มังคลัตถวิภาวินี
ไขสงสัยใหนักเรียน ป.ธ. ๕
๏
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย)
อธิบายศัพทและสำนวน มังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒
ประโยค ป.ธ.๕
มังคลัตถวิภาวินี : ไขสงสัยใหนักเรียน ป.ธ. ๕
© พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย)
ISBN 978-616-382-960-3
พิมพครั้งที่ ๑ - มิถุนายน ๒๕๕๘ ๔๐๐ เลม
เผยแพรออนไลน ทาง facebook, สิงหาคม ๒๕๖๕
- ตนฉบับ พิมพครั้งที่ ๑ สูญหาย คงเหลือแตสวนเนื้อหา
ไดพิมพทดแทนสวนที่สูญหายไปในคราวเผยแพรออนไลน
ผูออกแบบปก : Phu-Best-Design.com
พิสูจนอักษร : พระมหาสงวน สุทฺธิาโณ
จัดทำโดย : พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย)
โรงพิมพ์ : บริษัท พิมพสวย จำกัด
๕/๕ ถ. เทศบาลรังสฤษฎเหนือ แขวงลาดยาว
เขตจตุจักร กทม. ๑๐๙๐๐ โทร. ๐ ๒๙๕๓ ๙๖๐๐
ทีติดต่อ : คณะ ๗ วัดอรุณราชวราราม
แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ
กทม. ๑๐๖๐๐ โทร. ๐ ๙๕๑๓๙ ๙๓๓๒
อนุโมทนา
พลเรือเอกชัยณรงค เจริญรักษ และคุณฐิติมา วิทยานนทเอกทวี
โดยการดำริและประสานงานของคุณภาณุวัฒณ มีสัตย ไดแจงความ
ประสงคขอเปนเจาภาพพิมพหนังสือ มังคลัตถวิภาวินี : ไขสงสัยใหนักเรียน
ป.ธ.๕ เพื่อถวายแดนักเรียน กับทั้งเพื่อเปนการบำเพ็ญธรรมวิทยาทาน
ใหกวางขวางยิ่งขึ้นไป
การพิมพหนังสือเลมนี้ สืบเนื่องกับหนังสือเลมกอน คือในคราวพิมพ
มงคลวิเสสกถาปกาสินี (พิมพครั้งที่ ๓) ผูเขียนนี้กำชับวา ใหพิมพจำนวน
จำกัดแค ๓๐๐ เลมก็พอ เพราะตองการแกไข/เพิ่มเติมอีก
ในคราวนั้น ทราบวา มีโยมจำนวนหนึ่งพลาดโอกาสเปนเจาภาพ
เพราะไดจำนวนเลมหนังสือเต็มอัตราที่กำหนดแลว และโยมดังกลาวนั้น
ก็ถามถึงหนังสือที่กำลังรอพิมพ พรอมแจงความประสงคเปนเจาภาพไว
ประจวบกับเวลานั้นหนังสือ มังคลัตถวิภาวินี กำลังเริ่มตนขึ้น
จึงแจงไปยังคุณภาณุวัฒน ขอใหโยมรอพิมพหนังสือเลมนี้เปนลำดับตอไป
และทางฝายอาตมภาพเองก็ขอเวลาจัดทำตนฉบับใหสำเร็จ
เวลาลวงเลยมาจนกระทั่งบัดนี้ เปดภาคการศึกษาใหมแลว ตนฉบับ
หนังสือจึงสำเร็จ พรอมจะเขาโรงพิมพใหเสร็จออกมาดวยทุนพิมพหนังสือ
ที่คุณภาณุวัฒน รวบรวมมาไวพรอมแลว (๒๒,๐๐๐ บาท)
ขออนุโมทนาคณะผูศรัทธาในธรรมทุกทาน ที่สนับสนุนการศึกษา
พระปริยัติธรรมแผนกบาลีในครั้งนี้ ดวยอำนาจบุญจริยาที่รวมกันบำเพ็ญ
แลว จงเปนปจจัยเพื่อความเจริญในกุศลธรรม และเพื่อความตั้งมั่นแหง
พระสัทธรรมตลอดกาลนาน
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย)
๕ มิ.ย. ๒๕๕๘
คำนำ
ในตอนตนหนังสือ มังคลัตถทีปนี ทานวา พระสูตรทั้งหลายเกิดขึ้น
เพราะเหตุ ๔ ประการ ไดแก (๑) เกิดเพราะความประสงคจะทรงแสดง
ธรรมตามอัธยาศัยของพระพุทธเจาเอง (๒) เกิดเพราะอัธยาศัยของผูอื่น
(๓) เกิดเพราะคำถา และ (๔) เกิดเพราะมีเหตุการณปรากฏขึ้น
บรรดาเหตุ ๔ ประการนี้ มงคลสูตร ซึ่งเปนที่มาของหนังสือ
มังคลัตถทีปนี นั้น เกิดเพราะคำถาม แมหนังสือ มังคลัตถวิภาวินี : ไขสงสัย
ใหนักเรียน ป.ธ.๕ นี้ก็เกิดขึ้นเพราะคำถามเชนกัน ดังจะเลาตอไป
ในระหวางการเรียนการสอน วิชา แปลมคธเปนไทย ชั้นประโยค
ป.ธ.๕ ป พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ที่สำนักเรียนวัดอรุณราชวราราม นักเรียน
มีขอสงสัยตรงไหน ก็นำขอสงสัยนั้นมาถามอาจารย
ฝายอาจารยเมื่อไดรับคำถามแลว ก็ตอบไปตามกำลัง หรือขอโอกาส
เก็บไวตอบในภายหลัง และหลังจากตอบคำถามนั้นแลว ก็มักจะนำมาจด
บันทึกไว พรอมคนควาหาคำตอบเพิ่มเติมจากคัมภีรตางๆ จนถึงสิ้นป
การศึกษา คำถามและคำตอบ ก็มีจำนวนมากพอสำหรับพิมพเปนเลม
หนังสือ ดังที่ปรากฏนี้เอง
เนื้อหาในหนังสือเลมนี้ นอกจากจะมุงตอบคำถามใหนักเรียน
มีความรูเพียงพอสำหรับสอบบาลีสนามหลวง คือมุงอธิบายหลักบาลี
ไวยากรณ เปนตนแลว ยังมุงใหนักเรียนมีความรูทั่วถึง สมภูมิชั้น ป.ธ.๕
ฉะนั้น เนื้อหาบางตอนจึงเปนความรูใหมสำหรับนักเรียน เชน
สังขยา ๕ ประเภท ชื่อชนบทนิยมเปนพหุวจนะ บทวา มหา เปน ๓ ลิงค
เปนตน และขอใหนักเรียนศึกษาไวเปนความรูพิเศษ ซึ่งจะชวยเสริมให
เขาใจบทเรียนมากขึ้น
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย)
๕ มิ.ย. ๒๕๕๘
สารบัญ
เรื่อง หนา
อนุโมทนา ก
คำนำ ข
สารบัญ ค
อักษรยอชื่อคัมภีร ฏ
ปฺจมคาถายตฺถวณฺณนา ๑
ทานกถา ๑
ทปฺปนฺติ ๑
วิกฺขาเลตฺวา ๑
กปฺเปตา ๒
ปฏิ ๒
สงฺเฆ ทินฺนทกฺขิณาป ๓
สนฺโต ๔
ยทิ ศัพทใชเปน วิกปฺปตฺถ ๖
ยสสฺส [ยโส-อสฺส] ๗
วิคาหติ ๗
วิเนยฺย ๙
ทีฆรตฺตํ ๙
สหพฺเยติ ๙
อาณาเปสิ ๙
ปติปตามหาทีหิ ๑๐
อภิฺเยฺยา, ปริฺเญยฺยา ๑๑
อานิสํโส มหา ๑๒
เจตสา มนสา ๑๒
ยตสฺสา วิมุตฺตายตนภาโว ๑๓
ธมฺมจริยากถา ๑๖
ติวิธํ : วิภัตติและวจนะวิปลาส ๑๖
เถยฺยสงฺขาตํ ใชในอรรถกรณะ ๑๖
โปรี ๑๗
ยิฏํ : ต ปจจัยใชเปนนามนาม ๑๗
อภิฺา สจฺฉิกตฺวา : วัณณสนธิ ๑๘
ปจฺจตฺตวจนํ : ชื่อพิเศษของวิภัตติทั้ง ๗ ๑๙
อิตฺถนฺนามํ ๒๐
สุกุมารา แปลวา ออนโยน ๒๐
ปุถุวจน = พหุวจนะ ๒๑
ภาวนปุสกนิทฺเทโส = กิริยาวิเสสนะ ๒๑
ชาต ศัพท เปนตน ใชเปน วจนสิลิฏก, สกตฺถ ๒๒
วิภาเวนฺติยา ๒๓
เกวล ศัพท ๒๓
อโหปุริสิกา ๒๕
วาทสฺส ตัดบทเปน วาโท+อสฺส, ภวสาโร ๒๕
โคพลิพัททนัย ๒๖
าตกสงฺคหกถา ๒๗
ปตามโห ลง อามห ปจจัย ๒๗
ปตา จ...เตสํ ยุโค ปตามหยุโค ๒๗
ปุริสคฺคหณฺเจตฺถ...สมตฺถิตํ โหติ ๒๗
ปตา จ...ปตามหทฺวนฺทาติ ๒๘
โกเลยฺยกา ๒๘
ทฺวิชสงฺฆา, ทิโช ๒๘
อนวชฺชกมฺมกถา ๒๙
อนสนสงฺขาโต อุปวาโส ๒๙
ปสนฺนมานโส ๒๙
มหาชนปทานํ : ชื่อแควน นิยมเปนพหุวจนะ ๓๐
เสยฺยถีทํ ๓๒
กุ ในคำวา กุราชภาเวน ๓๒
ปฺจงฺคิกํ ตุริยํ = ดนตรีมีองค ๕ ๓๔
มรุกนฺตาร = ทะเลทราย ๓๔
กามทุโห ๓๕
อจฺฉสิ ๓๕
วิมลาทีสุ ๓๕
ฉคาถายตฺถวณฺณนา ๓๖
ปาปวิรติมชฺชปานสํยมกถา ๓๖
อวฺหย=ชื่อ ๓๖
ยโต : โต ปจจัยเปนเครื่องหมาย ๕ วิภัตติ ๓๖
วชฺช=คำพูด ๓๗
อโวจ ๓๗
ตชฺชํ ๓๗
อนุวิธิยนาสุ ๓๘
วิลียติ ๓๙
สปตฺตา ๓๙
เผณุทฺเทหกํ ๔๐
เยสํ โน = เย มยํ ๔๐
มาริส ๔๑
นาวหเร, ภเณ=น อวหรติ, ภรติ ๔๒
อุปนาเมสิ ๔๒
ลทฺธาน ๔๓
เสหิ ๔๓
วารุณี : ษีเมาน้ำดอง ๔๓
อปฺปมาทกถา ๔๔
โยณฺณวา : สังเกตสังขยา ๔๕
สังขยา ๕, ๖ และ ๗ ประเภท ๔๗
สตฺตมคาถายตฺถวณฺณนา ๕๒
คารวกถา ๕๒
ปณฺฑุปลาส ๕๒
วตฺตํ/วฏฏํ แปลวา คาใชสอย ๕๒
ธมฺมสฺส โกวิทา : หักฉัฏฐีเปนสัตตมี ๕๔
นิวาตกถา ๕๕
เกสรสีหา : ในราชสีห ๔ ประเภท ๕๕
สนฺตุิกถา ๕๖
อิติ มาสฑฺฒ...วิตกฺกสนฺโตโส นาม ๕๖
หายติ ๕๖
ปฺาเปสิ : เปนทั้ง กัตตุ. และ เหตุ.กัต.? ๕๘
ปริสฺสยานํ สหิตา ๕๙
กปฺป ศัพท : ใชในอรรถเปรียบเทียบ ๕๙
นิทฺธเม=นิทฺธเมยฺย ๕๙
กตฺุตากถา ๖๐
ทเท=ททามิ, มุฺเจ=มุฺจามิ ๖๑
คตโยพฺพนา ๖๑
อนฺธการํ วิย ๖๑
อนฺธการาวตฺถํ ๖๑
ตโตเยว ใชในอรรถเหตุ ๖๒
อมฺพณก=เรือโกลน ๖๒
สหตฺถา : ศัพทที่แปลงเปน ส ๖๓
อภิราธเย ๖๔
ทชฺชา ๖๔
ธมฺมสฺสวนกถา ๖๕
อหนิ=ในวัน ๖๕
อุปฺปชฺชนฺตาป...วุจฺจนฺติ ๖๕
กุสโล เภริสทฺทสฺส, กุสโล สงฺขสทฺทสฺส ๖๖
ปุตฺตกํ : ก ปจจัยแปลไดหลายอยาง ๖๖
มา กโรสิ : วิธีการใช มา ปฏิเสธ ๖๖
มํ น ปฏิภาติ : หักทุติยาเปนจตุตถีและฉัฏฐีวิภัตติ ๖๘
กานนํ = ดง ปา หมูไม ๗๐
ปาทป=ตนไม ๗๐
ปริปูเรนฺติ ๗๐
ทริโต ๗๑
อมคาถายตฺถวณฺณนา ๗๒
ขนฺติกถา ๗๒
ทสหิ อกฺโกสวตฺถูหิ : อักโกสวัตถุ ๑๐ ๗๒
พหุ อตีตมทฺธาเน : พหุ ควรเปน อหุ ๗๓
ยสฺสทานิ=ยสฺส อิทานิ ๗๓
ทุรุตฺตํ=คำพูดชั่ว ๗๓
อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา: อักษรหาย ความหมายเปลี่ยน ๗๔
วโจ : แปลง อํ ทุติยาวิภัตติ เปน โอ ๗๘
ตสฺสา อตฺถิตายาติ ๗๘
ขตฺติยวคฺคฏีกา ๗๙
จกฺกาทิติกํ ๘๐
ตสฺเสว เตน ปาปโย ๘๐
ปาปกตรสฺส ๘๑
ตตฺถิโตเยว ๘๓
เวเทหิกา ๘๓
คหปตานี ๘๓
อผาสุ, อผาสุกํ ๘๔
อยฺเย ในคำวา ปสฺสถยฺเย ๘๔
ยโต=ยทา ๘๕
โสรโต ๘๕
กุรุรา/กุรูรา ๘๕
โสวจสฺสตากถา ๘๖
สุวโจ ๘๖
โสวจสฺสํ ๘๖
โสวจสฺสตา ๘๖
ปุรกฺขิตฺวา ๘๖
วิปฺปจฺจนีกสาเต : ทันตเฉทนนัย/ทันตโสธนนัย ๘๖
อนุโลมสาเต ๘๗
ขโม ๘๘
ขนฺตา ๘๘
ปฏานิภาเวน ๘๘
วิเสสาธิคมสฺส ทูเร/อทูเร ๘๘
กตฺวา เปนกิริยาปธานนัย ๙๐
อกโรนฺตา จตสฺโส ปริสา: อกโรนฺตา/อกโรนฺตี ? ๙๐
จตูสุ อปาเยสุ [อบาย ๔] ๙๑
ปฺจวิธพนฺธนกมฺมกรณานาทีสุ ๙๒
กาหนฺติ ๙๒
สมณทสฺสนกถา ๙๓
ตถาสมาหิตํ ๙๓
อชฺฌุเปกฺขิตา ๙๓
นิสินฺนสฺส ๙๓
ตตฺถาป ตโต ๙๓
สตสหสฺสมตฺตา ๙๓
มหินฺท...ปพฺพชนฺติ นาม ๙๔
ปาตุกมฺมาย ๙๔
อตีวมหา : บทวา มหา เปนได ๓ ลิงค ๙๕
อฑฺฒรตนํ ๙๖
นาค ศัพทเดียว แปลไดหลายอยาง ๙๖
วิธีแปล ขมนียํ/ยาปนียํ ๙๗
นิทฺทํ อุปคตสฺส ๙๗
ฑยฺหามิ ๙๘
ธมฺมสากจฺฉากถา ๙๘
นวมคาถายตฺถวณฺณนา ๙๙
ตปกถา ๙๙
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา : วิเสสลาภี ๙๙
ตีติกฺขา ๙๙
มหาหํสชาตก ๙๙
ยตฺวาธิกรณเมนํ ๑๐๐
หตฺถปาทสิตหสิตกถิตวิโลกิตาทิเภทํ: ต ปจจัย ๔ สาธนะ ๑๐๑
หิ ศัพท ๑๐๒
ยถา=ยสฺมา ๑๐๓
อกมฺมฺโ ๑๐๔
มฺเ=วิย ๑๐๔
พฺรหฺมจริยกถา ๑๐๕
อหฺจ ภริยา จ : ปโรปุริส ๑๐๕
อริยสจฺจทสฺสนกถา ๑๐๖
ทุกฺขํ อริยสจฺจํ : วิเสสลาภี ๑๐๖
ภวา ๑๐๖
นิพฺพานสจฺฉิกิริยากถา ๑๐๗
กฺจิ ธมฺมํ อุปาทิยติ : แปลแลวยกขึ้นตั้งอรรถ ๑๐๗
อาลมฺเพติ ๑๐๘
อาโท ลง สฺมึ สัตตมีวิภัตติ ๑๐๘
ทสมคาถายตฺถวณฺณนา ๑๐๙
อกมฺปตจิตฺตกถา ๑๐๙
อุปายาเสหิ : อุปายาส คืออะไร ๑๐๙
อโสกจิตฺตกถา ๑๑๑
อนฺโต ลงแลวลบวิภัตติ ๑๑๑
ฌาเปสิ ๑๑๒
อาคา ๑๑๓
กาลกเต ๑๑๓
ตสฺส [ตํ อสฺส] ๑๑๓
ปริณเต ๑๑๔
วิรชจิตฺตกถา ๑๑๕
ภยมนฺตรโต ๑๑๕
เขมจิตฺตกถา ๑๑๖
ราชฺโ ๑๑๖
อิยตมกิเอสานมนฺตสฺสโร ๑๑๖
เอกาทสมคาถายตฺถวณฺณนา ๑๒๑
คจฺเฉ ๑๒๑
อุรุ ศัพท ในคำวา สิรฺยาทิมงฺคลภิธานยุโตรุเถโร ๑๒๑
บันทึกทายเลม ๑๒๒
บรรณานุกรม ๑๒๓
หนังสือที่พิมพเปนทาน ๑๒๗
รายนามผูรวมพิมพหนังสือ ๑๒๘
ปญฺจมคาถายตฺถวณฺณนา
ทานกถา
-๐-
ทปฺปนฺติ (มงฺคล. ๒/๔/๓)๑
ทปฺปนฺติ ในหนังสือมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๔ หนา ๓ แปลวา
งมงาย ใชในอรรถเดียวกันกับ มุยฺหนฺติ (ลุมหลง)
ทปฺปนฺติ [ทปู+ย+อนฺติ] ยอมงมงาย ประกอบดวย ทปู ธาตุในความ
หัวเราะ, กระดาง, โออวด (หาสคพฺพเน)๒ ย ปจจัยในกัตตุวาจก หมวด ทิว
ธาตุ อนฺติ วัตตมานาวิภัตติ, บางอาจารยวา ทปฺ ธาตุ แปลง ปฺย เปน ปฺป๓
วิกฺขาเลตฺวา (มงฺคล. ๒/๑๕/๙)
นักเรียนสงสัยวา วิกฺขาเลตฺวา ในมังคลัตถทีปนี ภาค ๒ ขอ ๑๕ หนา
๙ เปนวาจกอะไร
วิกฺขาเลตฺวา ในที่ดังกลาว เปน เหตุกัตตุวาจก, ความจริง มีผูอธิบาย
วิกฺขาเลตฺวา วาเปนไดทั้ง กัตตุวาจก และเหตุกัตตุวาจก
วิกฺขาเลตฺวา [วิ+ขลฺ+เณ+ตฺวา] ที่เปนเหตุกัตตุวาจก แปลวา
ยัง...ใหบวนแลว ประกอบดวย วิ บทหนา ขล ธาตุในความชำระ๔ ดวย
อำนาจ วิ อุปสัคอยูหนา แปลวา บวน เณ ปจจัยในเหตุกัตตุวาจก ตฺวา
๑ ในวงเล็บ=(หนังสือมังคลัตถทีปนี พิมพครั้งที่ ๑๕ พ.ศ. ๒๕๔๙, ภาคที่ ๒/ขอ/หนา)
๒ พระวิสุทธาจารมหาเถระ รจนาที่พมา, พระราชปริยัติโมลี (อุปสโม) และคณะ
ปริวรรต, ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, (กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕),
คาถา ๑๘๐ หนา ๑๘๔.
๓ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรมกิริยาอาขยาต ฉบับธรรมเจดีย, (กรุงเทพฯ:
เรืองปญญา, ๒๕๔๕), หนา ๑๓๐.
๔ ขล โสธนมฺหิ, ดู ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๗๙ หนา ๗๗.
มังคลัตถวิภาวินี
๒
ปจจัย ดวยอำนาจ เณ ปจจัย ทีฆะ อ ตนธาตุเปน อา ลบ ณ เหลือไวแต เอ
สำเร็จรูปเปน วิกฺขาเลตฺวา
สวนที่เปน กัตตุวาจก นั้นมีองคประกอบเหมือน เหตุกัตตุวาจก แปลก
แต ลง เณ ปจจัยในกัตตุวาจก เทานั้น๑
กปฺเปตา (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๓)
กปฺเปตา ศัพทเดิมเปน กปฺเปตุ (ผูสำเร็จ) แจกแบบ สตฺถุ เอา อุ
การันต กับ สิ เปน อา๒
เพราะอำนาจ สิ วิภัตติ จึงแปลงสระทายเปน อา และลบ สิ วิภัตติ
ดวยสูตรวา สตฺถุปตาทีนมา สิสฺมึ สิโลโป จ๓, ศัพทวา อาทาตา, สนฺธาตา,
อนุปฺปทาตา เปนตน (มงฺคล.๒/๕๕/๔๗-๔๘) ก็พึงทราบโดยนัยนี้
ปฏิ (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๕)
ปฏิ ในขอวา ปฏิ ปจฺเจโก ปุคฺคโล ปฏิปุคฺคโล เปนอัพยยศัพท จึงไม
เปลี่ยนรูปไปตามวิภัตติ
ในที่นี้ตองการใช ปฏิ ศัพท ขยาย ปุคฺคโล (พึงสังเกตทานไขความวา
ปจฺเจโก) จึงลง สิ ปฐมาวิภัตติแลวลบเสีย ทั้งนี้มีหลักการทั่วไปวา ใหลบ
วิภัตติหลังอุปสัคและนิบาต๔
๑ บุญสืบ อินสาร, พจนานุกรมบาลี-ไทย ธรรมบทภาค ๑-๔, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิ
สงเสริมสามเณร ในพระสังฆราชูปถัมภ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก, ๒๕๕๕), หนา ๖๙๗.
๒ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, บาลีไวยากรณ วจีวิภาค ภาคที่
๒ นามและอัพยยศัพท, (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๑), หนา ๖๑.
๓ พระคันธสาราภิวงศ แปลและอธิบาย, ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑ , (นครปฐม:
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๗), หนา
๕๑๕.
๔ กจฺจายน. สูตร ๒๒๑, รูปสิทฺธิ. สูตร ๒๘๒, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๔๔๘.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๓
สงฺเฆ ทินฺนทกฺขิณาปิ (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๖)
สัตตมีวิภัตติที่สัมพันธเขากับ ทา ธาตุ ใหใชในอรรถสัมปทาน คือหัก
สัตตมีวิภัตติเปนจตุตถีวิภัตติ แปลวา แก๑
หลักการลงสัตตมีวิภัตติในอรรถสัมปทานนี้ ปรากฏใชในที่
ประกอบดวย ทา ธาตุเทานั้น เพราะ ทา ธาตุ เปนธาตุที่มองหาสัมปทาน๒
ฉะนั้น สัตตมีวิภัตติดังจะแสดงตอไปนี้จึงลงในอรรถจตุตถีวิภัตติ แปลวา แก
ปฏิปนฺเน ทินฺนทานสฺส (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๓)
ทานที่ทายกให แกบุคคลผูปฏิบัติ
โสตาปนฺนาทีสุ ทินฺนทานสฺส (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๓)
ทานที่ทายกถวาย แกพระโสดาบัน เปนตน
ตตฺถ ทินฺนํ (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๔,๑๕)
ทานที่ทายกถวาย แกปฏิคาหกนั้น
ตตฺถ ตตฺถ ทินฺนสฺส (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๕)
ทานที่ทายกถวายแกปฏิคาหกนั้นๆ
สงฺเฆ ทินฺนทกฺขิณาป (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๖)
แมทักษิณาที่ทายกถวาย แกสงฆ
ปุถุชฺชนสมเณ ทินฺนํ มหปฺผลตรํ (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๖, ๑๗)
ทานที่ทายกถวาย แกสมณะผูเปนปุถุชน มีผลมากกวา
ขีณาสเว ทินฺนทานโต (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๖, ๑๗)
กวาทานที่ทายกถวาย แกพระขีณาสพ
ทุสฺสีเลป ทินฺนํ มหปฺผลตรํ (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๖, ๑๗)
ทานที่ทายกถวาย แมแกสมณะผูทุศีล
๑ กจฺจายน.สูตร ๓๑๑, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๖๔๒, รูปสิทฺธิ. สูตร ๓๒๕.
๒ ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑, หนา ๑๑๓๐.
มังคลัตถวิภาวินี
๔
สนฺโต (มงฺคล. ๒/๒๓/๑๘)
สนฺโต ในมังคลัตถทีปนี ภาค ๒ ขอ ๒๓ หนา ๑๘ เปนพหุวจนะ ถา
นักเรียนไมศึกษาใหทั่วตลอดหรือผูสอนไมแนะนำ อาจจะเขาใจผิดคิดวาเปน
เอกวจนะ เพราะเทียบกับแบบแจก อ การันตในปุงลิงค
ที่จริง สนฺโต ในที่นี้เปน พหุวจนะ ใชเปน วิเสสนะ ของ สปฺปุริสา มี
แบบแจกเฉพาะที่นักเรียนไมคุนเคย จึงนำมาแสดงไว ดังนี้
สนฺต ศัพท แจกอยางนี้
สนฺตสทฺทปทมาลา๑
วิภัตติ เอกวจนะ พหุวจนะ
ป. สํ (สนฺโต)๒ สนฺโต สนฺตา
ทุ. สํ สนฺตํ สนฺเต
ต. สตา สนฺเตน สนฺเตหิ สนฺเตภิ สพฺภิ
จ. สโต สนฺตสฺส สนฺตานํ สตํ สตานํ
ปฺ สตา สนฺตา สนฺตสฺมา สนฺตมฺหา สนฺเตหิ สนฺเตภิ สพฺภิ
ฉ. สโต สนฺตสฺส สนฺตานํ สตํ สตานํ
ส. สติ สนฺเต สนฺตสฺมึ สนฺตมฺหิ สนฺเตสุ
อา. โภ สนฺต ภวนฺโต สนฺโต
๑ พระอัครวังสเถระ รจนา, พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และจำรูญ ธรรมดา แปล,
สัททนีติปทมาลา, (นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาี-
ศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๖), หนา ๕๖๘.
๒ อาจารยบางทานกลาววา สนฺโต ไมควรเปนเอกวจนะ เพราะทานอธิบายไวใน
คัมภีรสัททนีติปทมาลา (ฉบับแปล หนา ๕๗๐) วา บทวา สนฺโต อสนฺโต ใชเปนพหุพจน
เทานั้น ไมมีใชเปนเอกพจนแมสักแหง
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๕
ในหนังสือมังคลัตถทีปนี ที่อางถึงนี้ ปรากฏ สนฺต ศัพทในขอความวา
ปุน จปรํ สีห ทายกํ ทานปตึ สนฺโต สปฺปุริสา ภชนฺติ ยมฺป สีห ทายกํ....
ภชนฺติ อิทมฺป สีห สนฺทิ€ิกํ ทานผลํ ฯ
[สีหะ ขออื่นยังมีอีก สัตบุรุษทั้งหลายผูสงบระงับ ยอมคบทายก
ทานบดี, สีหะ ขอที่สัตบุรุษทั้งหลายผูสงบระงับคบทายกทานบดี แมนี้ เปน
ผลแหงทานที่เห็นไดเอง]
สนฺต ศัพท ในที่นี้แปลวา ผูสงบระงับ ซึ่งเปนเพียงความหมายหนึ่งใน
หลายความหมาย ที่จริง สนฺต ศัพท มีความหมายมากถึง ๗ อยาง ไดแก
อจฺจิเต วิชฺชมาเน จ ปสตฺเถ สจฺจสาธุสุ
ขินฺเน จ สมิเต เจว สนฺโตภิเธยฺยลิงฺคิโก ฯ๑
สนฺต ศัพท ที่เปนอภิเธยยลิงคคือเปนไดทั้ง ๓ ลิงค มีอรรถ ๗ อยาง คือ
๑) อจฺจิต การบูชา
๒) วิชฺชมาน ความมีอยู
๓) ปสตฺถ การสรรเสริญ
๔) สจฺจ ความจริง
๕) สาธุ คนดี
๖) ขินฺน ความลำบากหรือความเหน็ดเหนื่อย
๗) สมิต ความสงบจากกิเลส
สนฺต ศัพท ที่แปลวา ผูสงบ นี้วิเคราะหวา กิเลเส สเมตีติ สนฺโต (สมุ
อุปสเม+ต) ผูระงับกิเลส ชื่อวา สันตะ (อาเทศ มฺ เปน นฺ)
๑ พระมหาสมปอง มุทิโต, อภิธานวรรณนา, พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ: บริษัท
ประยูรวงศพริ้นทติ้ง, ๒๕๔๗), คาถา ๘๔๑, ๒๒๘ หนา ๙๘๙, ๓๑๐.
มังคลัตถวิภาวินี
๖
ยทิ ศัพทใชเปน วิกปฺปตฺถ (มงฺคล.๒/๒๓/๑๘)
นักเรียนคอนขางคุนเคย ยทิ ศัพท ที่เปนนิบาตบอกปริกัป
(คาดคะเน) ลงในอรรถ ปริกปฺปตฺถ ที่แปลวา ผิวา, ถาวา, หากวา ที่จริง
ยทิ ศัพทลงในอรรถอื่นก็ได
ในที่บางแหง ยทิ ศัพทลงในอรรถแหง วา ศัพท คือลงในอรรถที่เปน
วิกปฺปน (วิกปฺปตฺถ)๑ แปลวา ก็ดี, ก็ตาม, หรือ เชน ยทิ ศัพท ในมังคลัตถ-
ทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๒๓ หนา ๑๘ ไมไดลงในอรรถ ปริกปฺปตฺถ ไมควรแปลวา
ผิวา แตลงในอรรถแหง วา ศัพท ตองแปลวา ก็ดี, ก็ตาม, หรือ; ขอความ
ดังกลาวเปนพุทธพจนมาในสีหสูตรนำมาแสดงไวดังนี้วา
»Ø¹ ¨»Ã™ ÊÕË ทายโก ทานปติ ڐà·Ç »ÃÔÊ™ ÍØ»Ê§Ú¡ÁµÔ ·Ô
¢µÚµÔ»ÃÔÊ™ Â·Ô ¾ÚÃÒËÚÁ³»ÃÔÊ™ Â·Ô ¤Ë»µÔ»ÃÔÊ™ Â·Ô ÊÁ³»ÃÔÊ™ ÇÔÊÒÃâ·
ÍØ»Ê§Ú¡ÁµÔ ÍÁ§Ú¡ØÀÙâµ...Ï
[สีหะ ขออื่นยังมีอีก ทายกทานบดีจะเขาไปยังบริษัทใดๆ จะเปน
กษัตริยก็ตาม พราหมณก็ตาม คฤหบดีก็ตาม สมณะก็ตาม เปนผูแกลวกลา
ไมเกอเขิน เขาไปยังบริษัทนั้น]
สวนคำวา ­ڐà·Ç นั้น ตัดบทเปน ยํ-ยํ-เอว แปลงนิคหิต (ตัวหนา)
กับ ย (ตัวหลัง) เปน ฺ แลวซอน ò เปน ­ڐí-àÍÇ, แลวแปลง นิคหิต
เปน ท เปน ­ڐà·Ç
๑ ดูใน จตุปทวิภาค สทฺทนีติ สุตฺตมาลา ทานวา ยทิอิติ กตฺถจิ วาสทฺทตฺเถ,
(พระอัคควังสมหาเถระ รจนา, พระมหาประนอม ธมฺมาลงฺกาโร ปริวรรต, สทฺทนีติ สุตฺต-
มาลา, กรุงเทพฯ: ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๙, หนา ๓๘๙) ฉบับแปลดูที่
พระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) ตรวจชำระ, สัททนีติสุตตมาลา, นครปฐม: มหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๕, หนา ๑๒๗๙), ใน
เชิงอรรถฉบับแปลที่อางทานวา ยทิ ที่ลงในอรรถ วา ศัพท คือลงในอรรถ วิกปฺปน
๒ ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑, หนา ๒๖๗.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๗
ยสสฺส [ยโส-อสฺส] (มงฺคล.๒/๒๓/๑๘)
ในคาถา ขอ ๒๓ วา ยสสฺส วฑฺฒติ [ยศของทายกนั้นยอมเจริญ]
ยสสฺส ตัดบทเปน ยโส อสฺส จัดเปนโลปสระสนธิ สระอยูหลัง ลบ
สระหนา ตอบทเปน ยสสฺส เชน กุโต+เอตฺถ=กุเตตฺถ๑
สอดคลองกับที่ทานอธิบายไวในอรรถกถาเถรคาถาวา
ยสสฺส วฑฺฒตีติ สมฺมุเข คุณาภิตฺถวสงฺขาโต ปริวารสมฺปทาสงฺขาโต
จ ยโส อสฺส ปริพฺรูหติ ฯ๒
[บทวา ยสสฺส วฑฺฒติ ความวา ยศกลาวคือความยกยองสรรเสริญคุณ
ในที่ตอหนา และยศกลาวคือความถึงพรอมดวยบริวารยอมเพิ่มพูนแกผูนั้น]
การตัดและตอบทดวยวิธีนี้ มีปรากฏในขอตอๆ ไป เชน
ยตสฺสา [ยโต อสฺสา] (มงฺคล.๒/๕๒/๔๕)
วาทสฺส [วาโท อสฺส] (มงฺคล.๒/๘๑/๗๑)
ปาปกตรสฺส [ปาปกตโร อสฺส] (มงฺคล.๒/๔๓๑/๓๓๗)
วิคาหติ (มงฺคล. ๒/๒๓/๑๙)
ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๒๓ หนา ๑๘-๑๙ วา อมงฺกุภูโต ปริสํ
วิคาหติ (ในคาถา)
ในหนังสือเรียนบางเลมทานแปล วิคาหติ วา ไมเบียดเบียน สวนอีก
เลม ทานแปล วิคาหติ วา เขาไป, นักเรียนสงสัยวา ควรแปลอยางไรดี
ในคำแปลทั้งสองนั้น คำแปลวา เขาไป มีผูคนควาแลวพบขอมูล
สนับสนุน สวนคำแปลวา ไมเบียดเบียน นั้น ยังหาขอมูลสนับสนุนไมพบ จึง
ฝากใหนักศึกษาคนควากันตอไป; ขอมูลที่พบนั้น มีดังนี้
๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๓๐ หนา ๔๑.
๒ เถร.อ. ๒๑๒.
มังคลัตถวิภาวินี
๘
๑. ในพจนานุกรมบาลี-อังกฤษ ฉบับสมาคมบาลีปกรณ (Pali Text
Society) วา วิคาหติ แปลวา หยั่งลง, เขาไป (to plunge into, to enter)๑ และ
พจนานุกรมบาลี-ไทยก็วา วิคาหติ ก. หยั่งลง๒
๒. ในอรรถกถา ทานอธิบายศัพทใกลเคียงกับ วิคาหติ ไว เทาที่พบ ๒
แหง คือ
๒.๑) วิคาหิยาติ อนุปวิสิตฺวา ฯ๓ วิคาหิย แปลวา เขาไป ฯ
๒.๒) วิคาหิสุนฺติ...ปกฺขนฺทึสุ ฯ๔ ÇÔ¤ÒËÔÊØ™ แปลวา แลนไป ฯ
ในขั้นนี้จึงยุติไดวา ขอใหนักเรียนแปล วิคาหติ วา เขาไป และขอ
ระงับคำแปลวา ไมเบียดเบียน นั้นไวกอนจนกวาจะพบขอมูลอางอิง
วิเนยฺย (มงฺคล. ๒/๒๓/๑๙)
วิเนยฺย [วิ+นี+ตูนาทิ] ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๒๓ หนา ๑๙
เปนกิริยากิตก แปลวา นำออกแลว
วิเนยฺย ประกอบดวย วิ บทหนา นี ธาตุในความนำไป (นี นย-
ปาปุเณ)๕ แปลง อี เปน เอ แปลง ตูนาทิ ปจจัย เปน ย ซอน ย๖
๑ T. W. Rhys Davids and William Stede, The Pali text Society Pali-
English Dictionary, (London: The Pali Text Society, 2004) p. 615.
๒ พระอุดรคณาธิการ (ชวินทร สระคำ), ศ.พิเศษ ดร.จำลอง สารพัดนึก,
พจนานุกรม บาลี-ไทย สำหรับนักศึกษา ฉบับปรับปรุงใหม, พิมพครั้งที่ ๖, (กรุงเทพฯ:
บริษัท ธรรมสาร จำกัด, ๒๕๕๒), หนา ๔๑๘.
๓ สํ.อ. ๑/๓๖๑.
๔ ชา.อ. ๘/๒๘๖.
๕ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๒๑๕ หนา ๒๒๕.
๖ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรมกิริยากิตตฉบับธรรมเจดีย, (กรุงเทพฯ: เรือง-
ปญญา, ม.ป.ป.), หนา ๓๑๑.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๙
ทีฆรตฺตํ (เชน มงฺคล. ๒/๒๓/๑๙)
นักเรียนสงสัยวา ทำไมทานใชศัพทวา ทีฆรตฺตํ ไมใช ทีฆรตฺตึ, ผูเขียนนี้
จึงตอบวา ที่ทานใชศัพทวา ทีฆรตฺตํ เพราะมีหลักการดังตอไปนี้
รตฺติ ศัพท เมื่อนำไปสมาสกับศัพทอื่นที่บอกจำนวนหรือบอก
ระยะเวลา เชน ทีฆ, อโห, วสฺส ใหลง อ ปจจัยที่สุดสมาสนั้น๑ รตฺติ จึง
กลายเปน รตฺต เชน ทีฆรตฺต
ในที่นี้ประกอบ อํ ทุติยาวิภัตติ จึงไดรูปเปน ทีฆรตฺตํ (ตลอดคืน
ยาวนาน), คำวา อโหรตฺตํ ก็พึงทราบดวยหลักการเดียวกันนี้, (อห เปน
มโนคณะ เมื่อสมาสเขาแลว ลบวิภัตติ เอาสระที่สุดของตนเปน โอ)๒
สหพฺเยติ (มงฺคล.๒/๒๖/๒๑)
สหพฺเยติ=ยอมเปนไป, [สห+พฺเย ปวตฺติยํ+เอ+ติ], เชนวา สหพฺเยติ
คจฺฉตีติ สหพฺโย ปรากฏในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๒๖ หนา ๒๑
สหพฺเยติ แปลวา ยอมเปนไป ประกอบดวย สห บทหนา พฺเย ธาตุใน
ความเปนไป (ปวตฺติยํ) หมวด ภู ธาตุ เอ ปจจัยในกัตตุวาจก ติ วัตตมานา-
วิภัตติ๓
อาณาเปสิ (เชน มงฺคล. ๒/๓๒/๒๘)
อาจารยในปจจุบันนิยมใหนักเรียนแปล อาณาเปสิ ที่เปนกัตตุวาจก
วา สั่งบังคับแลว เพราะถือตามเฉลยขอสอบ วิชา สัมพันธไทย พ.ศ. ๒๕๔๐
๑ โมคฺ. สูตร ๓.๔๕.
๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๓๗๕ หนา ๒๖๘.
๓ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๒๖๒, หนา ๒๘๐ ; และดูใน พระอัครวังสเถระ
รจนา พระธรรมโมลี ตรวจชำระ, สัททนีติธาตุมาลา, (นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง-
กรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๖), หนา ๓๗๕.
มังคลัตถวิภาวินี
๑๐
ตรวจแกโดยกองบาลีสนามหลวง, แตถึงอยางไรก็ตาม มีอาจารยอธิบาย
อาณาเปสิ ที่เปนกัตตุวาจกไวอยางนอย ๒ นัย ไดแก
๑. อาณาเปสิ อาณ ธาตุ ในความใช-สั่งบังคับ (เปสเน)+ณาเป ปจจัย
ในกัตตุวาจก (นอกแบบ)+อี อัชชัตตนีวิภัตติ ลง ส อาคม รัสสะ อี เปน อิ๑
๒. อาณาเปสิ อา บทหนา+ณาป ธาตุในความใช (เปสเน)+เณ ปจจัย
ในหมวด จุร ธาตุ+อี อัชชัตตนีวิภัตติ ลง ส อาคม รัสสะ อี เปน อิ๒
ปิติปิตามหาทีหิ(มงฺคล.๒/๓๘/๓๕)
ปติปตามหาทีหิ [ปตุ+ปตามห+อาทิ+หิ ตติยาวิภัตติ] แปลวา (อัน
ญาติทั้งหลาย) มีบิดาและปูเปนตน, ปติ ในที่นี้ไมไดแปลวา ปติ แตแปลวา
บิดา ศัพทเดิมก็คือ ปตุ นั่นเอง แตเอาสระ อุ ที่ปตุ เปน อิ
วิ. ปตุ ปตา ปตามโห
บิดาของบิดา ชื่อวา ปตามหะ (ปู)
ลง อามห ปจจัยในตัทธิต๓
วิ. ปตา จ ปตามโห จ ปติปตามหา
บิดาดวย ปูดวย ชื่อวา ปติปตามหะ (เอา อุ ที่ ปตุ เปน อิ)
เปน อสมาหารทวันทวสมาส
วิ. »ÔµÔ»ÔµÒÁËÒ ÍÒ·â àÂÊí ൠ»ÔµÒÁËÒÍҷ⠐ҵ¡Ò
บิดาและปู เปนตน แหงญาติเหลาใด
ญาติเหลานั้นจึงชื่อวา มีบิดาและปูเปนตน
เปน ฉัฏฐีพหุพพิหิสมาส
๑ บุญสืบ อินสาร, พจนานุกรมบาลี-ไทย ธรรมบทภาค ๑-๔, ๒๕๕๕, หนา ๑๒๙.
๒ นิรุตติทีปนี, หนา ๕๔๘, อางถึงใน พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และคณะ, วิชา
สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๕ ฉบับแกไข/ปรับปรุง, (กรุงเทพฯ: ประยูรสาสนไทย
การพิมพ, ๒๕๕๒), หนา ๗.
๓ โมคฺ. สูตร ๔.๓๘.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๑
จุดที่ควรทำความเขาใจเปนพิเศษ อยูที่ ปติ เพราะมีหลักการวา สระ
ที่สุดแหง มาตุ ศัพทเปนตน เปน อิ ได เมื่อ โต หรือ ภร ศัพท เปนตน
อยูหลัง๑ เชน มาติโต, ปติโต, ธีติโต, มาตาเปตฺติภโร, มาติปกฺโข เปนตน
คำวา ปติมตฺตํ, มาติมตฺตํ, ภาติมตฺตํ ในขอ ๖๑ หนา ๕๕ ก็พึงทราบ
วา แปลง อุ เปน อิ โดยนัยนี้เหมือนกัน
อภิญฺเยฺยา, ปริญฺเญยฺยา (มงฺคล.๒/๔๑/๓๖)
นักเรียนเห็น ÍÀÔ­ÚàÂÚÂÒ, »ÃÔ­ÚàÂÚÂÒ ในขอวา ÍÔàÁ ¸ÁÚÁÒ
ÍÀԐÚàÂÚÂÒ ÍÔàÁ »ÃԐÚàÂÚÂÒ [ธรรมเหลานี้พึงรูยิ่ง ธรรมเหลานี้พึง
กำหนดรู] ก็เขาใจผิดคิดวา ลง อนีย ปจจัย เพราะทานใชเสมือนเปนกิริยา
คุมพากย
ความจริง สองศัพทนี้ ลง ณฺย ปจจัยในนามกิตก ใชเสมือนกิริยากิตก
เชน เต จ ภิกฺขู คารยฺหา๒
ÍÀÔ­ÚàÂÚÂÒ [ÍÀÔ+Ò+³ÚÂ+âÂ] (¸ÁÚÁÒ) ธรรมอันบุคคลพึงรูยิ่ง,
วิเคราะหวา ÍÀԭڐҵ¾Ú¾ÒµÔ ÍÀÔ­ÚàÂÚÂÒ (ธมฺมา) [ธรรมเหลาใด อัน
บุคคลพึงรูยิ่ง เหตุนั้นธรรมเหลานั้น จึงชื่อวา ธรรมอันบุคคลพึงรูยิ่ง] อภิ
บทหนา Ò ธาตุในความรู แปลง ณฺย กับ อา ที่สุดธาตุ เปน เอยฺย๓ ซอน
ฺ (ณฺย ปจจัยในนามกิตก เปนกัมมรูป กัมมสาธนะ)
»ÃÔ­ÚàÂÚÂÒ [»ÃÔ+Ò+³ÚÂ+âÂ] (ธมฺมา) ธรรมอันบุคคลพึงกำหนดรู,
วิเคราะหและทำตัวเหมือน ÍÀÔ­ÚàÂÚÂÒ แปลกแต ปริ บทหนา
๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๔๒๗ หนา ๒๙๙.
๒ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, บาลีไวยากรณ วจีวิภาค ภาคที่
๒ อาขยาตและกิตก, (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๒), หนา ๑๙๗.
๓ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๑๒๙ หนา ๑๐๓๙.
มังคลัตถวิภาวินี
๑๒
อานิสํโส มหา(มงฺคล.๒/๔๓/๓๘)
มหา ในที่นี้ใชเปนคุณนาม, มหา ศัพทเดิมเปน มหนฺต ตามมติที่ทาน
แสดงไวในคัมภีรสัททนีติปทมาลา ทานอาศัยตัวอยางจากพระบาลี จึงแจก
มหนฺต ศัพทไดรูปเปน มหา ครบทั้ง ๓ ลิงค๑, ดู อตีวมหา
เจตสา มนสา (มงฺคล.๒/๔๘/๔๒)
นาศึกษาวา เจตสา และ มนสา ใชตางกันอยางไร เพราะในที่บาง
แหงทานใชทั้ง เจตสา และ มนสา จึงสันนิษฐานวาใชตางกันแน เพราะถาทั้ง
๒ บทใชไดเหมือนกันทุกกรณี ทานก็คงไมจำเปนตองเรียงไวใกลกัน ๒ บท
เชน ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๔๘ หนา ๔๒ ซึ่งทานนำขอความมาจาก
ปญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย๒ วา
ปุน จปรํ ภิกฺขเว ภิกฺขู ยถาสุตํ ยถาปริยตฺตํ ธมฺมํ น เจตสา
อนุวิตกฺเกนฺติ อนุวิจาเรนฺติ มนสา อนุเปกฺขนฺติ...๓
[ภิกษุทั้งหลาย ขออื่นยังมีอยูอีก ภิกษุทั้งหลาย ไมตรึกตรองไมพิจารณา
ธรรมตามที่ไดฟงไดเรียนมาดวยใจ ไมเพงดวยใจ...]
นาสังเกตวา ถา เจตสา และ มนสา ใชแทนกันไดในทุกกรณี ในที่นี้
พระองคคงจะไมตรัส มนสา ไวอีก เพราะพิจารณาในแงสัมพันธ เจตสา ก็
สามารถสัมพันธเขากับ อนุวิตกฺเกนฺติ อนุวิจาเรนฺติ อนุเปกฺขนฺติ ไดเลย
แตในที่นี้ เจตสา เปนกรณะใน อนุวิตกฺเกนฺติ และ อนุวิจาเรนฺติ สวน
มนสา เปนกรณะเปน อนุเปกฺขนฺติ
ถาพิจารณาในแงรากศัพท ทั้งสองตางกันแนนอน อยางที่เห็นปรากฏ
ชัดแลว แตทั้งสองศัพทเหมือนกันก็ตรงที่เปนมโนคณะ
๑ สัททนีติปทมาลา, หนา ๕๘๗-๕๘๘.
๒ องฺ.ปฺจก. ๒๒/๑๕๕/๑๙๘.
๓ นี้พิมพตามที่ปรากฏในมังคลัตถทีปนี สวนในพระไตรปฎก ว่า มนสานุเปกฺขนฺติ
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๓
ในระหวางที่รอผูรูชี้แนะ ผูเขียนนี้ไดคนควาแลว พบวา ในกรณีที่ทาน
ใชศัพทในความหมายวา เพงพินิจ (คือที่ประกอบดวย อิกฺข ธาตุ) มักจะใชคู
กับ มนสา ไมใช เจตสา เชน มนสา อนุเปกฺขนฺติ หรือ มนสานุเปกฺขนฺติ๑,
มนสานุเปกฺขิตา๒ และ มนสา นั้นอรรถกถาก็แกเปน จิตฺเตน เชน
มนสานุเปกฺขิตาติ จิตฺเตน อนุเปกฺขิตา [บทวา มนสานุเปกฺขิตา
ความวา พิจารณาดวยจิต]๓ ไมพบวาทานใช เจตสา อนุเปกฺขติ
แตในที่ทั่วไป ที่ไมใช อิกฺข ธาตุ ทานใช มนสา และ เจตสา เปน
คำอธิบายของกันและกัน เชน
มนสา ทฬฺเหนาติ ทฬฺเหน มนสา ถิรสมาธิยุตฺเตน เจตสาติ อตฺโถ๔
มนสาติ อนุทฺธเตน เจตสา๕
จากขอมูลที่นำมาแสดงนี้ สรุปไดวา ทานนิยมใช มนสา แตไมนิยมใช
เจตสา ในที่ประกอบดวย อิกฺข ธาตุ แตในที่อื่นทั้ง เจตสา และ มนสา เปน
คำอธิบายของกันและกัน
ยตสฺสา วิมุตฺตายตนภาโว (มงฺคล. ๒/๕๒/๔๕)
ยตสฺสา [ยโต อสฺสา]; นักเรียนสงสัยวาทำไมทานแปล ยตสฺสา วา
เพราะ, จึงไดคนควาแลวบันทึกไวดังนี้
ในหนังสือหนังสือมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๕๒ หนา ๔๕ ปรากฏ
ขอความวา
๑ องฺ.ปฺจก. ๒๒/๑๕๕/๑๙๘.
๒ ม.มู. ๑๒/๓๗๐/๓๙๖; ม.อ. ๒/๔๑๙.
๓ ม.อ. ๒/๔๑๙.
๔ ขุทฺทก.อ. ๑/๒๔๕.
๕ องฺ.อ. ๒/๓๑๐.
มังคลัตถวิภาวินี
๑๔
อยฺหีติอาทิ ตสฺส เทสนาย ตาทิสสฺส ปุคฺคลสฺส ยถาวุตฺตสมาธิปฺปฏิ-
ลาภสฺส การณภาววิภาวนํ ยตสฺสา วิมุตฺตายตนภาโว ฯ
ขอความนี้ทานนำมาจากฎีกาวิมุตติสูตร จึงควรตามไปดูคัมภีรฎีกาที่
ทานอางวาตรงกันหรือแตกตางกันอยางไร
หลังจากไปคนดูฎีกาวิมุตติสูตร ฉบับที่ มจร. พิมพใชกันในปจจุบัน
พบวาขอความแตกตางกับที่ปรากฏในมังคลัตถทีปนี ขอความในฎีกาวา
อยํ หีติอาทิ ตสฺสํ เทสนายํ ตาทิสสฺส ปุคฺคลสฺส ยถาวุตฺตสมาธิปฏิ-
ลาภสฺส การณภาววิภาวนํ ยํ ตถา วิมุตฺตายตนภาโว ฯ๑
นาสังเกตวา ขอความในมังคลัตถทีปนีกับในฎีกาวิมุตติสูตรฉบับ มจร.
ที่ทานอางถึง ไมตรงกัน อยางนอย ๒ แหง คือ
๑. มังคลัตถทีปนีวา ตสฺส เทสนาย/ ฎีกาวา ตสฺสํ เทสนายํ
๒. มังคลัตถทีปนีวา ยตสฺสา/ ฎีกาวา ยํ ตถา
แตในหลักสูตรบาลีสนามหลวงทานมุงใหนักเรียนแปลเฉพาะใน
หนังสือเรียน จึงมุงไปที่ขอความในหนังสือเรียนนั้นเลย โดยไมตองกังวล
ขอความในฎีกา, ขอนำขอความในมังคลัตถทีปนีดังกลาว มาแสดงซ้ำอีก
และทานแปลวา
อยฺหีติอาทิ ตสฺส เทสนาย ตาทิสสฺส ปุคฺคลสฺส ยถาวุตฺตสมาธิปฺปฏิ-
ลาภสฺส การณภาววิภาวนํ ยตสฺสา วิมุตฺตายตนภาโว ฯ
[คำวา อยฺหิ ดังนี้เปนตน เปนเครื่องประกาศความที่เทศนาของภิกษุ
นั้นเปนเหตุใหบุคคลเชนนั้นไดสมาธิตามที่กลาวแลว เพราะเทศนานั้นเปน
เหตุแหงวิมุติ]
๑ องฺ.ฏี. ๓/๑๓ (สารตฺถมฺชุสา); พระสูตรนี้มาใน ปาฎิกวรรค ทีฆนิกาย อีกแหง;
ฎีกาทีฆนิกาย (ที.ฏี.๓/๓๑๖) นั้นวา อยฺหีติอาทิ ตสฺสา เทสนาย ตาทิสสฺส ปุคฺคลสฺส
ยถาวุตฺตสมาธิ ปฏิลาภสฺส การณภาววิภาวนํ. ตสฺส วิมุตฺตายตนภาโว.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๕
ยตสฺสา ทานแปลวา เพราะ (เทศนานั้น), ผูเขียนนี้ ไดคนควาแลว
สันนิษฐานวา ยตสฺสา มีความหมายเทากับคำวา ยโต อสฺสา, ที่สันนิษฐาน
เชนนี้ เพราะขอความลักษณะเดียวกันทานแสดงไวในอรรถกถาวินัย คือ
คัมภีรสมันตปาสาทิกา ภาคที่ ๒ หนา ๒๐๕ วา
ยตสฺส จีวรเจตาปนํ อาภฏนฺติ ยโต ราชโต วา ราชโภคฺคโต วา
อสฺส ภิกฺขุโน จีวรเจตาปนํ อานีตํ ฯ
[ขอวา ยตสฺส จีวรเจตาปนํ อาภฏํ มีความวา ทรัพยสำหรับจายจีวร
ที่เขานำมาเพื่อภิกษุนั้น จากพระราชา หรือจากราชอำมาตยใด]
พึงสังเกตวา ทานอธิบาย ยตสฺส เปน ยโต อสฺส ฉะนั้น ในอรรถโยชนา
วินัย ภาคที่ ๑ หนา ๕๔๗ ทานจึงอธิบายไววา
ยตสฺสาติ ยโต อสฺส ฯ ปฺจมฺยตฺเถ โตปจฺจโยติ อาจริยา กเถนฺติ ฯ๑
[คำวา ยตสฺส ตัดบทเปน ยโต อสฺส ฯ อาจารยทั้งหลายบอกวา ลง โต ปจจัย
ในอรรถปญจมีวิภัตติ]
สอดคลองกับคัมภีรอภิธานวรรณนา คาถาที่ ๑๑๔๕ วา ยโต เปน
นิบาต ใชในอรรถการณะ๒
ขอสันนิษฐานที่วา ยตสฺสา ตัดบทเปน ยโต อสฺสา จึงไมผิดแน และ
ยโต ลงในอรรถปญจมีวิภัตติ คือลงในอรรถเหตุ หรือ การณะ เมื่อแปลลม
มาที่ประโยค ย จึงแปล ยโต วา เพราะ (ลม ย-ต จึงไมแปลวา ใด-นั้น)
ฉะนั้น จึงแนใจวา คำวา ยตสฺสา วิมุตฺตายตนภาโว มีรูปประโยคเปน
ยโต (คือ ยสฺมา) อสฺสา เทสนาย วิมุตฺตายตนภาโว แปลวา “เพราะเทศนา
นั้นเปนเหตุแหงวิมุติ” ผูศึกษาพึงพิจารณาดูเถิด
๑ วินย.อ. ๒/๒๐๕; วินย. โย. ๑/๕๔๗.
๒ พระมหาสมปอง มุทิโต, อภิธานวรรณนา, พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ: บริษัท
ประยูรวงศพริ้นทติ้ง, ๒๕๔๗), หนา ๑๐๗๐.
มังคลัตถวิภาวินี
๑๖
ธมฺมจริยากถา
-๐-
ติวิธํ : วิภัตติและวจนะวิปลาส (มงฺคล. ๒/๕๕/๔๖)
ในขอความวา µÔÇÔ¸™ ⢠¤Ë»µâ ¡Ò๠¸ÁÚÁ¨ÃÔÂÊÁ¨ÃÔÂÒ â˵Ô
[ดูกอนพราหมณและคฤหบดีทั้งหลาย ธรรมจริยสมจริยาทางกายมี ๓ อยาง]
ทานอธิบายไวในขอ ๗๐ หนา ๖๑ วา ติวิธํ ศัพทนี้ มีวิภัตติและวจนะ
วิปลาส เปนปฐมาวิภัตติ เอกวจนะ แตวาโดยความหมาย เปนตติยาวิภัตติ
พหุวจนะ และ วิธ ใชในอรรถวา สวน จึงแปลวา มี ๓ อยาง (๓ สวน)
วิธ ศัพท มีความหมาย ๓ อยาง ไดแก มานะ ความถือตัว ปการะ
ประการหรือรูปพรรณสัณฐาน และ โกฏฐาสะ สวน๑
เถยฺยสงฺขาตํ ใช้ในอรรถกรณะ (มงฺคล.๒/๕๕/๔๗)
เถยฺยสงฺขาตํ เปนปฐมาวิภัตติ ใชในอรรถตติยาวิภัตติ แปลวา “ดวย
สวนจิตคิดขโมย” หรือ “ดวยสวนจิตเปนเหตุขโมย”
ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๕๕ หนา ๔๗ ทานนำขอความใน
สาเลยยกสูตรมาแสดงวา
Â¹Úµí »ÃÊÚÊ »ÃÇÔµÚµÙ»¡Ã³í ¤ÒÁ¤µí ÇÒ Ííڐ¤µí ÇÒ ¹ µí
Í·Ô¹Ú¹í à¶ÂÚÂʧڢҵí ÍÒ·ÒµÒ â˵Ô๒
[ทรัพยเปนอุปกรณเครื่องปลื้มใจของบุคคลอื่นนั้นใด ที่อยูในบานหรือ
ในปา ยอมเปนผูไมถือเอาทรัพยนั้นที่เขาไมใหแลว ดวยสวนจิตคิดขโมย
(หรือดวยสวนจิตเปนเหตุขโมย)]
นักศึกษาพึงดูคำอธิบาย ที่พระอรรถกถาจารยอธิบายไว ในหนังสือ
มังคลัตถทีปนีนี้ ขอ ๕๘ หนา ๕๑ วา
๑ อภิธานวรรณนา, คาถา ๘๔๖ หนา ๙๙๓.
๒ ม.มู. ๑๒/๔๘๔/๕๑๙.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๗
กรณตฺเถ เจตํ ปจฺจตฺตวจนํ ตสฺมา เถยฺยสงฺขาเตนาติ อตฺถโต
·¯Ú€¾Ú¾í [คำวา เถยฺยสงฺขาตํ นั่น เปนปฐมาวิภัตติ ใชในอรรถกรณะ ฉะนั้น
โดยใจความ นักศึกษาพึงเห็นวา ดวยสวนจิตเปนเหตุขโมย]
สงฺขาต ศัพทในที่นี้ มีความหมายเทากับคำวา ⡯ڀÒÊ จึงแปลวา
“สวน” ไมควรแปลวา “กลาวคือ”
ฉะนั้น จึงตองแปล เถยฺยสงฺขาตํ วา ดวยสวนจิตเปนเหตุขโมย ไมควร
แปลวา กลาวคือความเปนขโมย
โปรี (มงฺคล. ๒/๕๕/๔๘)
โปรี ทานวิเคราะหไวในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๖๑ หนา ๕๕ วา
¤Ø³»ÃԻسڳµÒ »Øàà ÀÇÒµÔ â»ÃÕ Ï »Øàà ʙDZڲ¹ÒÃÕ ÇÔÂ ÊØ¡ØÁÒÃÒµÔ»Ô
â»ÃÕ Ï »ØÃÊÚÊ àÍÊÒµÔ»Ô â»ÃÕ ฯ๑
โปรี ลง อี ปจจัย (ในตัทธิต) หลัง ปุร ศัพท แทนเนื้อความวา เปนอยู
มีอยูในที่นั้น เปนตน๒
ยิฏํ : ต ปัจจัยใช้เป็นนามนาม (มงฺคล. ๒/๕๕/๔๘)
ÂÔ¯Ú€í [ยชฺ+ต+สิ] การบูชา, วัตถุอันเขาบูชาแลว (เอา ชฺ กับ ต เปน
, อ ที่ ย เปน อิ)๓ ต ปจจัยในที่นี้ใชเปนภาวสาธนะ เปนนามนาม
จึงแปลวา การบูชา เชน คมนํ คตํ การไป
แมคำวา หุตํ-การบวงสรวง (หุ ธาตุในการเซนไหว) ก็พึงทราบวา ลง
ต ปจจัยใชเปนภาวสาธนะ (มงฺคล.๒/๕๕/๔๘)
๑ ที.อ. ๑/๑๑๘.
๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๗๘๔ หนา ๗๘๑.
๓ กจฺจายน. สูตร ๕๗๓, ๖๑๐, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๑๗๖, ๑๒๑๕.
มังคลัตถวิภาวินี
๑๘
อภิญฺา สจฺฉิกตฺวา: วัณณสนธิ (มงฺคล.๒/๕๕/๔๘)
ÍÀÔ­ÚÒ ในขอวา ÊÂí ÍÀÔ­ÚÒ Ê¨Ú©Ô¡µÚÇÒ »àÇà·¹ÚµÔ เปน
ตติยาวิภัตติ แปลวา ดวยปญญาอันยิ่ง, ลบ ย ที่ ÍÀԭڐÒ ดังที่ทานแสดง
ไวในสัททนีติสุตตมาลา วา ในพระบาลีมีการลบอักษรและเปลี่ยนอักษรไป
จากเดิม เพื่อใหออกเสียงไดงาย๑
ในหนังสือมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๕๕ หนา ๔๘ ทานนำขอความ
ในสาเลยยกสูตรมาแสดงวา
อตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมาปฏิปนฺนา เย
อิมฺจ โลกํ ปรฺจ โลกํ สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺติ๒
[สมณพราหมณผูดำเนินไปดีแลว ผูปฏิบัติชอบ ผูประกาศ
ทำใหแจงซึ่งโลกนี้และโลกหนาดวยปญญาอันยิ่งเองมีอยูในโลก]
คำวา ÍÀÔ­ÚÒ ในที่นี้ใชในอรรถตติยาวิภัตติ นักศึกษาควรดูขอความ
ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๖๖ ในที่นั้น ทานแก ÍÀÔ­ÚÒ วา »­ÚÒÂ
ดังขอความวา
สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวาติ เย อิมฺจ โลกํ ปรฺจ โลกํ
อภิวิสิาย ปฺาย สพฺพํ ปจฺจกฺขํ กตฺวา ปเวเทนฺติ เต นตฺถิ
สวนในอรรถกถาวินัยทานอธิบายขอความนี้ไวชัดเจนทีเดียววา
สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทตีติ เอตฺถ ปน...อภิฺาติ
อภิฺาย อธิเกน าเณน ตฺวาติ อตฺโถ ฯ๓
[สวนในขอวา สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติ นี้มีวินิจฉัยวา
...คำวาอภิฺา ความวา รูดวยปญญาอันยิ่ง คือ ดวยญาณอันยิ่ง]
๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๖๐ หนา ๑๓๕.
๒ ม.มู. ๑๒/๔๘๔/๕๒๐.
๓ วินย.อ. ๑/๑๓๔.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๙
ฉะนั้น อภิฺา ในที่นี้ นักเรียนควรแปลวา “ดวยปญญาอันยิ่ง”
เพราะ อภิฺา ใชในอรรถแหงตติยาวิภัตติ โดยมีความหมายเทากับคำวา
อภิฺาย ปฺาย และ าเณน
นักเรียนพึงทราบวา การลบหรือเปลี่ยนอักษรในบทหนาโดยไมเชื่อม
บทหนาใหเปนบทเดียวกับบทหลัง เรียกวา วัณณสนธิ เชน
สาธุ ทสฺสนํ - สาหุ ทสฺสนํ
โส สีลวา - ส สีลวา
ปฏิสงฺขาย โยนิโส - ปฏิสงฺขา โยนิโส
อสฺสวนตาย ธมฺมสฺส - อสฺสวนตา ธมฺมสฺส๑
ปจฺจตฺตวจนํ : ชื่อพิเศษของวิภัตติทั้ง ๗ (มงฺคล.๒/๕๘/๕๑)
ปจฺจตฺตวจนํ เปนศัพทเรียก ปฐมาวิภัตติ, ในคัมภีรทั้งหลายทานมี
ศัพทเรียกวิภัตติ ครบทั้ง ๗ (รวมอาลปนะดวยเปน ๘) ดังนี้
๑. ปจฺจตฺตวจนํ = ปฐมาวิภัตติ
๒. อุปโยควจนํ = ทุติยาวิภัตติ
๓. กรณวจนํ = ตติยาวิภัตติ
๔. สมฺปทานวจนํ = จตุตถีวิภัตติ
๕. นิสฺสกฺกวจนํ = ปญจมีวิภัตติ
๖. สามิวจนํ = ฉัฏฐีวิภัตติ
๗. ภุมฺมวจนํ = สัตตมีวิภัตติ๒
ชื่อวิภัตติชุด ปฐมาวิภัตติ เปนตนนี้ นิยมใชในไวยากรณสันสกฤต แต
ในคัมภีรฝายพุทธศาสนา เชน อรรถกถา นิยมใชชุด ปจฺจตฺตวจนํ เปนตน๓
๑ พระคันธสาราภิวงศ เรียบเรียง, พระธรรมโมลี และเวทย บรรณกรกุล ชำระ,
สังวรรณนามัญชรี และ สังวรรณนานิยาม, นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช-
วิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๕, หนา ๗.
๒ สังวรรณนามัญชรี และ สังวรรณนานิยาม, หนา ๓๗.
๓ ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑, หนา ๑๑๔๑.
มังคลัตถวิภาวินี
๒๐
ในการกกัณฑ แหง ปทรูปสิทฺธิ สูตรที่ ๓๒๙ ทานวา
ปจฺจตฺตมุปโยคฺจ กรณํ สมฺปทานิยํ
นิสฺสกฺกํ สามิวจนํ ภุมฺมาลปนมมนฺติ ฯ๑
ศัพทเหลานี้ ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ก็มีใช เชน (ขอ/หนา)
ปจฺจตฺตวจนํ (๕๘/๕๑; ๓๖๕/๒๗๘)
อุปโยควจนํ (๓๖๕/๒๗๘; ๖๑๙/๔๗๔; ๖๒๐/๔๗๔)
กรณวจนํ (๗๐/๖๒; ๓๖๕/๒๗๘; ๖๑๙/๔๗๔ ฯลฯ)
สามิวจนํ (๗๒/๖๕)
ภุมฺมวจนํ (๕๘๙/๔๕๔)
อิตฺถนฺนามํ (มงฺคล. ๒/๕๘/๕๒)
อิตฺถนฺนามํ [อิทํ+นาม+อํ ทุติยาวิภัตติ], นาม ศัพทอยูทาย แปลง อิทํ
ในสมาส เปน อิตฺถํ๒
สุกุมารา แปลวา อ่อนโยน(มงฺคล. ๒/๖๑/๕๕)
สุกุมารา ในขอวา ปุเร สํวฑฺฒนารี วิย สุกุมาราติปิ โปรี แหงหนังสือ
มังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๖๑ หนา ๕๕ เปนคุณนาม ไมใชนามนาม จึง
ควรแปล สุกุมารา วา ออนโยน, สละสลวย ไมควรแปลวา กุมารผูดี
ที่แนะใหแปลอยางนี้ เพราะในฎีกาจูฬหัตถิปโทปมสูตร เปนตน ทาน
อธิบายวา สุกุมาราติ อผรุสตาย มุทุกา ฯ [บทวา สุกุมารา อธิบายวา ชื่อวา
เปนวาจาออนโยน เพราะเปนวาจาไมหยาบ](ดู มงฺคล. ๒/๗๗/๖๗)
๑ พระพุทธัปปยเถระ แหงชมพูทวีปตอนใต รจนา, ปทรูปสิทฺธิ, (กรุงเทพฯ: ชมรม
นิรุตติศึกษา, ๒๕๔๓), สูตร ๓๒๙ หนา ๒๑๔.
๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๕๒๑ หนา ๓๖๘.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๒๑
ปุถุวจน= พหุวจนะ(มงฺคล. ๒/๗๐/๖๑, ๖๔)
ปุถุวจนํ ใหแปลวา พหุวจนะ เชน ในหนังสือเรียน ขอ ๗๐ หนา ๖๑
ในคำวา ͵Úâ¶ »¹ ¡Ã³»Ø¶ØÇ¨¹Çàʹ ·¯Ú€¾Úâ¾...ฯ [สวนเนื้อความบัณฑิต
พึงเห็นวาเปนตติยาวิภัตติ พหุวจนะ]
ภาวนปุสกนิทฺเทโส= กิริยาวิเสสนะ (มงฺคล. ๒/๗๐/๖๒)
ในหนังสือมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๗๐ หนา ๖๒ ทานวา
สมนฺติ ภาวนปุสกนิทฺเทโส
[ศัพทวา สมํ เปนศัพทแสดงภาวนปุงสกลิงค]
นักเรียนสงสัยวา ภาวนปุงสกลิงค หมายถึงอะไร, ผูเขียนนี้จึงได
คนควาและบันทึกไวดังนี้
คำวา ภาวนปุสก ใชในความหมายวา กิริยาวิเสสนะ ฉะนั้น วาโดย
ความหมายทางออมนักเรียนจะแปล ภาวนปุสก วา กิริยาวิเสสนะ ก็ได
ในคัมภีรฝายศาสนานิยมใชคำวา ภาวนปุสก สวนในคัมภีรไวยากรณ
สันสกฤต นิยมใชคำวา กิริยาวิเสสนะ๑ หรือ ธาตุวิเสสนะ๒
เมื่อจะประกอบนามศัพทใหเปนกิริยาวิเสสนะนั้น ตองลงทุติยาวิภัตติ
เอกวจนะ นปุงสกลิงค เชน ใน หนังสือเรียน ขอ ๕๖ และ ขอ ๗๐ วา
สมํ จริยา สมสฺส วา กมฺมสฺส จริยาติ สมจริยา
[ความประพฤติสม่ำเสมอ หรือความประพฤติกรรมอันชอบ เพราะ
เหตุนั้น จึงชื่อวา สมจริยา]
สมนฺติ ภาวนปุสกนิทฺเทโส
[ศัพทวา สมํ เปนศัพทแสดงภาวนปุงสกลิงค (คือ กิริยาวิเสสนะ)]
๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๕๙๐ หนา ๔๘๕.
๒ สทฺทสารตฺถชาลินี, คาถา ๗๑. พิมพรวมใน เอกตฺตึส จูฬสทฺทปฺปกรณานิ,
(กรุงเทพฯ: บริษัท ซีเอไอ เซ็นเตอร จำกัด, ๒๕๕๑), หนา ๗๔.
มังคลัตถวิภาวินี
๒๒
ชาต ศัพท์ เป็นต้น ใช้เป็น วจนสิลิฏก, สกตฺถ (มงฺคล. ๒/๗๔/๖๖)
ชาต ศัพท เปน วจนสิลิฏฐกะ คือลงไปเพื่อทำถอยคำใหไพเราะ จึงไม
จำเปนตองแปลออกศัพท เชน ในมังคลัตถทีปนี ภาค ๒ หนา ๖๖ วา
อามิสชาตํ ก็คงมีความหมายเทากับ คำวา อามิส เพราะศัพทนี้ลงทายศัพท
ใด ก็ไมทำความหมายของศัพทนั้นตางไป คือมีความหมายเทาเดิมนั่นเอง
(ลงในอรรถสกัตถะ)
ในคัมภีรนิรุตติทีปนี ทานเรียกวา อาคม๑ คือลงอักษรไปทายบท เพื่อ
ความสละสลวยของคำ (วจนสิลิก) ศัพท อักษร หรือปจจัยที่ทำหนาที่
ลักษณะนี้ เชน คต, ชาต, อนฺต, ก และ ตา๒ ปจจัย สวน ภูต นิยมลงทาย
บทเพื่อใหนามนามกลายเปนคุณนาม ทั้งหมดนี้เมื่อลงไปแลวทำใหลิงคของ
ศัพทนั้นเปลี่ยนไปบางก็มี เชน
คต ทิฏคตํ มีความหมายเทากับ ทิ
ชาต ธมฺมชาตํ ” ธมฺโม
อนฺต สุตฺตนฺโต ” สุตฺตํ
ก หีนโก ” หีโน
ตา เทวตา ” เทโว
ภูต เหตุภูตํ ” เหตุ
ตอไปนี้จะนำตัวอยางปจจัยที่ลงในอรรถสกัตถะ มาแสดงไวเปน
ความรูประกอบ
ตฺต เอกตฺตํ มีความหมายเทากับ เอโก๓
๑ พระญาณธชเถระ รจนา, สมควร ถวนนอก ปริวรรต, นิรุตติทีปนี คัมภีรวาดวย
หลักไวยากรณสายโมคคัลลานะ, (กรุงเทพฯ: ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๘), หนา ๔๔-๔๕,
และขอ ๑๘๔, ๘๓๕.
๒ เชน ปาตพฺยํ เอว ปาตพฺยตา สกตฺเถ ตาปจฺจโยฯ (วินย.โย. ๒/๒๐)
๓ ปฏิสํ.อ. ๑/๔๔๑.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๒๓
ณิก ติลสงฺกุลิกา มีความหมายเทากับ ติลสงฺกุลา๑
อิก อนนฺตรายิโก ” อนนฺตราโย๒
ณฺย กิจฺจยํ ” กิจฺจํ๓
ย ปาจิตฺติยํ ” ปาจิตฺติ๔
มย วจีมโย ” วจี๕
วิภาเวนฺติยา (มงฺคล. ๒/๗๙/๖๙)
คำวา วิภาเวนฺติยา ในที่นี้ ทานแปลวา (ดวยถอยคำ) อันจะยังผูฟงให
แจมแจง ประกอบดวย วิ บทหนา ภู ธาตุ เณ ปจจัย และ อนฺต ปจจัย
ภู ธาตุในที่นี้ ไมใช ภู ธาตุในหมวด ภู ธาตุที่แปลวา มี วาเปน แตเปน
ภู ธาตุในหมวด จุร ธาตุ แปลวา ประกาศ, ทำใหแจมแจง มีหลักทั่วไปวา ภู
ธาตุที่มี วิ เปนบทหนา ใชในอรรถวา ทำใหแจมแจง๖
เกวล ศัพท์ (มงฺคล. ๒/๘๑/๗๑)
นักเรียนคอนขางคุนเคยกับ เกวล ศัพท ที่ทานประกอบดวยทุติยา-
วิภัตติเปน เกวลํ ใชเปนกิริยาวิเสสนะ พอมาพบ เกวโล ในมังคลัตถทีปนี
ภาคที่ ๒ ขอ ๘๒ หนา ๗๑ ก็รูสึกแปลกตา, ที่จริง เกวล ศัพท เปนไดทั้ง
คุณนามและนามนาม แตในที่นี้ทานใชเปนคุณนาม
๑ วินย.โย. ๒/๓๗๕.
๒ วินย.โย. ๒/๓๙๓.
๓ วินย.โย. ๒/๔๑๗.
๔ วินย.โย. ๒/๕๘๗.
๕ ปฺจิกา.โย. ๓/๔๔๓.
๖ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๒๗๓ หนา ๒๙๕.
มังคลัตถวิภาวินี
๒๔
ในคัมภีรอภิธานวรรณนา คาถาที่ ๗๘๖ ทานวา เกวล ศัพทใชใน
อรรถ ๖ อยาง คือ (๑) เยภุยฺยตา มาก (๒) อัพยามิสสะ ไมปนกัน (๓) วิสัง-
โยคะ แยกกัน (๔) ทัฬหะ มั่นคง (๕) อนติเรกะ ไมเกินประมาณ (๖) อนวเสสะ
ทั้งหมด
เกวล ศัพท ที่เปนคุณนาม แจกดวยวิภัตตินามได จึงเห็น เกวล ศัพท
ในรูปตางๆ เชน เกวโล, เกวลํ, เกวเลน, เกวลสฺส, เกวลานํ
ตัวอยาง เกวล ศัพท ที่เปนคุณนาม เชน เกวโล อพฺยามิสฺโส สกโล
ปริปุณฺโณ ภิกฺขุธมฺโม กถิโต๑
ในตัวอยางดังกลาวนี้ เกวล ศัพทแปลวา ไมปนกัน, ทั้งหมด, บริบูรณ
สวนในคัมภีรอรรถโยชนา ชื่ออภิธัมมัตถวิภาวินีปญจิกา ที่นักเรียนมัก
เรียกวา โยชนาอภิธรรม ภาคที่ ๑ วา เกวล ประกอบดวย เกว ธาตุ (ชนเน)
และ อล ปจจัย๒
ขอนำขอความในโยชนาอภิธรรมดังกลาวนั้นมาเสนอตอผูรูใหรวมกัน
พิจารณาวา เกว ชนเน วชาทีหิ ปพฺพชาทโย๓ นิปจฺจนฺเตติ อโล แปลเทาที่
เห็นศัพทวา เกว ธาตุ ในความเกิด อล ปจจัย (โดยทำตามวิธีแหงกัจจายน-
สูตรที่ ๖๓๘ และปทรูปสิทธิ สูตรที่ ๖๖๐ วา) ศัพทวา ปพฺพชา เปนตน
ทานใหสำเร็จดวย วช ธาตุ เปนตน
สวน เกวล ศัพท ที่เปนนามนาม เปนชื่อหนึ่งของพระนิพพาน เปน
นปุงสกลิงค (ดู อภิธานวรรณนา คาถาที่ ๘) บางอาจารยอธิบายวา สํสาเรหิ
๑ สุตฺต.อ. ๒/๒๖๔.
๒ พระญาณกิตติเถระ แหงเชียงใหม, อภิธมฺมตฺถวิภาวินิยา ปฺจิกา นาม อตฺถ-
โยชนา, (พิมพครั้งที่ ๗, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑), หนา ๒๖๗.
๓ ในกัจจายนสูตรและปทรูปสิทธิ ที่อางถึง เปน ปพฺพชฺชาทโย (ซอน ชฺ)
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๒๕
อสมฺมิสฺสตาย วิสํโยคตาย จ เกวลํ๑ แปลวา นิพพาน ชื่อวา เกวล เพราะไม
ปนสังขารและพรากสังขาร
อโหปุริสิกา (มงฺคล. ๒/๘๑/๗๑)
อโหปุริสิกา มีปรากฏในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๘๑ หนา ๗๑
บางทานแปลวา ความโออวด บางทานแปลวา คำพูดของบุรุษผูอัศจรรย;
ศัพทนี้มีใชในคัมภีรรุนหลัง ตั้งแตชั้นฎีกาลงมา หาไมพบในพระไตรปฎกและ
อรรถกถา
ในคัมภีรสัททนีติ วา ปุริส ศัพท ที่มี อโห เปนบทหนา ลง ณิก ปจจัย
ใชในอรรถวาถือตัว (อโหปุริสโต ทปฺปเน ณิโก)๒
นักเรียนอาจคนดูศัพทนี้ไดที่คัมภีรปรมัตถมัญชุสา วิสุทธิมรรคมหา-
ฎีกา ภาค ๓ หนา ๒๗๐ ซึ่งเปนหนังสือประกอบการเรียน ป.ธ.๘๓
วาทสฺส ตัดบทเป็น วาโท+อสฺส, ภวสาโร (มงฺคล. ๒/๘๑/๗๑)
วาทสฺส ตัดบทเปน วาโท+อสฺส, พึงเทียบคำวา กุโต+เอตฺถ=กุเตตฺถ๔
สวนคำวา ภวสาโร แปลวา “การแลนไปสูภพ” อาจารยบอกตอๆ กันมาวา
หนังสือบางเลมแปลขอนี้คลาดเคลื่อน จึงแปลใหม ดังนี้
ตถา อตฺตโน วาทสฺส กสฺสจิ ภวสาโร เอว นตฺถิ ตตฺถ ตตฺเถว อุจฺฉิชฺชนโต
[วาทะของตนพึงเปนเชนนั้น, การแลนไปสูภพ ยอมไมมีแกใครๆ เลย
เพราะขาดสูญในฐานะนั้นๆ นั่นเอง]
๑ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ-ไทย, (กรุงเทพฯ สำนักเรียนวัดปากน้ำ,
๒๕๔๐), หนา ๒๐๙.
๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๒๗๙ หนา ๑๑๓๓.
๓ พระธัมมปาลเถระ แหงชมพูทวีป, ปรมตฺถมฺชุสา นาม วิสุทฺธิมคฺคสํวณฺณนา มหา-
ฎีกาสมฺมตา (ตติโย ภาโค), พิมพครั้งที่ ๖, (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘),
หนา ๒๗๐.
๔ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๓๐ หนา ๔๑.
มังคลัตถวิภาวินี
๒๖
โคพลิพัททนัย (มงฺคล.๒/๘๔/๗๒)
ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๘๔ หนา ๗๒ ทานกลาวถึงนัยอยาง
หนึ่งวา โคพลิพัททนัย ตอไปนี้จะนำคำอธิบาย โคพลิพัททนัย ที่พิมพรวม
ในหนังสือ เนตติหารัตถทีปนี ฉบับแปลโดยทาน พระธัมมานันทเถร
มาแสดง๑
โคพลีพทฺทนย คือ วิธีเหมือนวัวและวัวมีกำลัง หมายความวา วิธีที่
ศัพทหนาหมายเอาสิ่งที่นอกจากศัพทหลัง
คำวา โค แปลวา วัว เปนคำสามัญไมจำเพาะเจาะจงลงไปวาวัวชนิด
ไหน ดังนั้น จึงหมายถึงหลายๆ ชนิดได เชน วจฺฉ (ลูกวัว) ทมฺม (วัวหนุม)
พลีพทฺท (วัวมีกำลัง) ชรคฺคว (วัวแก) แตถามี พลีพทฺท อยูขางหลัง คำวา โค
นี้ก็หมายถึง วจฺฉ, ทมฺม และ ชรคฺคว เทานั้น ไมไดหมายถึง พลีพทฺท เพราะ
มี พลีพทฺท ศัพทอยูตอมา ฉันใด วิธีนี้ก็เปนฉันนั้นเหมือนกัน เพราะศัพทที่
อยูขางหนาหมายเอาสิ่งที่นอกจากศัพทที่อยูขางหลัง
อุทาหรณวา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปฺตฺโต๒ [พระธรรมและ
วินัยอันเราแสดงแลวบัญญัติแลว]
บทวา “ธมฺโม” เปน โคพลีพทฺทนย เพราะหมายเอาพระสูตรและ
อภิธรรม ไมไดหมายเอาพระวินัยเพราะมีบทวา วินโย ตอมา. อธิบายวา คำ
วา พระธรรม เปนคำสามัญหมายเอาพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม
ไมไดหมายเอาพระวินัยเพราะมีแสดงแลวเหมือนในศัพทวา โคพลีพทฺท ที่
โค ศัพทหมายถึงวัวตางๆ มี วจฺฉ เปนตน เวน พลีพทฺท
นักศึกษาควรศึกษานัยอื่นๆ อีก เชน เอกเสสนัย ปาริเสสนัย กิริยา-
ปธานนัย ทันตเฉทนนัย ทันตโสธนนัย เปนตน
๑ พระธัมมานันทเถร (แปล), เนตติหารัตถทีปนี อุปจาร และ นย, (กรุงเทพฯ:
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๓), หนา ๖๐.
๒ ที.ม. ๑๐/๑๔๑/๑๗๘.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๒๗
าตกสงฺคหกถา
-๐-
ปิตามโหลง อามห ปัจจัย (เชน มงฺคล. ๒/๙๐/๗๙)
ปตามโห [ปตุ+อามห ปจจัย+สิ ปฐมาวิภัตติ] แปลวา ปู, มีหลักวา
อามห ปจจัยในตัทธิต (นอกแบบ) ใชแทนมารดาบิดาของผูนั้น๑ เชน
มาตุ มาตา มาตามหี มารดาของมารดา ชื่อวา ยาย
มาตุ ปตา มาตามโห บิดาของมารดา ชื่อวา ตา
ปตุ มาตา ปตามหี มารดาของบิดา ชื่อวา ยา
ปตุ ปตา ปตามโห บิดาของบิดา ชื่อวา ปู๒
แมศัพทวา มาตามหเสิโน (ขอ ๓๓ หนา ๓๐), มาตามโห (ขอ ๙๑
หนา ๘๐), มาตามหสฺส (ขอ ๒๘๙ หนา ๒๑๙) ก็พึงทราบโดยหลักการ
เดียวกันนี้
ปิตา จ...เตสํ ยุโค ปิตามหยุโค (มงฺคล. ๒/๙๑/๗๙)
นักศึกษาพึงนำขอความในขอ ๙๐ มาเติมใหเต็ม ดังตอไปนี้
ปตา จ [มาตา จ ปตโร ปตูนํ ปตโร ปตามหา] เตสํ ยุโค ปตามหยุโค
ปุริสคฺคหณญฺเจตฺถ...สมตฺถิตํ โหติ (มงฺคล. ๒/๙๐/๘๐)
ขอความในหนา ๘๐ ทานละไว พึงนำขอความในหนา ๗๙ มาเติม
ปุริสคฺคหณฺเจตฺถ อุกฺกนิทฺเทสวเสน กตนฺติ ทพฺพํ ฯ เอวฺหิ
มาติโตติ ปาลิวจนํ สมตฺถิตํ โหติ
๑ โมคฺ. สูตร ๔.๓๘.
๒ สุภาพรรณ ณ บางชาง, รองศาสตราจารย, ดร., ไวยากรณบาลี, พิมพครั้งที่ ๒,
(กรุงเทพฯ: มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘), หนา ๔๖๑.
มังคลัตถวิภาวินี
๒๘
ปิตา จ...ปิตามหทฺวนฺทาติ (มงฺคล. ๒/๙๐/๘๐)
ในหนา ๘๐ ทานละขอความไว นำขอความในหนา ๗๙ มาเติมใหเต็ม
ปตา จ [มาตา จ ปตโร ปตูนํ ปตโร ปตามหา เตสํ ยุโค ปตามหยุโค ฯ
ตสฺมา ยาว สตฺตมา ปตามหยุคา] ปตามหทฺวนฺทาติ
โกเลยฺยกา (มงฺคล.๒/๙๔/๘๒)
โกเลยฺยกา ปรากฏในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๙๔ หนา ๘๒ ทาน
นำขอความใน กุกกุรชาดก มาเลาถึงสุนัขที่อยูในเขตพระราชฐาน จึงแปล
โกเลยฺยกา วา สุนัขที่อยูในวัง (วิเสสนะของ สุนขา)
โกเลยฺยก แปลตามศัพทวา ผูเกิดในตระกูล แปลใหเขากับเรื่องวา
สุนัขที่อยูในวัง ทานวิเคราะหวา กุเล ชาโต โกเลยฺยโก ฯ คัมภีรโมคคัลลานะ
วา ลง เณยฺยก ปจจัย (นอกแบบ) ในตัทธิต ใชแทนเนื้อความวา มีในที่นั้น๑,
สวนในพจนานุกรมมคธ-ไทย ทานวา ลง เณยฺย ปจจัย ในราคาทิตัทธิต และ
ก สกตฺถ๒
ทฺวิชสงฺฆา, ทิโช (มงฺคล.๒/๙๘/๘๗)
ทฺวิช-, ทิโช แปลตามศัพทวา เกิดสองครั้ง (ทฺวิกฺขตฺตุ ชาตตาย
ทิโช)๓ โดยนัยนี้ ทฺวิช, ทิช จึงหมายถึง -
นก (เกิดจากแมนกและเกิดจากฟอง)
ฟน (เกิดเปนฟนน้ำนมและฟนแท)
พราหมณ (เกิดจากพระพรหมและกำเนิดนางพราหมณี)
๑ โมคฺ. สูตร ๔.๒๕.
๒ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ-ไทย, ๒๕๔๐, หนา ๒๑๔.
๓ ชา.อ. ๕/๓๖.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๒๙
อนวชฺชกมฺมกถา
-๐-
อนสนสงฺขาโต อุปวาโส (มงฺคล. ๒/๑๐๖/๙๒)
อนสนสงฺขาโต [น+อส อทเน/โภชเน+ยุ+สงฺขาต+สิ] ในหนังสือ
มังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๑๐๖ หนา ๙๒ ทานแปลวา กลาวคือการไม
รับประทานอาหาร
อนสนสงฺขาโต ประกอบดวย น + อส ธาตุในความกิน + ยุ ปจจัย
แปลง ยุ เปน อน + สงฺขาต ศัพท + สิ ปฐมาวิภัตติ วิเคราะหวา
อสิยเต ภกฺขิยเตติ อสนํ [ภาวรูป ภาวสาธนะ]๑
น อสนํ อนสนํ [น บุพพบท กัมมธารยสมาส]
อนสนํ อิติ สงฺขาโต (อุปวาโส) [สัมภาวนบุพพบท กัมมธารยสมาส]
ปสนฺนมานโส (มงฺคล. ๒/๑๐๙/๙๓)
ปสนฺนมานโส มีรูปคลาย มนโส (ที่แปลง ส ทั้งสองเปน โอ แลวลง ส
อาคม เปน โส), ปสนฺนมานโส วิเคราะหวา
มนสิ ภวนฺติ มานสํ (ณ ปจจัยในตัทธิต ลง ส สกตฺเถ)๒ หรือ
มโน เอว มานสํ (ส สกตฺเถ)
ปสนฺนํ จ ตํ มานสํ จาติ ปสนฺนมานสํ
ปสนฺนมานสํ ยสฺส โส ปสนฺนมานโส
๑ กจฺจายน. สูตร ๖๔๑, สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๖๖๗, ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ,
คาถา ๑๖ หนา ๑๘.
๒ โมคฺ. สูตร ๔.๑๒๘.
มังคลัตถวิภาวินี
๓๐
มหาชนปทานํ: ชื่อแควน นิยมเปนพหุวจนะ (มงฺคล. ๒/๑๓๑/๑๐๕)
ในคาถา ๑๘๔ แหงคัมภีรอภิธานัปปทีปกา ทานวา ชื่อแควนหรือ
มหาชนบท ใหใชเปนปุงลิงคและพหุวจนะ๑ นักศึกษาพึงเห็นตัวอยางใน
มังคลัตถทีปนี ขอ ๑๓๑ หนา ๑๐๕ วา
เตนาห ภควา เสยฺยถาป วิสาเข โย อิเมส โสฬสนฺน มหาชนปทาน
ปหูตสตฺตรตนาน อิสฺสริยาธิปจฺจ รชฺช กาเรยฺย เสยฺยถีท องฺคาน มคธาน
กาสีน โกสลาน วชฺชีน มลฺลาน เจตีน วสาน กุรูน ปฺจาลาน มจฺฉาน
สุรเสนาน อสฺสกาน อวนฺตีน คนฺธาราน กมฺโพชาน องฺคสมนฺนาคตสฺส
อุโปสถสฺส เอต กล นาคฺฆติ โสฬสึ ฯ
[เพราะเหตุนั้น พระผูมีพระภาคจึงตรัสไววา วิสาขา ผูใดพึง
ครองราชยเปนอิสราธิบดีแหงมหาชนบท ๑๖ เหลานี้ ซึ่งมีรตนะ ๗ ประการ
มากมาย คือ อังคะ มคธะ กาสี โกศล วัชชี มัลละ เจตี วังสะ กุรุ
ปญจาละ มัจฉะ สุรเสนะ อัสสกะ อวันตี คันธาระ กัมโพชะ การครองราชย
ของผูนั้นนั่นยอมไมถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แหงอุโบสถซึ่งประกอบดวยองค ๘]
เมื่อตรวจดูคัมภีรพระไตรปฎก ก็ปรากฏเปนความจริงวา ชื่อแควน
ทานนิยมใชเปนปุงลิงคและพหุพจน (ที่เปนเอกพจนมีบาง ในคาถา) นำมา
เปนตัวอยางเพียงบางสวน ดังตอไปนี้
เตน โข ปน สมเยน มคเธสุ ปฺจ อาพาธา อุสฺสนฺนา โหนฺติ
กุ คณฺโฑ กิลาโส โสโส อปมาโร ฯ๒
[ก็สมัยนั้นแล ในมคธชนบทเกิดโรคระบาดขึ้น ๕ ชนิด คือ โรคเรื้อน
๑ พระคันธสาราภิวงศ เรียบเรียง, พระธรรมโมลี และเวทย บรรณกรกุล ชำระ,
สังวรรณนามัญชรี และ สังวรรณนานิยาม, (นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๕), หนา [๒๕]., ใน อภิธานัปปทีปกา คาถาที่
๑๘๔ วา ปุมฺพหุตฺเต กุรู สกฺกา... เปนตน
๒ วินย. ๔/๑๐๑/๑๔๘.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๓๑
โรคฝ โรคกลาก โรคมองครอ โรคลมบาหมู]
เอกํ สมยํ ภควา กุรูสุ วิหรติ กมฺมาสทมฺมํ นาม กุรูนํ นิคโม ฯ๑
[สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคประทับอยูในกุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ
ชื่อวา กัมมาสทัมมะ]
เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา ยโส กากณฺฑกปุตฺโต วชฺชีสุ
จาริกฺจรมาโน เยน เวสาลี ตทวสริ ฯ๒
[สมัยนั้น ทานพระยสกากัณฑกบุตร เที่ยวจาริกในวัชชีชนบทถึงพระ
นครเวสาลี]
เตน โข ปน สมเยน อฺตโร ภิกฺขุ กาสีสุ วสฺสํ วุตฺโถ สาวตฺถึ
คจฺฉนฺโต ภควนฺตํ ทสฺสนาย เยน กิฏาคิริ ตทวสริ ฯ๓
[ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาในแควนกาสี เดินทางไป
พระนครสาวัตถีเพื่อเฝาพระผูมีพระภาค ถึงชนบทกิฏาคีรีแลว]
นาสังเกตวา เมื่อทานออกชื่อแควน ถาไมมี ร ศัพทมาตอ ทานจะ
ใชเปนพหุวจนะ แตถามี ร ศัพทมาตอ ทานจะใชเปนเอกวจนะ เชน ใน
สมันตปาสาทิกา วา
มาคธิกนฺติ มคเธสุ ชาตํ ฯ มคธรเ ชาตํ ลสุณเมว หิ อิธ ลสุณนฺติ
อธิปฺเปตํ ฯ๔ [บทวา มาคธิกํ แปลวา เกิดแลวในแควนมคธ. จริงอยู เฉพาะ
กระเทียมที่เกิดในแควนมคธ ทานประสงคเอาวา ลสุณํ ในสิกขาบทนี้]
แตถึงอยางไรก็ตาม ชื่อแควนที่เปนเอกวจนะ ก็ปรากฏในหนังสือ
ไวยากรณที่เรียนกันมาวา มคเธ ชาโต มาคโธ [(ชน) เกิดแลวในแวนแควน
มคธ ชื่อมาคธะ], นักเรียนอาจวิเคราะหอีกแบบวา มคเธสุ ชาโต มาคโธ
๑ ที.ม. ๑๐/๒๗๓/๓๒๒.
๒ วินย. ๗/๖๓๑/๓๙๖.
๓ วินย. ๑/๖๑๕/๔๑๗.
๔ วินย.อ. ๒/๕๙๔.
มังคลัตถวิภาวินี
๓๒
เสยฺยถีทํ (มงฺคล. ๒/๑๓๑/๑๐๕)
เสยฺยถีทํ เปนนิบาต ในชั้นไวยากรณ แปลวา อยางไรนี้ แตในชั้น ป.ธ.
๕ นี้มุงแปลใหไดความ จึงควรแปลวา คือ, เสยฺยถีทํ เพราะเปนนิบาตจึงคง
รูปนี้ไว ใชไดกับทุกลิงค วจนะ และวิภัตติ๑
เรียนกันมาวา เสยฺยถีทํ ใชในกรณีจำแนกแสดงเนื้อความที่ยกขึ้นไว
เปนอยางๆ และเรียงไวหนาจำนวนบทที่แยกแยะออกไปนั้น๒
ทั้งนี้ ทานอธิบายไวในอรรถกถา วา เสยฺยถีทนฺติ อนิยมิตนิยม-
นิกฺขิตฺตอตฺถวิภาชนเ นิปาโต ฯ๓ เสยฺยถีทนฺติ อารทฺธปฺปการทสฺสนตฺเถ
นิปาโต ฯ๔ ในมังคลัตถทีปนี ภาค ๒ นี้ ปรากฏ เสยฺยถีทํ ๒ แหง คือในขอ
๑๓๑ และขอ ๕๐๖
กุ ในคำวา กุราชภาเวน (มงฺคล. ๒/๑๓๒/๑๐๗)
กุราชภาเวน ในขอวา อิสฺสริยาธิปจฺจนฺติ อิสฺสรภาเวน จ อธิปติภาเวน
จ น กุราชภาเวนฯ ฉบับ มมร. แปลวา โดยความเปนพระราชาชั้นต่ำ ฉบับ
พระมหาสมบูรณ ทสฺสธมฺโม แปลวา ดวยความเปนพระราชาผูชั่วราย
คำวา “ชั้นต่ำ” และ “ชั่วราย” เปนคำแปลของศัพทวา กุ ซึ่งในที่นี้
ทานใชในอรรถวา ปาป/กุจฺฉิต แปลตามศัพทวา (ความเปนพระราชา) ผู
อันบัณฑิตเกลียดแลว เมื่อเขาบทสมาส ลบเสียเหลือแต กุ ไดรูปเปน
กุราชา พึงเทียบกับ กุทิ ในแบบเรียนบาลีไวยากรณ, มีวิเคราะหวา
กุจฺฉิโต ราชา กุราชา๕ (กัมมธารยสมาส)
กุราชสฺส ภาโว กุราชภาโว ลง นา ตติยาวิภัตติ เปน กุราชภาเวน
๑ สังวรรณนามัญชรี และ สังวรรณนานิยาม, หนา ๒๑.
๒ มหามกุฏราชวิทยาลัย, อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒, หนา ๑๙๓.
๓ ที.อ. ๒/๑๕๕.
๔ วินย.อ. ๑/๒๑๑.
๕ รูปสิทฺธิ, สูตร ๓๔๕-๗.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๓๓
นอกจาก กุ ใชในอรรถวา ปาป/กุจฺฉิต/กุจฺฉา/กุจฺฉน (ชั่ว ทราม
นาเกลียด) แลว ยังใชในอรรถวา อีสตฺถ/ขุทฺทก/อปฺปก (เล็กนอย)๑
เพราะ กุ ใชในอรรถวาเล็กนอยก็ได ฉะนั้น บทวา กุราชภาเวน จะ
แปลวา ดวยความเปนพระราชาผูนอย ก็ได
ตอไปนี้เปนการอธิบายเพื่อเปนความรูประกอบ นักเรียนไมตองใสใจ
มาก เพราะคำอธิบายบางแหง ไมมีในหลักไวยากรณบาลีสนามหลวง
๑. ในคัมภีรบาลีไวยากรณ (ที่มักเรียกรวมๆ วาบาลีใหญ) ทานจัด กุ
เปนนิบาต และเรียกบทสมาสที่มี กุ นำหนาวา กุบุพพบท๒ กัมมธารยสมาส
(สมาสชื่อนี้ไมมีในหลักสูตรบาลีสนามหลวง)
๒. กุ ที่ใชในอรรถวา ขุทฺทก ตามที่ทานแสดงใว๓ เชน
ขุทฺทกา นที กุนฺนที (แมน้ำนอย)
ขุทฺทกํ วนํ กุพฺพนํ (ปานอย)
๓. สระอยูหลัง แปลง กุ เปน กท๔ เชน
กุจฺฉิตํ อนฺนํ กทนฺนํ (อาหารเลว)
กุจฺฉิตํ อสนํ กทสนํ (ของกินชั้นเลว)
กุจฺฉิโต อริโย กทริโย คนดีที่เลวแลว (คือคนตระหนี่)
๔. ในอรรถวา นอย๕ และ ชั่ว๖ แปลง กุ เปน กา เชน
อปฺปกํ ลวณํ กาลวณํ (เค็มนอย, กรอย)
อปฺปกํ ปุปฺผํ กาปุปฺผํ (ดอกไมนอย)
กุจฺฉิโต ปุริโส กาปุริโส (บุรุษชั่ว) [ไมแปลงก็มีบาง เชน กุปุริโส]
๑ อภิธานวรรณนา, คาถา ๑๑๕๙, ๑๑๙๗.
๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๗๐๒ หนา ๖๒๒.
๓ นิรุตฺติทีปนี, สูตร ๓๔๙ หนา ๒๓๘.
๔ กจฺจายน. สูตร ๓๓๕; สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๗๑๙; โมคฺ. สูตร ๓.๑๐๗.
๕ รูปสิทฺธิ. สูตร ๓๔๗, โมคฺ. สูตร ๓.๑๐๘.
๖ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๗๒๑ หนา ๗๐๙.
มังคลัตถวิภาวินี
๓๔
๕. ตัวอยางศัพทอื่นๆ เชน
กุจฺฉิโต ปุตฺโต กุปุตฺโต (บุตรชั่ว)
กุจฺฉิโต ทาโร กุทาโร (เมียชั่ว)
กุจฺฉิตํ กมฺมํ กุกมฺมํ (กรรมชั่ว)
ปญฺจงฺคิกํ ตุริยํ = ดนตรีมีองค์ ๕ (มงฺคล. ๒/๑๑๔/๙๖)
ในขอวา องฺคิกนฺติ ปฺจงฺคิกํ วิย ตุริยํ องฺคาวินิมุตฺตํ [บทวา
องฺคิกํ คือ ไมพนไปจากองค ๘ เหมือนดนตรีซึ่งประกอบดวยองค ๕
ฉะนั้น]
ดนตรีประกอบดวยองค ๕ ไดแก อาตตะ กลอง, วิตตะ ตะโพน,
อาตตวิตตะ กลองบัณเฑาะว เปนตน, ฆนะ กรับหรือทับ, สุสิระ เครื่องเปา
มีปและขลุย เปนตน๑
มรุกนฺตาร = ทะเลทราย (มงฺคล. ๒/๑๔๒/๑๑๘)
มรุ ในคำวา มรุกนฺตาร แปลวา ทราย สวน กนฺตาร แปลวา กันดาร
แปลเอาความวา ทะเลทราย คำนี้ปรากฏในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ
๑๔๒ หนา ๑๑๘
ตัวอยางคำอธิบาย มรุ ที่ปรากฏในคัมภีรอื่นๆ เชน มรุกนฺตารํ คจฺฉตีติ
วาลิกกนฺตารํ คจฺฉติฯ๒ แปลวา ขอวา ไปสูมรุกันดาร หมายความวา ไปสู
ทะเลทรายฯ, ทานอธิบาย มรุ วา วาลิก
มรุ [มร ปาณจาเค+อุ] วิเคราะหวา สตฺตา มรนฺติ อเนนาติ มรุ (ทราย
ที่ทำใหสัตวตาย ชื่อวา มรุ)๓
๑ ม.อ. ๒/๔๙๗, อภิธานวรรณนา, คาถา ๑๓๙.
๒ นิทฺ.อ. ๑/๓๙๖.
๓ อภิธานวรรณนา, คาถา ๖๖๓.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๓๕
กามทุโห (มงฺคล. ๒/๑๔๔/๑๒๐)
ทุห ในคำวา กามทุโห อิจฺฉิติจฺฉิตทายโก ทานแปลวา “ให” เพราะ
แปลตามอรรถแหงบทตั้งวา กามทโท และเทียบอรรถแหงศัพทหลังวา
อิจฺฉิติจฺฉิตทายโก เรียงศัพทใหเห็นเปน -ทโท -ทุโห –ทายโก
ทุโห ประกอบดวย ทุห ธาตุ ใชในอรรถวา รีดออก, ใหเต็ม, ฆา,
เบียดเบียน (โทหนปูรณวธนาเส)๑ อ ปจจัย วิ. ทุหตีติ ทุโห โทโห วา
อจฺฉสิ (มงฺคล. ๒/๑๔๗/๑๒๑)
อจฺฉสิ ในคำวา ตตฺถจฺฉสิ ปวสิ ขาทสิ จ ทานแปลวา ยอมอยู, ซึ่งเปน
คำแปลแบบใหเขากับเรื่อง, แปลตามอรรถแหงธาตุนี้วา “นั่ง”, (อาส ธาตุ)
ในอรรถกถาวิมานวัตถุ๒ ทานอธิบาย อาสติ วา นิสีทติ
อจฺฉสิ ประกอบดวย อาส ธาตุในนั่ง (อุปเวสเน)๓ อ ปจจัย สิ วัตตมานา-
วิภัตติ แปลง ส เปน จฺฉ๔
วิมลาทีสุ (มงฺคล. ๒/๑๕๑/๑๒๕)
ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๑๕๑ หนา ๑๒๕ กลาวถึงสหายของ
พระยสเถระ ไวในคำวา วิมลาทีสุ
สหาย ๔ ทาน ไดแก พระวิมล พระสุพาหุ พระปุณณชิ และ
พระควัมปติ๕ ซึ่งตอมาเปนพระเถระในจำนวนพระมหาสาวกผูใหญ ๘๐ รูป
(อสีติมหาสาวก)
๑ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๑๙๖.
๒ วิมาน.อ. ๔๑๔.
๓ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๑๙; ใน สัททนีติธาตุมาลา (หนา ๔๙๗) ทาน
อธิบายวา อุปเวสนํ นิสีทนํ
๔ โมคฺคลฺลาน. สูตร ๕.๑๗๓: สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๐๓๕ หนา ๙๗๙.
๕ วินย. ๑/๓๐/๓๖.
มังคลัตถวิภาวินี
๓๖
ฉคาถายตฺถวณฺณนา
ปาปวิรติมชฺชปานสํยมกถา
-๐-
อวฺหย=ชื่อ (มงฺคล. ๒/๑๕๔/๑๒๗)
อวฺหย แปลวา ชื่อ, เชน ในคำวา มชฺชวฺหยสฺส สุราเมรยสฺส [สุราเมรัยที่
ชื่อวามัชชะ]
วิ. อวฺหยเตติ อวฺหโย, ประกอบดวย อา บทหนา, วฺเห ธาตุ ในการ
เรียก (อวฺหาเณ), ย ปจจัย, รัสสะ อา เปน อ, ลบ เอ ที่ วฺเห ธาตุ๑
ยโต: โต ปัจจัยเป็นเครื่องหมาย ๕ วิภัตติ (มงฺคล. ๒/๑๕๖/๑๒๘)
โต ปจจัยในคำวา ยโตหํ นี้ นักเรียนไดเรียนกันมาตั้งแตครั้งแปล
หนังสือ อุภัยพากยปริวัตน วา ยโต ใชในอรรถกาลสัตตมี๒
สวนในหลักสูตรบาลีไวยากรณที่เรียนกันนี้ ทานวา โต ปจจัย เปน
เครื่องหมาย ตติยาวิภัตติ และปญจมีวิภัตติ
ความจริง โต ปจจัยเปนเครื่องหมายได ๕ วิภัตติ ไดแก ปฐมาวิภัตติ
ตติยาวิภัตติ ปญจมีวิภัตติ ฉัฏฐีวิภัตติ และสัตตมีวิภัตติ๓
ยโต ที่ใชในในอรรถแหงสัตตมีวิภัตตินี้ นักเรียนจะพบอีกครั้ง ในขอ
๒๕๔ หนา ๑๙๐ และในขอ ๒๕๕ ทานก็แกไวชัดเจน วา
ตตฺถ ยโต โขติ ยทา โข ฯ
๑ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ-ไทย, (กรุงเทพฯ สำนักเรียนวัดปากน้ำ,
๒๕๔๐), หนา ๒๐๙.
๒ มหามกุฏราชวิทยาลัย, อุภัยพากยปริวัตน, ขอ ๓๔๘.
๓ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๔๙๓, ๔๙๖.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๓๗
วชฺช=คำพูด (มงฺคล. ๒/๑๕๖/๑๒๘)
คำวา เอเตน สจฺจวชฺเชน [เพราะการกลาวคำสัตยนี้], วชฺช ในที่นี้
แปลวา คำพูด, การกลาว ไมไดแปลวา โทษ
วชฺช [วท วาจายํ+ณฺย] วิเคราะหวา วทิตพฺพํ วตฺตพฺพนฺติ วชฺชํ ฯ๑
อโวจ(มงฺคล. ๒/๑๖๒/๑๓๑)
อโวจ [ไดกลาวแลว] ประกอบดวย วจ ธาตุ ในการพูด (วิยตฺติยํ/
วาจายํ) + อ ปจจัย + อา อัชชัตตนีวิภัตติ ฝายอัตตโนบท + อ อาคม แปลง
อ ที่ ว เปน โอ รัสสะ อา เปน อะ๒
ตชฺชํ (มงฺคล. ๒/๑๖๖/๑๓๓, ๒/๑๗๔/๑๓๗)
ตชฺชํ ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๑๖๖ และขอ ๑๗๔ ทั้งสองแหง
ทานใชเปนคุณนาม คือเปนวิเสสนะ ในขอ ๑๖๖ ทานแปลวา เหมาะแก...
นั้น สวนในขอ ๑๗๔ ทานแปลวา อันเกิดแต...นั้น, นักเรียนสงสัยวา ตชฺชํ นี้
ทำไมทานแปลตางกัน
เทาที่คนพบ ทานใช ตชฺช ในความหมาย ๓ อยาง ไดแก
๑. ตชฺชํ แปลวา ที่เกิดแต...นั้น (ตชฺชาติกํ)๓
๒. ตชฺชํ แปลวา เหมาะแก...นั้น (ตทนุจฺฉวิกํ/ตทนุรูป)๔
๓. ตชฺชํ แปลวา มีสภาพเชน...นั้น (ตํสภาวํ)๕
ตชฺชํ ที่แปลวา “เหมาะแก...นั้น” เพราะ ตชฺช ศัพทใชในอรรถวา
สมควร, เหมาะสม (อนุจฺฉวิก/อนุรูป)
๑ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๒๖๔.
๒ กจฺจายน. สูตร ๔๗๗, รูปสิทฺธิ. สูตร ๔๗๙, สัททนีติสุตตมาลา, หนา ๙๘๔.
๓ ม.อ. ๓/๗๔๑.
๔ องฺ.อ. ๒/๓๒๒. ใน วิสุทฺธิ.ฏี. ๒/๗๒ วา ตทนุรูป
๕ ม.อ. ๓/๘๘๘.
มังคลัตถวิภาวินี
๓๘
ตัวอยาง ตชฺช ที่ใชในความหมายวา สมควร/เหมาะ เชน ตชฺชา มโน-
วิฺาณธาตูติ เตสํ ผสฺสาทีนํ ธมฺมานํ อนุจฺฉวิกา มโนวิฺาณธาตุฯ๑
อนุจฺฉวิกตฺโถป หิ อยํ ตชฺชาสทฺโทโหติฯ๒ ตชฺชํ วายามนฺติ...อนุรูป วายามํ ฯ๓
ตชฺชํ ที่แปลวา “ที่เกิดแต” คือ ตชฺชํ ประกอบดวย ต+ชน+
กฺวิ ตัวอยาง ตชฺช ที่แปลวาเกิดแต เชน ตชฺชํ...ตชฺชาติกํฯ๔ ตานิ
อุปนิสฺสาย ชาตนฺติ ตชฺชํ๕
อนุวิธิยนาสุ (เชน มงฺคล. ๒/๑๘๕/๑๔๓)
คำวา อนุวิธิยนาสุ ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๑๘๕ หนา ๑๔๓
วา โก ปน วาโท กาเยน วาจาย อนุวิธิยนาสุฯ ฉบับ มมร.แปลวา “จะกลาว
ไปไยในการทำเนืองๆ ดวยกาย ดวยวาจา” ฯ
ดูตอไปในขอ ๑๘๖ หนา ๑๔๔ อรรถกถาทานอธิบายวา อนุวิธิยนา-
กรณํ อาณาปนํ วา อุคฺคหปริปุจฺฉาทีนิ วา ฯ สวนในขอ ๑๘๗ หนา ๑๔๕
ฎีกาทานอธิบายวา อนุวิธิยนา อนุวิธานานิ ฯ
เทาที่ดูตามแนวนี้จับความไดวา ทานมุงที่ ธา ธาตุ ใชในความหมาย
วา กระทำ
อนุวิธิยนาสุ ศัพทเดิมเปน อนุวิธิยนา [อนุ+วิ+ธา+ย+ยุ+โย ปฐมา-
วิภัตติ] วิ. อนุวิธียเตติ อนุวิธิยนาฯ เปนภาวรูป ภาวสาธนะ, มีหลักการที่
เกี่ยวของ ดังนี้
๑ นิทฺ.อ. ๒/๓๓.
๒ สงฺคณี.อ. ๒๙๕.
๓ องฺ.อ. ๒/๓๒๕.
๔ ม.อ. ๓/๗๔๑.
๕ ม.ฏี. ๓/๔๑๙.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๓๙
๑. ธา ธาตุ ที่มี อนุ และ วิ เปนบทหนาไดรูปเปน อนุวิธา ใชในอรรถ
วา กระทำตาม (อนุกรเณ)๑ และ ธา ธาตุ มี วิ เปนบทหนา ใชในอรรถวา
กระทำ๒
๒. ย ปจจัยที่ลงหลัง ธา ธาตุในภาววาจก แปลง อา เปน อี๓
๓. ยุ ปจจัย แปลง ยุ เปน อน ลง อา เปน อิตถีลิงค
๔. ลง โย ปฐมาวิภัตติ จึงเปน อนุวิธิยนา, ลง สุ สัตตมีวิภัตติ จึงเปน
อนุวิธิยนาสุ (แจกแบบ กฺา)
ฉะนั้น ในหนังสือมังคลัตถทีปนี ฉบับ มมร. ทานแปล อนุวิธิยนาสุ วา
ในการกระทำเนืองๆ ก็เพราะวา ธา ธาตุที่มี วิ เปนบทหนา ใชในอรรถวา
กระทำ สวน อนุ ทานแปลวา เนืองๆ, ในบางคัมภีรทานแปล อนุวิธิยนา วา
การเลียนแบบ
วิลียติ (มงฺคล. ๒/๑๙๐/๑๔๗)
วิลียติ วิ บทหนา ลี ธาตุในความละลาย (ทฺรเว)๔ ย ปจจัย ติ วัตตมานา-
วิภัตติ, ในสัททนีติธาตุมาลา๕ วา วิลี ธาตุในความละลาย (วิลีนภาเว)
สปตฺตา (มงฺคล. ๒/๑๙๐/๑๔๗)
ที่ชื่อวา ขาศึก เพราะเปนเหมือนชู เพราะเปนเหตุแหงทุกข, ส อักษร
ใชในความหมายวา รากษส, ชื่อวา ขาศึก เพราะใหกันและกันถึงความไม
เปนประโยชนเกื้อกูล ไมเปนสุข เหมือน ส คือ รากษส๖
๑ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๖๐๘.
๒ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๒๐๐.
๓ กจฺจายน. สูตร ๕๐๒, รูปสิทฺธิ. สูตร ๔๙๓.
๔ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๓๔๐.
๕ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๖๒๓.
๖ พจนานุกรม มคธ-ไทย, หนา ๗๐๗.
มังคลัตถวิภาวินี
๔๐
เผณุทฺเทหกํ (มงฺคล. ๒/๒๐๗/๑๖๐)
สำนวนสนามหลวงวา ราชบุตรเหลานั้น หมกไหมอยูในน้ำกรดและ
น้ำเกลือ อันเดือดพลาน ผุดขึ้นเปนฟอง (เฉลยสนามหลวง ป ๕๐ น. ๑๗๗)
มีผูสันนิษฐานวา เผณุทฺเทหกํ เปน กิริยาวิเสสนะ, ฝากใหศึกษาคนควาเรื่อง
นี้ตอไป
เยสํ โน = เย มยํ (มงฺคล. ๒/๒๐๘/๑๖๑)
เยสํ โน เปนประธาน; คาถาในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๒๐๘ หนา
๑๖๑ ทานนำขอความในโลหกุมภีชาดกมาแสดงวา
ทุชฺชีวิตมชีวิมฺหา เยสํ โน น ททามฺห เส๑
วิชฺชมาเนสุ โภเคสุ ทีป นากมฺห อตฺตโนติ ฯ
คาถานี้ เคยออกเปนขอสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเปนไทย
ประโยค ป.ธ. ๕ ป ๒๕๕๐ ทานเฉลยวา
เราเหลาใด เมื่อโภคะทั้งหลายมีอยู ไมไดใหทาน ไมได
ทำที่พึ่งแกตน เราเหลานั้น จึงเปนอยูอยางแสนเข็ญ ฯ
คำวา เยสํ โน ที่ทานแปลวา เราเหลาใด ในที่นี้เปนฉัฏฐีวิภัตติ ใชใน
อรรถปฐมาวิภัตติ ดังที่อรรถกถาซึ่งแสดงไวตอจากคาถาในมังคลัตถทีปนี วา
เยสํ โนติ เย มยํ...ฯ ทานจึงแปล โน เปนประธานในประโยค สวน เยสํ เปน
วิเสสนะ ของ โน
ในหนังสืออธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒ ทานอธิบายวา เยสํ โน เปน
ฉัฏฐีวิภัตติ ใชในอรรถปฐมาวิภัตติ เรียกสัมพันธวา ฉัฏฐีปจจัตตะ๒ ที่ทาน
อธิบายอยางนี้ ทานมีแหลงอางอิงดังตอไปนี้
๑ พระไตรปฎกบาลี ฉบับ มมร. วา เยสนฺโน น ททามเส, บางแหงเปน เยสํ เต
๒ อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒, หนา ๑๙๐.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๔๑
บาลีมหาวิภังควา เอกสฺสป เจ ภิกฺขุโน นปฺปฏิภาเสยฺย ตํ ภิกฺขุนึ
อปสาเทตุ๑ [ถาภิกษุแมรูปหนึ่ง ไมกลาวออกไป เพื่อจะรุกรานภิกษุณีนั้นไซร]
เอกสฺสป เจ ภิกฺขุโนอนปสาทิเต ขาทิสฺสามิ ภุฺชิสฺสามีติ ปฏิคฺคณฺหาติ
อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส ฯ๒ [ถาภิกษุแมรูปหนึ่งไมรุกราน รับดวยหวังวาจักเคี้ยว
จักฉัน ตองอาบัติทุกกฏ]
ในอรรถโยชนา๓ ทานอธิบายวา เอกสฺส ใชในอรรถ เอโก คือฉัฏฐี-
วิภัตติ ใชในอรรถปฐมาวิภัตติ
(ปาลิยํ ปน เอกสฺส เจป ภิกฺขุโน นปฺปฏิภาเสยฺยาติ เอโก เอตํ ภิกฺขุนึ
เจป นปฺปฏิภาเสยฺยาติ อตฺโถฯ ปจฺจตฺเต หิ สามิวจนํฯ)
ในขอวา เยสํ โน นี้ ถา โน เรียงไวโดยไมมี เยสํ กำกับ การจะแปล โน
นั้นเปนปฐมาวิภัตติวา อ. เราทั้งหลาย ก็ไดไมมีปญหาอะไร เพราะ โน ที่เปน
ปฐมาวิภัตติ ก็มีปรากฏชัดอยูในแบบแจกแลว แตในที่นี้มี เยสํ กำกับไวดวย
เทากับวา โน นั้นเปนจตุตถีวิภัตติหรือฉัฏฐีวิภัตติ
มาริส (มงฺคล. ๒/๒๑๐/๑๖๑-๒)
มาริส ปรากฏในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ อยางนอย ๒ แหง ไดแก ใน
ขอ ๒๑๐ และ ๓๙๐ แปลกันวา เพื่อนยาก ผูนิรทุกข ผูเชนกับดวยเรา
มาริส [อมฺห+ทิส+กฺวิ] วิเคราะหวา มมิว นํ ปสฺสตีติ มาริโส, อหํ วิย
โส ทิสฺสตีติ วา มาริโส๔ [ชื่อวา มาริส เพราะเห็นเขาเหมือนเห็นเรา,
อีกประการหนึ่ง ชื่อวา มาริส เพราะเขาปรากฏเหมือนเรา]
๑ วินย. ๒/๗๗๔/๕๑๘.
๒ วินย. ๒/๗๗๔/๕๑๙.
๓ วินย. โย. ๒/๑๒๘.
๔ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ-ไทย, หนา ๕๗๔, ๕๗๖.
มังคลัตถวิภาวินี
๔๒
อมฺห บทหนา ทิส ธาตุ กฺวิ ปจจัย แปลง อมฺห เปน ม แลว ทีฆะ เปน
มา แปลง ท ที่ ทิส เปน ร๑ ในหนังสือเรียนนั้น หนา ๑๖๒ ทานแกไววา
มาริสาติ มยา สทิสฯ
นาวหเร, ภเณ=น อวหรติ, ภรติ (มงฺคล. ๒/๒๑๒/๑๖๓)
คำวา นาวหเร และ ภเณ ในมังคลัตถทีปนีภาคที่ ๒ ในคาถา ทายขอ
๒๑๒ ทานแปลวา ยอมไมลัก, ยอมไมพูด, ที่แปลเชนนี้ เพราะในแกอรรถขอ
๒๑๓ ทานแกเปน อวหรติ, ภณติ
นักเรียนไดเรียนกันมาวา เอา เอยฺยาสิ, เอยฺยามิ, เอยฺย เปน เอ๒ เชน
วนฺเท=วนฺเทยฺยาสิ, วนฺเทยฺยามิ, หรือ ใช เอ วัตตมานาวิภัตติ ฝายอัตตโนบท
เชน วนฺเท=วนฺทามิ
นาสงสัยวา อาวหเร และ ภเณ ในที่นี้ลงวิภัตติอะไร ทำไมทานแก
อรรถเปน อวหรติ, ภณติ
เปนไปไดไหมวา อวหเร และ ภเณ ลง เอยฺย วิภัตตินั่นแหละ (เอา
เอยฺย เปน เอ) แตเพราะทานมุงอธิบายวา อวหเร และ ภเณ เปนกิริยาบงถึง
ปจจุบันกาล ไมเชนอดีตกาลหรืออนาคตกาล จึงแกอรรถใหชัดวา อวหรติ,
ภณติ ขอนี้บัณฑิตพึงชี้แนะดวยเมตตา
อุปนาเมสิ (มงฺคล. ๒/๒๒๐/๑๖๘)
อุปนาเมสิ [อุป+นม ธาตุ ในความนอม ภูวาทิคณะ+เณ+อี วิภัตติ]
เปนเหตุกัตตุวาจก
๑ กจฺจายน. สูตร ๖๔๒, รูปสิทฺธิ. สูตร ๕๘๘, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๒๖๙.
๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๐๘๘ หนา ๑๐๐๔.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๔๓
ลทฺธาน (มงฺคล. ๒/๒๒๓/๑๗๐)
ลทฺธาน [ไดแลว] ลภ ธาตุ ในความได + ตฺวาน ปจจัย, หลัง ลภ ธาตุ
เอา ตฺวาน ปจจัยเปน ทฺธาน และลบพยัญชนะที่สุดธาตุ๑
เสหิ (มงฺคล. ๒/๒๓๕/๑๗๘)
เสหิ [ส+หิ] อันเปนของตน, ใช สยํ แทน อตฺตโน แปลง สยํ เปน ส,
เปนคุณนาม แจกวิภัตติได ทั้งสองวจนะและใชไดทั้ง ๓ ลิงค๒ เชน เสหิ
ทาเรหิ สนฺตุโ [ผูยินดีดวยภรรยา อันเปนของตน]
วารุณี : ฤาษีเมาน้ำดอง (มงฺคล. ๒/๒๓๕/๑๗๘)
น้ำเมา ชื่อวา วารุณีและสุรา เพราะดาบสวรุณะและพรานปาชื่อสุระ
พบเปนครั้งแรก เรื่องมาในอรรถกถากุมภชาดก๓ ขอนำมาเลาโดยยอ
นานมาแลว ที่ปาหิมพานตมีตนไมใหญแตกกิ่งเปน ๓ กิ่ง ตรงกลาง
เปนโพรงมีน้ำขัง ใกลตนไมนั้นมีพืชตางๆ จำพวกสมอ มะขามปอม พริกไทย
และขาวสาลีเกิดเอง ผลไมเหลานั้นสุกแลวรวงหลนลงที่โพรงไมนั้นบาง พวก
นกคาบมากินแลวหลนลงที่โพรงนั้นบาง
ตอมาธัญพืชเหลานั้นหมักดองจนกลายเปนน้ำเมา ถึงฤดูรอนพวกนก
ลงกินน้ำในโพรงนั้น จนเกิดอาการเมามาย แตไมถึงตาย เพราะไมใชยาพิษ
ตอมานายพรานชื่อสุระ เดินปาไปพบเขาจึงทดลองดื่มจนเมา และยัง
นำมาใหดาบสชื่อวรุณะทดลองดื่มดวย จนเปนที่มาของน้ำเมาชื่อวา สุระ
และ วารุณี (เรื่องยังมีตออีก, ดู สัททนีติสุตตมาลา สูตร ๘๐๐-๘๐๑)
๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๒๐๗ หนา ๑๐๘๗.
๒ มหามกุฏราชวิทยาลัย, อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท, หนา ๒๕.
๓ ชา.อ. ๗/๑๙๕. ใน พจนานุกรม มคธ-ไทย (หนา ๖๔๓) วา วรุเณน ปมํ ทิตฺตา
วรุณโต ชายตีติ วารุณี [ชื่อวารุณีเพราะเกิดจากดาบสวรุณะ เหตุทานพบเปนคนแรก)
มังคลัตถวิภาวินี
๔๔
อปฺปมาทกถา
-๐-
โยณฺณวา: สังเกตสังขยา (มงฺคล. ๒/๒๖๐/๑๙๓)
อณฺณว เปน สังเกตสังขยา แปลวา ๔; ในหนังสือมังคลัตถทีปนี ภาค
ที่ ๒ ขอ ๒๖๐ หนา ๑๙๓ ทานนำคาถาที่ ๑๑๘ แหงคัมภีรวุตโตทัย๑ มา
แสดงวา
นากฺขเรสุ ปาเทสุ สฺนาทิมฺหา โยณฺณวา วตฺตํ๒
ในวุตโตทยมัญชรี ทานแปลคาถานี้วา
คาถาที่มี ย คณะทาย ๔ พยางค ไมมี ส น คณะทายพยางค
แรก ในบาทที่มี ๘ พยางค ชื่อวา วัตตะ๓
ในมังคลัตถทีปนี ฉบับ มมร. ทานแปลวา
ส คณะ และ น คณะ ยอมไมมี แตหนาอักษรตัวตนในบาท
ทั้งหลายที่มี ๘ อักษร, ย คณะ ยอมมีไดแตหนา ๔ อักษรใน
พฤทธิ์ใด พฤทธิ์นั้นชื่อวา "วัตตฉันท"
เรียงศัพทเต็มประโยคใหตรงกับคำแปล มมร. วา
น อกฺขเรสุ ปาเทสุ สฺนา อาทิมฺหา ภวนฺติ, ยสฺสํ วุตฺติยํ โย อณฺณวา
โหติ, สา วุตฺติ วตฺตํ
๑ วุตโตทัย, คาถา ๑๑๘ ; คัมภีรวุตโตทัย (วุตฺโตทยปกรณํ) พระสังฆรักขิตะ ชาว
ลังกา รจนาในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ วาดวยฉันทลักษณ, สวนวุตโตทยมัญชรี เปนหนังสือ
อธิบาย วุตโตทัย นั้น
๒ ในที่นี้ไดแก วตํ เปน วตฺตํ ใหตรงกับคัมภีรวุตโตทัย
๓ พระคันธสาราภิวงศ, วุตโตทยมัญชรี, พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ: พิทักษอักษร,
๒๕๔๕), หนา ๓๐๕.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๔๕
ยกศัพทมาแปลวา สฺนา ส คณะ และ น คณะ น ภวนฺติ ยอมไมมี
อาทิมฺหา แตหนาอักษรตัวตน ปาเทสุ ในบาท ท. อกฺขเรสุ ที่มี ๘ อักษร,
โย ย คณะ ภวติ ยอมมีได อณฺณวา แตหนา ๔ อักษร ยสฺสํ วุตฺติยํ ในพฤทธิ์
ใด สา วุตฺติ พฤทธิ์นั้น วตฺตํ โหติ ชื่อวา "วัตตฉันท."
คำวา อณฺณวา ในคาถานั้น ทานแปลวา “แตหนา ๔ อักษร” อณฺณวา
ศัพทเดิมเปน อณฺณว เปนปุงลิงค แปลวา หวงน้ำ ลง สฺมา ปญจมีวิภัตติ ได
รูปเปน อณฺณวา (เทียบ ปุริสสฺมา ปุริสมฺหา ปุริสา) แต อณฺณวา ในที่นี้ทาน
ใชเปนสังเกตสังขยา แปลวา ๔ ไมแปลวา หวงน้ำ
สังเกตสังขยา ในคัมภีรวชิรสารัตถสังคหะ๑ เรียกวา โลกสัญญังกิต-
สังขยา คือ จำนวนที่ชาวโลกหมายรูกัน เปนสังขยาที่กำหนดนิยมกันขึ้น
เพื่อใหความหมายแทนเลขทั่วไป ทานใชสังขยานี้ตามสิ่งที่มีปรากฏ ชาวโลก
รูกันทั่วไป มีจำนวนแนนอน ไมเพิ่มขึ้นหรือลดลงในกาลไหนๆ๒ เชน หตฺถ
(มือ) แทนเลข ๒ (มือมี ๒ คือมือซาย ๑ มือขวา ๑) ภว แทนเลข ๓ (ภพ มี
๓ คือ กามภพ ๑ รูปภพ ๑ อรูปภพ ๑)
อณฺณว (หวงน้ำ) ในที่นี้แทนเลข ๔ เพราะตามคติโบราณเชื่อกันวา
แมน้ำใหญมี ๔ ไดแก ปตสาคร ขีรสาคร ผลิกสาคร และนีลสาคร๓ โดยมี
ภูเขาสิเนรุอยูกึ่งกลางเปนเครื่องหมายกำหนด๔
ความจริง แมน้ำใหญ ๔ สาย มีหลายชุด ดังที่ปรากฏในอรรถ-
กถาอัสสสูตร และอรรถกถาอัฏฐสาลินี เชน
๑ พระสิริรัตนปญญาเถระ (รจนาเสร็จ พ.ศ. ๒๐๗๘), แยม ประพัฒนทอง (แปล),
วชิรสารัตถสังคหะ, (กรุงเทพฯ: วัดปากน้ำ, ๒๕๕๖), หนา ๗๙.
๒ พระคันธสาราภิวงศ, วุตโตทยมัญชรี, หนา ๓๒. (อธิบายคาถาที่ ๑๐)
๓ พระพุทธรักขิตาจารย (ชาวศรีลังกา), ชินาลงฺการฏีกา, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ
วิญญาณ, ๒๕๔๕), หนา ๖๕-๖๖.
๔ พระสิริมังคลาจารย, จกฺกวาฬทีปนี, พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ: สำนักหอสมุด
แหงชาติ กรมศิลปากร, ๒๕๔๘), หนา ๔๒.
มังคลัตถวิภาวินี
๔๖
๑) อรรถกถาอัสสสูตร สังยุตตนิกาย๑ ทานวา มหาสมุทร ๔ กำหนด
รอบเขาสิเนรุ ไดแก (๑) สมุทรเงิน อยูดานตะวันออก (๒) สมุทรแกวมณี
อยูดานใต (๓) สมุทรแกวผลึก อยูดานตะวันตก และ (๔) สมุทรทอง
อยูดานเหนือ
๒) อรรถกถาอัฏฐสาลินี๒ ทานวา สาคร ๔ ไดแก (๑) สังสารสาคร
คือทางทองเที่ยวไปในวงแหงการเวียนวายตายเกิดซึ่งไมมีกำหนดเบื้องตน
และที่สุด (๒) ชลสาคร คือทะเลหรือแมน้ำใหญ (๓) นยสาคร คือพระพุทธ-
พจนหรือพระไตรปฎก และ (๔) ญาณสาคร คือพระสัพพัญุตญาณ
ศัพทที่ใชเปนสังเกตสังขยาแทนเลข ๔ เชน อมฺพุธิ, ชลธิ, สินฺธุ,
สมุทฺท (ทั้งหมดแปลวา สมุทร) คำวา สินฺธุโต ที่แปลวา ๔ นักเรียนเคยศึกษา
มาแลว ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๑ ในประโยค ป.ธ. ๔
ดวยการใช อณฺณว เปนสังเกตสังขยา ทานจึงไมแปล อณฺณว วา หวง
น้ำ แตแปลวา ๔, นักเรียนผูตองการความรูเพิ่มเติมควรศึกษาเรื่อง สังขยา
๕, ๖ และ ๗ ประเภท ตอไป
โดยสาระสำคัญในคาถาดังกลาวนั้น ทานมุงสื่อความหมายวา
ปฐยาวัตรฉันท ในบาท (บาทคี่) ที่มี ๘ อักษร หาม ส คณะ และ น คณะ ถัด
จากอักษรที่ ๑, ใหใช ย คณะ ถัดจากอักษรที่ ๔ ดังแสดงในผังนี้
หาม ส, น ใช ย
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘
ถัดจากอักษรที่ ๑ ก็คือ ๒ ๓ ๔ ทานหาม ส คณะ และ น คณะ ถัด
จากอักษรที่ ๔ ก็คือ ๕ ๖ ๗ ใหใช ย คณะ สวนอักษรที่ ๑ และ ๘ ไมบังคับ
ส น และ ย คณะ คืออักษรที่มีเสียง ตอไปนี้
๑ สํ.อ. ๒/๒๔๘.
๒ สงฺคณี.อ. ๑๗.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๔๗
ส คณะ ลหุ ลหุ ครุ เชน สุคโต
น คณะ ลหุ ลหุ ลหุ เชน สุมุนิ
ย คณะ ลหุ ครุ ครุ เชน มเหสี
ในขั้นนี้สรุปไดวา การแตงวัตรคาถา ในบาทคี่ (โบราณวา บาทขอน
เขียนไวซายมือ) อักษรที่ ๒ ๓ ๔ หามแตงเปน ลหุ ลหุ ครุ หรือ ลหุ ลหุ ลหุ
สวนอักษรที่ ๕ ๖ ๗ ตองแตงเปน ลหุ ครุ ครุ
สังขยา ๕, ๖ และ ๗ ประเภท (สืบเนื่อง โยณฺณวา ใน มงฺคล. ๒/๒๖๐/๑๙๓)
ความรูเรื่องสังขยา ๕, ๖ หรือ ๗ ประเภทที่จะกลาวตอไปนี้ ขอให
ศึกษาเปนความรูประกอบเทานั้น นักเรียนไมควรจำไปตอบขอสอบบาลี
สนามหลวง โดยขอใหถือวาเปนความรูประกอบ
ในหลักสูตรบาลีสนามหลวงในปจจุบัน พวกเราเรียนกันมาวาสังขยา
มี ๒ คือ ปกติสังขยา และ ปูรณสังขยา ความจริงสังขยายังมีอีกมาก ดังจะ
แสดงตอไปนี้
๑) สังขยา ๕ ประเภท
ในคัมภีรไวยากรณทั้งหลาย เชน คัมภีรสัททนีติปทมาลา๑ คัมภีร-
กัจจายนสุตตนิเทส๒ และคัมภีรปทวิจาร๓ เปนตน กลาววา สังขยา มี ๕
ไดแก มิสสกสังขยา คุณิตสังขยา สัมพันธสังขยา สังเกตสังขยา และอเนก-
สังขยา [ดูคำแปลและคำอธิบายตอจากนี้] ทานประพันธเปนคาถาไวใน
คัมภีรกัจจายนสุตตนิเทส วา
๑ สัททนีติปทมาลา, หนา ๙๙๒-๑๐๐๗.
