ใบความรู้ โอเปร่า เรื่อง ขลุ่ยวิเศษ1. 1
โอเปร่า เรื่อง ขลุ่ยวิเศษ
ขลุ่ยวิเศษ(เยอรมัน:Die Zauberflöte,อังกฤษ:The
Magic Flute) เป็นอุปรากรสององค์ที่เขียนโดยโวล์ฟกัง
อะมาเดอุสโมซาร์ทผู้เป็นคีตกวีคนสาคัญของคริสต์ศตวรรษที่
18 ในปี ค.ศ.1791 จากเนื้อร้องที่เขียนโดยเอมานูเอล
ชิคาเนเดอร์“ขลุ่ยวิเศษ”เป็นอุปรากรแบบที่เรียกว่า
ละครผสมเพลง(Singspiel)
ซึ่งเป็นลักษณะที่นิยมกันที่มีทั้งบทร้องและบทพูด
ตัวละคร
ตัวละคร ชื่อภาษาอังกฤษ ระดับเสียง
ทามิโน Tamino เทเนอร์
พาพาเกโน Papageno บาริโทน
พามินา Pamina โซปราโน
2. 2
ราชินีแห่งราตรี The Queenofthe Night โซปราโน
ซาราสโตร Sarastro เบส
สตรีสามคน โซปราโน 2
คน, เมซโซโซปราโน
โมโนสตาโตส Monostatos เทเนอร์
เด็กชายสามคน treble, อัลโต, เมซโซโซปราโ
น
ผู้ประกาศที่เทวสถาน Speakerofthe temple เบส-บาริโทน
นักบวชสามองค์ Three priests เทเนอร์, เบส2คน
พาพาเกนา Papagena โซปราโน
คนใส่เสื้อเกราะสองคน Twoarmoredmen เทเนอร์, เบส
ทาสสามคน เทเนอร์ 2คน, เบส
นักบวช, สตรี, ผู้คน, ทาส,
นักร้องประสานเสียง
3. 3
เพลงที่ใช้ในการแสดง
"Der Vogelfänger bin ich ja" (The birdcatcher am I) – Papageno in Act I, Scene I
"O zittre nicht, mein lieber Sohn" (Oh, tremble not, my beloved son) – The Queen of the Night
in Act I, Scene I
"Dies Bildnis ist bezaubernd schön" (This image is enchantingly beautiful) – Tamino in Act I,
Scene I
"Wie stark ist nicht dein Zauberton" (How strong is thy magic tone) – Tamino in the Finale of
Act I
"O Isis und Osiris" (O Isis and Osiris) – Sarastro in Act II, Scene I
"Alles fühlt der Liebe Freuden" (All feel the joys of love) – Monostatos in Act II, Scene III
"Der Hölle Rache kocht in meinem Herzen" (Hell's vengeance boileth in mine heart) – The
Queen of the Night in Act II, Scene III
"In diesen heil'gen Hallen" (Within these sacred halls) – Sarastro in Act II, Scene III
"Ach, ich fühl's, es ist verschwunden" (Ah, I feel it, it is vanished) – Pamina in Act II, Scene IV
"Ein Mädchen oder Weibchen" (A girl or a woman) – Papageno in Act II, Scene V
4. 4
เนื้อเรื่องย่อ
องก์ที่ 1
ฉากที่ 1
หลังจากดนตรีนาแล้ว
เนื้อเรื่องก็เริ่มขึ้นเมื่อทามิโนเจ้าชายหนุ่มผู้ถูกไล่ตามโดยพญางูจนหลงไปในดินแดนอันห่างไกล
(ควอเท็ท:"Zu Hilfe! ZuHilfe!") ล้มหมดสติลงด้วยความอ่อนล้า
สตรีสามคนที่เป็นนางสนองพระโอษฐ์ของราชินีแห่งราตรีจึงปรากฏตัวและช่วยสังหารพญางู
สตรีทั้งสามหลงรักรูปโฉมของทามิโนที่หมดสติอยู่
ต่างคนต่างก็หาทางให้อีกสองคนทิ้งไว้ให้ตนมีโอกาสอยู่ตามลาพังกับทามิโน
