More Related Content
Similar to แด่ดวงตะวัน หนังสือน่าอ่านที่ลูกอยากอ่านให้พ่อฟัง
Similar to แด่ดวงตะวัน หนังสือน่าอ่านที่ลูกอยากอ่านให้พ่อฟัง (15)
แด่ดวงตะวัน หนังสือน่าอ่านที่ลูกอยากอ่านให้พ่อฟัง
- 2. แด่ดวงตะวัน
วิชชา วรรณรัตน์
พิมพ์ครั้งแรก มกราคม 2556
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
ห้ามมิให้ผู้ใดนาส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทัง หมดของหนังสือเล่มนี้ไปคัดลอกโดยวิธีการถ่ายเอกสาร
้
โรเนียว พิมพ์โดยเครื่องจักร หรือวิธีการอื่นใดโดยไม่ได้รับอนุญาต
2
- 3. จิตใต้สานึก
ตะวัน สันติภาพ ชื่อนี้หากเป็นนักอ่านรุ่นเก่าๆคงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ใช่ครับ ผมเป็นลูกชาย
ของท่าน เป็นลูกชายของนักเขียน
ตลอดระยะเวลายี่สิบแปดปีของเข็มนาฬิกาชีวิต ผมคิดและเขียนเรื่องเล่ามาแล้วหลายชิ้นงาน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสั้น เรื่องยาว บทความ บทภาพยนตร์สั้น บทสารคดี ตลอดจน สคริปรายการทีวีและสคริป
เพื่อการการค้าและการโฆษณาต่างๆ พูดได้อย่างเต็มปากว่า ความสามารถในเชิงการเล่าเรื่องต่างๆล้วน
ถ่ายทอดจากดีเอ็นเอของพ่อมาสู่ตัวผมทั้งสิ้น
2 เรื่องสั้นที่ท่านกาลังจะได้อ่านนี้ เรื่องที่1 ผมเขียนให้พ่อเนื่องในวันเกิดของท่านเมื่อหลายปี
มาแล้ว เรื่องที่2 ผมเขียนเนื่องในวาระที่เข็มนาฬิกาชีวิตของท่านหยุดเดินทาง ต่างกรรมต่างวาระกันโดย
สิ้นเชิงแต่สิ่งหนึ่งที่มีร่วมกันคือผมอยากแสดงให้ท่านเห็นว่าผมเป็นลูกของท่านเป็นลูกของนักเขียนเต็มตัว
อาจดูเป็นส่วนตัวไปเสียหน่อย แต่หน้าที่ของเรื่องเล่าคือการเป็นสื่อกลางความคิดของนักเขียน
ไปสู่ตัวผู้อ่านมิใช่หรือ..... หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะได้“อะไร”จากการเสียเวลาอ่านงานเขียนชิ้นนี้ครับ
ขอต้อนรับสู่โลกของ “ผม” อีกครั้ง ส่วนจะเป็นสีอะไรนั้นสุดแล้วแต่ท่านผู้อ่านจะสัมผัสเถิดครับ
ด้วยความระลึกถึงและซาบซึ้งเหลือเกินกับมรดกอันทรงคุณค่าที่พ่อถ่ายทอดให้
วิชชา วรรณรัตน์
เดือนแรกของปี 2556 ที่ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา
3
- 5. ตัวตน
ผู้คนภายในอาณาบริเวณร้านต่างหันมองตลอดจนให้ความสนใจในความเงียบงันที่คั่นกลาง
ระหว่างชายทั้งสอง หลายคนเฝ้ามองและตั้งคาถาม อีกหลายต่อหลายคนทิ้งความสงสัยไว้ที่ปลายตา
………………………………………………
เป็นความกลมกลืนในความขัดแย้งระหว่างชายสองรุ่นสองคน
เหตุใดความเงียบงันจึงเต็มไปด้วยการสื่อสาร
เหตุใดความแตกต่างกลับสร้างจุดร่วมลงตัว
เหตุใดชายสองวัยจึงมานั่งดื่มน้าสีอาพันลาพังสองคน
ภาพชายหนุ่มตรงหน้าทาให้ชายชราบังเกิดอารมณ์อันหลากหลาย เขาชื่นชมประกายตาเร่าร้อนที่
เต็มไปด้วยพลังขับเคลื่อนในองศาใกล้กับความสงสัย บางคราชายชราเห็นชายหนุ่มที่ละม้ายกับเขา
ซ้อนทับกับชายตรงหน้า ทว่าหากเพ่งมองเขากลับเห็นคนแปลกหน้าที่ล้นเอ่อด้วยอัตตาและอหังการใน
ความเย่อหยิ่ง