๒ พระสัทธัมมโชติปาลเถระ (รจนา), พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร (ปริวรรต),
กัจจายนสุตตนิเทส, (กรุงเทพฯ: ไทยรายวัน, ๒๕๔๕), หนา ๑๙๕-๑๙๖.
๓ พระญาณาลังการเถระ (รจนา), จำรูญ ธรรมดา (แปล), ปทวิจาร, (กรุงเทพฯ:
ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๗), หนา ๑๘๙.
มังคลัตถวิภาวินี
๔๘
มิสฺสคุณิตสมฺพนฺธ- สงฺเกตาเนกเภทโต
สงฺขฺยา ปฺจวิธา เยฺยา ปาิยา คตินยโต ฯ
[สังขยามี ๕ ประเภท พึงทราบโดยจำแนกเปนมิสสกสังขยา, คุณิต-
สังขยา, สัมพันธสังขยา, สังเกตสังขยา และอเนกสังขยา ตามนัยที่ดำเนินไป
ในพระบาลี]๑
๒) สังขยา ๖ ประเภท
ในคัมภีรวชิรสารัตถสังคหะ๒ ทานวา สังขยา มี ๖ (จาก ๕ นั้น เพิ่ม
ปริมาณสังขยา ๑ เปน ๖) ไดแก
(๑) มิสสกสังขยา (๒) คุณสังขยา (๓) สัมพันธสังขยา (๔) สังเกต-
สังขยา (๕) อเนกปริยายสังขยา และ (๖) อเนกปริมาณสังขยา [ดูคำแปล
และคำอธิบายตอจากนี้] และทานประพันธเปนคาถาไววา
คุณมิสฺสกสมฺพนฺธ- สงฺเกตปริมาณโต
สงฺขฺยาโย ฉพฺพิธา วุตฺตา อเนกปริยายโต ฯ
[สังขยามี ๖ ประเภท กลาวไวตามคุณิตสังขยา, มิสสกสังขยา,
สัมพันธสังขยา, สังเกตสังขยา, ปริมาณสังขยา และอเนกปริยายสังขยา]๓
๓) สังขยา ๗ ประเภท
สวนในหนังสือชื่อ ปทวิจารทีปนี๔ ทานวา สังขยา มี ๗ ประเภท คือ
เพิ่ม ปกติสังขยา และ ปริมาณสังขยา เขาไปอีก [๕ เพิ่ม ๒ เปน ๗] ดังนี้
๑ พระคันธสาราภิวงศ, สารัตถทีปนีฎีกา มหาวรรควรรณนา แปล, (กรุงเทพฯ:
โครงการแปลคัมภีรพุทธศาสน, ๒๕๕๑), หนา ๑๑๙.
๒ พระสิริรัตนปญญาเถระ (รจนาเสร็จ พ.ศ. ๒๐๗๘), แยม ประพัฒนทอง (แปล),
วชิรสารัตถสังคหะ, คาถา ๒๖๒ หนา ๑๘๐.
๓ พระคันธสาราภิวงศ, สารัตถทีปนีฎีกา มหาวรรควรรณนา แปล, หนา ๑๑๙.
๔ พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร, ปทวิจารทีปนี, (กรุงเทพฯ: ไทยรายวันการพิมพ,
๒๕๔๗), หนา ๖๓๒-๖๖๓.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๔๙
(๑) มิสสกสังขยา (๒) คุณสังขยา (๓) สัมพันธสังขยา (๔) สังเกต-
สังขยา (๕) อเนกสังขยา/อเนกปริยายสังขยา (๖) ปกติสังขยา และ (๗)
ปริมาณสังขยา
ตอไปจะนำคำแปล และคำอธิบายสังขยาทั้ง ๗ ประเภทมาแสดง
ดังตอไปนี้
๑. มิสสกสังขยา สังขยาที่ไดมาดวยวิธีการบวก เชน จตุ จ ทส จ
จตุทฺทส “สี่บวกสิบเทากับสิบสี่” คำวา จตุทฺทส เปนสังขยาที่ไดจากผลลัพธ
ของการบวก จตุ + ทส เชน
ทเสตฺถ ราชิโย เสตา ทสฺสนียา มโนรมา
ฉ ปงฺคลา ปนฺนรส หลิทฺทาภา จตุทฺทสาติ
[เพชรเม็ดนี้ มีลายเสนสีขาว ๑๐ เสน ลายเสนแดง ๒๑ เสน และ
ลายเสนสีเหลืองดุจขมิ้น ๑๔ เสน งดงามตระการตา ตระการใจ]
ในตัวอยางนี้ มิสสกสังขยา คือ ศัพทวา ฉ ปงฺคลา ปนฺนรส
(ปณฺณรส) ที่แปลวา “มีลายเสนแดง ๒๑ เสน” คือ ฉ=๖+ปณฺณรส=๑๕
บวกกันแลวเทากับ ๒๑
๒. คุณิต/คุณสังขยา สังขยาที่ไดมาดวยวิธีการคูณ เชน สตสฺส ทฺวิกํ
ทฺวิสตํ “หมวด ๒ แหงรอย เปนสองรอย” (๒x๑๐๐) ในตัวอยางนี้ คำวา
ทฺวิสตํ เปนสังขยาที่ไดจากผลลัพทของการคูณ
วรทิพฺราสุสขลํ อุทฺวิปกุอมํนิติ
ติปฺจ คมฺภีรา ปฺหา สมฺพุทฺเธน วิยากตา๑
[ปญหาลุมลึก ๑๕ ขอ พระสัมมาสัมพุทธเจา ทรงพยากรณแลว
คือ วะ, ระ, ทิ, พฺรา, สุ, สะ, ขะ, ลํ, อุ, ทฺวิ, ป, กุ, อะ, มํ, นะ]
๑ วชิรสารัตถสังคหะ, คาถา ๒๕ หนา ๑๙.
มังคลัตถวิภาวินี
๕๐
นักศึกษาพึงดูเฉลยปญหาลุมลึกนี้ที่ วัมมิกสูตร ในมัชฌิมนิกาย๑, สวน
ในตัวอยางนี้ คุณิตสังขยา คือ ศัพทวา ติปฺจ (สิบหา) เพราะ ติ (๓) คูณ
ปฺจ (๕) เทากับ ๑๕
๓. สัมพันธสังขยา สังขยาที่ไดมาดวยการเชื่อมโยงคำสังขยา โดยมี
คำใดคำหนึ่งเปนคำแสดงหลักของสังขยา สวนคำที่เหลือตองสัมพันธเขากับ
คำนี้ เชน อสิสตสหสฺสุพฺเพโธ คิริราชา [เขาสุเมรุ สูงหนึ่งแสนหก
หมื่นแปดพันโยชน]
ในตัวอยางนี้ สหสฺส เปนคำแสดงหลัก และนำคำที่เหลือเชื่อมเขา จึง
เปน อสหสฺส (๘,๐๐๐) สิสหสฺส (๖๐,๐๐๐) สตสหสฺส (๑๐๐,๐๐๐)
รวมเปนหนึ่งแสนหกหมื่นแปดพัน
๔. สังเกตสังขยา หรือ โลกสัญญังกิตสังขยา คือ จำนวนที่ชาวโลกรู
กัน เปนสังขยาที่กำหนดนิยมกันขึ้นเพื่อใหความหมายแทนเลขทั่วไป ทานใช
สังขยานี้ตามสิ่งที่มีปรากฏ ชาวโลกรูกันทั่วไป มีจำนวนแนนอน ไมเพิ่มขึ้น
หรือลดลงในกาลไหนๆ๒ เชน
ปาทเปโก ภวกฺขนฺโธ สรสาโข พหูทโล
สิเนรุคฺโค สุผลโท อวิสุ อิติ นามโก
[ตนไมหนึ่งตน มีลำตน ๓ มีกิ่ง ๕ มีใบมาก มียอด ๑ ใหผลดี มี
นามวา อวิสุ]
ในตัวอยางนี้ คำวา ภว, สร, สิเนรุ เปนสังเกตสังขยา คือ ภว แทน
เลข ๓ เพราะภพมี ๓, สร แทนเลข ๕ เพราะลูกศรของพญามารมี ๕, สิเนรุ
แทนเลข ๑ เพราะเขาสิเนรุมีลูกเดียว
๕. อเนกสังขยา หรือ อเนกปริยายสังขยา คือ สังขยาที่มีคามากจน
ไมสามารถกำหนดเจาะจงลงไปได สวนมากใชคำวา สต และ สหสฺส เปนคำ
๑ ม.มู. ๑๒/๒๘๙/๒๘๐.
๒ พระคันธสาราภิวงศ, วุตโตทยมัญชรี, อธิบายคาถา ๑๐ หนา ๓๒.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๕๑
แสดงแทนจำนวนมาก โดยใจความวา มากเหลือเกิน คงตรงกับวลีใน
ภาษาไทยวา “มีเปนรอย” โดยสื่อความวา มีมากมาย เชน สตเตโช ทิวากโร
“พระอาทิตยมีพลังงานเปน ๑๐๐” แมคำวา ปโรสตํ กวารอย, ปโรสหสฺสํ
กวาพัน ก็นาจะนับเขาสังขยาประเภทนี้
๖. ปริมาณสังขยา สังขยาที่นับโดยกำหนดจำนวน ระยะ ขนาด
น้ำหนัก ตามมาตราวัดตวงชั่ง เชน ถามวา กึปมาโณ กุมารสฺส ชาโต [เด็ก
เกิดนานเทาไร] ตอบวา มาโส ชาตสฺส อสฺส [หนึ่งเดือน] (คำวา มาโส เปน
ชื่อของ ๓๐ ราตรี คือ ๓๐ วันเปน ๑ เดือน), นี้จัดเปนปริมาณสังขยา
แมมาตราวัดตามวิธีโบราณก็พึงทราบวาเปนปริมาณสังขยา เชน ๑
ปสตะ (ซองมือ) ชื่อวา ๑ กุฑุวะ, ๔ กุฑุวะ เปน ๑ ปตถะ, ๔ ปตถะ เปน
๑ อาฬหกะ เปนตน
๗. ปกติสังขยา คือจำนวนนับ ที่นับโดยปกติ เชน เอโก (๑) เทฺว (๒)
ตโย (๓) เปนตน, ปกติสังขยานี้ มีปรากฏในวิชา บาลีไวยากรณ หลักสูตร
บาลีสนามหลวงที่เรียนกันนี้แลว จึงไมตองอธิบายใหมากนัก
เทาที่แสดงมานี้ ผูศึกษาพึงทราบวา สังขยามีหลายประเภท นับ
จำนวนได ๗ ประเภทแลว ถานับรวม ปูรณสังขยา ที่เรียนกันมาในหลักสูตร
บาลีไวยากรณเขาไปอีกก็รวมเปน ๘ ประเภท
ที่จริงมีสังขยา ที่ไมไดกลาวถึงในที่นี้อีก เชน วัณณสังขยา (สังขยาใช
อักษรแทนเลข), ปฎกสังขยา (ประชุมตัวอักษรแทนเลข) เทานี้ก็เห็นวามี
รายละเอียดมากแลว จึงยุติคำอธิบายไวกอน ขอใหนักศึกษาไปคนควาตอที่
หนังสือ ปทวิจารทีปนี (หนา ๖๔๘) และ วชิรสารัตถสังคหะ (หนา ๘๕)
ถึงตอนนี้นักเรียนคงจะตอบตัวเองในใจไดแลววา ทำไมในหลักสูตร
บาลีไวยากรณ ทานจึงแสดงสังขยาไวเพียง ๒ อยาง คือ ปกติสังขยา และ
ปูรณสังขยา, เพราะลำพังแคสังขยา ๒ อยางนั้น นักเรียนก็จดจำทำความ
เขาใจจะไมไหวแลว ถาทานแสดงสังขยาไวหลายอยาง คงไมเหมาะสำหรับ
นักเรียนผูเริ่มศึกษา
มังคลัตถวิภาวินี
๕๒
สตฺตมคาถายตฺถวณฺณนา
คารวกถา
-๐-
ปณฺฑุปลาส (มงฺคล. ๒/๒๗๔/๒๐๔)
ปณฺฑุปลาส แปลวา ใบไมเหลือง (ใบไมเกา), คนเตรียมบวช, คนจะ
ขอบวช๑ เชน ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๒๗๔ วา ตตฺถ ปณฺฑุปลาสสฺส
ถาลเก ปกฺขิปตฺวาป ทาตุ วฏติ ฯ [บรรดาคนเหลานั้น สำหรับปณฑุปลาส
แมจะใสภาชนะใหก็ควร]
วตฺตํ/วฏฏํ แปลวา ค่าใช้สอย (มงฺคล. ๒/๒๗๗/๒๐๗-๘)
นักเรียนคอนขางคุนเคยคำวา วตฺต ที่แปลวา วัตร พอมาพบ วตฺต ที่
แปลวา ทรัพยคาอาหาร ก็สงสัย, ผูเขียนนี้คนควาแลว บันทึกไวดังนี้
วตฺต ในคำวา ปกติวตฺตํ และ ปากวตฺตโต ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒
ขอ ๒๗๗ หนา ๒๐๗-๒๐๘ ทานแปลวา ทรัพยคาอาหาร ผูเขียนนี้ไดตรวจดู
อรรถกถาและฎีกาเภสัชชกรณวัตถุที่ทานอางแลว พบวา ในอรรถกถาและ
ฎีกานั้นทานใช วฏ ไมใช วตฺต ในแหลงเดิมจึงเปน ปกติวฏํ, ปากวฏโต
ฉะนั้น นักเรียนที่ตองการขอมูลซึ่งตรงกับแหลงเดิม ควรแก ปกติวตฺตํ เปน
ปกติวฏํ, แก ปากวตฺตโต เปน ปากวฏโต
คำวา ปกติวฏํ ในที่นี้มาในอรรถกถาเภสัชชกรณวัตถุ แหงคัมภีร
สมันตปาสาทิกา๒ สวนคำวา ปากวฏโต มาในสารัตถทีปนีฎีกา๓ แตใน
๑ พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท,
พิมพครั้งที่ ๑๑, (กรุงเทพฯ: บริษัท เอส. อาร. พริ้นติ้ง แมส โปรดักส จำกัด, ๒๕๕๑), หนา
๒๓๔.
๒ วินย.อ. ๑/๕๘๑.
๓ สารตฺถ.ฏี. ๒/๔๒๘.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๕๓
อรรถโยชนาวินัยกลับแปลกออกไปวา วตฺต ทานทำเชิงอรรถบอกไววาปาฐะ
เปน วฏ และอธิบายวา ปกติวตฺตํ คือ ปกติทานวตฺตํ๑ (ทรัพยคาอาหาร
หมายถึง ทาน/การให)
ศัพทวา วฏ แปลไดหลายอยาง แตในที่นี้แปลวา คาใชสอย
(ปริพฺพย) เปนปุงลิงค๒ เขาใจวาทานถือตามนัยนี้จึงแปล วตฺต (ที่จริงคือ
วฏ) วา ทรัพยคาอาหาร ดังที่กลาวแลว บางอาจารยแปลวา วัตถุอันบุคคล
พึงใหเปนไป, วัตถุเปนเครื่องเปนไป๓
การที่ วตฺต กลายเปน วฏ นี้ ถาวาตามหลักการอาเทสในสนธิแลว
พอเปนไปไดหรือไม ดังตัวอยางที่วา ทุกฺกตํ เปน ทุกฺกฏํ๔ แตหลักการนี้มีผูตั้ง
ขอสังเกตวา การเปลี่ยน ต เปน ฏ มักเปลี่ยนทายธาตุที่มี ร อักษรอยูทาย๕
ขอฝากใหศึกษาคนควากันตอไป
ในขั้นนี้ สรุปไดแตเพียงวา วตฺต ในมังคลัตถทีปนี ไมตรงกับตนแหลง
เดิม และยังไมวินิจฉัยวาที่ถูกควรเปน วตฺต หรือ วฏ หรือถูกทั้งสองอยาง
ในจำนวนหนังสือเรียนตามหลักสูตรบาลีสนามหลวงนี้ ปรากฏศัพทวา
ปากวตฺต อยางนอย ๓ แหง คือ ในหนังสือธัมมปทัฏฐกถาภาค ๓ เรื่อง โจร
ผูทำลายปม (คณฺเภทกโจรวตฺถุ) ๒ แหง และในภาค ๖ เรื่องนันทิยะ
(นนฺทิยวตฺถุ) ๑ แหง๖ รวมกับในมังคลัตถทีปนีนี้เปน ๔ แหง สวนคำวา
ปกติวตฺต นั้นยังหาไมพบในที่อื่น
๑ วินย.โย. ๑/๔๐๙.
๒ อภิธานัปปทีปกา. คาถา ๑๐๑๘.
๓ พันตรี ป. หลวงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ-ไทย, หนา ๖๒๗.
๔ โมคฺ. สูตร ๑.๕๒.
๕ ปทวิจารทีปนี, หนา ๑๙๙.
๖ ธ.อ. ๓/๑๒๔, ธ.อ. ๖/๑๕๕.
มังคลัตถวิภาวินี
๕๔
เพราะปรากฏศัพทในธัมมปทัฏฐกถานี้เอง ในพจนานุกรมบาลี-ไทย
ธรรมบทภาค ๑-๔ อาจารยบุญสืบ อินสาร๑ จึงอธิบายไววา
ปากวตฺตํ (ธนํ) แปลวา ทรัพยอันเปนไปเพื่อวัตถุอันบุคคลพึง
หุงตม วิเคราะหวา
ปจิตพฺพนฺติ ปากํ [ปจ ธาตุ ณ ปจจัย]
ปากสฺส (วตฺถุสฺส) วตฺตตีติ ปากวตฺตํ (ธนํ) [วตฺต ธาตุ อ ปจจัย]
ธมฺมสฺส โกวิทา: หักฉัฏฐีเปนสัตตมี (มงฺคล. ๒/๒๘๕/๒๑๕)
ธมฺมสฺส ในที่นี้เปนฉัฏฐีวิภัตติ แตใชอรรถสัตตมีวิภัตติ พูดอยางไม
เปนทางการวา หักฉัฏฐีเปนสัตตมี ขอวา ธมฺมสฺส โกวิทา๒ ในอรรถกถาทาน
อธิบายไววา เชาปจายนธมฺเม กุสลา๓ จึงแปลวา ฉลาดในธรรม ไม
แปลวา ฉลาดแหงธรรม (ถานักเรียนแปลฉลาดแหงธรรม ถือวาไมมีภูมิรู
จัดเปนศิษยนอกสำนัก) ทั้งนี้มีหลักการวา
ฉัฏฐีวิภัตติใชในอรรถแหงสัตตมีวิภัตติในที่ประกอบดวยบทที่มีอรรถ
วาฉลาด เปนตน๔ เชน มคฺคามคฺคสฺส โกวิทา (ธ.อ. ๘/๑๒๙) [ฉลาดใน
มรรคและไมใชมรรค]
แตในที่บางแหง แมจะประกอบดวยบทที่มีอรรถวาฉลาด ทานก็คงใช
สัตตมีวิภัตติ นั่นเอง ไมใชฉัฏฐีวิภัตติ (มีตัวอยางมาก นำมาแสดงแค ๒ ก็
พอ) เชน ในปณามคาถา แหงธัมมปทัฏฐกถาวา ธมฺมาธมฺเมสุ โกวิโท และ
ปรมัตถทีปนีวา อิทฺธิปาเทสุ โกวิโท๕
๑ บุญสืบ อินสาร, พจนานุกรมบาลี-ไทย ธรรมบทภาค ๑-๔, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิ
สงเสริมสามเณร ในพระสังฆราชูปถัมภ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก, ๒๕๕๕), หนา ๕๑๙.
๒ ขุ.ชา. ๒๗/๓๗/๑๒.
๓ ชา.อ ๑/๓๘๕.
๔ กจฺจายน. สูตร ๓๐๘, รูปสิทฺธิ. สูตร ๓๑๗, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๖๓๙.
๕ ธ.อ. ๑/๑, เถร.อ. ๑/๕๑๙.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๕๕
นิวาตกถา
-๐-
เกสรสีหา : ในราชสีห ๔ ประเภท (มงฺคล. ๒/๒๙๐/๒๒๑)
ในขอความวา ชาติสมฺปนฺนา หิ สุรตฺตหตฺถปาทา เกสรสีหา
ตาทิสสฺส ชรสิคาลสฺส อาณ น กริสฺสนฺติ [เพราะพระยาไกรสรสีหะเปนสัตว
สมบูรณโดยชาติ มีเทาหนาและเทาหลังอันแดงดี จักไมทำตามคำสั่งของสุนัข
จิ้งจอกแกผูเชนกับดวยทาน], ในที่นี้ควรศึกษาเรื่องราชสีหไวเปนความรู
ประกอบ, ในอรรถกถาทานอธิบายไววา ราชสีห มี ๔ จำพวก ไดแก
๑.ติณราชสีห มีรูปรางเหมือนแมโค สีคลายนกพิราบ และกินหญา
เปนอาหาร
๒.กาฬราชสีห มีรูปรางเปนเหมือนแมโคดำ กินหญาเปนอาหาร
เหมือนกัน
๓.ปณฑุราชสีห มีรูปรางเปนเหมือนแมโคสีคลายใบไมเหลืองกิน
เนื้อเปนอาหาร
๔.ไกรสรราชสีห ประกอบดวย (ลักษณะคือ) ดวงหนา (ที่สวยงาม)
เปนเหมือนมีใครเอาน้ำครั่งมาแตงเติมไวหางที่มีปลายสวยงามและปลายเทา
ทั้ง ๔ ตั้งแตศีรษะของราชสีหนั้นลงไปมีแนวปรากฏอยู ๓ แนวซึ่งเปนเหมือน
มีใครมาแตมไว ดวยสีน้ำครั่ง สีชาด และสีหิงคุ แนวทั้ง ๓ นั้นผานหลังไป สุด
ที่ภายในขาออน เปนวงทักษิณาวรรต ที่ตนคอของไกรสรราชสีหนั้น มีขนขึ้น
เปนพวง เหมือนวงไวดวยผากัมพล ราคาตั้งแสน สวนที่เหลือ ภายใน
รางกายมีสีขาวบริสุทธิ์ เหมือนแปงขาวสาลี และผงจุณแหงสังข๑
บรรดาราชสีห ๔ จำพวกนี้ ไกสรราชสีห เปนยอด คือเปนพระยา
ราชสีห ผูเปนเจาแหงปา๒
๑ สํ.อ. ๒/๔๔๔, องฺ.อ. ๒/๔๘๕, ที.อ. ๓/๑๙.
๒ สุตฺต.อ. ๑/๑๗๑.
มังคลัตถวิภาวินี
๕๖
สนฺตุิกถา
-๐-
อิติ มาสฑฺฒ...วิตกฺกสนฺโตโส นาม (มงฺคล. ๒/๓๐๘/๒๔๐)
ขอวา อิติ มาสฑฺฒ...วิตกฺกสนฺโตโส นาม ทานละขอความที่เหลือไว
นักเรียนพึงนำขอความ ในขอ ๓๐๕ หนา ๒๓๔ มาเติม ดังตอไปนี้
อิติ มาสฑฺฒมาสมตฺต วิตกฺกน วิตกฺกสนฺโตโส นาม ฯ [การตรึกสิ้น
กาลเดือนหนึ่งหรือกึ่งเดือน ดังนี้ ชื่อวา วิตักกสันโดษ]
หายติ (มงฺคล. ๒/๓๑๒/๒๔๕)
ทานแปล หายติ อตฺถมฺหา ในมังคลัตถทีปนี เลม ๒ ขอ ๓๑๒ หนา
๒๔๕ (ในคาถา) เปนกัตตุวาจก วา ยอมเสื่อม จากประโยชนตน [หายติ=
หา ปริหานิยํ+ย+ติ]๑ นี้ไมมีปญหาอะไร
สวน หายติ ในคาถาวา หายตตฺตานํ ขอ ๓๑๓ หนา ๒๔๖ หนังสือ
ฉบับแปลไทยทุกเลมที่ผูเขียนนี้มีในปจจุบัน๒ แปลเปนเหตุกัตตุวาจก วา
ยอมยังประโยชนตนใหเสื่อม ดวยเหตุผลวาทานแก หายติ เปน ชิยฺยติ=
ใหยอยยับ ดังนั้นจึงแปล หายติ เปนเหตุกัตตุวาจกดวย๓ นาสงสัยวา ชิยฺยติ
เปนเหตุกัตตุวาจกจริงหรือ
ในเรื่องวา หายติ และ ชิยฺยติ เปนเหตุกัตตุวาจกนี้ ขอใหบัณฑิต
เมตตาชี้แนะและฝากนักศึกษาคนควากันตอไป เพราะเทาที่คนพบในคัมภีร
๑ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๖๒๙.
๒ หนังสือแปลที่ผูเขียนนี้มีไวเปนที่ปรึกษา ๔ ฉบับ ไดแก ฉบับแปลโดย (๑) มมร.
(๒) พระมหาสมบูรณ ทสฺสธมฺโม (๓) อาจารยบุญสืบ อินสาร และ (๔) สมเด็จพระวันรัต
(เขมจารีมหาเถระ) เรียกวา ฉบับ มหาธาตุวิทยาลัย ส. ธรรมภักดี จัดพิมพ
๓ บุญสืบ อินสาร, คูมือแปลมังคลทีปนี ภาค ๒, พิมพครั้งที่ ๓, (กรุงเทพฯ: สืบสาน
พุทธศาสน, ๒๕๕๖), เชิงอรรถ หนา ๑๙๕.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๕๗
ไวยากรณ ทานวา หายติ และ ชิยฺยติ เปนกัตตุวาจก [ชร+ณฺย+ติ] (แปลง ชร
เปน ชีร หรือ ชิยฺย เชน ชีรติ ชิยฺยติ ยอมแก)๑ เปนไปไดหรือไมวา ณฺย ใน
ที่นี้เปนไดทั้ง ณฺย ปจจัยประจำหมวดจุรธาตุ ในกัตตุวาจก และเปนทั้ง ณฺย
ปจจัยในเหตุกัตตุวาจกดวย
อีกประการหนึ่ง นาสังเกตวา คาถาในมังคลัตถทีปนี ขอ ๓๑๓ ไมตรง
กับอรรถกถาวิภังคชื่อสัมโมหวิโนทนีที่ทานอาง คือในมังคลัตถทีปนีนี้ปรากฏวา
อตฺริจฺฉํ อติโลเภน อติโลภมเทน จ
เอวํ โส หายตตฺตานํ จนฺทํว อสิตาภุยาติฯ
สวนในอรรถกถาวิภังคชื่อสัมโมหวิโนทนีที่ใชอางอิงกันในปจจุบัน
(ทั้ง ฉบับ มจร. มมร.) วา
อตฺริจฺฉา อติโลเภน อติโลภมเทน จ
เอวํ หายติ อตฺถมฺหา อหํว อสิตาภุยาติฯ๒
ทานทำเชิงอรรถวา อตฺริจฺฉา ฉบับพมาเปน อตฺริจฺฉํ คาถานี้ไมตรงกับ
ที่ทานแจงไวในมังคลัตถทีปนี แตกลับไปตรงกับอรรถกถาอสิตาภุชาดก๓
ถึงตอนนี้ก็ตองขอฝากใหศึกษากันตอไป วา ใน ๒ คัมภีรคืออรรถกถา
วิภังคที่ใชกันในปจจุบันกับมังคลัตถทีปนี คัมภีรไหนถูกชำระจนขอความตก
หลนจนแตกตางกัน
ที่จริงขอความในมังคลัตถทีปนี ขอ ๓๑๓ (แกอรรถใตคาถา) ที่วา
หายติ ชิยฺยติ นั้น ในอรรถกถาวิภังคซึ่งเปนตนแหลงเดิมทานใชศัพทตางกัน
วา หายติ ชียติ๔ ซึ่งเมื่อตรวจดูคัมภีรบาลีไวยากรณ แลวก็ทราบวา ชียติ
เปนกัตตุวาจก [เช+อ+ติ] มีอรรถเดียวกับ หายติ ศัพทวา ชียติ ประกอบดวย
๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๐๑๘ หนา ๙๗๐.
๒ วิภงฺค.อ. ๑/๗๕๖.
๓ ชา.อ. ๓/๓๕๙.
๔ วิภงฺค.อ. ๑/๗๕๖.
มังคลัตถวิภาวินี
๕๘
เช ธาตุในความสิ้น, เสื่อม แปลง เอ เปน อีย ชียติ ยอมเสื่อม๑ เปนกัตตุ
วาจก
สวนในมังคลัตทีปนี ขอ ๓๑๓ ที่วา ตํ ชิยฺยติ จนฺทกินฺนรึ ในฎีกา
วิภังค๒ ฉบับที่ใชในปจจุบันกลับเปน นํ ชีรติ จนฺทกินฺนรึ
แตถึงอยางไรก็ตาม ทั้งที่ทราบวาขอความไมตรงกับอรรถกถาและ
ฎีกา นักเรียนก็ควรยึดขอความในหนังสือเรียน (คือมังคลัตถทีปนี) นี้เปน
หลัก ควรแปลแบบรักษาขอความที่ปรากฏในหนังสือเรียนนี่เอง ไมควรดวน
ไปแกไขขอมูลของทานจนเสียรูปเดิม ซึ่งจะมีผลเสียในระยะยาว
สรุปวา หายติ ในขอ ๓๑๒ ทานแปลเปน กัตตุวาจก สวนในขอ ๓๑๓
ทานแปลเปน เหตุกัตตุวาจก ถูกผิดอยางไรขอฝากใหบัณฑิตรวมกัน
พิจารณา
ปญฺาเปสิ : เป็นทัง กัตตุ. และ เหตุ.กัต.? (มงฺคล. ๒/๓๒๗/๒๕๗)
ปฺาเปสิ บัญญัติแลว, ตั้งไวแลว, ปูลาดแลว ป+ป ธาตุ ในความ
บัญญัติ, แตงตั้ง, ปูลาด (นิกฺเขปเน)+เณ ปจจัย ในหมวดจุรธาตุ+อี อัชชัตตนี
วิภัตติ ลง ส อาคม รัสสะ อี เปน อิ, มีรูปเปนรัสสะก็มี เชน ปฺเปติ๓
เปนกัตตุวาจก
อีกนัยหนึ่งวา ปฺาเปสิ เปนเหตุกัตตุวาจก แปลวา ให...รูโดย
ประการตาง ประกอบดวย ป+า ธาตุ ในความรู (อวโพธเน)+ณาเป
ปจจัย+อี อัชชัตตนีวิภัตติ ลง ส อาคม รัสสะ อี เปน อิ๔
๑ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๑๑๗.
๒ วิภงฺค.มูลฏี. ๑/๒๓๖.
๓ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๘๒๗.
๔ พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และคณะ, วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๕ ฉบับ
แกไข/ปรับปรุง, (กรุงเทพฯ : ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๒), หนา ๕๑.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๕๙
ปริสฺสยานํ สหิตา (มงฺคล. ๒/๓๕๑/๒๖๘)
สหิตา [สหฺ+อิ+ตุ+สิ] ในขอวา ปริสฺสยานํ สหิตา แปลวา ครอบงำ,
คำวา สหิตา ประกอบดวย สหฺ ธาตุ ตุ ปจจัย๑ ในนามกิตก ลง สิ ปฐมา-
วิภัตติ เอกวจนะ
วิเคราะหวา สหตีติ สหิตา ผูครอบงำ/ผูทนทาน (ลง อิ อาคม)๒,
เปนกัตตุรูป กัตตุสาธนะ, ศัพทเดิมเปน สหิตุ แจกแบบ สตฺถุ เอา อุ การันต
กับ สิ เปน อา๓
กปฺป ศัพท์ : ใชในอรรถเปรียบเทียบ (มงฺคล. ๒/๓๕๒/๒๖๙)
กปฺป ในคำวา ขคฺควิสาณกปฺโป แปลวา เหมือน/เชนกับ/เสมือน มี
ความหมายเดียวกับ สทิส เพราะใชในอรรถวาเปรียบเทียบ (ปฏิภาค)
ความจริง กปฺป ศัพทนี้ มีความหมายหลายอยาง เชน อภิสทฺทหน
(เชื่อ, เชื่อถือ), โวหาร (กลาว, พูด, บอก), กาล (เวลา, สมัย) ปฺตฺติ (ชื่อ,
ชื่อที่ตั้ง) พึงศึกษาความหมายของ กปฺป ศัพทในคัมภีรสัททนีติธาตุมาลา๔
นิทฺธเม=นิทฺธเมยฺย (มงฺคล. ๒/๓๖๐/๒๗๓)
นิทฺธเม [นิ+ธมฺ สทฺทคฺคิสํโยเคสุ+อ+ติ] พึงกำจัด นิ อุปสัค ธมฺ ธาตุใน
ความเปาและกอไฟ (สทฺทคฺคิสํโยเคสุ) อ ปจจัย เอยฺย สัตตมีวิภัตติ แปลง
เอยฺย เปน เอ๕
๑ กจฺจายน. สูตร ๕๒๗, รูปสิทฺธิ. สูตร ๕๖๘, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๑๐๙.
๒ กจฺจายน. สูตร ๖๐๕, รูปสิทฺธิ. สูตร ๕๔๗; พระมหาศักรินทร ศศพินทุรักษ, หลัก-
ควรจำบาลีไวยากรณ, หนา ๑๙๒.
๓ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, บาลีไวยากรณ วจีวิภาค ภาคที่
๒ นามและอัพยยศัพท, (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๑), หนา ๖๑.
๔ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๘๓๑-๘๓๒.
๕ สัททนีติสุตตมาลา. สูตร ๑๐๘๘; สัททนีติธาตุมาลา. หนา ๓๖๐.
มังคลัตถวิภาวินี
๖๐
กตฺุตากถา
-๐-
ทเท=ททามิ, มุญฺเจ=มุญฺจามิ (มงฺคล. ๒/๓๖๒/๒๗๖)
ทเท [ทา+อ+เอ] ในขอวา ตสฺมา เตส อิณ ทเท [เพราะฉะนั้น เราจึง
ใหหนี้แกลูกนกเหลานั้น], ทเท ในที่นี้ลง เอ วัตตมานาวิภัตติ ฝายอัตตโนบท
ใชแทน มิ, มีตัวอยางปรากฏอยูบาง เชน
วนฺเท = วนฺทามิ๑
ลเภ = ลภามิ๒
กเร = กโรมิ๓
แมคำวา มุฺเจ ในคาถาเดียวกันนี้ ก็พึงทราบวา มุฺเจ=มุฺจามิ ใช
เอ แทน มิ ฯ
คตโยพฺพนา (มงฺคล. ๒/๓๖๒/๒๗๖)
คตโยพฺพนา เปนตติยาพหุพพิหิสมาส แปลโดยพยัญชนะวา “มีความ
เปนหนุมสาวอันถึงแลว” แปลโดยมุงเอาความวา “ผานวัยหนุมสาวแลว”
วิเคราะหวา
คตํ โยพฺพนํ เยหิ เต คตโยพฺพนา (มาตา ปตา จ) [ความเปนหนุม
สาว อันมารดาและบิดาเหลาใดถึงแลว มารดาและบิดาเหลานั้นชื่อวา มี
ความเปนหนุมสาวอันถึงแลว]
คำวา โยพฺพนํ วิ. ยุวสฺส ภาโว โยพฺพนํ [ความเปนหนุมสาวชื่อวา
โยพพนะ] ลง ณ ปจจัย ในภาวตัทธิต, พฤทธิ์ อุ เปน โอ แปลง ว เปน พ
๑ สํ.อ. ๑/๔๗๗.
๒ เถร.อ. ๒/๑๓๘.
๓ ชา.อ. ๓/๒๑๕.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๖๑
ซอน พฺ ลบ ณ ลง น อาคม๑, อีกมติหนึ่งวา ลง นณฺ ปจจัยในภาวตัทธิต
(ปจจัยนอกแบบ)๒
อนฺธการํ วิย (มงฺคล. ๒/๓๖๙/๒๘๐)
อนฺธการ ในขอวา อนฺธการภูโตติ อนฺธการํ วิย ภูโต ชาโตฯ นาสงสัย
วา ทำไมทานแกเปน อนฺธการํ วิย ไมเปน อนฺธกาโร วิย; ในพจนานุกรมทาน
วา อนฺธการ เปนปุงลิงค๓
อนฺธการาวตฺถํ (มงฺคล. ๒/๓๖๙/๒๘๐)
อนฺธการาวตฺถํ ในขอวา อปฺปกาสภาเวน อนฺธการาวตฺถํ วา ปตฺโต...ฯ
ฉบับ มมร. แปลวา ความตั้งลงในความมืด สนามหลวงแผนกบาลี แปลเฉลย
ขอสอบ พ.ศ. ๒๕๓๓ วา การกำหนดเปนผูมืด พระมหาสมบูรณ ทสฺสธมฺโม
แปลวา การกำหนดวาเปนผูมีความมืด
พึงสังเกตวา อวตฺถํ ในหนังสือที่แปลกอนๆ ทานแปลวา ความตั้งลง
ในยุคตอมาแปลวา การกำหนด
อนฺธการาวตฺถํ วิเคราะหวา อนฺธกาโร อิติ อวตฺถา อนฺธการาวตฺถา
ลง อํ ทุติยาวิภัตติ ไดรูปเปน อนฺธการาวตฺถํ
อวตฺถา [อว+ถา คตินิวตฺติยํ+อ+ตฺสํโยโค] เปนอิตถีลิงค ประกอบดวย
อว บทหนา ถา ธาตุในความยับยั้งการไป อ ปจจัย ซอน ตฺ
ในธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ ทานวา ถา ธาตุ (าเน) ใชในการตั้งอยู
ยืนอยู หยุดอยู กำหนด มั่นคง, อยูในหมวด ภู ธาตุ๔
๑ รูปสิทฺธิ. สูตร ๓๘๘.
๒ โมคฺ. สูตร ๔.๖๑.
๓ อภิธานัปปทีปกา, คาถา ๗๐.
๔ ธาตวัตถสังหคปาฐนิสสยะ, คาถา ๑๗๔.
มังคลัตถวิภาวินี
๖๒
ในสัททนีติธาตุมาลา (ฉบับแปล) ทานแปล อวตฺถา วา การดำรงอยู-
โดยชั่วครั้งชั่วคราว สวนคำวา การกำหนดนั้น ทานใชศัพทที่ประกอบดวย
ธาตุเดียวกันนี้แหละ แตไดรูปวา ววตฺถานํ๑
ขอวา อนฺธการาวตฺถํ วา ปตฺโต นี้ เมื่อเทียบกับฎีกาพบวาทานใชตาง
ไปวา อนฺธการตฺตํ วา ปตฺโต๒ แปลวา ถึงความมืด
ตโตเยว ใช้ในอรรถเหตุ (มงฺคล. ๒/๓๗๑/๒๘๑)
โต ปจจัยในขอวา ตโตเยว สา มงฺคล ฯ [เพราะเหตุนั้นนั่นแล ความ
เปนผูกตัญูนั้น จึงชื่อวา เปนมงคล] ลงในอรรถเหตุ แปลวา เพราะ เชน
ตโตติ ตสฺมา๓, ความจริง โต ปจจัยเปนเครื่องหมายไดหลายวิภัตติ๔
อมฺพณก=เรือโกลน (มงฺคล. ๒/๓๗๒/๒๘๓)
อมฺพณก แปลกันวา เรือโกลน; ตามรูปศัพท แปลวา เรือที่ใชบรรทุก
น้ำ (อมฺพุํ เนติ อเนนาติ อมฺพณํ อาเทศ อุ เปน อ, น เปน ณ, ลบสระหนา)
หรือ เรือที่สงเสียง ชื่อวา อัมพณะ (อมฺพ สทฺเท+ยุ, อาเทศ ยุ เปน อน, น
เปน ณ)๕
เรือโกลน ในภาษาไทย หมายถึง เรือที่ทำจากซุง เพียงเปดปกเจียน
หัวเจียนทายเปนเลาๆ พอใหมีลักษณะคลายเรือแตยังไมไดขุด๖
๑ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๑๙๓.
๒ ที.ฏี. ๓/๓๐๕, องฺ.ฏี. ๒/๓๙๕, สํ.ฏี. ๑/๒๐๗.
๓ อุ.อ. ๓๑๔, เปต.อ. ๑๕๔.
๔ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๔๙๓, ๔๙๖.
๕ อภิธานวรรณนา, คาถา ๖๖๘.
๖ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๖๓
สหตฺถา : ศัพทที่แปลงเปน ส (มงฺคล. ๒/๓๗๒/๒๘๔)
สหตฺถา วิเคราะหวา สยํ (แทน อตฺตโน) หตฺโถ สหตฺโถ ลง สฺมา
ปญจมีวิภัตติ ใชในอรรถแหงตติยาวิภัตติ แปลง สฺมา กับ อ เปน อา
สำเร็จรูปเปน สหตฺถา แปลวา ดวยมือของตน ทานอธิบายไวในคัมภีรสมันต-
ปาสาทิกา อรรถกถาวินัย วา สหตฺถาติ สหตฺเถนฯ๑
ส ในที่นี้สองอรรถ อตฺตโน นั่นเอง, ตามหลักไวยากรณที่เรียนกันมา
วา สยํ แปลงเปน ส หรือ สก ใชเปนคุณบทไดทั้งสองวจนะ ใชแทน อตฺต
ศัพท๒
ความจริงในบาลีที่ศึกษากันนี้มีหลายศัพทที่สามารถแปลงเปน ส ได
ดังที่ทานกลาวไวในหนังสือสังวรรณนามัญชรี โดยอางถึงคัมภีรปทวิจารคัณฐิ
คัมภีรปทวิจารคัณฐิ (หนา ๓๓๔) กลาววา คำที่สามารถแปลงเปน ส
ได มีดังนี้ คือ สพฺพ, สนฺต, สห, สมาน, ต, อตฺต, ม
ตัวอยางเชน
สทา = สพฺพ ศัพท + ทา ปจจัย (ในกาลทุกเมื่อ)
สทฺธมฺม = สนฺต ศัพท + ธมฺม ศัพท (ธรรมของสัตบุรุษ)
สเทว = สห ศัพท + เทว ศัพท (ผูเปนไปกับดวยเทวดา)
สวณฺณ = สมาน ศัพท + วณฺณ ศัพท (ผูมีผิวพรรณเหมือนกัน)
โส = ต ศัพท + สิ วิภัตติ (บุรุษนั้น)
สก = อตฺต ศัพท + ณ ปจจัย (ของตน)
อสุ = อมุ ศัพท + สิ วิภัตติ (บุรุษโนน)
๑ วินย.อ. ๑/๒๓๑; สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๕๕๔; สังวรรณนามัญชรี, หนา ๗๘.
๒ มหามกุฏราชวิทยาลัย, อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท, หนา ๒๕.
มังคลัตถวิภาวินี
๖๔
อภิราธเย (มงฺคล. ๒/๓๘๑/๒๙๗)
อภิราธเย [อภิ+ราธ+ณย+เอยฺย] ในบาทคาถาวา เนว นํ อภิราธเย
แปลวา ไมพึงยังเขาใหยินดี ประกอบดวย อภิ บทหนา+ราธ ธาตุ ในความ
ยินดี+ณย ปจจัย เอยฺย วิภัตติ
ราธ ธาตุจัดอยูในหมวด ทิว ธาตุ และ สุ ธาตุ สำหรับ ราธ ธาตุที่ลง
ในหมวด ทิว ธาตุ มีรูปเปนกัตตุวาจกวา อาราธยติ, อารชฺฌติ มีรูปเปน
เหตุกัตตุวาจกวา อาราเธติ, อาราธยติ, อาราธาเปติ๑
ทชฺชา (มงฺคล. ๒/๓๘๑/๒๙๗)
ทชฺชา ในคาถา ขอ ๓๘๑ แปลวา พึงให และแกอรรถวา ทเทยฺย, ทา
ธาตุ ในความให อ ปจจัย เอยฺย วิภัตติ แปลง ทา ธาตุ เปน ทชฺช๒ แปลง
เอยฺย เปน อา๓, ที่จริง ทชฺชา ลง ตฺวา และ ณฺย ปจจัยก็ได๔
ทชฺชา ทา ธาตุ ลง ตฺวา ปจจัย ไดรูปเปน ททิยฺย ในเพราะ ยฺย อักษร
เบื้องหลัง ใหลบสระ (ลบสระ อิ ที่ ทิ=ททฺยฺย) เพราะพยัญชนะสังโยค
ทั้งหลาย (๓ ตัว) ใหลบพยัญชนะสังโยคที่มีรูปเหมือนกัน (=ทยฺย) แปลง ทฺย
อักษรสังโยคเปน ชฺช(=ทชฺช) และทำทีฆะ สำเร็จรูปเปน ทชฺชา แปลวา ใหแลว
ทชฺชา ลง ณฺย ปจจัย (ทา+ณฺย ปจจัย) เทฺวภาว ทา (=ทาทาย) รัสสะ
ตัวหนา (=ททาย) ในเพราะ ย อักษรเบื้องหลัง ใหลบสระ (=ททฺย) แปลง ทฺย
เปน ชฺช (ทชฺช) ลง อา ปจจัยเพราะเปนอิตถีลิงค สำเร็จรูปเปน ทชฺชา
แปลวา อันเขาพึงให เชน ทกฺขิณา ทชฺชา ฯ
๑ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๖๐๖, พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และคณะ, วิชา
สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๗ ฉบับแกไข/ปรับปรุง, (กรุงเทพฯ : ประยูรสาสนไทย
การพิมพ, ๒๕๕๒), หนา ๑๔๖.
๒ รูปสิทฺธิ. สูตร ๕๐๗.
๓ อธิบายบาลีไวยากรณ อาขยาต, หนา ๙๓.
๔ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๒๑๗-๒๒๐.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๖๕
ธมฺมสฺสวนกถา
-๐-
อหนิ=ในวัน (มงฺคล. ๒/๓๘๓/๓๐๐)
อหนิ ในขอวา ปฺจเม ปฺจเม อหนิ ภวนฺติ ปฺจาหิกํ ฯ [การฟง
ธรรมมีในวันที่ ๕ ๆ เหตุนั้นจึงชื่อวา ปญจาหิก]
อหนิ เปนปุงลิงคและนปุงสกลิงค ศัพทเดิมเปน อห ลง สฺมึ สัตตมี-
วิภัตติ เอกวจนะ แปลง สฺมึ กับ อ เปน นิ๑ แปลวา ในวัน
อห มีวิเคราะหวา ปจฺจาคมนํ น ชหาตีติ อหํ [กลางวันที่เวียนกลับมา
ไมเวน ชื่อวา อหะ] อาเทศ น เปน อ, ลบสระหนา๒
อุปฺปชฺชนฺตาปิ ...วุจฺจนฺติ (มงฺคล. ๒/๓๘๙/๓๐๔)
ขอวา สภาคปฺปจฺจยวเสน ปุน อุปฺปชฺชนฺตาป...วุจฺจนฺติ กิจฺจ-
สาธนวเสน ปวตฺตนโต ฯ ทานละขอความที่เหลือไว นักเรียนพึงนำขอความ
ขอ ๓๘๘ หนา ๓๐๓ มาเติม ดังนี้
สภาคปฺปจฺจยวเสน ปุน อุปฺปชฺชนฺตาป ตสฺมึ สมเย ภาวนาปาริปูรึ
คจฺฉนฺติ อิจฺเจว วุจฺจนฺติ กิจฺจสาธนวเสน ปวตฺตนโต ฯ
[แมโพชฌงคที่เกิดขึ้นดวยสามารถปจจัยมีสวนเสมอกันพระผูมี-
พระภาค ยอมตรัสวา ในสมัยนั้นยอมถึงความเจริญเต็มที่ เพราะเปนไปดวย
สามารถยังกิจใหสำเร็จ]
๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๔๐๔ หนา ๒๘๖.
๒ อภิธานวรรณนา, คาถา ๖๗.
มังคลัตถวิภาวินี
๖๖
กุสโล เภริสทฺทสฺส, กุสโล สงฺขสทฺทสฺส (มงฺคล. ๒/๓๙๐/๓๐๕-๓๐๖)
เภริสทฺทสฺส ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ หนา ๓๐๕ และ สงฺขสทฺทสฺส
ในหนา ๓๐๖ ใหแปลหักฉัฏฐีวิภัตติเปนสัตตมีวิภัตติ แปลวา ในเสียงกลอง
และ ในเสียงสังข ดวยอำนาจ กุสล ศัพท
ทั้งนี้มีหลักการทั่วไปวา ฉัฏฐีวิภัตติใชในอรรถแหงสัตตมีวิภัตติในที่
ประกอบดวยบทที่มีอรรถวา ฉลาด เปนตน๑
ปุตฺตกํ : ก ปัจจัยแปลได้หลายอย่าง (มงฺคล. ๒/๓๙๔/๓๑๐)
ก ปจจัยในตัทธิต (ปจจัยนอกแบบ) ใชในอรรถวานอย เชน คำวา
ปุตฺตกํ แปลวา บุตรนอย
นอกจากนี้แลว ก ปจจัยยังใชในอรรถวา ไมดี นาเอ็นดู เปรียบเทียบ
นารังเกียจ และใชในอรรถสกัตถะ๒
แมคำวา หตฺถิโก ก็ลง ก ปจจัยใชในอรรถวาเปรียบเทียบ จึงแปลวา
ตุกตาชาง/เหมือนชาง
มา กโรสิ : วิธีการใช้ มา ปฏิเสธ (มงฺคล. ๒/๓๙๖/๓๑๒)
มา กโรสิ ในขอวา เถโร อาห อาวุโส พุทฺธรกฺขิต เอตฺตเกเนว
ปพฺพชิตกิจฺจ เม มตฺถกมฺปตฺตนฺติ สฺ มา กโรสีติ ฯ แปลวา [พระเถระ
กลาววา พุทธรักขิตผูมีอายุ คุณอยาทำความสำคัญวา กิจแหงบรรพชิตของ
เราถึงที่สุดแลวดวยเหตุเพียงเทานี้ทีเดียว]
นักเรียนเห็นวา กโรสิ นี้ลง สิ วัตตมานาวิภัตติ เพราะทานขึ้น ตฺวํ
(คุณ) มาเปนประธาน ทำใหสงสัยตอไปอีกวา ทำไมตองใช มา ปฏิเสธกิริยา
๑ รูปสิทฺธิ. สูตร ๓๑๗; ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑, หนา ๑๑๐๒.
๒ โมคฺคลฺลาน. สูตร ๔.๔๐, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๘๓๕ หนา ๘๒๙.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๖๗
ที่เปนวัตตมานาวิภัตติ เพราะเรียนกันมาวา มา ปฏิเสธกิริยาที่ลงปญจมี
และอัชชัตตนีวิภัตติเทานั้น ฯ
ในขั้นแรกนี้ ขอใหนักเรียนทราบวา เปนความจริงวา ในชั้นเรียนบาลี-
ไวยากรณ ตามหลักสูตรที่เรียนกันนี้ “มา ศัพท ปฏิเสธกิริยาหมวดปญจมี-
วิภัตติและอัชชัตตนีเทานั้น ใชกับกิริยาที่เปนวิภัตติอื่นไมได”๑ (นี้ถือวาเปน
หลักการทั่วไป) สอดคลองกับสัททนีติสุตตมาลาวา มา ศัพท โดยมาก
ประกอบกับกิริยาหมวดหิยัตตนีวิภัตติ และอัชชัตตนีวิภัตติ ประกอบกับ
กิริยาหมวดปญจมีวิภัตติบาง๒
แตถึงอยางไรก็ตาม ปรากฏวา ทานใช มา ศัพทปฏิเสธกิริยาหมวด
อื่นๆ นอกจากปญจมีวิภัตติและอัชชัตตนีวิภัตตินั้นบาง (นี้ถือวาเปน
ขอยกเวน) เชน
๑) มา ปฏิเสธกิริยาหมวดวัตตมานาวิภัตติ
มา เต อปฺปมตฺตกสฺส การณา มม อากาเส อุปฺปตนํ รุจฺจติ...ฯ๓
[การเหาะขึ้นไป ในอากาศ แหงเรา เพราะเหตุแหงบาตร อันมีประมาณนอย
อันทาน อยาชอบใจอยู]
๒) มา ปฏิเสธกิริยาหมวดสัตตมีวิภัตติ
มา กเถยฺยาสิ...ฯ [ทาน อยาพึงกลาว], มา อาหเรยฺยาสิ...ฯ [เจา อยา
พึงนำมา]๔
๓) มา ปฏิเสธกิริยาหมวดปโรกขาวิภัตติ
มา เทว ปริเทเวสิ [ขอเดชะ พระองค อยาไดคร่ำครวญเลย]๕
๑ มหามกุฏราชวิทยาลัย, อุภัยพากยปริวัตน, ขอ ๑๗.
๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๘๘๘-๘๘๙ หนา ๘๘๕.
๓ ธ.อ. ๖/๖๘. (ยมกปฺปาฏิหาริยวตฺถุ)
๔ ธ.อ. ๓/๖๒, ๖๙. (วิสาขาวตฺถุ)
๕ สัททนีติสุตตมาลา, หนา ๘๙๐.
มังคลัตถวิภาวินี
๖๘
สำหรับคำวา กโรสิ นี้ ลง สิ วัตตมานาวิภัตติ ดังที่ทานแจกรูปไว
ในสัททนีติธาตุมาลาวา กโรติ, กโรนฺติ, กโรสิ, กโรถ เปนตน สวน กร ธาตุที่
ประกอบหมวดอัชชัตตนีวิภัตติ ไดรูปเปน อกริ, กริ, อกาสิ, อกรุ, อกรึสุ
อกํสุ อกํสุ เปนตน๑
นักเรียนบางรูปบอกวา กโรสิ ในที่นี้ ไมไดลง สิ วัตตมานาวิภัตติ แต
ลง อี อัชชัตตนีวิภัตติ ใชแทน โอ อัชชัตตนีวิภัตติ [กร+โอ ปจจัยประจำ
หมวดธาตุ+อี อัชชัตตนีวิภัตติ ใชแทน โอ อัชชัตตนีวิภัตติ] ดังที่ทานกลาววา
โอ อัชชัตตนีวิภัตติ ใช อี ปฐมบุรุษแทนโดยมาก๒
มํ น ปฏิภาติ : หักทุติยาเปนจตุตถีและฉัฏฐีวิภัตติ (มงฺคล. ๒/๓๙๗/๓๑๒)
ขอความวา เอกจฺโจ ปน อยํ คมฺภีโร สุณนฺตํ มํ น ปฏิภาตีติ
คมฺภีรธมฺมํ น โสตุมิจฺฉติ ฯ
แปลกันวา “อนึ่ง กุลบุตรบางคนคิดวา ธรรมนี้ลึกซึ้ง ยอมไมแจมแจง
กะเรา ผูฟงอยู ดังนี้แลว ยอมไมปรารถนาจะฟงธรรมอันลึกซึ้ง”
มํ ในขอความดังกลาว ควรแปลวา ของเรา หรือ แกเรา ทั้งนี้เพราะมี
หลักการที่ทานแสดงในคัมภีรบาลีไวยากรณวา
ในที่ประกอบดวย อนฺตรา (ระหวาง), อภิโต (ภายใน), ปริโต
(โดยรอบ), ปติ (ใกล), และ ปฏิ หนา ภา ธาตุ (ปรากฏ) ใหทุติยาวิภัตติใชใน
อรรถฉัฏฐีวิภัตติ๓ เฉพาะขอวา มํ ปฏิภาติ นี้ทานแนะใหเพิ่มคำวา าณสฺส
เขามาแปล
ในที่นี้แปลใหมตามนัยคัมภีรบาลีไวยากรณ วา
๑ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๖๙๖, ๗๐๒.
๒ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, บาลีไวยากรณ วจีวิภาค
ภาคที่ ๒ อาขยาต และกิตก, เชิงอรรถที่ ๓ หนา ๑๕๓.
๓ รูปสิทฺธิ. สูตร ๒๘๙.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๖๙
[อนึ่ง กุลบุตรบางคนคิดวา ธรรมนี้ลึกซึ้ง ยอมไมปรากฏ (แกญาณ)
ของเรา ผูฟงอยู ดังนี้แลว ยอมไมปรารถนาจะฟงธรรมอันลึกซึ้ง]
ถึงแมในคัมภีรปทรูปสิทธิเปนตน ทานกลาววา ลงทุติยาวิภัตติใน
อรรถของฉัฏฐีวิภัตติ โดยเพิ่มบทวา าณสฺส (แกญาณ) เขามา สวนใน
คัมภีรอรรถกถาและฎีกา กลาววา ลงทุติยาวิภัตติในอรรถสัมปทาน (จตุตฺถี)
แปลใหมตามนัยอรรถกถาและฎีกาวา
[อนึ่ง กุลบุตรบางคนคิดวา ธรรมนี้ลึกซึ้ง ยอมไมปรากฏ แกเรา ผูฟง
อยู ดังนี้แลว ยอมไมปรารถนาจะฟงธรรมอันลึกซึ้ง]
ตัวอยางที่ทานแสดงไวในอรรถกถาและฎีกา เชน
อุปมา มํ อาวุโส สาริปุตฺต ปฏิภาตีติ มยฺหํ อาวุโส สาริปุตฺต อุปมา
อุปาติ...ปฏิภาตุ ตนฺติ ตุยฺหํ ปฏิภาตุ อุปาตุ ฯ๑
[...ทานพระสารีบุตร ขอเปรียบเทียบปรากฏแกกระผม...จงปรากฏแก
ทาน]
พึงเห็นวา มํ ในที่นี้ทานแกเปน มยฺหํ สวน ตํ แกเปน ตุยฺหํ ฉะนั้นใน
ฎีกาทานจึงอธิบายตอไปอีกวา
มํ ตนฺติ จ อุปโยควจนํ ปฏิสทฺทโยเคนฯ อตฺโถ ปน สมฺปทานเมวาติ
อาห มยฺหํ ตุยฺหนฺติ จ ฯ๒
[คำวา มํ ตํ ลงทุติยาวิภัตติ เพราะประกอบดวย ปฏิ ศัพท แตมี
ความหมายเปนสัมปทานเทานั้น ดังนั้น ทานจึงกลาววา มยฺหํ (แกกระผม)
ตุยฺหํ (แกทาน)]
ฉะนั้น มํ (ทุติยาวิภัตติ) ในที่ประกอบดวย ปฏิ นี้ จึงควรแปลวา แก
เรา (จตุตถีวิภัตติ) , หรือ ของเรา (ฉัฏฐีวิภัตติ)
๑ ม.อ. ๑/๒๕๗.
๒ ม.ฏี. ๑/๓๑๗.
มังคลัตถวิภาวินี
๗๐
กานนํ = ดง ป่ า หมู่ไม้ (มงฺคล. ๒/๓๙๗/๓๑๓)
กานนํ [ก+อนนํ] วิ. เกน ชเลน อนนํ ปาณนํ อสฺสาติ กานนํ ฯ [ปาที่
เปนอยูไดดวยน้ำ ชื่อวา กานนะ] (ลบสระหนา, ทีฆะสระหลัง) หรือ
กานนํ [กุ สทฺเท+ยุ] วิ. ตมชฺฌนฺติกสมเย กวติ สทฺทํ กโรตีติ วา
กานนํ, โกกิลมยูราทโย กวนฺติ สทฺทายนฺติ กูชนฺติ เอตฺถาติ วา กานนํ ฯ
[ชื่อวา กานนะ เพราะมีเสียงดังในเวลาเที่ยงวัน อีกนัยหนึ่ง ชื่อวา กานนะ
เพราะเปนสถานที่รองของเหลาสัตวมีนกดุเหวาและนกยูง เปนตน] (ลบสระ
หนา, อาเทศ ยุ เปน อานน)๑
ปาทป=ต้นไม้ (มงฺคล. ๒/๓๙๗/๓๑๓)
ปาทป ในคำวา มหิรุหปาทปคหนสงฺขาต แปลตามรูปศัพทวา สิ่งที่
ดูดน้ำดวยราก หมายถึง ตนไม, วิ. ปาเทน มูเลน ปวตีติ ปาทโป๒ [ปาท+ปา
ธาตุ ในความดื่ม+อ ปจจัย] ธรรมชาติใดดื่มดวยเทาคือราก ธรรมชาตินั้นชื่อ
วา ปาทปะ
ปริปูเรนฺติ (เชน มงฺคล. ๒/๓๙๙/๓๑๖)
ปริปูเรนฺติ เปนไดทั้งกัตตุวาจก และเหตุกัตตุวาจก ที่เปนกัตตุวาจกลง
เณ ปจจัยประจำหมวด จุร ธาตุ สวนที่เปนเหตุกัตตุวาจก จัดลงในหมวด ภู
ธาตุ ลง เณ ปจจัยในเหตุกัตตุวาจก๓
ปริปูเรนฺติ [ปริ+ปูร+เณ+อนฺติ] ปูร ธาตุ ในความเต็ม, ใหเต็ม (ปูรณมฺหิ)
ธาตุนี้จัดลงใน ๒ หมวดธาตุ คือ หมวด ภู ธาตุ และหมวด จุร ธาตุ๔
๑ อภิธานวรรณนา, คาถา ๕๓๖.
๒ อภิธานวรรณนา, คาถา ๕๓๙.
๓ พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และคณะ, วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๕ ฉบับ
แกไข/ปรับปรุง, (กรุงเทพฯ : ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๒), หนา ๒๐๙.
๔ พระวิสุทธาจารมหาเถระ รจนา, พระราชปริยัติโมลี (อุปสโม) และคณะ ปริวรรต,
ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, (กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕), หนา ๒๕๘.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๗๑
ปูร ธาตุที่จัดเขาในหมวด จุร ธาตุนั้น ในกัตตุวาจกลง เณ ปจจัย
ประจำหมวดธาตุ จึงสำเร็จเปน ปริปูเรนฺติ (ยอมเต็ม, ยอมบริบูรณ) นี้
เปนกัตตุวาจก สวน ปูร ธาตุที่จัดเขาในหมวด จุร ธาตุ ในเหตุกัตตุวาจก ลง
ณาเป หรือ ณาปย ปจจัย ไดรูปเปน ปูราเปนฺติ หรือ ปูราปยนฺติ (ยอม..ให
เต็ม)
ปูร ธาตุที่จัดเขาในหมวด ภู ธาตุนั้น ในกัตตุวาจกลง อ ปจจัยประจำ
หมวดธาตุ จึงสำเร็จเปน ปริปูรนฺติ (ยอมเต็ม, ยอมบริบูรณ) นี้เปนกัตตุวาจก
สวน ปูร ธาตุที่จัดเขาในหมวด ภู ธาตุ ในเหตุกัตตุวาจก ลง เณ ณย ณาเป
ณาปย ปจจัย ไดรูปเปน ปริปูเรนฺติ, ปริปูรยนฺติ, ปริปูราเปนฺติ, ปริปูราปยนฺติ
(ยอมยัง...ใหเต็ม)
ฉะนั้น บทวา ปริปูเรนฺติ จึงเปนไดทั้งกัตตุวาจก และเหตุกัตตุวาจก
นักศึกษาพึงสังเกตเนื้อความในที่นั้นๆ ใหดีวาควรแปลเปนวาจกอะไร
ทริโต (มงฺคล. ๒/๔๐๑/๓๑๗)
ทริโต [ทร เภทเน+อิ อาคม+ต] แปลวา อัน...ทำลายแลว, ในที่นี้ แปล
เอาความวา อันน้ำเซาะแลว, ดังตัวอยางในขอวา กนฺติลทฺธนาเมน
อุทเกน ทริโต อุทกภินฺโน ปพฺพตปฺปเทโส [ประเทศแหงภูเขาอันน้ำ ที่ได
นามวา กํ เซาะแลว คือ อันน้ำทำลายแลว]
ในหนังสือธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ ทานแสดง ทร ธาตุ ลงในหมวด
ภู ธาตุ ใช ในความกลัว, เดือดรอน (ภยาทาเห) มี อา เปนบทหนา ใชใน
ความเอื้อเฟอ (อาทเร), ลงในหมวด ภู ธาตุ และ จุร ธาตุ ใชในความทำลาย
(เภทเน)๑
๑ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๑๘๓ หนา ๑๘๗.
มังคลัตถวิภาวินี
๗๒
อฏฺมคาถายตฺถวณฺณนา
ขนฺติกถา
-๐-
ทสหิ อกฺโกสวตฺถูหิ : อักโกสวัตถุ ๑๐ (มงฺคล. ๒/๔๐๕/๓๒๐)
อักโกสวัตถุ ๑๐ เรื่องสำหรับดา, ในอรรถกถาปริวาร๑ แนะไววา
อักโกสวัตถุ มาในโอมสวาทสิกขาบท จึงตามไปดูที่โอมสวาทสิกขาบทนั้น
ตามคำแนะนำ
โอมสวาทสิกขาบท วา “ภิกษุกลาวโอมสวาทแกภิกษุตองอาบัติ
ปาจิตตีย แกอนุปสัมบันตองอาบัติทุกกฏ” (สิกขาบทที่ ๒ แหง มุสาวาท
วรรค ปาจิตติยกัณฑ)
คำพูดที่เสียดแทงใหเจ็บใจ ๑๐ อยาง ไดแก ๑. ชาติ ไดแกชั้นหรือ
กำเนิดของคน ๒. ชื่อ ๓. โคตร คือตระกูลหรือแซ ๔. การงาน ๕. ศิลปะ
๖. โรค ๗. รูปพรรณ ๘. กิเลส ๙. อาบัติ ๑๐. คำดาอยางอื่นๆ๒
ตัวอยางคำดาที่มาใน เรื่อง อัตตโนปุพพกรรม ธัมมปทัฏฐกถาภาคที่
๗ และในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ นี้๓ วา
โจโรสิ พาโลสิ มูฬฺโหสิ โอโสิ โคโณสิ คทฺรโภสิ เนรยิโกสิ
ติรจฺฉานคโตสิ, นตฺถิ ตุยฺหํ สุคติ, ทุคฺคติเยว ตุยฺหํ ปาฏิกงฺขา
[เจาโจร เจาโง (พาล) เจาเซอ (หลง) เจาอูฐ เจาโค เจาลา เจาสัตว
นรก เจาสัตวดิรัจฉาน สุคติไมมีสำหรับเจาทุคติเทานั้นอันเจาพึงหวัง]
๑ วินย.อ. ๓/๕๒๖.
๒ วินย. ๒/๑๘๖/๑๖๔.
๓ ดูใน อตฺตโนวตฺถุ, ธ.อ. ๗/๑๓๖.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๗๓
พหุ อตีตมทฺธาเน : พหุ ควรเป็ น อหุ (มงฺคล. ๒/๔๐๗/๓๒๒)
พหุ ในขอวา พหุ อตีตมทฺธาเน ไมตรงกับขอความในพระไตรปฎก
นักศึกษาพึงแก พหุ (มาก) เปน อหุ (ไดมีแลว) ใหตรงกับพระไตรปฎกนั้น
เปน อหุ อตีตมทฺธาเน๑
อหุ ประกอบดวย อ อาคม หุ ธาตุ อ ปจจัย อี อัชชัตตนี ลงแลวลบ
หรือ อา หิยัตตนี รัสสะ๒ แปลวา ไดมีแลว
ยสฺสทานิ=ยสฺส อิทานิ (มงฺคล. ๒/๔๐๙/๓๒๔)
อาจารยบุญสืบ อินสาร๓ แนะวา ยสฺสทานิ ตัดเปน ยสฺส-อิทานิ,
เฉพาะ ยสฺส ตัดเปน โย-อสฺส, โย (คมนกาโล) กาลเปนที่ไปใด, อสฺส พึงมี,
ตฺวํ อ. ทาน มฺสิ จงสำคัญ (ยอมสำคัญ) (ตํ คมนกาลํ) ซึ่งกาลเปนที่ไปนั้น
ทุรุตฺตํ=คําพูดชัว (มงฺคล. ๒/๔๑๒/๓๒๖)
ทุรุตฺตํ [ทุ+ร+วจ+ต] แปลวา คำพูดชั่ว เชน ในขอวา ปเรส ทุกฺกฏ
ทุรุตฺตฺจ ปฏิวิโรธากรเณน อตฺตโน อุปริ อาโรเปตฺวา วาสนตา ฯ [ความเปน
คืออันยกกรรมชั่ว และคำพูดชั่วของชนเหลาอื่นไวเหนือตนอดทนโดยไมทำ
การโกรธตอบ]
ทุรุตฺตํ ประกอบดวย ทุ บทหนา วจ ธาตุ ต ปจจัย แปลง ว เปน อุ,
แปลง จ เปน ตฺ ลง ร อาคม, บางมติวา ลง อุจ ธาตุ ในการออกเสียง๔, บาง
มติวา ลง รูป ธาตุ รัสสะ, แปลง ป เปน ตฺ๕
๑ ขุ.ชา. ๒๗/๕๕๒/๑๓๗.