หลังจากที่ถกเถียงกันแล้วก็ตกลงกันว่าวิธีที่ดีที่สุดคือทิ้งทามิโนไปพร้อมกันทั้งสามคน
ทามิโนฟื้นตัวขึ้นมาพาพาเกโนก็เข้ามาในเครื่องแต่งกายที่คล้ายนก
และร้องบรรยายว่าตนเป็นคนจับนกและมีความคิดถึงภรรยาหรืออย่างน้อยก็เพื่อนสตรี (ร้องเดี่ยว:
"Der Vogelfänger bin ich ja")
พาพาเกโนบอกทามิโนว่าตนเองพาพาเกโนเป็นผู้ทาการสังหารพญางูด้วยมือเปล่า
ทันทีนั้นสตรีสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นมาลงโทษพาพาเกโนโดยเอากุญแจล็อกปากพาพาเกโนไว้
แล้วสตรีทั้งสามก็บอกทามิโนว่าตนนั้นเป็นผู้รับผิดชอบในการช่วยชีวิตทามิโนและ
ให้ยื่นภาพของสตรีสาวพามินาให้ทามิโนดู ทามิโนก็ตกหลุมรักพามินาทันทีที่ได้เห็น(ร้องเดี่ยว:
"Dies Bildnis ist bezaubernd schön")
5. 5
การปรากฏตัวของราชินีแห่งราตรี ฉากออกแบบโดยคาร์ลฟรีดริชชิงเคิล(ค.ศ.1781–ค.ศ.
1841) สาหรับการแสดงในปี ค.ศ. 1815
ราชินีแห่งราตรีที่มาปรากฏตัวก็บอกกับทามิโนว่าสาวสวยในภาพซึ่งมีชื่อว่า"พามินา"นั้น
คือพระธิดาของตนเองที่ถูกซาราสโตรผู้เป็นศัตรูลักตัวไป
ราชินีแห่งราตรีก็สั่งให้ทามิโนเดินทางไปยังเทวสถานเพื่อไปนาตัวพามินาคืนมา
และสัญญากับทามิโนว่าจะให้แต่งงานกับพามินาถ้าทาได้(ร้องพูดและร้องเดียว:"Ozittre nicht,
mein lieber Sohn") หลังจากที่ราชินีแห่งราตรีหายตัวไป
สตรีทั้งสามก็มอบขลุ่ยวิเศษที่สามารถทาให้คนเปลี่ยนใจได้ให้แก่ทามิโน
และไขกุญแจที่ปิดปากพาพาเกโนออกและมอบระฆังให้เพื่อให้พิทักษ์ตนเอง
พาพาเกโนก็ถูกสั่งให้ติดตามไปช่วยทามิโนเอาตัวพามินากลับมาทั้งสองคนจึงเริ่มเดินทาง
(ร้องประสานเสียงห้า: "Hm hm hm hm")
แล้วสตรีทั้งสามจึงแนะนาเด็กวิเศษสามคนให้ไปช่วยนาทางทามิโนและพาพาเกโนไปยังเทวสถาน
ฉากที่ 2:ท้องพระโรงในวังของซาราสโตร
พามินาถูกลากเข้าไปโดยโมโนสตาโตสผู้เป็นทาสชาวมัวร์ของซาราสโตร
(ร้องประสานเสียงสาม: "Du feines Täubchen, nun herein!")
พาพาเกโนผู้เดินทางไปทาการหาตัวพามินาล่วงหน้าก่อนเข้ามาในห้อง
ทั้งพาพาเกโนและโมโนสตาโตสต่างก็มีความหวาดกลัวรูปลักษณ์อันแปลกประหลาดของกันและกั
น ทั้งสองคนก็วิ่งหนีลงจากเวที
แต่ไม่นานพาพาเกโนก็กลับเข้ามาใหม่และบอกพามินาว่าราชินีแห่งราตรีได้ส่งทามิโนมาช่วยเหลือ
พามินาเต็มไปด้วยปิติยินดีเมื่อทราบว่าทามิโนหลงรักตนเอง
และแสดงความเห็นอกเห็นใจและให้ความหวังแก่พาพาเกโนผู้อยากจะมีสตรีเอาไว้รัก
6. 6
ทั้งสองคนจึงร้องเพลงแสดงความรัก(ร้องประสานเสียงสอง:"Bei Männern welche Liebe fühlen")
จากนั้นทั้งสองคนก็แยกกัน
ฉากที่ 3:สวนและทางเข้าเทวสถาน
เด็กวิเศษสามคนก็นาทามิโนไปยังเทวสถานของซาราสโตร
และรับรองว่าถ้าทามิโนมีความตั้งมั่นแล้วก็จะสามารถนาตัวพามินาคืนมาได้
เมื่อไปถึงเทวสถานทามิโนก็ไม่ได้รับการอนุญาตให้เข้าที่ประตูแห่งธรรมชาติและเหตุผล
โดยเสียงที่ประกาศออกมาโดยไม่เห็นตัวเจ้าของเสียงร้องว่า"กลับไป!"
