ทรัพยากรพลังงาน
- 2. ทรัพยากรพลังงาน (Energy Resources)
พลังงาน หมายถึง แรงงงานที่ได้มาจากธรรมชาติ เช่น ได้จากน้า แสงแดด คลื่น
ลมและเชื่อเพลิงธรรมชาติ (Fossil Fuel) ซึ่งได้แก่ ถ่านหิน น้ามัน และก๊าซ
ธรรมชาติ นอกจากนี้ยังได้พลังงานจาก ความร้อนใต้พิภพ แร่นิวเคลียร์ ไม่ฟืน
แกลบ และชานอ้อย พลังงานที่ได้จากแหล่งต่าง ๆ เรียกว่า พลังงานต้นกาเนิด
(Primary Energy) ส่วนพลังงานที่ได้มาด้วยการนาพลังงานต้นกาเนิดดังกล่าวมา
แปรรูปเพื่อใช้ประโยชน์ในลักษณะต่าง ๆ เช่น พลังงานไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์
ปิโตรเลียม ถ่านโค๊ก และก๊าซหุงต้ม เราเรียกพลังงานประเภทนี้ว่า พลังงานแปร
รูป (Secondary Energy)
2
- 3. 3
ชาวโลกได้ใช้พลังงานส่วนใหญ่ไปในการขนส่ง อุตสาหกรรม การค้า และใช้สาหรับสิ่ง
อานวยความสะดวกต่าง ๆ ในเคหะสถาน เช่น ตู้เย็น วิทยุ โทรทัศน์ พัดลม ตลอดจนผลิตภัณฑ์
ไฟฟ้าอื่น ๆ ที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาอีกจานวนมาก จะเห็นว่ายิ่งมนุษย์เจริญมากขึ้นเท่าใดก็ยิ่งต้อง
ใช้พลังงานมากขึ้นเท่านั้น การพัฒนาความเจริญในสังคมมนุษย์ จึงเท่ากับเป็นการทวีการใช้
พลังงานที่สะสมไว้ในโลกให้หมดเปลืองไปยิ่งขึ้น จึงเชื่อได้แน่ว่าทรัพยากรพลังงานโดยเฉพา
เชื้อเพลิงธรรมชาติจะต้องสูญสิ้นไปจากโลกนี้ในอนาคตอันไม่ไกลนัก
- 5. 5
ถ่านหิน ปริมาณความร้อน ปริมาณความชื้น ปริมารขี้เถ้า ปริมาณกามะถัน
แอนทราไซต์ สูง ต่า ต่า ต่า
บิทูมินัส สูง ต่า ต่า ต่า
ซับบิทูมินัส ปานกลาง-สูง ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง
ลิกไนต์ ต่า-ปานกลาง สูง สูง ต่า-สูง
พีต ต่า สูง สูง สูง
ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติต่างๆ ของถ่านหินแต่ละชนิด
- 6. ปริมาณสารองถ่านหินทั่วโลก
ถ่านหินเป็น เชื้อเพลิงทางเลือกที่มีความสาคัญแหล่งพลังงานที่สาคัญ ข้อเด่นของถ่านหิน คือ มีราคาถูก มีเสถียรภาพ
การขนส่งปลอดภัย และมีปริมาณสารองมาก เมื่อเทียบกับก๊าซธรรมชาติหรือน้ามัน กล่าวคือ มีปริมาณสารองถ่านหิน
ในโลกมีถึง 900 พันล้านตัน และพบแหล่งถ่านหินในทุกทวีป กระจายอยู่กว่า 70 ประเทศทั่วโลก ดังนั้นถ้ามีวิธีการ
นามาใช้ที่เหมาะสมก็สามารถใช้ได้นานไม่น้อยกว่า 200 ปี เมื่อเทียบกับปริมาณน้ามันดิบและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งจะหมด
ไปในระยะเวลา 40-60 ปี ประเทศที่มีปริมาณสารองถ่านหิน (Proven Reserve) มากที่สุด 5 อันดับแรกของโลก (สถิติ
ปี 2536) ได้แก่
▰ 1.สหภาพโซเวียด 241,000 ล้านตัน
▰ 2.สหรัฐอเมริกา 240,560 ล้านตัน
▰ 3.จีน 114,500 ล้านตัน
▰ 4.ออสเตรเลีย 90,940 ล้านตัน
▰ 5.เยอรมัน(ตะวันตก) 80,069 ล้านตัน
6
- 7. 7
ปิ โตรเลียม
ปิโตรเลียม คือ สารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นของผสมของโฮโดรคาร์บอนชนิดต่าง ๆ ที่ยุ่งยาก
และซับซ้อน ทั้งที่อยู่ในสภาพของแข็ง ของเหลว และแก๊ส หรือทั้งสามสภาพปะปนกัน แต่เมื่อ
ต้องการจะแยกประเภทออกเป็นปิโตรเลียมชนิดต่าง ๆ จะใช้คาว่า น้ามันดิบ (Crude oil) แก๊ส
ธรรมชาติ (Natural gas) และแก๊สธรรมชาติเหลว (Condensate) โดยปกติน้ามันดิบและแก๊ส
ธรรมชาติมักจะเกิดร่วมกันในแหล่งปิโตรเลียม แต่บางแหล่งอาจมีเฉพาะน้ามันดิบ บางแหล่งอาจมี
