More Related Content
Similar to มารยาทไทย (20)
มารยาทไทย
- 4. มารยาทไทย คือ กิริยา วาจาต่างๆ เช่น การยืน การเดิน การนั่ง การนอน การรับของส่งของ
การทาความเคารพ การแสดงกิริยาอาการ การรับประทานอาหาร การให้และรับบริการ การ
ทักทาย การสนทนา การใช้คาพูด การฟัง การใช้เครื่องมือสื่อสาร รวมทั้งการประพฤติปฏิบัติ
ในพิธีการต่างๆที่สุภาพเรียบร้อยที่บุคคลพึงปฏิบัติในสังคมโดยมีระเบียบแบบแผนอัน
เหมาะสมตามกาลเทศะ และถือเป็นเอกลักษณ์สาคัญของคนไทย
ต่อไป
- 7. การประนมมือ (อัญชลีกรรม) คือ การกระพุ่มมือทั้งสองประนมให้ฝ่ ามือทั้งสอง
ประกบกันนิ้วทุกนิ้วแนบชิดติดกันไม่เหลื่อมล้ากันหรือกางออกห่างกระพุ่มมือที่ประนมนี้ไว้
ระหว่างอกให้ตั้งตรงขึ้นข้างบนมีลักษณะคล้ายดอกบัวตูมแนบศอกทั้งสองข้างไว้ชิดกับชายโครง
ไม่ปล่อยให้กางออกไปรักษาระดับกระพุ่มมือไว้ระหว่างอกเป็นการแสดงความเคารพเวลาสวด
มนต์ หรือฟังสวดมนต์และฟังเทศน์
กลับหน้าหลัก
- 8. กลับหน้าหลัก
การไหว้ (นมัสการ) คือ การยกมือที่ประนมขึ้นจรดหน้าผาก นิ้วหัวแม่มือทั้งสองอยู่ระหว่างคิ้ว
พร้อมกับก้มศีรษะลงเล็กน้อย ใช้แสดงความเคารพพระภิกษุสามเณร หรือปูชนียวัตถุปูชนียสถาน
ในขณะที่ผู้ไหว้นั่งบนเก้าอี้หรือยืนอยู่ การไหว้บุคคลผู้อาวุโสกว่าให้ปล่อยมือจรดจมูกหรือคิ้ว การไหว้ผู้
เสมอกันให้ประนมมือไหว้ระดับอก
- 9. ต่อไป
การกราบ (อภิวาท) คือ การแสดงอาการกราบราบลงกับพื้นด้วยเบญจางคประดิษฐ์ คือด้วย
องค์ประกอบห้าอย่าง ได้แก่ เข่าทั้งสอง ฝ่ ามือทั้งสอง และศีรษะอันได้แก่ หน้าผากให้จรดกับพื้น
เป็นอาการแสดงความเคารพอย่างสูงต่อ พระรัตนตรัย มีขั้นตอนการปฏิบัติ ดังนี้
- 10. ต่อไป
ท่าเตรียมตัว นั่งคุกเข่า (ชายตามแบบชายหญิงตามแบบหญิง) มือทั้งสองทอดวางเหนือเข่าทั้งสองให้นิ้วมือ
ทั้งห้าแนบชิดกัน
– จังหวะที่หนึ่ง ยกมือขึ้นประนมไว้ระหว่างอก ตามแบบการประนม
– จังหวะที่สอง ยกมือที่ประนมขึ้นจรดหน้าผาก โดยให้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองอยู่ระหว่างคิ้วตาม
แบบการไหว้ พระรัตนตรัย
– จังหวัะที่สาม ก้มตัวลง ปล่อยมือทั้งสองให้ทอดลงกับพื้นโดยแบมือทั้งสองให้ข้อศอกต่อกับ
เข่าทั้งสอง ข้าง (สาหรับชาย) และให้ศอกทั้งสองข้างขนาบเข่าทั้งสองไว้(สาหรับหญิง)ให้ระยะมือทั้งสอง
ห่างกันประมาณ ห้านิ้ว ก้มศีรษะให้หน้าผากจรดพื้นในระหว่างมือทั้งสองแล้วยกมือประนมขึ้นผ่านจังหวะ
ที่หนึ่สอง และสามไปตามลาดับให้ต่อเนื่องกันทาติดต่อกันไปจนครบสามครั้ง
เมื่อครบสามครั้งแล้วพึงยกมือขึ้นไหว้ตามแบบพระรัตนตรัย แล้วเปลี่ยนอริยาบทเป็นนั่งพับเพียบ
หรือลุกขึ้นตามกาลเทศะ
กลับหน้าเดิม
- 11. กลับหน้าแรก
การกราบบุคคล และกราบศพ เป็นการกราบด้วยวิธีกระพุ่มมือ และกราบเพียงครั้งเดียวไม่แบมือ ดังนี้