แต่เมื่อทามิโนพยายามเข้าทางประตูแห่งสติปัญญา
นักบวชสูงอายุก็ปรากฏตัวขึ้นและพยายามหว่านล้อมให้ทามิโนเชื่อว่าซาราสโตรเป็นผู้มีความเมตต
ากรุณาและไม่ได้เป็นคนชั่วร้ายอย่างที่เข้าใจกัน
และความเห็นของสตรีทั้งหลายนั้นไม่ควรจะเป็นสิ่งที่ทามิโนเอามาเชื่อถือ
เมื่อนักบวชออกไปแล้วทามิโนก็เป่าขลุ่ยวิเศษโดยหวังจะเรียกตัวพามินาและพาพาเกโน
แต่เสียงของขลุ่ยวิเศษกลับไปเรียกสัตว์วิเศษที่เชื่องมา
จากนั้นทามิโนก็ได้ยินเสียงดนตรีที่พาพาเกโนเป่าอยู่นอกเวทีเป็นการตอบเสียงขลุ่ยของทามิโน
พาพาเกโนรู้สึกดีใจที่จะได้พบพามินาและทามิโนจึงรีบวิ่งไป
พาพาเกโนปรากฏตัวกับพามินาตามเสียงขลุ่ยของทามิโนมาแต่ไกล
แต่ในทันทีทันใดทั้งสองคนก็ถูกจับตัวโดยโมโนสตาโตสและทาส
พาพาเกโนจึงพยายามหว่านมนต์ขลังต่อทาสโดยการสั่นกระดิ่ง
ทาสต้องมนต์ขลังของกระดิ่งต่างก็เต้นราไปตามจังหวะของกระดิ่งจนออกจากเวทีไป
8. 8
และขอให้เทพทั้งสองพระองค์พิทักษ์ทามิโนและพามินา
และให้นาไปยังสวรรคสถานถ้าทั้งสองคนเสียชีวิตระหว่างการทดสอบ("OIsis und Osiris")
ฉากที่ 5:ลานเทวสถานแห่งการทดสอบ
ทามิโนและพาพาเกโนถูกนาตัวไปยังเทวสถาน
นักบวชเตือนทามิโนว่าโอกาสนี้เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะเปลี่ยนใจได้
แต่ทามิโนก็ยืนกรานสัญญาว่าจะยอมดาเนินการทดสอบต่างๆทุกอย่างเพื่อที่จะให้ได้พามินา
ตอนแรกพาพาเกโนก็ปฏิเสธไม่ยอมผ่านการทดสอบ
โดยกล่าวว่าตนเองไม่คานึงถึงคุณค่าของสติปัญญาและความรู้แจ้งเท่าใดนัก
สิ่งที่ต้องการเพียงอย่างเดียวคืออาหาร,เหล้าองุ่น และสตรี นักบวชบอกกับพาพาเกโน
ว่าซาราสโตรอาจจะมีสตรีไว้ให้ถ้ายอมทาการทดสอบและสตรีผู้นี้มีชื่อว่าพาพาเกนา
พาพาเกโนจึงยอมตกลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าใดนัก
การทดสอบขั้นแรกระบุว่าทามิโนและพาพาเกโนต้องไม่พูดจาโต้ตอบใดๆ
ทั้งสิ้นเมื่อถูกยั่วยวนหรือขู่เข็ญโดยสตรี (ร้องประสานเสียงคู่, นักบวชสององค์)
สตรีสามคนมาปรากฏตัวและพยายามยั่วให้ทามิโนและพาพาเกโนพูด(ร้องประสานเสียงห้า:"Wie,
wie, wie") พาพาเกโนยับยั้งตนเองไม่ได้ แต่ทามิโนยังคงไม่ยอมพูด
และเมื่อพูดก็จะพูดกับพาพาเกโนเท่านั้นและถึงจะพูดก็เพียงแต่บอกให้พาพาเกโนหุบปาก
เมื่อเห็นว่าทามิโนไม่ยอมพูดกับตน สตรีสามคนก็จากไปด้วยความงงงวย
นักบวชแสดงความยินดีกับทามิโนที่ผ่านการทดสอบขั้นแรกสาเร็จ