ริ้วรอยแห่งประสบการณ์ที่ปรากฏชัดบนใบหน้าของชายชราทาให้ชายหนุ่มบังเกิดความสงสัย
เขาหัวเราะมากี่ครั้งร้องไห้มากี่คราทุกข์ทนเจ็บปวดกับการแสวงหาในวัยหนุ่มมามากเพียงใด
หลายภาพที่ซ้อนทับสร้างความคาดหวังและอิ่มเอมใจให้ชายชรา หากแต่บางภาพที่ขัดแย้งกลับ
สร้างความเคลือบแคลงและสิ้นหวัง เขาสุขใจทุกครั้งที่ชายหนุ่ม “ทา” ในสิ่งที่เขาทาไม่ได้หรือไม่สาเร็จ
5
- 6. ทุกข์ทรมานดังภาพความเจ็บปวดในอดีตหวนคืนทุกครา เมื่อชายหนุ่มพาตัวเองก้าวเดินไปบนหนทางที่เขา
เคยพลาดพลั้ง
ชายชราคิดเสมอว่าชายตรงหน้าคือตัวตนในวัยหนุ่ม
บนหนทางแห่งการแสวงหา ชายหนุ่มย่าเดินซ้ารอยเท้าของชายชรา ในความเปลี่ยวเหงาและเจ็บปวด ชาย
ทั้งสองสัมผัสได้ในกลิ่นอายของกันและกัน มันปรากฏออกมาโดยไม่ต้องพึ่งกระบวนการสื่อสารหรือ
ช่องทางใด ๆ
หากแต่ในความแตกต่าง ก็ชัดเจนเฉกเช่นกัน
แม้จะเป็นถนนสายเดิม ความแตกต่างแห่งยุคสมัยทาให้ถนนสายนี้มิใช่ถนนที่ชายชราเคยย่าเดิน
วันคืนของชายทั้งสองเดินทางไปบนองศาที่แตกต่าง จังหวะย่างก้าวที่มากด้วยอัตตาและความ
เย่อหยิ่ง หลายร้อยประสบการณ์ในการสลับรับของจันทรากับอาทิตย์ส่งผลให้ชายทั้งสองสร้างกาแพง
ขึ้นมาปกป้องโลกของเขา โลกที่ไม่ว่าหน้าไหนก็ไม่อาจล่วงละเมิด
โลกที่แม้แต่ชายชราก็มิอาจทาความเข้าใจ...................
โลกที่ชายหนุ่มมิอาจคาดเดา
ชายชรารินน้าลงไปในแก้วที่ว่างเปล่า ฟองมากมายผุดพรายขึ้นมาจนกระทั่งจางหายเหลือไว้เพียงน้าสี
อาพันทอประกายล้อแสงสุดท้ายแห่งอัสดง
ชายหนุ่มยกมือไหว้ในท่าทีอ่อนน้อม นับจากวันแรกจนถึงวันนี้ความเคารพรักในตัวชายชรายังคง
อยู่ที่เดิม หากแต่มิใช่การเคารพรักอย่างหน้ามืดตามัว ทุกรอยเท้าที่ชายชราก้าวเดินมีคุณค่าเสมอทั้งในแง่
ของการเรียนรู้และการเอาเป็นแบบอย่าง
-------------------------------------------------------------------------------
6
- 7. ปฏิกิริยา
“ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งความภาคภูมิใจสูงสุดของพ่อคือการที่ผู้คนเรียกท่านว่านักเขียน แม้วันนี้
ลมหายใจจะขาดห้วงลงไปแล้ว หากแต่จิตวิญญาณพ่อยังคงอยู่ หลายร้อยประสบการณ์ตลอดจนวิธีคิด
และมุมมองที่มีต่อโลกใบนี้ยังคงโลดแล่นอยู่ในตัวหนังสือของพ่อ แม้ในช่วงบั้นปลายชีวิตจิตวิญญาณนั้นก็
มิได้จางหาย ท่านยังคงเป็นนักคิด นักเขียน ตราบจนสัมปชัญญะสุดท้ายแห่งการตื่นรู้ จิตวิญญาณคงอยู่
รอยเท้ายังนาทางให้ลูกย่าเดิน ลูกของพ่อ....” ชายหนุ่มเก็บกระดาษที่ใช้อ่านเข้าไปในเสื้อสูท โค้งหัว
เล็กน้อยและก้าวลงจากโพเดี้ยมด้วยกิริยาสงบนิ่ง
ควันสีเทาหม่นลอยขึ้นจากปล่องไฟไม่นานก็กลืนหายไปกับผืนฟ้า ปุยเมฆถูกแสงสีแสดปนน้าเงิน
ฉาบทาจากการหักเหของแสงอาทิตย์กลมกลืนกับอารมณ์โศกเศร้า ความรู้สึกที่ชายหนุ่มมิสามารถอธิบาย
เกาะกุมอยู่เต็มห้วงความรู้สึก ก้อนอะไรบางอย่างจุกขึ้นมาตรงหน้าอกพลันน้าใสก็เอ่อท้นจากขัวใจจนรินไหลอาบแก้ม
้
เป็นครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียเช่นนี้ พ่อกลายเป็นภาพความทรงจาที่ไม่