1) หากบุคคลหรือศพอาวุโสกว่าให้ประนมมือไหว้ ให้ปลายนิ้วจรดจมูก หรือจรดหว่างคิ้วก็
ได้ถ้าคนเสมอกันประนมมือเพียงระหว่างอก
2) นั่งพับเพียบเก็บเท้า ตามแบบนั่งพับเพียบ
3) หมอบลงตามแบบหมอบ
4) มือทั้งสองกระพุ่มทอดลงกับพื้นไม่แบมือ
5) ก้มศีรษะลงจรดสันมือ กราบเพียงครั้งเดียว
6) เสร็จแล้วลุกขึ้นนั่งพับเพียบตามปกติ
ศพพระสงฆ์จะกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์สามครั้งก็ได้ สาหรับนาคกราบลาบวช หรือจะกราบบิดา
มารดาตอนรับผ้าไตรใช้แบบเบญจางคประดิษฐ์ 3 ครั้ง
- 14. การยืนต่อหน้าผู้ใหญ่ ควรยืนตรง ขาชิด ปลายเท้าห่างกันเล็กน้อยมือทั้งสองแนบข้างลาตัว ถ้าอยู่
ต่อหน้าผู้ใหญ่ที่มีอาวุโสสูงหรือพระสงฆ์ หรือเป็นการยืนหน้าที่ประทับควรค้อมส่วนบนตั้งแต่เอวขึ้นไป
เล็กน้อยมืออยู่ ในลักษณะคว่าซ้อนกัน จะเป็นมือข้างไหนทับมือข้างไหนก็ได้ หรือจะประสานมือทั้งสอง
อย่างหลวมๆ หงายมือทั้งสองสอดนิ้วเข้าระหว่างช่องนิ้วของแต่ละมือก็ได้
กลับหน้าหลัก
- 15. การยืนถวายความเคารพพระมหากษัตริย์หรือพระมเหสี ถ้าแต่งเครื่องแบบให้ยืนตรง แล้ว
กระทาวันทยาหัตถ์ ถ้าไม่ได้สวมหมวก ให้ยืนตรงแล้วถวายคานับ การถวายคานับให้ก้มศีรษะ และส่วนไหล่ลงช้า ๆ
ให้ต่าพอสมควรแล้วกลับมายืนตรง อย่าผงกศีรษะ ถ้าสวมหมวกอื่นที่มิใช่ประกอบเครื่องแบบต้องถอดหมวกก่อน
แล้วจึงถวายคานับ
สาหรับหญิง ให้ยืนตรงเท้าชิด หันหน้าไปทางพระองค์ท่าน ชักเท้าข้างใดข้างหนึ่งไปทางหลังโดยวาดปลายเท้าไป
ทางอีกด้านหนึ่งของเท้าที่ ยืน ทาพร้อมกับย่อเข่าอีกข้างหนึ่งลงช้าๆเมื่อจวนจะต่าสุดให้ยกมือทั้งสองวาง
ประสานกันบนหน้าขาที่ย่อให้ต่าลงโดยให้หน้ามือประสานกันและให้ค่อนไปทางเข่าก้มศีรษะลงเล็กน้อย จากนั้น
เงยศีรษะขึ้นพร้อมกับชักเท้าที่ไขว้กลับที่เดิมและตั้งเข่าตรง
กลับหน้าหลัก
- 21. การเดินนาเสด็จและตามเสด็จ
– การเดินนาเสด็จ ให้เดินหน้าระยะห่างพอสมควรทางด้านซ้ายของพระองค์ท่าน ในกรณีที่
เสด็จพระราชดาเนินบนลาดพระบาท ผู้เดินนาเสด็จต้องไม่เดินบนลาดพระบาทให้เดินในลักษณะ
เอียงตัวน้อย ๆ มาทางพระองค์ท่าน เพื่อได้สังเกตทราบหากจะประทับยืนค้อมร่างกายส่วนบน
เล็กน้อย มือทั้งสองประสานกัน และยกขึ้นเหนือแนวเข็มขัดเล็กน้อยเมื่อถึงที่จะอัญเชิญประทับ ซึ่ง
เท่ากับกราบบังคมทูล ฯ ว่าถึงที่ประทับแล้วเมื่อจะถอยออกไป ให้ถวายคานับครั้งหนึ่ง ก่อนที่ผู้นาจะ
นั่งที่ ต้องถวายคานับอีกครั้งหนึ่ง
ต่อไป
- 23. การเดินเข้าสู่ที่ชุมชน ควรเดินเข้าไปอย่างสุภาพ เมื่อผ่านผู้ที่นั่งอยู่ก่อน ควรก้มตัวลงเล็กน้อยถ้า
ผู้นั่งเป็นผู้อาวุโสมากก็ก้มตัวให้มากและระวังอย่าให้เสื้อผ้าหรือร่างกายไปกรายผู้อื่นถ้าไม่มีการกาหนด
ที่นั่งก็ให้นั่งเก้าอี้ที่สมควรโดยสุภาพ อย่าลากเก้าอี้ให้ดังอย่าโยกย้ายเก้าอี้ไปจากระดับที่ตั้งไว้