นักบวชอีกองค์หนึ่งด่าว่าพาพาเกโนว่าอ่อนแอและกล่าวว่าจะไม่มีวันที่จะบรรลุถึงพระเจ้าได้
พาพาเกโนโต้ว่ามีคนในโลกมากมายที่เหมือนกับตนที่ไม่มีโอกาสที่จะบรรลุ แต่ก็เป็นผู้ที่มีความสุข
9. 9
และถามว่าทาไมตนจึงต้องผ่านการทดสอบด้วยในเมื่อซาราสโตรก็มีสตรีเตรียมไว้ให้ตนอยู่แล้ว
นักบวชก็ตอบว่านี่เป็นวิธีเดียว
ฉากที่ 6:ในสวน, พามินาหลับ
โมโนสตาโตสเดินเข้ามาและจ้องมองพามินาด้วยความหลงใหล(ร้องเดี่ยว:"Alles fühlt der
Liebe Freuden")
และเกือบจะจูบใบหน้าที่กาลังหลับของพามินาเมื่อราชินีแห่งราตรีปรากฏตัวและทาให้โมโนสตาโต
สตระหนกจนหนีออกไป
ราชินีแห่งราตรีจึงปลุกพามินาและมอบกริชให้และสั่งให้พามินาใช้สังหารซาราสโตร(ร้องเดี่ยว:
"Der Hölle Rache kochtin meinem Herzen") หลังจากที่ราชินีออกไปแล้ว
โมโนสตาโตสก็กลับเข้ามาอีกและพยายามบังคับให้พามินารักตน
โดยขู่ว่าจะเปิดเผยแผนการฆาตกรรมแต่ซาราสโตรเข้ามาทันและไล่โมโนสตาโตสออกไป
ซาราสโตรยกโทษให้พามินาและทาการปลอบใจ(ร้องเดี่ยว:"In diesen heil'gen Hallen")
ฉากที่ 7:ห้องโถงในเทวสถานแห่งการทดสอบ
ทามิโนและพาพาเกโนต้องผ่านการทดสอบโดยการไม่พูดอีกครั้งหนึ่งแต่ครั้งนี้ยากกว่าเดิม
โดยพามินาเข้ามาและพยายามพูดกับทามิโนในเมื่อทามิโนไม่ยอมโต้ตอบ
พามินาก็เชื่อว่าทามิโนไม่รักตนต่อไปอีกแล้ว(ร้องเดี่ยว:"Ach, ich fühl's, es ist verschwunden")
พามินาจึงออกจากห้องด้วยความระทมทุกข์
ฉากที่ 8:พีระมิด
นักบวชแสดงความยินดีกับทามิโนที่ผ่านการทดสอบ
และทานายว่าจะประสบความสาเร็จและควรค่าต่อคาสั่งของตน(ประสานเสียง:"O Isis und
Osiris") ซาราสโตรแยกพามินาและทามิโน(ร้องประสานเสียงสาม: ซาราสโตร, พามินา, ทามิโน –
10. 10
"Soll ich dich, Teurer, nichtmehr sehn?") ตัวละครออกจากฉากพาพาเกโนเข้ามา
พาพาเกโนเล่นระฆังวิเศษและร้องเพลงเกี่ยวกับสตรีที่ตนต้องการเล่น(ร้องเดี่ยว,พาพาเกโน:"Ein
Mädchen oder Weibchen") สตรีชราปรากฏตัวต่อหน้าพาพาเกโน
และเรียกร้องให้พาพาเกโนสัญญาว่าจะหมั้นกับตน
และเตือนว่าถ้าไม่ทาก็จะเป็นโสดไปจนตลอดชีวิต
ด้วยความไม่ค่อยเต็มใจพาพาเกโนก็ยอมสัญญาว่าจะรักภักดีสตรีชรา
สตรีชราจึงกลายเป็นสตรีสาวผู้มีความงดงาม--พาพาเกนาแต่เมื่อพาพาเกโนพยายามวิ่งเข้าไปกอด
นักบวชก็ขับไล่พาพาเกนาด้วยฟ้าร้องฟ้าผ่า
ฉากที่ 9:ลาน
ทามิโนและพามินาพยายามผ่านการทดสอบขั้นสุดท้าย,Max Slevogt (ค.ศ. 1868–ค.ศ.