สามารถจับต้องได้อีกต่อไป ชายหนุ่มยืนดูควันไฟนิ่งอยู่แบบนั้นเนิ่นนาน นานพอที่ความทรงจาที่มีต่อพ่อ
ตั้งแต่วัยเด็กจวบจนวันนี้กระหวัดชัดราวกับดูภาพยนตร์ วลีที่ได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับ “อย่าอายที่จะบอกรัก
พ่อ อย่าอายที่จะแสดงความรักต่อพ่อ เพราะวันหนึ่งเมื่อไม่มีท่านแล้วเราจะมานั่งเสียใจ” คาพูดเหล่านั้น
เป็นจริงเพียงครึ่งเดียว สาหรับเขาความรักนั้นยังไม่สามารถอธิบายความรู้สึกที่มีต่อพ่อได้อย่างชัดเจน รัก
เพียงคาเดียวจะสามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับพ่อซึ่งหล่อหลอมมาเป็นตัวตน
ในวันนี้ได้เช่นไรกัน อย่างไรก็แล้วแต่เขาก็อยากจะอธิบายความรู้สึกทั้งหมดให้พ่อได้รับรู้เช่นเดียวกัน
7
- 8. เพียงแต่ภาษาที่มนุษย์คิดค้นอาจจะไม่มีพลังทางความหมายมากมายเพียงพอกับปริมาณความรู้สึก
เปรียบเหมือนการเทน้าจากขวดลิตรลงสู่แก้วเจียระไนรูปร่างสวยงามหากแต่มีพื้นที่ไม่เพียงพอ
“รางวัลและความสาเร็จจะมีความหมายอะไรหากขาดคนที่เป็นแรงบันดาลใจร่วมชื่นชม” คือ
ประโยคสั้นๆที่ชายหนุ่มพูดกับอากาศธาตุบริเวณนั้นด้วยซุ่มเสียงแผ่วเบา ไม่มีใครสังเกตหรือได้ยิน
……………………………………………………………………………………………
จากจุดนี้เขาสามารถมองเห็นได้เต็มคลองสายตาในขนาดภาพ 180 องศา ผู้คนสวมชุดสีดากว่า
ร้อยชีวิตกาลังนั่งฟังพระเทศน์อยู่ในศาลาปรับอากาศ เพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบหน้ากันเสียนาน ญาติพี่น้อง
ตลอดจนลูกหลานอยู่กันพร้อมหน้า ลูกชายกาลังเดินไปที่โพเดี้ยม เขามีทีท่าสงบนิ่ง ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่า
ครั้งใดที่เคยเห็น ถ้อยคาถูกร้อยเรียงออกมาอย่างสละสลวยจากปากลูกชายคนเดียวของเขา เนื้อหา
ใจความเต็มไปด้วยการสรรเสริญทาให้เขานึกทบทวนตลอดห้วงเวลาของชีวิตจวบจนวันนี้นับได้ 62 ปี เขา
ได้มอบความรักและให้วัตถุสิ่งของตลอดจนความรู้สึกนึกคิดกับลูกชายเพียงพอหรือยัง ดูเหมือนว่า
ไม่มีสิ่งใดเคยเพียงพอในการใช้ชีวิตของมนุษย์ เรามักจะรู้ตัวต่อเมื่อสายไปทุกครั้งโดยเฉพาะครั้งนี้ที่เขา
รู้ตัวต่อเมื่อไม่มีโอกาสกลับไปแก้ไข
เขาอยากตาย ความเจ็บป่วยที่เป็นอยู่สร้างความเจ็บปวดและทรมานจนจิตใจมิอาจต้านทาน มัน
ร่าร้องหาความตายอยู่ทุกวินาที เขาคิดเสมอว่าความตายมิใช่สิ่งน่ากลัวตลอดช่วงชีวิตได้ทาทุกสิ่งที่
สามารถทาได้ไปหมดแล้ว วันคืนเปลี่ยนผ่านยุคสมัยของเขาได้สิ้นสุดลงพร้อมกับการมาของสมาร์ทโฟน
โทรศัพท์ที่เคยเป็นเพียงเครื่องมือสื่อสารประจาบ้าน วันนี้กลับกลายเป็นอะไรที่ชายวัย62ปีมิอาจทาความ
เข้าใจ เขาเคยต่อสู้ เคยเพรียกหาคุณค่าและความหมายของชีวิต เคยไม่พอใจสังคมที่ประชาชนถูกปิด
กั้น ความหมายในคุณค่าถูกเรียงร้อยออกมาในรูปแบบของเรื่องสั้น ในยุคสมัยที่นักเขียนมีพลังมากพอจะ
ขับเคลื่อนสังคม ในยุคสมัยที่ผู้คนต่างเพรียกหาสังคมที่ดีกว่า เขาได้ทามันอย่างดีที่สุดแล้ว
ในคลองสายตาตลอด 180 องศา ลูกชายก้าวลงจากโพเดี้ยม เสียงฝีเท้าของเขาดังกังวาน