การเข้าสู่ที่ชุมนุมที่นั่งกับพื้นควรเดินอย่างสุภาพ เวลาผ่านผู้ที่นั่งอยู่ก่อนควรค้อมตัวลงให้มาก
หรือน้อยสุดแท้แต่ระยะใกล้ หรือระยะไกล ระวังอย่าให้เสื้อผ้าหรือส่วนของร่างกายไปกรายผู้อื่นถ้าผ่าน
ระยะใกล้มากใช้การเดินเข่า
วิธีการเดินเข่าให้นั่งคุกเข่าตัวตรง มืออยู่ข้างลาตัวแกว่งได้เล็กน้อยยกเข่าขวาซ้ายไปข้างหน้าสลับ
ข้างกันปลายเท้าตั้งช่วงเท้าพองามไม่กระชั้นเกินไป การเดินเข่าไม่นิยมใช้ในกรณีเข้าเฝ้ าหรือเข้าพบ
ผู้ใหญ่
กลับหน้าหลัก
- 26. การเดินขึ้นลงเมรุ ในงานศพที่เสด็จพระราชดาเนิน ควรปฏิบัติโดยลาดับ ดังนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระบรมวงศานุวงศ์ประธานองคมนตรี นายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรี คณะทูตานุทูต ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ประชาชนทั่วไป พระภิกษุสามเณรเป็นอันดับ
สุดท้าย
การปฏิบัติในการเดินขึ้นสู่เมรุให้ลุกจากที่นั่งถวายความเคารพ เมื่อผ่านที่ประทับถวายความ
เคารพลงจากเมรุถึงพื้นถวายความเคารพ เมื่อผ่านที่ประทับถวายความเคารพ ก่อนจะนั่งถวายความ
เคารพ
กลับหน้าหลัก
- 28. การนั่งเก้าอี้ ให้นั่งตัวตรง หลังพิงพนักเก้าอี้เท้าวางชิดกัน เข่าแนบชิดกัน มือทั้งสองวางบนหน้าขา
ถ้าเป็นเก้าอี้ท้าวแขน เมื่อนั่งตามลาพัง จะเอาแขนพาดบนท้าวแขนก็ได้ ไม่ควรนั่งเอาปลายเท้าหรือขาไขว้
กันอย่างนั่งไขว่ห้างควรนั่งเต็มเก้าอี้อย่านั่งโดยโยกเก้าอี้ให้ยกหน้าหรือเอนหลังการนั่งลงศอกในกรณีนั่ง
เก้าอี้ให้น้อมตัวลงเงยหน้าเล็กน้อยวางแขนทั้งสองลงบนหน้าขามือประสานกัน
กลับหน้าหลัก
- 33. การนั่งขัดสมาธิ (สะหมาด) คือการนั่งตามสบายอย่างหนึ่งและการนั่งแบบทาสมาธิ
การนั่งขัดสมาธิธรรมดาคือ การนั่งบนพื้น คู้เข่าทังสองข้างหาตัว แนบขาลงกับพื้น โดยให้ขาข้างหนึ่งช้อนทับอยู่บนอีกข้าง
หนึ่ง ส้นเท้าทั้งสองข้างจะสัมผัสกับขา เป็นอิริยาบถที่ใช้นั่งตามลาพังสบายๆ หรือ สาหรับชายนั่งกับพื้นรับประทานอาหาร
การนั่งขัดสมาธิที่ใช้ในทางศาสนามี 2 แบบ คือ การนั่งขัดสมาธิราบ และการนั่งขัดสมาธิเพชร
-การนั่งขัดสมาธิราบ คือ การนั่งขัดสมาธิสองชั้น โดยเอาขาซ้อนทับกันเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วหัวแม่มือ
จรดกัน ตั้งกายส่วนบนให้ตรง การนั่งขัดสมาธิราบนี้ใช้นั่งในการเจริญภาวนาทาจิตใจให้สงบซึ่งเป็นการปฏิบัติกรรมฐานเมื่อ
นั่งแบบนี้จะมีผลให้เนื้อหนังและเอ็นไม่ขด แม้นั่งนานทุกขเวทนาก็จะไม่บังเกิดขึ้น การบาเพ็ญภาวนาทางจิตใจจะได้ผล
-การนั่งขัดสมาธิเพชร คือ การนั่งขัดสมาธิโดยคู้เข่าทั้งสองข้างเอาฝ่ าเท้าทั้งสองขัดหรือไขว้ขึ้นวางบนหน้าขาท่านั่งขัดสมาธิ
แบบนี้ต้องใช้การฝึกหัดให้เกิดความชานาญโดยการหัดนั่งขัดสมาธิราบ หรือขัดสมาธิสองชั้นได้ชานาญแล้ว