๒ พจนานุกรมกิริยาอาขยาต ฉบับธรรมเจดีย, หนา ๓๓.
๓ บุญสืบ อินสาร, คูมือแปลมังคลทีปนี ภาค ๒, พิมพครั้งที่ ๓, (กรุงเทพฯ: สืบสาน
พุทธศาสน, ๒๕๕๖), เชิงอรรถ หนา ๒๕๒.
๔ โมคฺ. สูตร ๕.๑๑๑. ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๒๗ หนา ๒๘.
๕ พจนานุกรมกิริยากิตต ฉบับธรรมเจดีย, หนา ๒๑๔.
มังคลัตถวิภาวินี
๗๔
อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา: อักษรหาย ความหมายเปลี่ยน (มงฺคล. ๒/๔๑๖/๓๒๘)
เรื่องที่จะกลาวตอไปนี้ เปนปญหาของคำแปล ที่เกิดขึ้นเพราะคำบาลี
คลาดเคลื่อน คือขอความในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๔๑๖ ไมตรงกับ
ฎีกาซึ่งเปนตนแหลงที่ทานอาง
กอนอื่นขอนำขอความในขอ ๔๑๕ ซึ่งเปนอรรถกถามาแสดงไว เพื่อ
ประกอบการพิจารณาตอไป
อรรถกถาวา
เถโร อุณฺหภเยเนวมฺหิ อาวุโส อิธ นิสินฺโนติ อวีจิมหานิรยํ ปจฺจ-
เวกฺขิตฺวา นิสีทิเยวฯ
[พระเถระกลาววา คุณ ผมนั่งในที่นี้ เพราะกลัวความรอนนั่นเอง ดังนี้
แลว ก็นั่งพิจารณาอเวจีมหานรกเรื่อยไป]
ตอไปเปนคำอธิบายที่พระฎีกาจารยอธิบายขอความขางตน แต
คำอธิบายนั้น ในมังคลัตถทีปนีนี้ ตกหลนหายไป ทำใหมีปญหาในการแปล
ขอใหพิจารณาขอความเทียบกันทั้งในมังคลัตถทีปนี และในฎีกาดังนี้
มังคลัตถทีปนี ขอ ๔๑๖ วา
อุณฺหภเยเนว อาห อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวาติฯ...เอวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา
[เพราะกลัวตอความรอนนั่นเอง พระเถระ จึงกลาว. สองบทวา อวีจิ-
มหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ไดแก พิจารณาอยางนี้วา...]
คำแปลนี้มีปญหาที่วา “อาห จึงกลาว” ซึ่งตองพิจารณาตอไป
ฎีกาวา
อุณฺหภเยเนวาติ นรกคฺคิอุณฺหภเยเนว. เตนาห "อวีจิมหานิรยํ ปจฺจ-
เวกฺขิตฺวา"ติ๑
๑ ม.ฏี. ๑/๒๑๓.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๗๕
[บทวา อุณฺหภเยเนว ไดแก เพราะกลัวความรอนไฟนรกนั่นเอง ฯ
เพราะเหตุนั้น พระอรรถกถาจารยจึงกลาววา อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ดังนี้]
เมื่อเทียบกับฎีกาแลว ก็เห็นไดทันทีวา อิติ นรกคฺคิอุณฺหภเยเนว.
เตน ไมปรากฏในมังคลัตถทีปนี บัณฑิตจะยอมรับหรือไมวา หลายบทนี้ตก
หลนหลายไป ขอใหพิจารณาตอไปอีก ที่วามีปญหาในการแปลนั้น คือมี
ปญหาตรงไหน และอยางไร
ถาไดยอมรับวา ขอความภาษาบาลีในมังคลัตถทีปนีตกหลนหายไป ก็
ตองยอมรับในขั้นตอไปวา เมื่อขอความบาลีไมสมบูรณ คำแปลก็มักมีปญหา
ตามไปดวย
ขอความนี้ มีผูแปลไวหลายสำนวน จึงขอนำมาพิจารณาอยางนอย ๒
สำนวน (นับสำนวนฎีกาเปน ๓)
สํานวนที ๑ (คำบาลีตรงกับมังคลัตถทีปนี)
อุณฺหภเยเนว อาห อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวาติ ฯ...เอวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา
[เพราะกลัวตอความรอนนั่นเอง พระเถระ จึงกลาว ฯ สองบทวา
อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ไดแก พิจารณาอยางนี้วา... ]
ผูแปลแนะไววา ใหยายเครื่องหมาย “ ฯ ” หลัง ปจฺจเวกฺขิตฺวา ไปวาง
หลัง อาห (โดยนัยวา จบประโยคที่ อาห)
คำแปลนี้มีปญหาตรงที่วา พระเถระ จึงกลาว ฯ (จบประโยค) เพราะ
ผิดความนิยมการใช อาห
มีหลักวา ทานใช อาห ในการกลาวสนทนาโตตอบกันและมี อิติ รับ๑
คือใช อาห เปนกิริยาสำหรับเปด อิติ เขาเลขใน๒ ในคำแปลนี้ทานแปลวา
๑ พระธรรมกิตติวงศ, หลักการแปลไทยเปนมคธ, (กรุงเทพฯ: เลี่ยงเชียง, ๒๕๔๑),
หนา ๒๑๐.
๒ ที่ไมมี อิติ มารับ เชน ๑. โสป ตเถวาห (ธ.อ. ๑/๘๑) ๒. กลฺยาณํ เทวทตฺโต อาห
(ธ.อ. ๑/๑๓๒)
มังคลัตถวิภาวินี
๗๖
พระเถระ จึงกลาวฯ ไมมี อิติ “วา” มารับตอเลย ฉะนั้น ถาแปลตามสำนวน
นี้ก็ตองยอม “ผิดความนิยม”
อนึ่ง คำวา กลัวตอ ถาถือเครงครัดแลว ควรแปลวา กลัวแต คือแปล
หักฉัฏฐีวิภัตติเปนปญจมีวิภัตติในที่ประกอบดวยศัพทที่มีอรรถวาเสื่อม และ
กลัว (ปริหานิภยตฺถโยเค)๑
สํานวนที ๒ (คำบาลีตรงกับมังคลัตถทีปนี)
อุณฺหภเยเนว อาห อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวาติ ฯ...เอวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา
[พระเถระกลาววา อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ดังนี้ เพราะกลัวความ
รอนนั่นเอง ฯ อธิบายวา (พระเถระ) พิจารณาอยางนี้วา...]
อาจารยผูแปลสำนวนนี้ คงเห็นขอบกพรองของสำนวนที่ ๑ จึง
พยายามยักเยื้องหาทางออก โดยใช อาห เปดถอยหลังเขาไปใน อิติ วา พระ
เถระกลาววา อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ดังนี้ และแปลประโยคตอไปวา
อธิบายวา (พระเถระ) พิจารณาอยางนี้วา...ฯ
ทานแปลอยางนี้ก็เปนอันวาหมดปญหาเรื่องการใช อาห และไมตอง
ยายเครื่องหมาย “ ฯ ” ไปหลัง อาห, ซึ่งทานคงเห็นวาวางไวถูกแลว
อยางไรก็ตาม ถึงแปลสำนวนที่ ๒ นี้ ก็ยังมีปญหาอยูอีก คือมีปญหา
ตรงที่ พระเถระกลาว วา อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ดังนี้ เพราะคำวา
อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ไมใชคำกลาวของเถระ แตเปนคำกลาวของผู
เลาเรื่องคือพระอรรถกถาจารย ขอใหกลับไปดูที่มาของศัพทในอรรถกถาอีก
ครั้งวา
เถโร อุณฺหภเยเนวมฺหิ อาวุโส อิธ นิสินฺโนติ อวีจิมหานิรยํ
ปจฺจเวกฺขิตฺวา นิสีทิเยวฯ [พระเถระกลาววา “คุณ ผมนั่งในที่นี้ เพราะกลัว
ความรอนนั่นเอง” ดังนี้แลว ก็นั่งพิจารณาอเวจีมหานรกเรื่อยไป]
๑ รูปสิทฺธิ. สูตร ๓๑๘.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๗๗
ที่จริงคำพูดของพระเถระมีเพียงวา อุณฺหภเยเนวมฺหิ อาวุโส อิธ
นิสินฺโนติ [คุณ ผมนั่งในที่นี้ เพราะกลัวความรอนนั่นเอง] สวนคำวา อวีจิ-
มหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา นิสีทิเยวฯ [ก็นั่งพิจารณาอเวจีมหานรกเรื่อยไปฯ] นี้
เปนคำกลาวของผูเลาเรื่องคือพระอรรถกถาจารย ฉะนั้น ถาแปลตามสำนวน
ที่ ๒ นี้ก็ตองยอม “ผิดความหมาย”
แตบางทานอาจจะแยงตอไปอีกวา ถาอยางนั้นก็เปลี่ยนคำแปลจาก
เดิมวา [พระเถระกลาววา อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ดังนี้ เพราะกลัว
ความรอนนั่นเอง ฯ] เปลี่ยนประธานใหมใหเปน
[พระอรรถกถาจารย กลาววา อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ดังนี้
เพราะกลัวความรอนนั่นเอง ฯ]
ขอแยงนี้ก็มีปญหาอีก เพราะคำวา อุณฺหภเยเนว [เพราะกลัวความ
รอนนั่นเอง] เปนเหตุใหพระเถระนั่งพิจารณาอเวจีมหานรก ไมใชเปนเหตุให
พระเถระหรือพระอรรถกถาจารยกลาวคำวา อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา
นี้ก็ “ผิดความหมาย”
สำนวนที่ ๓ (สำนวนฎีกา คำบาลีตางจากมังคลัตถทีปนี)
อุณฺหภเยเนวาติ นรกคฺคิอุณฺหภเยเนว. เตนาห "อวีจิมหานิรยํ ปจฺจ-
เวกฺขิตฺวา"ติ๑
[บทวา อุณฺหภเยเนว ไดแก เพราะกลัวความรอนแหงไฟนรกนั่นเอง ฯ
เพราะเหตุนั้น พระอรรถกถาจารยจึงกลาววา อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา
ดังนี้]
สำนวนนี้ไมมีปญหาเรื่องความนิยมและความหมาย แตมีปญหาที่ คำ
บาลีไมตรงกับหนังสือเรียน ซึ่งอาจารยผูตรวจขอสอบอาจจะถือวาแปล
ขอความอื่นจากหนังสือเรียนก็ได
๑ ม.ฏี. ๑/๒๑๓.
มังคลัตถวิภาวินี
๗๘
นี้เปนตัวอยางที่บอกชัดวา เมื่อคำบาลีตกหลนเพียงเล็กนอย หรือไม
ตรงกันเพียงบางสวน ก็เปนเหตุใหคำแปลมีปญหาตามไปดวย และยิ่งแกไข
ก็ยิ่งยุงกันใหญ ผูศึกษาจึงพึงระลึกเสมอวา จะศึกษาดวยความระมัดระวัง
ที่แสดงนี้ มิไดมุงหมายกลาวตูหรือวารายทานที่แปลไวกอนนั้นวา
ผิดพลาด ในทางตรงกันขามกลับมีแตขอบพระคุณที่ทานทำงานแปลไวให
ศึกษาดวยความเพียรพยายามและปรารถนาดี บนฐานของขอมูลที่ทานทำไว
นั้น ผูทำงานในยุคหลังก็ยอมมีโอกาสเห็นสวนที่ตองเติมไดมากกวา
ถึงตอนนี้จึงเปนภาระของครูอาจารยและนักเรียนจะรวมกันพิจารณา
และเลือกทางออกที่ดีที่สุด โดยตั้งอยูบนฐานของความรูเทาทันขอมูล และ
ศรัทธาที่มีตอการศึกษาเพื่อรักษาพระศาสนา
วโจ : แปลง อํ ทุติยาวิภัตติ เป็ น โอ (มงฺคล. ๒/๔๒๗/๓๓๓)
วโจ ในขอวา ภยา หิ เสสฺส วโจ ขเมถ [บุคคล พึงอดทนถอยคำ
ของผูประเสริฐได เพราะความกลัวแล]
วโจ ศัพทเดิมเปน วจ จัดเขาใน มโนคณะ, ลง อํ ทุติยาวิภัตติ แปลง
อํ เปน โอ๑, ตัวอยางที่นักเรียนคุนเคย เชน ยโส ลทฺธา น มชฺเชยฺย.
ตสฺสา อตฺถิตายาติ (มงฺคล. ๒/๔๓๐/๓๓๖)
ตสฺสา ในที่นี้ นักศึกษาควรโยค ปุนปฺปุนํ อุปฺปนฺนาย ขนฺติยา,
เพื่อใหแปลไดงาย ควรประกอบศัพท ดังตอไปนี้
ตสฺสา อตฺถิตายาติ ตสฺสา [ปุนปฺปุนํ อุปฺปนฺนาย ขนฺติยา] อปรา-
ปรุปฺปตฺติสมุปจิตาย มารเสนาวิธมนิยา ขนฺติเสนาย อตฺถิตาย ฯ
๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๓๗๗ หนา ๒๖๙.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๗๙
พึงไข ตสฺสา [ปุนปฺปุนํ อุปฺปนฺนาย ขนฺติยาย] ที่ขึ้นมาใหมนั้นไปที่
อปราปรุปฺปตฺติสมุปจิตาย มารเสนาวิธมนิยา ขนฺติเสนาย ทั้งสองชุดเปน
ภาวาทิสมฺพนฺธ ใน อตฺถิตาย
ขตฺติยวคฺคฏีกา (มงฺคล. ๒/๔๓๐/๓๓๖)
นักเรียนสงสัยวา ขัตติยวรรค ที่ทานกลาวถึงในมังคลัตถทีปนีนี้ มา
จากคัมภีรไหน
ขอความในมังคลัตถทีปนีวา จกฺกาทิติกํ สามฺเน เสนายํ เสนงฺเค
จ ฯ กริยเต วิคฺคโห เยนาติ จกฺกํ ฯ พล สํวรเณ ฯ อน สทฺเท อีโกติ
ขตฺติยวคฺคฏีกา ฯ๑
[ฎีกาขัตติยวรรค วา ศัพท ๓ ศัพท มี จกฺก ศัพท เปนตน ยอมเปนไป
ในเสนาดวย ในองคแหงเสนาดวย โดยความเสมอกัน ฯ การชิงชัย อันเสนา
ยอมกระทำ ดวยวัตถุใด เหตุนั้น วัตถุนั้น จึงชื่อวา จักร ฯ พล ธาตุ ในความ
ปองกัน ฯ อน ธาตุ ในความสงเสียง ลง อีก ปจจัย]
คำวา ขัตติยวรรค ที่พระสิริมังคลาจารย อางในมังคลัตถทีปนีนั้น ก็
คือ ขัตติยวรรค แหงคัมภีรอภิธานัปปทีปกา นั่นเอง เฉพาะเรื่อง จกฺก
เปนตนนี้ มาในคาถาที่ ๓๘๑ แหงคัมภีรอภิธานัปปทีปกา
นักศึกษาพึงทราบวา คัมภีรอภิธานัปปทีปกานี้ มีคัมภีรอธิบาย
เรียกวา อภิธานปฺปทีปกาฏีกา๒ ซึ่งฎีกานี้ สมเด็จพระวันรัต (เขมจารี)๓
เรียกชื่อวา จตุรงฺคธารินี
๑ ธาน.ฏีกา. ๑/๓๘๑/๒๗๑.
๒ อภิธานปฺปทีปกาฏีกา ที่ใชในไทย พระศรีสุทธิพงศ วัดชนะสงคราม ปริวรรต,
วัดปากน้ำ จัดพิมพ พ.ศ. ๒๕๒๗
๓ สมเด็จพระวันรัต (เขมจารีมหาเถระ), มังคลัตถทีปนี ยกศัพทแปล คาถาที่ ๘,
(กรุงเทพฯ : ส. ธรรมภักดี, ๒๔๙๗?), หนา ๕๐.
มังคลัตถวิภาวินี
๘๐
จกฺกาทิติกํ (มงฺคล. ๒/๔๓๐/๓๓๖)
นักเรียนสงสัยวา “ศัพท ๓ ศัพท มี จกฺก ศัพท เปนตน” นั้น เมื่อมี
เปนตน ก็ตองมีทามกลางและที่สุด ในที่นี้มีอะไรเปนทามกลางและที่สุด
อาทิ ศัพท ในคำวา จกฺกาทิติกํ [จกฺก+อาทิ+ติก] ที่แปลวา “ศัพท ๓
ศัพท มี จกฺก ศัพท เปนตน” รวมศัพทวา พล และ อนีก เขาไปดวยจึงเปน
๓ ศัพท (คือ จกฺก พล และ อนีก)
ในคาถาที่ ๓๘๑ แหงคัมภีรอภิธานัปปทีปกา วา
วาหินี ธชินี เสนา จมู จกฺกํ พลํ ตถา
อนีโก วาถ วินฺยาโส พฺยูโห เสนาย กถฺยเต ฯ๑
เฉพาะศัพทนามนาม ในคาถานี้ ถาเริ่มนับ จกฺกํ เปนที่ ๑ ก็จะมี พลํ
เปนที่ ๒ และ อนีโก เปนที่ ๓ [ไมนับ ตถา]
จึงตอบนักเรียนวา จกฺก ศัพท เปนตน มี พล ศัพทเปนทามกลาง และ
อนีก ศัพท เปนที่สุด
ฉะนั้นในขอวา จกฺกาทิติกํ สามฺเน เสนายํ เสนงฺเค จ ฯ โดย
สาระสำคัญ สื่อความไทยวา จกฺก พล และ อนีก นี้มีความหมายเหมือนกัน
วา “กองทัพ” และ “องคประกอบกองทัพ” ตอจากนั้นทานก็วิเคราะห จกฺก
ศัพท และบอกธาตุ/ปจจัยของ พล และ อนีก
ตสฺเสว เตน ปาปิ โย (มงฺคล. ๒/๔๓๑/๓๓๖)
ในคาถาวา
ตสฺเสว เตน ปาปโย โย กุทฺธํ ปฏิกุชฺฌติ
กุทฺธํ อปฺปฏิกุชฺฌนฺโต สงฺคามํ เชติ ทุชฺชยํ ฯ
ตสฺเสว วิเสสนะของ ปุคฺคลสฺส ดวยอำนาจบทวา ปาปโย จึงแปล
ตสฺเสว ปุคฺคลสฺส ซึ่งเปนฉัฏฐีวิภัตติใชในอรรถปญจมีวิภัตติ แปลวา กวา
๑ อภิธานัปปทีปกา, คาถา ๓๘๑.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๘๑
บุคคลนั้นเสียอีก (ฎีกาวา ตสฺเสว โยคบทวา ปฏิกุชฺฌนกสฺส ขอใหดู
คำอธิบายบทวา ปาปกตรสฺส มติที่ ๒ ตอจากนี้)
ทั้งนี้ มีหลักการหักฉัฏฐีวิภัตติเปนปญจมีวิภัตติวา เมื่อมีคุณนามชั้น
วิเสส อติวิเสส และเสฏฐตัทธิต ตลอดถึง มีศัพทจำพวกที่แปลวา “เลิศ”
เชน อคฺค, “ประเสริฐ” เชน วร, ปวร, วุฑฺฒ บังคับฉัฏฐีวิภัตติใหลงในอรรถ
แหงปญจมีวิภัตติ แปลวา กวา๑
ปาปโย ในคาถานี้ หนังสือบางเลมทานแปลวา ความลามก เพราะ
ทานถือตามอรรถกถาวา ปาป โหติ กตรสฺสาติ แตอรรถกถาที่ถูกคัดมาใน
หนังสือมังคลัตถทีปนีนี้เปน ปาปกตรสฺส ดังจะอธิบายตอไป
ปาปกตรสฺส (มงฺคล. ๒/๔๓๑/๓๓๗)
คำวา ปาปกตรสฺส ในขอวา เตน โกเธน ตสฺเสว ปุคฺคลสฺส
ปาปกตรสฺส โย กุทฺธํ ปฏิกุชฺฌติ มีประเด็นที่ตองพิจารณา ๒ มติ คือ
๑) ปาปกตรสฺส ตัดบทเปน ปาปกตโร อสฺส
๒) ปาปกตรสฺส ตัดบทเปน ปาป กตรสฺส
มติที่ ๑ ในขอวา เตน โกเธน ตสฺเสว ปุคฺคลสฺส ปาปกตรสฺส คำวา
ปาปกตรสฺส ตัดบทเปน ปาปกตโร-อสฺส การตัดบทเชนนี้ มีปรากฏอยูบาง
เชน ยตสฺส=ยโต อสฺสฯ๒ ทานทำเชิงอรรถบอกวา ปาปกตรสฺส ตางกับ
อรรถกถาสารัตถปกาสินี
สวนสองบทวา ตสฺเสว ปุคฺคลสฺส เปนฉัฏฐีวิภัตติ ใชในอรรถปญจมี-
วิภัตติ แปลวา กวาบุคคลผูโกรธนั้นเสียอีก, ถาถือตามมตินี้ ตองขึ้น โส
ปฏิกุชฺฌนโก มาเปนประธาน และ เรียงประโยคใหเต็มวา
๑ พระราชเวที (สมพงษ พฺรหฺมวํโส), คูมือแปลมคธเปนไทย, (กรุงเทพฯ: วัดเบญจม-
บพิตร, ๒๕๔๗), หนา ๔๐.
๒ วินย.อ. ๒/๒๐๕; วินย. โย.๑/๕๔๗.
มังคลัตถวิภาวินี
๘๒
(โส ปฏิกุชฺฌนโก) เตน โกเธน ตสฺเสว ปุคฺคลสฺส ปาปกตโร อสฺส,
โย กุทฺธํ ปฏิกุชฺฌติ ฯ
[ผูใดโกรธตอบบุคคลผูโกรธ, ผูโกรธตอบนั้น พึงเปนผูเลวกวาบุคคลผู
โกรธนั้นเสียอีก เพราะความโกรธนั้น]
มตินี้ไมตรงกับอรรถกถาและฎีกา แตนิยมแปลกันในปจจุบัน ขอให
ศึกษา มติที่ ๒ ตอไป
มติที ๒ ในอาคตสถาน คืออรรถกถาชื่อสารัตถปกาสินีทานวาตาง
ออกไปวา ปาปกตรสฺส ในที่นี้ คือ ปาป+กตรสฺส เรียงเต็มประโยควา
เตน โกเธน ตสฺเสว ปุคฺคลสฺส ปาป โหติ ฯ กตรสฺสาติ ฯ โย กุทฺธํ
ปฏิกุชฺฌติ ฯ๑
ในฎีกาทานแนะไวตอไปอีกวาให ตสฺเสว โยค ปฏิกุชฺฌนกสฺส๒ จึงเรียง
ใหมตามฎีกาวา
เตนโกเธนตสฺเสว ปฏิกุชฺฌนกสฺส ปุคฺคลสฺส ปาป โหติ ฯกตรสฺสาติ ฯ
โย กุทฺธํ ปฏิกุชฺฌติ ฯ
ถาถือตามมตินี้ ก็ให ปาป เปนประธานไดเลย ในมังคลัตถทีปนีแปล
ฉบับมหาธาตุวิทยาลัย ทานแปลตามมติอรรถกถานี้ และฉบับ มมร. แปล ก็
แปลตามมตินี้ในเชิงอรรถวา
[ความลามกยอมมีแกบุคคลผูโกรธตอบนั้นนั่นแล เพราะความโกรธ
นั้น ฯ ถามวา แกใคร ฯ แกวา แกบุคคลผูโกรธตอบ]
แปลตามมตินี้อีกสำนวนวา
[ปาปยอมมีแกบุคคลนั้นนั่นแหละ เพราะความโกรธนั้น ฯ ถามวา
ปาปมีแกใคร ฯ ตอบวา บุคคลใดโกรธตอบ (บาปยอมมีแกบุคคลนั้น) ฯ]
โบราณเรียกวา “แปลประโยคงวงชาง” (นาคโสณฺฑิ)
๑ สํ.อ. ๑/๔๖๕.
๒ สํ.ฏี. ๑/๓๕๔.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๘๓
ตตฺถฏฺิโตเยว (มงฺคล. ๒/๔๓๒/๓๓๗)
ตตฺถโตเยว ตัดบทเปน ตตฺถ+โต+เอว, ในคำนั้น ตตฺถ โยค
อธิวาสนกฺขนฺติยํ แปลวา “ในอธิวาสนขันตินั้น”
เวเทหิกา (มงฺคล. ๒/๔๓๒/๓๓๗)
คำวา เวเทหิกา เปนคำเรียกชาววิเทหรัฐ หรือหมายถึง ผูที่ดำเนิน
ชีวิตดวยปญญา ดังที่อรรถกถาอธิบายวา
เวเทหิกาติ วิเทหรวาสิกสฺส กุลสฺส ธีตา, อถวา เวโทติ
ปฺา วุจฺจติ, เวเทน อีหติ อิริยตีติ เวเทหิกา ปณฺฑิตาติ อตฺโถ๑
[บทวา เวเทหิกา นี้เปนชื่อกุลธิดาผูอาศัยอยูในเวเทหรัฐ, อีกอยาง-
หนึ่ง ทานเรียกปญญาวาเวทะ, หญิงใดยอมไป ยอมดำเนินไป ดวยปญญา
เหตุนั้น หญิงนั้นชื่อวา เวเทหิกา อธิบายวา บัณฑิต]
คหปตานี (มงฺคล. ๒/๔๓๒/๓๓๗)
คหปตานี อิต. [คห+ปติ+อินี] ผูเปนใหญในเรือน, แมเจาเรือน, ดวย
อำนาจ อินี ปจจัย (ปจจัยประกอบศัพทใหเปนอิตถีลิงค) เอา อิ ที่ ปติ เปน
อ, คหปต+อินี ลบสระหลัง ทีฆะสระหนา)๒
วิ. คณฺหาติ ปุริเสน อานีตํ ธนนฺติ คหํ [คห อุปาทาเน+อ]
วิ. ปริวารํ ปาติ รกฺขตีติ ปติ [ปา รกฺขเณ+ติ] หรือ๓
วิ. คเห ปติ คหปติ, ใน อิต. ลง อินี เปน คหปตานี
อรรถกถาและฎีกาแกวา คหปตานีติ ฆรสามินี เคหสามินี ฯ๔
คหปตานี คือ ผูเปนใหญในเรือน ฯ
๑ ม.อ. ๒/๑๖๖.
๒ กจฺจายน. สูตร ๙๑, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๒๔๘ หนา ๑๙๔.
๓ อภิธานวรรณนา, คาถา ๒๐๖, ๗๒๕.
๔ ม.อ. ๒/๑๖๖, ม.ฏี. ๒/๙๘.
มังคลัตถวิภาวินี
๘๔
อผาสุ, อผาสุกํ (มงฺคล. ๒/๔๓๒/๓๓๗)
อผาสุ (อิต.) [น+ผส สิเนหเน+ณุ] ความสบาย, ความสุข
วิ. ผสฺสติ สิเนหตีติ ผาสุ (ลบ ณฺ แปลง อ ที่ ผ เปน อา) ผุสติ วา
พาธติ ทุกฺขนฺติ ผาสุ (ผุส พาธเน+อุ, อาเทศ อุ เปน อา)๑
วิ. น ผาสุ อผาสุ
อผาสุกํ (นปุ.) อผาสุ+ก สกตฺถ
อยฺเย ในคำวา ปสฺสถยฺเย (มงฺคล. ๒/๔๓๒/๓๓๘)
อยฺเย ในคำวา ปสฺสถยฺเย ทานแปลเปน พหุวจนะ วา คุณแม
ทั้งหลาย, แมเจาทั้งหลาย, แมพอทั้งหลาย, ทำไมทานแปล อยฺเย เปนพหุ-
วจนะ หนังสือแปล ฉบับมหาธาตุวิทยาลัย แปลเปนเอกวจนะวา ดูกอนแมเจา
เรียนกันมาวา อยฺเย เปนอาลปนะ เอกวจนะ เดิมเปน อยฺยา เปน
อิตถีลิงค แจกแบบ กฺา๒ เมื่อใชเปนอาลปนะ เอก. ไดรูปเปน อยฺเย-ขา
แตแมเจา, พหุ. อยฺยาโย อยฺยา-ขาแตแมเจาทั้งหลาย เชน
อยฺเย ปพฺพตเทวเต สจาหํ สามิเกน สทฺธึ อโรคา ชีวิตํ ลภิสฺสามิ
พลิกมฺมํ เต กริสฺสามิ...ฯ๓
อุทฺทิา โข อยฺยาโย อ ปาราชิกา ธมฺมา...ตตฺถยฺยาโย ปุจฺฉามิ
กจฺจิตฺถ ปริสุทฺธา ฯ๔
แตในที่นี้ทานใช อยฺเย เสมือนเปนพหุวจนะ, เปนไปไดหรือไมวา (๑)
อยฺยา เมื่อใชเปนอาลปนะ ในอิตถีลิงคทานแปลงวิภัตติทั้งสองฝายเปน เอ
ซึ่งเทียบกับ ปุงลิงค ที่ทานแปลงเปน โอ ดังจะแสดงตอไป (๒) เปนไปได
หรือไมวา ทานใช อยฺเย เปนนิบาต เหมือน ภทฺเท ซึ่งใชไดทั้งเอกวจนะและ
๑ อภิธานวรรณนา, คาถา ๘๘.
๒ บุญสืบ อินสาร, พจนานุกรมบาลี-ไทย ธรรมบทภาค ๑-๔, หนา ๙๔.
๓ มงฺคล. ๒/๓๗๒/๒๘๓.
๔ วินย. ๓/๓๐/๒๒.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๘๕
พหุวจนะ (๓) เปนไปไดหรือไมวา ประโยคนี้ความจริงก็เปนเอกวจนะ
นั่นแหละ แตทานใชในความเคารพจึงใชกิริยาคุมพากยวา ปสฺสถ โดยแยก
พูดกันทีละคน ขอฝากใหศึกษากันตอไป
สวน อยฺย ที่เปนปุงลิงคนั้น ในสัททนีติ๑ ทานอธิบายวา อยฺย ศัพท ใน
ปุงลิงค เมื่อใชเปนอาลปนะ ใหแปลงวิภัตติทั้งฝายเอกวจนะและพหุวจนะ
เปน โอ เชน โภ อยฺโย ตฺวํ คจฺฉ, ภวนฺโต อยฺโย ตุมฺเห คจฺฉถ ฯ๒
ยโต=ยทา (มงฺคล. ๒/๔๓๓/๓๓๘)
ในขอ ๔๓๓ พึงเพิ่ม น ปฏิเสธ เขาไปในขอวา ยาว ตํ อมนาปา
วจนปถา ผุสนฺติ ใหตรงกับขอความในพระไตรปฎกวา ยาว น อมนาปา
วจนปถา ผุสนฺติ ฯ๓ (ไมมี ตํ) ยโต และ อถ ใชในกาล เปน ยทา และ ตทา
โสรโต (มงฺคล. ๒/๔๓๔/๓๓๘)
ในขอวา โสรตโสรโตติ เปนตน นักศึกษาควรขึ้น โหติ มาหลัง โสรโต
เปน อติวิย โสรโต โหติ และแปลไขไปจนถึง วตฺตพฺพตํ อาปชฺชติ
กุรุรา/กุรูรา (มงฺคล. ๒/๔๓๔/๓๓๘)
คำวา กุรุรา ในขอวา กิมฺพิสาติ กุรุรา ฯ [บทวา กิมฺพิสา ไดแก ต่ำชา]
ตางกับฎีกานิดหนอย คือในฎีกาวา กิพฺพิสาติ กุรูรา ฯ (ม.ฏี. ๒/๙๘)
กุรูรา วิเคราะหวา อกฺโกสตีติ กุรูรา (อิตฺถี) [กุร ธาตุ อกฺโกเส
ในความดา+อูร ปจจัย] สตรีที่ดาชื่อวา กุรูรา (ผูดา, ผูหยาบคาย)
กิพฺพิสํ กโรตีติ กุรูรา (อิตฺถี) [กร ธาตุ วเธ/หึสายํ ในความเบียดเบียน+
อูร ปจจัย, อาเทศ อ เปน อุ] สตรีที่ทำรายชื่อวา กุรูรา (ผูชั่วชา)๔
๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๔๘๓ หนา ๓๓๘.
๒ สุภาพรรณ ณ บางชาง, รองศาสตราจารย, ดร., ไวยากรณบาลี, พิมพครั้งที่ ๒,
(กรุงเทพฯ: มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘), หนา ๒๐๒.
๓ ม.มู. ๑๒/๒๖๖/๒๕๕.
๔ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๓๑๖, โมคฺ. สูตร ๗.๑๗๒, อภิธานวรรณนา, คาถา ๗๑๔.
มังคลัตถวิภาวินี
๘๖
โสวจสฺสตากถา
-๐-
สุวโจ (ปุ.) (มงฺคล. ๒/๔๓๕/๓๔๐)
วิ. สุเขน วตฺตพฺโพ อนุสาสิตพฺโพติ สุวโจ (ปุคฺคโล) [สุ+วจ+ข] บุคคล
อันเขาพึงกลาวคือพึงสั่งสอนไดโดยงาย ชื่อวา สุวโจ
โสวจสฺสํ (มงฺคล. ๒/๔๓๕/๓๔๐)
วิ. สุวจสฺส ภาโว โสวจสฺสํ (นปุ.) [สุวจ+ณฺย] แปลง อุ เปน โอ ลบ ณฺ
ลง สฺ อาคม แปลง ย เปน ส หรือ แปลง สฺย เปน สฺส๑
โสวจสฺสตา (มงฺคล. ๒/๔๓๕/๓๔๐)
วิ. โสวจสฺสสฺส ภาโว โสวจสฺสตา (อิตฺ) [โสวจสฺส+ตา]
ปุรกฺขิตฺวา (มงฺคล. ๒/๔๓๕/๓๔๐)
ปุรกฺขิตฺวา [ปุร+กร+อิ+ตฺวา] แปลง กร เปน ข ธาตุ ซอน กฺ ลง อิ
อาคม๒
วิปฺปจฺจนีกสาเต : ทันตเฉทนนัย/ทันตโสธนนัย (มงฺคล. ๒/๔๓๕/๓๔๐)
วิ. วิปฺปจฺจนีกฺจ ตํ สาตฺจาติ วิปฺปจฺจนีกสาตํ (กมฺมํ)
วิ. วิปฺปจฺจนีกสาตํ ยสฺส โส วิปฺปจฺจนีกสาโต (ปุคฺคโล)
สำนวนฎีกา ในมังคลัตถทีปนี ขอ ๔๓๖ วา
ตสฺสาเอววิปฺปจฺจนีกํ ทุปฺปฏิปตฺติ สาตํ อิ เอตสฺสาติวิปฺปจฺจนีกสาโตฯ
ตสฺมึ ฯ
๑ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ-ไทย, หนา ๗๗๔.
๒ กจฺจายน. สูตร ๕๙๔, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๑๙๘. โมคฺ. สูตร ๕.๑๓๔.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๘๗
ในขอนี้ นักเรียนสงสัยวา ทำไมทานเรียง ตสฺมึ ไวโดดๆ เรียงไวเพื่อ
อะไร สื่อถึงนัยอะไร, จึงตอบนักเรียนดังตอไปนี้
การอธิบายบทตั้งในบางกรณี อาจจะอธิบายดวยวิภัตติตางกัน และ
เมื่ออธิบายเสร็จแลวก็คืนวิภัตติใหตรงกับบทตั้งนั้น การอธิบายบทตั้งดวย
วิภัตติตางกันนี้ เรียกวา ทันตเฉทนนัย (นัยเหมือนการตัดงาชาง) และการ
คืนวิภัตติเดิมใหตรงกับบทตั้ง เรียกวา ทันตโสธนนัย (นัยเหมือนการตอ
งาชาง)๑
เชนในที่นี้ คำวา วิปฺปจฺจนีกสาเต ในขอ ๔๓๕ เปนสัตตมีวิภัตติ ทาน
อธิบายไวในขอ ๔๓๖ วา ตสฺสา เอว วิปฺปจฺจนีกํ ทุปฺปฏิปตฺติ สาตํ อิ
เอตสฺสาติ วิปฺปจฺจนีกสาโต ฯ ในขั้นนี้เปน ทันตเฉทนนัย คือตัดจาก สัตตมี-
วิภัตติ (วิปฺปจฺจนีกสาเต) เปนปฐมาวิภัตติ (วิปฺปจฺจนีกสาโต)
เมื่ออธิบายโดยการวิเคราะหศัพทเสร็จแลว ทานจึงคืนปฐมาวิภัตติ
(วิปฺปจฺจนีกสาโต) ใหเปนสัตตมีวิภัตติ โดยขึ้น ตสฺมึ มารับ ในขั้นนี้เปน
ทันตโสธนนัย คือตอปฐมาวิภัตติใหกลับคืนเปนสัตตมีวิภัตติ
ฉะนั้น จึงสรุปไดวา คำวา ตสฺสา เอว ฯลฯ วิปฺปจฺจนีกสาโต เปน
ทันตเฉทนนัย สวน ตสฺมึ เปน ทันตโสธนนัย
อนุโลมสาเต (มงฺคล. ๒/๔๓๖/๓๔๑)
วิ. อนุโลมฺจ ตํ สาตฺจาติ อนุโลมสาตํ (กมฺมํ)
วิ. อนุโลมสาตํ ยสฺส โส อนุโลมสาโต (ปุคฺคโล) หรือ
วิ. อนุโลมํ สุปฏิปตฺติ สาตํ อิ เอตสฺสาติ อนุโลมสาโต
๑ พระธัมมานันทเถร (แปล), เนตติหารัตถทีปนี อุปจาร และ นย, (กรุงเทพฯ:
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๓), หนา ๖๙-๗๐.
มังคลัตถวิภาวินี
๘๘
ขโม (มงฺคล. ๒/๔๓๘/๓๔๑)
วิ. ขมตีติ ขโม, ขมนํ วา ขโม [ขมฺ หรือ ขมุ สหเน+อ] ผูอดทน
ชื่อวา ขโม (ผูอดทน), อีกอยางหนึ่ง การอดทน ชื่อวา ขโม (การอดทน)
ขโม ในเรื่องโสวจัสสตานี้ ทานอธิบายวา ขโมติ ขนฺตา จึงใชใน
อรรถกัตตา แปลวา ผูอดทน
ขนฺตา (มงฺคล. ๒/๔๓๘/๓๔๑)
วิ. ขมตีติ ขนฺตา [ขมฺ หรือ ขมุ สหเน+ตุ] ผูอดทน ชื่อวา ขนฺตา ลบ อุ
ธาตุมี ม เปนที่สุดอยูหนา เอาที่สุดธาตุเปน นฺ๑ แจกแบบ สตฺถุ ลง สิ ปฐมา-
วิภัตติ, ในสัททนีติธาตุมาลา วา ขมุ ธาตุในอรรถภาวะ เชน ขนฺติ, ขโม, ขมนํ
(ความอดทน), ใชในอรรถกัตตา เชน ขนฺตา, ขมิตา (ผูอดทน)๒
ปฏานิภาเวน (มงฺคล. ๒/๔๓๘/๓๔๑)
วิ. ปฏิอนตีติ ปฏาโน [ปฏิ+อน สทฺเท+ณ] ผูสงเสียงโตแยง ชื่อวา
ปฏาน (ขาศึก) (สบสระหนา ทีฆะสระหลัง)
วิ. ปฏานสฺส ภาโว ปฏานิภาโว [ปฏาน+อิ+ภู] ความเปนแหงผูสงเสียง
ตอบชื่อวา ปฏานิภาโว (อาคม อิ วัณณะ หนา ภู ธาตุ)๓
วิเสสาธิคมสฺส ทูเร/อทูเร (มงฺคล. ๒/๔๔๑/๓๔๓)
นักเรียนสงสัยวา คำวา วิเสสาธิคมสฺส ควรแปลวา จาก หรือ แหง
ไดตอบนักเรียนวา ถาชอบสำนวนเฉลยของกองบาลีสนามหลวง
ซึ่งเขากับภาษาไทยสนิทดีและฟงไมขัดหู ใหแปลวา จาก แตถาชอบรักษา
ไวยากรณ ใหแปลวา แหง หรือแปลไมออกสำเนียงอายตนิบาต
๑ พระมหาศักรินทร ศศพินทุรักษ, หลักควรจำบาลีไวยากรณ, หนา ๑๙๒.
๒ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๓๖๒.
๓ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๓๓๘ หนา ๑๑๖๗.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๘๙
ใน ๓ ขอความดังตอไปนี้ คือ
๑) อปจ วิเสสาธิคมสฺส อวิทูริภาวโต มงฺคลํ ฯ
๒) โส วิเสสาธิคมสฺส ทูเร โหติ ฯ
๓) โส วิเสสาธิคมสฺส อทูเร โหติ
คำวา วิเสสาธิคมสฺส เปนฉัฏฐีวิภัตติ แตในเฉลยขอสอบสนามหลวง
ครั้งที่ ๒ ขอ ๒ พ.ศ. ๒๕๔๘ ทานแปลเปนปญจมีวิภัตติวา ไกล/ไมไกล จาก
การบรรลุคุณวิเสส เสมือนหนึ่งวา วิเสสาธิคมสฺส ในที่นี้ใชในอรรถปญจมี-
วิภัตติ (หนังสือฉบับแปลโดย อาจารยบุญสืบ อินสาร และฉบับแปลโดย
พระมหาสมบูรณ ทสฺสธมฺโม แปลตามสำนวนสนามหลวง ซึ่งถือเปนเรื่อง
ปกติ) ที่สนามหลวงทานแปลเชนนี้ ก็อาจจะมีหลักของทานเปนธรรมดา, นี้
สำนวนที่ ๑
แตในหนังสือแปลฉบับ มมร. แปลโดย พระมหานาค อุปนาโค ทาน
แปลวา ไกล/ไมไกล การบรรลุคุณวิเสส, (แปลไมออกสำเนียงวิภัตติ) นี้
สำนวนที่ ๒
สวนฉบับมหาธาตุวิทยาลัย แปลโดย สมเด็จพระวันรัต (เขมจารีมหา-
เถระ) ทานแปลวา ไกล/ไมไกล แหงอันบรรลุซึ่งคุณวิเสส (ตนฉบับทาน
เขียน บัลลุ ในที่นี้ไดสะกดตามที่นิยมในปจจุบัน), สำนวนนี้ ทานยึดหลัก
บาลีไวยากรณอยางเครงครัด ดังจะอธิบายตอไป, นี้สำนวนที่ ๓
ผูเขียนนี้ แนะนำใหนักเรียนของตน แปลตามสำนวนที่ ๒ และ ๓
เพราะมุงไมใหเสียหลักไวยากรณ สวนสำนวนที่ ๑ ยกไวเปนกรณีศึกษาโดย
เคารพ
โดยทั่วไปฉัฏฐีวิภัตตินิยมใชในอรรถแหงปญจมีวิภัตติ (แต,จาก) ในที่
ประกอบดวยบทที่มีอรรถวา เสื่อมและกลัว (เสื่อมจาก, กลัวแต) [ปฺจมิยตฺเถ
ปริหานิภยตฺถโยเค] พึงดู ปทรูปสิทธิ สูตรที่ ๓๑๘ เชน
อสฺสวนตา ธมฺมสฺส ปริหายนฺติ (สัตวทั้งหลายยอมเสื่อมจากธรรม
เพราะการไมฟง), สพฺเพ ตสนฺติ ทณฺฑสฺส (สัตวทั้งปวงกลัวแตการลงโทษ)
มังคลัตถวิภาวินี
๙๐
แตในที่นี้คำวา วิเสสาธิคมสฺส เปนฉัฏฐีวิภัตติ ไมไดประกอบดวยบท
ที่มีอรรถวา เสื่อมและกลัว แตประกอบดวย ทูร ศัพท ทำไมทานแปลวา
จากการบรรลุคุณวิเสส
ในปทรูปสิทธิ (อธิบาย สูตรที่ ๓๑๖) ทานอธิบายไวคอนขางชัดวา ลง
ฉัฏฐีวิภัตติในคำที่เกี่ยวเนื่องกับที่ใกล (สมีปสมฺพนฺเธ) เชน อมฺพวนสฺส อวิทูเร
[ในที่ไมไกลแหงปามะมวง] นิพฺพานสฺเสว สนฺติเก [ในที่ใกลแหงพระนิพพาน
นั่นเอง]
ถึงแมคำแปลวา ไกล/ไมไกล แหงอันบรรลุซึ่งคุณวิเสส จะฟงขัดหู แต
ก็ถูกหลักไวยากรณ ฉะนั้น จึงแนะนำใหนักเรียนเลือกแปลตามสำนวนที่
ชอบใจเถิด
กตฺวา เปนกิริยาปธานนัย (มงฺคล. ๒/๔๔๖/๓๔๗)
กตฺวา ในขอความวา อถ เชยกฺขินี เชวาณิชํ อวเสสยกฺขินิโย
อวเสสวาณิเช สามิเก กตฺวา รตฺติภาเค เตสุ นิทฺทูปคเตสุ อุาย คนฺตฺวา
กรณฆเร มนุสฺเส ขาทิตฺวา อาคมึสุ ฯ เปนกิริยาปธานนัย
อกโรนฺตา จตสฺโส ปริสา: อกโรนฺตา/อกโรนฺตี ? (มงฺคล. ๒/๔๔๗/๓๔๗-๘)
คำวา อกโรนฺตา ในขอวา อกโรนฺตา จตสฺโส ปริสา ตามหลักบาลี-
ไวยากรณที่เรียนกันนี้ ตองเปน อกโรนฺตี เพราะ อนฺต ปจจัยที่เปนอิตถีลิงค
แจกแบบ นารี
แตในสัททนีติปทมาลา ทานอธิบายวา มหนฺต ศัพทที่เปนอิตถีลิงค
แจกตามแบบ อิตฺถี อีกนัยหนึ่งแจกแบบ กฺา ก็ได๑
ฉะนั้น จึงเปนไปไดวา อกโรนฺตา ในที่นี้ทานแจกแบบ กฺา โดย
อนุวัตนตาม มหนฺต ศัพทที่แสดงไวในสัททนีตินั้น
๑ สัททนีติปทมาลา, หนา ๕๘๘.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๙๑
ลักษณะเชนนี้ นักเรียนเคยพบมาแลว เมื่อครั้งเรียน ประโยค ป.ธ. ๔
ในมังคลัตถทีปนี ภาค ๑ ขอ ๑๒๔ หนา ๑๔๒ ที่วา เตเนว สา สจฺฉิ-
กิริยาภิสมเยน วิภูตํ ปากฏํ กโรนฺตา ปสฺสติ ปจฺจกฺขํ กโรติ...ฯ
มีขอสังเกตวา อกโรนฺตา จตสฺโส ปริสา นี้ในอรรถกถาชาดกซึ่งเปน
ตนแหลงเดิม ที่ทานนำมาอางในมังคลัตถทีปนีนี้ ทานแสดงตางออกไปวา
อกโรนฺตา ภิกฺขูป ภิกฺขุนิโยป อุปาสกาป อุปาสิกาโยปฯ๑
จตูสุ อปาเยสุ [อบาย ๔] (มงฺคล. ๒/๔๔๗/๓๔๘)
อบาย, อบายภูมิ ภูมิกำเนิดที่ปราศจากความเจริญ มี ๔ อยาง คือ
นิรยะ นรก ติรัจฉานโยนิ กำเนิดดิรัจฉาน ปตติวิสัย ภูมิแหงเปรต และ
อสุรกาย พวกอสุรกาย๒
๑. นิรยะ นรก ไดแก (๑) มหานรก (๒) อุสสทนรก (๓) ยมโลกนรก
(๔) โลกันตริกนรก
๒. ติรัจฉานโยนิ กำเนิดสัตวเดรัจฉาน (๑) อปทะ จำพวกที่ไมมีขา
(๒) ทวิปทะ จำพวกที่มี ๒ ขา (๓) จตุปปทะ จำพวกที่มี ๔ ขา (๔) พหุปปทะ
จำพวกที่มีมากกวา ๔ ขาขึ้นไป
๓. ปตติวิสัย ภูมิแหงเปรต (๑) ปรทัตตูปชีวิกเปรต เปรตที่เลี้ยงชีวิต
ดวยสวนบุญที่เขาอุทิศให (๒) ขุปปปาสิกเปรต เปรตที่อดอยาก หิวขาวน้ำ
อยูตลอดเวลา (๓) นิชฌามตัณหิกเปรต เปรตที่ถูกไฟเผาใหรอนรนอยูเสมอ
(๔) กาลกัญจิกเปรต เปรตในจำพวกอสุรกาย
๔. อสุรกาย พวกอสูร (๑) เทวอสุรา อสุรกายที่เปนเทวดา (๒) เปติ-
อสุรา อสุรกายที่เปนพวกเปรต (๓) นิรยอสุรา อสุรกายที่เปนพวกสัตวนรก
๑ ชา.อ. ๓/๒๐๒.
๒ ขุ.อิติ. ๒๕/๒๗๓/๓๐๑.
มังคลัตถวิภาวินี
๙๒
ป ฺจวิธพนฺธนกมฺมกรณฏฺานาทีสุ (มงฺคล. ๒/๔๔๗/๓๔๘)
ปฺจวิธพนฺธนํ (เครื่องผูก ๕ อยาง) ในคำวา ปฺจวิธพนฺธนกมฺม-
กรณานาทีสุ คือ การใชตะปูรอนลุกโชนตรึงที่ มือขวา มือซาย เทาขวา
เทาซาย และอก๑
กาหนฺติ (มงฺคล. ๒/๔๔๗/๓๔๘)
กาหนฺติ [กร+โอ+สฺสนฺติ] แปลวา จักกระทำ ไมควรแปลวา ยอม
กระทำ เชน ในขอวา เย น กาหนฺติ โอวาท นรา พุทฺเธน เทสิตํ [นระเหลา
ใดจักไมกระทำตามโอวาทที่พระพุทธเจาทรงแสดงแลว]
แปลง กร กับ โอ เปน กาห ลง สฺสนฺติ วิภัตติ แลวลบ สฺส หรือ เอา ร
แหง กร กับ โอ และ สฺส เปน อาห๒
สวนในหนังสืออธิบายบาลีไวยากรณทานวา กร ธาตุ อา ปจจัย สฺสติ
วิภัตติ เพราะภวิสฺสนฺติ วิภัตติ แปลง กรฺ เปน กาห ลบ สฺส แหง สฺสติ วิภัตติ
เสีย คงไวแต ติ๓

๑ เชน ม.อุ. ๑๔/๔๗๕/๓๑๕.
๒ กจฺจายน. สูตร ๔๘๑, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๙๖๒, โมคฺ. สูตร ๖.๒๕
๓ มหามกุฏราชวิทยาลัย, อธิบายบาลีไวยากรณ อาขยาต, หนา ๘๕.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๙๓
สมณทสฺสนกถา
-๐-
ตถาสมาหิตํ (มงฺคล. ๒/๔๔๙/๓๕๑)
สมาหิตํ [สํ+อา+ธา+อิ+ต] ในขอวา ตถาสมาหิตํ จิตฺตํ แปลวา จิตที่ตั้ง
มั่นแลวอยางนั้น, ธา ธาตุ จัดลงในหมวด ภู ธาตุ ถา อา เปนบทหนาใชใน
ความหมายวายกขึ้น, ตั้งขึ้น (อาโรปเน)๑, แปลง ธา เปน ห, อิ อาคม๒
สวนในคัมภีรโมคคัลลานะ ทานอธิบายวา ลง ต ปจจัยแลว แปลง ธา
ธาตุ เปน หิ๓, แมคำวา ปณิหิตํ, นิหิต- ก็พึงทราบลง ธา ธาตุ แปลง ธา เปน
ห หรือ หิ โดยนัยนี้เหมือนกัน
อชฺฌุเปกฺขิตา (มงฺคล. ๒/๔๔๙/๓๕๑)
อชฺฌุเปกฺขิตา [อธิ+อุป+อิกฺข ทสฺสนงฺเกสุ+ตุ+สิ] อชฺฌุเปกฺขตีติ
อชฺฌุเปกฺขิตา ผูเพง, ผูเพงดู (อธิ เปน อชฺฌ, อิ เปน เอ, อิ อาคม, อุ การันต
กับ สิ เปน อา)
นิสินฺนสฺส (มงฺคล. ๒/๔๕๓/๓๕๓)
บทวา นิสินฺนสฺส ในขอ ๔๕๓ หนา ๓๕๓ พึงสัมพันธเขากับบทวา
อนุสฺสรณํ และในขอ ๔๕๔ ก็นัยนี้เหมือนกัน
ตตฺถาปิ ตโต (มงฺคล. ๒/๔๕๖/๓๕๖)
ตฺตถาป ตโต ในขอ ๔๕๖ พึงนำศัพทในขอ ๔๕๔ มาประกอบ ดังนี้
๑ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๒๐๐ หนา ๒๐๙.
๒ พจนานุกรมกิริยากิตต ฉบับธรรมเจดีย, หนา ๒๕๑.
๓ โมคฺ. สูตร ๔.๗๒.
มังคลัตถวิภาวินี
๙๔
๑. ตตฺถ=เตสุป รตฺติานทิวาาเนสุ [ในที่พักกลางคืนและที่พัก
กลางวันแมนั้น]
๒. ตโต=ตมฺหา อริยสนฺติกา [จากสำนักของพระอริยเจานั้น]
สตสหสฺสมตฺตา (มงฺคล. ๒/๔๕๖/๓๕๖)
ขอวา สตสหสฺสมตฺตา อเหสุ สมนฺตปาสาทิกตฺตา ปหสฺส ขึ้น
ประธาน ตามขอความในขอ ๔๕๕ ใหเต็มประโยควา
(มหากสฺสปตฺเถรสฺส อนุปฺปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตา กุลปุตฺตา) สตสหสฺส-
มตฺตา อเหสุ สมนฺตปาสาทิกตฺตา ปหสฺส
แปล [(กุลบุตรทั้งหลายผูบวชตามพระมหากัสสปะเถระ) ไดมี
ประมาณแสนหนึ่ง เพราะการบวชของพระมหากัสสปะเถระนำความ
เลื่อมใสมาโดยรอบดาน]
มหินฺท...ปพฺพชนฺติ นาม (มงฺคล. ๒/๔๕๖/๓๕๖)
ขอวา มหินฺท...ปพฺพชนฺติ นาม นักศึกษานำศัพทในขอ ๔๕๕ หนา
๓๕๕ มาเติมใหเต็มวา
มหินฺทตฺเถรสฺเสว ปพฺพชฺชํ อนุปฺปพฺพชนฺติ นาม
[(กุลบุตรทั้งหลาย) ชื่อวายอมบวชตามพระมหินทเถระนั่นแหละ]
ปาตุกมฺมาย (มงฺคล. ๒/๔๖๐/๓๕๙)
ในประโยควา โก ปจฺจโย สิตสฺส ปาตุกมฺมาย ฯ
คำวา ปาตุกมฺมาย ลง ส จตุตถีวิภัตติ แตใชในอรรถแหงวิภัตติอื่น,
หนังสือฉบับแปล นิยมแปลวา แหงการทรงทำการแยมพระสรวลใหปรากฏ
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๙๕
และสัมพันธวา สิตสฺส ฉีกมฺม ใน -กมฺมาย ปาตุกมฺมาย สามีสมฺพนฺธ ใน
ปจฺจโย๑, ปาตุกมฺมาย เปนจตุตถีวิภัตติใชในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ๒
อีกมติหนึ่ง ปาตุกมฺมาย มีวิภัตติวิปลาส คือลง ส จตุตถีวิภัตติ แตใช
ในอรรถสัตตมีวิภัตติ๓ โดยอางสูตรในสัททนีติ๔ ไดรูปเปน ปาตุกมฺมาย=
ปาตุกมฺเม ฉะนั้น จึงแปลวา ในการทรงทำการแยมพระสรวลใหปรากฏ
อตีวมหา : บทว่า มหา เป็ นได้ ๓ ลิงค์(มงฺคล. ๒/๔๖๒/๓๖๐)
ในขอวา อตีวมหา อโหสิ ปหาโร [ไดเปนการประหารอยางถนัดยิ่ง]
อตีวมหา [อตีว+มหา], อตีว เปนนิบาต แปลวา ดี, ยิ่ง, ดียิ่ง, ยิ่งนัก,
เหลือเกิน, อยางยิ่ง๕, มหา เปนคุณนาม แปลวา ใหญ, มาก, กวาง เปนตน
มหา ศัพทเดิมเปน มหนฺต ตามมติของสัททนีติปทมาลา ทานอาศัย
ตัวอยางจากพระบาลี จึงแจก มหนฺต ศัพทไดรูปเปน มหา ครบทั้ง ๓ ลิงค๖ เชน
อุปาสก มหา เต ปริจฺจาโค๗ [อุบาสก การบริจาคของทาน ยิ่งใหญ]
พาราณสีรชฺชํ นาม มหา๘ [ชื่อวาแควนพาราณสี กวางใหญนัก]
เสนา สา ทิสฺสเต มหา๙ [กองทัพนั้น ปรากฏเปนกองทัพที่ยิ่งใหญ]
๑ พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และคณะ, วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๘ ฉบับ
สมบูรณ, (กรุงเทพฯ : ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๘), หนา ๒๐.
๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๖๗๒ หนา ๕๗๑-๕๗๒.
๓ สุภาพรรณ ณ บางชาง, ไวยากรณบาลี, หนา ๓๔๑.
๔ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๖๗๒ หนา ๕๗๑.
๕ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ-ไทย, (กรุงเทพฯ สำนักเรียนวัดปากน้ำ,
๒๕๔๐), หนา ๒๖.
๖ สัททนีติปทมาลา, หนา ๕๘๗-๕๙๐.
๗ ชา.อ. ๖/๒๑๓.
๘ อุ.อ. ๑/๓๖๙.
๙ ขุ.ชา. ๒๘/๖๗๙/๒๔๓.
มังคลัตถวิภาวินี
๙๖
อฑฺฒฏฺรตนํ (มงฺคล. ๒/๔๖๒/๓๖๐)
อฑฺฒรตนํ [อฑฺฒ+อ+รตนํ] (นาคํ) ชางตัวมีประมาณ ๗ ศอก
ครึ่ง, ชางตัวมีประมาณ ๗ ศอกคืบ
วิ. อฑฺฒมรตนนฺติ อฑฺเฒน อนฺนํ ปูรณนฺติ อฑฺฒมานิ ฯ
อฑฺฒมานิ รตนานิ ปมาณํ เอตสฺสาติ อฑฺฒมรตโน (นาโค) ฯ ตํ ฯ๑
นาค ศัพท์เดียว แปลได้หลายอย่าง (มงฺคล. ๒/๔๖๒/๓๖๐)
นาค ในขอนี้ หมายถึง หตฺถินาคํ แปลวา ชาง, ความจริง นาค ศัพทนี้
แปลไดหลายอยาง
นาค แปลไดหลายอยาง ดังนี้ ๑) ผูประเสริฐ ไดแก พระราชา ๒)
สัตวประเสริฐ ไดแก ชาง ๓) ตนกากะทิง ๔) ผูหมดกิเลส ไดแก
พระพุทธเจา หรือ พระอรหันต และ ๕. งู เชน ในวชิรสารัตถสังคหะวา๒
นาโคว นาคมารุยฺห นาคมูลํ อุปาคมิ
นาคปุปฺผํ คเหตฺวาน นาคสฺส อภิปูชยิ
[พระราชานั่นแหละ ทรงชาง เขาไปใกลโคนตน
กากะทิงเก็บดอกกากะทิงนอมบูชาพระพุทธเจา]
ทานอธิบายดวยคาถานี้วา
ติณคฺคํ ขาทติ เภกํ คิลติ กาลปุปฺผิโต
นาโค เทวมนุสฺสานํ ธมฺมํ เทเสติ เกวลํ
[นาค ๑ เคี้ยวยอดหญา (ชาง) นาค ๑ กลืนกิน
กบ (งู) นาค ๑ มีดอกบานตามฤดูกาล (ตน
กากะทิง) นาค ๑ แสดงธรรม (พระพุทธเจา)]
๑ การอธิบายเชนนี้ เรียกวา ทันตเฉทนนัย และ ทันตโสธนนัย
๒ พระสิริรัตนปญญาเถระ (รจนาเสร็จ พ.ศ. ๒๐๗๘), แยม ประพัฒนทอง (แปล),
วชิรสารัตถสังคหะ, (กรุงเทพฯ: วัดปากน้ำ, ๒๕๕๖), หนา ๙๒, ๑๗๙.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๙๗
วิธีแปล ขมนียํ/ยาปนียํ (มงฺคล. ๒/๔๖๒/๓๖๑)
คำวา ขมนียํ, ยาปนียํ ในชั้นประโยค ป.ธ. ๕ นี้ แปลโดยอรรถวา
พอทนได, พอใหเปนไปได เชน
ขมนียํ เม อาวุโส โมคฺคลฺลาน, ยาปนียํ เม อาวุโส โมคฺคลฺลาน
[โมคคัลลานะผูมีอายุ เราพอทนได, โมคคัลลานะผูมีอายุ เราพอ
ใหเปนไปได]
ในขอนี้ คำวา ขมนียํ, ยาปนียํ เปนกิริยา ถานักเรียนประสงคจะขึ้น
ประธาน ขอใหถือตามอรรถกถาวินัย ซึ่งทานแนะใหขึ้น อิทํ จตุจฺจกฺกํ
นวทฺวารํ สรีรยนฺตํ๑ มาเปนประธาน จึงไดรูปประโยคเชนนี้วา
[อิทํ เม จตุจฺจกฺกํ นวทฺวารํ สรีรยนฺตํ] ขมนียํ อาวุโส
โมคฺคลฺลาน, [อิทํ เม จตุจฺจกฺกํ นวทฺวารํ สรีรยนฺตํ] ยาปนียํ
อาวุโส โมคฺคลฺลาน
[โมคคัลลานะผูมีอายุ ยนตคือสรีระ มีสี่ลอ เกาประตูนี้
เราพอทนได, โมคคัลลานะผูมีอายุ ยนตคือสรีระ มีสี่ลอ เกา
ประตูนี้ เราพอใหเปนไปได]
นิทฺทํ อุปคตสฺส (มงฺคล. ๒/๔๖๒/๓๖๑)
ขอวา อนฺโตสมาปตฺติยํ อปฺปฺายมานทุกฺขฺหิ กายนิสฺสิตตฺตา นิทฺทํ
อุปคตสฺส มกสาทิชนิตํ วิย ปฏิพุทฺธสฺส โถกํ ปฺายิตฺถ ฯ
เรียงเต็มประโยควา
อนฺโตสมาปตฺติยํ อปฺปฺายมานทุกฺขฺหิ กายนิสฺสิตตฺตา
[นิทฺทํ อุปคตสฺส มกสาทิชนิตํ อปฺปฺายมานทุกฺขํ วิย ปฏิพุทฺธสฺส
โถกํ ปฺายนฺตํ] โถกํ ปฺายิตฺถ ฯ
๑ เชน วินย.อ. ๑/๗๐๕, สมนฺตปาสาทิกา ภาค ๑ ที่ใชเปนหนังสือเรียน หนา ๕๘๙.
มังคลัตถวิภาวินี
๙๘
[ความจริง ทุกขที่ไมปรากฏอยู ในภายในแหงสมาบัติ
ปรากฏแลวหนอยหนึ่ง เพราะความเปนสภาพอาศัยกาย (ดุจ
ทุกขที่เกิดขึ้นเพราะยุงเปนตน ไมปรากฏอยูแกบุคคลผูเขาถึง
ความหลับ ปรากฏแกเขาผูตื่นแลวเพียงเล็กนอย ฉะนั้น)]
ฑยฺหามิ (มงฺคล. ๒/๔๖๒/๓๖๑)
ฑยฺหามิ เราเรารอน, เราอันความรอนแผดเผา [ทห ธาตุในความเผา
ภสฺมีกรเณ+ย กรรมวาจก+มิ] แปลง ท เปน ฑ๑ สลับ ย ไปไวหนา ห๒ เปน
กัมมวาจก
ในกัตตุวาจก ไดรูปเปน ทหติ เชน อคารานิ อคฺคิ ทหติ ฯ นักศึกษาพึง
ศึกษารูปกิริยากิตก เชน อคฺคินา ทฑฺฒํ เคหํ ฯ
ธมฺมสากจฺฉากถา
-๐-
ใน ธมฺมสากจฺฉากถา มีเนื้อความชัดเจน ไมมีเนื้อความที่ตองอธิบาย
เพิ่มเติม ทั้งนักเรียนก็ไมไดสงสัยอะไร จึงขอขามไปอธิบาย ตปกถา เลย

๑ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๕๑๕.
๒ นิรุตติทีปนี, หนา ๕๒. พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และคณะ, วิชา สัมพันธไทย
ธรรมบทภาคที่ ๕ ฉบับแกไข/ปรับปรุง, (กรุงเทพฯ : ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๒),
หนา ๑๕๙.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๙๙
นวมคาถายตฺถวณฺณนา
ตปกถา
-๐-
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา : วิเสสลาภี (มงฺคล. ๒/๔๗๑/๓๖๖)
ตีติกฺขา วิเสสลาภี ของ ขนฺตี ฯ๑ แปลวา ขันติคือความอดกลั้น แปล
ยกศัพทวา ขนฺตี ความอดทน คือ ตีติกฺขา ความอดกลั้น ตโป
โหติ เปนตบะ ปรมํ อยางยิ่ง๒
ตีติกฺขา (มงฺคล. ๒/๔๗๑/๓๖๖)
ติติกฺขา (อิต.) [ติชฺ ขนฺติยํ+ข] ความอดทน, ความอดกลั้น, ความ-
ทนทาน, ความอดใจ, ความบึกบึน. ติชฺ ขนฺติยํ, โข. เทฺวภาว ติ แปลง ชฺ เปน
กฺ อา อิต. เปน ตีติกฺขา บาง๓
มหาหํสชาตก (มงฺคล. ๒/๔๗๑/๓๖๗)
ทานยกขอความแหงมหาหังสชาดกมาแสดงเพียงบางสวน ในหนังสือ
ฉบับแปลทานนำขอความมาเติมใหเต็มประโยค ขอความเต็มมีดังตอไปนี้
ทานํ สีลํ ปริจฺจาคํ อาชฺชวํ มทฺทวํ ตป
[อกฺโกธํ อวิหึสฺจ ขนฺตึ จ อวิโรธนํ
อิจฺเจเต กุสเล ธมฺเม เต ปสฺสามิ อตฺตนีติ]๔
มหาหํสชาตเก อุโปสถกมฺมํ ฯ
๑ พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และคณะ, วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๖ ฉบับ
สมบูรณ, (กรุงเทพฯ : ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๗), หนา ๒๕๘.
๒ อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒, หนา ๔.
๓ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๙๐๖, พจนานุกรม มคธ-ไทย, หนา ๓๐๖.
๔ ชา.อ. ๘/๒๘๑.
มังคลัตถวิภาวินี
๑๐๐
แปล
อุโบสถกรรม ชื่อวาตบะ ในมหาหังสชาดก วา เรา
พิจารณาเห็นกุศลธรรมเหลานั้น คือ ทาน ๑ ศีล ๑
บริจาค ๑ ความซื่อตรง ๑ ความออน โยน ๑ ตบะ ๑
[ความไมโกรธ ๑ ความไม เบียดเบียน ๑ ความ
อดทน ๑ ความไมยินราย ๑ ซึ่งตั้งอยูแลวในตน]
ยตฺวาธิกรณเมนํ (มงฺคล. ๒/๔๗๓/๓๖๘)
ยตฺวาธิกรณเมนํ [ยตฺวาธิกรณํ+เอนํ], กอนอื่น ขอใหนักเรียนทำความ
เขาใจหลักการเบื้องตนกอนวา
๑. ย, ต สัพพนาม ไมวาจะประกอบวิภัตติไหน เมื่อเขาสมาสแลว
นิยมลงนิคคหิตอาคมหรือซอนพยัญชนะ๑ เปน ยํ, ตํ อุ. ยสฺส การณา=ยํ
การณา
๒. ปฐมาวิภัตติที่ ยํ, ตํ ดังกลาวนั้น แปลงเปน โต เชน ยโต, ตโต ได
บาง อุ. ตํนิทานํ=ตโตนิทานํ (ดูอางอิงในเชิงอรรถเดียวกันกับขอ ๕)
๓. บทวา เหตุ, อธิกรณํ เปนปฐมาวิภัตติใชอรรถการณะ
๔. บางมติวา ยํการณา, ตโตนิทานํ เปนตน เปนนิบาต จึงไม
จำเปนตองแจกดวยวิภัตติ
๕. บางมติวา เอนํ เปนปทปูรณะ๒
คำวา ยตฺวาธิกรณํ ในวิสุทธิมรรคอธิบายวา ยํการณา, ยสฺส
จกฺขุนฺทฺริยาสํวรสฺส เหตุ, ฎีกาอธิบายวา ยสฺส จกฺขุนฺทฺริยสฺส การณา
๑ พระราชเวที, ศัพท-สำนวน มังคลัตถทีปนี, พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ: เลี่ยงเชียง,
๒๕๓๔), หนา ๒๔; สัททนีติปทมาลา, หนา ๘๙๒, ๙๐๑.
๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๔๙๗, ๖๔๙, ๖๕๕. และ หนา ๑๒๔๕.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๐๑
ฉะนั้น คำวา ยตฺวาธิกรณํ จึงแปลวา เพราะเหตุการไมสำรวมอินทรีย
คือจักษุใด
ยตฺวาธิกรณํ ตัดบทเปน ยโต-อธิกรณํ๑ แปลวา เพราะเหตุ...ใด,
อธิกรณํ เปนปฐมาวิภัตติใชในอรรถการณะ แปลวา เพราะเหตุ, ยโต คือรูป
ของ ยํ ที่เปลี่ยนไปตามหลักการวา เมื่อ นิทาน ศัพทเปนตน อยูหลัง ให
เปลี่ยนปฐมาวิภัตติที่ ยํ, ตํ เปน โต๒ (ยโต ตโต), ยํอธิกรณํ เปลี่ยนเปน ยโต-
อธิกรณํ
ฉะนั้นทานจึงแก ยโต อธิกรณํ วา ยํการณา และอธิบายตอวา ยสฺส
จกฺขุนฺทฺริยสฺส การณา, (ยํ ในที่นี้คือ ยสฺส) ยสฺส เขาสมาสจึงกลายเปน ยํ
ในที่นี้โยค จกฺขุนฺทฺริยสฺส, นักศึกษาพึงเห็นลำดับการเปลี่ยนรูป ยโต-ยํ-ยสฺส
สรุปการจำแนกศัพทโดยลำดับดังนี้
ยตฺวาธิกรณํ - ยโต อธิกรณํ [ตัดบทเปน ยโต-อธิกรณํ]
ยโต อธิกรณํ - ยํอธิกรณํ [ยํ เปลี่ยนปฐมาที่ ยํ เปน โต]
ยํอธิกรณํ - ยํการณา [อธิกรณํ ปฐมา. ในอรรถการณะ]
ยํการณา - ยสฺส จกฺขุนฺทฺริยสฺส การณา [ยสฺส เขาสมาสจึงเปน ยํ]
หรือ ยสฺส จกฺขุนฺทฺริยาสํวรสฺส เหตุ [เหตุ ปฐมา. ในอรรถการณะ]
หตฺถปาทสิตหสิตกถิตวิโลกิตาทิเภทํ: ต ปจจัย ๔ สาธนะ(มงฺคล.๒/๔๗๔/๓๖๙)
บทวา สิตหสิตกถิตวิโลกิต ลง ต ปจจัย, ในที่นี้ทานใชเปนนามนาม
ไมใชเปนคุณนามหรือกิริยากิตต แปลวา การหัวเราะ ยิ้มแยม เจรจา และ
เหลียวดู
ต ปจจัยในที่นี้ทานใชเปนภาวสาธนะ วิ. หสนํ หสิตํ (การหัวเราะ ชื่อ
วา หสิตะ), ทั้งนี้มีหลักการวา ต ปจจัยมีความหมายได ๔ สาธนะ คือ
๑ ปทวิจารทีปนี, หนา ๑๓๓.
๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๖๔๙, ๔๙๗.
มังคลัตถวิภาวินี
๑๐๒
๑. กัตตุสาธนะ เชน คโต (ผูไป), นิสินฺโน (ผูนั่ง)
๒. กัมมสาธนะ เชน อภิภูโต (อันเขาครอบงำแลว)
๓. ภาวสาธนะ เชน คตํ (การไป), นิสินฺนํ (การนั่ง), สยิตํ (การนอน)
๔. อธิกรณสาธนะ เชน อาสีตํ (ที่นั่ง), นิปนฺนํ (ที่นอน)๑
ต ปจจัยที่ใชเปนนามนามนี้ มีตัวอยางใหเห็นอยูบาง เชน อาคตนฺติ
อาคมนํ ฯ๒
หิ ศัพท์ (มงฺคล. ๒/๔๗๕/๓๗๑)
หิ ศัพทในขอความวา ยตฺวาธิกรณนฺติ หิ ยสฺส จกฺขุนฺทฺริยสฺส การณาติ
อตฺโถ ฯ ทานแปลวา นัยหนึ่ง
นักเรียนรูสึกแปลกใจ ที่ทานแปล หิ วา นัยหนึ่ง (อปรนัย) เพราะ
เทาที่เรียนกันมาไมเคยพบเจอ, หิ ในขอความนี้ เทาที่พบทานแปลไว ๓
สำนวน ดังนี้วา
๑. ก็ (วากฺยารมฺภ) [เฉลยสนามหลวง ป ๒๕๑๕]
๒. อีกนัยหนึ่ง (อปรนย)
๓. เพราะ (การณโชตก)
สำนวนที่ ๑ และ ๒ ที่แปลวา ก็, อีกนัยหนึ่ง นั้นไมยาก นักเรียนแปล
ไดทันที สวนสำนวนที่ ๓ ที่แปล หิ วา เพราะเหตุใด นี้นาสนใจ สำนวนนี้
ทานพระมหาสมบูรณ ทสฺสธมฺโม แปล หิ วา เพราะ และไขไปที่ การณา วา
ยตฺวาธิกรณนฺติ หิ ยสฺส จกฺขุนฺทฺริยสฺส การณาติ อตฺโถ ฯ
๑ พระคันธสาราภิวงศ เรียบเรียง, พระธรรมโมลี และเวทย บรรณกรกุล ชำระ,
สังวรรณนามัญชรี และ สังวรรณนานิยาม, (นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช-
วิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๕), หนา ๙๓. ศึกษาเพิ่มเติมที่ ปทรูปสิทธิ
(อธิบายสูตร ๖๐๖, ๖๑๒, ๖๒๒, ๖๓๓)
๒ ที.อ. ๒/๑๕๕.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๐๓
[บทวา ยตฺวาธิกรณํ คือ เพราะเหตุใด ไดแก เพราะเหตุแหงอินทรีย
คือจักษุใด]
ความจริง ในคัมภีรคันถาภรณมัญชรี๑ ทานวา หิ ศัพทใชในอรรถ ๙
อยาง คือ วากยารัมภะ (ก็), วิตถาระ (ความพิสดารวา), ทัฬหีกรณะ (จริงอยู),
ผล (ดวยวา), การณะ (เพราะวา), ตัปปากฎีกรณะ (เหมือนอยางวา), วิเสสะ
(แตวา), อันวยะ (อัน) และพยติเรกะ (อัน)
ยถา=ยสฺมา (มงฺคล. ๒/๔๘๑/๓๗๗)
ยถา ในคาถาวา
ยถา อุคฺคตป สนฺต อิสึ โลมสกสฺสป
ปตุ อตฺถาย จนฺทวตี วาชเปยฺย อยาชยีติ ฯ
[เพราะพระนางจันทวดีไดนำพระโลมสกัสสป
ฤษี ผูมีตบะสูงสงบแลว มาบูชายัญเพื่อ
ประโยชนแกพระราชบิดาได]
ถา ปจจัยในที่นี้ลงในอรรถเหตุ มีคาเทากับ ยสฺมา (เหตุใด), เทาที่
คนพบ ทานอธิบายไววา ถา ปจจัย ใชแทน ปการ ศัพท๒ อาจลงวิภัตติไดทั้ง
๗ หมวด แตลบวิภัตติที่ลงนั้นเสียเพราะเปนอัพยยตัทธิต๓ ในที่ไดลงตติยา
หรือปญจมีวิภัตติ จึงแปลวา เหตุ, เพราะ
วิ. ยสฺมา ปการา ยถา เพราะประการใด ชื่อวา ยถา๔
๑ พระอริยวงศ รจนา, พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร แปล, คันถาภรณมัญชรี, (กรุงเทพฯ:
พิทักษอักษร, ๒๕๔๕), หนา ๙.
๒ มหามกุฏราชวิทยาลัย, อธิบายบาลีไวยากรณ สมาสและตัทธิต, หนา ๘๙.
๓ ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๓ (ตัทธิต), หนา ๔๗๑.
๔ วิเคราะห ยถา ศัพทนี้ ไดเทียบเคียงกับวิเคราะห ตถา, ดู สุภาพรรณ ณ บางชาง,
รองศาสตราจารย, ดร., ไวยากรณบาลี, พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิมหามกุฏราช-
วิทยาลัย, ๒๕๓๘), หนา ๔๕๕.
มังคลัตถวิภาวินี
๑๐๔
อกมฺม ฺโ (มงฺคล. ๒/๔๘๓/๓๗๙)
อกมฺมฺโ แปลวา ไมควรแกการงาน ฯ เชน ในขอความวา ตสฺส เม
กาโย กิลนฺโต อกมฺมฺโ ฯ [กายของเรานั้นเหน็ดเหนื่อยแลว ไมควรแก
การงาน]
อกมฺมฺโ ประกอบดวย น+กมฺม+ณฺย๑ หรือ ฺ๒ ปจจัย ในตัทธิต
ใชแทนความหมายวา ดี ในที่นี้แทนความหมายวา เหมาะ
วิ. กมฺมนิ สาธุ กมฺมฺ ฯ
วิ. นตฺถิ ตสฺส กมฺมฺนฺติ อกมฺมฺโ (กาโย) ฯ
ม ฺเ=วิย (มงฺคล. ๒/๔๘๓/๓๘๐)
นักเรียน เรียนกันมาวา มฺเ แปลวา เห็นจะ เรียกสัมพันธวา
สํสยตฺถ, แต มฺเ ในขอวา มาสาจิตํ มฺเ แปลวา เหมือน ลงในอรรถ
เปรียบเทียบ เชน นชฺโช มฺเ วิสฺสนฺทนฺตีติ นทิโย วิย วิสฺสนฺทนฺติ ฯ๓

๑ โมคฺ. สูตร ๔.๗๒, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๗๘๓ หนา ๗๘๑.
๒ โมคฺ. สูตร ๔.๗๓.
๓ องฺ.อ. ๓/๔๔๒.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๐๕
พฺรหฺมจริยกถา
-๐-
อห ฺจ ภริยา จ : ปโรปุริส (มงฺคล. ๒/๔๙๔/๓๙๑)
ในขอ ๔๙๔ ขอความวา อหฺจ ภริยา จ ... อหุมฺหา ทานขึ้น มยํ
เปนประธาน, พึงสัมพันธ อหํ และ ภริยา สรูปใน มยํๆ สยกตฺตา ใน อหุมฺหา
ในทางไวยากรณอธิบายไววา ในกรณีที่ประธานมีบุรุษตางกัน ทำ
กิริยาในกาลเดียวกัน ใหกระจายกิริยาเปนบุรุษที่อยูหลัง เรียกวา ปโรปุริส๑
และนิยมฝายพหุวจนะ (เปนเอกวจนะก็มีบาง) เชน
๑. ถาประธานบุรุษที่ ๑ และบุรุษที่ ๒ ใหกระจายกิริยาเปน บุรุษที่ ๒
ฝายพหุวจนะ เชน โส จ ตฺวฺจ ปจถ [๑ และ ๒ ใช ๒ พหุ.]
๒. ถาประธานบุรุษที่ ๑ และที่ ๓ ใหกระจายกิริยาเปน บุรุษที่ ๓ ฝาย
พหุวจนะ เชน โส จ อหฺจ ปจาม [๑ และ ๓ ใช ๓ พหุ.]
๓. ถาประธานบุรุษที่ ๒ และที่ ๓ ใหกระจายกิริยาเปน บุรุษที่ ๓ ฝาย
พหุวจนะ เชน ตฺวฺจ อหฺจ ปจาม [๒ และ ๓ ใช ๓ พหุ.]
๔. ถาประธานบุรุษที่ ๑, ๒ และที่ ๓ ใหกระจายกิริยาเปน บุรุษที่ ๓
ฝายพหุวจนะ เชน โส จ ตฺวฺจ อหฺจ ปจาม [๑, ๒ และ ๓ ใช ๓ พหุ.] ยัง
มีตัวอยางอีกมาก นักศึกษาพึงตรวจดูที่ นิรุตฺติทีปนี อธิบายสูตรที่ ๕๖๓
ในขอวา อหฺจ ภริยา จ...อหุมฺหา นี้ ภริยา เปนบุรุษที่ ๑ อหํ เปน
บุรุษที่ ๓ จึงกระจายกิริยาเปนบุรุษที่ ๓ ฝายพหุวจนะเปน อหุมฺหา
๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๘๖๘, กจฺจายน. สูตร ๔๐๙, รูปสิทฺธิ. สูตร ๔๔๑,
นิรุตติทีปนี, สูตร ๕๖๓.
มังคลัตถวิภาวินี
๑๐๖
อริยสจฺจทสฺสนกถา
-๐-
ทุกฺขํ อริยสจฺจํ : วิเสสลาภี (มงฺคล. ๒/๕๓๑/๔๑๑)
ทุกฺขํ วิเสสลาภี ของ อริยสจฺจํ แปลวา อริยสัจ คือทุกข, แมคำวา
ทุกฺขสมุทโย ทุกฺขนิโรโธ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา ก็เปนวิเสสลาภี ของ
อริยสจฺจํ๑ (วิเสสลาภี ควรแปลวา คือ ทุกตัว)
ภวา (มงฺคล. ๒/๕๔๒/๔๒๐)
คำวา ภวา ทานอธิบายวา วตฺตมานา สัมพันธเขากับ เอกา ธาตุ
ทิธมฺมิกา เปนอิตถีลิงค เอกวจนะ, นาสงสัยวา ภวา ทำตัวอยางไร เรื่องนี้
ตองรอทานผูรูแนะนำ, เทาที่คนพบหลักฐาน ไดขอสันนิษฐานวา
๑. ภวา ศัพทเดิมเปน ภว (ภู+อ) ภวตีติ ภโว แปลวา มี ใชเปน
คุณนาม แจกได ๓ ลิงค แจกแบบ ปุริส, กฺา, กุลํ ตามลำดับ เชน
ตํสมฺปยุตฺตตาย มนสิ ภโวติ ราโค มานโส ฯ คุณปริปุณฺณตาย ปุเร
ภวาติ โปรี ฯ๒ เจตสิ ภวํ ตทายตฺตวุตฺติตายาติ เจตสิกํ ฯ๓ อุทเร ภวํ อุทริยํ๔
๒. ขอใหพิจารณา อรหนฺต และ มหนฺต ศัพท ที่ไดรูปเปน อรหา และ
มหา ใชเปนอิตถีลิงค ตามแนวที่ทานแสดงไวสัททนีติปทมาลา เชน อิตฺถี
อรหา อโหสิ ฯ๕ เสนา สา ทิสฺสเต มหา ฯ๖ เปนไปไดหรือไมวา ภวา ศัพท
เดิมคือ ภวนฺต (ภู+อนฺต) ทำตัวเหมือน อรหา, มหา นั้น
๑ อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒, หนา ๔.
๒ มงฺคล. ๒/๕๖๒/๔๓๓ และ มงฺคล. ๒/๖๑/๕๕.
๓ สงฺคห.ฏี. ๑/๖๗.
๔ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๗๗๔ หนา ๗๗๔.
๕ สัททนีติปทมาลา, หนา ๕๖๗, ๕๘๗-๕๘๘.
๖ ขุ.ชา. ๒๘/๖๗๙/๒๔๓.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๐๗
นิพฺพานสจฺฉิกิริยากถา
-๐-
ก ฺจิ ธมฺมํ อุปาทิยติ : แปลแลวยกขึ้นตั้งอรรถ (มงฺคล. ๒/๕๔๔/๔๒๒)
คำวา กฺจิ ธมฺมํ อุปาทิยติ ทำหนาที่ ๒ อยาง คือ (๑) เปนสวนหนึ่ง
ของประโยคหนา โดย อุปาทิยติ ทำหนาที่กิริยาคุมพากยและ กฺจิ ธมฺมํ
เปนบทที่เนื่องกับกิริยาคุมพากย (๒) กฺจิ ธมฺมํ อุปาทิยติ เปนบทตั้งอรรถ
ของประโยคหลัง
นักเรียนจึงควรแปลซ้ำ ๒ ครั้ง คือ แปลไปจนจบประโยคที่
กฺจิ ธมฺมํ อุปาทิยติ แลวยก กฺจิ ธมฺมํ อุปาทิยติ นั้นขึ้นแปลเปนบทตั้ง
ขึ้น อตฺโถ มาเปนตัวเปด อิติ ทาย อุปาทิยติ ทั้ง ๒ บท และไข สหิตํ
ไปที่ ปวตฺตํ วา
น จ อุปาทานสมฺปยุตฺตนฺติ อุปาทาเนหิ สหิตํ เอกสฺมึ
ปติตวเสนาป อุปาทาเนหิ สห ปวตฺตํ หุตฺวา น จ กฺจิ ธมฺมํ
อุปาทิยตีติ กสฺสจิ ธมฺมสฺส อารมฺมณกรณวเสน อุปาทิยตีติ ฯ
บทวา น จ อุปาทานสมฺปยุตฺตํ ความวา พระอรหัตผลนั้น
หาเปนธรรมชาตประกอบดวยอุปาทานทั้งหลาย คือ เปนไปกับ
ดวยอุปาทานทั้งหลาย แมดวยสามารถที่ตกไปในอุปาทานอยาง
หนึ่ง ยึดมั่นธรรมอะไรๆ ไมฯ
หลายบทวา กฺจิ ธมฺมํ อุปาทิยติ ความวา ยอมยึดมั่น
ดวยสามารถการทำธรรมอะไรๆ ใหเปนอารมณ (หามิได) ฯ
ลักษณะประโยคอยางนี้ นักเรียนเคยพบมาบางแลว ในหนังสือธัมม-
ปทัฏฐกถา ภาค ๖ อตฺตทตฺถตฺเถรวตฺถุ แกอรรถที่วา สทตฺถปฺปสุโต สิยาฯ๑
๑ ธ.อ. ๖/๒๗.
มังคลัตถวิภาวินี
๑๐๘
อาลมฺเพติ (มงฺคล. ๒/๕๕๒/๔๒๖)
อาลมฺเพติ [อา+ลพิ อวสํสเน๑+เอ+ติ, ลงนิคคหิตกลางธาตุ แปลง
เปน มฺ๒] ยอมหนวงเหนี่ยว, ในขอเดียวกันนี้ พึงแก อารมฺเพยฺยุ เปน
อาลมฺเพยฺยุ
อาโท ลง สฺมึ สัตตมีวิภัตติ (มงฺคล. ๒/๕๕๔/๔๒๗)
อาโท ในขอวา อิธ ปนาโท ปาทตฺตยํ นวนวกฺขริกํ ฯ [ก็ในคาถานี้ ๓
บาทขางตน มีอักษรบาทละ ๙], นักเรียนสงสัยวา อาโท ลงวิภัตติอะไร
อาโท ศัพทเดิมเปน อาทิ ลง สฺมึ สัตตมีวิภัตติ แปลง สฺมึ กับ อิ เปน
โอ ไดรูปเปน อาโท แปลวา ในเบื้องตน
ทั้งนี้ มีหลักการวา หลัง อาทิ ศัพทเปนตน แปลง สฺมึ วิภัตติ เปน อํ
เปน โอ บาง๓ เชน อาทึ, อาโท ในเบื้องตน, รตฺโต ในเวลากลางคืน
อาทิ ศัพท วิเคราะหวา อาทียเต ปมํ คณฺหียเตติ อาทิ สวนที่ถูก
ถือเอากอน ชื่อวาอาทิ (อา+ทา+อิ, ลบสระหนา)๔

๑ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๓๓๙.
๒ กจฺจายน. สูตร ๓๑, ปฺจิกา.โย. ๑/๑๖๔.
๓ กจฺจายน. สูตร ๖๙, รูปสิทฺธิ สูตร ๑๘๖ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๒๑๘ หนา ๑๗๖.
๔ อภิธานวรรณนา, คาถา ๗๑๕ หนา ๘๗๗.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๐๙
ทสมคาถายตฺถวณฺณนา
อกมฺปตจิตฺตกถา
-๐-
อุปายาเสหิ : อุปายาส คืออะไร (มงฺคล. ๒/๕๖๖/๔๓๗)
ในขอวา
โส เอวํ อนุโรธวิโรธสมาปนฺโน น ปริมุจฺจติ ชาติยา ชรา-
มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุกฺเขหิ โทมนสฺเสหิ อุปายาเสหิ ฯ
[เขาถึงพรอมดวยความยินดีและความยินรายอยางนี้ ยอม
ไมพนจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส
อุปายาส]
นักเรียนสงสัยวา อุปายาส คืออะไร โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส
อุปายาส ตางกันอยางไร
อุปายาส [อุป+อายาส] แปลกันวา ความคับแคนใจ, คำวา อุปายาส
เปนกัมมธารยสมาส วิ. ภูโส อายาโส อุปายาโส๑ [ความลำบากใจอยางมาก
ชื่อวา อุปายาส]
อุป ในที่นี้หมายความวา ภูส/ภุส๒ หรือ พลว แปลวา กลา, รุนแรง,
มาก, มีกำลัง
อายาส [อา ยา คติยํ ส] แปลวา “ความลำบากใจ” ทานอธิบายวา
อายาโสติ สํสีทนวิสีทนาการปฺปตฺโต จิตฺตกิลมโถ ฯ พลว-
ภาเวน อายาโส อุปายาโส ฯ
๑ อุ.อ. ๑/๖๔. (ฉบับพมาเปน ภุโส)
๒ ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑, หนา ๘๗๐.
มังคลัตถวิภาวินี
๑๑๐
[อายาส คือความลำบากใจซึ่งเปนไปโดยอาการใจหายใจ
คว่ำ, ความลำบากใจเหลือกำลัง ชื่อวาอุปายาส]
อุปายาส มีลักษณะติดของงวนอยูกับอารมณที่ใหเกิดความไมสบาย
ใจ (พฺยาสตฺติลกฺขโณ) ทำใหเกิดการทอดถอนหมดอาลัย (นิตฺถุนนรโส) และ
ปรากฏผลเปนความเศราใจ (วิสาทปจฺจุปาโน)
ขอใหนักเรียนอานเรื่องในอรรถกถามหานิเทส ดังตอไปนี้ จะเห็น
ความตางของ ทุกข (ทุกขกาย) โทมนัส (ทุกขใจ) โสกะ ปริเทวะ อุปายาส
ความโศก พึงเห็นเหมือนการหุงตมภายในภาชนะดวยไฟออนๆ
ปริเทวะ พึงเห็นเหมือนการลนออกนอกภาชนะของอาหารที่หุงตมดวย
ไฟแรง อุปายาส พึงเห็นเหมือนการเคี้ยวอาหารที่เหลือจากลนออกภายนอก
ลนออกไมไดอีก เคี่ยวภายในภาชนะนั่นแหละจนกวาจะหมด๑
จริงอยู เมื่อบุคคลถูกพระราชากริ้วแลวก็ทรงถอดยศ ทั้งบุตรและ
พี่ชายนองชายของเขาก็ถูกประหาร ทั้งตัวเขาเองก็ถูกสั่งประหาร เพราะเขา
กลัวจึงหลบหนีไปในดง ถึงความเปนผูเศราใจอยางใหญหลวง เกิดทุกขะ
(ทุกขกาย) มีกำลังเพราะยืนเปนทุกขนอนเปนทุกขนั่งเปนทุกข เมื่อคิดอยูวา
พวกญาติของเราเทานี้ โภคทรัพยเทานี้ ฉิบหายแลว ดังนี้ โทมนัส (ทุกขใจ)
มีกำลังก็ยอมเกิดขึ้น
จริงอยู เมื่อบุคคลประสบทุกข โดยทุกขคือการถูกตัดมือตัดเทา และ
ตัดหูตัดจมูกซึ่งนอนวางกระเบื้องเกาไวขางหนาขออาหารในศาลาของคน-
อนาถา เมื่อมีหมูหนอนออกจากแผลทั้งหลาย ทุกขกายเหลือกำลังยอม
เกิดขึ้น โทมนัสรุนแรงก็ยอมเกิดเพราะเห็นมหาชนผูมีเสื้อผายอมดวยสีตางๆ
ประดับไดตามชอบใจเลนงานนักษัตรอยู
๑ นิทฺ.อ. ๑/๑๐๔.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๑๑
อโสกจิตฺตกถา
-๐-
อนฺโต ลงแลวลบวิภัตติ (มงฺคล. ๒/๕๗๐/๔๔๐)
อนฺโต เปนนิบาต ลงแลวลบวิภัตติ คงรูปเปน อนฺโต อยางเดิม เชน
อนฺโต ลงแลวลบ อํ ทุติยาวิภัตติ ในขอวา
อพฺภนฺตรนฺติ อตฺตภาวสฺส อนฺโต อตฺตโน ลูขภาวตาย
โสเสนฺโต ถามคมเนน สมนฺตโต โสสนวเสน ปริโสเสนฺโต
[บทวา อพฺภนฺตรํ เปนตน ความวา ความโศกนั้น ชื่อวา
ยังภายในอัตภาพใหแหงเหือด เพราะความที่ตนมีภาวะเศรา-
หมอง ชื่อวา ยังภายในอัตภาพใหแหงผาก ดวยอำนาจความ-
แหงเหือดโดยรอบ เพราะถึงความรุนแรง]
อนฺโต เดิมเปน นิบาต ในที่นี้ใชเปนนามนาม ลง อํ ทุติยาวิภัตติแลว
ลบ อํ นั้นเสีย คงเปน อนฺโต เรียกสัมพันธวา การิตกมฺม ใน โสเสนฺโต และ
ปริโสเสนฺโต, อนฺโต ในที่นี้สองอรรถ อพฺภนฺตร
การลบวิภัตติหลังอุปสัคและนิบาต เปนตนนี้ นักศึกษาพึงคนควาจาก
คัมภีรไวยากรณทั้งหลาย เชน คัมภีรปทรูปสิทธิ สูตรที่ ๒๘๒ วา
สพฺพาสมาวุโสปสคฺคนิปาตาทีหิ จ [ลบวิภัตติทั้งปวงทาย อาวุโส
อุปสัค และนิบาต เปนตนนั่นเทียว]๑
ตัวอยางการลบวิภัตติหลังอุปสัคและนิบาต เชน นโม ที่เปนนิบาต๒
เมื่อจะใชเปนนามนาม ใหลงวิภัตติแลวลบ คงรูปเปน นโม เชน
๑ กจฺจายน. สูตร ๒๒๑, รูปสิทฺธิ. สูตร ๒๘๒, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๔๔๘ หนา ๓๑๐.
๒ นโม เปน นิบาต ดู อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒, หนา ๑๑๔.
มังคลัตถวิภาวินี
๑๑๒
นโม อตฺถุ๑ (ลบ สิ ที่ นโม)
[ขอความนอบนอม จงมี]
นโม กโรหิ นาคสฺส๒ (ลบ อํ ที่ นโม)
[ทานจงกระทำความนอบนอมแดพระอรหันต]
ฌาเปสิ (มงฺคล. ๒/๕๗๒/๔๔๒)
ฌาเปสิ เปนทั้งกัตตุวาจกและเหตุกัตตุวาจก ที่เปนกัตตุวาจก
ประกอบดวย ฌป ธาตุ (จุราทิคณะ)+เณ ปจจัย+ส อาคม+ อี วิภัตติ สวนที่
เปนเหตุกัตตุวาจก ประกอบดวย เฌ ธาตุ (ภูวาทิคณะ)+ณาเป ปจจัย+ส
อาคม+ อี วิภัตติ
เฌ ธาตุใชในอรรถวา สองสวาง,ลูกโพลง, เรารอน, ไหม (ทิตฺติยํ,
ทหนทิตฺตีสุ) จัดลงในหมวด ภู ธาตุ ในกัตตุวาจกมีรูปเปน ฌายติ สวนใน
เหตุกัตตุวาจกมีรูปเปน ฌาเปติ
ฌป ธาตุใชในอรรถวา เผา, เรารอน, ไหม (ทาเห, วิทาเห) จัดลงใน
หมวด ภู ธาตุและ จุร ธาตุ ในกัตตุวาจกมีรูปเปน ฌปติ (ลง อ ปจจัยประจำ
หมวด ภู ธาตุ) และ ฌาเปติ (ลง เณ ปจจัยประจำหมวด จุร ธาตุ)
สวนในเหตุกัตตุวาจกมีรูปเปน ฌาปาเปติ, ฌาปาปยติ สวนในคัมภีร
สัททนีติ ธาตุมาลา ฉบับแปล หนา ๘๒๙ กลาววา ฌาป ธาตุ ที่ประกอบใน
เหตุกัตตุวาจกลงปจจัยได ๒ ตัว คือ ณาเป และ ณาปย๓
๑ วิมติ.ฏี. ๑/๓.
๒ ม.มู. ๑๒/๒๘๙/๒๘๑.
๓ พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และคณะ, วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๕ ฉบับ
แกไข/ปรับปรุง, (กรุงเทพฯ : ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๒), หนา ๑๕๐.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๑๓
อาคา (มงฺคล. ๒/๕๗๔/๔๔๓)
อาคา [อา+คม/คมุ ธาตุ+อ ปจจัย+อี อัชชัตตนีวิภัตติ], อาคา ในขอ
วา อนวฺหาโต ตโต อาคา แปลวา มาแลว, เอา อี กับที่สุดธาตุเปน อา
ในคัมภีรโมคคัลลานะวา เมื่อลง อา หิยัตตนีวิภัตติ และ อี อัชชัตตนี-
วิภัตติแลว เอาตัวทายแหง คม ธาตุเปน อา๑
กาลกเต (มงฺคล. ๒/๕๗๓/๔๔๓)
ผูเขียนนี้ไดตรวจสอบหลักฐานแลว เห็นวาควรแก กาลากเต เปน
กาลกเต ดังแสดงในคาถานี้วา
อุรโคว ตจํ ชิณฺณํ หิตฺวา คจฺฉติ สนฺตนุ
เอวํ สรีเร นิพฺโภเค เปเต กาลกเต สติ ฯ๒
ตสฺส [ตํ อสฺส] (มงฺคล. ๒/๕๗๓/๔๔๓)
ตสฺส ดังจะแสดงตอไปนี้ ตัดบทเปน ตํ-อสฺส เมื่อมีสระหรือ
พยัญชนะอยูเบื้องหลัง ลบนิคคหิตซึ่งอยูหนาบางก็ได จึงตอเปน ตสฺส มี อุ.
วา วิทูนํ-อคฺคํ เปน วิทูนคฺคํ๓, ขอใหพิจารณา ตสฺส ในคาถานี้
ฑยฺหมาโน น ชานาติ าตีนํ ปริเทวิตํ ฯ
ตสฺมา เอตํ ม โสจามิ คโต โส ตสฺส ยา คตีติ ฯ๔
[บุตรของขาพระองคนั้นอันพวกขาพระองค ประชุมกันเผาอยู ยอม
ไมรูถึงความคร่ำครวญของพวกญาติ เพราะฉะนั้น ขาพระองคจึงไมเศราโศก
ถึงเขา เขาไปสูคติของเขาแลว]
๑ โมคฺ. สูตร ๖.๒๙.
๒ เปต.อ. ๘๙.
๓ รูปสิทฺธิ. สูตร ๕๓.
๔ เปต.อ. ๘๙.
มังคลัตถวิภาวินี
๑๑๔
พึงทราบวา ตสฺส ในคาถานี้ ตัดบทเปน ตํ-อสฺส ซึ่งสอดคลองกับที่
ทานอธิบายไวในแกอรรถวา ยา จสฺส อตฺตโน คติ ตํ โส คโต [และคติใดเปน
คติของตนของเขา เขาไปสูคตินั้นแลว]
แม ตสฺส ในคาถา ขอที่ ๕๗๔-๕๗๗ ก็ตัดตอบทเชนเดียวกับที่แสดง
มาแลวนี้
ปริณเต (มงฺคล. ๒/๕๘๐/๔๔๗)
ปริณเต [ปริ+นมุ+ต+สฺมึ] ปริ บทหนา นมุ ธาตุ นมเน ในความนอม,
นอบนอม ต ปจจัย ลบ มุ ที่สุดธาตุ แปลง น เปน ณ ดังที่คัมภีรปทรูปสิทธิ
วา ตถา โณ นสฺส ปปริอาทิโต [หลังอุปสัค ป ปริ เปนตน แปลง น เปน ณ]๑
ลง สฺมึ สัตตมีวิภัตติ ไดรูปเปน ปริณเต

๑ รูปสิทฺธิ. อธิบายสูตร ๔๒.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๑๕
วิรชจิตฺตกถา
-๐-
ภยมนฺตรโต (มงฺคล. ๒/๕๘๘/๔๕๓)
ภยมนฺตรโต [ภยํ+อนฺตรโต], โต ปจจัยในมังคลัตถทีปนี ภาค ๒ ขอ
๕๘๘ ดังจะแสดงตอไปนี้ ใชในอรรถสัตตมีวิภัตติ แปลวา ใน
ภยมนฺตรโต ชาตํ ตฺชโน นาวพุชฺฌติ
[ชนยอมไมรูสึกถึงภัยนั้นอันเกิดแลวในภายใน]
ในขอตอไปทานแกวา อนฺตรโต อพฺภนฺตเร อตฺตโน จิตฺเตเยว และวา
อนฺตรโตติ อพฺภนฺตรโต จิตฺตโต วา
นักเรียนบาลี เรียนกันมาวา โต ปจจัย เปนเครื่องหมายตติยาวิภัตติ
และปญจมีวิภัตติ๑ แตที่จริงปรากฏวา ทานใช โต ปจจัย ในอรรถวิภัตติอื่นๆ
อีก เชน โต ปจจัยใชในอรรถสัตตมีวิภัตติ ดังที่ทานอธิบายไว เนปาติกปท
แหงปทรูปสิทธิวา โต สตฺตมฺยตฺเถป๒ [โต ปจจัยลงในอรรถสัตตมีก็ได]

๑ บาลีไวยากรณ วจีวิภาค ภาคที่ ๒ นามและอัพยยศัพท, หนา ๑๐๔.
๒ ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑, หนา ๘๙๑.
มังคลัตถวิภาวินี
๑๑๖
เขมจิตฺตกถา
-๐-
ราช ฺโ (มงฺคล. ๒/๕๙๙/๔๖๒)
ราชฺโ [ราช+ฺ+สิ] เจานคร, พระราชาที่ยังไมไดราชาภิเษก; ลง
ฺ ปจจัยในโคตตตัทธิตหรืออปจจตัทธิต (ปจจัยนอกแบบ) ลงหลัง ราช
ศัพท ใชแทน อปจฺจ ศัพท, วิ. รฺโ อปจฺจํ ราชฺโ๑
อิยตมกิเอสานมนฺตสฺสโร (มงฺคล. ๒/๖๑๒/๔๗๐)
ในหนังสือเรียน ขอ ๖๑๒ ทานวิเคราะหและอธิบายคำวา อีทิสานิ ไว
จับสาระสำคัญไดวา
อีทิสานิ ประกอบดวย อิม+ทุสฺ เปกฺขเน+กฺวิ+โย ลบ ม ที่ อิม แลว
ทีฆะ อิ เปน อี, แปลง อุ ที่ ทุสฺ เปน อิ, แปลง สฺ ที่ ทุสฺ เปน ส, ลบ กฺวิ และ
ลง โย ปฐมาวิภัตติ
วิธีการ “ทีฆะ อิ เปน อี” เปนตนนั้น ทานทำตามวิธีที่แสดงในสูตร
๖๔๒ แหงคัมภีรกัจจายนะ ซึ่งคัมภีรนยาสะอธิบายไวอีกทอดหนึ่ง
สูตรดังกลาวนั้น ทานแสดงไวอยางยอ และซอนคำซอนความ ผูเขียน
นี้จึงขอนำสูตรมาแสดงแลวแปลโดยพยัญชนะ โดยอรรถ อธิบายและแสดง
การทำตัวไวดวย
๏ สูตร
อิยตมกิเอสานมนฺตสฺสโร ทีฆํ กฺวจิ ทุสสฺส๒ คุณํ โท รํ สกฺขี จ๓
๑ โมคฺ. สูตร ๔.๖.
๒ กจฺจายน. สูตร ๖๔๒; รูปสิทฺธิ. สูตร ๕๘๘; สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๒๖๙.
๓ กจฺจายน. สูตร ๖๔๒ วา ทุสสฺส, สวนใน รูปสิทฺธิ. สูตร ๕๘๘ วา ทิสสฺส
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๑๗
๏ แปลโดยพยัญชนะ
อนฺตสฺสโร อ. สระที่สุด อิ-ย-ต-ม-กิ-เอ-สานํ แหง อิ-ย-ต-
ม-กิ-เอ และ ส ศัพท ท. (อาปชฺชเต) ยอมถึง ทีฆํ ซึ่งความเปน
ทีฆะ (จ ดวย), (อุกาโร) อ. อุ อักษร ทุสสฺส ของ ทุสฺ ธาตุ
(อาปชฺชเต) ยอมถึง คุณํ ซึ่งความเปนสระขั้นคุณ (คือเปน อิ),
โท อ. ท อักษร (ทุสสฺส) ของ ทุสฺ ธาตุ (อาปชฺชเต) ยอมถึง รํ
ซึ่งความเปน ร กฺวจิ บาง (จ ดวย), (อาเทสา) อ. การแปลง ท.
(ธาตุอนฺตสฺส) ซึ่งที่สุดธาตุ สกฺขี (โหนฺติ) เปน ส, กฺข และ อี
ยอมมี จ ดวย๑
๏ แปลโดยอรรถ
สระที่สุดแหง อิ-ย-ต-ม-กิ-เอ และ ส ให ทีฆะ, แปลง อุ
แหง ทุสฺ ธาตุ เปนสระขั้นคุณ (คือเปน อิ), แปลง ท แหง ทุสฺ
ธาตุ เปน ร ไดบาง และแปลง สฺ แหง ทุสฺ ธาตุ เปน ส, กฺข และ
อี ไดบาง
๏ อธิบายสูตร
อิยตมกึเอสอิจฺเจเตสํ สพฺพนามานมนฺโต สโร ทีฆมาปชฺชเต,
กฺวจิ ทุสอิจฺเจตสฺสธาตุสฺส อุกาโร คุณมาปชฺชเต, ทกาโร
รการมาปชฺชเต, ธาตุอนฺตสฺส จ สกฺข อี จาเทสา โหนฺติ๒
สระอันเปนที่สุดแหงสรรพนามเหลานี้คือ อิ-ย-ต-ม-กิ-เอ
และ ส ศัพท ยอมถึงการทีฆะ, แปลง อุ ของ ทุสฺ ธาตุนั้นเปน
คุณสระ, แปลง ท เปน ร บาง, และอาเทส ที่สุดธาตุเปน ส, กฺข
และ อี บาง
๑ ปรับจาก สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๒๖๙. ซึ่งแปลโดย จำรูญ ธรรมดา
๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๒๖๙ หนา ๑๑๒๖.
มังคลัตถวิภาวินี
๑๑๘
อิ-ย-ต-ม-กิ-เอ และ ส ในที่นี้เปนศัพทที่ถูกลดรูปแลว ไดแก
อิ คือ อิม ที่ลบ ม แลว เหลือ อิ
ย และ ต ก็คือ ย และ ต สัพพนามนั่นเอง
ม คือ อมฺห ที่แปลงเปน ม
กิ คือ กึ ที่ลบ นิคคหิตแลว เปน กิ
เอ คือ เอต ที่ลบ ต แลว เหลือ เอ
ส คือ สมาน ที่แปลงเปน ส
สอดคลองกับคัมภีรสัททนีติ อธิบายสูตร ๑๒๖๙ นั้นวา ในสูตรนี้ คำ
วา อิ หมายเอา อิม ศัพท, คำวา ม หมายเอา อมฺห ศัพท, คำวา เอ หมาย
เอา เอต ศัพท, คำวา ส หมายเอา สมาน ศัพท
ศัพทเหลานี้ เมื่อขยาย ทุส ธาตุ และ ลง กฺวิ ปจจัยแลว ใหทีฆะ เชน
อิม+ทุสฺ+กฺวิ=อีทิส (ลบ ม ทีฆะ อิ เปน อี)
ในเรื่องดังกลาวนี้ สรุปสาระสำคัญได ดังนี้
๑. ทำทีฆะสระ เชน อิม+ทุสฺ+กฺวิ ทีฆะเปน อีทิส
๒. แปลง อุ แหง ทุสฺ เปนคุณสระ (คือเปน อิ) ไดรูปเปน ทิสฺ [คุณสระ
หรือสระขั้นคุณจะอธิบายตอไป]
๓. แปลงที่สุดธาตุ
แปลง สฺ เปน ส ไดรูปเปน -ทิส
แปลง สฺ เปน กฺข ไดรูปเปน -ทิกฺข
แปลง สฺ เปน อี ไดรูปเปน -ที เชน ตาที
๔. แปลง ท แหง เปน ร ไดรูปเปน -ริส, -ริกฺข
๕. ลบ กฺวิ ปจจัย
๏ ตัวอยาง
อิม+ทุสฺ+กฺวิ=อีทิส, อีทิกฺข, อีที, อีริส
วิ. อยํ วิย โส ทิสฺสตีติ อีทิโส, อีทิกฺโข, อีที, อีริโส (ปุริโส)
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๑๙
ย+ทุสฺ+กฺวิ=ยาทิส, ยาทิกฺข, ยาที, ยาริส
วิ. โย วิย โส ทิสฺสตีติ ยาทิโส, ยาทิกฺโข, ยาที, ยาริโส (ปุริโส)
ต+ทุสฺ+กฺวิ=ตาทิส, ตาทิกฺข, ตาที, ตาริส
วิ. โส วิย โส ทิสฺสตีติ ตาทิโส, ตาทิกฺโข, ตาที, ตาริโส (ปุริโส)
อมฺห+ทุสฺ+กฺวิ=มาทิส, มาทิกฺข, มาที, มาริส
วิ. อหํ วิย โส ทิสฺสตีติ มาทิโส, มาทิกฺโข, มาที, มาริโส (ปุริโส)
กึ+ทุสฺ+กฺวิ=กีทิส, กีทิกฺข, กีที, กีริส
วิ. โก วิย โส ทิสฺสตีติ กีทิโส, กีทิกฺโข, กีที, กีริโส (ปุริโส)
เอต+ทุสฺ+กฺวิ=เอทิส, เอทิกฺข, เอที, เอริส
วิ. เอโส วิย โส ทิสฺสตีติ เอทิโส, เอทิกฺโข, เอที, เอริโส (ปุริโส)
สมาน+ทุสฺ+กฺวิ=สาทิส, สาริกฺข, สาที, สาริส หรือ สทิส, สริส, สริกฺข
วิ. สมาโน วิย โส ทิสสตีติ สาทิโส ฯลฯ (ปุริโส)
๏ ตัวอยางการทำตัว
อีทิสานิ อิม บทหนา ทุสฺ ธาตุในการเห็น กฺวิ ปจจัย โย วิภัตติ
อิม+ทุสฺ+กฺวิ
อิ+ทุสฺ+กฺวิ [ลบ ม]
อี+ทุสฺ+กฺวิ [ทีฆะ อิ เปน อี]
อีทิส+กฺวิ [แปลง อุ ที่ ทุ เปนคุณสระคือ อิ, แปลง สฺ เปน ส]
อีทิส [ลบ กฺวิ ปจจัย]
อีทิส+โย [เอา อ กับ โย เปน อานิ]
อีทิสานิ [สำเร็จรูปเปน อีทิสานิ]
๏ คุณสระ-สระขั้นคุณ
ในสูตรที่วา “ทุสสฺส คุณํ (อุกาโร) แปลง อุ แหง ทุสฺ ธาตุ เปนสระ
ขั้นคุณ (คือเปน อิ)” นั้น ไดอธิบาย คุณสระ-สระขั้นคุณ คางไว
มังคลัตถวิภาวินี
๑๒๐
คุณสระ หรือ สระขั้นคุณ ในที่นี้ หมายถึง สระ อ เปนตน ซึ่งเปน
ลำดับขั้นสระที่จัดตามแนวคิดที่ไดรับอิทธิพลจากไวยากรณสันสกฤต
การจัดขั้นสระตามไวยากรณสันสกฤต แบงสระเปน ๓ ขั้น ไดแก
ขั้นสามัญ ไดแก อ อิ อุ
ขั้นคุณ ไดแก อา อี อู
ขั้นวุทธิ ไดแก เอ โอ
แตสำหรับในสูตรบาลีไวยากรณนี้ จัดเปน ๒ ไดแก
คุณสระ ไดแก อ อิ อุ
วุทธิสระ ไดแก อา อี อู เอ โอ
ดังที่คัมภีรสัททนีติ อธิบายสูตร ๑๒๖๙ นั้นวา ก็ในสูตรนี้ คำวา
“คุณํ” หมายเอารัสสะมี อิ เปนตน เพราะ อา อักษรเปนตนถูกถือเอาดวย
คำวาวุทธิ ฉะนั้น อุ ที่ ทุสฺ ธาตุ จึงถูกแปลงเปน อิ เชน อีทิส

พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๒๑
เอกาทสมคาถายตฺถวณฺณนา
-๐-
คจฺเฉ (มงฺคล. ๒/๖๒๗/๔๘๑)
ในคาถา หนา ๔๘๑ ขอความวา สเจ เนตฺถ ผลํ คจฺเฉ แปลวา ถา
ขาพเจาไมพึงบรรลุอรหัตผลในชาตินั้น
คจฺเฉ [คม+อ+เอยฺยํ] (อหํ) เราพึงไป, ถึง, บรรลุ แปลง ม เปน จฺฉ
แปลง เอยฺยํ เปน เอ ในคัมภีรปทรูปสิทธิ ทานอธิบายวา แปลง เอยฺย
เอยฺยาสิ เอยฺยามิ เอยฺยํ เปน เอ๑
เมื่อทำตัวตามวิธีนี้ คจฺเฉ จึงเปนกิริยาของประธานฝายเอกวจนะครบ
๓ บุรุษ ไดรูปตางๆ ดังนี้
โส คจฺเฉ-โส คจฺเฉยฺย, เขาพึงไป
ตฺวํ คจฺเฉ-ตฺวํ คจฺเฉยฺยาสิ, ทานพึงไป
อหํ คจฺเฉ-อหํ คจฺเฉยฺยามิ, คจฺเฉยฺยํ, เราพึงไป
คจฺเฉ ในที่นี้ มีรูปเหมือน คจฺเฉ ที่ลง เอ วัตตมานา อุตตมบุรุษ เอก-
วจนะ เชน วนฺเท-วนฺทามิ
อหํ คจฺเฉ, อหํ คจฺฉามิ เรายอมไป
อุรุ ศัพท์ ในคำวา สิรฺยาทิมงฺคลภิธานยุโตรุเถโร (มงฺคล. ๒/๖๒๖/๔๗๙)
สิรฺยาทิมงฺคลภิธานยุโตรุเถโร [สิริ-อาทิ-มงฺคล-อภิธาน-ยุโต-อุรุ-เถโร]
ทานแปลวา “พระเถระผูประเสริฐ (มหาเถระ) ประกอบดวยนามวา มงคล
มี สิริ ศัพท เปนบทตน”, คำวา ผูประเสริฐ (มหาเถระ) เปนคำแปลของศัพท
วา อุรุ
๑ รูปสิทฺธิ. อธิบายสูตร ๔๔๒, ๔๕๔.
มังคลัตถวิภาวินี
๑๒๒
ในพจนานุกรมมคธ-ไทย ทานแปล อุรุ ศัพทนี้วา ใหญ, หนา, มาก,
เลิศ, ประเสริฐ, ยิ่ง, ยิ่งใหญ, มีคา๑
สอดคลองกับวิมติวิโนทนีฎีกาวา อุรุ ศัพท สองอรรถวา ใหญ เชน อุรุ
ศัพท ในคำวา อุรุเวลา [อุรุเวลายนฺติ เอตฺถ อุรุสทฺโท มหนฺตวาจี]๒
บันทึกท้ายเล่ม
๑. หนังสือนี้เกิดขึ้นเพราะคำถามของนักเรียนก็จริงอยู แตเพราะ
ตองการความกระชับและไดหนังสือเลมบาง ฉะนั้น ในที่บางแหงจึงตัด
คำถามนั้นออก คงไวแตคำตอบ ผูศึกษาพึงกำหนดไดเปนธรรมดาวา คำตอบ
ก็โยงไปถึงคำถามนั่นเอง
๒. เนื่องจากมีผูรอเปนเจาภาพพิมพอยูแลว ผูเขียนนี้จึงไมควรยื้อ
เวลาออกไปมากนัก เพื่อใหหนังสือเสร็จออกมาขั้นหนึ่งกอน จึงไดกันเนื้อหา
บางสวนออกไปรอไวพิมพครั้งตอไป เนื้อหาที่กันออกไปรอไวนั้น เชน
ยงฺกิฺจิ (มงฺคล. ๒/๕/๓) กึ ที่มี ย นำหนา มี จิ ตอทาย แปลวา ทั้งหมด
(สกล) เชน อนฺนนฺติ ยงฺกิฺจิ ขาทนียํ โภชนียํ ฯ๓
อมา ศัพท (มงฺคล. ๒/๑๐๗/๙๒) เปนอัพยยศัพท จำพวกนิบาต ใชใน
อรรถเดียวกันกับ สห, สทฺธึ (ใชในอรรถทำพรอมกัน)๔
สพฺพลหุโส (มงฺคล. ๒/๑๘๘/๑๔๖) ส ในที่นี้ใชเปนสกัตถ (ส สกตฺเถ)๕
ภิยฺโยโส มตฺตาย (มงฺคล. ๒/๓๒๕/๒๕๕) มตฺตาย ลง ส จตุตถีวิภัตติ ใช
ในอรรถปญจมีวิภัตติหรือตติยาวิภัตติ แปลวา กวาประมาณ หรือ
โดยประมาณ๖
๑ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ-ไทย, (กรุงเทพฯ สำนักเรียนวัดปากน้ำ,
๒๕๔๐), หนา ๑๔๐.
๒ วิมติ.ฏี. ๒/๑๐๗.
๓ สารัตถทีปนีฎีกา มหาวรรควรรณนา แปล, หนา ๑๒๗.
๔ สัททนีติสุตตมาลา, จตุปทวิภาค หนา ๑๒๗๓.
๕ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๘๓๙.
๖ สัททนีติสุตตมาลา, อธิบายสูตร ๖๗๒ หนา ๕๗๐.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๒๓
บรรณานุกรม

กองตำรา มหามกุฏราชวิทยาลัย, อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท,
กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๔๘๓.
............,อธิบายบาลีไวยากรณ อาขยาต, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย,
๒๔๘๓.
............,อธิบายบาลีไวยากรณ สมาสและตัทธิต, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราช-
วิทยาลัย, ๒๔๘๓.
............,อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย,
๒๔๘๓.
บุญสืบ อินสาร, คูมือแปลมังคลทีปนี ภาค ๒, พิมพครั้งที่ ๓, กรุงเทพฯ: สืบสาน-
พุทธศาสน, ๒๕๕๖.
............,พจนานุกรมบาลี-ไทย ธรรมบทภาค ๑-๔, กรุงเทพฯ: มูลนิธิสงเสริม-
สามเณร ในพระสังฆราชูปถัมภ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก, ๒๕๕๕.
แผนกตำรา มหามกุฏราชวิทยาลัย, อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒, กรุงเทพฯ:
มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๔๙๓.
พระเจาวรวงศเธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน สมเด็จพระสังฆราชเจา, อภิธานัปปทีปกา,
พิมพครั้งที่ ๔, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑.
พระคันธสาราภิวงศ แปลและอธิบาย, ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑, นครปฐม:
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส,
๒๕๔๗.
............,ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๓ (ตัทธิต), กรุงเทพฯ: หางหุนสวนจำกัด ประยูร-
สาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๔.
............,วุตโตทยมัญชรี, พิมพครั้งที่ ๒, กรุงเทพฯ: พิทักษอักษร, ๒๕๔๕.
............,สังวรรณนามัญชรี และ สังวรรณนานิยาม, นครปฐม: มหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๕.
............,สารัตถทีปนีฎีกา มหาวรรควรรณนา แปล, กรุงเทพฯ: โครงการแปล
คัมภีรพุทธศาสน, ๒๕๕๑.
มังคลัตถวิภาวินี
๑๒๔
พระญาณกิตติเถระ แหงเชียงใหม, อภิธมฺมตฺถวิภาวินิยา ปฺจิกา นาม อตฺถ-
โยชนา, พิมพครั้งที่ ๗, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑.
พระญาณธชเถระ รจนา, สมควร ถวนนอก ปริวรรต, นิรุตติทีปนี, นครปฐม:
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส,
๒๕๔๘.
พระญาณาลังการเถระ (รจนา), จำรูญ ธรรมดา (แปล), ปทวิจาร, นครปฐม :
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาลีศึกษาพุทธโฆส,
๒๕๔๔.
พระธรรมกิตติวงศ, หลักการแปลไทยเปนมคธ, กรุงเทพฯ: เลี่ยงเชียง, ๒๕๔๑.
พระธัมมปาลเถระ แหงชมพูทวีป, ปรมตฺถมฺชุสา นาม วิสุทฺธิมคฺคสํวณฺณนา
มหาฏีกาสมฺมตา (ตติโย ภาโค), พิมพครั้งที่ ๖, กรุงเทพฯ: มหามกุฏ-
ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘.
พระธัมมานันทเถร (แปล), เนตติหารัตถทีปนี อุปจาร และ นย, กรุงเทพฯ: มหา-
จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๓.
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท,
พิมพครั้งที่ ๑๑, กรุงเทพฯ: บริษัท เอส.อาร.พริ้นติ้ง แมส โปรดักส
จำกัด, ๒๕๕๑.
พระพุทธัปปยเถระ แหงชมพูทวีปตอนใต รจนา, ปทรูปสิทฺธิ, กรุงเทพฯ: ชมรม-
นิรุตติศึกษา, ๒๕๔๓.
พระพุทธรักขิตาจารย (ชาวศรีลังกา), ชินาลงฺการฏีกา, กรุงเทพฯ: โรงพิมพ
วิญญาณ, ๒๕๔๕.
พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และคณะ, วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๕ ฉบับ
แกไข/ปรับปรุง, กรุงเทพฯ : ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๒.
............,วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๖ ฉบับสมบูรณ, กรุงเทพฯ: ไทยรายวัน-
การพิมพ, ๒๕๔๗.
............,วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๗ ฉบับแกไข/ปรับปรุง, กรุงเทพฯ:
ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๒.
พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร,วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๘ ฉบับสมบูรณ,
กรุงเทพฯ : ไทยรายวัน การพิมพ, ๒๕๔๘.
............, ปทวิจารทีปนี, กรุงเทพฯ: ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๗.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๒๕
พระมหาศักรินทร ศศพินทุรักษ, หลักควรจำบาลีไวยากรณ, กรุงเทพฯ: เลี่ยง-
เชียงจงเจริญ, ๒๕๑๕.
พระมหาสมบูรณ ทสฺสธมฺโม, มังคลัตถทีปนี แปลไทย ภาคที่ ๒, กาญจนบุรี:
ธรรมเมธี-สหายพัฒนาการพิมพ, ๒๕๔๙.
พระมหาสมปอง มุทิโต, อภิธานวรรณนา, พิมพครั้งที่ ๒, กรุงเทพฯ: บริษัท
ประยูรวงศพริ้นทติ้ง, ๒๕๔๗.
พระราชเวที (สมพงษ พฺรหฺมวํโส), คูมือแปลมคธเปนไทย, กรุงเทพฯ: วัดเบญจม-
บพิตร, ๒๕๔๗.
............,ศัพท-สำนวน มังคลัตถทีปนี, พิมพครั้งที่ ๒, กรุงเทพฯ: เลี่ยงเชียง,
๒๕๓๔.
พระวิสุทธาจารมหาเถระ รจนาที่พมา, พระราชปริยัติโมลี (อุปสโม) และคณะ
ปริวรรต, ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราช-
วิทยาลัย, ๒๕๓๕.
พระสัทธัมมโชติปาลเถระ รจนา, พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร ปริวรรต, กัจจายน-
สุตตนิเทส, กรุงเทพฯ: ไทยรายวัน, ๒๕๔๕.
พระสิริมังคลาจารย, จกฺกวาฬทีปนี, พิมพครั้งที่ ๒, กรุงเทพฯ: สำนักหอสมุด-
แหงชาติ กรมศิลปากร, ๒๕๔๘.
พระสิริรัตนปญญาเถระ (รจนาเสร็จ พ.ศ. ๒๐๗๘), แยม ประพัฒนทอง (แปล),
วชิรสารัตถสังคหะ, กรุงเทพฯ: วัดปากน้ำ, ๒๕๕๖.
พระอริยวงศ รจนา, พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร แปล, คันถาภรณมัญชรี,
กรุงเทพฯ: พิทักษอักษร, ๒๕๔๕.
พระอัคควังสเถระ รจนา, พระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) ตรวจชำระ, สัททนีติ-
สุตตมาลา, นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยา-
เขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๕.
............,สัททนีติธาตุมาลา, นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช-
วิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๖.
พระอัคควังสมหาเถระ รจนา, พระมหาประนอม ธมฺมาลงฺกาโร ปริวรรต, สทฺท-
นีติปฺปกรณํ (สุตฺตมาลา), กรุงเทพฯ: ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๙.
มังคลัตถวิภาวินี
๑๒๖
พระอัครวังสเถระ รจนา, พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และจำรูญ ธรรมดา แปล,
สัททนีติปทมาลา, นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๖.
พระอุดรคณาธิการ (ชวินทร สระคำ), ศ.พิเศษ ดร.จำลอง สารพัดนึก,
พจนานุกรม บาลี-ไทย สำหรับนักศึกษา ฉบับปรับปรุงใหม, พิมพครั้ง
ที่ ๖, กรุงเทพฯ: บริษัท ธรรมสาร จำกัด, ๒๕๕๒.
พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ-ไทย, กรุงเทพฯ: สำนักเรียนวัดปากน้ำ,
๒๕๔๐.
............,พจนานุกรมกิริยากิตต ฉบับธรรมเจดีย, กรุงเทพฯ: เรืองปญญา,
ม.ป.ป.
............,พจนานุกรมกิริยาอาขยาต ฉบับธรรมเจดีย, กรุงเทพฯ: เรืองปญญา,
๒๕๔๕.
มหามกุฏราชวิทยาลัย, อุภัยพากยปริวัตน, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๔๓๖.
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, กรุงเทพฯ:
นานมีบุคสพับลิเคชั่น, ๒๕๔๖.
สทฺทปารคูหิ โปราณิเกหิ อาจริยวเรหิ รจิตานิ, เอกตฺตึส จูฬสทฺทปฺปกรณานิ
ประมวลจูฬสัททศาสตร ๓๑ คัมภีร, กรุงเทพฯ: บริษัท ซีเอไอ เซ็นเตอร
จำกัด, ๒๕๕๑.
สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, บาลีไวยากรณ วจีวิภาค
ภาคที่ ๒ อาขยาต และกิตก, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๒.
............,บาลีไวยากรณ วจีวิภาคที่ ๒ นามและอัพยยศัพท, กรุงเทพฯ: มหา-
มกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๑.
สมเด็จพระวันรัต (เขมจารีมหาเถระ), มังคลัตถทีปนี ยกศัพทแปล คาถาที่ ๘,
กรุงเทพฯ : ส. ธรรมภักดี, ๒๔๙๗?.
สิริมหาจตุรงคพล มหาอำมาตย (ชาวพมา) รจนา, พระศรีสุทธิพงศ (อุปสโม)
ปริวรรต, อภิธานปฺปทีปกาฏีกา, กรุงเทพฯ : วัดปากน้ำ, ๒๕๒๗.
สุภาพรรณ ณ บางชาง, รองศาสตราจารย, ดร., ไวยากรณบาลี, พิมพครั้งที่ ๒,
กรุงเทพฯ: มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘.
T. W. Rhys Davids and William Stede, The Pali text Society Pali-
English Dictionary, London: The Pali Text Society, 2004.
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๒๗
หนังสือที่พิมพ์เป็นทาน
***
ดินสีอรุณ : นิทานธรรมบท สำนวนอีสาน
จายผญาธรรม : พุทธศาสนสุภาษิต บาลี-ไทย-อีสาน
เอิ้นสั่งเสียงผญา : มรณกถา เพื่อความไมประมาท
หลักสัมพันธไทย : สำหรับทองจำ
ประโยคโบราณ : ในธัมมปทัฏฐกถา ภาคที่ ๑-๘
มงคลวิเสสกถาปกาสินี : สำนวนตัวอยาง วิชา แตงไทยเปนมคธ
เลือดลางบัลลังกทอง : นิทานธรรมบท สำนวนอีสาน
คาถาธัมมปทัฏฐกถา : ภาคที่ ๕-๘ แปลโดยพยัญชนะ
มังคลัตถวิภาวินี : ไขสงสัยใหนักเรียน ป.ธ. ๕

มังคลัตถวิภาวินี
๑๒๘
รายนามผู้ร่วมพิมพ์หนังสือ
พลเรือเอกชัยณรงค เจริญรักษ ๑๐๐ เลม สายบุญของคุณฐิติมา
วิทยานนทเอกทวี ๑๐๐ เลม คุณมีณชญภัทร เนียมหอม ๓๖ เลม
คุณภาณุวัฒณ มีสัตย ๒๔ เลม
นางสาวเกณิกา วุฒิกรกัลยาณี ๑๒ เลม นางสาวพิตะวัน ยุพดีรังสีกุล
๑๐ เลม คุณเกษม-คุณอาทร พิรพัฒน ๒๐ เลม คุณกนกพร มณีรอด
๑๐ เลม นางสาวกิรณา ศุภสินฐาโนดม นายสมชาย-ด.ญ.ณิชา จอมสงาวงษ
๑๐ เลม นายยุทธพงศ-สมศรี จิตตวิริยะกุล และครอบครัว ๘ เลม
คุณจำนงค-คุณสมหวัง อนุมา และครอบครัว ๘ เลม นางสาวจตุพร
ประชุมพันธ และครอบครัว ๕ เลม นายภาคภูมิ นันทนิตยวรกุล และ
ครอบครัว ๕ เลม คุณชมปภัคคม ธรรมวิสุธีร และครอบครัว ๕ เลม
คุณอาภรณ สาวิโร และครอบครัว ๕ เลม นายลั่นทม สิงหทอง
๔ เลม นาวาโทสมภพ-คุณกิตติมา พิรพัฒน ๔ เลม นายปวันศิลปชัย-บุศพร
จิตตวิริยะกุล ๔ เลม คุณพิเชษฐ ทองปากน้ำ ๔ เลม นางสาวหยกธรณ
ยิ่งยวดหิรัญกุล ๓ เลม
คุณภานุมาศ มีสมงาม ๓ เลม คุณกานดา ธรรมมานุสรณ ๒ เลม
คุณเอนกพร พิรพัฒน ๒ เลม นางสาวอนงค เอี่ยมมา ๒ เลม คุณสุชาดา
หนอสิงหา และครอบครัว ๒ เลม คุณเอื้อมพร อปปะตะ ๒ เลม คุณวาสนา
มณีใหม-ด.ช.ปยะ สังสมศักดิ์ ๒ เลม คุณปองนุช เถื่อนศิริ ๒ เลม
นาวาตรีหญิงวรนุช มีสัตย ๒ เลม นายโอภาส มีสัตย ๒ เลม
นางภัชชภร เศรษฐวรางกูร ๑ เลม นองน้ำตาล ๑ เลม (รวมจำนวน ๔๐๐
เลม, เลมละ ๕๕ บาท รวมเปนเงิน ๒๒,๐๐๐ บาท)
ผูสมทบทุนคาออกแบบปกหนังสือ: พระมหาสงวน สุทฺธิาโณ
๕๐๐ บาท พระมหาอภิญ อภิลาโภ และคุณ Laura Bruneau ๑,๐๐๐ บาท
มังคลัตถวิภาวินี ไขสงสัยให้นักเรียน ป.ธ.๕.pdf

มังคลัตถวิภาวินี ไขสงสัยให้นักเรียน ป.ธ.๕.pdf

  • 2.
    มังคลัตถวิภาวินี ไขสงสัยใหนักเรียน ป.ธ. ๕ ๏ พระมหานพพรอริยาโณ (สีเนย) อธิบายศัพทและสำนวน มังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ประโยค ป.ธ.๕
  • 3.
    มังคลัตถวิภาวินี : ไขสงสัยใหนักเรียนป.ธ. ๕ © พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย) ISBN 978-616-382-960-3 พิมพครั้งที่ ๑ - มิถุนายน ๒๕๕๘ ๔๐๐ เลม เผยแพรออนไลน ทาง facebook, สิงหาคม ๒๕๖๕ - ตนฉบับ พิมพครั้งที่ ๑ สูญหาย คงเหลือแตสวนเนื้อหา ไดพิมพทดแทนสวนที่สูญหายไปในคราวเผยแพรออนไลน ผูออกแบบปก : Phu-Best-Design.com พิสูจนอักษร : พระมหาสงวน สุทฺธิาโณ จัดทำโดย : พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย) โรงพิมพ์ : บริษัท พิมพสวย จำกัด ๕/๕ ถ. เทศบาลรังสฤษฎเหนือ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ๑๐๙๐๐ โทร. ๐ ๒๙๕๓ ๙๖๐๐ ทีติดต่อ : คณะ ๗ วัดอรุณราชวราราม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ กทม. ๑๐๖๐๐ โทร. ๐ ๙๕๑๓๙ ๙๓๓๒
  • 4.
    อนุโมทนา พลเรือเอกชัยณรงค เจริญรักษ และคุณฐิติมาวิทยานนทเอกทวี โดยการดำริและประสานงานของคุณภาณุวัฒณ มีสัตย ไดแจงความ ประสงคขอเปนเจาภาพพิมพหนังสือ มังคลัตถวิภาวินี : ไขสงสัยใหนักเรียน ป.ธ.๕ เพื่อถวายแดนักเรียน กับทั้งเพื่อเปนการบำเพ็ญธรรมวิทยาทาน ใหกวางขวางยิ่งขึ้นไป การพิมพหนังสือเลมนี้ สืบเนื่องกับหนังสือเลมกอน คือในคราวพิมพ มงคลวิเสสกถาปกาสินี (พิมพครั้งที่ ๓) ผูเขียนนี้กำชับวา ใหพิมพจำนวน จำกัดแค ๓๐๐ เลมก็พอ เพราะตองการแกไข/เพิ่มเติมอีก ในคราวนั้น ทราบวา มีโยมจำนวนหนึ่งพลาดโอกาสเปนเจาภาพ เพราะไดจำนวนเลมหนังสือเต็มอัตราที่กำหนดแลว และโยมดังกลาวนั้น ก็ถามถึงหนังสือที่กำลังรอพิมพ พรอมแจงความประสงคเปนเจาภาพไว ประจวบกับเวลานั้นหนังสือ มังคลัตถวิภาวินี กำลังเริ่มตนขึ้น จึงแจงไปยังคุณภาณุวัฒน ขอใหโยมรอพิมพหนังสือเลมนี้เปนลำดับตอไป และทางฝายอาตมภาพเองก็ขอเวลาจัดทำตนฉบับใหสำเร็จ เวลาลวงเลยมาจนกระทั่งบัดนี้ เปดภาคการศึกษาใหมแลว ตนฉบับ หนังสือจึงสำเร็จ พรอมจะเขาโรงพิมพใหเสร็จออกมาดวยทุนพิมพหนังสือ ที่คุณภาณุวัฒน รวบรวมมาไวพรอมแลว (๒๒,๐๐๐ บาท) ขออนุโมทนาคณะผูศรัทธาในธรรมทุกทาน ที่สนับสนุนการศึกษา พระปริยัติธรรมแผนกบาลีในครั้งนี้ ดวยอำนาจบุญจริยาที่รวมกันบำเพ็ญ แลว จงเปนปจจัยเพื่อความเจริญในกุศลธรรม และเพื่อความตั้งมั่นแหง พระสัทธรรมตลอดกาลนาน พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย) ๕ มิ.ย. ๒๕๕๘
  • 5.