1932)
เมื่อเด็กวิเศษสามคนเห็นพามินาพยายามฆ่าตัวตายเพราะเชื่อว่าทามิโนทิ้งตนเด็กก็ดึงรั้ง
และยึดกริชจากมือของพามินา
และรับรองกับพามินาว่าจะได้พบกับทามิโนภายในเวลาอันไม่นานนัก(ร้องประสานเสียงสี่: "Bald
prangt, den Morgen zu verkünden").
ฉากที่ 10:ห้องโถงหรือห้องที่มีประตูสองประตู:ประตูหนึ่งนาไปยังห้องทดสอบด้วยน้าและ
อีกห้องหนึ่งเป็นถ้าไฟ
13. 13
ดวงอาทิตย์เป็นสัญลักษณ์ของเขา ศาสดาพยากรณ์ Zoroaster เป็นต้นแบบของตัวละครที่ชื่อ
Sarastro
ส่วนราชินีแห่งรัตติกาลเป็นภาพลักษณ์ของการดื้อรั้นแข็งขืนของมวลสตรี
ของจุดอ่อนต่างๆของคนเช่นความอิจฉาความหยิ่งผยองหรือความเคียดแค้น
ดังประโยคหนึ่งในบทร้องของนางตอนหนึ่งที่ว่า
“ความแค้นทั้งมวลในนรกเดือดปุดๆอยู่ในกระแสเลือดของข้า”เสียงร้องของเธอ(แบบ coloratura)
ก้องกังวานอย่างมีสีสันและลวดลายชวนให้คนฟังเคลิ้มตามและหลงเชื่อ โมสาร์ทเน้นให้เห็นว่า
ความอ่อนแอของคนมักมีตัวช่วยหลากหลายที่นาไปสู่การลงมือกระทาการ(ไม่ดี)อย่างรั้งไม่อยู่
ถึงกระนั้นการที่ราชินีแห่งรัตติกาลยอมมอบขลุ่ยวิเศษให้Tamino
สื่อการเป็นทวิภาคของความชั่วกับความดี อาณาจักรรัตติกาลของนางแท้จริงมิได้เป็นคู่ปรปักษ์
แต่เป็นส่วนเสริมที่ขาดไม่ได้ของอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ชื่อของราชินีก็บอกให้เดาได้ว่า
ดวงจันทร์เป็นสัญลักษณ์ของนาง เช่นเดียวกันนางกานัลสามคนของราชินีแห่งรัตติกาล
ที่ให้ความรู้สึกว่าโหลงเหลงไร้แก่นสาร
แต่ในที่สุดทั้งสามมีปฏิกิริยาตอบโต้ต่อสถานการณ์ตามเหตุตามผลไม่น้อยเลย
ไฟกับน้า Tamino ต้องหาผู้มาเป็นคู่ที่จักเป็นคู่ที่สมบูรณ์ที่สุด
ด้วยความรักเขาจะสามารถผ่านบทพิสูจน์คุณค่าของตนเองได้ เขาเป็นสัญลักษณ์ของไฟ
และเป็นผู้เล่นขลุ่ยวิเศษที่เป็นสัญลักษณ์ของลม ส่วน Pamina เป็นผู้มาเสริม Tamino ให้ครบเต็ม
ในฐานะที่เป็นตัวกลจักรที่นาไปสู่การเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการพิสูจน์ตัวเอง
ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าเป็นสมาชิกในวิหาร(ซึ่งหมายถึงสมาคมอันสูงส่งเฉกเช่น
Freemasonry) เท่ากับว่านางได้ย้ายจากโลกของความมืด(ในฐานะลูกสาวของราชินีแห่งรัตติกาล
และโลกของ“การไม่รู้หรือเบาปัญญา”)จากโลกที่มืดมนมาสู่โลกของแสงสว่างสู่โลกของ Sarastro
โดยอาศัยความรักและการมีส่วนเข้าร่วมในบทพิสูจน์เคียงข้าง Tamino นางเป็นสัญลักษณ์ของน้า
