ในสังคมไทยสมัยโบราณ ไพร่ หมายถึง สามัญชนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ใน
ฐานะทาส หรือเจ้าขุนมูลนาย มีอิสระในการประกอบอาชีพ และต้องสังกัดมูล
นาย จะโยกย้ายสังกัดไม่ได้ ไพร่ที่ขึ้นสังกัดหรือสักเลกแล้ว ที่ข้อมือ หาก
สามัญชนผู้ใดไม่ได้สังกัดมูลนายจะไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย ไพร่มี
หน้าที่ในการถูกเกณฑ์แรงงาน หรือเสีย "ส่วย" และถูกเกณฑ์ทหารในยามที่มี
ศึกสงคราม มีสองประเภทคือ ไพร่หลวง และ ไพร่สม
https://www.google.co.th/search?q=
ไพร่หลวง คือไพร่ที่สังกัดกรมกองต่างๆ เป็นไพร่ของพระมหากษัตริย์โดยตรง
ประเภทที่ต้องถูกเกณฑ์มาทางานตามราชการกาหนด และประเภทที่ต้องเสียเงินหรือ
หรือสิ่งของมาแทนการเกณฑ์แรงงานหรือที่เรียกว่า "ไพร่ส่วย" การส่งเงินมาแทนการ
การเกณฑ์แรงงาน เงินที่ส่งมาเรียกว่า "เงินค่าราชการ"
https://www.google.co.th/search?q=%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%88&biw=
ไพร่สม เป็นไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้มูลนายและขุนนางที่มี
ตาแหน่งทางราชการเพื่อผลประโยชน์ตอบแทน ไพร่สมต้องทางานให้ราชสานักปีละ 1
ละ 1 เดือน ส่วนเวลาที่เหลือรับใช้มูลนายหรือส่งเงินแทน เมื่อถึงยามสงครามทุกคนต้อง
คนต้องเป็นทหารป้ องกันอาณาจักร
สาเหตุการยกเลิกระบบไพร่
1. การรวมอานาจเข้าสู่ศูนย์กลาง
2. ความจาเป็นในการลดกระแสกดดันจากลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตก
3. อิทธิพลจากโลกตะวันตกเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นอารยธรรม
4. ความต้องการแรงงานเสรี สาหรับระบบธุรกิจการค้าแบบเสรีภายหลัง
สนธิสัญญาบาวริง
5. นโยบายปฏิรูปกิจการทหารของประเทศ โดยเปลี่ยนแปลงไพร่ให้เป็นทหาร
ประจาการ
6. ความต้องการด้านกาลังคนในการพัฒนาประเทศ รองรับการปฏิรูประบบ
ราชการสมัยใหม่ที่จะเกดขึ้นในอนาคต
เส้นเวลาเหตุการณ์สาคัญ
พ.ศ. 2413 ทรงตั้งกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
พ.ศ. 2423 ทรงโปรดเกล้าฯให้พระยาสุรศักดิ์มนตรี(เจิม) จัดตั้งกรม
ทหารหน้า ต่อมาได้พัฒนามาเป็นกรมยุทธนาธิการและ
กระทรวงกลาโหมตามลาดับ
พ.ศ. 2431 ประกาศใช้พระราชบัญญัติทหาร กาหนดสิทธิหน้าที่ของ
พลทหาร ทั้งทหารบกและทหารเรือ รวมทั้งอัตราเงินเดือน และเบี้ยหวัด
รายปี
พ.ศ. 2434 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้ พระราชบัญญัติจัดการกรม
ยุทธนาธิการ โดยเปลี่ยนให้เป็นกระทรวงยุทธนาธิการ มีหน้าที่บังคับ
บัญชาผู้คนที่เกี่ยวกับการทหารบก ทหารเรือ ตามแบบแผนใหม่
พ.ศ.2439 ได้มีการประกาศยกรมพระสุรัสวดีเข้ามาสังกัด
กระทรวงกลาโหม ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2435 และใน พ.ศ.2439 ได้
ประกาศให้บรรดาไพร่หลวงที่ไม่มาเข้าเดือนประจาการ ต้องเสียเงิน
แทนค่าแรงงานปีละ 18 ปี ส่วนไพร่ส่วยถ้าไม่ได้ส่งของต้องส่งเงินแทน
ตั้งแต่ 6-12 บาท
พ.ศ.2440 เป็นต้นไป บรรดาไพร่หลวงที่ต้องเสียเงินค่าราชการปี
ละเกิน 6 บาทขึ้นไป ให้เก็บเงินค่าราชการเพียงปีละ 6 บาท
เท่านั้น
พ.ศ.2448 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติลักษณะ
การเกณฑ์ทหารรัตนโกสินทร์ศก 124 โดยกาหนดให้ชายฉกรรจ์
ที่มีอายุ 18 ปี รับราชการในกองประจาการมีกาหนด 2 ปี แล้ว
ปลดไปเป็นกองหนุน
ผลของการยกเลิกระบบไพร่
1) ผลกระทบทางตรง คือ ฐานอานาจของขุนนางที่มีไพร่อยู่ในสังกัด ทั้งอานาจ
การควบคุมกาลังคนก็ตกอยู่ในพระราชอานาจของพระมหากษัตริย์โดยสิ้นเชิง ขุนนางไม่
นางไม่สามารถจะแสวงหาผลประโยชน์จากแรงงานของไพร่อีก
2) ผลกระทบทางอ้อม คือก่อให้เกิดการขยายตัวทางด้านธุรกิจการลงทุนมากขึ้น
ขึ้น เพราะการเลิกระบบไพร่ได้ทาให้เกิดแรงงานเสรี ซึ่งจะสามารถสนองความต้องการ
ต้องการแรงงานเสรีของระบบทุนนิยม ซึ่งกาลังเริ่มต้นในสังคมไทยภายหลังสนธิสัญญา
สนธิสัญญาบาวริงใน พ.ศ.2398 เป็นต้นมา และแรงงานเสรีจะเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ
คุณภาพเพราะจะได้รับค่าตอบแทนจากนายจ้าง
ชื่อสมาชิก
นางสาวบุณยวีร์ บุญณศิรินุรักษ์ เลขที่ 10
นางสาวปรารถนา กาศสนุก เลขที่ 11
นางสาวยลดา เชยบาน เลขที่ 18
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5

การเลิกไพร่