    คำนำ ในตอนตนหนังสือ มังคลัตถทีปนี ทานวาพระสูตรทั้งหลายเกิดขึ้น เพราะเหตุ ๔ ประการ ไดแก (๑) เกิดเพราะความประสงคจะทรงแสดง ธรรมตามอัธยาศัยของพระพุทธเจาเอง (๒) เกิดเพราะอัธยาศัยของผูอื่น (๓) เกิดเพราะคำถา และ (๔) เกิดเพราะมีเหตุการณปรากฏขึ้น บรรดาเหตุ ๔ ประการนี้ มงคลสูตร ซึ่งเปนที่มาของหนังสือ มังคลัตถทีปนี นั้น เกิดเพราะคำถาม แมหนังสือ มังคลัตถวิภาวินี : ไขสงสัย ใหนักเรียน ป.ธ.๕ นี้ก็เกิดขึ้นเพราะคำถามเชนกัน ดังจะเลาตอไป ในระหวางการเรียนการสอน วิชา แปลมคธเปนไทย ชั้นประโยค ป.ธ.๕ ป พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ที่สำนักเรียนวัดอรุณราชวราราม นักเรียน มีขอสงสัยตรงไหน ก็นำขอสงสัยนั้นมาถามอาจารย ฝายอาจารยเมื่อไดรับคำถามแลว ก็ตอบไปตามกำลัง หรือขอโอกาส เก็บไวตอบในภายหลัง และหลังจากตอบคำถามนั้นแลว ก็มักจะนำมาจด บันทึกไว พรอมคนควาหาคำตอบเพิ่มเติมจากคัมภีรตางๆ จนถึงสิ้นป การศึกษา คำถามและคำตอบ ก็มีจำนวนมากพอสำหรับพิมพเปนเลม หนังสือ ดังที่ปรากฏนี้เอง เนื้อหาในหนังสือเลมนี้ นอกจากจะมุงตอบคำถามใหนักเรียน มีความรูเพียงพอสำหรับสอบบาลีสนามหลวง คือมุงอธิบายหลักบาลี ไวยากรณ เปนตนแลว ยังมุงใหนักเรียนมีความรูทั่วถึง สมภูมิชั้น ป.ธ.๕ ฉะนั้น เนื้อหาบางตอนจึงเปนความรูใหมสำหรับนักเรียน เชน สังขยา ๕ ประเภท ชื่อชนบทนิยมเปนพหุวจนะ บทวา มหา เปน ๓ ลิงค เปนตน และขอใหนักเรียนศึกษาไวเปนความรูพิเศษ ซึ่งจะชวยเสริมให เขาใจบทเรียนมากขึ้น พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย) ๕ มิ.ย. ๒๕๕๘
  • 6.
    สารบัญ เรื่อง หนา อนุโมทนา ก คำนำข สารบัญ ค อักษรยอชื่อคัมภีร ฏ ปฺจมคาถายตฺถวณฺณนา ๑ ทานกถา ๑ ทปฺปนฺติ ๑ วิกฺขาเลตฺวา ๑ กปฺเปตา ๒ ปฏิ ๒ สงฺเฆ ทินฺนทกฺขิณาป ๓ สนฺโต ๔ ยทิ ศัพทใชเปน วิกปฺปตฺถ ๖ ยสสฺส [ยโส-อสฺส] ๗ วิคาหติ ๗ วิเนยฺย ๙ ทีฆรตฺตํ ๙ สหพฺเยติ ๙ อาณาเปสิ ๙ ปติปตามหาทีหิ ๑๐ อภิฺเยฺยา, ปริฺเญยฺยา ๑๑ อานิสํโส มหา ๑๒
  • 7.
    เจตสา มนสา ๑๒ ยตสฺสาวิมุตฺตายตนภาโว ๑๓ ธมฺมจริยากถา ๑๖ ติวิธํ : วิภัตติและวจนะวิปลาส ๑๖ เถยฺยสงฺขาตํ ใชในอรรถกรณะ ๑๖ โปรี ๑๗ ยิฏํ : ต ปจจัยใชเปนนามนาม ๑๗ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา : วัณณสนธิ ๑๘ ปจฺจตฺตวจนํ : ชื่อพิเศษของวิภัตติทั้ง ๗ ๑๙ อิตฺถนฺนามํ ๒๐ สุกุมารา แปลวา ออนโยน ๒๐ ปุถุวจน = พหุวจนะ ๒๑ ภาวนปุสกนิทฺเทโส = กิริยาวิเสสนะ ๒๑ ชาต ศัพท เปนตน ใชเปน วจนสิลิฏก, สกตฺถ ๒๒ วิภาเวนฺติยา ๒๓ เกวล ศัพท ๒๓ อโหปุริสิกา ๒๕ วาทสฺส ตัดบทเปน วาโท+อสฺส, ภวสาโร ๒๕ โคพลิพัททนัย ๒๖ าตกสงฺคหกถา ๒๗ ปตามโห ลง อามห ปจจัย ๒๗ ปตา จ...เตสํ ยุโค ปตามหยุโค ๒๗ ปุริสคฺคหณฺเจตฺถ...สมตฺถิตํ โหติ ๒๗ ปตา จ...ปตามหทฺวนฺทาติ ๒๘ โกเลยฺยกา ๒๘
  • 8.
    ทฺวิชสงฺฆา, ทิโช ๒๘ อนวชฺชกมฺมกถา๒๙ อนสนสงฺขาโต อุปวาโส ๒๙ ปสนฺนมานโส ๒๙ มหาชนปทานํ : ชื่อแควน นิยมเปนพหุวจนะ ๓๐ เสยฺยถีทํ ๓๒ กุ ในคำวา กุราชภาเวน ๓๒ ปฺจงฺคิกํ ตุริยํ = ดนตรีมีองค ๕ ๓๔ มรุกนฺตาร = ทะเลทราย ๓๔ กามทุโห ๓๕ อจฺฉสิ ๓๕ วิมลาทีสุ ๓๕ ฉคาถายตฺถวณฺณนา ๓๖ ปาปวิรติมชฺชปานสํยมกถา ๓๖ อวฺหย=ชื่อ ๓๖ ยโต : โต ปจจัยเปนเครื่องหมาย ๕ วิภัตติ ๓๖ วชฺช=คำพูด ๓๗ อโวจ ๓๗ ตชฺชํ ๓๗ อนุวิธิยนาสุ ๓๘ วิลียติ ๓๙ สปตฺตา ๓๙ เผณุทฺเทหกํ ๔๐ เยสํ โน = เย มยํ ๔๐ มาริส ๔๑
  • 9.
    นาวหเร, ภเณ=น อวหรติ,ภรติ ๔๒ อุปนาเมสิ ๔๒ ลทฺธาน ๔๓ เสหิ ๔๓ วารุณี : ษีเมาน้ำดอง ๔๓ อปฺปมาทกถา ๔๔ โยณฺณวา : สังเกตสังขยา ๔๕ สังขยา ๕, ๖ และ ๗ ประเภท ๔๗ สตฺตมคาถายตฺถวณฺณนา ๕๒ คารวกถา ๕๒ ปณฺฑุปลาส ๕๒ วตฺตํ/วฏฏํ แปลวา คาใชสอย ๕๒ ธมฺมสฺส โกวิทา : หักฉัฏฐีเปนสัตตมี ๕๔ นิวาตกถา ๕๕ เกสรสีหา : ในราชสีห ๔ ประเภท ๕๕ สนฺตุิกถา ๕๖ อิติ มาสฑฺฒ...วิตกฺกสนฺโตโส นาม ๕๖ หายติ ๕๖ ปฺาเปสิ : เปนทั้ง กัตตุ. และ เหตุ.กัต.? ๕๘ ปริสฺสยานํ สหิตา ๕๙ กปฺป ศัพท : ใชในอรรถเปรียบเทียบ ๕๙ นิทฺธเม=นิทฺธเมยฺย ๕๙ กตฺุตากถา ๖๐ ทเท=ททามิ, มุฺเจ=มุฺจามิ ๖๑
  • 10.
    คตโยพฺพนา ๖๑ อนฺธการํ วิย๖๑ อนฺธการาวตฺถํ ๖๑ ตโตเยว ใชในอรรถเหตุ ๖๒ อมฺพณก=เรือโกลน ๖๒ สหตฺถา : ศัพทที่แปลงเปน ส ๖๓ อภิราธเย ๖๔ ทชฺชา ๖๔ ธมฺมสฺสวนกถา ๖๕ อหนิ=ในวัน ๖๕ อุปฺปชฺชนฺตาป...วุจฺจนฺติ ๖๕ กุสโล เภริสทฺทสฺส, กุสโล สงฺขสทฺทสฺส ๖๖ ปุตฺตกํ : ก ปจจัยแปลไดหลายอยาง ๖๖ มา กโรสิ : วิธีการใช มา ปฏิเสธ ๖๖ มํ น ปฏิภาติ : หักทุติยาเปนจตุตถีและฉัฏฐีวิภัตติ ๖๘ กานนํ = ดง ปา หมูไม ๗๐ ปาทป=ตนไม ๗๐ ปริปูเรนฺติ ๗๐ ทริโต ๗๑ อมคาถายตฺถวณฺณนา ๗๒ ขนฺติกถา ๗๒ ทสหิ อกฺโกสวตฺถูหิ : อักโกสวัตถุ ๑๐ ๗๒ พหุ อตีตมทฺธาเน : พหุ ควรเปน อหุ ๗๓ ยสฺสทานิ=ยสฺส อิทานิ ๗๓ ทุรุตฺตํ=คำพูดชั่ว ๗๓
  • 11.
    อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา: อักษรหายความหมายเปลี่ยน ๗๔ วโจ : แปลง อํ ทุติยาวิภัตติ เปน โอ ๗๘ ตสฺสา อตฺถิตายาติ ๗๘ ขตฺติยวคฺคฏีกา ๗๙ จกฺกาทิติกํ ๘๐ ตสฺเสว เตน ปาปโย ๘๐ ปาปกตรสฺส ๘๑ ตตฺถิโตเยว ๘๓ เวเทหิกา ๘๓ คหปตานี ๘๓ อผาสุ, อผาสุกํ ๘๔ อยฺเย ในคำวา ปสฺสถยฺเย ๘๔ ยโต=ยทา ๘๕ โสรโต ๘๕ กุรุรา/กุรูรา ๘๕ โสวจสฺสตากถา ๘๖ สุวโจ ๘๖ โสวจสฺสํ ๘๖ โสวจสฺสตา ๘๖ ปุรกฺขิตฺวา ๘๖ วิปฺปจฺจนีกสาเต : ทันตเฉทนนัย/ทันตโสธนนัย ๘๖ อนุโลมสาเต ๘๗ ขโม ๘๘ ขนฺตา ๘๘ ปฏานิภาเวน ๘๘
  • 12.
    วิเสสาธิคมสฺส ทูเร/อทูเร ๘๘ กตฺวาเปนกิริยาปธานนัย ๙๐ อกโรนฺตา จตสฺโส ปริสา: อกโรนฺตา/อกโรนฺตี ? ๙๐ จตูสุ อปาเยสุ [อบาย ๔] ๙๑ ปฺจวิธพนฺธนกมฺมกรณานาทีสุ ๙๒ กาหนฺติ ๙๒ สมณทสฺสนกถา ๙๓ ตถาสมาหิตํ ๙๓ อชฺฌุเปกฺขิตา ๙๓ นิสินฺนสฺส ๙๓ ตตฺถาป ตโต ๙๓ สตสหสฺสมตฺตา ๙๓ มหินฺท...ปพฺพชนฺติ นาม ๙๔ ปาตุกมฺมาย ๙๔ อตีวมหา : บทวา มหา เปนได ๓ ลิงค ๙๕ อฑฺฒรตนํ ๙๖ นาค ศัพทเดียว แปลไดหลายอยาง ๙๖ วิธีแปล ขมนียํ/ยาปนียํ ๙๗ นิทฺทํ อุปคตสฺส ๙๗ ฑยฺหามิ ๙๘ ธมฺมสากจฺฉากถา ๙๘ นวมคาถายตฺถวณฺณนา ๙๙ ตปกถา ๙๙ ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา : วิเสสลาภี ๙๙ ตีติกฺขา ๙๙
  • 13.
    มหาหํสชาตก ๙๙ ยตฺวาธิกรณเมนํ ๑๐๐ หตฺถปาทสิตหสิตกถิตวิโลกิตาทิเภทํ:ต ปจจัย ๔ สาธนะ ๑๐๑ หิ ศัพท ๑๐๒ ยถา=ยสฺมา ๑๐๓ อกมฺมฺโ ๑๐๔ มฺเ=วิย ๑๐๔ พฺรหฺมจริยกถา ๑๐๕ อหฺจ ภริยา จ : ปโรปุริส ๑๐๕ อริยสจฺจทสฺสนกถา ๑๐๖ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ : วิเสสลาภี ๑๐๖ ภวา ๑๐๖ นิพฺพานสจฺฉิกิริยากถา ๑๐๗ กฺจิ ธมฺมํ อุปาทิยติ : แปลแลวยกขึ้นตั้งอรรถ ๑๐๗ อาลมฺเพติ ๑๐๘ อาโท ลง สฺมึ สัตตมีวิภัตติ ๑๐๘ ทสมคาถายตฺถวณฺณนา ๑๐๙ อกมฺปตจิตฺตกถา ๑๐๙ อุปายาเสหิ : อุปายาส คืออะไร ๑๐๙ อโสกจิตฺตกถา ๑๑๑ อนฺโต ลงแลวลบวิภัตติ ๑๑๑ ฌาเปสิ ๑๑๒ อาคา ๑๑๓ กาลกเต ๑๑๓
  • 14.
    ตสฺส [ตํ อสฺส]๑๑๓ ปริณเต ๑๑๔ วิรชจิตฺตกถา ๑๑๕ ภยมนฺตรโต ๑๑๕ เขมจิตฺตกถา ๑๑๖ ราชฺโ ๑๑๖ อิยตมกิเอสานมนฺตสฺสโร ๑๑๖ เอกาทสมคาถายตฺถวณฺณนา ๑๒๑ คจฺเฉ ๑๒๑ อุรุ ศัพท ในคำวา สิรฺยาทิมงฺคลภิธานยุโตรุเถโร ๑๒๑ บันทึกทายเลม ๑๒๒ บรรณานุกรม ๑๒๓ หนังสือที่พิมพเปนทาน ๑๒๗ รายนามผูรวมพิมพหนังสือ ๑๒๘
  • 15.
    ปญฺจมคาถายตฺถวณฺณนา ทานกถา -๐- ทปฺปนฺติ (มงฺคล. ๒/๔/๓)๑ ทปฺปนฺติในหนังสือมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๔ หนา ๓ แปลวา งมงาย ใชในอรรถเดียวกันกับ มุยฺหนฺติ (ลุมหลง) ทปฺปนฺติ [ทปู+ย+อนฺติ] ยอมงมงาย ประกอบดวย ทปู ธาตุในความ หัวเราะ, กระดาง, โออวด (หาสคพฺพเน)๒ ย ปจจัยในกัตตุวาจก หมวด ทิว ธาตุ อนฺติ วัตตมานาวิภัตติ, บางอาจารยวา ทปฺ ธาตุ แปลง ปฺย เปน ปฺป๓ วิกฺขาเลตฺวา (มงฺคล. ๒/๑๕/๙) นักเรียนสงสัยวา วิกฺขาเลตฺวา ในมังคลัตถทีปนี ภาค ๒ ขอ ๑๕ หนา ๙ เปนวาจกอะไร วิกฺขาเลตฺวา ในที่ดังกลาว เปน เหตุกัตตุวาจก, ความจริง มีผูอธิบาย วิกฺขาเลตฺวา วาเปนไดทั้ง กัตตุวาจก และเหตุกัตตุวาจก วิกฺขาเลตฺวา [วิ+ขลฺ+เณ+ตฺวา] ที่เปนเหตุกัตตุวาจก แปลวา ยัง...ใหบวนแลว ประกอบดวย วิ บทหนา ขล ธาตุในความชำระ๔ ดวย อำนาจ วิ อุปสัคอยูหนา แปลวา บวน เณ ปจจัยในเหตุกัตตุวาจก ตฺวา ๑ ในวงเล็บ=(หนังสือมังคลัตถทีปนี พิมพครั้งที่ ๑๕ พ.ศ. ๒๕๔๙, ภาคที่ ๒/ขอ/หนา) ๒ พระวิสุทธาจารมหาเถระ รจนาที่พมา, พระราชปริยัติโมลี (อุปสโม) และคณะ ปริวรรต, ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, (กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕), คาถา ๑๘๐ หนา ๑๘๔. ๓ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรมกิริยาอาขยาต ฉบับธรรมเจดีย, (กรุงเทพฯ: เรืองปญญา, ๒๕๔๕), หนา ๑๓๐. ๔ ขล โสธนมฺหิ, ดู ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๗๙ หนา ๗๗.
  • 16.
    มังคลัตถวิภาวินี ๒ ปจจัย ดวยอำนาจ เณปจจัย ทีฆะ อ ตนธาตุเปน อา ลบ ณ เหลือไวแต เอ สำเร็จรูปเปน วิกฺขาเลตฺวา สวนที่เปน กัตตุวาจก นั้นมีองคประกอบเหมือน เหตุกัตตุวาจก แปลก แต ลง เณ ปจจัยในกัตตุวาจก เทานั้น๑ กปฺเปตา (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๓) กปฺเปตา ศัพทเดิมเปน กปฺเปตุ (ผูสำเร็จ) แจกแบบ สตฺถุ เอา อุ การันต กับ สิ เปน อา๒ เพราะอำนาจ สิ วิภัตติ จึงแปลงสระทายเปน อา และลบ สิ วิภัตติ ดวยสูตรวา สตฺถุปตาทีนมา สิสฺมึ สิโลโป จ๓, ศัพทวา อาทาตา, สนฺธาตา, อนุปฺปทาตา เปนตน (มงฺคล.๒/๕๕/๔๗-๔๘) ก็พึงทราบโดยนัยนี้ ปฏิ (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๕) ปฏิ ในขอวา ปฏิ ปจฺเจโก ปุคฺคโล ปฏิปุคฺคโล เปนอัพยยศัพท จึงไม เปลี่ยนรูปไปตามวิภัตติ ในที่นี้ตองการใช ปฏิ ศัพท ขยาย ปุคฺคโล (พึงสังเกตทานไขความวา ปจฺเจโก) จึงลง สิ ปฐมาวิภัตติแลวลบเสีย ทั้งนี้มีหลักการทั่วไปวา ใหลบ วิภัตติหลังอุปสัคและนิบาต๔ ๑ บุญสืบ อินสาร, พจนานุกรมบาลี-ไทย ธรรมบทภาค ๑-๔, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิ สงเสริมสามเณร ในพระสังฆราชูปถัมภ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก, ๒๕๕๕), หนา ๖๙๗. ๒ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, บาลีไวยากรณ วจีวิภาค ภาคที่ ๒ นามและอัพยยศัพท, (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๑), หนา ๖๑. ๓ พระคันธสาราภิวงศ แปลและอธิบาย, ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑ , (นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๗), หนา ๕๑๕. ๔ กจฺจายน. สูตร ๒๒๑, รูปสิทฺธิ. สูตร ๒๘๒, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๔๔๘.
  • 17.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๓ สงฺเฆ ทินฺนทกฺขิณาปิ (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๖) สัตตมีวิภัตติที่สัมพันธเขากับ ทา ธาตุ ใหใชในอรรถสัมปทาน คือหัก สัตตมีวิภัตติเปนจตุตถีวิภัตติ แปลวา แก๑ หลักการลงสัตตมีวิภัตติในอรรถสัมปทานนี้ ปรากฏใชในที่ ประกอบดวย ทา ธาตุเทานั้น เพราะ ทา ธาตุ เปนธาตุที่มองหาสัมปทาน๒ ฉะนั้น สัตตมีวิภัตติดังจะแสดงตอไปนี้จึงลงในอรรถจตุตถีวิภัตติ แปลวา แก ปฏิปนฺเน ทินฺนทานสฺส (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๓) ทานที่ทายกให แกบุคคลผูปฏิบัติ โสตาปนฺนาทีสุ ทินฺนทานสฺส (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๓) ทานที่ทายกถวาย แกพระโสดาบัน เปนตน ตตฺถ ทินฺนํ (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๔,๑๕) ทานที่ทายกถวาย แกปฏิคาหกนั้น ตตฺถ ตตฺถ ทินฺนสฺส (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๕) ทานที่ทายกถวายแกปฏิคาหกนั้นๆ สงฺเฆ ทินฺนทกฺขิณาป (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๖) แมทักษิณาที่ทายกถวาย แกสงฆ ปุถุชฺชนสมเณ ทินฺนํ มหปฺผลตรํ (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๖, ๑๗) ทานที่ทายกถวาย แกสมณะผูเปนปุถุชน มีผลมากกวา ขีณาสเว ทินฺนทานโต (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๖, ๑๗) กวาทานที่ทายกถวาย แกพระขีณาสพ ทุสฺสีเลป ทินฺนํ มหปฺผลตรํ (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๖, ๑๗) ทานที่ทายกถวาย แมแกสมณะผูทุศีล ๑ กจฺจายน.สูตร ๓๑๑, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๖๔๒, รูปสิทฺธิ. สูตร ๓๒๕. ๒ ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑, หนา ๑๑๓๐.
  • 18.
    มังคลัตถวิภาวินี ๔ สนฺโต (มงฺคล. ๒/๒๓/๑๘) สนฺโตในมังคลัตถทีปนี ภาค ๒ ขอ ๒๓ หนา ๑๘ เปนพหุวจนะ ถา นักเรียนไมศึกษาใหทั่วตลอดหรือผูสอนไมแนะนำ อาจจะเขาใจผิดคิดวาเปน เอกวจนะ เพราะเทียบกับแบบแจก อ การันตในปุงลิงค ที่จริง สนฺโต ในที่นี้เปน พหุวจนะ ใชเปน วิเสสนะ ของ สปฺปุริสา มี แบบแจกเฉพาะที่นักเรียนไมคุนเคย จึงนำมาแสดงไว ดังนี้ สนฺต ศัพท แจกอยางนี้ สนฺตสทฺทปทมาลา๑ วิภัตติ เอกวจนะ พหุวจนะ ป. สํ (สนฺโต)๒ สนฺโต สนฺตา ทุ. สํ สนฺตํ สนฺเต ต. สตา สนฺเตน สนฺเตหิ สนฺเตภิ สพฺภิ จ. สโต สนฺตสฺส สนฺตานํ สตํ สตานํ ปฺ สตา สนฺตา สนฺตสฺมา สนฺตมฺหา สนฺเตหิ สนฺเตภิ สพฺภิ ฉ. สโต สนฺตสฺส สนฺตานํ สตํ สตานํ ส. สติ สนฺเต สนฺตสฺมึ สนฺตมฺหิ สนฺเตสุ อา. โภ สนฺต ภวนฺโต สนฺโต ๑ พระอัครวังสเถระ รจนา, พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และจำรูญ ธรรมดา แปล, สัททนีติปทมาลา, (นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาี- ศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๖), หนา ๕๖๘. ๒ อาจารยบางทานกลาววา สนฺโต ไมควรเปนเอกวจนะ เพราะทานอธิบายไวใน คัมภีรสัททนีติปทมาลา (ฉบับแปล หนา ๕๗๐) วา บทวา สนฺโต อสนฺโต ใชเปนพหุพจน เทานั้น ไมมีใชเปนเอกพจนแมสักแหง
  • 19.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๕ ในหนังสือมังคลัตถทีปนี ที่อางถึงนี้ ปรากฏ สนฺต ศัพทในขอความวา ปุน จปรํ สีห ทายกํ ทานปตึ สนฺโต สปฺปุริสา ภชนฺติ ยมฺป สีห ทายกํ.... ภชนฺติ อิทมฺป สีห สนฺทิ€ิกํ ทานผลํ ฯ [สีหะ ขออื่นยังมีอีก สัตบุรุษทั้งหลายผูสงบระงับ ยอมคบทายก ทานบดี, สีหะ ขอที่สัตบุรุษทั้งหลายผูสงบระงับคบทายกทานบดี แมนี้ เปน ผลแหงทานที่เห็นไดเอง] สนฺต ศัพท ในที่นี้แปลวา ผูสงบระงับ ซึ่งเปนเพียงความหมายหนึ่งใน หลายความหมาย ที่จริง สนฺต ศัพท มีความหมายมากถึง ๗ อยาง ไดแก อจฺจิเต วิชฺชมาเน จ ปสตฺเถ สจฺจสาธุสุ ขินฺเน จ สมิเต เจว สนฺโตภิเธยฺยลิงฺคิโก ฯ๑ สนฺต ศัพท ที่เปนอภิเธยยลิงคคือเปนไดทั้ง ๓ ลิงค มีอรรถ ๗ อยาง คือ ๑) อจฺจิต การบูชา ๒) วิชฺชมาน ความมีอยู ๓) ปสตฺถ การสรรเสริญ ๔) สจฺจ ความจริง ๕) สาธุ คนดี ๖) ขินฺน ความลำบากหรือความเหน็ดเหนื่อย ๗) สมิต ความสงบจากกิเลส สนฺต ศัพท ที่แปลวา ผูสงบ นี้วิเคราะหวา กิเลเส สเมตีติ สนฺโต (สมุ อุปสเม+ต) ผูระงับกิเลส ชื่อวา สันตะ (อาเทศ มฺ เปน นฺ) ๑ พระมหาสมปอง มุทิโต, อภิธานวรรณนา, พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ: บริษัท ประยูรวงศพริ้นทติ้ง, ๒๕๔๗), คาถา ๘๔๑, ๒๒๘ หนา ๙๘๙, ๓๑๐.
  • 20.
    มังคลัตถวิภาวินี ๖ ยทิ ศัพทใชเปน วิกปฺปตฺถ(มงฺคล.๒/๒๓/๑๘) นักเรียนคอนขางคุนเคย ยทิ ศัพท ที่เปนนิบาตบอกปริกัป (คาดคะเน) ลงในอรรถ ปริกปฺปตฺถ ที่แปลวา ผิวา, ถาวา, หากวา ที่จริง ยทิ ศัพทลงในอรรถอื่นก็ได ในที่บางแหง ยทิ ศัพทลงในอรรถแหง วา ศัพท คือลงในอรรถที่เปน วิกปฺปน (วิกปฺปตฺถ)๑ แปลวา ก็ดี, ก็ตาม, หรือ เชน ยทิ ศัพท ในมังคลัตถ- ทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๒๓ หนา ๑๘ ไมไดลงในอรรถ ปริกปฺปตฺถ ไมควรแปลวา ผิวา แตลงในอรรถแหง วา ศัพท ตองแปลวา ก็ดี, ก็ตาม, หรือ; ขอความ ดังกลาวเปนพุทธพจนมาในสีหสูตรนำมาแสดงไวดังนี้วา »Ø¹ ¨»Ã™ ÊÕË ทายโก ทานปติ ڐà·Ç »ÃÔÊ™ ÍØ»Ê§Ú¡ÁµÔ Â·Ô ¢µÚµÔ»ÃÔÊ™ Â·Ô ¾ÚÃÒËÚÁ³»ÃÔÊ™ Â·Ô ¤Ë»µÔ»ÃÔÊ™ Â·Ô ÊÁ³»ÃÔÊ™ ÇÔÊÒÃâ· ÍØ»Ê§Ú¡ÁµÔ ÍÁ§Ú¡ØÀÙâµ...Ï [สีหะ ขออื่นยังมีอีก ทายกทานบดีจะเขาไปยังบริษัทใดๆ จะเปน กษัตริยก็ตาม พราหมณก็ตาม คฤหบดีก็ตาม สมณะก็ตาม เปนผูแกลวกลา ไมเกอเขิน เขาไปยังบริษัทนั้น] สวนคำวา ­ڐà·Ç นั้น ตัดบทเปน ยํ-ยํ-เอว แปลงนิคหิต (ตัวหนา) กับ ย (ตัวหลัง) เปน ฺ แลวซอน ò เปน ­ڐí-àÍÇ, แลวแปลง นิคหิต เปน ท เปน ­ڐà·Ç ๑ ดูใน จตุปทวิภาค สทฺทนีติ สุตฺตมาลา ทานวา ยทิอิติ กตฺถจิ วาสทฺทตฺเถ, (พระอัคควังสมหาเถระ รจนา, พระมหาประนอม ธมฺมาลงฺกาโร ปริวรรต, สทฺทนีติ สุตฺต- มาลา, กรุงเทพฯ: ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๙, หนา ๓๘๙) ฉบับแปลดูที่ พระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) ตรวจชำระ, สัททนีติสุตตมาลา, นครปฐม: มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๕, หนา ๑๒๗๙), ใน เชิงอรรถฉบับแปลที่อางทานวา ยทิ ที่ลงในอรรถ วา ศัพท คือลงในอรรถ วิกปฺปน ๒ ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑, หนา ๒๖๗.
  • 21.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๗ ยสสฺส [ยโส-อสฺส] (มงฺคล.๒/๒๓/๑๘) ในคาถา ขอ ๒๓ วา ยสสฺส วฑฺฒติ [ยศของทายกนั้นยอมเจริญ] ยสสฺส ตัดบทเปน ยโส อสฺส จัดเปนโลปสระสนธิ สระอยูหลัง ลบ สระหนา ตอบทเปน ยสสฺส เชน กุโต+เอตฺถ=กุเตตฺถ๑ สอดคลองกับที่ทานอธิบายไวในอรรถกถาเถรคาถาวา ยสสฺส วฑฺฒตีติ สมฺมุเข คุณาภิตฺถวสงฺขาโต ปริวารสมฺปทาสงฺขาโต จ ยโส อสฺส ปริพฺรูหติ ฯ๒ [บทวา ยสสฺส วฑฺฒติ ความวา ยศกลาวคือความยกยองสรรเสริญคุณ ในที่ตอหนา และยศกลาวคือความถึงพรอมดวยบริวารยอมเพิ่มพูนแกผูนั้น] การตัดและตอบทดวยวิธีนี้ มีปรากฏในขอตอๆ ไป เชน ยตสฺสา [ยโต อสฺสา] (มงฺคล.๒/๕๒/๔๕) วาทสฺส [วาโท อสฺส] (มงฺคล.๒/๘๑/๗๑) ปาปกตรสฺส [ปาปกตโร อสฺส] (มงฺคล.๒/๔๓๑/๓๓๗) วิคาหติ (มงฺคล. ๒/๒๓/๑๙) ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๒๓ หนา ๑๘-๑๙ วา อมงฺกุภูโต ปริสํ วิคาหติ (ในคาถา) ในหนังสือเรียนบางเลมทานแปล วิคาหติ วา ไมเบียดเบียน สวนอีก เลม ทานแปล วิคาหติ วา เขาไป, นักเรียนสงสัยวา ควรแปลอยางไรดี ในคำแปลทั้งสองนั้น คำแปลวา เขาไป มีผูคนควาแลวพบขอมูล สนับสนุน สวนคำแปลวา ไมเบียดเบียน นั้น ยังหาขอมูลสนับสนุนไมพบ จึง ฝากใหนักศึกษาคนควากันตอไป; ขอมูลที่พบนั้น มีดังนี้ ๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๓๐ หนา ๔๑. ๒ เถร.อ. ๒๑๒.
  • 22.
    มังคลัตถวิภาวินี ๘ ๑. ในพจนานุกรมบาลี-อังกฤษ ฉบับสมาคมบาลีปกรณ(Pali Text Society) วา วิคาหติ แปลวา หยั่งลง, เขาไป (to plunge into, to enter)๑ และ พจนานุกรมบาลี-ไทยก็วา วิคาหติ ก. หยั่งลง๒ ๒. ในอรรถกถา ทานอธิบายศัพทใกลเคียงกับ วิคาหติ ไว เทาที่พบ ๒ แหง คือ ๒.๑) วิคาหิยาติ อนุปวิสิตฺวา ฯ๓ วิคาหิย แปลวา เขาไป ฯ ๒.๒) วิคาหิสุนฺติ...ปกฺขนฺทึสุ ฯ๔ ÇÔ¤ÒËÔÊØ™ แปลวา แลนไป ฯ ในขั้นนี้จึงยุติไดวา ขอใหนักเรียนแปล วิคาหติ วา เขาไป และขอ ระงับคำแปลวา ไมเบียดเบียน นั้นไวกอนจนกวาจะพบขอมูลอางอิง วิเนยฺย (มงฺคล. ๒/๒๓/๑๙) วิเนยฺย [วิ+นี+ตูนาทิ] ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๒๓ หนา ๑๙ เปนกิริยากิตก แปลวา นำออกแลว วิเนยฺย ประกอบดวย วิ บทหนา นี ธาตุในความนำไป (นี นย- ปาปุเณ)๕ แปลง อี เปน เอ แปลง ตูนาทิ ปจจัย เปน ย ซอน ย๖ ๑ T. W. Rhys Davids and William Stede, The Pali text Society Pali- English Dictionary, (London: The Pali Text Society, 2004) p. 615. ๒ พระอุดรคณาธิการ (ชวินทร สระคำ), ศ.พิเศษ ดร.จำลอง สารพัดนึก, พจนานุกรม บาลี-ไทย สำหรับนักศึกษา ฉบับปรับปรุงใหม, พิมพครั้งที่ ๖, (กรุงเทพฯ: บริษัท ธรรมสาร จำกัด, ๒๕๕๒), หนา ๔๑๘. ๓ สํ.อ. ๑/๓๖๑. ๔ ชา.อ. ๘/๒๘๖. ๕ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๒๑๕ หนา ๒๒๕. ๖ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรมกิริยากิตตฉบับธรรมเจดีย, (กรุงเทพฯ: เรือง- ปญญา, ม.ป.ป.), หนา ๓๑๑.
  • 23.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๙ ทีฆรตฺตํ (เชน มงฺคล. ๒/๒๓/๑๙) นักเรียนสงสัยวา ทำไมทานใชศัพทวา ทีฆรตฺตํ ไมใช ทีฆรตฺตึ, ผูเขียนนี้ จึงตอบวา ที่ทานใชศัพทวา ทีฆรตฺตํ เพราะมีหลักการดังตอไปนี้ รตฺติ ศัพท เมื่อนำไปสมาสกับศัพทอื่นที่บอกจำนวนหรือบอก ระยะเวลา เชน ทีฆ, อโห, วสฺส ใหลง อ ปจจัยที่สุดสมาสนั้น๑ รตฺติ จึง กลายเปน รตฺต เชน ทีฆรตฺต ในที่นี้ประกอบ อํ ทุติยาวิภัตติ จึงไดรูปเปน ทีฆรตฺตํ (ตลอดคืน ยาวนาน), คำวา อโหรตฺตํ ก็พึงทราบดวยหลักการเดียวกันนี้, (อห เปน มโนคณะ เมื่อสมาสเขาแลว ลบวิภัตติ เอาสระที่สุดของตนเปน โอ)๒ สหพฺเยติ (มงฺคล.๒/๒๖/๒๑) สหพฺเยติ=ยอมเปนไป, [สห+พฺเย ปวตฺติยํ+เอ+ติ], เชนวา สหพฺเยติ คจฺฉตีติ สหพฺโย ปรากฏในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๒๖ หนา ๒๑ สหพฺเยติ แปลวา ยอมเปนไป ประกอบดวย สห บทหนา พฺเย ธาตุใน ความเปนไป (ปวตฺติยํ) หมวด ภู ธาตุ เอ ปจจัยในกัตตุวาจก ติ วัตตมานา- วิภัตติ๓ อาณาเปสิ (เชน มงฺคล. ๒/๓๒/๒๘) อาจารยในปจจุบันนิยมใหนักเรียนแปล อาณาเปสิ ที่เปนกัตตุวาจก วา สั่งบังคับแลว เพราะถือตามเฉลยขอสอบ วิชา สัมพันธไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ ๑ โมคฺ. สูตร ๓.๔๕. ๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๓๗๕ หนา ๒๖๘. ๓ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๒๖๒, หนา ๒๘๐ ; และดูใน พระอัครวังสเถระ รจนา พระธรรมโมลี ตรวจชำระ, สัททนีติธาตุมาลา, (นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง- กรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๖), หนา ๓๗๕.
  • 24.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๐ ตรวจแกโดยกองบาลีสนามหลวง, แตถึงอยางไรก็ตาม มีอาจารยอธิบาย อาณาเปสิที่เปนกัตตุวาจกไวอยางนอย ๒ นัย ไดแก ๑. อาณาเปสิ อาณ ธาตุ ในความใช-สั่งบังคับ (เปสเน)+ณาเป ปจจัย ในกัตตุวาจก (นอกแบบ)+อี อัชชัตตนีวิภัตติ ลง ส อาคม รัสสะ อี เปน อิ๑ ๒. อาณาเปสิ อา บทหนา+ณาป ธาตุในความใช (เปสเน)+เณ ปจจัย ในหมวด จุร ธาตุ+อี อัชชัตตนีวิภัตติ ลง ส อาคม รัสสะ อี เปน อิ๒ ปิติปิตามหาทีหิ(มงฺคล.๒/๓๘/๓๕) ปติปตามหาทีหิ [ปตุ+ปตามห+อาทิ+หิ ตติยาวิภัตติ] แปลวา (อัน ญาติทั้งหลาย) มีบิดาและปูเปนตน, ปติ ในที่นี้ไมไดแปลวา ปติ แตแปลวา บิดา ศัพทเดิมก็คือ ปตุ นั่นเอง แตเอาสระ อุ ที่ปตุ เปน อิ วิ. ปตุ ปตา ปตามโห บิดาของบิดา ชื่อวา ปตามหะ (ปู) ลง อามห ปจจัยในตัทธิต๓ วิ. ปตา จ ปตามโห จ ปติปตามหา บิดาดวย ปูดวย ชื่อวา ปติปตามหะ (เอา อุ ที่ ปตุ เปน อิ) เปน อสมาหารทวันทวสมาส วิ. »ÔµÔ»ÔµÒÁËÒ ÍÒ·â àÂÊí ൠ»ÔµÒÁËÒÍҷ⠐ҵ¡Ò บิดาและปู เปนตน แหงญาติเหลาใด ญาติเหลานั้นจึงชื่อวา มีบิดาและปูเปนตน เปน ฉัฏฐีพหุพพิหิสมาส ๑ บุญสืบ อินสาร, พจนานุกรมบาลี-ไทย ธรรมบทภาค ๑-๔, ๒๕๕๕, หนา ๑๒๙. ๒ นิรุตติทีปนี, หนา ๕๔๘, อางถึงใน พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และคณะ, วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๕ ฉบับแกไข/ปรับปรุง, (กรุงเทพฯ: ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๒), หนา ๗. ๓ โมคฺ. สูตร ๔.๓๘.
  • 25.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๑๑ จุดที่ควรทำความเขาใจเปนพิเศษ อยูที่ ปติ เพราะมีหลักการวา สระ ที่สุดแหง มาตุ ศัพทเปนตน เปน อิ ได เมื่อ โต หรือ ภร ศัพท เปนตน อยูหลัง๑ เชน มาติโต, ปติโต, ธีติโต, มาตาเปตฺติภโร, มาติปกฺโข เปนตน คำวา ปติมตฺตํ, มาติมตฺตํ, ภาติมตฺตํ ในขอ ๖๑ หนา ๕๕ ก็พึงทราบ วา แปลง อุ เปน อิ โดยนัยนี้เหมือนกัน อภิญฺเยฺยา, ปริญฺเญยฺยา (มงฺคล.๒/๔๑/๓๖) นักเรียนเห็น ÍÀÔ­ÚàÂÚÂÒ, »ÃÔ­ÚàÂÚÂÒ ในขอวา ÍÔàÁ ¸ÁÚÁÒ ÍÀԐÚàÂÚÂÒ ÍÔàÁ »ÃԐÚàÂÚÂÒ [ธรรมเหลานี้พึงรูยิ่ง ธรรมเหลานี้พึง กำหนดรู] ก็เขาใจผิดคิดวา ลง อนีย ปจจัย เพราะทานใชเสมือนเปนกิริยา คุมพากย ความจริง สองศัพทนี้ ลง ณฺย ปจจัยในนามกิตก ใชเสมือนกิริยากิตก เชน เต จ ภิกฺขู คารยฺหา๒ ÍÀÔ­ÚàÂÚÂÒ [ÍÀÔ+Ò+³ÚÂ+âÂ] (¸ÁÚÁÒ) ธรรมอันบุคคลพึงรูยิ่ง, วิเคราะหวา ÍÀԭڐҵ¾Ú¾ÒµÔ ÍÀÔ­ÚàÂÚÂÒ (ธมฺมา) [ธรรมเหลาใด อัน บุคคลพึงรูยิ่ง เหตุนั้นธรรมเหลานั้น จึงชื่อวา ธรรมอันบุคคลพึงรูยิ่ง] อภิ บทหนา Ò ธาตุในความรู แปลง ณฺย กับ อา ที่สุดธาตุ เปน เอยฺย๓ ซอน ฺ (ณฺย ปจจัยในนามกิตก เปนกัมมรูป กัมมสาธนะ) »ÃÔ­ÚàÂÚÂÒ [»ÃÔ+Ò+³ÚÂ+âÂ] (ธมฺมา) ธรรมอันบุคคลพึงกำหนดรู, วิเคราะหและทำตัวเหมือน ÍÀÔ­ÚàÂÚÂÒ แปลกแต ปริ บทหนา ๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๔๒๗ หนา ๒๙๙. ๒ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, บาลีไวยากรณ วจีวิภาค ภาคที่ ๒ อาขยาตและกิตก, (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๒), หนา ๑๙๗. ๓ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๑๒๙ หนา ๑๐๓๙.
  • 26.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๒ อานิสํโส มหา(มงฺคล.๒/๔๓/๓๘) มหา ในที่นี้ใชเปนคุณนาม,มหา ศัพทเดิมเปน มหนฺต ตามมติที่ทาน แสดงไวในคัมภีรสัททนีติปทมาลา ทานอาศัยตัวอยางจากพระบาลี จึงแจก มหนฺต ศัพทไดรูปเปน มหา ครบทั้ง ๓ ลิงค๑, ดู อตีวมหา เจตสา มนสา (มงฺคล.๒/๔๘/๔๒) นาศึกษาวา เจตสา และ มนสา ใชตางกันอยางไร เพราะในที่บาง แหงทานใชทั้ง เจตสา และ มนสา จึงสันนิษฐานวาใชตางกันแน เพราะถาทั้ง ๒ บทใชไดเหมือนกันทุกกรณี ทานก็คงไมจำเปนตองเรียงไวใกลกัน ๒ บท เชน ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๔๘ หนา ๔๒ ซึ่งทานนำขอความมาจาก ปญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย๒ วา ปุน จปรํ ภิกฺขเว ภิกฺขู ยถาสุตํ ยถาปริยตฺตํ ธมฺมํ น เจตสา อนุวิตกฺเกนฺติ อนุวิจาเรนฺติ มนสา อนุเปกฺขนฺติ...๓ [ภิกษุทั้งหลาย ขออื่นยังมีอยูอีก ภิกษุทั้งหลาย ไมตรึกตรองไมพิจารณา ธรรมตามที่ไดฟงไดเรียนมาดวยใจ ไมเพงดวยใจ...] นาสังเกตวา ถา เจตสา และ มนสา ใชแทนกันไดในทุกกรณี ในที่นี้ พระองคคงจะไมตรัส มนสา ไวอีก เพราะพิจารณาในแงสัมพันธ เจตสา ก็ สามารถสัมพันธเขากับ อนุวิตกฺเกนฺติ อนุวิจาเรนฺติ อนุเปกฺขนฺติ ไดเลย แตในที่นี้ เจตสา เปนกรณะใน อนุวิตกฺเกนฺติ และ อนุวิจาเรนฺติ สวน มนสา เปนกรณะเปน อนุเปกฺขนฺติ ถาพิจารณาในแงรากศัพท ทั้งสองตางกันแนนอน อยางที่เห็นปรากฏ ชัดแลว แตทั้งสองศัพทเหมือนกันก็ตรงที่เปนมโนคณะ ๑ สัททนีติปทมาลา, หนา ๕๘๗-๕๘๘. ๒ องฺ.ปฺจก. ๒๒/๑๕๕/๑๙๘. ๓ นี้พิมพตามที่ปรากฏในมังคลัตถทีปนี สวนในพระไตรปฎก ว่า มนสานุเปกฺขนฺติ
  • 27.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๑๓ ในระหวางที่รอผูรูชี้แนะ ผูเขียนนี้ไดคนควาแลว พบวา ในกรณีที่ทาน ใชศัพทในความหมายวา เพงพินิจ (คือที่ประกอบดวย อิกฺข ธาตุ) มักจะใชคู กับ มนสา ไมใช เจตสา เชน มนสา อนุเปกฺขนฺติ หรือ มนสานุเปกฺขนฺติ๑, มนสานุเปกฺขิตา๒ และ มนสา นั้นอรรถกถาก็แกเปน จิตฺเตน เชน มนสานุเปกฺขิตาติ จิตฺเตน อนุเปกฺขิตา [บทวา มนสานุเปกฺขิตา ความวา พิจารณาดวยจิต]๓ ไมพบวาทานใช เจตสา อนุเปกฺขติ แตในที่ทั่วไป ที่ไมใช อิกฺข ธาตุ ทานใช มนสา และ เจตสา เปน คำอธิบายของกันและกัน เชน มนสา ทฬฺเหนาติ ทฬฺเหน มนสา ถิรสมาธิยุตฺเตน เจตสาติ อตฺโถ๔ มนสาติ อนุทฺธเตน เจตสา๕ จากขอมูลที่นำมาแสดงนี้ สรุปไดวา ทานนิยมใช มนสา แตไมนิยมใช เจตสา ในที่ประกอบดวย อิกฺข ธาตุ แตในที่อื่นทั้ง เจตสา และ มนสา เปน คำอธิบายของกันและกัน ยตสฺสา วิมุตฺตายตนภาโว (มงฺคล. ๒/๕๒/๔๕) ยตสฺสา [ยโต อสฺสา]; นักเรียนสงสัยวาทำไมทานแปล ยตสฺสา วา เพราะ, จึงไดคนควาแลวบันทึกไวดังนี้ ในหนังสือหนังสือมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๕๒ หนา ๔๕ ปรากฏ ขอความวา ๑ องฺ.ปฺจก. ๒๒/๑๕๕/๑๙๘. ๒ ม.มู. ๑๒/๓๗๐/๓๙๖; ม.อ. ๒/๔๑๙. ๓ ม.อ. ๒/๔๑๙. ๔ ขุทฺทก.อ. ๑/๒๔๕. ๕ องฺ.อ. ๒/๓๑๐.
  • 28.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๔ อยฺหีติอาทิ ตสฺส เทสนายตาทิสสฺส ปุคฺคลสฺส ยถาวุตฺตสมาธิปฺปฏิ- ลาภสฺส การณภาววิภาวนํ ยตสฺสา วิมุตฺตายตนภาโว ฯ ขอความนี้ทานนำมาจากฎีกาวิมุตติสูตร จึงควรตามไปดูคัมภีรฎีกาที่ ทานอางวาตรงกันหรือแตกตางกันอยางไร หลังจากไปคนดูฎีกาวิมุตติสูตร ฉบับที่ มจร. พิมพใชกันในปจจุบัน พบวาขอความแตกตางกับที่ปรากฏในมังคลัตถทีปนี ขอความในฎีกาวา อยํ หีติอาทิ ตสฺสํ เทสนายํ ตาทิสสฺส ปุคฺคลสฺส ยถาวุตฺตสมาธิปฏิ- ลาภสฺส การณภาววิภาวนํ ยํ ตถา วิมุตฺตายตนภาโว ฯ๑ นาสังเกตวา ขอความในมังคลัตถทีปนีกับในฎีกาวิมุตติสูตรฉบับ มจร. ที่ทานอางถึง ไมตรงกัน อยางนอย ๒ แหง คือ ๑. มังคลัตถทีปนีวา ตสฺส เทสนาย/ ฎีกาวา ตสฺสํ เทสนายํ ๒. มังคลัตถทีปนีวา ยตสฺสา/ ฎีกาวา ยํ ตถา แตในหลักสูตรบาลีสนามหลวงทานมุงใหนักเรียนแปลเฉพาะใน หนังสือเรียน จึงมุงไปที่ขอความในหนังสือเรียนนั้นเลย โดยไมตองกังวล ขอความในฎีกา, ขอนำขอความในมังคลัตถทีปนีดังกลาว มาแสดงซ้ำอีก และทานแปลวา อยฺหีติอาทิ ตสฺส เทสนาย ตาทิสสฺส ปุคฺคลสฺส ยถาวุตฺตสมาธิปฺปฏิ- ลาภสฺส การณภาววิภาวนํ ยตสฺสา วิมุตฺตายตนภาโว ฯ [คำวา อยฺหิ ดังนี้เปนตน เปนเครื่องประกาศความที่เทศนาของภิกษุ นั้นเปนเหตุใหบุคคลเชนนั้นไดสมาธิตามที่กลาวแลว เพราะเทศนานั้นเปน เหตุแหงวิมุติ] ๑ องฺ.ฏี. ๓/๑๓ (สารตฺถมฺชุสา); พระสูตรนี้มาใน ปาฎิกวรรค ทีฆนิกาย อีกแหง; ฎีกาทีฆนิกาย (ที.ฏี.๓/๓๑๖) นั้นวา อยฺหีติอาทิ ตสฺสา เทสนาย ตาทิสสฺส ปุคฺคลสฺส ยถาวุตฺตสมาธิ ปฏิลาภสฺส การณภาววิภาวนํ. ตสฺส วิมุตฺตายตนภาโว.
  • 29.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๑๕ ยตสฺสา ทานแปลวา เพราะ (เทศนานั้น), ผูเขียนนี้ ไดคนควาแลว สันนิษฐานวา ยตสฺสา มีความหมายเทากับคำวา ยโต อสฺสา, ที่สันนิษฐาน เชนนี้ เพราะขอความลักษณะเดียวกันทานแสดงไวในอรรถกถาวินัย คือ คัมภีรสมันตปาสาทิกา ภาคที่ ๒ หนา ๒๐๕ วา ยตสฺส จีวรเจตาปนํ อาภฏนฺติ ยโต ราชโต วา ราชโภคฺคโต วา อสฺส ภิกฺขุโน จีวรเจตาปนํ อานีตํ ฯ [ขอวา ยตสฺส จีวรเจตาปนํ อาภฏํ มีความวา ทรัพยสำหรับจายจีวร ที่เขานำมาเพื่อภิกษุนั้น จากพระราชา หรือจากราชอำมาตยใด] พึงสังเกตวา ทานอธิบาย ยตสฺส เปน ยโต อสฺส ฉะนั้น ในอรรถโยชนา วินัย ภาคที่ ๑ หนา ๕๔๗ ทานจึงอธิบายไววา ยตสฺสาติ ยโต อสฺส ฯ ปฺจมฺยตฺเถ โตปจฺจโยติ อาจริยา กเถนฺติ ฯ๑ [คำวา ยตสฺส ตัดบทเปน ยโต อสฺส ฯ อาจารยทั้งหลายบอกวา ลง โต ปจจัย ในอรรถปญจมีวิภัตติ] สอดคลองกับคัมภีรอภิธานวรรณนา คาถาที่ ๑๑๔๕ วา ยโต เปน นิบาต ใชในอรรถการณะ๒ ขอสันนิษฐานที่วา ยตสฺสา ตัดบทเปน ยโต อสฺสา จึงไมผิดแน และ ยโต ลงในอรรถปญจมีวิภัตติ คือลงในอรรถเหตุ หรือ การณะ เมื่อแปลลม มาที่ประโยค ย จึงแปล ยโต วา เพราะ (ลม ย-ต จึงไมแปลวา ใด-นั้น) ฉะนั้น จึงแนใจวา คำวา ยตสฺสา วิมุตฺตายตนภาโว มีรูปประโยคเปน ยโต (คือ ยสฺมา) อสฺสา เทสนาย วิมุตฺตายตนภาโว แปลวา “เพราะเทศนา นั้นเปนเหตุแหงวิมุติ” ผูศึกษาพึงพิจารณาดูเถิด ๑ วินย.อ. ๒/๒๐๕; วินย. โย. ๑/๕๔๗. ๒ พระมหาสมปอง มุทิโต, อภิธานวรรณนา, พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ: บริษัท ประยูรวงศพริ้นทติ้ง, ๒๕๔๗), หนา ๑๐๗๐.
  • 30.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๖ ธมฺมจริยากถา -๐- ติวิธํ : วิภัตติและวจนะวิปลาส(มงฺคล. ๒/๕๕/๔๖) ในขอความวา µÔÇÔ¸™ ⢠¤Ë»µâ ¡Ò๠¸ÁÚÁ¨ÃÔÂÊÁ¨ÃÔÂÒ âËµÔ [ดูกอนพราหมณและคฤหบดีทั้งหลาย ธรรมจริยสมจริยาทางกายมี ๓ อยาง] ทานอธิบายไวในขอ ๗๐ หนา ๖๑ วา ติวิธํ ศัพทนี้ มีวิภัตติและวจนะ วิปลาส เปนปฐมาวิภัตติ เอกวจนะ แตวาโดยความหมาย เปนตติยาวิภัตติ พหุวจนะ และ วิธ ใชในอรรถวา สวน จึงแปลวา มี ๓ อยาง (๓ สวน) วิธ ศัพท มีความหมาย ๓ อยาง ไดแก มานะ ความถือตัว ปการะ ประการหรือรูปพรรณสัณฐาน และ โกฏฐาสะ สวน๑ เถยฺยสงฺขาตํ ใช้ในอรรถกรณะ (มงฺคล.๒/๕๕/๔๗) เถยฺยสงฺขาตํ เปนปฐมาวิภัตติ ใชในอรรถตติยาวิภัตติ แปลวา “ดวย สวนจิตคิดขโมย” หรือ “ดวยสวนจิตเปนเหตุขโมย” ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๕๕ หนา ๔๗ ทานนำขอความใน สาเลยยกสูตรมาแสดงวา Â¹Úµí »ÃÊÚÊ »ÃÇÔµÚµÙ»¡Ã³í ¤ÒÁ¤µí ÇÒ Ííڐ¤µí ÇÒ ¹ µí Í·Ô¹Ú¹í à¶ÂÚÂʧڢҵí ÍÒ·ÒµÒ â˵Ô๒ [ทรัพยเปนอุปกรณเครื่องปลื้มใจของบุคคลอื่นนั้นใด ที่อยูในบานหรือ ในปา ยอมเปนผูไมถือเอาทรัพยนั้นที่เขาไมใหแลว ดวยสวนจิตคิดขโมย (หรือดวยสวนจิตเปนเหตุขโมย)] นักศึกษาพึงดูคำอธิบาย ที่พระอรรถกถาจารยอธิบายไว ในหนังสือ มังคลัตถทีปนีนี้ ขอ ๕๘ หนา ๕๑ วา ๑ อภิธานวรรณนา, คาถา ๘๔๖ หนา ๙๙๓. ๒ ม.มู. ๑๒/๔๘๔/๕๑๙.
  • 31.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๑๗ กรณตฺเถ เจตํ ปจฺจตฺตวจนํ ตสฺมา เถยฺยสงฺขาเตนาติ อตฺถโต ·¯Ú€¾Ú¾í [คำวา เถยฺยสงฺขาตํ นั่น เปนปฐมาวิภัตติ ใชในอรรถกรณะ ฉะนั้น โดยใจความ นักศึกษาพึงเห็นวา ดวยสวนจิตเปนเหตุขโมย] สงฺขาต ศัพทในที่นี้ มีความหมายเทากับคำวา ⡯ڀÒÊ จึงแปลวา “สวน” ไมควรแปลวา “กลาวคือ” ฉะนั้น จึงตองแปล เถยฺยสงฺขาตํ วา ดวยสวนจิตเปนเหตุขโมย ไมควร แปลวา กลาวคือความเปนขโมย โปรี (มงฺคล. ๒/๕๕/๔๘) โปรี ทานวิเคราะหไวในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๖๑ หนา ๕๕ วา ¤Ø³»ÃԻسڳµÒ »Øàà ÀÇÒµÔ â»ÃÕ Ï »Øàà ʙDZڲ¹ÒÃÕ ÇÔÂ ÊØ¡ØÁÒÃÒµÔ»Ô â»ÃÕ Ï »ØÃÊÚÊ àÍÊÒµÔ»Ô â»ÃÕ ฯ๑ โปรี ลง อี ปจจัย (ในตัทธิต) หลัง ปุร ศัพท แทนเนื้อความวา เปนอยู มีอยูในที่นั้น เปนตน๒ ยิฏํ : ต ปัจจัยใช้เป็นนามนาม (มงฺคล. ๒/๕๕/๔๘) ÂÔ¯Ú€í [ยชฺ+ต+สิ] การบูชา, วัตถุอันเขาบูชาแลว (เอา ชฺ กับ ต เปน , อ ที่ ย เปน อิ)๓ ต ปจจัยในที่นี้ใชเปนภาวสาธนะ เปนนามนาม จึงแปลวา การบูชา เชน คมนํ คตํ การไป แมคำวา หุตํ-การบวงสรวง (หุ ธาตุในการเซนไหว) ก็พึงทราบวา ลง ต ปจจัยใชเปนภาวสาธนะ (มงฺคล.๒/๕๕/๔๘) ๑ ที.อ. ๑/๑๑๘. ๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๗๘๔ หนา ๗๘๑. ๓ กจฺจายน. สูตร ๕๗๓, ๖๑๐, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๑๗๖, ๑๒๑๕.
  • 32.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๘ อภิญฺา สจฺฉิกตฺวา: วัณณสนธิ(มงฺคล.๒/๕๕/๔๘) ÍÀÔ­ÚÒ ในขอวา ÊÂí ÍÀÔ­ÚÒ Ê¨Ú©Ô¡µÚÇÒ »àÇà·¹ÚµÔ เปน ตติยาวิภัตติ แปลวา ดวยปญญาอันยิ่ง, ลบ ย ที่ ÍÀԭڐÒ ดังที่ทานแสดง ไวในสัททนีติสุตตมาลา วา ในพระบาลีมีการลบอักษรและเปลี่ยนอักษรไป จากเดิม เพื่อใหออกเสียงไดงาย๑ ในหนังสือมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๕๕ หนา ๔๘ ทานนำขอความ ในสาเลยยกสูตรมาแสดงวา อตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมาปฏิปนฺนา เย อิมฺจ โลกํ ปรฺจ โลกํ สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺติ๒ [สมณพราหมณผูดำเนินไปดีแลว ผูปฏิบัติชอบ ผูประกาศ ทำใหแจงซึ่งโลกนี้และโลกหนาดวยปญญาอันยิ่งเองมีอยูในโลก] คำวา ÍÀÔ­ÚÒ ในที่นี้ใชในอรรถตติยาวิภัตติ นักศึกษาควรดูขอความ ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๖๖ ในที่นั้น ทานแก ÍÀÔ­ÚÒ วา »­ÚÒ ดังขอความวา สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวาติ เย อิมฺจ โลกํ ปรฺจ โลกํ อภิวิสิาย ปฺาย สพฺพํ ปจฺจกฺขํ กตฺวา ปเวเทนฺติ เต นตฺถิ สวนในอรรถกถาวินัยทานอธิบายขอความนี้ไวชัดเจนทีเดียววา สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทตีติ เอตฺถ ปน...อภิฺาติ อภิฺาย อธิเกน าเณน ตฺวาติ อตฺโถ ฯ๓ [สวนในขอวา สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติ นี้มีวินิจฉัยวา ...คำวาอภิฺา ความวา รูดวยปญญาอันยิ่ง คือ ดวยญาณอันยิ่ง] ๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๖๐ หนา ๑๓๕. ๒ ม.มู. ๑๒/๔๘๔/๕๒๐. ๓ วินย.อ. ๑/๑๓๔.
  • 33.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๑๙ ฉะนั้น อภิฺา ในที่นี้ นักเรียนควรแปลวา “ดวยปญญาอันยิ่ง” เพราะ อภิฺา ใชในอรรถแหงตติยาวิภัตติ โดยมีความหมายเทากับคำวา อภิฺาย ปฺาย และ าเณน นักเรียนพึงทราบวา การลบหรือเปลี่ยนอักษรในบทหนาโดยไมเชื่อม บทหนาใหเปนบทเดียวกับบทหลัง เรียกวา วัณณสนธิ เชน สาธุ ทสฺสนํ - สาหุ ทสฺสนํ โส สีลวา - ส สีลวา ปฏิสงฺขาย โยนิโส - ปฏิสงฺขา โยนิโส อสฺสวนตาย ธมฺมสฺส - อสฺสวนตา ธมฺมสฺส๑ ปจฺจตฺตวจนํ : ชื่อพิเศษของวิภัตติทั้ง ๗ (มงฺคล.๒/๕๘/๕๑) ปจฺจตฺตวจนํ เปนศัพทเรียก ปฐมาวิภัตติ, ในคัมภีรทั้งหลายทานมี ศัพทเรียกวิภัตติ ครบทั้ง ๗ (รวมอาลปนะดวยเปน ๘) ดังนี้ ๑. ปจฺจตฺตวจนํ = ปฐมาวิภัตติ ๒. อุปโยควจนํ = ทุติยาวิภัตติ ๓. กรณวจนํ = ตติยาวิภัตติ ๔. สมฺปทานวจนํ = จตุตถีวิภัตติ ๕. นิสฺสกฺกวจนํ = ปญจมีวิภัตติ ๖. สามิวจนํ = ฉัฏฐีวิภัตติ ๗. ภุมฺมวจนํ = สัตตมีวิภัตติ๒ ชื่อวิภัตติชุด ปฐมาวิภัตติ เปนตนนี้ นิยมใชในไวยากรณสันสกฤต แต ในคัมภีรฝายพุทธศาสนา เชน อรรถกถา นิยมใชชุด ปจฺจตฺตวจนํ เปนตน๓ ๑ พระคันธสาราภิวงศ เรียบเรียง, พระธรรมโมลี และเวทย บรรณกรกุล ชำระ, สังวรรณนามัญชรี และ สังวรรณนานิยาม, นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช- วิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๕, หนา ๗. ๒ สังวรรณนามัญชรี และ สังวรรณนานิยาม, หนา ๓๗. ๓ ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑, หนา ๑๑๔๑.
  • 34.
    มังคลัตถวิภาวินี ๒๐ ในการกกัณฑ แหง ปทรูปสิทฺธิสูตรที่ ๓๒๙ ทานวา ปจฺจตฺตมุปโยคฺจ กรณํ สมฺปทานิยํ นิสฺสกฺกํ สามิวจนํ ภุมฺมาลปนมมนฺติ ฯ๑ ศัพทเหลานี้ ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ก็มีใช เชน (ขอ/หนา) ปจฺจตฺตวจนํ (๕๘/๕๑; ๓๖๕/๒๗๘) อุปโยควจนํ (๓๖๕/๒๗๘; ๖๑๙/๔๗๔; ๖๒๐/๔๗๔) กรณวจนํ (๗๐/๖๒; ๓๖๕/๒๗๘; ๖๑๙/๔๗๔ ฯลฯ) สามิวจนํ (๗๒/๖๕) ภุมฺมวจนํ (๕๘๙/๔๕๔) อิตฺถนฺนามํ (มงฺคล. ๒/๕๘/๕๒) อิตฺถนฺนามํ [อิทํ+นาม+อํ ทุติยาวิภัตติ], นาม ศัพทอยูทาย แปลง อิทํ ในสมาส เปน อิตฺถํ๒ สุกุมารา แปลวา อ่อนโยน(มงฺคล. ๒/๖๑/๕๕) สุกุมารา ในขอวา ปุเร สํวฑฺฒนารี วิย สุกุมาราติปิ โปรี แหงหนังสือ มังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๖๑ หนา ๕๕ เปนคุณนาม ไมใชนามนาม จึง ควรแปล สุกุมารา วา ออนโยน, สละสลวย ไมควรแปลวา กุมารผูดี ที่แนะใหแปลอยางนี้ เพราะในฎีกาจูฬหัตถิปโทปมสูตร เปนตน ทาน อธิบายวา สุกุมาราติ อผรุสตาย มุทุกา ฯ [บทวา สุกุมารา อธิบายวา ชื่อวา เปนวาจาออนโยน เพราะเปนวาจาไมหยาบ](ดู มงฺคล. ๒/๗๗/๖๗) ๑ พระพุทธัปปยเถระ แหงชมพูทวีปตอนใต รจนา, ปทรูปสิทฺธิ, (กรุงเทพฯ: ชมรม นิรุตติศึกษา, ๒๕๔๓), สูตร ๓๒๙ หนา ๒๑๔. ๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๕๒๑ หนา ๓๖๘.
  • 35.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๒๑ ปุถุวจน= พหุวจนะ(มงฺคล. ๒/๗๐/๖๑, ๖๔) ปุถุวจนํ ใหแปลวา พหุวจนะ เชน ในหนังสือเรียน ขอ ๗๐ หนา ๖๑ ในคำวา ͵Úâ¶ »¹ ¡Ã³»Ø¶ØÇ¨¹Çàʹ ·¯Ú€¾Úâ¾...ฯ [สวนเนื้อความบัณฑิต พึงเห็นวาเปนตติยาวิภัตติ พหุวจนะ] ภาวนปุสกนิทฺเทโส= กิริยาวิเสสนะ (มงฺคล. ๒/๗๐/๖๒) ในหนังสือมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๗๐ หนา ๖๒ ทานวา สมนฺติ ภาวนปุสกนิทฺเทโส [ศัพทวา สมํ เปนศัพทแสดงภาวนปุงสกลิงค] นักเรียนสงสัยวา ภาวนปุงสกลิงค หมายถึงอะไร, ผูเขียนนี้จึงได คนควาและบันทึกไวดังนี้ คำวา ภาวนปุสก ใชในความหมายวา กิริยาวิเสสนะ ฉะนั้น วาโดย ความหมายทางออมนักเรียนจะแปล ภาวนปุสก วา กิริยาวิเสสนะ ก็ได ในคัมภีรฝายศาสนานิยมใชคำวา ภาวนปุสก สวนในคัมภีรไวยากรณ สันสกฤต นิยมใชคำวา กิริยาวิเสสนะ๑ หรือ ธาตุวิเสสนะ๒ เมื่อจะประกอบนามศัพทใหเปนกิริยาวิเสสนะนั้น ตองลงทุติยาวิภัตติ เอกวจนะ นปุงสกลิงค เชน ใน หนังสือเรียน ขอ ๕๖ และ ขอ ๗๐ วา สมํ จริยา สมสฺส วา กมฺมสฺส จริยาติ สมจริยา [ความประพฤติสม่ำเสมอ หรือความประพฤติกรรมอันชอบ เพราะ เหตุนั้น จึงชื่อวา สมจริยา] สมนฺติ ภาวนปุสกนิทฺเทโส [ศัพทวา สมํ เปนศัพทแสดงภาวนปุงสกลิงค (คือ กิริยาวิเสสนะ)] ๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๕๙๐ หนา ๔๘๕. ๒ สทฺทสารตฺถชาลินี, คาถา ๗๑. พิมพรวมใน เอกตฺตึส จูฬสทฺทปฺปกรณานิ, (กรุงเทพฯ: บริษัท ซีเอไอ เซ็นเตอร จำกัด, ๒๕๕๑), หนา ๗๔.
  • 36.
