนาปรับเปลี่ยนตัวเองได้ดีไม่น้อยไปกว่าอวัยวะใ
ดๆ ในร่างกาย
สมองถูกออกแบบมาเพื่อการเรียนรู้ เพื่อ “ความอยู่รอด” เป็ นสาคัญ
เด็กเล็กๆ เริ่มเรียนรู้ที่จะร้องไห้ ยิ้ม หัวเราะ กินอาหาร คลาน นั่ง เดิน พูด
แ ล ะ ท า กิจ ก ร ร ม ต่ า ง ๆ เป็ น ผ ล จ า ก ก า ร ที่ ส ม อ ง รับ รู้ เรี ย น รู้
พัฒนาและเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อจะมีชีวิตรอด
สมองพัฒนาศักยภาพในการคิด ความจา ผ่านกระบวนการที่เรียนว่า
“ก ารเรี ย น รู้” ซึ่ งจ ะด าเนิ น ไป ต าม ก าห น ด “เวลา ” ที่ เห ม าะส ม
เราจึงให้ความสาคัญกับ “พัฒนาการตามช่วงวัย”
- 12. ส ม อ ง ม นุ ษ ย์ ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย เ ซ ล ล์ จ า น ว น ม ห า ศ า ล
เด็กแรกเกิดมีเซ ลล์สมองประมาณ หนึ่งแสนล้านเซ ลล์ (เมื่อเทีย บกับ
ลิงมีหนึ่งหมื่นล้านเซลล์ หนูมีห้าล้านเซลล์ และแมลงหวี่มีหนึ่งแสนเซลล์)
เ ชื่ อ ม ต่ อ กั น ด้ ว ย แ ข น ง ที่ ยื่ น อ อ ก จ า ก ตั ว เ ซ ล ล์
โยงใยเป็นเครือข่ายร่างแหของวงจรขนาดมหึมา
ส ม อ ง ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย เค รื อ ข่ าย เซ ล ล์ ส ม อ งที่ เชื่ อ ม โย งกัน
ซึ่งมีความสาคัญมากต่อการเรียนรู้ มีรายงานผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า
เด็กอนุบาลสามารถเรียนรู้ภาษาพร้อมกันได้ถึง 7 ภาษา
นักวิทยาศาสตร์ให้ข้อสังเกตว่า เด็กมีศักยภาพที่จะพูดได้กว่า 5,000
ภ าษ าเท่า ที่ มี อ ยู่ ใน โล ก แ ต่ ค ว าม ส าม ารถ นี้ จ ะค่อ ย ๆ ห ม ด ไ ป
เมื่อเด็กไม่ได้นามาใช้
เ มื่ อ เ ร า อ ยู่ ใ น ก ร ะ บ ว น ก า ร เ รี ย น รู้
เ ซ ล ล์ ส ม อ ง จ ะ ส ร้ า ง ก า ร เ ชื่ อ ม โ ย ง ที่ ซั บ ซ้ อ น
จนเกิดเป็นร่างแหเครือข่ายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจานวนเซลล์อาจไม่สาคัญเท่ากับ
การเชื่อมโยงเป็ นเครือข่ายซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ตลอดเวลาที่เรามี
ชี วิ ต อ ยู่
ความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนนี้เองที่ทาให้สมองมนุษย์สามารถเรียนรู้ได้ตล
อดชีวิต
สมองซีกซ้าย – สมองซีกขวา สอดประสานกันเป็นองค์รวม
สมองซีกซ้าย โดดเด่นในการเรียนรู้และทาความเข้าใจภาษา เหตุผ ล
รายละเอียด
- 13. สมองซีกขวา โดดเด่นในการเรียนรู้และทาความเข้าใจมิติ ความรู้สึก ภาพรวม
ส ม อ ง ส อ ง ซี ก ท า ง า น ป ร ะ ส า น กั น แ บ บ อ ง ค์ ร ว ม
ผ่ า น ใ ย ป ร ะ ส า ท ที่ พ า ด ผ่ า น จ า ก ซี ก ห นึ่ ง ไ ป ยั ง อี ก ซี ก ห นึ่ ง
เ ร า เ รี ย ก ก ลุ่ ม ใ ย ป ร ะ ส า ท นี้ ว่ า ค อ ร์ ปั ส แ ค ล โ ล ซั ม
ก า ร ผ ส า น ก า ร รั บ รู้ แ ล ะ มุ ม ม อ ง ข อ ง ส ม อ ง ทั้ ง ส อ ง ซึ ก
ทาให้เห็นภาพและเข้าใจความหมายของสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน
เ มื่ อ ไ ด้ รั บ ก า ร ก ร ะ ตุ้ น จ า ก สิ่ ง เ ร้ า ภ า ย น อ ก
เซลล์สมองจะส่งสัญญาณข้อมูลในรูปกระแสไฟฟ้าไปตามแขนงใยประสาทที่เรี
ยกว่า แอกซอน ส่งต่อให้แขนงใยประสาทที่ทาหน้าที่รับข้อมูลที่เรียกว่า
เดนไดรท์ของอีกเซลล์หนึ่ง
