More Related Content Similar to Powerpoint หน่วยที่ 1
Similar to Powerpoint หน่วยที่ 1 (20) Powerpoint หน่วยที่ 11. คอมพิวเตอร์เบื้องต้น
• 1. ความหมาย บทบาทและความสาคัญของคอมพิวเตอร์
– ประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
– ยุคของคอมพิวเตอร์
– ความหมายของคอมพิวเตอร์
– หลักการทางานของคอมพิวเตอร์
– บทบาทและประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
3. • การทางานของเครื่องนี้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนเก็บข้อมูล ส่วนคานวณ
และส่วนควบคุม ใช้ระบบพลังเครื่องยนต์ไอน้าหมุนฟันเฟือง มีข้อมูลอยู่
ในบัตรเจาะรู คานวณได้โดยอัตโนมัติ และเก็บข้อมูลในหน่วยความจา
ก่อนจะพิมพ์ออกมาทางกระดาษ ด้วยหลักการนี้เองเราจึงยกย่องให้
แบบเบจ เป็น “บิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์”
6. ยุคที่ 1 (พ.ศ. 2489 - 2501)
• คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ใช้หลอดสูญญากาศ (Vacuum tube) เป็น
วงจรอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องยังมีขนาดใหญ่มาก ใช้กระแสไฟฟ้าจานวน
มาก ทาให้เครื่องมีความร้อนสูงจึงมักเกิดข้อผิดพลาดง่าย
7. • จอห์น ดับลิว มอชลีย์ (John W. Mauchly) และ เจ เพรสเพอร์
เอคเกิรต (J. Prespern Eckert) ได้รับทุนอุดหนุนจากกองทัพ
สหรัฐอเมริกา ในการสร้างเครื่องคานวณ ENIAC ย่อมาจากคา
ว่า”Electronics Numerical Integrator and
Compute” เมื่อปี 1946 นับว่าเป็น "เครื่องคานวณอิเล็กทรอนิกส์
เครื่องแรกของโลก หรือคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก"
ยุคที่ 1 (พ.ศ. 2489 - 2501) (ต่อ)
9. ยุคที่ 2 (พ.ศ. 2502 – 2506)
• คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้ทรานซิสเตอร์ (Transistor) เป็นวงจร
อิเล็กทรอนิกส์ และใช้วงแหวนแม่เหล็กเป็นหน่วยความจา คอมพิวเตอร์
มีขนาดเล็กกว่ายุคแรก ต้นทุนต่ากว่า ใช้กระแสไฟฟ้าและมีความ
แม่นยามากกว่า
10. • [ พ.ศ.2506] ประเทศไทยเริ่มมีคอมพิวเตอร์ใช้เป็นครั้งแรก โดยที่
คอมพิวเตอร์เครื่องแรกในประเทศไทยได้ติดตั้งที่ ภาควิชาสถิติ คณะ
พานิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครื่อง
คอมพิวเตอร์เครื่องนี้คือ IBM 1620 ซึ่งได้รับมอบจากมูลนิธิเอไอดี
และบริษัทไอบีเอ็ม แห่ง ประเทศไทยจากัด ปัจจุบันหมดอายุการใช้งาน
ไปแล้ว จึงได้มอบให้แก่ศูนย์บริภัณฑ์การศึกษาท้องฟ้าจาลองกรุงเทพฯ
• [ พ.ศ.2507] เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องที่สองของประเทศไทยติดตั้งที่
สานักงานสถิติแห่งชาติ ในเดือนมีนาคม 2507
ยุคที่ 2 (พ.ศ. 2502 – 2506) (ต่อ)
13. ยุคที่ 3 (พ.ศ. 2507 – 2512)
• คอมพิวเตอร์ในยุคนี้เริ่มต้นภายหลังจากการใช้ทรานซิสเตอร์ได้เพียง 5
ปี เนื่องจากได้มีการประดิษฐ์คิดค้นเกี่ยวกับวงจรรวม (Integrated-
Circuit) หรือเรียกกันย่อๆ ว่า "ไอซี" (IC) ซึ่งไอซีนี้ทาให้
ส่วนประกอบและวงจรต่างๆ สามารถวางลงได้บนแผ่นชิป (chip)
เล็กๆ เพียงแผ่นเดียว จึงมีการนาเอาแผ่นชิปมาใช้แทนทรานซิสเตอร์ทา
ให้ประหยัดเนื้อที่ได้มาก
14. ยุคที่ 4 (พ.ศ. 2513 - 2532)
• เป็นยุคที่นาสารกึ่งตัวนามาสร้างเป็นวงจรรวมความจุสูงมาก ซึ่ง
สามารถย่อส่วนไอซีธรรมดาหลายๆ วงจรเข้ามาในวงจรเดียวกัน และมี
การประดิษฐ์ ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor) ขึ้น ทาให้
เครื่องมีขนาดเล็ก ราคาถูกลง และมีความสามารถในการทางานสูงและ
รวดเร็วมาก จึงทาให้มีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ถือกาเนิดขึ้นมาในยุคนี้
15. ยุคที่ 5 (พ.ศ. 2533 - ปัจจุบัน)
• ในยุคนี้ได้มุ่งเน้นการพัฒนา ความสามารถในการทางานของระบบ
คอมพิวเตอร์ และ ความสะดวกสบายในการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์
อย่างชัดเจน มีการพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็ก
ขนาดเล็ก (Portable Computer) ขึ้นใช้งานในยุคนี้
16. ความหมายของคอมพิวเตอร์
• คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การ
นับ หรือ การคานวณ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.