กลับหน้าหลัก
- 36. 4. นอนให้เรียบร้อยตามสมควร ซึ่งรวมไปถึงการนอนอย่างสงบสารวม ระวังการนอนกัดฟัน และละเมอ เป็นต้น
5. ไม่ควรทาความเดือดร้อนราคาญแก่ผู้อยู่ห้องใกล้เคียง หรือบ้านใกล้เคียง เช่น ทาเสียงดังเกินควรในยามวิกาล
6. เมื่อตื่นนอนแล้ว ควรจัดเก็บเครื่องนอนให้เรียบร้อย และควรทาจิตใจให้ผ่องใส ไม่หงุดหงิด
กลับหน้าหลักกลับหน้าเดิม
- 37. การนอนเมื่อไปพักบ้านผู้อื่น ในกรณีที่ไปพักบ้านผู้อื่น หรือเพื่อนที่คุ้นเคยกัน แม้จะสนิท
สนมกันก็ควรคานึงถึงมารยาทที่พึงปฏิบัติอยู่บ้าง ผู้ไปพักบ้านผู้อื่นควรปฏิบัติเช่นเดียวกับการนอนใน
ที่เฉพาะส่วนตัว แต่ควรเน้นเป็นพิเศษในเรื่องต่างๆ ดังนี้
1. ไม่ควรไปค้างบ้านผู้อื่นในยามดึกหรือกลับดึกโดยไม่มีเหตุอันจาเป็น เพราะเจ้าของบ้านจะเดือดร้อน
ในการเปิดประตูต้นรับ หรือให้ความสะดวกต่างๆ
ต่อไป
- 38. 2. ควรมีความเกรงใจ คานึงถึงความต้องการของเจ้าของบ้าน ไม่ถือแต่ประโยชน์สุขส่วนตัว และไม่
เรียกร้องขอความสะดวกสบายจากเจ้าของบ้านจนเกินควร เช่น ใช้ห้องน้า ห้องส้วมนานเกินไป ขอใช้
บริการเครื่องอานวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งในบ้านมีจานวนจากัด
3. ไม่ทาสิ่งใดอันจะเป็นการรบกวน หรือก่อความราคาญให้แก่กันและกัน เช่น ทาเสียงดังเป็นเหตุให้
เจ้าของบ้านตกใจตื่น ชวนคุยโดยไม่คานึงว่าอีกฝ่ ายหนึ่งต้องการจะพักผ่อน
4. ควรขออนุญาตเจ้าของบ้านก่อนที่จะทาสิ่งใดอันเกี่ยวข้องกับเจ้าของบ้านเช่น ขอพูดโทรศัพท์ ขอใช้รถ
ฯลฯ
5. ควรช่วยรักษาความสะอาดตามสมควร ซึ่งถือเป็นมารยาทอันดี
**ผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านก็ควรอานวยความสะดวกแก่ผู้มาพักและมีความเกรงใจไม่ทา สิ่งใดอันอาจก่อความ
ราคาญและรบกวนผู้มาพักเช่นกัน
กลับหน้าหลักกลับหน้าเดิม
- 44. -การรับของขณะผู้ใหญ่ยืน ผู้ชายเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร(ประมาณ 2 ก้าว) ยืนตรง
คานับแล้วก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าพร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อย รับของ เสร็จแล้วซักเท้าขวากลับ คานับอีกครั้ง
หนึ่ง ถอยพอประมาณแล้วหันกลับ อีกแบบหนึ่งยืนไหว้ครั้งเดียว แทนการคานับก่อน รับของแล้วไม่ต้องไหว้
อีก ผู้หญิงเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร (ประมาณ 3 ก้าว) ย่อตัวไหว้ตามอาวุโสของผู้ส่งของให้ แล้ว
ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าพร้อมกับย่อตัวรับของเสร็จแล้วซักเท้าขวากลับถอยพอประมาณ หันกลับ
การรับของและส่งของอย่างเป็นพิธีการ คาว่าพิธีการในที่นี้คือ การกระทาที่เป็นพิธี มีการ
กาหนดนัดหมาย และมีระเบียบปฏิบัติซึ่งอาจไม่เหมือนกับวิธีปฏิบัติที่เป็นส่วนตัว