14. 14
เสียงเท็นเนอร์(tenor) ของTamino กับเสียงโซปราโน่ของ Pamina ต้องเลือกอย่างเหมาะสม
ต้องให้ทั้งใสและสว่างสมมาตรกับความคิดและอุดมการณ์ของตัวละครทั้งคู่
ลมกับดิน Papageno เป็นรูปแบบของสามัญชนที่มีความตั้งใจดีอยู่แต่ขาดความกล้า(เสี่ยง)
และขาดสติปัญญาคือไม่มีอุดมการณ์ที่อยู่เหนือชีวิตตามแนววัตถุนิยม
ซึ่งตรงกับชีวิตส่วนใหญ่ของสามัญชนในโลกนี้และของผู้ชมโดยทั่วไป
จึงเป็นเหมือนตัวแทนของทั้งความจริงใจกับการพูดปดถึงกระนั้นก็ยังป็นผู้มีมโนสานึกที่ดี
ที่ถามตนเองว่าอะไรคือปัญหาที่แท้จริงของคนคณะนักบวชเห็นว่าเขายังไม่ดีพอ
ยังไม่คู่ควรที่จะได้เป็นสมาชิกของวิหาร เดิมทีเป็นพรานนกจับนกให้ราชินีแห่งรัตติกาล
แต่เมื่อถูกสั่งให้เดินทางไปกับTamino
เท่ากับได้รับโอกาสให้เขาก้าวข้ามจากแดนแห่งรัตติกาลสู่แดนแห่งทิวากาล
บทบาทของเขาในเรื่องมีความสาคัญไม่น้อยที่ทาให้ Tamino
ยิ่งตระหนักชัดเจนถึงการต้องเอาชนะข้อพิสูจน์ต่างๆให้ได้ Papagenoเป็นสัญลักษณ์ของลมชื่อ
Papageno และPapagenaมาจากคาเยอรมัน Papagei ที่แปลว่านกแก้ว(parrot ในภาษาอังกฤษและ
perroquet ในภาษาฝรั่งเศส) และนี่อธิบายว่าทาไมสองคนนี้จึงสวมชุดที่มีขนนกสีๆประดับ
(บางทีเพื่อความสะดวก Papageno
สวมหมวกที่มีนกแก้วประดับเพื่อสื่อความหมายของชื่อและอาชีพของเขา)
ส่วน Monostatos แขกมัวร์ผู้เป็นชายคนเดียวในอาณาจักรรัตติกาล
(หลังจากที่ทรยศและหันไปเข้าฝ่ายราชินีแห่งรัตติกาล) เขาจึงมีเส้นทางเดินที่สวนกับ Papageno
ผิวคล้าของแขกมัวร์เน้นความหมายตามขนบในสมัยนั้นว่าแขกมัวร์ทาหน้าที่เป็นยามเฝ้าพวกทาส(ซึ่
งเป็นพวกผิวสีคล้า) ความคล้าของผิวยังโยงไปถึงความดาของดิน เขาจึงเป็นสัญลักษณ์ของดิน
จินี เด็กชายสามคนเป็นดั่งเสาหลักของปัญญาผู้รู้จักสร้างสรรค์ของอานาจผู้ปฏิบัติการ
และของความงามที่ประดับโลก
15. 15
ทั้งยังเป็นผู้ไต่สวนที่คอยสังเกตหรืออ่านจิตใจของผู้ที่อยากเข้าเป็นสมาชิกของวิหารแห่งแสงสว่าง
บทบาทของจินีหยุดอยู่แค่ธรณีประตูของวิหาร เสียงใสบริสุทธิ์ของเด็กชายทั้งสามนาทาง Tamino
พาเขาไปบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและอันตราย และเตือนให้ Tamino
เข้มแข็งและยึดมั่นในความตั้งใจที่น่าสรรเสริญ
นักบวชสองคนในชุดนักรบที่มาปรากฏสองข้างTaminoนั้น เป็นผู้อาวุโสของวิหาร
ทาหน้าที่ดูแลและปกป้ องความลับต่างๆของวิหาร ส่วนคณะนักบวชที่ปรากฏตัวเป็นหมู่บนเวที