เฉพาะแก๊สธรรมชาติก็ได้ส่วนแก๊สธรรมชาติเหลวนั้นหมายถึง แก๊สธรรมชาติในแหล่งที่อยู่ลึกลง
ไปใต้ดินภายใต้สภาพอุณหภูมิและความกดดันที่สูง เมื่อถูกนาขึ้นมาถึงระดับผิวดินในขั้นตอนของ
การผลิต อุณหภูมิและความกดดันจะลดลง ทาให้แก๊สธรรมชาติกลายสภาพไปเป็นของเหลว
เรียกว่า แก๊สธรรมชาติเหลว
- 8. การเกิดปิ โตรเลียม
น้ามันดิบและแก๊สธรรมชาติ จะพบเกิดร่วมกับหินตะกอนที่เกิดในทะเล
เสมอ ส่วนประกอบที่สาคัญได้แก่ สารประกอบไฮโดรคาร์บอนเป็นส่วน
ใหญ่ มีซัลเฟอร์ไนโตรเจน และออกซิเจนเป็นส่วนน้อย ปัจจุบันนัก
ธรณีวิทยามีความเชื่อว่า น้ามันและแก๊สธรรมชาติมีต้นกาเนิดมาจาก
อินทรียวัตถุที่เป็นพืชและสัตว์
เมื่อซากอินทรียวัตถุพวกนี้ได้เกิดการสะสมตัวขึ้นแล้ว จะต้องถูกปิดทับโดยตะกอนอีก
ทอดหนึ่ง จากน้าหนักของตะกอนที่ปิดทับอุณหภูมิและความดันจะเพิ่มขึ้น เมื่อความลึก
ถึงประมาณ 2.5 กิโลเมตร จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนของอินทรียวัตถุ โมเลกุลเดิม
จะถูกทาลายลงและเปลี่ยนไปเป็นโมเลกุลใหม่ ซึ่งให้ไฮโดรคาร์บอนในรูปของเหลวและ
แก๊สในช่องว่างของหิน ไฮโดรคาร์บอนดังกล่าวสามารถเคลื่อนย้ายไปตามช่องว่างและ
รอยแตกในหินข้างเคียง ส่วนการที่จะมารวมตัวเกิดเป็นแหล่งของน้ามันและแก๊ส
ธรรมชาติที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายประการ ดังภาพ
- 9. การสารวจหาแหล่งปิ โตรเลียม
โดยทั่ว ๆ ไป การสารวจหาแหล่งปิโตรเลียม จะเป็นวิธีการทางอ้อม ทั้งนี้ เพราะว่าแหล่งกักเก็บ
น้ามัน ซึ่งมีสิ่งบ่งชี้ให้เห็นบนผิวดินว่ามีน้ามันกักเก็บอยู่ ปัจจุบันนี้มักจะถูกพัฒนานาขึ้นมาใช้เกือบ
ทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ จาเป็นที่จะต้องอาศัยกรรมวิธีการสารวจหาแหล่งปิโตรเลียมอื่น ๆ ในบริเวณที่
นอกเหนือไปจากบริเวณดังกล่าวข้างต้น และที่อาจจะเป็นแหล่งกักเก็บของปิโตรเลียมในบริเวณที่ถูกฝัง
ลึกอยู่ในชั้นหินนับเป็นหลาย ๆ กิโลเมตร ในการสารวจหาแหล่งปิโตรเลียมดังกล่าว นักธรณีวิทยาจะใช้
วิธีการสารวจอยู่หลาย ๆ วิธี ดังนี้
1. การขุดเจาะหลุมเพื่อเก็บตัวอย่างหิน (Core Drilling)
2. การสารวจโดยคลื่นสั่นสะเทือน (Seismic Prospecting)
3. การสารวจโดยความโน้มถ่วง (Gravity Prospecting)
- 11. 11
น้ามันดิบ (Oil)
น้ามันดิบ คือ ปิโตรเลียมที่มีสถานะเป็นของเหลวในธรรมชาติ ส่วนมากมีสีดา
หรือน้าตาล มีลักษณะเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดต่าง ๆ ปะปนกันอยู่ และ
ในบางครั้งอาจมีสารอื่น ๆ ประกอบอยู่ด้วย เช่น กามะถัน (S), ไนโตรเจน
(N), ออกซิเจน (O) เป็นต้น ด้วยเหตุนี้น้ามันดิบที่ขุดขึ้นมาจะยังไม่สามารถนาไปใช้
ประโยชน์ได้ทันที ต้องมีการนามาแยกสารประกอบไฮโดรคาร์บอนต่าง ๆ ออกเป็น
กลุ่ม ๆ ก่อน จึงจะสามารถนาไปใช้ประโยชน์ตามชนิดของสารได้โดยการวิธีการ
แยกสารที่ปนอยู่ในน้ามันดิบออกจากกันนี้ เรียกว่า การกลั่นน้ามันดิบ
- 13. 13
ก๊าซธรรมชาติ เป็นพลังงานปิโตรเลียมชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับน้ามัน ที่จริง น้ามัน ก๊าซธรรมชาติ และ
ถ่านหิน ก็คือ ซากพืชและซากสัตว์ที่ทับถมกันมานานหลายแสนหลายล้านปี และทับถมสะสมกัน จนจม