    มังคลัตถวิภาวินี ๒๒ ชาต ศัพท์ เป็นต้นใช้เป็น วจนสิลิฏก, สกตฺถ (มงฺคล. ๒/๗๔/๖๖) ชาต ศัพท เปน วจนสิลิฏฐกะ คือลงไปเพื่อทำถอยคำใหไพเราะ จึงไม จำเปนตองแปลออกศัพท เชน ในมังคลัตถทีปนี ภาค ๒ หนา ๖๖ วา อามิสชาตํ ก็คงมีความหมายเทากับ คำวา อามิส เพราะศัพทนี้ลงทายศัพท ใด ก็ไมทำความหมายของศัพทนั้นตางไป คือมีความหมายเทาเดิมนั่นเอง (ลงในอรรถสกัตถะ) ในคัมภีรนิรุตติทีปนี ทานเรียกวา อาคม๑ คือลงอักษรไปทายบท เพื่อ ความสละสลวยของคำ (วจนสิลิก) ศัพท อักษร หรือปจจัยที่ทำหนาที่ ลักษณะนี้ เชน คต, ชาต, อนฺต, ก และ ตา๒ ปจจัย สวน ภูต นิยมลงทาย บทเพื่อใหนามนามกลายเปนคุณนาม ทั้งหมดนี้เมื่อลงไปแลวทำใหลิงคของ ศัพทนั้นเปลี่ยนไปบางก็มี เชน คต ทิฏคตํ มีความหมายเทากับ ทิ ชาต ธมฺมชาตํ ” ธมฺโม อนฺต สุตฺตนฺโต ” สุตฺตํ ก หีนโก ” หีโน ตา เทวตา ” เทโว ภูต เหตุภูตํ ” เหตุ ตอไปนี้จะนำตัวอยางปจจัยที่ลงในอรรถสกัตถะ มาแสดงไวเปน ความรูประกอบ ตฺต เอกตฺตํ มีความหมายเทากับ เอโก๓ ๑ พระญาณธชเถระ รจนา, สมควร ถวนนอก ปริวรรต, นิรุตติทีปนี คัมภีรวาดวย หลักไวยากรณสายโมคคัลลานะ, (กรุงเทพฯ: ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๘), หนา ๔๔-๔๕, และขอ ๑๘๔, ๘๓๕. ๒ เชน ปาตพฺยํ เอว ปาตพฺยตา สกตฺเถ ตาปจฺจโยฯ (วินย.โย. ๒/๒๐) ๓ ปฏิสํ.อ. ๑/๔๔๑.
  • 37.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๒๓ ณิก ติลสงฺกุลิกา มีความหมายเทากับ ติลสงฺกุลา๑ อิก อนนฺตรายิโก ” อนนฺตราโย๒ ณฺย กิจฺจยํ ” กิจฺจํ๓ ย ปาจิตฺติยํ ” ปาจิตฺติ๔ มย วจีมโย ” วจี๕ วิภาเวนฺติยา (มงฺคล. ๒/๗๙/๖๙) คำวา วิภาเวนฺติยา ในที่นี้ ทานแปลวา (ดวยถอยคำ) อันจะยังผูฟงให แจมแจง ประกอบดวย วิ บทหนา ภู ธาตุ เณ ปจจัย และ อนฺต ปจจัย ภู ธาตุในที่นี้ ไมใช ภู ธาตุในหมวด ภู ธาตุที่แปลวา มี วาเปน แตเปน ภู ธาตุในหมวด จุร ธาตุ แปลวา ประกาศ, ทำใหแจมแจง มีหลักทั่วไปวา ภู ธาตุที่มี วิ เปนบทหนา ใชในอรรถวา ทำใหแจมแจง๖ เกวล ศัพท์ (มงฺคล. ๒/๘๑/๗๑) นักเรียนคอนขางคุนเคยกับ เกวล ศัพท ที่ทานประกอบดวยทุติยา- วิภัตติเปน เกวลํ ใชเปนกิริยาวิเสสนะ พอมาพบ เกวโล ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๘๒ หนา ๗๑ ก็รูสึกแปลกตา, ที่จริง เกวล ศัพท เปนไดทั้ง คุณนามและนามนาม แตในที่นี้ทานใชเปนคุณนาม ๑ วินย.โย. ๒/๓๗๕. ๒ วินย.โย. ๒/๓๙๓. ๓ วินย.โย. ๒/๔๑๗. ๔ วินย.โย. ๒/๕๘๗. ๕ ปฺจิกา.โย. ๓/๔๔๓. ๖ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๒๗๓ หนา ๒๙๕.
  • 38.
    มังคลัตถวิภาวินี ๒๔ ในคัมภีรอภิธานวรรณนา คาถาที่ ๗๘๖ทานวา เกวล ศัพทใชใน อรรถ ๖ อยาง คือ (๑) เยภุยฺยตา มาก (๒) อัพยามิสสะ ไมปนกัน (๓) วิสัง- โยคะ แยกกัน (๔) ทัฬหะ มั่นคง (๕) อนติเรกะ ไมเกินประมาณ (๖) อนวเสสะ ทั้งหมด เกวล ศัพท ที่เปนคุณนาม แจกดวยวิภัตตินามได จึงเห็น เกวล ศัพท ในรูปตางๆ เชน เกวโล, เกวลํ, เกวเลน, เกวลสฺส, เกวลานํ ตัวอยาง เกวล ศัพท ที่เปนคุณนาม เชน เกวโล อพฺยามิสฺโส สกโล ปริปุณฺโณ ภิกฺขุธมฺโม กถิโต๑ ในตัวอยางดังกลาวนี้ เกวล ศัพทแปลวา ไมปนกัน, ทั้งหมด, บริบูรณ สวนในคัมภีรอรรถโยชนา ชื่ออภิธัมมัตถวิภาวินีปญจิกา ที่นักเรียนมัก เรียกวา โยชนาอภิธรรม ภาคที่ ๑ วา เกวล ประกอบดวย เกว ธาตุ (ชนเน) และ อล ปจจัย๒ ขอนำขอความในโยชนาอภิธรรมดังกลาวนั้นมาเสนอตอผูรูใหรวมกัน พิจารณาวา เกว ชนเน วชาทีหิ ปพฺพชาทโย๓ นิปจฺจนฺเตติ อโล แปลเทาที่ เห็นศัพทวา เกว ธาตุ ในความเกิด อล ปจจัย (โดยทำตามวิธีแหงกัจจายน- สูตรที่ ๖๓๘ และปทรูปสิทธิ สูตรที่ ๖๖๐ วา) ศัพทวา ปพฺพชา เปนตน ทานใหสำเร็จดวย วช ธาตุ เปนตน สวน เกวล ศัพท ที่เปนนามนาม เปนชื่อหนึ่งของพระนิพพาน เปน นปุงสกลิงค (ดู อภิธานวรรณนา คาถาที่ ๘) บางอาจารยอธิบายวา สํสาเรหิ ๑ สุตฺต.อ. ๒/๒๖๔. ๒ พระญาณกิตติเถระ แหงเชียงใหม, อภิธมฺมตฺถวิภาวินิยา ปฺจิกา นาม อตฺถ- โยชนา, (พิมพครั้งที่ ๗, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑), หนา ๒๖๗. ๓ ในกัจจายนสูตรและปทรูปสิทธิ ที่อางถึง เปน ปพฺพชฺชาทโย (ซอน ชฺ)
  • 39.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๒๕ อสมฺมิสฺสตาย วิสํโยคตาย จ เกวลํ๑ แปลวา นิพพาน ชื่อวา เกวล เพราะไม ปนสังขารและพรากสังขาร อโหปุริสิกา (มงฺคล. ๒/๘๑/๗๑) อโหปุริสิกา มีปรากฏในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๘๑ หนา ๗๑ บางทานแปลวา ความโออวด บางทานแปลวา คำพูดของบุรุษผูอัศจรรย; ศัพทนี้มีใชในคัมภีรรุนหลัง ตั้งแตชั้นฎีกาลงมา หาไมพบในพระไตรปฎกและ อรรถกถา ในคัมภีรสัททนีติ วา ปุริส ศัพท ที่มี อโห เปนบทหนา ลง ณิก ปจจัย ใชในอรรถวาถือตัว (อโหปุริสโต ทปฺปเน ณิโก)๒ นักเรียนอาจคนดูศัพทนี้ไดที่คัมภีรปรมัตถมัญชุสา วิสุทธิมรรคมหา- ฎีกา ภาค ๓ หนา ๒๗๐ ซึ่งเปนหนังสือประกอบการเรียน ป.ธ.๘๓ วาทสฺส ตัดบทเป็น วาโท+อสฺส, ภวสาโร (มงฺคล. ๒/๘๑/๗๑) วาทสฺส ตัดบทเปน วาโท+อสฺส, พึงเทียบคำวา กุโต+เอตฺถ=กุเตตฺถ๔ สวนคำวา ภวสาโร แปลวา “การแลนไปสูภพ” อาจารยบอกตอๆ กันมาวา หนังสือบางเลมแปลขอนี้คลาดเคลื่อน จึงแปลใหม ดังนี้ ตถา อตฺตโน วาทสฺส กสฺสจิ ภวสาโร เอว นตฺถิ ตตฺถ ตตฺเถว อุจฺฉิชฺชนโต [วาทะของตนพึงเปนเชนนั้น, การแลนไปสูภพ ยอมไมมีแกใครๆ เลย เพราะขาดสูญในฐานะนั้นๆ นั่นเอง] ๑ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ-ไทย, (กรุงเทพฯ สำนักเรียนวัดปากน้ำ, ๒๕๔๐), หนา ๒๐๙. ๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๒๗๙ หนา ๑๑๓๓. ๓ พระธัมมปาลเถระ แหงชมพูทวีป, ปรมตฺถมฺชุสา นาม วิสุทฺธิมคฺคสํวณฺณนา มหา- ฎีกาสมฺมตา (ตติโย ภาโค), พิมพครั้งที่ ๖, (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘), หนา ๒๗๐. ๔ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๓๐ หนา ๔๑.
  • 40.
    มังคลัตถวิภาวินี ๒๖ โคพลิพัททนัย (มงฺคล.๒/๘๔/๗๒) ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่๒ ขอ ๘๔ หนา ๗๒ ทานกลาวถึงนัยอยาง หนึ่งวา โคพลิพัททนัย ตอไปนี้จะนำคำอธิบาย โคพลิพัททนัย ที่พิมพรวม ในหนังสือ เนตติหารัตถทีปนี ฉบับแปลโดยทาน พระธัมมานันทเถร มาแสดง๑ โคพลีพทฺทนย คือ วิธีเหมือนวัวและวัวมีกำลัง หมายความวา วิธีที่ ศัพทหนาหมายเอาสิ่งที่นอกจากศัพทหลัง คำวา โค แปลวา วัว เปนคำสามัญไมจำเพาะเจาะจงลงไปวาวัวชนิด ไหน ดังนั้น จึงหมายถึงหลายๆ ชนิดได เชน วจฺฉ (ลูกวัว) ทมฺม (วัวหนุม) พลีพทฺท (วัวมีกำลัง) ชรคฺคว (วัวแก) แตถามี พลีพทฺท อยูขางหลัง คำวา โค นี้ก็หมายถึง วจฺฉ, ทมฺม และ ชรคฺคว เทานั้น ไมไดหมายถึง พลีพทฺท เพราะ มี พลีพทฺท ศัพทอยูตอมา ฉันใด วิธีนี้ก็เปนฉันนั้นเหมือนกัน เพราะศัพทที่ อยูขางหนาหมายเอาสิ่งที่นอกจากศัพทที่อยูขางหลัง อุทาหรณวา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปฺตฺโต๒ [พระธรรมและ วินัยอันเราแสดงแลวบัญญัติแลว] บทวา “ธมฺโม” เปน โคพลีพทฺทนย เพราะหมายเอาพระสูตรและ อภิธรรม ไมไดหมายเอาพระวินัยเพราะมีบทวา วินโย ตอมา. อธิบายวา คำ วา พระธรรม เปนคำสามัญหมายเอาพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม ไมไดหมายเอาพระวินัยเพราะมีแสดงแลวเหมือนในศัพทวา โคพลีพทฺท ที่ โค ศัพทหมายถึงวัวตางๆ มี วจฺฉ เปนตน เวน พลีพทฺท นักศึกษาควรศึกษานัยอื่นๆ อีก เชน เอกเสสนัย ปาริเสสนัย กิริยา- ปธานนัย ทันตเฉทนนัย ทันตโสธนนัย เปนตน ๑ พระธัมมานันทเถร (แปล), เนตติหารัตถทีปนี อุปจาร และ นย, (กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๓), หนา ๖๐. ๒ ที.ม. ๑๐/๑๔๑/๑๗๘.
  • 41.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๒๗ าตกสงฺคหกถา -๐- ปิตามโหลง อามห ปัจจัย (เชน มงฺคล. ๒/๙๐/๗๙) ปตามโห [ปตุ+อามห ปจจัย+สิ ปฐมาวิภัตติ] แปลวา ปู, มีหลักวา อามห ปจจัยในตัทธิต (นอกแบบ) ใชแทนมารดาบิดาของผูนั้น๑ เชน มาตุ มาตา มาตามหี มารดาของมารดา ชื่อวา ยาย มาตุ ปตา มาตามโห บิดาของมารดา ชื่อวา ตา ปตุ มาตา ปตามหี มารดาของบิดา ชื่อวา ยา ปตุ ปตา ปตามโห บิดาของบิดา ชื่อวา ปู๒ แมศัพทวา มาตามหเสิโน (ขอ ๓๓ หนา ๓๐), มาตามโห (ขอ ๙๑ หนา ๘๐), มาตามหสฺส (ขอ ๒๘๙ หนา ๒๑๙) ก็พึงทราบโดยหลักการ เดียวกันนี้ ปิตา จ...เตสํ ยุโค ปิตามหยุโค (มงฺคล. ๒/๙๑/๗๙) นักศึกษาพึงนำขอความในขอ ๙๐ มาเติมใหเต็ม ดังตอไปนี้ ปตา จ [มาตา จ ปตโร ปตูนํ ปตโร ปตามหา] เตสํ ยุโค ปตามหยุโค ปุริสคฺคหณญฺเจตฺถ...สมตฺถิตํ โหติ (มงฺคล. ๒/๙๐/๘๐) ขอความในหนา ๘๐ ทานละไว พึงนำขอความในหนา ๗๙ มาเติม ปุริสคฺคหณฺเจตฺถ อุกฺกนิทฺเทสวเสน กตนฺติ ทพฺพํ ฯ เอวฺหิ มาติโตติ ปาลิวจนํ สมตฺถิตํ โหติ ๑ โมคฺ. สูตร ๔.๓๘. ๒ สุภาพรรณ ณ บางชาง, รองศาสตราจารย, ดร., ไวยากรณบาลี, พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘), หนา ๔๖๑.
  • 42.
    มังคลัตถวิภาวินี ๒๘ ปิตา จ...ปิตามหทฺวนฺทาติ (มงฺคล.๒/๙๐/๘๐) ในหนา ๘๐ ทานละขอความไว นำขอความในหนา ๗๙ มาเติมใหเต็ม ปตา จ [มาตา จ ปตโร ปตูนํ ปตโร ปตามหา เตสํ ยุโค ปตามหยุโค ฯ ตสฺมา ยาว สตฺตมา ปตามหยุคา] ปตามหทฺวนฺทาติ โกเลยฺยกา (มงฺคล.๒/๙๔/๘๒) โกเลยฺยกา ปรากฏในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๙๔ หนา ๘๒ ทาน นำขอความใน กุกกุรชาดก มาเลาถึงสุนัขที่อยูในเขตพระราชฐาน จึงแปล โกเลยฺยกา วา สุนัขที่อยูในวัง (วิเสสนะของ สุนขา) โกเลยฺยก แปลตามศัพทวา ผูเกิดในตระกูล แปลใหเขากับเรื่องวา สุนัขที่อยูในวัง ทานวิเคราะหวา กุเล ชาโต โกเลยฺยโก ฯ คัมภีรโมคคัลลานะ วา ลง เณยฺยก ปจจัย (นอกแบบ) ในตัทธิต ใชแทนเนื้อความวา มีในที่นั้น๑, สวนในพจนานุกรมมคธ-ไทย ทานวา ลง เณยฺย ปจจัย ในราคาทิตัทธิต และ ก สกตฺถ๒ ทฺวิชสงฺฆา, ทิโช (มงฺคล.๒/๙๘/๘๗) ทฺวิช-, ทิโช แปลตามศัพทวา เกิดสองครั้ง (ทฺวิกฺขตฺตุ ชาตตาย ทิโช)๓ โดยนัยนี้ ทฺวิช, ทิช จึงหมายถึง - นก (เกิดจากแมนกและเกิดจากฟอง) ฟน (เกิดเปนฟนน้ำนมและฟนแท) พราหมณ (เกิดจากพระพรหมและกำเนิดนางพราหมณี) ๑ โมคฺ. สูตร ๔.๒๕. ๒ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ-ไทย, ๒๕๔๐, หนา ๒๑๔. ๓ ชา.อ. ๕/๓๖.
  • 43.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๒๙ อนวชฺชกมฺมกถา -๐- อนสนสงฺขาโต อุปวาโส (มงฺคล. ๒/๑๐๖/๙๒) อนสนสงฺขาโต [น+อส อทเน/โภชเน+ยุ+สงฺขาต+สิ] ในหนังสือ มังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๑๐๖ หนา ๙๒ ทานแปลวา กลาวคือการไม รับประทานอาหาร อนสนสงฺขาโต ประกอบดวย น + อส ธาตุในความกิน + ยุ ปจจัย แปลง ยุ เปน อน + สงฺขาต ศัพท + สิ ปฐมาวิภัตติ วิเคราะหวา อสิยเต ภกฺขิยเตติ อสนํ [ภาวรูป ภาวสาธนะ]๑ น อสนํ อนสนํ [น บุพพบท กัมมธารยสมาส] อนสนํ อิติ สงฺขาโต (อุปวาโส) [สัมภาวนบุพพบท กัมมธารยสมาส] ปสนฺนมานโส (มงฺคล. ๒/๑๐๙/๙๓) ปสนฺนมานโส มีรูปคลาย มนโส (ที่แปลง ส ทั้งสองเปน โอ แลวลง ส อาคม เปน โส), ปสนฺนมานโส วิเคราะหวา มนสิ ภวนฺติ มานสํ (ณ ปจจัยในตัทธิต ลง ส สกตฺเถ)๒ หรือ มโน เอว มานสํ (ส สกตฺเถ) ปสนฺนํ จ ตํ มานสํ จาติ ปสนฺนมานสํ ปสนฺนมานสํ ยสฺส โส ปสนฺนมานโส ๑ กจฺจายน. สูตร ๖๔๑, สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๖๖๗, ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๑๖ หนา ๑๘. ๒ โมคฺ. สูตร ๔.๑๒๘.
  • 44.
    มังคลัตถวิภาวินี ๓๐ มหาชนปทานํ: ชื่อแควน นิยมเปนพหุวจนะ(มงฺคล. ๒/๑๓๑/๑๐๕) ในคาถา ๑๘๔ แหงคัมภีรอภิธานัปปทีปกา ทานวา ชื่อแควนหรือ มหาชนบท ใหใชเปนปุงลิงคและพหุวจนะ๑ นักศึกษาพึงเห็นตัวอยางใน มังคลัตถทีปนี ขอ ๑๓๑ หนา ๑๐๕ วา เตนาห ภควา เสยฺยถาป วิสาเข โย อิเมส โสฬสนฺน มหาชนปทาน ปหูตสตฺตรตนาน อิสฺสริยาธิปจฺจ รชฺช กาเรยฺย เสยฺยถีท องฺคาน มคธาน กาสีน โกสลาน วชฺชีน มลฺลาน เจตีน วสาน กุรูน ปฺจาลาน มจฺฉาน สุรเสนาน อสฺสกาน อวนฺตีน คนฺธาราน กมฺโพชาน องฺคสมนฺนาคตสฺส อุโปสถสฺส เอต กล นาคฺฆติ โสฬสึ ฯ [เพราะเหตุนั้น พระผูมีพระภาคจึงตรัสไววา วิสาขา ผูใดพึง ครองราชยเปนอิสราธิบดีแหงมหาชนบท ๑๖ เหลานี้ ซึ่งมีรตนะ ๗ ประการ มากมาย คือ อังคะ มคธะ กาสี โกศล วัชชี มัลละ เจตี วังสะ กุรุ ปญจาละ มัจฉะ สุรเสนะ อัสสกะ อวันตี คันธาระ กัมโพชะ การครองราชย ของผูนั้นนั่นยอมไมถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แหงอุโบสถซึ่งประกอบดวยองค ๘] เมื่อตรวจดูคัมภีรพระไตรปฎก ก็ปรากฏเปนความจริงวา ชื่อแควน ทานนิยมใชเปนปุงลิงคและพหุพจน (ที่เปนเอกพจนมีบาง ในคาถา) นำมา เปนตัวอยางเพียงบางสวน ดังตอไปนี้ เตน โข ปน สมเยน มคเธสุ ปฺจ อาพาธา อุสฺสนฺนา โหนฺติ กุ คณฺโฑ กิลาโส โสโส อปมาโร ฯ๒ [ก็สมัยนั้นแล ในมคธชนบทเกิดโรคระบาดขึ้น ๕ ชนิด คือ โรคเรื้อน ๑ พระคันธสาราภิวงศ เรียบเรียง, พระธรรมโมลี และเวทย บรรณกรกุล ชำระ, สังวรรณนามัญชรี และ สังวรรณนานิยาม, (นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๕), หนา [๒๕]., ใน อภิธานัปปทีปกา คาถาที่ ๑๘๔ วา ปุมฺพหุตฺเต กุรู สกฺกา... เปนตน ๒ วินย. ๔/๑๐๑/๑๔๘.
  • 45.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๓๑ โรคฝ โรคกลาก โรคมองครอ โรคลมบาหมู] เอกํ สมยํ ภควา กุรูสุ วิหรติ กมฺมาสทมฺมํ นาม กุรูนํ นิคโม ฯ๑ [สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคประทับอยูในกุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ ชื่อวา กัมมาสทัมมะ] เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา ยโส กากณฺฑกปุตฺโต วชฺชีสุ จาริกฺจรมาโน เยน เวสาลี ตทวสริ ฯ๒ [สมัยนั้น ทานพระยสกากัณฑกบุตร เที่ยวจาริกในวัชชีชนบทถึงพระ นครเวสาลี] เตน โข ปน สมเยน อฺตโร ภิกฺขุ กาสีสุ วสฺสํ วุตฺโถ สาวตฺถึ คจฺฉนฺโต ภควนฺตํ ทสฺสนาย เยน กิฏาคิริ ตทวสริ ฯ๓ [ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาในแควนกาสี เดินทางไป พระนครสาวัตถีเพื่อเฝาพระผูมีพระภาค ถึงชนบทกิฏาคีรีแลว] นาสังเกตวา เมื่อทานออกชื่อแควน ถาไมมี ร ศัพทมาตอ ทานจะ ใชเปนพหุวจนะ แตถามี ร ศัพทมาตอ ทานจะใชเปนเอกวจนะ เชน ใน สมันตปาสาทิกา วา มาคธิกนฺติ มคเธสุ ชาตํ ฯ มคธรเ ชาตํ ลสุณเมว หิ อิธ ลสุณนฺติ อธิปฺเปตํ ฯ๔ [บทวา มาคธิกํ แปลวา เกิดแลวในแควนมคธ. จริงอยู เฉพาะ กระเทียมที่เกิดในแควนมคธ ทานประสงคเอาวา ลสุณํ ในสิกขาบทนี้] แตถึงอยางไรก็ตาม ชื่อแควนที่เปนเอกวจนะ ก็ปรากฏในหนังสือ ไวยากรณที่เรียนกันมาวา มคเธ ชาโต มาคโธ [(ชน) เกิดแลวในแวนแควน มคธ ชื่อมาคธะ], นักเรียนอาจวิเคราะหอีกแบบวา มคเธสุ ชาโต มาคโธ ๑ ที.ม. ๑๐/๒๗๓/๓๒๒. ๒ วินย. ๗/๖๓๑/๓๙๖. ๓ วินย. ๑/๖๑๕/๔๑๗. ๔ วินย.อ. ๒/๕๙๔.
  • 46.
    มังคลัตถวิภาวินี ๓๒ เสยฺยถีทํ (มงฺคล. ๒/๑๓๑/๑๐๕) เสยฺยถีทํเปนนิบาต ในชั้นไวยากรณ แปลวา อยางไรนี้ แตในชั้น ป.ธ. ๕ นี้มุงแปลใหไดความ จึงควรแปลวา คือ, เสยฺยถีทํ เพราะเปนนิบาตจึงคง รูปนี้ไว ใชไดกับทุกลิงค วจนะ และวิภัตติ๑ เรียนกันมาวา เสยฺยถีทํ ใชในกรณีจำแนกแสดงเนื้อความที่ยกขึ้นไว เปนอยางๆ และเรียงไวหนาจำนวนบทที่แยกแยะออกไปนั้น๒ ทั้งนี้ ทานอธิบายไวในอรรถกถา วา เสยฺยถีทนฺติ อนิยมิตนิยม- นิกฺขิตฺตอตฺถวิภาชนเ นิปาโต ฯ๓ เสยฺยถีทนฺติ อารทฺธปฺปการทสฺสนตฺเถ นิปาโต ฯ๔ ในมังคลัตถทีปนี ภาค ๒ นี้ ปรากฏ เสยฺยถีทํ ๒ แหง คือในขอ ๑๓๑ และขอ ๕๐๖ กุ ในคำวา กุราชภาเวน (มงฺคล. ๒/๑๓๒/๑๐๗) กุราชภาเวน ในขอวา อิสฺสริยาธิปจฺจนฺติ อิสฺสรภาเวน จ อธิปติภาเวน จ น กุราชภาเวนฯ ฉบับ มมร. แปลวา โดยความเปนพระราชาชั้นต่ำ ฉบับ พระมหาสมบูรณ ทสฺสธมฺโม แปลวา ดวยความเปนพระราชาผูชั่วราย คำวา “ชั้นต่ำ” และ “ชั่วราย” เปนคำแปลของศัพทวา กุ ซึ่งในที่นี้ ทานใชในอรรถวา ปาป/กุจฺฉิต แปลตามศัพทวา (ความเปนพระราชา) ผู อันบัณฑิตเกลียดแลว เมื่อเขาบทสมาส ลบเสียเหลือแต กุ ไดรูปเปน กุราชา พึงเทียบกับ กุทิ ในแบบเรียนบาลีไวยากรณ, มีวิเคราะหวา กุจฺฉิโต ราชา กุราชา๕ (กัมมธารยสมาส) กุราชสฺส ภาโว กุราชภาโว ลง นา ตติยาวิภัตติ เปน กุราชภาเวน ๑ สังวรรณนามัญชรี และ สังวรรณนานิยาม, หนา ๒๑. ๒ มหามกุฏราชวิทยาลัย, อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒, หนา ๑๙๓. ๓ ที.อ. ๒/๑๕๕. ๔ วินย.อ. ๑/๒๑๑. ๕ รูปสิทฺธิ, สูตร ๓๔๕-๗.
  • 47.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๓๓ นอกจาก กุ ใชในอรรถวา ปาป/กุจฺฉิต/กุจฺฉา/กุจฺฉน (ชั่ว ทราม นาเกลียด) แลว ยังใชในอรรถวา อีสตฺถ/ขุทฺทก/อปฺปก (เล็กนอย)๑ เพราะ กุ ใชในอรรถวาเล็กนอยก็ได ฉะนั้น บทวา กุราชภาเวน จะ แปลวา ดวยความเปนพระราชาผูนอย ก็ได ตอไปนี้เปนการอธิบายเพื่อเปนความรูประกอบ นักเรียนไมตองใสใจ มาก เพราะคำอธิบายบางแหง ไมมีในหลักไวยากรณบาลีสนามหลวง ๑. ในคัมภีรบาลีไวยากรณ (ที่มักเรียกรวมๆ วาบาลีใหญ) ทานจัด กุ เปนนิบาต และเรียกบทสมาสที่มี กุ นำหนาวา กุบุพพบท๒ กัมมธารยสมาส (สมาสชื่อนี้ไมมีในหลักสูตรบาลีสนามหลวง) ๒. กุ ที่ใชในอรรถวา ขุทฺทก ตามที่ทานแสดงใว๓ เชน ขุทฺทกา นที กุนฺนที (แมน้ำนอย) ขุทฺทกํ วนํ กุพฺพนํ (ปานอย) ๓. สระอยูหลัง แปลง กุ เปน กท๔ เชน กุจฺฉิตํ อนฺนํ กทนฺนํ (อาหารเลว) กุจฺฉิตํ อสนํ กทสนํ (ของกินชั้นเลว) กุจฺฉิโต อริโย กทริโย คนดีที่เลวแลว (คือคนตระหนี่) ๔. ในอรรถวา นอย๕ และ ชั่ว๖ แปลง กุ เปน กา เชน อปฺปกํ ลวณํ กาลวณํ (เค็มนอย, กรอย) อปฺปกํ ปุปฺผํ กาปุปฺผํ (ดอกไมนอย) กุจฺฉิโต ปุริโส กาปุริโส (บุรุษชั่ว) [ไมแปลงก็มีบาง เชน กุปุริโส] ๑ อภิธานวรรณนา, คาถา ๑๑๕๙, ๑๑๙๗. ๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๗๐๒ หนา ๖๒๒. ๓ นิรุตฺติทีปนี, สูตร ๓๔๙ หนา ๒๓๘. ๔ กจฺจายน. สูตร ๓๓๕; สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๗๑๙; โมคฺ. สูตร ๓.๑๐๗. ๕ รูปสิทฺธิ. สูตร ๓๔๗, โมคฺ. สูตร ๓.๑๐๘. ๖ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๗๒๑ หนา ๗๐๙.
  • 48.
    มังคลัตถวิภาวินี ๓๔ ๕. ตัวอยางศัพทอื่นๆ เชน กุจฺฉิโตปุตฺโต กุปุตฺโต (บุตรชั่ว) กุจฺฉิโต ทาโร กุทาโร (เมียชั่ว) กุจฺฉิตํ กมฺมํ กุกมฺมํ (กรรมชั่ว) ปญฺจงฺคิกํ ตุริยํ = ดนตรีมีองค์ ๕ (มงฺคล. ๒/๑๑๔/๙๖) ในขอวา องฺคิกนฺติ ปฺจงฺคิกํ วิย ตุริยํ องฺคาวินิมุตฺตํ [บทวา องฺคิกํ คือ ไมพนไปจากองค ๘ เหมือนดนตรีซึ่งประกอบดวยองค ๕ ฉะนั้น] ดนตรีประกอบดวยองค ๕ ไดแก อาตตะ กลอง, วิตตะ ตะโพน, อาตตวิตตะ กลองบัณเฑาะว เปนตน, ฆนะ กรับหรือทับ, สุสิระ เครื่องเปา มีปและขลุย เปนตน๑ มรุกนฺตาร = ทะเลทราย (มงฺคล. ๒/๑๔๒/๑๑๘) มรุ ในคำวา มรุกนฺตาร แปลวา ทราย สวน กนฺตาร แปลวา กันดาร แปลเอาความวา ทะเลทราย คำนี้ปรากฏในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๑๔๒ หนา ๑๑๘ ตัวอยางคำอธิบาย มรุ ที่ปรากฏในคัมภีรอื่นๆ เชน มรุกนฺตารํ คจฺฉตีติ วาลิกกนฺตารํ คจฺฉติฯ๒ แปลวา ขอวา ไปสูมรุกันดาร หมายความวา ไปสู ทะเลทรายฯ, ทานอธิบาย มรุ วา วาลิก มรุ [มร ปาณจาเค+อุ] วิเคราะหวา สตฺตา มรนฺติ อเนนาติ มรุ (ทราย ที่ทำใหสัตวตาย ชื่อวา มรุ)๓ ๑ ม.อ. ๒/๔๙๗, อภิธานวรรณนา, คาถา ๑๓๙. ๒ นิทฺ.อ. ๑/๓๙๖. ๓ อภิธานวรรณนา, คาถา ๖๖๓.
  • 49.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๓๕ กามทุโห (มงฺคล. ๒/๑๔๔/๑๒๐) ทุห ในคำวา กามทุโห อิจฺฉิติจฺฉิตทายโก ทานแปลวา “ให” เพราะ แปลตามอรรถแหงบทตั้งวา กามทโท และเทียบอรรถแหงศัพทหลังวา อิจฺฉิติจฺฉิตทายโก เรียงศัพทใหเห็นเปน -ทโท -ทุโห –ทายโก ทุโห ประกอบดวย ทุห ธาตุ ใชในอรรถวา รีดออก, ใหเต็ม, ฆา, เบียดเบียน (โทหนปูรณวธนาเส)๑ อ ปจจัย วิ. ทุหตีติ ทุโห โทโห วา อจฺฉสิ (มงฺคล. ๒/๑๔๗/๑๒๑) อจฺฉสิ ในคำวา ตตฺถจฺฉสิ ปวสิ ขาทสิ จ ทานแปลวา ยอมอยู, ซึ่งเปน คำแปลแบบใหเขากับเรื่อง, แปลตามอรรถแหงธาตุนี้วา “นั่ง”, (อาส ธาตุ) ในอรรถกถาวิมานวัตถุ๒ ทานอธิบาย อาสติ วา นิสีทติ อจฺฉสิ ประกอบดวย อาส ธาตุในนั่ง (อุปเวสเน)๓ อ ปจจัย สิ วัตตมานา- วิภัตติ แปลง ส เปน จฺฉ๔ วิมลาทีสุ (มงฺคล. ๒/๑๕๑/๑๒๕) ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๑๕๑ หนา ๑๒๕ กลาวถึงสหายของ พระยสเถระ ไวในคำวา วิมลาทีสุ สหาย ๔ ทาน ไดแก พระวิมล พระสุพาหุ พระปุณณชิ และ พระควัมปติ๕ ซึ่งตอมาเปนพระเถระในจำนวนพระมหาสาวกผูใหญ ๘๐ รูป (อสีติมหาสาวก) ๑ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๑๙๖. ๒ วิมาน.อ. ๔๑๔. ๓ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๑๙; ใน สัททนีติธาตุมาลา (หนา ๔๙๗) ทาน อธิบายวา อุปเวสนํ นิสีทนํ ๔ โมคฺคลฺลาน. สูตร ๕.๑๗๓: สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๐๓๕ หนา ๙๗๙. ๕ วินย. ๑/๓๐/๓๖.
  • 50.
    มังคลัตถวิภาวินี ๓๖ ฉคาถายตฺถวณฺณนา ปาปวิรติมชฺชปานสํยมกถา -๐- อวฺหย=ชื่อ (มงฺคล. ๒/๑๕๔/๑๒๗) อวฺหยแปลวา ชื่อ, เชน ในคำวา มชฺชวฺหยสฺส สุราเมรยสฺส [สุราเมรัยที่ ชื่อวามัชชะ] วิ. อวฺหยเตติ อวฺหโย, ประกอบดวย อา บทหนา, วฺเห ธาตุ ในการ เรียก (อวฺหาเณ), ย ปจจัย, รัสสะ อา เปน อ, ลบ เอ ที่ วฺเห ธาตุ๑ ยโต: โต ปัจจัยเป็นเครื่องหมาย ๕ วิภัตติ (มงฺคล. ๒/๑๕๖/๑๒๘) โต ปจจัยในคำวา ยโตหํ นี้ นักเรียนไดเรียนกันมาตั้งแตครั้งแปล หนังสือ อุภัยพากยปริวัตน วา ยโต ใชในอรรถกาลสัตตมี๒ สวนในหลักสูตรบาลีไวยากรณที่เรียนกันนี้ ทานวา โต ปจจัย เปน เครื่องหมาย ตติยาวิภัตติ และปญจมีวิภัตติ ความจริง โต ปจจัยเปนเครื่องหมายได ๕ วิภัตติ ไดแก ปฐมาวิภัตติ ตติยาวิภัตติ ปญจมีวิภัตติ ฉัฏฐีวิภัตติ และสัตตมีวิภัตติ๓ ยโต ที่ใชในในอรรถแหงสัตตมีวิภัตตินี้ นักเรียนจะพบอีกครั้ง ในขอ ๒๕๔ หนา ๑๙๐ และในขอ ๒๕๕ ทานก็แกไวชัดเจน วา ตตฺถ ยโต โขติ ยทา โข ฯ ๑ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ-ไทย, (กรุงเทพฯ สำนักเรียนวัดปากน้ำ, ๒๕๔๐), หนา ๒๐๙. ๒ มหามกุฏราชวิทยาลัย, อุภัยพากยปริวัตน, ขอ ๓๔๘. ๓ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๔๙๓, ๔๙๖.
  • 51.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๓๗ วชฺช=คำพูด (มงฺคล. ๒/๑๕๖/๑๒๘) คำวา เอเตน สจฺจวชฺเชน [เพราะการกลาวคำสัตยนี้], วชฺช ในที่นี้ แปลวา คำพูด, การกลาว ไมไดแปลวา โทษ วชฺช [วท วาจายํ+ณฺย] วิเคราะหวา วทิตพฺพํ วตฺตพฺพนฺติ วชฺชํ ฯ๑ อโวจ(มงฺคล. ๒/๑๖๒/๑๓๑) อโวจ [ไดกลาวแลว] ประกอบดวย วจ ธาตุ ในการพูด (วิยตฺติยํ/ วาจายํ) + อ ปจจัย + อา อัชชัตตนีวิภัตติ ฝายอัตตโนบท + อ อาคม แปลง อ ที่ ว เปน โอ รัสสะ อา เปน อะ๒ ตชฺชํ (มงฺคล. ๒/๑๖๖/๑๓๓, ๒/๑๗๔/๑๓๗) ตชฺชํ ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๑๖๖ และขอ ๑๗๔ ทั้งสองแหง ทานใชเปนคุณนาม คือเปนวิเสสนะ ในขอ ๑๖๖ ทานแปลวา เหมาะแก... นั้น สวนในขอ ๑๗๔ ทานแปลวา อันเกิดแต...นั้น, นักเรียนสงสัยวา ตชฺชํ นี้ ทำไมทานแปลตางกัน เทาที่คนพบ ทานใช ตชฺช ในความหมาย ๓ อยาง ไดแก ๑. ตชฺชํ แปลวา ที่เกิดแต...นั้น (ตชฺชาติกํ)๓ ๒. ตชฺชํ แปลวา เหมาะแก...นั้น (ตทนุจฺฉวิกํ/ตทนุรูป)๔ ๓. ตชฺชํ แปลวา มีสภาพเชน...นั้น (ตํสภาวํ)๕ ตชฺชํ ที่แปลวา “เหมาะแก...นั้น” เพราะ ตชฺช ศัพทใชในอรรถวา สมควร, เหมาะสม (อนุจฺฉวิก/อนุรูป) ๑ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๒๖๔. ๒ กจฺจายน. สูตร ๔๗๗, รูปสิทฺธิ. สูตร ๔๗๙, สัททนีติสุตตมาลา, หนา ๙๘๔. ๓ ม.อ. ๓/๗๔๑. ๔ องฺ.อ. ๒/๓๒๒. ใน วิสุทฺธิ.ฏี. ๒/๗๒ วา ตทนุรูป ๕ ม.อ. ๓/๘๘๘.
  • 52.
    มังคลัตถวิภาวินี ๓๘ ตัวอยาง ตชฺช ที่ใชในความหมายวาสมควร/เหมาะ เชน ตชฺชา มโน- วิฺาณธาตูติ เตสํ ผสฺสาทีนํ ธมฺมานํ อนุจฺฉวิกา มโนวิฺาณธาตุฯ๑ อนุจฺฉวิกตฺโถป หิ อยํ ตชฺชาสทฺโทโหติฯ๒ ตชฺชํ วายามนฺติ...อนุรูป วายามํ ฯ๓ ตชฺชํ ที่แปลวา “ที่เกิดแต” คือ ตชฺชํ ประกอบดวย ต+ชน+ กฺวิ ตัวอยาง ตชฺช ที่แปลวาเกิดแต เชน ตชฺชํ...ตชฺชาติกํฯ๔ ตานิ อุปนิสฺสาย ชาตนฺติ ตชฺชํ๕ อนุวิธิยนาสุ (เชน มงฺคล. ๒/๑๘๕/๑๔๓) คำวา อนุวิธิยนาสุ ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๑๘๕ หนา ๑๔๓ วา โก ปน วาโท กาเยน วาจาย อนุวิธิยนาสุฯ ฉบับ มมร.แปลวา “จะกลาว ไปไยในการทำเนืองๆ ดวยกาย ดวยวาจา” ฯ ดูตอไปในขอ ๑๘๖ หนา ๑๔๔ อรรถกถาทานอธิบายวา อนุวิธิยนา- กรณํ อาณาปนํ วา อุคฺคหปริปุจฺฉาทีนิ วา ฯ สวนในขอ ๑๘๗ หนา ๑๔๕ ฎีกาทานอธิบายวา อนุวิธิยนา อนุวิธานานิ ฯ เทาที่ดูตามแนวนี้จับความไดวา ทานมุงที่ ธา ธาตุ ใชในความหมาย วา กระทำ อนุวิธิยนาสุ ศัพทเดิมเปน อนุวิธิยนา [อนุ+วิ+ธา+ย+ยุ+โย ปฐมา- วิภัตติ] วิ. อนุวิธียเตติ อนุวิธิยนาฯ เปนภาวรูป ภาวสาธนะ, มีหลักการที่ เกี่ยวของ ดังนี้ ๑ นิทฺ.อ. ๒/๓๓. ๒ สงฺคณี.อ. ๒๙๕. ๓ องฺ.อ. ๒/๓๒๕. ๔ ม.อ. ๓/๗๔๑. ๕ ม.ฏี. ๓/๔๑๙.
  • 53.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๓๙ ๑. ธา ธาตุ ที่มี อนุ และ วิ เปนบทหนาไดรูปเปน อนุวิธา ใชในอรรถ วา กระทำตาม (อนุกรเณ)๑ และ ธา ธาตุ มี วิ เปนบทหนา ใชในอรรถวา กระทำ๒ ๒. ย ปจจัยที่ลงหลัง ธา ธาตุในภาววาจก แปลง อา เปน อี๓ ๓. ยุ ปจจัย แปลง ยุ เปน อน ลง อา เปน อิตถีลิงค ๔. ลง โย ปฐมาวิภัตติ จึงเปน อนุวิธิยนา, ลง สุ สัตตมีวิภัตติ จึงเปน อนุวิธิยนาสุ (แจกแบบ กฺา) ฉะนั้น ในหนังสือมังคลัตถทีปนี ฉบับ มมร. ทานแปล อนุวิธิยนาสุ วา ในการกระทำเนืองๆ ก็เพราะวา ธา ธาตุที่มี วิ เปนบทหนา ใชในอรรถวา กระทำ สวน อนุ ทานแปลวา เนืองๆ, ในบางคัมภีรทานแปล อนุวิธิยนา วา การเลียนแบบ วิลียติ (มงฺคล. ๒/๑๙๐/๑๔๗) วิลียติ วิ บทหนา ลี ธาตุในความละลาย (ทฺรเว)๔ ย ปจจัย ติ วัตตมานา- วิภัตติ, ในสัททนีติธาตุมาลา๕ วา วิลี ธาตุในความละลาย (วิลีนภาเว) สปตฺตา (มงฺคล. ๒/๑๙๐/๑๔๗) ที่ชื่อวา ขาศึก เพราะเปนเหมือนชู เพราะเปนเหตุแหงทุกข, ส อักษร ใชในความหมายวา รากษส, ชื่อวา ขาศึก เพราะใหกันและกันถึงความไม เปนประโยชนเกื้อกูล ไมเปนสุข เหมือน ส คือ รากษส๖ ๑ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๖๐๘. ๒ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๒๐๐. ๓ กจฺจายน. สูตร ๕๐๒, รูปสิทฺธิ. สูตร ๔๙๓. ๔ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๓๔๐. ๕ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๖๒๓. ๖ พจนานุกรม มคธ-ไทย, หนา ๗๐๗.
  • 54.
    มังคลัตถวิภาวินี ๔๐ เผณุทฺเทหกํ (มงฺคล. ๒/๒๐๗/๑๖๐) สำนวนสนามหลวงวาราชบุตรเหลานั้น หมกไหมอยูในน้ำกรดและ น้ำเกลือ อันเดือดพลาน ผุดขึ้นเปนฟอง (เฉลยสนามหลวง ป ๕๐ น. ๑๗๗) มีผูสันนิษฐานวา เผณุทฺเทหกํ เปน กิริยาวิเสสนะ, ฝากใหศึกษาคนควาเรื่อง นี้ตอไป เยสํ โน = เย มยํ (มงฺคล. ๒/๒๐๘/๑๖๑) เยสํ โน เปนประธาน; คาถาในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๒๐๘ หนา ๑๖๑ ทานนำขอความในโลหกุมภีชาดกมาแสดงวา ทุชฺชีวิตมชีวิมฺหา เยสํ โน น ททามฺห เส๑ วิชฺชมาเนสุ โภเคสุ ทีป นากมฺห อตฺตโนติ ฯ คาถานี้ เคยออกเปนขอสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเปนไทย ประโยค ป.ธ. ๕ ป ๒๕๕๐ ทานเฉลยวา เราเหลาใด เมื่อโภคะทั้งหลายมีอยู ไมไดใหทาน ไมได ทำที่พึ่งแกตน เราเหลานั้น จึงเปนอยูอยางแสนเข็ญ ฯ คำวา เยสํ โน ที่ทานแปลวา เราเหลาใด ในที่นี้เปนฉัฏฐีวิภัตติ ใชใน อรรถปฐมาวิภัตติ ดังที่อรรถกถาซึ่งแสดงไวตอจากคาถาในมังคลัตถทีปนี วา เยสํ โนติ เย มยํ...ฯ ทานจึงแปล โน เปนประธานในประโยค สวน เยสํ เปน วิเสสนะ ของ โน ในหนังสืออธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒ ทานอธิบายวา เยสํ โน เปน ฉัฏฐีวิภัตติ ใชในอรรถปฐมาวิภัตติ เรียกสัมพันธวา ฉัฏฐีปจจัตตะ๒ ที่ทาน อธิบายอยางนี้ ทานมีแหลงอางอิงดังตอไปนี้ ๑ พระไตรปฎกบาลี ฉบับ มมร. วา เยสนฺโน น ททามเส, บางแหงเปน เยสํ เต ๒ อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒, หนา ๑๙๐.
  • 55.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๔๑ บาลีมหาวิภังควา เอกสฺสป เจ ภิกฺขุโน นปฺปฏิภาเสยฺย ตํ ภิกฺขุนึ อปสาเทตุ๑ [ถาภิกษุแมรูปหนึ่ง ไมกลาวออกไป เพื่อจะรุกรานภิกษุณีนั้นไซร] เอกสฺสป เจ ภิกฺขุโนอนปสาทิเต ขาทิสฺสามิ ภุฺชิสฺสามีติ ปฏิคฺคณฺหาติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส ฯ๒ [ถาภิกษุแมรูปหนึ่งไมรุกราน รับดวยหวังวาจักเคี้ยว จักฉัน ตองอาบัติทุกกฏ] ในอรรถโยชนา๓ ทานอธิบายวา เอกสฺส ใชในอรรถ เอโก คือฉัฏฐี- วิภัตติ ใชในอรรถปฐมาวิภัตติ (ปาลิยํ ปน เอกสฺส เจป ภิกฺขุโน นปฺปฏิภาเสยฺยาติ เอโก เอตํ ภิกฺขุนึ เจป นปฺปฏิภาเสยฺยาติ อตฺโถฯ ปจฺจตฺเต หิ สามิวจนํฯ) ในขอวา เยสํ โน นี้ ถา โน เรียงไวโดยไมมี เยสํ กำกับ การจะแปล โน นั้นเปนปฐมาวิภัตติวา อ. เราทั้งหลาย ก็ไดไมมีปญหาอะไร เพราะ โน ที่เปน ปฐมาวิภัตติ ก็มีปรากฏชัดอยูในแบบแจกแลว แตในที่นี้มี เยสํ กำกับไวดวย เทากับวา โน นั้นเปนจตุตถีวิภัตติหรือฉัฏฐีวิภัตติ มาริส (มงฺคล. ๒/๒๑๐/๑๖๑-๒) มาริส ปรากฏในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ อยางนอย ๒ แหง ไดแก ใน ขอ ๒๑๐ และ ๓๙๐ แปลกันวา เพื่อนยาก ผูนิรทุกข ผูเชนกับดวยเรา มาริส [อมฺห+ทิส+กฺวิ] วิเคราะหวา มมิว นํ ปสฺสตีติ มาริโส, อหํ วิย โส ทิสฺสตีติ วา มาริโส๔ [ชื่อวา มาริส เพราะเห็นเขาเหมือนเห็นเรา, อีกประการหนึ่ง ชื่อวา มาริส เพราะเขาปรากฏเหมือนเรา] ๑ วินย. ๒/๗๗๔/๕๑๘. ๒ วินย. ๒/๗๗๔/๕๑๙. ๓ วินย. โย. ๒/๑๒๘. ๔ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ-ไทย, หนา ๕๗๔, ๕๗๖.
  • 56.
    มังคลัตถวิภาวินี ๔๒ อมฺห บทหนา ทิสธาตุ กฺวิ ปจจัย แปลง อมฺห เปน ม แลว ทีฆะ เปน มา แปลง ท ที่ ทิส เปน ร๑ ในหนังสือเรียนนั้น หนา ๑๖๒ ทานแกไววา มาริสาติ มยา สทิสฯ นาวหเร, ภเณ=น อวหรติ, ภรติ (มงฺคล. ๒/๒๑๒/๑๖๓) คำวา นาวหเร และ ภเณ ในมังคลัตถทีปนีภาคที่ ๒ ในคาถา ทายขอ ๒๑๒ ทานแปลวา ยอมไมลัก, ยอมไมพูด, ที่แปลเชนนี้ เพราะในแกอรรถขอ ๒๑๓ ทานแกเปน อวหรติ, ภณติ นักเรียนไดเรียนกันมาวา เอา เอยฺยาสิ, เอยฺยามิ, เอยฺย เปน เอ๒ เชน วนฺเท=วนฺเทยฺยาสิ, วนฺเทยฺยามิ, หรือ ใช เอ วัตตมานาวิภัตติ ฝายอัตตโนบท เชน วนฺเท=วนฺทามิ นาสงสัยวา อาวหเร และ ภเณ ในที่นี้ลงวิภัตติอะไร ทำไมทานแก อรรถเปน อวหรติ, ภณติ เปนไปไดไหมวา อวหเร และ ภเณ ลง เอยฺย วิภัตตินั่นแหละ (เอา เอยฺย เปน เอ) แตเพราะทานมุงอธิบายวา อวหเร และ ภเณ เปนกิริยาบงถึง ปจจุบันกาล ไมเชนอดีตกาลหรืออนาคตกาล จึงแกอรรถใหชัดวา อวหรติ, ภณติ ขอนี้บัณฑิตพึงชี้แนะดวยเมตตา อุปนาเมสิ (มงฺคล. ๒/๒๒๐/๑๖๘) อุปนาเมสิ [อุป+นม ธาตุ ในความนอม ภูวาทิคณะ+เณ+อี วิภัตติ] เปนเหตุกัตตุวาจก ๑ กจฺจายน. สูตร ๖๔๒, รูปสิทฺธิ. สูตร ๕๘๘, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๒๖๙. ๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๐๘๘ หนา ๑๐๐๔.
  • 57.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๔๓ ลทฺธาน (มงฺคล. ๒/๒๒๓/๑๗๐) ลทฺธาน [ไดแลว] ลภ ธาตุ ในความได + ตฺวาน ปจจัย, หลัง ลภ ธาตุ เอา ตฺวาน ปจจัยเปน ทฺธาน และลบพยัญชนะที่สุดธาตุ๑ เสหิ (มงฺคล. ๒/๒๓๕/๑๗๘) เสหิ [ส+หิ] อันเปนของตน, ใช สยํ แทน อตฺตโน แปลง สยํ เปน ส, เปนคุณนาม แจกวิภัตติได ทั้งสองวจนะและใชไดทั้ง ๓ ลิงค๒ เชน เสหิ ทาเรหิ สนฺตุโ [ผูยินดีดวยภรรยา อันเปนของตน] วารุณี : ฤาษีเมาน้ำดอง (มงฺคล. ๒/๒๓๕/๑๗๘) น้ำเมา ชื่อวา วารุณีและสุรา เพราะดาบสวรุณะและพรานปาชื่อสุระ พบเปนครั้งแรก เรื่องมาในอรรถกถากุมภชาดก๓ ขอนำมาเลาโดยยอ นานมาแลว ที่ปาหิมพานตมีตนไมใหญแตกกิ่งเปน ๓ กิ่ง ตรงกลาง เปนโพรงมีน้ำขัง ใกลตนไมนั้นมีพืชตางๆ จำพวกสมอ มะขามปอม พริกไทย และขาวสาลีเกิดเอง ผลไมเหลานั้นสุกแลวรวงหลนลงที่โพรงไมนั้นบาง พวก นกคาบมากินแลวหลนลงที่โพรงนั้นบาง ตอมาธัญพืชเหลานั้นหมักดองจนกลายเปนน้ำเมา ถึงฤดูรอนพวกนก ลงกินน้ำในโพรงนั้น จนเกิดอาการเมามาย แตไมถึงตาย เพราะไมใชยาพิษ ตอมานายพรานชื่อสุระ เดินปาไปพบเขาจึงทดลองดื่มจนเมา และยัง นำมาใหดาบสชื่อวรุณะทดลองดื่มดวย จนเปนที่มาของน้ำเมาชื่อวา สุระ และ วารุณี (เรื่องยังมีตออีก, ดู สัททนีติสุตตมาลา สูตร ๘๐๐-๘๐๑) ๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๒๐๗ หนา ๑๐๘๗. ๒ มหามกุฏราชวิทยาลัย, อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท, หนา ๒๕. ๓ ชา.อ. ๗/๑๙๕. ใน พจนานุกรม มคธ-ไทย (หนา ๖๔๓) วา วรุเณน ปมํ ทิตฺตา วรุณโต ชายตีติ วารุณี [ชื่อวารุณีเพราะเกิดจากดาบสวรุณะ เหตุทานพบเปนคนแรก)
  • 58.
    มังคลัตถวิภาวินี ๔๔ อปฺปมาทกถา -๐- โยณฺณวา: สังเกตสังขยา (มงฺคล.๒/๒๖๐/๑๙๓) อณฺณว เปน สังเกตสังขยา แปลวา ๔; ในหนังสือมังคลัตถทีปนี ภาค ที่ ๒ ขอ ๒๖๐ หนา ๑๙๓ ทานนำคาถาที่ ๑๑๘ แหงคัมภีรวุตโตทัย๑ มา แสดงวา นากฺขเรสุ ปาเทสุ สฺนาทิมฺหา โยณฺณวา วตฺตํ๒ ในวุตโตทยมัญชรี ทานแปลคาถานี้วา คาถาที่มี ย คณะทาย ๔ พยางค ไมมี ส น คณะทายพยางค แรก ในบาทที่มี ๘ พยางค ชื่อวา วัตตะ๓ ในมังคลัตถทีปนี ฉบับ มมร. ทานแปลวา ส คณะ และ น คณะ ยอมไมมี แตหนาอักษรตัวตนในบาท ทั้งหลายที่มี ๘ อักษร, ย คณะ ยอมมีไดแตหนา ๔ อักษรใน พฤทธิ์ใด พฤทธิ์นั้นชื่อวา "วัตตฉันท" เรียงศัพทเต็มประโยคใหตรงกับคำแปล มมร. วา น อกฺขเรสุ ปาเทสุ สฺนา อาทิมฺหา ภวนฺติ, ยสฺสํ วุตฺติยํ โย อณฺณวา โหติ, สา วุตฺติ วตฺตํ ๑ วุตโตทัย, คาถา ๑๑๘ ; คัมภีรวุตโตทัย (วุตฺโตทยปกรณํ) พระสังฆรักขิตะ ชาว ลังกา รจนาในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ วาดวยฉันทลักษณ, สวนวุตโตทยมัญชรี เปนหนังสือ อธิบาย วุตโตทัย นั้น ๒ ในที่นี้ไดแก วตํ เปน วตฺตํ ใหตรงกับคัมภีรวุตโตทัย ๓ พระคันธสาราภิวงศ, วุตโตทยมัญชรี, พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ: พิทักษอักษร, ๒๕๔๕), หนา ๓๐๕.
  • 59.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๔๕ ยกศัพทมาแปลวา สฺนา ส คณะ และ น คณะ น ภวนฺติ ยอมไมมี อาทิมฺหา แตหนาอักษรตัวตน ปาเทสุ ในบาท ท. อกฺขเรสุ ที่มี ๘ อักษร, โย ย คณะ ภวติ ยอมมีได อณฺณวา แตหนา ๔ อักษร ยสฺสํ วุตฺติยํ ในพฤทธิ์ ใด สา วุตฺติ พฤทธิ์นั้น วตฺตํ โหติ ชื่อวา "วัตตฉันท." คำวา อณฺณวา ในคาถานั้น ทานแปลวา “แตหนา ๔ อักษร” อณฺณวา ศัพทเดิมเปน อณฺณว เปนปุงลิงค แปลวา หวงน้ำ ลง สฺมา ปญจมีวิภัตติ ได รูปเปน อณฺณวา (เทียบ ปุริสสฺมา ปุริสมฺหา ปุริสา) แต อณฺณวา ในที่นี้ทาน ใชเปนสังเกตสังขยา แปลวา ๔ ไมแปลวา หวงน้ำ สังเกตสังขยา ในคัมภีรวชิรสารัตถสังคหะ๑ เรียกวา โลกสัญญังกิต- สังขยา คือ จำนวนที่ชาวโลกหมายรูกัน เปนสังขยาที่กำหนดนิยมกันขึ้น เพื่อใหความหมายแทนเลขทั่วไป ทานใชสังขยานี้ตามสิ่งที่มีปรากฏ ชาวโลก รูกันทั่วไป มีจำนวนแนนอน ไมเพิ่มขึ้นหรือลดลงในกาลไหนๆ๒ เชน หตฺถ (มือ) แทนเลข ๒ (มือมี ๒ คือมือซาย ๑ มือขวา ๑) ภว แทนเลข ๓ (ภพ มี ๓ คือ กามภพ ๑ รูปภพ ๑ อรูปภพ ๑) อณฺณว (หวงน้ำ) ในที่นี้แทนเลข ๔ เพราะตามคติโบราณเชื่อกันวา แมน้ำใหญมี ๔ ไดแก ปตสาคร ขีรสาคร ผลิกสาคร และนีลสาคร๓ โดยมี ภูเขาสิเนรุอยูกึ่งกลางเปนเครื่องหมายกำหนด๔ ความจริง แมน้ำใหญ ๔ สาย มีหลายชุด ดังที่ปรากฏในอรรถ- กถาอัสสสูตร และอรรถกถาอัฏฐสาลินี เชน ๑ พระสิริรัตนปญญาเถระ (รจนาเสร็จ พ.ศ. ๒๐๗๘), แยม ประพัฒนทอง (แปล), วชิรสารัตถสังคหะ, (กรุงเทพฯ: วัดปากน้ำ, ๒๕๕๖), หนา ๗๙. ๒ พระคันธสาราภิวงศ, วุตโตทยมัญชรี, หนา ๓๒. (อธิบายคาถาที่ ๑๐) ๓ พระพุทธรักขิตาจารย (ชาวศรีลังกา), ชินาลงฺการฏีกา, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ วิญญาณ, ๒๕๔๕), หนา ๖๕-๖๖. ๔ พระสิริมังคลาจารย, จกฺกวาฬทีปนี, พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ: สำนักหอสมุด แหงชาติ กรมศิลปากร, ๒๕๔๘), หนา ๔๒.
  • 60.
    มังคลัตถวิภาวินี ๔๖ ๑) อรรถกถาอัสสสูตร สังยุตตนิกาย๑ทานวา มหาสมุทร ๔ กำหนด รอบเขาสิเนรุ ไดแก (๑) สมุทรเงิน อยูดานตะวันออก (๒) สมุทรแกวมณี อยูดานใต (๓) สมุทรแกวผลึก อยูดานตะวันตก และ (๔) สมุทรทอง อยูดานเหนือ ๒) อรรถกถาอัฏฐสาลินี๒ ทานวา สาคร ๔ ไดแก (๑) สังสารสาคร คือทางทองเที่ยวไปในวงแหงการเวียนวายตายเกิดซึ่งไมมีกำหนดเบื้องตน และที่สุด (๒) ชลสาคร คือทะเลหรือแมน้ำใหญ (๓) นยสาคร คือพระพุทธ- พจนหรือพระไตรปฎก และ (๔) ญาณสาคร คือพระสัพพัญุตญาณ ศัพทที่ใชเปนสังเกตสังขยาแทนเลข ๔ เชน อมฺพุธิ, ชลธิ, สินฺธุ, สมุทฺท (ทั้งหมดแปลวา สมุทร) คำวา สินฺธุโต ที่แปลวา ๔ นักเรียนเคยศึกษา มาแลว ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๑ ในประโยค ป.ธ. ๔ ดวยการใช อณฺณว เปนสังเกตสังขยา ทานจึงไมแปล อณฺณว วา หวง น้ำ แตแปลวา ๔, นักเรียนผูตองการความรูเพิ่มเติมควรศึกษาเรื่อง สังขยา ๕, ๖ และ ๗ ประเภท ตอไป โดยสาระสำคัญในคาถาดังกลาวนั้น ทานมุงสื่อความหมายวา ปฐยาวัตรฉันท ในบาท (บาทคี่) ที่มี ๘ อักษร หาม ส คณะ และ น คณะ ถัด จากอักษรที่ ๑, ใหใช ย คณะ ถัดจากอักษรที่ ๔ ดังแสดงในผังนี้ หาม ส, น ใช ย ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ถัดจากอักษรที่ ๑ ก็คือ ๒ ๓ ๔ ทานหาม ส คณะ และ น คณะ ถัด จากอักษรที่ ๔ ก็คือ ๕ ๖ ๗ ใหใช ย คณะ สวนอักษรที่ ๑ และ ๘ ไมบังคับ ส น และ ย คณะ คืออักษรที่มีเสียง ตอไปนี้ ๑ สํ.อ. ๒/๒๔๘. ๒ สงฺคณี.อ. ๑๗.
  • 61.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๔๗ ส คณะ ลหุ ลหุ ครุ เชน สุคโต น คณะ ลหุ ลหุ ลหุ เชน สุมุนิ ย คณะ ลหุ ครุ ครุ เชน มเหสี ในขั้นนี้สรุปไดวา การแตงวัตรคาถา ในบาทคี่ (โบราณวา บาทขอน เขียนไวซายมือ) อักษรที่ ๒ ๓ ๔ หามแตงเปน ลหุ ลหุ ครุ หรือ ลหุ ลหุ ลหุ สวนอักษรที่ ๕ ๖ ๗ ตองแตงเปน ลหุ ครุ ครุ สังขยา ๕, ๖ และ ๗ ประเภท (สืบเนื่อง โยณฺณวา ใน มงฺคล. ๒/๒๖๐/๑๙๓) ความรูเรื่องสังขยา ๕, ๖ หรือ ๗ ประเภทที่จะกลาวตอไปนี้ ขอให ศึกษาเปนความรูประกอบเทานั้น นักเรียนไมควรจำไปตอบขอสอบบาลี สนามหลวง โดยขอใหถือวาเปนความรูประกอบ ในหลักสูตรบาลีสนามหลวงในปจจุบัน พวกเราเรียนกันมาวาสังขยา มี ๒ คือ ปกติสังขยา และ ปูรณสังขยา ความจริงสังขยายังมีอีกมาก ดังจะ แสดงตอไปนี้ ๑) สังขยา ๕ ประเภท ในคัมภีรไวยากรณทั้งหลาย เชน คัมภีรสัททนีติปทมาลา๑ คัมภีร- กัจจายนสุตตนิเทส๒ และคัมภีรปทวิจาร๓ เปนตน กลาววา สังขยา มี ๕ ไดแก มิสสกสังขยา คุณิตสังขยา สัมพันธสังขยา สังเกตสังขยา และอเนก- สังขยา [ดูคำแปลและคำอธิบายตอจากนี้] ทานประพันธเปนคาถาไวใน คัมภีรกัจจายนสุตตนิเทส วา ๑ สัททนีติปทมาลา, หนา ๙๙๒-๑๐๐๗. ๒ พระสัทธัมมโชติปาลเถระ (รจนา), พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร (ปริวรรต), กัจจายนสุตตนิเทส, (กรุงเทพฯ: ไทยรายวัน, ๒๕๔๕), หนา ๑๙๕-๑๙๖. ๓ พระญาณาลังการเถระ (รจนา), จำรูญ ธรรมดา (แปล), ปทวิจาร, (กรุงเทพฯ: ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๗), หนา ๑๘๙.
  • 62.
    มังคลัตถวิภาวินี ๔๘ มิสฺสคุณิตสมฺพนฺธ- สงฺเกตาเนกเภทโต สงฺขฺยา ปฺจวิธาเยฺยา ปาิยา คตินยโต ฯ [สังขยามี ๕ ประเภท พึงทราบโดยจำแนกเปนมิสสกสังขยา, คุณิต- สังขยา, สัมพันธสังขยา, สังเกตสังขยา และอเนกสังขยา ตามนัยที่ดำเนินไป ในพระบาลี]๑ ๒) สังขยา ๖ ประเภท ในคัมภีรวชิรสารัตถสังคหะ๒ ทานวา สังขยา มี ๖ (จาก ๕ นั้น เพิ่ม ปริมาณสังขยา ๑ เปน ๖) ไดแก (๑) มิสสกสังขยา (๒) คุณสังขยา (๓) สัมพันธสังขยา (๔) สังเกต- สังขยา (๕) อเนกปริยายสังขยา และ (๖) อเนกปริมาณสังขยา [ดูคำแปล และคำอธิบายตอจากนี้] และทานประพันธเปนคาถาไววา คุณมิสฺสกสมฺพนฺธ- สงฺเกตปริมาณโต สงฺขฺยาโย ฉพฺพิธา วุตฺตา อเนกปริยายโต ฯ [สังขยามี ๖ ประเภท กลาวไวตามคุณิตสังขยา, มิสสกสังขยา, สัมพันธสังขยา, สังเกตสังขยา, ปริมาณสังขยา และอเนกปริยายสังขยา]๓ ๓) สังขยา ๗ ประเภท สวนในหนังสือชื่อ ปทวิจารทีปนี๔ ทานวา สังขยา มี ๗ ประเภท คือ เพิ่ม ปกติสังขยา และ ปริมาณสังขยา เขาไปอีก [๕ เพิ่ม ๒ เปน ๗] ดังนี้ ๑ พระคันธสาราภิวงศ, สารัตถทีปนีฎีกา มหาวรรควรรณนา แปล, (กรุงเทพฯ: โครงการแปลคัมภีรพุทธศาสน, ๒๕๕๑), หนา ๑๑๙. ๒ พระสิริรัตนปญญาเถระ (รจนาเสร็จ พ.ศ. ๒๐๗๘), แยม ประพัฒนทอง (แปล), วชิรสารัตถสังคหะ, คาถา ๒๖๒ หนา ๑๘๐. ๓ พระคันธสาราภิวงศ, สารัตถทีปนีฎีกา มหาวรรควรรณนา แปล, หนา ๑๑๙. ๔ พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร, ปทวิจารทีปนี, (กรุงเทพฯ: ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๗), หนา ๖๓๒-๖๖๓.
  • 63.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๔๙ (๑) มิสสกสังขยา (๒) คุณสังขยา (๓) สัมพันธสังขยา (๔) สังเกต- สังขยา (๕) อเนกสังขยา/อเนกปริยายสังขยา (๖) ปกติสังขยา และ (๗) ปริมาณสังขยา ตอไปจะนำคำแปล และคำอธิบายสังขยาทั้ง ๗ ประเภทมาแสดง ดังตอไปนี้ ๑. มิสสกสังขยา สังขยาที่ไดมาดวยวิธีการบวก เชน จตุ จ ทส จ จตุทฺทส “สี่บวกสิบเทากับสิบสี่” คำวา จตุทฺทส เปนสังขยาที่ไดจากผลลัพธ ของการบวก จตุ + ทส เชน ทเสตฺถ ราชิโย เสตา ทสฺสนียา มโนรมา ฉ ปงฺคลา ปนฺนรส หลิทฺทาภา จตุทฺทสาติ [เพชรเม็ดนี้ มีลายเสนสีขาว ๑๐ เสน ลายเสนแดง ๒๑ เสน และ ลายเสนสีเหลืองดุจขมิ้น ๑๔ เสน งดงามตระการตา ตระการใจ] ในตัวอยางนี้ มิสสกสังขยา คือ ศัพทวา ฉ ปงฺคลา ปนฺนรส (ปณฺณรส) ที่แปลวา “มีลายเสนแดง ๒๑ เสน” คือ ฉ=๖+ปณฺณรส=๑๕ บวกกันแลวเทากับ ๒๑ ๒. คุณิต/คุณสังขยา สังขยาที่ไดมาดวยวิธีการคูณ เชน สตสฺส ทฺวิกํ ทฺวิสตํ “หมวด ๒ แหงรอย เปนสองรอย” (๒x๑๐๐) ในตัวอยางนี้ คำวา ทฺวิสตํ เปนสังขยาที่ไดจากผลลัพทของการคูณ วรทิพฺราสุสขลํ อุทฺวิปกุอมํนิติ ติปฺจ คมฺภีรา ปฺหา สมฺพุทฺเธน วิยากตา๑ [ปญหาลุมลึก ๑๕ ขอ พระสัมมาสัมพุทธเจา ทรงพยากรณแลว คือ วะ, ระ, ทิ, พฺรา, สุ, สะ, ขะ, ลํ, อุ, ทฺวิ, ป, กุ, อะ, มํ, นะ] ๑ วชิรสารัตถสังคหะ, คาถา ๒๕ หนา ๑๙.