สื่อความเป็นหนึ่งเดียวในอุดมการณ์ของสมาคมฯ
เช่นนี้สมาคมฯจึงเป็นภาพลักษณ์ของความยุติธรรมและความสมดุลสมบูรณ์ที่ที่มีเสรีภาพ
ความเสมอภาคและภราดรภาพ
เมื่อพินิจพิเคราะห์ตามประเด็นดังกล่าวมาข้างต้นเป็นตัวอย่างจะเห็นว่า
การดาเนินเรื่องไม่ง่ายดั่งละครตลกหรือละครตานานทั่วไป
แต่มีทั้งการใช้กระบวนการเล่าตามขนบคลาซสิกและกระบวนการพิเศษอื่นๆที่เพิ่มเข้าไป เช่น
งูยักษ์ที่ปรากฏตัวตั้งแต่เริ่มต้นเรื่องสื่อความกลัวที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของใจคน Tamino
เห็นงูยักษ์แล้วสลบไป ร่างที่ไร้สติสัมปปชัญญะคือภาพของการตายของคนไร้อุดมการณ์ล้าลึก
ก่อนที่ฟื้นเข้าสู่ชีวิตของจิตวิญญาณ งูที่ตายไปก็บอกเล่าการตายของสิ่งยั่วยวนสารพัดในชีวิตคน
และเพราะมี“การตาย”จึงทาให้ Tamino ได้ “เกิดใหม่”มองเห็นเส้นทางสู่วิหาร
และมุ่งหน้าไปที่นั่น
เป็นการเดินทางเพื่อค้นหาตัวตนและชาระล้างตนก่อนจะได้รับเข้าสู่วิหารสู่แสงสว่าง
กรณีที่ราชินีแห่งรัตติกาลผู้เป็นภาพลักษณ์ของอานาจ
กลับไปขอความช่วยเหลือจากคนที่ไม่มีแม้อาวุธใดๆติดตัว
และนางเองเป็นผู้ให้เครื่องมือที่นาเจ้าชายสู่ความสาเร็จ(คือการเป็นคนรู้คิดรู้ผิดชอบชั่วดี)
16. 16
และต่อมาเป็นผู้สยบนาง เท่ากับว่าเจ้าชายได้หลุดจากสภาพของผู้รับใช้(ราชินีฯ)
มาเป็นคนอิสระที่ต่อสู้เพื่อให้ตัวตนแท้ๆของเขาเองเป็นที่ยอมรับ
ประเด็นของ Tamino กับPamina หญิงคนรักที่ผ่านพ้นอุปสรรค
เอาชนะบททดสอบของเหล่านักบวชเท่ากับได้เรียนรู้ที่จะควบคุมตนเอง(เช่น
การข่มความรู้สึกภายในเป็นต้น)เช่นนี้จึงทาให้ทั้งสองสามารถเอาชนะโลกความรักเกียรติยศฯลฯ
ในขณะที่ชายหญิงอีกคู่หนึ่ง(Papageno&Papagena)ไม่เป็นเช่นนั้น จึงสอบตกบทพิสูจน์
ประเด็นที่ปราชญ์Sarastro สอน Tamino ให้มุ่งใฝ่หาแสงสว่างและปัญญา
จนในที่สุดสามารถทาให้โลกกลับคืนสู่ดุลยภาพดังเดิมดังในยุคที่พ่อของ Pamina
(สามีของราชินีแห่งรัตติกาล)ครองโลกอยู่ก่อนที่จะถ่ายทอดอานาจไปให้แก่Sarastro
ราชินีแห่งรัตติกาลจึงแค้นใจนักที่โลกมิได้อยู่ในอานาจของนางคนเดียวดังที่นางหวังไว้
ตั้งแต่ต้นเรื่องทุกอย่างสับสนอลหม่าน การดิ้นรนต่อสู้ระหว่างราชินีแห่งรัตติกาลกับ
Sarastro และเมื่อTamino กับPamina ได้เข้าร่วมบทพิสูจน์พร้อมกันนั้น
พลังและความเป็นผู้ดีของหนุ่มสาวช่วยกัน
ทาให้สามารถเอาชนะอุปสรรคและผ่านบททดสอบได้สาเร็จ