อยู่ใต้ดิน แล้วเปลี่ยนรูปเป็นสิ่งที่เรียกว่า ฟอสซิล ระหว่างนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ จนซาก
สัตว์และซากพืชหรือฟอสซิลนั้นกลายเป็นน้ามันดิบ
ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ที่เรานามาใช้ประโยชน์
ได้ในที่สุด เราจึงเรียกเชื้อเพลิงประเภทน้ามัน
ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ว่า เชื้อเพลิงฟอสซิล
ก๊าซธรรมชาติ
- 15. มีเทน
- ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า
และให้ความร้อนในโรงงานอุตสาหกรรม
- ใช้เป็นเชื้อเพลิงในยานพาหนะ
- ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยเคมี
อีเทน
- ใช้ผลิตเอทีลีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นสาหรับเม็ด
พลาสติก โพลิเอทีลีน (PE) เพื่อใช้ผลิต
ถุงพลาสติก หลอดยาสีฟัน โพลิโพรพิ
ลีน (PP) เช่น ยางในห้องเครื่ องรถยนต์ หม้อ
แบตเตอรี่ กาว สารเพิ่มคุณภาพน้ามันเครื่ อง
- ใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม
15
เนื่ องจากในตัวเนื้อก๊าซธรรมชาติมีสารประกอบที่เป็นประโยชน์อยู่มาก เมื่อนามาผ่าน
กระบวนการแยกที่โรงแยกก๊าซฯ แล้ว ก็จะได้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาใช้ประโยชน์ ดังนี้
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากก๊าซธรรมชาติ
- 16. ▰ บิวเทน
- ใช้เป็นวัตถุดิบสาหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
- นามาผสมกับโพรเพนเป็นก๊าซปิโตรเลียมเหลว
ก๊าซปิ โตรเลียมเหลว
- เป็นเชื้อเพลิงหรือก๊าซหุงต้มในครัวเรือน
และเชื้อเพลิงในรถยนต์
- เป็นเชื้อเพลิงให้ความร้อนในโรงงานอุตสาหกรรม
- ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
เช่นเดียวกับก๊าซอีเทนและก๊าซโพรเพน
▰ โซลีนธรรมชาติ
- ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมตัวทาละลาย
- ใช้ผสมเป็นน้ามันเบนซินสาเร็จรูป
- ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
▰ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการแยกก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์จากก๊าซธรรมชาติ
- ใช้ในอุตสาหกรรมหล่อเหล็ก อุตสาหกรรมถนอม
อาหาร อุตสาหกรรมเครื่ องดื่ม
- ใช้ทาน้ายาดับเพลิง ฝนเทียม ฯลฯ
16
- 18. 18
1. ปฏิกิริยาฟิชชัน (Nuclear Fission) คือ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เป็นผลจากการแตกตัวของนิวเคลียสของธาตุ
หนัก โดยกระบวนการที่เกิดขึ้นจากการยิง นิวตรอนไปยังนิวเคลียสของอะตอมหนัก แล้วทาให้นิวเคลียสแตก
ออกเป็น 2 ส่วนเกือบเท่ากัน ในปฏิกิริยานี้มวลของนิวเคลียสบางส่วนจะหายไป กลายเป็นพลังงานออกมา
และเกิดนิวตรอนใหม่อีก 2 หรือ 3 ตัว ซึ่งวิ่งเร็วมากพอที่จะไปยิงนิวเคลียสของอะตอมอื่นต่อไปทาให้เกิดปฏิริ
ยาต่อเนื่ องเรื่ อยไป เรียกว่า ปฏิกิริยาลูกโซ่ (chain reaction)
- 19. 19
2. ปฏิกิริยาฟิวชัน (Nuclear Fusion) คือ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เป็นผลจากการแตกตัวของ
นิวเคลียสของธาตุเบาเป็นนิวเคลียสของธาตุหนัก พร้อมกับปล่อยพลังงานออกมา เช่น
3.ปฏิกิริยาที่เกิดจากการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี
(Redioactivity) ได้แก่ ยูเรเนียม เรเดียม พลูโตเนียม ฯลฯ ธาตุ
เหล่านี้จะปลดปล่อยรังสีและอนุภาคต่าง ๆ ออกมา เช่น