ท่ามกลางความเงียบขรึมของศาลาเผาศพ ผู้คนต่างทยอยเดินเรียงแถวสู่เมรุ เขาก้าวตามไป ความทรงจา
มากมายแล่นผ่านห้วงคานึง หนึ่งชีวิตของมนุษย์สามารถบรรจุเรื่องราวได้มากมายแม้ความตายก็มิ
สามารถพรากความรู้สึกที่ฝังลึกลงสู่จิตวิญญาณ จากเพื่อนเก่าสมัยเด็ก สู่มหาวิทยาลัย ล่วงไปถึงวัย
ทางาน และญาติพี่น้องพร้อมหน้า สุดท้ายที่ภรรยา ความอาลัยเกาะกุมอยู่เต็มห้วงสานึก
8
- 9. เขาพยายามมองหาลูกชาย
-----------------------------------------------------------------------------
ชายหนุ่มประหม่าเล็กน้อยที่ต้องพูดต่อหน้าคนหมู่มาก อีกทั้งยังต้องสะกดน้าตามิให้ไหลออกมา
ขณะที่พูด กระนั้นแม้จะปิดบังอย่างไร น้าเสียงก็ยังคงสั่นเครือจนสังเกตได้ มันเหมือนกับจะเป็นสิ่ง
สุดท้ายที่สามารถทาเพื่อพ่อได้ ทันทีที่ก้าวลงจากโพเดี้ยมความรู้สึกอ้างว้างเข้าจู่โจมอย่างรุนแรง
ข่าวดีที่เขารอคอยมาในวินาทีที่หมอเรียกให้เข้าไปดูใจพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ทันได้ให้มีเวลาดีใจ
และยิ่งทาให้น้าตาไหลมากขึ้นทบทวีเมื่อเขาไม่มีโอกาสบอกให้พ่อได้ภาคภูมิใจและร่วมยินดีไปด้วยกัน
ความฝันในการเป็นผู้กากับพึ่งกระจ่างชัดในช่วงอายุยี่สิบปี มันเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆในวัยสิบขวบเมื่อ
พ่อพาไปทาความรู้จักกับภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในเรื่องจูลาสสิคปาร์ค ความรู้สึกของเด็กชายวัยสิบขวบ
ในวันนั้นยังกระจ่างชัดจนถึงวันนี้ในช่วงอายุสามสิบปี และยิ่งมีโอกาสได้ซึมซับทั้งงานเขียนและหนังสือใน
ตู้ของพ่อ ทักษะในการเรียงร้อยเรื่องราวก็กาเนิดขึ้นโดยที่ชายหนุ่มมิทันรู้ตัว แม้พ่อจะไม่ค่อยเห็นด้วยใน
การเลือกเรียนภาพยนตร์ในระดับมหาวิทาลัย ชายหนุ่มเข้าใจเจตนาดีในการที่อยากให้ลูกได้ทางานที่
มั่นคง แต่เลือดภายในตัวย่อมเข็มข้นกว่า การเป็นนักคิดและนักเล่าเรื่องถูกถ่ายทอดจากเลือดจนซึมลึกสู่
จิตวิญญาณ พ่อซึ่งเป็นคนถ่ายเลือดนั้นให้โดยที่ตั้งใจหรือไม่ก็ตามย่อมต้องเข้าใจ ชายหนุ่มเชื่อแบบนั้น
และวันนีเขาแสดงให้เห็นแล้ว ว่าเลือกไม่ผิด เขาต่อสู้ อดทน และรอคอย จนได้กากับหนังเรื่อง
้
แรกในชีวิต มันคงเป็นความรู้สึกเดียวกับที่พ่อเห็นหนังสือเล่มแรกออกวางบนแผง เขาอยากถ่ายทอด
ความรู้สึกนี้ให้พ่อได้รับรู้พร้อมกับพูดว่า “พ่อครับ ไนน์ ทาได้แล้ว”
ชายหนุ่มใช้มือขวาปาดน้าตาอีกครั้ง คราวนี้มันซึมออกมาเพียงหยดเดียวจากก้อนสะอื้นมหาศาล
ภายใน พลันสายลมเย็นวูบหนึ่งเข้าปะทะร่าง
แปลก!ชายหนุ่มคิดกลางเดือนเมษาที่อากาศร้อนอบอ้าวเช่นนี้ สายลมเย็นเยือกพัดมาจากที่ใดกัน
--------------------------------------------------------------------------
ควันสีเทาหม่นลอยขึ้นจากปล่องไม่นานก็กลืนหายไปกับผืนฟ้า เขาพบลูกชายหลบมุมอยู่ใกล้ๆกับ
บริเวณเมรุ เด็กน้อยโยเยเอาแต่ใจในวันนั้นบัดนี้เติบโตขึ้นมาเป็นชายหนุ่มที่ท่าทางเคร่งขรึมแบบนี้ได้เช่น