ความงามและปัญญาจึงโดดเด่นเป็นความงามความดีที่ไม่มีวันสูญสลาย
โลกกลับเป็นอาณาจักรดุจสวรรค์เป็นปึกแผ่นและสรรพชีวิตมีสง่าราศีดั่งเทพเจ้าบนฟ้า
โมสาร์ทเป็น Freemason คนหนึ่งSchikaneder ก็เคยเป็นสมาชิกผู้หนึ่ง
ทั้งสองได้นาธรรมเนียมการรับสมาชิกใหม่เข้ากลุ่มFreemasonry มาใช้ในเรื่อง The Magic Flute
คือการทดสอบและพิสูจน์ตนของ Tamino และPamina ก่อนจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในวิหารของ
Sarastro คาสั่งให้เก็บวาจาก็เป็นข้อบังคับภายในสมาคมFreemasonry
ว่าเขาต้องไม่พูดไม่เอ่ยปากบอกใครสิ่งที่ได้เห็น
17. 17
ได้ยินจากการประชุมการชุมนุมของเหล่าสมาชิกของสมาคมฯ ส่วนการปิดตาให้มองอะไรไม่เห็น
เน้นความไม่รู้ประสีประสา และเมื่อผ้าผูกตาถูกถอดออกไปแล้ว TanimoและPamina
ได้เห็นแสงสว่าง พร้อมๆกับความปลื้มปิติที่เขาเริ่มเข้าใจความจริงค้นพบสภาพแวดล้อม
ค้นพบตนเองและค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสภาพแวดล้อมใหม่นั้น
ทั้งสองเข้าใจและเข้าถึงความหมายของอุดมการณ์อันล้าลึกของวิหาร(นั่นคือการเข้าใจสมาคม
Freemasonry)
นักดุริยางค์ศาสตร์ชาวฝรั่งเศสอีกผู้หนึ่งชื่อJacques Chailley
ได้วิเคราะห์หาข้อเปรียบเทียบที่เขาโยงไปถึงสมาคมFreemasonry
ได้อีกมากจากตัวดนตรีแท้ๆที่โมสาร์ทประพันธ์ขึ้นเช่นจังหวะการเว้นจังหวะ
การย้อนกลับไปใช้กลุ่มโน้ตกลุ่มหนึ่งซ้าเว้นแล้วซ้าอีกสามครั้ง
หรือการเลือกคีย์ดนตรีเสียงใดเป็นหลักในดนตรีตอนหนึ่ง
ทาให้นักดุริยางค์ศาสตร์สามารถแกะความตั้งใจในการประพันธ์ของโมสาร์ทได้ว่า
ต้องการสื่อความเข้มข้นของอารม์ใดเป็นสาคัญในช่วงนั้นเป็นต้นนั่นคือเหนือสิ่งอื่นใด
เหนือเนื้อหาธรรมดาๆของเทพนิยาย คือคุณภาพของดนตรีของโมสาร์ท
เขาโยงไปถึงเทพสามองค์อันมีOsiris (เทพเจ้าอีจิปต์มีกายสีเขียวสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่
ของชีวิตที่ไม่สิ้นสุดเป็นกษัตริย์และตุลาการของผู้ตาย),Isis (เทพสตรีในระบบศาสนาของอีจิปต์
มีเขาวัวและจานกลมของดวงอาทิตย์เป็นสัญลักษณ์ประดับบนศีรษะเป็นเทพแห่งมนต์ขลัง
แห่งสติปัญญาเป็นผู้ให้ชีวิตผู้เยียวยารักษาและผู้ชานาญในทุกสิ่ง)และ Horus (เทพเจ้าอีจิปต์
ศีรษะเป็นเหยี่ยว เป็นสุริยะเทพ)
เทพเจ้าทั้งสามเป็นผู้ผดุงค้าจุนความสมดุลและความเป็นปึกแผ่นของโลก
อ้างอิง
https://th.wikipedia.org/wiki/อุปรากร