ต่อไป
- 45. -การรับของขณะผู้ใหญ่นั่งเก้าอี้ ผู้ชายเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร ยืนตรง คานับก้าวเท้า
ขวาไปข้างหน้า แล้วคุกเข่าซ้าย รับของ เสร็จแล้วถอยเท้าขวา พร้อมกับลุกขึ้นยืนตรงคานับอีกครั้งหนึ่งถอย
พอประมาณ หันกลับอีกแบบหนึ่ง ถอยพอประมาณหันกลับอีกแบบหนึ่ง ค้อมตัวไหว้ครั้งเดียวแทนการคานับ
ก่อนรับของ ผู้หญิงเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร ยืนตรง ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าแล้ว คุกเข่าซ้าย และไหว้
ตามอาวุโสของผู้ส่งของให้รับของแล้วถอยเท้าขวาพร้อมกับลุกขึ้นยืนถอยพอประมาณ หันกลับ
ต่อไปกลับหน้าเดิม
- 50. การรับของและส่งของอย่างไม่เป็นพิธีการ การรับของและส่งของอย่างไม่เป็นพิธีการนั้น หมายถึง
การรับของ และส่งของเป็นการส่วนตัวขณะที่ผู้ใหญ่ยืนอยู่หรือนั่งบนเก้าอี้รับแขกหรือนั่งบนพื้นในบ้าน ทั้งชาย
และหญิงควรปฏิบัติด้วยอาการนอบน้อมด้วยการทาความเคารพคือ เมื่อจะรับของก็ไหว้ท่านแล้วจึงรับ เมื่อจะส่ง
ของให้ท่านก็ส่งของก่อนแล้วจึงไหว้ ทั้งนี้พึงปฏิบัติให้เหมาะสมตามกรณีเมื่อจะลาท่านก็ให้ไหว้อีกครั้งหนึ่ง
หมายเหตุ : การรับของหรือการส่งของเมื่อผู้ใหญ่นั่งกับพื้นถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่อาวุโสไม่มาก เช่น พี่น้า อา เป็นต้น ให้
ใช้วิธีการนั่งพับเพียบไหว้ การเข้าและออกให้ใช้วิธีเดินเข่า
กลับหน้าหลัก
- 51. -การทูลเกล้าฯ ถวายของ พัสดุหรือสิ่งของที่ยกถือเชิญอันเป็นของเบาเรียกว่า ทูลเกล้าถวาย ผู้เข้าเฝ้ า
ฯ ชายหรือหญิงเมื่อจะทูลเกล้าฯถวายในขณะประทับพระราชอาสน์ พระเก้าอี้หรือประทับยืนจะต้องมีภาชนะ
เช่น พานรองรับสิ่งของนั้น ผู้ถวายควรถือคอพานประคอง 2 มือ ก่อนจะเข้าไปเฝ้ าฯ ถวาย ต้องทาความเคารพ
ตามเพศ (คานับ – ถอนสายบัว) เมื่อจะถึงที่ประทับห่างพอประมาณ ถวายความเคารพตามเพศ (คานับ – ถอน
สายบัว)
การทูลเกล้าฯ ถวายของและการรับพระราชทานของ
ต่อไป
- 52. แล้วย่อตัวลง โดยก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า เข่าซ้ายลงจรดพื้นแล้วยกพานภาชนะที่รองรับสิ่งของนั้น ๆ ทูลเกล้า
ฯ ถวายเมื่อทรงหยิบของในพานแล้ว ให้ลุกขึ้นถือภาชนะหรือพานลดต่าพร้อมกับถอยเท้าขวากลับถวายความ
เคารพแล้วเดินถอยหลังไป 3-4 ก้าว ถวายความเคารพแล้วลับไปยืนหรือนั่งเฝ้ าฯ ที่เดิม ส่วนพัสดุ สิ่งของ หรือ
สิ่งใดก็ตามที่ยกถือเชิญไม่ได้เพราะเป็นของหนักหรือสิ่งมีชีวิตเรียกว่าน้อมเกล้าฯถวาย การน้อมเกล้าฯถวาย
สิ่งของที่จะยกเชิญไม่ได้ เพราะเป็นของหนักหรือสิ่งมีชีวิต ส่วนมากจะทาเป็นเอกสาร
ต่อไปกลับหน้าเดิม
- 53. -การรับพระราชทานสิ่งของ ผู้รับจะต้องใช้มือขวาโดยวิธีการ“เอางาน” คือ ยกมือไม่กางข้อศอกมือตั้ง ยก