ไรกัน ภาพลูกชายคนเดียวของเขาในวัยเด็กกระหวัดชัดในห้วงคานึง ไนน์เป็นเด็กเอาแต่ใจ ร่าเริง ยิ้มง่าย
และหัวไวในความรู้สึกของผู้เป็นพ่อ เขาทะนุถนอมฟูมฟักหวังให้เติบโตขึ้นมามีหน้าที่การงานที่มั่นคงและ
9
- 10. มีครอบครัวอบอุ่นตามครรลองของชีวิตปุถุชนที่เรียบง่ายมีความสุข เขาเข้าใจชีวิตของผู้คนที่เรียกตนเอง
เป็นศิลปินดีว่าต้องพานพบกับความเจ็บปวด แปลกแยกและเปลี่ยวเหงาเพียงใดจึงจะสร้างงานของตนเอง
ออกมาได้ เขาไม่เคยอยากให้ลูกชายเดินตามรอยเท้าพ่อ แต่เลือดของเขากลับถ่ายทอดไปยังลูกชายเสีย
จนหมด เขาเฝ้าถามตนเอง เหตุใดลูกชายจึงไม่ได้แม่มาบ้าง ภรรยาเขาเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยคิดต่าง หัว
อ่อนตามแบบฉบับกุลสตรีไทยซึ่งเป็นช้างเท้าหลัง ทางานในกรอบของรัฐวิสาหกิจจนเกษียน รูปแบบชีวิตที่
เรียบง่ายแบบนี้ที่เขาหวังให้ลูกชายเป็น แต่สิ่งเดียวที่ถ่ายออกจากแม่ของเขาคือใบหน้าคมสันชัดเจนเพียง
แค่นั้น ส่วนความรู้สึกนึกคิด จิตวิญญาณแห่งการครุ่นคิดแปลกแยกกลับถูกถ่ายออกไปจากเขาราวโคลน
นิ่ง
เขาเอื้อมมือไปตบบ่าลูกชาย แม้จะแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยเพียงใด แต่ลึกลงไปแล้วทาไมคนเป็นพ่อ
จะไม่ภูมิใจในเมื่อลูกกาลังเดินซ้ารอยเท้าของตัวเองและวันนี้เขากาลังก้าวแซงออกไปบนถนนสายที่เขา
เลือกเองและอดทนกับมันอย่างเด็ดเดี่ยว เขาไม่เพียงซื่อสัตย์กับจิตวิญญาณของตัวเอง ยังรู้จักทางานใน
สายอาชีพที่เรียนมาและสร้างเม็ดเงินเลี้ยงตัวเองได้ต่างจากผู้เป็นพ่อที่ยึดมั่นในงานเขียนแม้จะไม่มีเงินจ่าย
ค่าเทอมลูกจนต้องเดือดร้อนภรรยา ทาไมเขาจะไม่อยากเอ่ยปากชมลูกชายและโอบกอดให้แน่นๆเป็นครัง
้
สุดท้ายเหมือนในวัยเด็ก
“เก่งมากไนน์ พ่อภูมิใจในตัวไนน์มาก ดูแลแม่แทนพ่อด้วยนะ”
----------------------------------------------------------------------------------
“เก่งมากไนน์ พ่อภูมิใจในตัวไนน์มาก ดูแลแม่แทนพ่อด้วยนะ” เสียงนี้แว่วมาคล้อยหลังจาก
สายลมเย็นวูบนั้นเพียงไม่กี่วินาที แว่วเสียงนี้คือเสียงของพ่อ ชายหนุ่มอยากจะคิดแบบนั้นทั้งที่ไม่มีตรรกะ
ตัวใดสามารถมาอธิบายเสียงนี้ที่ได้ยินได้นอกเสียจากว่าเขาหูแว่วไปเอง ชายหนุ่มหันขึ้นไปมองควันไฟ
จากปล่อง พ่อมาบอกลาเขาเป็นครั้งสุดท้ายเช่นนั้นหรือ หมดเวลาแห่งการเสียใจตรงนี้แล้วสินะ ใช่....เขา
ยังมีแม่ซึ่งแก่เฒ่าต้องดูแล
เวลาของพ่อได้หมดลง สิ่งที่ดารงอยู่คืองานเขียนและจิตวิญญาณซึ่งเขาจะสานต่อในแบบของ
ตัวเอง แต่อะไรบางอย่างในซอกมุมของจิตใจก็ยังร้องเตือนถึงคาถามที่ไม่มีวันได้คาตอบ พ่อเคยภูมิใจใน
ตัวเขาบ้างหรือเปล่า สิ่งที่เขาเป็นที่เขาเลือกในวันนี้ล้วนก่อกาเนิดจากพ่อแทบทั้งสิ้น...........เมื่อความรู้สึก
นี้เข้าจู่โจมก้อนสะอื้นซึ่งมีพลังมหาศาลก็พลันจุกแน่นอยู่ในอกรอที่จะปะทุออกมาเป็นสายน้าตา หากแต่
10
- 11. เขาสะกดกลั้น ไม่มีวันที่น้าตาลูกผู้ชายจะไหลอีกต่อไป เขาเชิดหน้าขึ้น เห็นแม่อยู่ที่บันไดเมรุ เขาต้องเดิน
ไปหาแม่เพื่อปลอบประโลม