2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์
แบบอัตโนมัติ ทาหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สาหรับแก้ปัญหาต่างๆ
ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์"
• สรุปได้ว่า คอมพิวเตอร์ หมายถึง อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่มนุษย์ใช้
เป็นเครื่องมือในการจัดเก็บข้อมูล ทั้งตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์
20. • 5.1.1 หน่วยคานวณและตรรกะ ( Arithematic and Logic Unit : ALU )
ทาหน้าที่ในการคานวณ เช่น บวก ลบ คูณ หาร และหน้าที่ในการ
เปรียบเทียบทางตรรกะโดยหน่วยควบคุมจะควบคุมความเร็วในการ
คานวณ
• 5.1.2 หน่วยควบคุม ( Control Unit )
ทาหน้าที่ในการควบคุมกลไกการทางานของระบบทั้งหมด โดยจะ
ทางานประสานงานกับหน่วยคานวณ และหน่วยความจา และตรรกะ
ซีพียูหลักที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน คือ ไมโครชิป หรือที่เรียกว่า ไม
โครโพรเซสเซอร์ ( Microprocessor )
หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU)
(ต่อ)
22. หน่วยความจาหลัก ( Main Memory )
ทาหน้าที่เก็บข้อมูลที่รอทาการประมวลผล และเก็บผลลัพธ์ที่ได้
จากการประมวล ในระหว่างที่รอส่งไปยังหน่วยแสดงผลลัพธ์ประเภท
ของหน่วยความจาสามารถแบ่งได้ดังนี้
1. ตามลักษณะของเก็บข้อมูล จะแบ่งได้เป็น
• หน่วยความจาแบบลบเลือนได้ ( Volatile Memory ) คือใน
กรณีที่ไฟฟ้าดับหรือกาลังไฟฟ้าไม่เพียงพอข้อมูลที่เก็บไว้ก็จะหายหมด
• หน่วยความจาแบบไม่ลบเลือน ( Nonvolatile Memory )
หน่วยความจาแบบนี้จะเก็บข้อมูลได้โดยไม่ขึ้นอยู่กับไฟฟ้าที่เลี้ยงวงจร
23. 2. ตามสภาพการใช้งาน จะแบ่งได้เป็น
หน่วยความจาอ่านอย่างเดียว ( ROM ) หรือรอม เป็น
หน่วยความจาชนิดไม่ลบเลือน คือซีพียูสามรถอ่านได้อย่างเดียว ไม่
สามารถเขียนข้อมูลลงไปได้
หน่วยความจาเข้าถึงโดยสุ่ม ( RAM ) หรือแรม เป็น
หน่วยความจาแบบลบเลือนได้ คือสามารถเขียนหรืออ่านข้อมูลได้ การ
เขียนหรืออ่านจะเลือกที่ตาแหน่งใดก็ได้
หน่วยความจาหลัก ( Main Memory ) (ต่อ)
25. หน่วยความจารอง ( Virtual Memory )
มีเพื่อเพิ่มความสามารถในการจดจาของคอมพิวเตอร์ให้มากขึ้น
ตัวอย่างของหน่วย ความจารองได้แก่
- แผ่นบันทึก หรือแผ่นดิสก์ ( Diskette )
- ฮาร์ดดิสก์ ( Harddisk )
- ซีดีรอม ( Compact Disk Read only Memory : CDROM )
28. ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
• 1. ทันสมัย / ทันเหตุการณ์ / ทันข้อมูลข่าวสาร / ทันโลก ช่วยให้เรา
สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ทั่วโลก
• 2. ช่วยให้การเรียน การทางาน ทันสมัยและได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น
• 3. เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ดีเยี่ยม ช่วยในการค้นคว้าหาความรู้เป็นห้องสมุด
ขนาดใหญ่
• 4. ช่วยรับ - ส่งข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว
• 5. ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด เช่น เกม ดูภาพยนตร์ ฟังเพลง ร้องเพลง
• 6. ช่วยสร้างงานศิลปะ ออกแบบชิ้นงานได้อย่างสร้างสรรค์ สวยงาม
30. #
เทคโนโลยีสารสนเทศ คืออะไร
เทคโนโลยี หมายถึง การประยุกต์เอาความรู้ทางด้าน
วิทยาศาสตร์มาจัดการให้เกิดประโยชน์
สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดาเนินชีวิต
ของมนุษย์ หรืออาจกล่าวได้ว่า สารสนเทศ เกิดจากการนาข้อมูลผ่าน
ระบบการประมวลผล คานวณ วิเคราะห์ และแปลความหมายเป็น
ข้อความที่สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้
43. #
ผลกระทบทางเทคโนโลยี แบ่งเป็น 2 ด้านคือ
1.ด้านบวก ได้แก่
1. ช่วยส่งเสริมความสะดวกสบายของมนุษย์ 6. ช่วยให้เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง
2. ช่วยทาให้การผลิตในอุตสาหกรรมดีขึ้น 7. ช่วยให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างกัน
3.ช่วยส่งเสริมให้เกิดการค้นคว้าวิจัยสิ่งใหม่ 8.ช่วยส่งเสริมประชาธิปไตย
4. ช่วยส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น
5. ช่วยส่งเสริมสติปัญญาของมนุษย์
ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ (ต่อ)
44. #
ด้านลบ ได้แก่
1. ทาให้เกิดอาชญากรรม
2. ทาให้ความสัมพันธ์ของมนุษย์เสื่อมถอย
3. ทาให้เกิดความวิตกกังวล
4. ทาให้เกิดความเสี่ยงภัยทางด้านธุรกิจ
5. ทาให้การพัฒนาอาวุธมีอานาจทาลายสูงมาก
6. ทาให้เกิดการแพร่วัฒนธรรมและกระจายข่าวสารที่ไม่เหมาะสม
อย่างรวดเร็ว
ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ (ต่อ)