ข้อมือขึ้น 1 ครั้ง แล้วหงายมือรับพระราชทานของ ถ้ารับพระราชทานของที่เป็นของเบาให้รับมือเดียว แต่ถ้าเป็นของหนัก
ให้ยกมือขวาเอางานก่อนแล้วจึงรีบยกมือซ้ายขึ้นมาช่วยรับ ผู้ชาย เดินเข้าไปห่างพอประมาณ ถวายความเคารพ (ถวาย
คานับ) ย่อตัวลงโดยก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าคุกเข่าซ้าย ยกมือขวาเอางานแล้วรับพระราชทานของ เสร็จแล้วถอนเท้าขวา
พร้อมกับลุกขึ้นยืนตรงถวายความเคารพ ถอยหลังออกผู้หญิง เดินเข้าไปห่างพอประมาณ ถวายความเคารพ (ถอนสายบัว
แบบพระราชนิยม) แล้วยืนตรง ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า คุกเข่าซ้าย ยกมือขวาเอางาน แล้วรับพระราชทานของ เสร็จแล้ว
ถอยเท้าขวาพร้อมกับลุกขึ้นยืนถวายความเคารพ ถอยหลังออก
กลับหน้าหลักกลับหน้าเดิม
- 54. การประเคนของแด่พระสงฆ์และการรับของจากพระสงฆ์
-การประเคนของแด่พระสงฆ์ หมายถึง การถวายของโดยส่งให้ตามวิธีการทางพระวินัย การ
ประเคนของแด่พระสงฆ์ ถ้าเป็นของที่พอยกได้ใช้ 2 มือยกแล้วประเคนในระยะหัตถบาส ถ้าเป็นของใหญ่เกิน
กว่าที่จะยกได้ เช่น เรือ รถ หรือกุฎีก็ไม่ต้องยกเพียบกล่าวคาถวายหรือถวายเอกสารประกอบสิ่งของนั้นก็พอ
แล้ว วิธีการประเคนของ ชายและหญิงปฏิบัติดังนี้คือ ถ้าพระสงฆ์นั่งกับพื้นถือของเดินเข่าเข้าไปได้ระยะหัตถ
บาส แล้วยกของขึ้นประเคน ผู้ชายจะประเคนของแด่พระสงฆ์ในลักษณะมือต่อมือได้เลย ผู้หญิงจะต้องวางบน
ผ้าที่พระสงฆ์ทอดออกมา จะไหว้หรือกราบแล้วแต่กาลเทศะ ถอยโดยวิธีเดินเข่า
ต่อไป
- 56. -การรับของจากพระสงฆ์ ชายและหญิงปฏิบัติดังนี้คือ ก่อนรับของให้เข้าไปใกล้ในระยะ
พอสมควร แล้วแสดงความเคารพจะกราบหรือไหว้สุดแต่กาละ ของเบา ชายยื่นมือขวารับ ของหนัก ยื่น
สองมือรับแล้วถอยกลับ ส่วนหญิง พระจะวางของไว้ตรงหน้า ของเบาให้เอื้อมมือขวาไปหยิบด้วยอาการ
นอบน้อม สารวม ของหนักให้ยกทั้งสองมือแล้วถอยกลับ
การแสดงกิริยาอาการคือ ส่วนต่างๆของร่างกายที่แสดงกิริยาอาการให้มีผลต่อการสื่อความหมายที่
สาคัญๆ มีศรีษะ ดวงตา หน้า ไหล่ แขน มือ นิ้ว ลาตัว ขา มีหลักกว้าๆ พอจะบอกได้ว่ากิริยาอาการเป็น
ปัจจัยช่วยสื่อความหมายให้สัมฤทธิผลหรือเป็นอุปสรรคต่อการสื่อความหมาย
ต่อไปกลับหน้าเดิม
- 61. 5. ควรพยามยามพูดคุยทักทายกับแขกคนอื่น ๆ ที่มาในงาน แม้ไม่ใช่เพื่อนของเรา ถ้าถูกแนะนาให้รู้จักกับใคร ก็
ควรจะพูดคุยกับคนนั้นหากไม่มีใครแนะนาก็ควรพูดคุยกับคนใกล้เราที่สุด
6. เวลาที่นั่งโต๊ะ ควรให้แขกผู้ใหญ่นั่งก่อน แล้วเราค่อยนั่งตาม สามี ภรรยา ไม่ควรนั่งโต๊ะติดกัน
7. เวลาเดินเข้าประจาโต๊ะ สุภาพบุรุษควรช่วยเหลือสุภาพสตรีที่นั่งข้าง ๆ ให้นั่งก่อนโดยการยกเก้าอี้เลื่อนให้
เล็กน้อย สุภาพสตรีนั่งแล้วสุภาพบุรุษจึงค่อยนั่งตาม โดยสุภาพสตรีต้องนั่งทางขวาของสุภาพบุรุษ