------------------------------------------------------------------------------------
ชายหนุ่มฝันแบบเดิมซ้าๆกันอีกแล้ว ในความฝันย้อนกลับไปในวัยเด็ก เป็นวันที่พ่อพาเขาไปดู
หนังครั้งแรก ก่อนจะเข้าประตูชายหนุ่มในคราบเด็กน้อยดึงมือผู้เป็นพ่อไว้แล้วพูดขึ้นว่า พ่อครับ ไนน์ได้
เป็นผู้กากับแล้ว เราเข้าไปดูหนังของไนน์กันเถอะ” ผู้เป็นพ่อเผยยิ้มอบอุ่น ลูบหัวลูกแล้วกล่าวว่า “เก่ง
มากไนน์ พ่อภูมิใจในตัวไนน์มาก” แล้วเขาก็ตื่น เขาจะฝันแบบนี้อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งถึงสองครั้ง
มาร่วมสองเดือน แม่บอกว่าพ่อคงยังไม่ไปไหน แต่เขากลับเลือกที่จะใช้วิชาจิตวิทยาที่เรียนใน
มหาวิทยาลัยมาใช้อธิบายมากกว่า ในความก้ากึ่งระหว่างตรรกะทางวิทยาศาสตร์และโลกของวิญญาณ
ครึ่งหนึ่งเขาเชื่อว่าวิญญาณมีจริงและพ่อน่าจะไปที่ๆคนตายควรจะไปได้แล้วจากการประกอบพิธีกรรมทาง
ศาสนา ความฝันที่เกิดขึ้นจึงเป็นรูปแบบจาลองของสภาวะจิตใต้สานึกที่ยังคงดารงอยู่ในซอกมุมของจิตใจ
เพื่อร่าร้องหาการยอมรับและการชมเชยจากผู้เป็นพ่อ ซึ่งเขาจะไม่มีวันได้รับรู้อีกแล้วในห้วงเวลาของชีวิตที่
เหลืออยู่ ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นจากความฝันเขาจะสลัดหน้าเรียกความเป็นตัวเองกลับคืนมาและบอกกับตนเอง
ว่า จงเข้มแข็งและเดินหน้าต่อไป วันนี้ความเสียใจที่สูญเสียพ่อมันค่อยๆจางหายกลับกลายเป็นความทรง
จาทีมีค่าแทนที่ ความตายของพ่อช่วยให้เขาทิ้งวันคืนของวัยหนุ่มเจ้าสาราญกลับกลายเป็นคนขยันทางาน
่
และรับผิดชอบความรู้สึกของคนรอบข้างมากขึ้น ช่วยให้เขาเข้าใจว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับหนึ่งชีวิต
สามารถสร้างกระเพื่อมไปถึงหลายชีวิตรอบข้างได้อย่างมหาศาล
---------------------------------------------------------------------------
ในห้องที่อบร่าด้วยความเย็นจากเครื่องปรับอากาศและบรรยากาศตรึงเครียดของที่ประชุม บท
ภาพยนตร์ควรจะเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยภายในวันนี้ เพราะพรุ่งนี้จะมีการบวงสรวงเปิดกล้องเพื่อถ่ายทา
หนังเรื่องแรกในชีวิตของเขา ในฐานะผู้กากับเขาเป็นคนคิดพล็อตเรื่องทั้งหมดมีทีมงานเขียนบทอีกสองคน
และผู้ช่วยผู้กากับทาหน้าที่เขียนสกรีนเพลย์และชู้ตติ้งสคริป ปัญหาที่เกิดขึ้นในนาทีนี้คือทุกฝ่ายทั้งคน
เขียนบท และโปรดิวเซอร์ต่างไม่เห็นด้วยกับการกระทาของตัวละครพ่อในเรื่องซึ่งขาดเหตุผลและดูใจร้าย
ในสายตาทุกคน
“พ่อที่ไหนก็ภูมิใจในตัวลูกทั้งนั้นแหละ” หนึ่งในสองของทีมเขียนบทพูดขึ้น
11
- 12. “แต่พ่อคนนี้ไม่เหมือนกัน เขาต้องการให้ลูกชายหาหนทางของตัวเองให้เจอ ไม่ใช่สืบทอดกิจการ
ของตัวเองต่อ สิ่งที่เขาสร้างทั้งหมดจะถูกโอนให้เป็นสาธารณะกุศล เขาจะภูมิใจกว่าถ้าลูกสร้างทางเดิน
ของตัวเองและประสบความสาเร็จ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้าเสียงมุ่งมั่นและท่าทีแข็งกร้าว