อนุภาคแอลฟา อนุภาคเบตา รังสีแกมมา และอนุภาคนิวตรอน
4.ปฏิกิริยาที่ได้จากเครื่ องเร่งอนุภาคที่มีประจุ (Particale
Accelerrator) เช่น โปรตอนอิเล็กตรอน ดิวทีเรียม และอัลฟา
- 21. 21
มนุษย์นาพลังงานจากดวงอาทิตย์มาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ผ่าน
สิ่งประดิษฐ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เรียกว่า “เซลล์สุริยะ” (Solar Cell) ซึ่ง
สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าและพลังงานความร้อนสาหรับบ้านเรือน รวม
ไปถึงภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ข้อดี: เป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ที่ใช้ได้ไม่จากัด เป็นมิตรต่อ
สิ่งแวดล้อม ไม่มีค่าใช้จ่ายในการซื้อเชื้อเพลิง ใช้ประโยชน์และดูแลรักษา
ง่าย อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้ในพื้นที่ห่างไกล
ข้อจากัด: ความเข้มของแสงอาทิตย์ไม่คงที่และอยู่นอกเหนือการควบคุม
ของมนุษย์ มีค่าใช้จ่ายสูงในการติดตั้ง และอุปกรณ์บางส่วนมีอายุการใช้
งานต่า เช่น แบตเตอรี่ที่ใช้เก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์
พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy)
- 22. 22
กระแสลมเป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งมนุษย์นามาใช้ประโยชน์ตั้งแต่เมื่อ
กว่า 5,000 ปีก่อน เป็นพลังงานธรรมชาติที่นาใช้เพื่อการออกแบบและสร้างเรือใบ
หรือแม้แต่การประดิษฐ์กังหันลมเพื่อทดน้าหรือบดธัญพืช ขณะที่ในปัจจุบัน เรานา
พลังงานลมมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า ผ่านการทางานของกังหันลมขนาดใหญ่ที่ติดตั้งตาม
แนวชายฝั่งหรือตามหุบเขาสูง พลังงานลมเป็นแหล่งพลังงานที่กาลังได้รับความนิยม
เป็นอย่างมากในหลายประเทศทั่วโลกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ข้อดี: ไม่มีค่าใช้จ่ายในการซื้อเชื้อเพลิง ไม่ก่อให้เกิดการปล่อยสารพิษหรือมลพิษใน
สิ่งแวดล้อม
ข้อจากัด: ความไม่สม่าเสมอของความเร็วลมที่แปรผันตามธรรมชาติส่งผลให้พลังงาน
ลมเหมาะสมในพื้นที่เฉพาะที่มีกระแสลมแรงต่อเนื่ อง เช่น พื้นที่ชายฝั่งทะเลหรือตาม
เชิงเขาสูง นอกจากนี้ กังหันลมและใบพัดอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสัตว์ปีกบางชนิดได้
พลังงานลม (Wind Energy)
- 23. 23
• พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Energy)
แหล่งพลังงานธรรมชาติซึ่งถูกกักเก็บอยู่ใต้พื้นผิวโลก จากความ
ร้อนภายในแกนกลางของโลกที่มีอุณหภูมิสูงถึง 5,000 องศา
เซลเซียส ส่งผลให้ความร้อนด้านบนสุดของพื้นผิวโลกที่ความลึก
ราว 3 เมตร มีอุณหภูมิประมาณ 10 – 26 องศาเซลเซียสอย่าง
สม่าเสมอ มนุษย์จึงนาพลังงานความร้อนใต้พิภพนี้มาใช้เป็น
แหล่งพลังงานความร้อนสาหรับอาคารบ้านเรือน ท้องถนน และ
พื้นที่สาธารณะ รวมไปถึงนามาใช้สร้างไอน้าในการผลิต
กระแสไฟฟ้าอีกด้วย
ข้อดี: ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในอากาศ
ข้อจากัด: ต้องการน้าสะอาดปริมาณมากเพื่อสร้างไอน้าในการ
ผลิตกระแสไฟฟ้า
- 24. ▰ ข้อดี: สร้างมูลค่าเพิ่ม
ทางการเกษตร มีแหล่ง
ผลิตจานวนมากใน
ประเทศเกษตรกรรม
สามารถสารองไว้ใช้ใน
ยามจาเป็น
▰ ข้อจากัด: การผลิตขึ้นอยู่กับผลผลิตทางการ