8. ก่อนนั่งโต๊ะควรงดสูบบุหรี่ แม้นั่งโต๊ะเรียบร้อยแล้วก็ไม่ควรสูบ เพราะมีสุภาพสตรีนั่งอยู่ข้างๆ
9. นั่งโต๊ะต้องนั่งตัวตรง อย่านั่งพิงเก้าอี้เอนหลัง หรือค่อมหลังจนตัวงอ อย่านั่งชิด หรือห่างจากเก้าอี้หรือเอา
เท้าวางบนเก้าอี้เอาศอกวางบนโต๊ะ
10. อย่าอ่านหนังสือใดๆ บนโต๊ะอาหารนอกจากรายการอาหาร
กลับหน้าเดิม ต่อไป
- 62. 11. ผ้าเช็ดมือคลี่วางบนตัก
12. อย่าเล่นช้อน ส้อมหรือผ้าเช็ดมือ
13. อย่ากางข้อศอกในเวลารับประทานอาหารศอกต้องแนบตัว
14. ถ้ามีสิ่งใดตก ไม่ต้องเก็บ ควรแจ้งให้คนเสริฟทราบ
15. เวลานั่งโต๊ะ คอยสังเกตให้ดีว่าอันไหนเป็นของเราหรือเป็นของคนอื่น อย่าหยิบผิด
16. เวลารับประทานอาหารอย่าจับหรือแต่งผม แต่งหน้า ทาปาก
17. ช่วยเหลือเพื่อนร่วมโต๊ะตามสมควร
กลับหน้าเดิม ต่อไป
- 64. การรับประทานอาหารแบบตักเอง หรือที่เรียกว่าบุฟเฟ่ ห์ ควรปฏิบัติดังนี้
1. ไม่ควรตักก่อนที่เจ้าภาพจะเชิญ
2. ไม่ควรตักอาหารจนล้นชามแล้วรับประทานไม่หมด
3. ไม่ควรตักของหวานหรือผลไม้เกินกว่าที่ตนจะรับประทานได้
4. เมื่อต้องการอาหารเพิ่มเติม ต้องใช้ช้อนกลางไม่ควรใช้ช้อนของตนตักอาหาร
5. เมื่อตนตักอาหารชนิดใดแล้วต้องให้โอกาสคนอื่นเข้าได้ตักบ้างไม่ควรยืนปักหลักอยู่ที่โต๊ะ
6. ไม่ควรลุกไปตักอาหารพร่าเพรื่อจนเกินควร
7. รับประทานอาหารที่ตักมาให้หมด ไม่ควรเหลือทิ้งไว้บนจานมาก
8. เมื่อรับประทานอาหารเสร็จควรรวบช้อนส้อมเข้าคู่ด้วยกัน
9. เมื่อจะกลับควรลาเจ้าภาพและกล่าวคาขอบคุณ
กลับหน้าหลัก
- 66. เมื่อคุณเป็นแขก ต้องตรงต่อเวลาทุกครั้ง (ในกรณีฉุกเฉินต้องโทรศัพท์ แจ้งผู้ที่เรานัดให้ทราบล่วงหน้า)
ตามปกติ คนทางานมักมีนัดหมายอื่นๆอีก ดังนั้น ย่อมต้องการเวลาที่กาหนดอย่างเคร่งครัด เมื่อไปถึงสถานที่
ให้แสดงนามบัตร พร้อมแนะนาตัว ชื่อ และบริษัทที่ทางานแก่พนักงานต้อนรับด้านหน้าพร้อมกับแจ้งความ
ประสงค์ ถ้าหากผู้ที่ต้องการพบยังไม่ว่าง และพนักงานต้อนรับเชื้อเชิญคุณนั่งคุณอาจวางกระเป๋ าเอกสารไว้บน
พื้นหรือบน ตัก แล้วอ่านหนังสือหรือจดโน๊ตรอก็ได้
ต่อไป
- 67. ข้อสาคัญ จงอย่าไปยุ่มย่ามกับงานของพนักงานต้อนรับหรือหยิบเอกสารผู้อื่นมาดู เมื่อได้เข้าไป
พบกับบุคคลเป้ าหมายแล้ว อย่าลืมทักทายด้วยการกล่าว“สวัสดี” ก่อน พร้อมทั้งแนะนาตัวด้วย
ถ้าหากว่าพนักงานต้อนรับสักครู่ไม่ได้แนะนาไว้ ในกรณีกลับกัน หากคุณมีแขกมาเยือนถึงที่
ทางาน และมีโทรศัพท์ถึงคุณ คุณน่าจะต่อโทรศัพท์กลับทีหลังดีกว่า ทว่าถ้าเป็นเรื่องสาคัญ ก็ขอ
โทษและรีบสรุปการเจรจาโดยเร็ว เช่นเดียวกับเวลาที่คุณไปพบคนอื่นแล้วมีโทรศัพท์เข้าคุณควร
เสนอตัวออกไปรอข้างนอกชั่วขณะ การเข้าพบใดๆ ไม่ควรอยู่นาน และขากลับอย่าลืมขอบคุณ
พนักงานต้อนรับด้วย
ต่อไปกลับหน้าเดิม