“มันจะไม่ดูใจร้ายไปหน่อยเหรอ ถ้าทางบทแบบนี้มันจะหนักไปหรือเปล่า ผมกลัวว่าคนดูจะรับ
ไม่ได้” โปรดิวเซอร์ออกตัว
มึงอย่าพูดถึงแต่เงินท่าเดียวสิ นี่มันงานศิลปะโว้ย ชายหนุ่มคิด
“ไม่หรอกครับ สุดท้ายพระเอกก็จะประสบความสาเร็จในแบบของเขาเพราะพบกับนางเองซึ่งรวย
และช่วยเหลือเขาทุกอย่างความรักก็ก่อตัวขึ้นจากจุดนั้น แฮปปี้เอนดิ้งจะตาย” ชายหนุ่มพยายามปรับ
น้าเสียงให้ราบเรียบ
“แต่ตอนจบพ่อก็ยังไม่ภูมิใจในตัวลูกของตัวเองอยู่ดีที่ได้ผู้หญิงรวยช่วย” คนเขียนบทอีกคนกล่าว
ขึน
้
ชายหนุ่มเอามือลูบคางของตัวเองเป็นเชิงครุ่นคิดก่อนพูดขึ้น “มันก็แค่ปมของตัวละครที่ผม
พยายามทิ้งไว้ให้คนดูคิดเล่นๆเท่านั้นเอง ไม่แน่ว่าคนดูอาจจะคิดต่างออกไปก็ได้”
“ใครเค้าจะคิดต่าง คุณเล่นฟันธงชัดเจนแบบนี้” โปรดิวเซอร์เสริมขึ้นอีก หนังมันจะตกม้าตาย
ตอนจบ”
เสียงของความเงียบงันทาหน้าที่ของมัน บรรยากาศยิ่งเขม็งเกลียวความเครียดมากขึ้น ยังไงเขาก็
ไม่เปลี่ยนบทเป็นแน่
“งั้นผมจะถ่ายเผื่อสองแบบให้ แล้วลองเอามาตัดดู ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันก็แล้วกัน”
“คุณจะทาแบบนั้นไปทาไม ให้มันสิ้นเปลืองเงิน คิวถ่ายก็ต้องเพิ่ม ไหนจะค่านักแสดง กล้องไฟ
เยอะแยะไปหมด เชื่อเราเถอะเปลี่ยนบทซะ” โปรดิวเซอร์พูดขึ้นและคนอื่นๆก็พยักหน้าเห็นด้วย
ความอดกลั้นของเขาขาดลงทันที นี่มันเป็นหนังของเขา เจ้าของเงินซื้อพล็อตเรื่องเรียบร้อย สิทธิ์
อันชอบธรรมทุกประการในหนังเรื่องนี้เป็นของเขา และไอ้ลูกจ้างที่ทางานให้เจ้าของเงินมันถือสิทธิ์อะไรมา
ตัดสินหนังที่เปรียบเหมือนลูกของเขา “เอาเรื่องนี้ไปแจ้งเจ้านายคุณทราบแล้วกันว่าผมไม่เปลี่ยนบท ถ้า
12
- 13. เจ้านายคุณยืนยันว่าจะให้เปลี่ยน ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นหักจากค่าตัวของผมได้เลย” พูดจบเขากระชาก
เก้าอี้ออกอย่างรวดเร็วและเดินออกไปจากห้องประชุม
เขาทิ้งตัวลงที่เก้าอี้บริเวณสวนหน้าบ้าน เกลียวความเครียดยังไม่คลายตัว ภายในตัวมีความร้อน
ปะทุเหมือนมีใครมาสุมไฟอยู่ในร่างกาย เรื่องงานก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งร้องถามคาถามซ้าๆที่ชาย
หนุ่มไม่มีวันได้คาตอบ และเขาตอบตนเองไม่ได้เช่นกันว่าเหตุใดปมความคิดนี้จึงสลักสาคัญนัก เขาเบื่อที่
ความรู้สึกแบบนี้รบกวนจิตใจ และสมเพชตัวเองที่ทาตัวเหมือนเด็กน้อยที่ต้องการการชมเชยจากพ่อแม่อยู่
ร่าไป เขาน่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว “ผู้กากับ กูเป็นผู้กากับ กูเป็นนักคิด”
แม่ผิดสังเกตเล็กน้อยที่เห็นลูกชายกลับมาแล้วไม่เข้าบ้านจึงเดินเข้าไปดู
“มาทั่งทาอะไรมืดๆตรงนี้ล่ะ”
ชายหนุ่มนิ่งงัน หันมองหน้าแม่อยู่หลายวินาที
“แม่รู้สึกยังไงที่ไนน์ได้เป็นผู้กากับ”
แม่มองหน้าลูกชายแล้วยิ้ม บางครั้งเธอก็คิดว่ารู้จักลูกชายของตัวเองดีพอ เขาถอดแบบความ
มั่นใจและบุคลิกเด็ดเดี่ยวจากสามีออกมาราวเป็นคนเดียวกัน หากแต่บางครั้งเธอก็พบจุดขัดแย้งซึ่งไม่มี
ทางที่สามีของเธอจะแสดงท่าทีแบบนี้ออกมาให้ใครเห็น