จุ ด ที่ เ ชื่ อ ม ต่ อ กั น ข อ ง แ อ ก ซ อ น แ ล ะ เ ด น ไ ด ร ท์
จะมีการแปลงข้อมูลในรูปสัญญาณไฟฟ้าเป็นสารเคมีที่เรียกว่า สารสื่อประสาท
เราเรีย กจุด เชื่ อมต่อในการรับส่งสัญ ญาณข้อมูลนี้ ว่า จุดซี นแนปส์
“นาทีแห่งการเรียนรู้” เริ่มขึ้น ณ จุดนี้
อารมณ์มีผลต่อกระบวนการเรียนรู้
อ า ร ม ณ์ มี อิ ท ธิ พ ล ต่ อ ค ว า ม ส น ใ จ แ ล ะ ค ว า ม ตั้ ง ใ จ
โดยอาจจะกระตุ้นหรือยับยั้งทาให้ความสนใจและความตั้งใจในการเรียนรู้เพิ่ม
ขึ้นหรือลดลงได้ ข้อมูลที่น่าเบื่อ ไม่น่าสนใจ ไม่มีความหมายต่อตนเอง
ห รื อ ส ม อ ง ไ ม่ เ ข้ า ใ จ ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ข อ ง ข้ อ มู ล
สมองส่วนที่ทาหน้าที่ส่วนสัญชาตญาณจะเตือนว่า “เลิกคิดได้แล้ว” เสียเวลา
เสียพลังงานสมอง
อ า ร ม ณ์ มี อิ ท ธิ พ ล ต่ อ ค ว า ม จ า
การผ่านพบสรรพสิ่งหรือเหตุการณ์ที่มีอารมณ์ประทับอยู่ด้วยจะกลายเป็นควา
มทรงจาที่แจ่มชัดยืนนานอย่างยิ่ง
อ า ร ม ณ์ เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ไ ด้ ด้ ว ย ก า ร เ รี ย น รู้
ส ม อ ง ส่ ว น อ า ร ม ณ์ ส า ม า ร ถ เ รี ย น รู้ แ ล ะ ป รั บ เป ลี่ ย น ไ ด้
เมื่อมีการบันทึกการตอบสนองอย่างใหม่ต่อสิ่งที่กระตุ้นเร้าลงในสมองส่วนอาร
ม ณ์ อ า ร ม ณ์ แ ล ะ ค ว า ม รู้ สึ ก ต่ อ สิ่ ง ต่ า ง ๆ
อาจแตกต่างและเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้ เช่น เคยเกลียดภาษาอังกฤษ
เพ ร า ะ อ า ย แ ล ะเสี ย ใ จ ที่ ถู ก ค รู ดุ แ ต่ เมื่ อ ไ ด้เรี ย น กับ ค รู ที่ ใ จ ดี
กลับเปลี่ยนเป็นชอบภาษาอังกฤษ
- 15. 5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารราย
งาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.ผู้จัดทามีความเข้าใจในหัวข้อที่สนใจมากขึ้น
2.สามารถนาไปประยุกต์ใช้กับการเรียนได้จริง
3.สามารถนาความรู้เผยแพร่ให้กับเพื่อนนักเรียนได้
4.ผู้จัดทามีความเข้าใจในการทางานอย่างเป็นระบบมากขึ้น
สถานที่ดาเนินการ
1.ห้องคอมพิวเตอร์ โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย
2.ห้องสมุด โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
1.กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
2.กลุ่มพัฒนาผู้เรียน
บรรณานุกรม
Mind Map คืออะไร(2551). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
http://www.dpu.ac.th/techno/page.php?id=3334 (วันที่ค้นข้อมูล
: 24 มกราคม 2560)
วิธีการเขียน Mind Map + วิธีการพัฒนาสมองและความจา(2560).
[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
http://www.unigang.com/Article/1428 (วันที่ค้นข้อมูล : 24
มกราคม 2560)
Tony Buzan “พ่อมดมหัศจรรย์แห่งสมอง”(2552). [ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก
http://oknation.nationtv.tv/blog/MindMap/2009/03/22/entry-2
(วันที่ค้นข้อมูล : 6 มกราคม 2560)
ลากเส้นสีเป็นแผนที่ความคิด (Mind Map)(2552). [ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก
http://www.manager.co.th (วันที่ค้นข้อมูล : 6 มกราคม 2560)