- 68. เมื่อคุณเป็นผู้ที่แขกต้องการพบ ไม่ควรปล่อยให้เขารอนานเกินความจาเป็น แนะนาตนเองในกรณีที่
เขายังไม่รู้จัก หรือหากคุณยังไม่พร้อมที่จะให้เข้าพบก็ควรเชิญไปที่ห้องรับแขก ซึ่งเพียบพร้อมด้วยหนังสือพิมพ์
วารสาร และที่เขี่ยบุหรี่ตามห้องรับแขกใหญ่ๆ ในต่างประเทศ จะไม่มีการเสิร์ฟเครื่องดื่ม ยกเว้นแต่จะมีเครื่องชง
กาแฟ ทว่าในเมืองไทยผู้ที่มาเยือนมักได้รับการเสนอว่าต้องการเครื่องดื่มอะไรชา กาแฟ หรือน้าเย็น ผู้ทาหน้าที่
เป็นเลขาฯหรือมีหน้าที่ในการคัดเลือกบุคคลภายนอกที่ต้องการพบ พนักงานระดับสูงในบริษัทนั้นบางทีอาจ
พบว่าแขกที่มาไม่ได้เปิดเผยตนเอง ก็จงถามชื่อและประเภทธุรกิจของเขา
ต่อไป
- 70. การแนะนาตัว การแนะนาตัวนั้น จะว่าง่ายก็ไม่เชิง จะว่ายากก็ไม่ใช่ กฏระเบียบทางสังคมเป็นสิ่งที่
ควรเรียนรู้ เพื่อจะได้ปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง หน้าไม่แตก สิ่งสาคัญขิงการแนะนาตัว คือ ชื่อ ตาแหน่ง ยศ
หรือข้อมูลใดๆที่สาคัญ อันเป็นการอธิบายบุคคลผู้ถูกแนะนาให้เป็นที่รู้จักกันได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างง่ายๆสาหรับการแนะนาตัว มีดังนี้
1. ควรแนะนาตนเองทันที เมื่อเห็นว่าผู้อื่นจาชื่อคุณไม่ได้
2. ใช้การแนะนาตัวว่า “สวัสดี” ในตอนพบปะและอาลา
3. เมื่อคุณต้องแนะนาผู้อื่นต่ออีกบุคคลหนึ่ง อย่าลืมว่าต้องเอ่ยถึงผู้ที่มียศศักดิ์ก่อนเช่น “ท่าน ผอ.ฉัตรชัย
นี่คุณนวลเนียนพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ของบริษัทครับ”
กลับหน้าหลัก
- 72. 6. ไม่กล่าวถึงสิ่งโสโครกพึงรังเกียจในท่ามกลางประชุมชน
7. ไม่พูดเปรียบเปรยเคาะแคะสตรีกลางประชุม
8. ไม่กล่าวถึงสิ่งควรปิดบังท่ามกลางประชุมชน
9. ไม่ขอแยกผู้หนึ่งมาจากผู้ใด เพื่อจะพาไปพูดจาความลับกัน
10. ไม่กล่าวถึงความชั่วร้าย อันเป็นความลับเฉพาะบุคคลในที่แจ้ง
11. ไม่เก็บเอาความลับของผู้หนึ่งมาเที่ยวพูดแก่ผู้อื่น
12. ไม่พูดสับปลับกลับกลอกตลบตะแลง
13. ไม่รับวาจาคล่องๆ โดยไม่ได้เห็นว่าการจะเป็นไปได้หรือไม่ ดังนั้นต้องใคร่ครวญให้แน่แก่ใจก่อนจึงรับคาหรือ
จึงปฏิญญา ไม่ใช่ทาแต่สักว่าพูดโพล่งโดยไม่ได้คานึงให้แน่ชัดว่าจะทาได้หรือไม่
ต่อไปกลับหน้าเดิม
- 73. 14. เมื่อตนทาพลาดพลั้งสิ่งใด แก่บุคคลผู้ใด ควรออกวาจาขอโทษเสมอ
15. เมื่อผู้ใดได้แสดงคุณต่อตนอย่างไรควรออกวาจาขอบคุณเขาเสมอ
16. ไม่กล่าวสรรเสริญรูปกายบุคคลแก่ตัวเขาเอง
17. ไม่ทักถึงการร้ายโดยพลุ่งโพล่งให้เขาตกใจ
18. ไม่ทักถึงสิ่งอันน่าอายน่ากระดากโดยเปิดเผย
19. ไม่เอาสิ่งที่น่าจะอายจะกระดากมาเล่าให้แขกฟัง
20. ไม่กล่าวถึงการอัปมงคลในเวลามงคล
21. ไม่ใช้วาจาอันข่มขี่
22. ไม่สนทนาแต่เรื่องตนถ่ายเดียว จนคนอื่นไม่มีช่องจะสนทนาเรื่องอื่นได้
ต่อไป