“แม่ก็ดีใจกับไนน์ด้วย” เธอนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆลูกชาย
“เหรอ........”ชายหนุ่มนิ่งคิด “แล้วแม่.....รู้สึกอย่างอื่นอีกมั้ย”
เธอยิ้ม ยิ้มแห่งความอบอุ่นและเข้าอกเข้าใจลูกของตัวเอง “แม่ภูมิใจในตัวไนน์ที่ไนน์ได้ทาตาม
ฝันของตัวเอง แล้วพ่อเองเค้าก็ภูมิใจ” แม่เอื้อมมือไปขยี้หัวลูกชายของตัวเองเบาๆ
ชายหนุ่มนิ่งไปหลายอึดใจ “แม่รู้ได้ไงว่าพ่อภูมิใจในตัวไนน์ พ่อเค้าไม่เห็นด้วยซะหน่อยที่ไนน์
เรียนหนัง พ่ออยากให้ไนน์เป็นวิศวกร แต่ไนน์ดันเอนท์ฯไม่ติด พ่อเค้าคงผิดหวังในตัวไนน์มาก” เขา
เหม่อมองไปข้างหน้าแบบที่ไม่ได้จับจ้องที่ใด ภาพในสมองกลับชัดเจนยิ่งกว่าสายตาที่มองเห็น เขายังจาสี
หน้าผิดหวังของพ่อได้อย่างแม่นยาในวันที่รู้ว่าลูกชายตัวเองเอนท์ฯไม่ติดวิศวฯ
13
- 14. สามีไม่เคยบอกเล่าความรู้สึกใดๆให้ลูกได้ฟังมากนัก เป็นเธอมากกว่าที่รับรู้ความเป็นห่วงเป็นใย
และเห็นเขาเฝ้ามองลูกชายด้วยประกายตาชื่นชมอยู่ห่างๆ เขาพูดขึ้นมาในคืนหนึ่งว่า ลูกก็เหมือนตัวเขาจะ
ดีหรือชั่วจะหล่อหรือขี้ริ้วยังไงก็ไม่ได้ทาให้ความรักนั้นจืดจางลง “พ่อเค้าเป็นนักเขียนเลยพูดไม่ค่อยเก่ง
แต่ไนน์ชื่อแม่เถอะว่าพ่อเค้ารักแล้วก็ภูมิใจตัวไนน์มาก มันมีนิยายอยู่เรื่องหนึ่งที่พ่อเค้าเขียนแต่ไม่ได้ลงที่
ไหนสานักพิมพ์เค้าเลยไม่พิมพ์ให้ แม่ว่าไนน์น่าจะได้อ่าน อยู่ในห้องทางานพ่อเค้าแหละลองหาดู พ่อเค้า
เขียนให้ไนน์”
---------------------------------------------------------------------------
ในความฝันพ่อกอดกับแม่เนิ่นนานและพูดคุยอะไรกันตัวเขาเองก็จับใจความไม่ได้ และพ่อก็เดิน
มาที่เขายื่นมือมาเช็คแฮนด์อีกมือหนึ่งตบที่ไหล่ของเขาเบาๆ “เก่งมากไนน์ พ่อภูมิใจในตัวไนน์มาก ดูแล
แม่แทนพ่อด้วยนะ” ในความฝันชายหนุ่มน้าตาไหล มันทั้งตื้นตันและอาลัยพ่ออย่างสุดซึ้งยิ่งกว่าจะสรร
หาประโยคใดมาเปรียบเทียบ เขาสะอื้นอย่างรุนแรงจนต้องพยายามสะกดกลั้นจนตัวสั่นเทิ้ม “พ่อครับ
ไนน์ได้เป็นผู้กากับแล้ว หนังเรื่องนี้ไนน์ได้แรงบันดันดาลใจจากพ่อ ไนน์อยากให้พ่อได้อยู่ดูด้วยกัน” ผู้
เป็นพ่อออกแรงบีบไหล่ลูกชายแน่นความอาลัยต่อครอบครัวล้นอยู่เต็มห้วงความรู้สึก เขาดึงภรรยาและลูก
ชายเข้ามาสวมกอดไว้แนบแน่นดังกับวันวานที่ลูกแรกเกิดแล้วเข้าโอบกอดครอบครัวของตัวเองเป็นครั้ง
แรก
เขาสะดุ้งตื่นรู้สึกถึงความชื้นที่หมอนและน้าตายังคลออยู่ที่เบ้าตา ข้างกายมีปึกกระดาษเอสี่กว่า
ร้อยหน้า ปรากฏคาโปรยและชื่อเรื่อง “ลูกก็เหมือนตัวกูจะดีหรือชั่ว จะสวยหรือขี้ริ้วอย่างไรก็ไม่ทาให้ความ
รักนั้นจืดจางลง” นิยายชุด “ปฏิกิริยา” ชายหนุ่มหันไปดูกระดาษปึกนั้นปาดน้าตาและบอกตัวเองว่าเขา
จะต้องเข้มแข็งขึ้นเพื่อตัวเองและแม่
“ได้เวลาตื่นไปทางานที่รักแล้วสินะ”
------------------------------------------------------
พิมพ์ครั้งแรกที่นิตยสารสกุลไทย ฉบับทีฉบับที่ 3031 ประจาวัน อังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2555
่
14