เกษตรและฤดูกาล ซึ่งรวมไปถึงความ
ต้องการพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่ หาก
ต้องการใช้เป็นเชื้อเพลิงในเชิงพาณิชย์ อีกทั้ง
การปลูกพืชเชิงเดี่ยวในพื้นที่บริเวณกว้าง อาจ
นาไปสู่การใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลงที่เป็น
พิษต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม
24
• พลังงานมวลชีวภาพ (Biomass Energy)
การนาเศษไม้แกลบ กากอ้อย หรือวัสดุเหลือใช้จากการทาเกษตรกรรม รวมไปถึงขยะใน
ชุมชน มาใช้เป็นเชื้อเพลิงเผาไหม้ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าและเป็นแหล่งพลังงานความร้อน พืช
จากการเกษตรบางชนิดสามารถนามาใช้เป็นเชื้อเพลิงในยานพาหนะได้อีกด้วย
- 25. 25
• พลังงานน้า (Hydroelectric Energy)
มนุษย์ได้นาพลังงานจากกระแสน้ามาใช้เป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว ผ่านการ
ควบคุมเขื่อนขนาดใหญ่ ซึ่งขวางกั้นการไหลของแม่น้าธรรมชาติและสร้าง
อ่างเก็บน้าขึ้น โดยกระแสน้าจะถูกควบคุมให้ไหลผ่านกังหันขนาดใหญ่ภายใน
เขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า
ข้อดี: เป็นแหล่งพลังงานที่มีเสถียรภาพ
ข้อจากัด: ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศของแม่น้าและชุมชนโดยรอบ
อีกทั้งภายในเขื่อนยังก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะมีเทน
(Methane) ในปริมาณมหาศาลจากการย่อยสลายของสารอินทรีย์ในน้า
นอกจากนี้ ยังมีแหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่นๆที่อยู่ระหว่างการศึกษาค้นคว้าและทาความเข้าใจ เพื่อให้ได้แหล่งพลังงานที่มีเสถียรภาพและมี
ประสิทธิภาพเพียงพอสาหรับรองรับการเติบโตของประชากรโลก เช่น พลังงานจากน้าขึ้น – ลง (Tidal Wave) พลังงานคลื่น (Wave Energy) และ
พลังงานจากสาหร่าย (Algae Fuel) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การนาทรัพยากรและแหล่งกาเนิดพลังงานจากธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ยังจาเป็นต้อง
คานึงถึงความเหมาะสมในหลายๆด้าน ทั้งด้านเทคนิคหรือเทคโนโลยี ด้านเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้พลังงานที่เราใช้ในอนาคตเป็นพลังงานสะอาดที่
เป็นมิตรต่อโลกอย่างแท้จริง
- 27. Credits
▰ ทรัพยากรพลังงาน.56814503040 (oilsuwajee.blogspot.com)
▰ ถ่านหิน.โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (egat.co.th)
▰ ปิโตรเลียม - LESA: ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์
▰ น้ามันดิบบทที่ 5 น้ามันดิบ - putsada.noodeesci (google.com)
▰ พลังงานนิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์ (baanjomyut.com)
▰ ปฏิกิริยาฟิชชันและฟิวชัน (rmutphysics.com)
▰ National Geographic – https://www.nationalgeographic.com/environment/energy/reference/renewable-energy/
▰ National Geographic Society – https://www.nationalgeographic.org/encyclopedia/renewable-energy/
▰ Natural Resources Defense Council – https://www.nrdc.org/stories/renewable-energy-clean-facts
▰ กระทรวงพลังงาน – https://energy.go.th/2015/wp-content/uploads/2016/02/volume-34.pdf
27