  • 64.
    มังคลัตถวิภาวินี ๕๐ นักศึกษาพึงดูเฉลยปญหาลุมลึกนี้ที่ วัมมิกสูตร ในมัชฌิมนิกาย๑,สวน ในตัวอยางนี้ คุณิตสังขยา คือ ศัพทวา ติปฺจ (สิบหา) เพราะ ติ (๓) คูณ ปฺจ (๕) เทากับ ๑๕ ๓. สัมพันธสังขยา สังขยาที่ไดมาดวยการเชื่อมโยงคำสังขยา โดยมี คำใดคำหนึ่งเปนคำแสดงหลักของสังขยา สวนคำที่เหลือตองสัมพันธเขากับ คำนี้ เชน อสิสตสหสฺสุพฺเพโธ คิริราชา [เขาสุเมรุ สูงหนึ่งแสนหก หมื่นแปดพันโยชน] ในตัวอยางนี้ สหสฺส เปนคำแสดงหลัก และนำคำที่เหลือเชื่อมเขา จึง เปน อสหสฺส (๘,๐๐๐) สิสหสฺส (๖๐,๐๐๐) สตสหสฺส (๑๐๐,๐๐๐) รวมเปนหนึ่งแสนหกหมื่นแปดพัน ๔. สังเกตสังขยา หรือ โลกสัญญังกิตสังขยา คือ จำนวนที่ชาวโลกรู กัน เปนสังขยาที่กำหนดนิยมกันขึ้นเพื่อใหความหมายแทนเลขทั่วไป ทานใช สังขยานี้ตามสิ่งที่มีปรากฏ ชาวโลกรูกันทั่วไป มีจำนวนแนนอน ไมเพิ่มขึ้น หรือลดลงในกาลไหนๆ๒ เชน ปาทเปโก ภวกฺขนฺโธ สรสาโข พหูทโล สิเนรุคฺโค สุผลโท อวิสุ อิติ นามโก [ตนไมหนึ่งตน มีลำตน ๓ มีกิ่ง ๕ มีใบมาก มียอด ๑ ใหผลดี มี นามวา อวิสุ] ในตัวอยางนี้ คำวา ภว, สร, สิเนรุ เปนสังเกตสังขยา คือ ภว แทน เลข ๓ เพราะภพมี ๓, สร แทนเลข ๕ เพราะลูกศรของพญามารมี ๕, สิเนรุ แทนเลข ๑ เพราะเขาสิเนรุมีลูกเดียว ๕. อเนกสังขยา หรือ อเนกปริยายสังขยา คือ สังขยาที่มีคามากจน ไมสามารถกำหนดเจาะจงลงไปได สวนมากใชคำวา สต และ สหสฺส เปนคำ ๑ ม.มู. ๑๒/๒๘๙/๒๘๐. ๒ พระคันธสาราภิวงศ, วุตโตทยมัญชรี, อธิบายคาถา ๑๐ หนา ๓๒.
  • 65.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๕๑ แสดงแทนจำนวนมาก โดยใจความวา มากเหลือเกิน คงตรงกับวลีใน ภาษาไทยวา “มีเปนรอย” โดยสื่อความวา มีมากมาย เชน สตเตโช ทิวากโร “พระอาทิตยมีพลังงานเปน ๑๐๐” แมคำวา ปโรสตํ กวารอย, ปโรสหสฺสํ กวาพัน ก็นาจะนับเขาสังขยาประเภทนี้ ๖. ปริมาณสังขยา สังขยาที่นับโดยกำหนดจำนวน ระยะ ขนาด น้ำหนัก ตามมาตราวัดตวงชั่ง เชน ถามวา กึปมาโณ กุมารสฺส ชาโต [เด็ก เกิดนานเทาไร] ตอบวา มาโส ชาตสฺส อสฺส [หนึ่งเดือน] (คำวา มาโส เปน ชื่อของ ๓๐ ราตรี คือ ๓๐ วันเปน ๑ เดือน), นี้จัดเปนปริมาณสังขยา แมมาตราวัดตามวิธีโบราณก็พึงทราบวาเปนปริมาณสังขยา เชน ๑ ปสตะ (ซองมือ) ชื่อวา ๑ กุฑุวะ, ๔ กุฑุวะ เปน ๑ ปตถะ, ๔ ปตถะ เปน ๑ อาฬหกะ เปนตน ๗. ปกติสังขยา คือจำนวนนับ ที่นับโดยปกติ เชน เอโก (๑) เทฺว (๒) ตโย (๓) เปนตน, ปกติสังขยานี้ มีปรากฏในวิชา บาลีไวยากรณ หลักสูตร บาลีสนามหลวงที่เรียนกันนี้แลว จึงไมตองอธิบายใหมากนัก เทาที่แสดงมานี้ ผูศึกษาพึงทราบวา สังขยามีหลายประเภท นับ จำนวนได ๗ ประเภทแลว ถานับรวม ปูรณสังขยา ที่เรียนกันมาในหลักสูตร บาลีไวยากรณเขาไปอีกก็รวมเปน ๘ ประเภท ที่จริงมีสังขยา ที่ไมไดกลาวถึงในที่นี้อีก เชน วัณณสังขยา (สังขยาใช อักษรแทนเลข), ปฎกสังขยา (ประชุมตัวอักษรแทนเลข) เทานี้ก็เห็นวามี รายละเอียดมากแลว จึงยุติคำอธิบายไวกอน ขอใหนักศึกษาไปคนควาตอที่ หนังสือ ปทวิจารทีปนี (หนา ๖๔๘) และ วชิรสารัตถสังคหะ (หนา ๘๕) ถึงตอนนี้นักเรียนคงจะตอบตัวเองในใจไดแลววา ทำไมในหลักสูตร บาลีไวยากรณ ทานจึงแสดงสังขยาไวเพียง ๒ อยาง คือ ปกติสังขยา และ ปูรณสังขยา, เพราะลำพังแคสังขยา ๒ อยางนั้น นักเรียนก็จดจำทำความ เขาใจจะไมไหวแลว ถาทานแสดงสังขยาไวหลายอยาง คงไมเหมาะสำหรับ นักเรียนผูเริ่มศึกษา
  • 66.
    มังคลัตถวิภาวินี ๕๒ สตฺตมคาถายตฺถวณฺณนา คารวกถา -๐- ปณฺฑุปลาส (มงฺคล. ๒/๒๗๔/๒๐๔) ปณฺฑุปลาสแปลวา ใบไมเหลือง (ใบไมเกา), คนเตรียมบวช, คนจะ ขอบวช๑ เชน ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๒๗๔ วา ตตฺถ ปณฺฑุปลาสสฺส ถาลเก ปกฺขิปตฺวาป ทาตุ วฏติ ฯ [บรรดาคนเหลานั้น สำหรับปณฑุปลาส แมจะใสภาชนะใหก็ควร] วตฺตํ/วฏฏํ แปลวา ค่าใช้สอย (มงฺคล. ๒/๒๗๗/๒๐๗-๘) นักเรียนคอนขางคุนเคยคำวา วตฺต ที่แปลวา วัตร พอมาพบ วตฺต ที่ แปลวา ทรัพยคาอาหาร ก็สงสัย, ผูเขียนนี้คนควาแลว บันทึกไวดังนี้ วตฺต ในคำวา ปกติวตฺตํ และ ปากวตฺตโต ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๒๗๗ หนา ๒๐๗-๒๐๘ ทานแปลวา ทรัพยคาอาหาร ผูเขียนนี้ไดตรวจดู อรรถกถาและฎีกาเภสัชชกรณวัตถุที่ทานอางแลว พบวา ในอรรถกถาและ ฎีกานั้นทานใช วฏ ไมใช วตฺต ในแหลงเดิมจึงเปน ปกติวฏํ, ปากวฏโต ฉะนั้น นักเรียนที่ตองการขอมูลซึ่งตรงกับแหลงเดิม ควรแก ปกติวตฺตํ เปน ปกติวฏํ, แก ปากวตฺตโต เปน ปากวฏโต คำวา ปกติวฏํ ในที่นี้มาในอรรถกถาเภสัชชกรณวัตถุ แหงคัมภีร สมันตปาสาทิกา๒ สวนคำวา ปากวฏโต มาในสารัตถทีปนีฎีกา๓ แตใน ๑ พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท, พิมพครั้งที่ ๑๑, (กรุงเทพฯ: บริษัท เอส. อาร. พริ้นติ้ง แมส โปรดักส จำกัด, ๒๕๕๑), หนา ๒๓๔. ๒ วินย.อ. ๑/๕๘๑. ๓ สารตฺถ.ฏี. ๒/๔๒๘.
  • 67.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๕๓ อรรถโยชนาวินัยกลับแปลกออกไปวา วตฺต ทานทำเชิงอรรถบอกไววาปาฐะ เปน วฏ และอธิบายวา ปกติวตฺตํ คือ ปกติทานวตฺตํ๑ (ทรัพยคาอาหาร หมายถึง ทาน/การให) ศัพทวา วฏ แปลไดหลายอยาง แตในที่นี้แปลวา คาใชสอย (ปริพฺพย) เปนปุงลิงค๒ เขาใจวาทานถือตามนัยนี้จึงแปล วตฺต (ที่จริงคือ วฏ) วา ทรัพยคาอาหาร ดังที่กลาวแลว บางอาจารยแปลวา วัตถุอันบุคคล พึงใหเปนไป, วัตถุเปนเครื่องเปนไป๓ การที่ วตฺต กลายเปน วฏ นี้ ถาวาตามหลักการอาเทสในสนธิแลว พอเปนไปไดหรือไม ดังตัวอยางที่วา ทุกฺกตํ เปน ทุกฺกฏํ๔ แตหลักการนี้มีผูตั้ง ขอสังเกตวา การเปลี่ยน ต เปน ฏ มักเปลี่ยนทายธาตุที่มี ร อักษรอยูทาย๕ ขอฝากใหศึกษาคนควากันตอไป ในขั้นนี้ สรุปไดแตเพียงวา วตฺต ในมังคลัตถทีปนี ไมตรงกับตนแหลง เดิม และยังไมวินิจฉัยวาที่ถูกควรเปน วตฺต หรือ วฏ หรือถูกทั้งสองอยาง ในจำนวนหนังสือเรียนตามหลักสูตรบาลีสนามหลวงนี้ ปรากฏศัพทวา ปากวตฺต อยางนอย ๓ แหง คือ ในหนังสือธัมมปทัฏฐกถาภาค ๓ เรื่อง โจร ผูทำลายปม (คณฺเภทกโจรวตฺถุ) ๒ แหง และในภาค ๖ เรื่องนันทิยะ (นนฺทิยวตฺถุ) ๑ แหง๖ รวมกับในมังคลัตถทีปนีนี้เปน ๔ แหง สวนคำวา ปกติวตฺต นั้นยังหาไมพบในที่อื่น ๑ วินย.โย. ๑/๔๐๙. ๒ อภิธานัปปทีปกา. คาถา ๑๐๑๘. ๓ พันตรี ป. หลวงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ-ไทย, หนา ๖๒๗. ๔ โมคฺ. สูตร ๑.๕๒. ๕ ปทวิจารทีปนี, หนา ๑๙๙. ๖ ธ.อ. ๓/๑๒๔, ธ.อ. ๖/๑๕๕.
  • 68.
    มังคลัตถวิภาวินี ๕๔ เพราะปรากฏศัพทในธัมมปทัฏฐกถานี้เอง ในพจนานุกรมบาลี-ไทย ธรรมบทภาค ๑-๔อาจารยบุญสืบ อินสาร๑ จึงอธิบายไววา ปากวตฺตํ (ธนํ) แปลวา ทรัพยอันเปนไปเพื่อวัตถุอันบุคคลพึง หุงตม วิเคราะหวา ปจิตพฺพนฺติ ปากํ [ปจ ธาตุ ณ ปจจัย] ปากสฺส (วตฺถุสฺส) วตฺตตีติ ปากวตฺตํ (ธนํ) [วตฺต ธาตุ อ ปจจัย] ธมฺมสฺส โกวิทา: หักฉัฏฐีเปนสัตตมี (มงฺคล. ๒/๒๘๕/๒๑๕) ธมฺมสฺส ในที่นี้เปนฉัฏฐีวิภัตติ แตใชอรรถสัตตมีวิภัตติ พูดอยางไม เปนทางการวา หักฉัฏฐีเปนสัตตมี ขอวา ธมฺมสฺส โกวิทา๒ ในอรรถกถาทาน อธิบายไววา เชาปจายนธมฺเม กุสลา๓ จึงแปลวา ฉลาดในธรรม ไม แปลวา ฉลาดแหงธรรม (ถานักเรียนแปลฉลาดแหงธรรม ถือวาไมมีภูมิรู จัดเปนศิษยนอกสำนัก) ทั้งนี้มีหลักการวา ฉัฏฐีวิภัตติใชในอรรถแหงสัตตมีวิภัตติในที่ประกอบดวยบทที่มีอรรถ วาฉลาด เปนตน๔ เชน มคฺคามคฺคสฺส โกวิทา (ธ.อ. ๘/๑๒๙) [ฉลาดใน มรรคและไมใชมรรค] แตในที่บางแหง แมจะประกอบดวยบทที่มีอรรถวาฉลาด ทานก็คงใช สัตตมีวิภัตติ นั่นเอง ไมใชฉัฏฐีวิภัตติ (มีตัวอยางมาก นำมาแสดงแค ๒ ก็ พอ) เชน ในปณามคาถา แหงธัมมปทัฏฐกถาวา ธมฺมาธมฺเมสุ โกวิโท และ ปรมัตถทีปนีวา อิทฺธิปาเทสุ โกวิโท๕ ๑ บุญสืบ อินสาร, พจนานุกรมบาลี-ไทย ธรรมบทภาค ๑-๔, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิ สงเสริมสามเณร ในพระสังฆราชูปถัมภ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก, ๒๕๕๕), หนา ๕๑๙. ๒ ขุ.ชา. ๒๗/๓๗/๑๒. ๓ ชา.อ ๑/๓๘๕. ๔ กจฺจายน. สูตร ๓๐๘, รูปสิทฺธิ. สูตร ๓๑๗, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๖๓๙. ๕ ธ.อ. ๑/๑, เถร.อ. ๑/๕๑๙.
  • 69.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๕๕ นิวาตกถา -๐- เกสรสีหา : ในราชสีห ๔ ประเภท (มงฺคล. ๒/๒๙๐/๒๒๑) ในขอความวา ชาติสมฺปนฺนา หิ สุรตฺตหตฺถปาทา เกสรสีหา ตาทิสสฺส ชรสิคาลสฺส อาณ น กริสฺสนฺติ [เพราะพระยาไกรสรสีหะเปนสัตว สมบูรณโดยชาติ มีเทาหนาและเทาหลังอันแดงดี จักไมทำตามคำสั่งของสุนัข จิ้งจอกแกผูเชนกับดวยทาน], ในที่นี้ควรศึกษาเรื่องราชสีหไวเปนความรู ประกอบ, ในอรรถกถาทานอธิบายไววา ราชสีห มี ๔ จำพวก ไดแก ๑.ติณราชสีห มีรูปรางเหมือนแมโค สีคลายนกพิราบ และกินหญา เปนอาหาร ๒.กาฬราชสีห มีรูปรางเปนเหมือนแมโคดำ กินหญาเปนอาหาร เหมือนกัน ๓.ปณฑุราชสีห มีรูปรางเปนเหมือนแมโคสีคลายใบไมเหลืองกิน เนื้อเปนอาหาร ๔.ไกรสรราชสีห ประกอบดวย (ลักษณะคือ) ดวงหนา (ที่สวยงาม) เปนเหมือนมีใครเอาน้ำครั่งมาแตงเติมไวหางที่มีปลายสวยงามและปลายเทา ทั้ง ๔ ตั้งแตศีรษะของราชสีหนั้นลงไปมีแนวปรากฏอยู ๓ แนวซึ่งเปนเหมือน มีใครมาแตมไว ดวยสีน้ำครั่ง สีชาด และสีหิงคุ แนวทั้ง ๓ นั้นผานหลังไป สุด ที่ภายในขาออน เปนวงทักษิณาวรรต ที่ตนคอของไกรสรราชสีหนั้น มีขนขึ้น เปนพวง เหมือนวงไวดวยผากัมพล ราคาตั้งแสน สวนที่เหลือ ภายใน รางกายมีสีขาวบริสุทธิ์ เหมือนแปงขาวสาลี และผงจุณแหงสังข๑ บรรดาราชสีห ๔ จำพวกนี้ ไกสรราชสีห เปนยอด คือเปนพระยา ราชสีห ผูเปนเจาแหงปา๒ ๑ สํ.อ. ๒/๔๔๔, องฺ.อ. ๒/๔๘๕, ที.อ. ๓/๑๙. ๒ สุตฺต.อ. ๑/๑๗๑.
  • 70.
    มังคลัตถวิภาวินี ๕๖ สนฺตุิกถา -๐- อิติ มาสฑฺฒ...วิตกฺกสนฺโตโส นาม(มงฺคล. ๒/๓๐๘/๒๔๐) ขอวา อิติ มาสฑฺฒ...วิตกฺกสนฺโตโส นาม ทานละขอความที่เหลือไว นักเรียนพึงนำขอความ ในขอ ๓๐๕ หนา ๒๓๔ มาเติม ดังตอไปนี้ อิติ มาสฑฺฒมาสมตฺต วิตกฺกน วิตกฺกสนฺโตโส นาม ฯ [การตรึกสิ้น กาลเดือนหนึ่งหรือกึ่งเดือน ดังนี้ ชื่อวา วิตักกสันโดษ] หายติ (มงฺคล. ๒/๓๑๒/๒๔๕) ทานแปล หายติ อตฺถมฺหา ในมังคลัตถทีปนี เลม ๒ ขอ ๓๑๒ หนา ๒๔๕ (ในคาถา) เปนกัตตุวาจก วา ยอมเสื่อม จากประโยชนตน [หายติ= หา ปริหานิยํ+ย+ติ]๑ นี้ไมมีปญหาอะไร สวน หายติ ในคาถาวา หายตตฺตานํ ขอ ๓๑๓ หนา ๒๔๖ หนังสือ ฉบับแปลไทยทุกเลมที่ผูเขียนนี้มีในปจจุบัน๒ แปลเปนเหตุกัตตุวาจก วา ยอมยังประโยชนตนใหเสื่อม ดวยเหตุผลวาทานแก หายติ เปน ชิยฺยติ= ใหยอยยับ ดังนั้นจึงแปล หายติ เปนเหตุกัตตุวาจกดวย๓ นาสงสัยวา ชิยฺยติ เปนเหตุกัตตุวาจกจริงหรือ ในเรื่องวา หายติ และ ชิยฺยติ เปนเหตุกัตตุวาจกนี้ ขอใหบัณฑิต เมตตาชี้แนะและฝากนักศึกษาคนควากันตอไป เพราะเทาที่คนพบในคัมภีร ๑ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๖๒๙. ๒ หนังสือแปลที่ผูเขียนนี้มีไวเปนที่ปรึกษา ๔ ฉบับ ไดแก ฉบับแปลโดย (๑) มมร. (๒) พระมหาสมบูรณ ทสฺสธมฺโม (๓) อาจารยบุญสืบ อินสาร และ (๔) สมเด็จพระวันรัต (เขมจารีมหาเถระ) เรียกวา ฉบับ มหาธาตุวิทยาลัย ส. ธรรมภักดี จัดพิมพ ๓ บุญสืบ อินสาร, คูมือแปลมังคลทีปนี ภาค ๒, พิมพครั้งที่ ๓, (กรุงเทพฯ: สืบสาน พุทธศาสน, ๒๕๕๖), เชิงอรรถ หนา ๑๙๕.
  • 71.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๕๗ ไวยากรณ ทานวา หายติ และ ชิยฺยติ เปนกัตตุวาจก [ชร+ณฺย+ติ] (แปลง ชร เปน ชีร หรือ ชิยฺย เชน ชีรติ ชิยฺยติ ยอมแก)๑ เปนไปไดหรือไมวา ณฺย ใน ที่นี้เปนไดทั้ง ณฺย ปจจัยประจำหมวดจุรธาตุ ในกัตตุวาจก และเปนทั้ง ณฺย ปจจัยในเหตุกัตตุวาจกดวย อีกประการหนึ่ง นาสังเกตวา คาถาในมังคลัตถทีปนี ขอ ๓๑๓ ไมตรง กับอรรถกถาวิภังคชื่อสัมโมหวิโนทนีที่ทานอาง คือในมังคลัตถทีปนีนี้ปรากฏวา อตฺริจฺฉํ อติโลเภน อติโลภมเทน จ เอวํ โส หายตตฺตานํ จนฺทํว อสิตาภุยาติฯ สวนในอรรถกถาวิภังคชื่อสัมโมหวิโนทนีที่ใชอางอิงกันในปจจุบัน (ทั้ง ฉบับ มจร. มมร.) วา อตฺริจฺฉา อติโลเภน อติโลภมเทน จ เอวํ หายติ อตฺถมฺหา อหํว อสิตาภุยาติฯ๒ ทานทำเชิงอรรถวา อตฺริจฺฉา ฉบับพมาเปน อตฺริจฺฉํ คาถานี้ไมตรงกับ ที่ทานแจงไวในมังคลัตถทีปนี แตกลับไปตรงกับอรรถกถาอสิตาภุชาดก๓ ถึงตอนนี้ก็ตองขอฝากใหศึกษากันตอไป วา ใน ๒ คัมภีรคืออรรถกถา วิภังคที่ใชกันในปจจุบันกับมังคลัตถทีปนี คัมภีรไหนถูกชำระจนขอความตก หลนจนแตกตางกัน ที่จริงขอความในมังคลัตถทีปนี ขอ ๓๑๓ (แกอรรถใตคาถา) ที่วา หายติ ชิยฺยติ นั้น ในอรรถกถาวิภังคซึ่งเปนตนแหลงเดิมทานใชศัพทตางกัน วา หายติ ชียติ๔ ซึ่งเมื่อตรวจดูคัมภีรบาลีไวยากรณ แลวก็ทราบวา ชียติ เปนกัตตุวาจก [เช+อ+ติ] มีอรรถเดียวกับ หายติ ศัพทวา ชียติ ประกอบดวย ๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๐๑๘ หนา ๙๗๐. ๒ วิภงฺค.อ. ๑/๗๕๖. ๓ ชา.อ. ๓/๓๕๙. ๔ วิภงฺค.อ. ๑/๗๕๖.
  • 72.
    มังคลัตถวิภาวินี ๕๘ เช ธาตุในความสิ้น, เสื่อมแปลง เอ เปน อีย ชียติ ยอมเสื่อม๑ เปนกัตตุ วาจก สวนในมังคลัตทีปนี ขอ ๓๑๓ ที่วา ตํ ชิยฺยติ จนฺทกินฺนรึ ในฎีกา วิภังค๒ ฉบับที่ใชในปจจุบันกลับเปน นํ ชีรติ จนฺทกินฺนรึ แตถึงอยางไรก็ตาม ทั้งที่ทราบวาขอความไมตรงกับอรรถกถาและ ฎีกา นักเรียนก็ควรยึดขอความในหนังสือเรียน (คือมังคลัตถทีปนี) นี้เปน หลัก ควรแปลแบบรักษาขอความที่ปรากฏในหนังสือเรียนนี่เอง ไมควรดวน ไปแกไขขอมูลของทานจนเสียรูปเดิม ซึ่งจะมีผลเสียในระยะยาว สรุปวา หายติ ในขอ ๓๑๒ ทานแปลเปน กัตตุวาจก สวนในขอ ๓๑๓ ทานแปลเปน เหตุกัตตุวาจก ถูกผิดอยางไรขอฝากใหบัณฑิตรวมกัน พิจารณา ปญฺาเปสิ : เป็นทัง กัตตุ. และ เหตุ.กัต.? (มงฺคล. ๒/๓๒๗/๒๕๗) ปฺาเปสิ บัญญัติแลว, ตั้งไวแลว, ปูลาดแลว ป+ป ธาตุ ในความ บัญญัติ, แตงตั้ง, ปูลาด (นิกฺเขปเน)+เณ ปจจัย ในหมวดจุรธาตุ+อี อัชชัตตนี วิภัตติ ลง ส อาคม รัสสะ อี เปน อิ, มีรูปเปนรัสสะก็มี เชน ปฺเปติ๓ เปนกัตตุวาจก อีกนัยหนึ่งวา ปฺาเปสิ เปนเหตุกัตตุวาจก แปลวา ให...รูโดย ประการตาง ประกอบดวย ป+า ธาตุ ในความรู (อวโพธเน)+ณาเป ปจจัย+อี อัชชัตตนีวิภัตติ ลง ส อาคม รัสสะ อี เปน อิ๔ ๑ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๑๑๗. ๒ วิภงฺค.มูลฏี. ๑/๒๓๖. ๓ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๘๒๗. ๔ พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และคณะ, วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๕ ฉบับ แกไข/ปรับปรุง, (กรุงเทพฯ : ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๒), หนา ๕๑.
  • 73.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๕๙ ปริสฺสยานํ สหิตา (มงฺคล. ๒/๓๕๑/๒๖๘) สหิตา [สหฺ+อิ+ตุ+สิ] ในขอวา ปริสฺสยานํ สหิตา แปลวา ครอบงำ, คำวา สหิตา ประกอบดวย สหฺ ธาตุ ตุ ปจจัย๑ ในนามกิตก ลง สิ ปฐมา- วิภัตติ เอกวจนะ วิเคราะหวา สหตีติ สหิตา ผูครอบงำ/ผูทนทาน (ลง อิ อาคม)๒, เปนกัตตุรูป กัตตุสาธนะ, ศัพทเดิมเปน สหิตุ แจกแบบ สตฺถุ เอา อุ การันต กับ สิ เปน อา๓ กปฺป ศัพท์ : ใชในอรรถเปรียบเทียบ (มงฺคล. ๒/๓๕๒/๒๖๙) กปฺป ในคำวา ขคฺควิสาณกปฺโป แปลวา เหมือน/เชนกับ/เสมือน มี ความหมายเดียวกับ สทิส เพราะใชในอรรถวาเปรียบเทียบ (ปฏิภาค) ความจริง กปฺป ศัพทนี้ มีความหมายหลายอยาง เชน อภิสทฺทหน (เชื่อ, เชื่อถือ), โวหาร (กลาว, พูด, บอก), กาล (เวลา, สมัย) ปฺตฺติ (ชื่อ, ชื่อที่ตั้ง) พึงศึกษาความหมายของ กปฺป ศัพทในคัมภีรสัททนีติธาตุมาลา๔ นิทฺธเม=นิทฺธเมยฺย (มงฺคล. ๒/๓๖๐/๒๗๓) นิทฺธเม [นิ+ธมฺ สทฺทคฺคิสํโยเคสุ+อ+ติ] พึงกำจัด นิ อุปสัค ธมฺ ธาตุใน ความเปาและกอไฟ (สทฺทคฺคิสํโยเคสุ) อ ปจจัย เอยฺย สัตตมีวิภัตติ แปลง เอยฺย เปน เอ๕ ๑ กจฺจายน. สูตร ๕๒๗, รูปสิทฺธิ. สูตร ๕๖๘, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๑๐๙. ๒ กจฺจายน. สูตร ๖๐๕, รูปสิทฺธิ. สูตร ๕๔๗; พระมหาศักรินทร ศศพินทุรักษ, หลัก- ควรจำบาลีไวยากรณ, หนา ๑๙๒. ๓ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, บาลีไวยากรณ วจีวิภาค ภาคที่ ๒ นามและอัพยยศัพท, (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๑), หนา ๖๑. ๔ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๘๓๑-๘๓๒. ๕ สัททนีติสุตตมาลา. สูตร ๑๐๘๘; สัททนีติธาตุมาลา. หนา ๓๖๐.
  • 74.
    มังคลัตถวิภาวินี ๖๐ กตฺุตากถา -๐- ทเท=ททามิ, มุญฺเจ=มุญฺจามิ (มงฺคล.๒/๓๖๒/๒๗๖) ทเท [ทา+อ+เอ] ในขอวา ตสฺมา เตส อิณ ทเท [เพราะฉะนั้น เราจึง ใหหนี้แกลูกนกเหลานั้น], ทเท ในที่นี้ลง เอ วัตตมานาวิภัตติ ฝายอัตตโนบท ใชแทน มิ, มีตัวอยางปรากฏอยูบาง เชน วนฺเท = วนฺทามิ๑ ลเภ = ลภามิ๒ กเร = กโรมิ๓ แมคำวา มุฺเจ ในคาถาเดียวกันนี้ ก็พึงทราบวา มุฺเจ=มุฺจามิ ใช เอ แทน มิ ฯ คตโยพฺพนา (มงฺคล. ๒/๓๖๒/๒๗๖) คตโยพฺพนา เปนตติยาพหุพพิหิสมาส แปลโดยพยัญชนะวา “มีความ เปนหนุมสาวอันถึงแลว” แปลโดยมุงเอาความวา “ผานวัยหนุมสาวแลว” วิเคราะหวา คตํ โยพฺพนํ เยหิ เต คตโยพฺพนา (มาตา ปตา จ) [ความเปนหนุม สาว อันมารดาและบิดาเหลาใดถึงแลว มารดาและบิดาเหลานั้นชื่อวา มี ความเปนหนุมสาวอันถึงแลว] คำวา โยพฺพนํ วิ. ยุวสฺส ภาโว โยพฺพนํ [ความเปนหนุมสาวชื่อวา โยพพนะ] ลง ณ ปจจัย ในภาวตัทธิต, พฤทธิ์ อุ เปน โอ แปลง ว เปน พ ๑ สํ.อ. ๑/๔๗๗. ๒ เถร.อ. ๒/๑๓๘. ๓ ชา.อ. ๓/๒๑๕.
  • 75.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๖๑ ซอน พฺ ลบ ณ ลง น อาคม๑, อีกมติหนึ่งวา ลง นณฺ ปจจัยในภาวตัทธิต (ปจจัยนอกแบบ)๒ อนฺธการํ วิย (มงฺคล. ๒/๓๖๙/๒๘๐) อนฺธการ ในขอวา อนฺธการภูโตติ อนฺธการํ วิย ภูโต ชาโตฯ นาสงสัย วา ทำไมทานแกเปน อนฺธการํ วิย ไมเปน อนฺธกาโร วิย; ในพจนานุกรมทาน วา อนฺธการ เปนปุงลิงค๓ อนฺธการาวตฺถํ (มงฺคล. ๒/๓๖๙/๒๘๐) อนฺธการาวตฺถํ ในขอวา อปฺปกาสภาเวน อนฺธการาวตฺถํ วา ปตฺโต...ฯ ฉบับ มมร. แปลวา ความตั้งลงในความมืด สนามหลวงแผนกบาลี แปลเฉลย ขอสอบ พ.ศ. ๒๕๓๓ วา การกำหนดเปนผูมืด พระมหาสมบูรณ ทสฺสธมฺโม แปลวา การกำหนดวาเปนผูมีความมืด พึงสังเกตวา อวตฺถํ ในหนังสือที่แปลกอนๆ ทานแปลวา ความตั้งลง ในยุคตอมาแปลวา การกำหนด อนฺธการาวตฺถํ วิเคราะหวา อนฺธกาโร อิติ อวตฺถา อนฺธการาวตฺถา ลง อํ ทุติยาวิภัตติ ไดรูปเปน อนฺธการาวตฺถํ อวตฺถา [อว+ถา คตินิวตฺติยํ+อ+ตฺสํโยโค] เปนอิตถีลิงค ประกอบดวย อว บทหนา ถา ธาตุในความยับยั้งการไป อ ปจจัย ซอน ตฺ ในธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ ทานวา ถา ธาตุ (าเน) ใชในการตั้งอยู ยืนอยู หยุดอยู กำหนด มั่นคง, อยูในหมวด ภู ธาตุ๔ ๑ รูปสิทฺธิ. สูตร ๓๘๘. ๒ โมคฺ. สูตร ๔.๖๑. ๓ อภิธานัปปทีปกา, คาถา ๗๐. ๔ ธาตวัตถสังหคปาฐนิสสยะ, คาถา ๑๗๔.
  • 76.
    มังคลัตถวิภาวินี ๖๒ ในสัททนีติธาตุมาลา (ฉบับแปล) ทานแปลอวตฺถา วา การดำรงอยู- โดยชั่วครั้งชั่วคราว สวนคำวา การกำหนดนั้น ทานใชศัพทที่ประกอบดวย ธาตุเดียวกันนี้แหละ แตไดรูปวา ววตฺถานํ๑ ขอวา อนฺธการาวตฺถํ วา ปตฺโต นี้ เมื่อเทียบกับฎีกาพบวาทานใชตาง ไปวา อนฺธการตฺตํ วา ปตฺโต๒ แปลวา ถึงความมืด ตโตเยว ใช้ในอรรถเหตุ (มงฺคล. ๒/๓๗๑/๒๘๑) โต ปจจัยในขอวา ตโตเยว สา มงฺคล ฯ [เพราะเหตุนั้นนั่นแล ความ เปนผูกตัญูนั้น จึงชื่อวา เปนมงคล] ลงในอรรถเหตุ แปลวา เพราะ เชน ตโตติ ตสฺมา๓, ความจริง โต ปจจัยเปนเครื่องหมายไดหลายวิภัตติ๔ อมฺพณก=เรือโกลน (มงฺคล. ๒/๓๗๒/๒๘๓) อมฺพณก แปลกันวา เรือโกลน; ตามรูปศัพท แปลวา เรือที่ใชบรรทุก น้ำ (อมฺพุํ เนติ อเนนาติ อมฺพณํ อาเทศ อุ เปน อ, น เปน ณ, ลบสระหนา) หรือ เรือที่สงเสียง ชื่อวา อัมพณะ (อมฺพ สทฺเท+ยุ, อาเทศ ยุ เปน อน, น เปน ณ)๕ เรือโกลน ในภาษาไทย หมายถึง เรือที่ทำจากซุง เพียงเปดปกเจียน หัวเจียนทายเปนเลาๆ พอใหมีลักษณะคลายเรือแตยังไมไดขุด๖ ๑ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๑๙๓. ๒ ที.ฏี. ๓/๓๐๕, องฺ.ฏี. ๒/๓๙๕, สํ.ฏี. ๑/๒๐๗. ๓ อุ.อ. ๓๑๔, เปต.อ. ๑๕๔. ๔ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๔๙๓, ๔๙๖. ๕ อภิธานวรรณนา, คาถา ๖๖๘. ๖ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒.
  • 77.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๖๓ สหตฺถา : ศัพทที่แปลงเปน ส (มงฺคล. ๒/๓๗๒/๒๘๔) สหตฺถา วิเคราะหวา สยํ (แทน อตฺตโน) หตฺโถ สหตฺโถ ลง สฺมา ปญจมีวิภัตติ ใชในอรรถแหงตติยาวิภัตติ แปลง สฺมา กับ อ เปน อา สำเร็จรูปเปน สหตฺถา แปลวา ดวยมือของตน ทานอธิบายไวในคัมภีรสมันต- ปาสาทิกา อรรถกถาวินัย วา สหตฺถาติ สหตฺเถนฯ๑ ส ในที่นี้สองอรรถ อตฺตโน นั่นเอง, ตามหลักไวยากรณที่เรียนกันมา วา สยํ แปลงเปน ส หรือ สก ใชเปนคุณบทไดทั้งสองวจนะ ใชแทน อตฺต ศัพท๒ ความจริงในบาลีที่ศึกษากันนี้มีหลายศัพทที่สามารถแปลงเปน ส ได ดังที่ทานกลาวไวในหนังสือสังวรรณนามัญชรี โดยอางถึงคัมภีรปทวิจารคัณฐิ คัมภีรปทวิจารคัณฐิ (หนา ๓๓๔) กลาววา คำที่สามารถแปลงเปน ส ได มีดังนี้ คือ สพฺพ, สนฺต, สห, สมาน, ต, อตฺต, ม ตัวอยางเชน สทา = สพฺพ ศัพท + ทา ปจจัย (ในกาลทุกเมื่อ) สทฺธมฺม = สนฺต ศัพท + ธมฺม ศัพท (ธรรมของสัตบุรุษ) สเทว = สห ศัพท + เทว ศัพท (ผูเปนไปกับดวยเทวดา) สวณฺณ = สมาน ศัพท + วณฺณ ศัพท (ผูมีผิวพรรณเหมือนกัน) โส = ต ศัพท + สิ วิภัตติ (บุรุษนั้น) สก = อตฺต ศัพท + ณ ปจจัย (ของตน) อสุ = อมุ ศัพท + สิ วิภัตติ (บุรุษโนน) ๑ วินย.อ. ๑/๒๓๑; สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๕๕๔; สังวรรณนามัญชรี, หนา ๗๘. ๒ มหามกุฏราชวิทยาลัย, อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท, หนา ๒๕.
  • 78.
    มังคลัตถวิภาวินี ๖๔ อภิราธเย (มงฺคล. ๒/๓๘๑/๒๙๗) อภิราธเย[อภิ+ราธ+ณย+เอยฺย] ในบาทคาถาวา เนว นํ อภิราธเย แปลวา ไมพึงยังเขาใหยินดี ประกอบดวย อภิ บทหนา+ราธ ธาตุ ในความ ยินดี+ณย ปจจัย เอยฺย วิภัตติ ราธ ธาตุจัดอยูในหมวด ทิว ธาตุ และ สุ ธาตุ สำหรับ ราธ ธาตุที่ลง ในหมวด ทิว ธาตุ มีรูปเปนกัตตุวาจกวา อาราธยติ, อารชฺฌติ มีรูปเปน เหตุกัตตุวาจกวา อาราเธติ, อาราธยติ, อาราธาเปติ๑ ทชฺชา (มงฺคล. ๒/๓๘๑/๒๙๗) ทชฺชา ในคาถา ขอ ๓๘๑ แปลวา พึงให และแกอรรถวา ทเทยฺย, ทา ธาตุ ในความให อ ปจจัย เอยฺย วิภัตติ แปลง ทา ธาตุ เปน ทชฺช๒ แปลง เอยฺย เปน อา๓, ที่จริง ทชฺชา ลง ตฺวา และ ณฺย ปจจัยก็ได๔ ทชฺชา ทา ธาตุ ลง ตฺวา ปจจัย ไดรูปเปน ททิยฺย ในเพราะ ยฺย อักษร เบื้องหลัง ใหลบสระ (ลบสระ อิ ที่ ทิ=ททฺยฺย) เพราะพยัญชนะสังโยค ทั้งหลาย (๓ ตัว) ใหลบพยัญชนะสังโยคที่มีรูปเหมือนกัน (=ทยฺย) แปลง ทฺย อักษรสังโยคเปน ชฺช(=ทชฺช) และทำทีฆะ สำเร็จรูปเปน ทชฺชา แปลวา ใหแลว ทชฺชา ลง ณฺย ปจจัย (ทา+ณฺย ปจจัย) เทฺวภาว ทา (=ทาทาย) รัสสะ ตัวหนา (=ททาย) ในเพราะ ย อักษรเบื้องหลัง ใหลบสระ (=ททฺย) แปลง ทฺย เปน ชฺช (ทชฺช) ลง อา ปจจัยเพราะเปนอิตถีลิงค สำเร็จรูปเปน ทชฺชา แปลวา อันเขาพึงให เชน ทกฺขิณา ทชฺชา ฯ ๑ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๖๐๖, พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และคณะ, วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๗ ฉบับแกไข/ปรับปรุง, (กรุงเทพฯ : ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๒), หนา ๑๔๖. ๒ รูปสิทฺธิ. สูตร ๕๐๗. ๓ อธิบายบาลีไวยากรณ อาขยาต, หนา ๙๓. ๔ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๒๑๗-๒๒๐.
  • 79.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๖๕ ธมฺมสฺสวนกถา -๐- อหนิ=ในวัน (มงฺคล. ๒/๓๘๓/๓๐๐) อหนิ ในขอวา ปฺจเม ปฺจเม อหนิ ภวนฺติ ปฺจาหิกํ ฯ [การฟง ธรรมมีในวันที่ ๕ ๆ เหตุนั้นจึงชื่อวา ปญจาหิก] อหนิ เปนปุงลิงคและนปุงสกลิงค ศัพทเดิมเปน อห ลง สฺมึ สัตตมี- วิภัตติ เอกวจนะ แปลง สฺมึ กับ อ เปน นิ๑ แปลวา ในวัน อห มีวิเคราะหวา ปจฺจาคมนํ น ชหาตีติ อหํ [กลางวันที่เวียนกลับมา ไมเวน ชื่อวา อหะ] อาเทศ น เปน อ, ลบสระหนา๒ อุปฺปชฺชนฺตาปิ ...วุจฺจนฺติ (มงฺคล. ๒/๓๘๙/๓๐๔) ขอวา สภาคปฺปจฺจยวเสน ปุน อุปฺปชฺชนฺตาป...วุจฺจนฺติ กิจฺจ- สาธนวเสน ปวตฺตนโต ฯ ทานละขอความที่เหลือไว นักเรียนพึงนำขอความ ขอ ๓๘๘ หนา ๓๐๓ มาเติม ดังนี้ สภาคปฺปจฺจยวเสน ปุน อุปฺปชฺชนฺตาป ตสฺมึ สมเย ภาวนาปาริปูรึ คจฺฉนฺติ อิจฺเจว วุจฺจนฺติ กิจฺจสาธนวเสน ปวตฺตนโต ฯ [แมโพชฌงคที่เกิดขึ้นดวยสามารถปจจัยมีสวนเสมอกันพระผูมี- พระภาค ยอมตรัสวา ในสมัยนั้นยอมถึงความเจริญเต็มที่ เพราะเปนไปดวย สามารถยังกิจใหสำเร็จ] ๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๔๐๔ หนา ๒๘๖. ๒ อภิธานวรรณนา, คาถา ๖๗.
  • 80.
    มังคลัตถวิภาวินี ๖๖ กุสโล เภริสทฺทสฺส, กุสโลสงฺขสทฺทสฺส (มงฺคล. ๒/๓๙๐/๓๐๕-๓๐๖) เภริสทฺทสฺส ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ หนา ๓๐๕ และ สงฺขสทฺทสฺส ในหนา ๓๐๖ ใหแปลหักฉัฏฐีวิภัตติเปนสัตตมีวิภัตติ แปลวา ในเสียงกลอง และ ในเสียงสังข ดวยอำนาจ กุสล ศัพท ทั้งนี้มีหลักการทั่วไปวา ฉัฏฐีวิภัตติใชในอรรถแหงสัตตมีวิภัตติในที่ ประกอบดวยบทที่มีอรรถวา ฉลาด เปนตน๑ ปุตฺตกํ : ก ปัจจัยแปลได้หลายอย่าง (มงฺคล. ๒/๓๙๔/๓๑๐) ก ปจจัยในตัทธิต (ปจจัยนอกแบบ) ใชในอรรถวานอย เชน คำวา ปุตฺตกํ แปลวา บุตรนอย นอกจากนี้แลว ก ปจจัยยังใชในอรรถวา ไมดี นาเอ็นดู เปรียบเทียบ นารังเกียจ และใชในอรรถสกัตถะ๒ แมคำวา หตฺถิโก ก็ลง ก ปจจัยใชในอรรถวาเปรียบเทียบ จึงแปลวา ตุกตาชาง/เหมือนชาง มา กโรสิ : วิธีการใช้ มา ปฏิเสธ (มงฺคล. ๒/๓๙๖/๓๑๒) มา กโรสิ ในขอวา เถโร อาห อาวุโส พุทฺธรกฺขิต เอตฺตเกเนว ปพฺพชิตกิจฺจ เม มตฺถกมฺปตฺตนฺติ สฺ มา กโรสีติ ฯ แปลวา [พระเถระ กลาววา พุทธรักขิตผูมีอายุ คุณอยาทำความสำคัญวา กิจแหงบรรพชิตของ เราถึงที่สุดแลวดวยเหตุเพียงเทานี้ทีเดียว] นักเรียนเห็นวา กโรสิ นี้ลง สิ วัตตมานาวิภัตติ เพราะทานขึ้น ตฺวํ (คุณ) มาเปนประธาน ทำใหสงสัยตอไปอีกวา ทำไมตองใช มา ปฏิเสธกิริยา ๑ รูปสิทฺธิ. สูตร ๓๑๗; ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑, หนา ๑๑๐๒. ๒ โมคฺคลฺลาน. สูตร ๔.๔๐, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๘๓๕ หนา ๘๒๙.
  • 81.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๖๗ ที่เปนวัตตมานาวิภัตติ เพราะเรียนกันมาวา มา ปฏิเสธกิริยาที่ลงปญจมี และอัชชัตตนีวิภัตติเทานั้น ฯ ในขั้นแรกนี้ ขอใหนักเรียนทราบวา เปนความจริงวา ในชั้นเรียนบาลี- ไวยากรณ ตามหลักสูตรที่เรียนกันนี้ “มา ศัพท ปฏิเสธกิริยาหมวดปญจมี- วิภัตติและอัชชัตตนีเทานั้น ใชกับกิริยาที่เปนวิภัตติอื่นไมได”๑ (นี้ถือวาเปน หลักการทั่วไป) สอดคลองกับสัททนีติสุตตมาลาวา มา ศัพท โดยมาก ประกอบกับกิริยาหมวดหิยัตตนีวิภัตติ และอัชชัตตนีวิภัตติ ประกอบกับ กิริยาหมวดปญจมีวิภัตติบาง๒ แตถึงอยางไรก็ตาม ปรากฏวา ทานใช มา ศัพทปฏิเสธกิริยาหมวด อื่นๆ นอกจากปญจมีวิภัตติและอัชชัตตนีวิภัตตินั้นบาง (นี้ถือวาเปน ขอยกเวน) เชน ๑) มา ปฏิเสธกิริยาหมวดวัตตมานาวิภัตติ มา เต อปฺปมตฺตกสฺส การณา มม อากาเส อุปฺปตนํ รุจฺจติ...ฯ๓ [การเหาะขึ้นไป ในอากาศ แหงเรา เพราะเหตุแหงบาตร อันมีประมาณนอย อันทาน อยาชอบใจอยู] ๒) มา ปฏิเสธกิริยาหมวดสัตตมีวิภัตติ มา กเถยฺยาสิ...ฯ [ทาน อยาพึงกลาว], มา อาหเรยฺยาสิ...ฯ [เจา อยา พึงนำมา]๔ ๓) มา ปฏิเสธกิริยาหมวดปโรกขาวิภัตติ มา เทว ปริเทเวสิ [ขอเดชะ พระองค อยาไดคร่ำครวญเลย]๕ ๑ มหามกุฏราชวิทยาลัย, อุภัยพากยปริวัตน, ขอ ๑๗. ๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๘๘๘-๘๘๙ หนา ๘๘๕. ๓ ธ.อ. ๖/๖๘. (ยมกปฺปาฏิหาริยวตฺถุ) ๔ ธ.อ. ๓/๖๒, ๖๙. (วิสาขาวตฺถุ) ๕ สัททนีติสุตตมาลา, หนา ๘๙๐.
  • 82.
    มังคลัตถวิภาวินี ๖๘ สำหรับคำวา กโรสิ นี้ลง สิ วัตตมานาวิภัตติ ดังที่ทานแจกรูปไว ในสัททนีติธาตุมาลาวา กโรติ, กโรนฺติ, กโรสิ, กโรถ เปนตน สวน กร ธาตุที่ ประกอบหมวดอัชชัตตนีวิภัตติ ไดรูปเปน อกริ, กริ, อกาสิ, อกรุ, อกรึสุ อกํสุ อกํสุ เปนตน๑ นักเรียนบางรูปบอกวา กโรสิ ในที่นี้ ไมไดลง สิ วัตตมานาวิภัตติ แต ลง อี อัชชัตตนีวิภัตติ ใชแทน โอ อัชชัตตนีวิภัตติ [กร+โอ ปจจัยประจำ หมวดธาตุ+อี อัชชัตตนีวิภัตติ ใชแทน โอ อัชชัตตนีวิภัตติ] ดังที่ทานกลาววา โอ อัชชัตตนีวิภัตติ ใช อี ปฐมบุรุษแทนโดยมาก๒ มํ น ปฏิภาติ : หักทุติยาเปนจตุตถีและฉัฏฐีวิภัตติ (มงฺคล. ๒/๓๙๗/๓๑๒) ขอความวา เอกจฺโจ ปน อยํ คมฺภีโร สุณนฺตํ มํ น ปฏิภาตีติ คมฺภีรธมฺมํ น โสตุมิจฺฉติ ฯ แปลกันวา “อนึ่ง กุลบุตรบางคนคิดวา ธรรมนี้ลึกซึ้ง ยอมไมแจมแจง กะเรา ผูฟงอยู ดังนี้แลว ยอมไมปรารถนาจะฟงธรรมอันลึกซึ้ง” มํ ในขอความดังกลาว ควรแปลวา ของเรา หรือ แกเรา ทั้งนี้เพราะมี หลักการที่ทานแสดงในคัมภีรบาลีไวยากรณวา ในที่ประกอบดวย อนฺตรา (ระหวาง), อภิโต (ภายใน), ปริโต (โดยรอบ), ปติ (ใกล), และ ปฏิ หนา ภา ธาตุ (ปรากฏ) ใหทุติยาวิภัตติใชใน อรรถฉัฏฐีวิภัตติ๓ เฉพาะขอวา มํ ปฏิภาติ นี้ทานแนะใหเพิ่มคำวา าณสฺส เขามาแปล ในที่นี้แปลใหมตามนัยคัมภีรบาลีไวยากรณ วา ๑ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๖๙๖, ๗๐๒. ๒ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, บาลีไวยากรณ วจีวิภาค ภาคที่ ๒ อาขยาต และกิตก, เชิงอรรถที่ ๓ หนา ๑๕๓. ๓ รูปสิทฺธิ. สูตร ๒๘๙.
  • 83.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๖๙ [อนึ่ง กุลบุตรบางคนคิดวา ธรรมนี้ลึกซึ้ง ยอมไมปรากฏ (แกญาณ) ของเรา ผูฟงอยู ดังนี้แลว ยอมไมปรารถนาจะฟงธรรมอันลึกซึ้ง] ถึงแมในคัมภีรปทรูปสิทธิเปนตน ทานกลาววา ลงทุติยาวิภัตติใน อรรถของฉัฏฐีวิภัตติ โดยเพิ่มบทวา าณสฺส (แกญาณ) เขามา สวนใน คัมภีรอรรถกถาและฎีกา กลาววา ลงทุติยาวิภัตติในอรรถสัมปทาน (จตุตฺถี) แปลใหมตามนัยอรรถกถาและฎีกาวา [อนึ่ง กุลบุตรบางคนคิดวา ธรรมนี้ลึกซึ้ง ยอมไมปรากฏ แกเรา ผูฟง อยู ดังนี้แลว ยอมไมปรารถนาจะฟงธรรมอันลึกซึ้ง] ตัวอยางที่ทานแสดงไวในอรรถกถาและฎีกา เชน อุปมา มํ อาวุโส สาริปุตฺต ปฏิภาตีติ มยฺหํ อาวุโส สาริปุตฺต อุปมา อุปาติ...ปฏิภาตุ ตนฺติ ตุยฺหํ ปฏิภาตุ อุปาตุ ฯ๑ [...ทานพระสารีบุตร ขอเปรียบเทียบปรากฏแกกระผม...จงปรากฏแก ทาน] พึงเห็นวา มํ ในที่นี้ทานแกเปน มยฺหํ สวน ตํ แกเปน ตุยฺหํ ฉะนั้นใน ฎีกาทานจึงอธิบายตอไปอีกวา มํ ตนฺติ จ อุปโยควจนํ ปฏิสทฺทโยเคนฯ อตฺโถ ปน สมฺปทานเมวาติ อาห มยฺหํ ตุยฺหนฺติ จ ฯ๒ [คำวา มํ ตํ ลงทุติยาวิภัตติ เพราะประกอบดวย ปฏิ ศัพท แตมี ความหมายเปนสัมปทานเทานั้น ดังนั้น ทานจึงกลาววา มยฺหํ (แกกระผม) ตุยฺหํ (แกทาน)] ฉะนั้น มํ (ทุติยาวิภัตติ) ในที่ประกอบดวย ปฏิ นี้ จึงควรแปลวา แก เรา (จตุตถีวิภัตติ) , หรือ ของเรา (ฉัฏฐีวิภัตติ) ๑ ม.อ. ๑/๒๕๗. ๒ ม.ฏี. ๑/๓๑๗.
  • 84.
    มังคลัตถวิภาวินี ๗๐ กานนํ = ดงป่ า หมู่ไม้ (มงฺคล. ๒/๓๙๗/๓๑๓) กานนํ [ก+อนนํ] วิ. เกน ชเลน อนนํ ปาณนํ อสฺสาติ กานนํ ฯ [ปาที่ เปนอยูไดดวยน้ำ ชื่อวา กานนะ] (ลบสระหนา, ทีฆะสระหลัง) หรือ กานนํ [กุ สทฺเท+ยุ] วิ. ตมชฺฌนฺติกสมเย กวติ สทฺทํ กโรตีติ วา กานนํ, โกกิลมยูราทโย กวนฺติ สทฺทายนฺติ กูชนฺติ เอตฺถาติ วา กานนํ ฯ [ชื่อวา กานนะ เพราะมีเสียงดังในเวลาเที่ยงวัน อีกนัยหนึ่ง ชื่อวา กานนะ เพราะเปนสถานที่รองของเหลาสัตวมีนกดุเหวาและนกยูง เปนตน] (ลบสระ หนา, อาเทศ ยุ เปน อานน)๑ ปาทป=ต้นไม้ (มงฺคล. ๒/๓๙๗/๓๑๓) ปาทป ในคำวา มหิรุหปาทปคหนสงฺขาต แปลตามรูปศัพทวา สิ่งที่ ดูดน้ำดวยราก หมายถึง ตนไม, วิ. ปาเทน มูเลน ปวตีติ ปาทโป๒ [ปาท+ปา ธาตุ ในความดื่ม+อ ปจจัย] ธรรมชาติใดดื่มดวยเทาคือราก ธรรมชาตินั้นชื่อ วา ปาทปะ ปริปูเรนฺติ (เชน มงฺคล. ๒/๓๙๙/๓๑๖) ปริปูเรนฺติ เปนไดทั้งกัตตุวาจก และเหตุกัตตุวาจก ที่เปนกัตตุวาจกลง เณ ปจจัยประจำหมวด จุร ธาตุ สวนที่เปนเหตุกัตตุวาจก จัดลงในหมวด ภู ธาตุ ลง เณ ปจจัยในเหตุกัตตุวาจก๓ ปริปูเรนฺติ [ปริ+ปูร+เณ+อนฺติ] ปูร ธาตุ ในความเต็ม, ใหเต็ม (ปูรณมฺหิ) ธาตุนี้จัดลงใน ๒ หมวดธาตุ คือ หมวด ภู ธาตุ และหมวด จุร ธาตุ๔ ๑ อภิธานวรรณนา, คาถา ๕๓๖. ๒ อภิธานวรรณนา, คาถา ๕๓๙. ๓ พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และคณะ, วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๕ ฉบับ แกไข/ปรับปรุง, (กรุงเทพฯ : ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๒), หนา ๒๐๙. ๔ พระวิสุทธาจารมหาเถระ รจนา, พระราชปริยัติโมลี (อุปสโม) และคณะ ปริวรรต, ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, (กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕), หนา ๒๕๘.
  • 85.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๗๑ ปูร ธาตุที่จัดเขาในหมวด จุร ธาตุนั้น ในกัตตุวาจกลง เณ ปจจัย ประจำหมวดธาตุ จึงสำเร็จเปน ปริปูเรนฺติ (ยอมเต็ม, ยอมบริบูรณ) นี้ เปนกัตตุวาจก สวน ปูร ธาตุที่จัดเขาในหมวด จุร ธาตุ ในเหตุกัตตุวาจก ลง ณาเป หรือ ณาปย ปจจัย ไดรูปเปน ปูราเปนฺติ หรือ ปูราปยนฺติ (ยอม..ให เต็ม) ปูร ธาตุที่จัดเขาในหมวด ภู ธาตุนั้น ในกัตตุวาจกลง อ ปจจัยประจำ หมวดธาตุ จึงสำเร็จเปน ปริปูรนฺติ (ยอมเต็ม, ยอมบริบูรณ) นี้เปนกัตตุวาจก สวน ปูร ธาตุที่จัดเขาในหมวด ภู ธาตุ ในเหตุกัตตุวาจก ลง เณ ณย ณาเป ณาปย ปจจัย ไดรูปเปน ปริปูเรนฺติ, ปริปูรยนฺติ, ปริปูราเปนฺติ, ปริปูราปยนฺติ (ยอมยัง...ใหเต็ม) ฉะนั้น บทวา ปริปูเรนฺติ จึงเปนไดทั้งกัตตุวาจก และเหตุกัตตุวาจก นักศึกษาพึงสังเกตเนื้อความในที่นั้นๆ ใหดีวาควรแปลเปนวาจกอะไร ทริโต (มงฺคล. ๒/๔๐๑/๓๑๗) ทริโต [ทร เภทเน+อิ อาคม+ต] แปลวา อัน...ทำลายแลว, ในที่นี้ แปล เอาความวา อันน้ำเซาะแลว, ดังตัวอยางในขอวา กนฺติลทฺธนาเมน อุทเกน ทริโต อุทกภินฺโน ปพฺพตปฺปเทโส [ประเทศแหงภูเขาอันน้ำ ที่ได นามวา กํ เซาะแลว คือ อันน้ำทำลายแลว] ในหนังสือธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ ทานแสดง ทร ธาตุ ลงในหมวด ภู ธาตุ ใช ในความกลัว, เดือดรอน (ภยาทาเห) มี อา เปนบทหนา ใชใน ความเอื้อเฟอ (อาทเร), ลงในหมวด ภู ธาตุ และ จุร ธาตุ ใชในความทำลาย (เภทเน)๑ ๑ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๑๘๓ หนา ๑๘๗.
  • 86.
    มังคลัตถวิภาวินี ๗๒ อฏฺมคาถายตฺถวณฺณนา ขนฺติกถา -๐- ทสหิ อกฺโกสวตฺถูหิ :อักโกสวัตถุ ๑๐ (มงฺคล. ๒/๔๐๕/๓๒๐) อักโกสวัตถุ ๑๐ เรื่องสำหรับดา, ในอรรถกถาปริวาร๑ แนะไววา อักโกสวัตถุ มาในโอมสวาทสิกขาบท จึงตามไปดูที่โอมสวาทสิกขาบทนั้น ตามคำแนะนำ โอมสวาทสิกขาบท วา “ภิกษุกลาวโอมสวาทแกภิกษุตองอาบัติ ปาจิตตีย แกอนุปสัมบันตองอาบัติทุกกฏ” (สิกขาบทที่ ๒ แหง มุสาวาท วรรค ปาจิตติยกัณฑ) คำพูดที่เสียดแทงใหเจ็บใจ ๑๐ อยาง ไดแก ๑. ชาติ ไดแกชั้นหรือ กำเนิดของคน ๒. ชื่อ ๓. โคตร คือตระกูลหรือแซ ๔. การงาน ๕. ศิลปะ ๖. โรค ๗. รูปพรรณ ๘. กิเลส ๙. อาบัติ ๑๐. คำดาอยางอื่นๆ๒ ตัวอยางคำดาที่มาใน เรื่อง อัตตโนปุพพกรรม ธัมมปทัฏฐกถาภาคที่ ๗ และในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ นี้๓ วา โจโรสิ พาโลสิ มูฬฺโหสิ โอโสิ โคโณสิ คทฺรโภสิ เนรยิโกสิ ติรจฺฉานคโตสิ, นตฺถิ ตุยฺหํ สุคติ, ทุคฺคติเยว ตุยฺหํ ปาฏิกงฺขา [เจาโจร เจาโง (พาล) เจาเซอ (หลง) เจาอูฐ เจาโค เจาลา เจาสัตว นรก เจาสัตวดิรัจฉาน สุคติไมมีสำหรับเจาทุคติเทานั้นอันเจาพึงหวัง] ๑ วินย.อ. ๓/๕๒๖. ๒ วินย. ๒/๑๘๖/๑๖๔. ๓ ดูใน อตฺตโนวตฺถุ, ธ.อ. ๗/๑๓๖.
  • 87.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๗๓ พหุ อตีตมทฺธาเน : พหุ ควรเป็ น อหุ (มงฺคล. ๒/๔๐๗/๓๒๒) พหุ ในขอวา พหุ อตีตมทฺธาเน ไมตรงกับขอความในพระไตรปฎก นักศึกษาพึงแก พหุ (มาก) เปน อหุ (ไดมีแลว) ใหตรงกับพระไตรปฎกนั้น เปน อหุ อตีตมทฺธาเน๑ อหุ ประกอบดวย อ อาคม หุ ธาตุ อ ปจจัย อี อัชชัตตนี ลงแลวลบ หรือ อา หิยัตตนี รัสสะ๒ แปลวา ไดมีแลว ยสฺสทานิ=ยสฺส อิทานิ (มงฺคล. ๒/๔๐๙/๓๒๔) อาจารยบุญสืบ อินสาร๓ แนะวา ยสฺสทานิ ตัดเปน ยสฺส-อิทานิ, เฉพาะ ยสฺส ตัดเปน โย-อสฺส, โย (คมนกาโล) กาลเปนที่ไปใด, อสฺส พึงมี, ตฺวํ อ. ทาน มฺสิ จงสำคัญ (ยอมสำคัญ) (ตํ คมนกาลํ) ซึ่งกาลเปนที่ไปนั้น ทุรุตฺตํ=คําพูดชัว (มงฺคล. ๒/๔๑๒/๓๒๖) ทุรุตฺตํ [ทุ+ร+วจ+ต] แปลวา คำพูดชั่ว เชน ในขอวา ปเรส ทุกฺกฏ ทุรุตฺตฺจ ปฏิวิโรธากรเณน อตฺตโน อุปริ อาโรเปตฺวา วาสนตา ฯ [ความเปน คืออันยกกรรมชั่ว และคำพูดชั่วของชนเหลาอื่นไวเหนือตนอดทนโดยไมทำ การโกรธตอบ] ทุรุตฺตํ ประกอบดวย ทุ บทหนา วจ ธาตุ ต ปจจัย แปลง ว เปน อุ, แปลง จ เปน ตฺ ลง ร อาคม, บางมติวา ลง อุจ ธาตุ ในการออกเสียง๔, บาง มติวา ลง รูป ธาตุ รัสสะ, แปลง ป เปน ตฺ๕ ๑ ขุ.ชา. ๒๗/๕๕๒/๑๓๗. ๒ พจนานุกรมกิริยาอาขยาต ฉบับธรรมเจดีย, หนา ๓๓. ๓ บุญสืบ อินสาร, คูมือแปลมังคลทีปนี ภาค ๒, พิมพครั้งที่ ๓, (กรุงเทพฯ: สืบสาน พุทธศาสน, ๒๕๕๖), เชิงอรรถ หนา ๒๕๒. ๔ โมคฺ. สูตร ๕.๑๑๑. ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๒๗ หนา ๒๘. ๕ พจนานุกรมกิริยากิตต ฉบับธรรมเจดีย, หนา ๒๑๔.
  • 88.
    มังคลัตถวิภาวินี ๗๔ อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา: อักษรหายความหมายเปลี่ยน (มงฺคล. ๒/๔๑๖/๓๒๘) เรื่องที่จะกลาวตอไปนี้ เปนปญหาของคำแปล ที่เกิดขึ้นเพราะคำบาลี คลาดเคลื่อน คือขอความในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๔๑๖ ไมตรงกับ ฎีกาซึ่งเปนตนแหลงที่ทานอาง กอนอื่นขอนำขอความในขอ ๔๑๕ ซึ่งเปนอรรถกถามาแสดงไว เพื่อ ประกอบการพิจารณาตอไป อรรถกถาวา เถโร อุณฺหภเยเนวมฺหิ อาวุโส อิธ นิสินฺโนติ อวีจิมหานิรยํ ปจฺจ- เวกฺขิตฺวา นิสีทิเยวฯ [พระเถระกลาววา คุณ ผมนั่งในที่นี้ เพราะกลัวความรอนนั่นเอง ดังนี้ แลว ก็นั่งพิจารณาอเวจีมหานรกเรื่อยไป] ตอไปเปนคำอธิบายที่พระฎีกาจารยอธิบายขอความขางตน แต คำอธิบายนั้น ในมังคลัตถทีปนีนี้ ตกหลนหายไป ทำใหมีปญหาในการแปล ขอใหพิจารณาขอความเทียบกันทั้งในมังคลัตถทีปนี และในฎีกาดังนี้ มังคลัตถทีปนี ขอ ๔๑๖ วา อุณฺหภเยเนว อาห อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวาติฯ...เอวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา [เพราะกลัวตอความรอนนั่นเอง พระเถระ จึงกลาว. สองบทวา อวีจิ- มหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ไดแก พิจารณาอยางนี้วา...] คำแปลนี้มีปญหาที่วา “อาห จึงกลาว” ซึ่งตองพิจารณาตอไป ฎีกาวา อุณฺหภเยเนวาติ นรกคฺคิอุณฺหภเยเนว. เตนาห "อวีจิมหานิรยํ ปจฺจ- เวกฺขิตฺวา"ติ๑ ๑ ม.ฏี. ๑/๒๑๓.
  • 89.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๗๕ [บทวา อุณฺหภเยเนว ไดแก เพราะกลัวความรอนไฟนรกนั่นเอง ฯ เพราะเหตุนั้น พระอรรถกถาจารยจึงกลาววา อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ดังนี้] เมื่อเทียบกับฎีกาแลว ก็เห็นไดทันทีวา อิติ นรกคฺคิอุณฺหภเยเนว. เตน ไมปรากฏในมังคลัตถทีปนี บัณฑิตจะยอมรับหรือไมวา หลายบทนี้ตก หลนหลายไป ขอใหพิจารณาตอไปอีก ที่วามีปญหาในการแปลนั้น คือมี ปญหาตรงไหน และอยางไร ถาไดยอมรับวา ขอความภาษาบาลีในมังคลัตถทีปนีตกหลนหายไป ก็ ตองยอมรับในขั้นตอไปวา เมื่อขอความบาลีไมสมบูรณ คำแปลก็มักมีปญหา ตามไปดวย ขอความนี้ มีผูแปลไวหลายสำนวน จึงขอนำมาพิจารณาอยางนอย ๒ สำนวน (นับสำนวนฎีกาเปน ๓) สํานวนที ๑ (คำบาลีตรงกับมังคลัตถทีปนี) อุณฺหภเยเนว อาห อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวาติ ฯ...เอวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา [เพราะกลัวตอความรอนนั่นเอง พระเถระ จึงกลาว ฯ สองบทวา อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ไดแก พิจารณาอยางนี้วา... ] ผูแปลแนะไววา ใหยายเครื่องหมาย “ ฯ ” หลัง ปจฺจเวกฺขิตฺวา ไปวาง หลัง อาห (โดยนัยวา จบประโยคที่ อาห) คำแปลนี้มีปญหาตรงที่วา พระเถระ จึงกลาว ฯ (จบประโยค) เพราะ ผิดความนิยมการใช อาห มีหลักวา ทานใช อาห ในการกลาวสนทนาโตตอบกันและมี อิติ รับ๑ คือใช อาห เปนกิริยาสำหรับเปด อิติ เขาเลขใน๒ ในคำแปลนี้ทานแปลวา ๑ พระธรรมกิตติวงศ, หลักการแปลไทยเปนมคธ, (กรุงเทพฯ: เลี่ยงเชียง, ๒๕๔๑), หนา ๒๑๐. ๒ ที่ไมมี อิติ มารับ เชน ๑. โสป ตเถวาห (ธ.อ. ๑/๘๑) ๒. กลฺยาณํ เทวทตฺโต อาห (ธ.อ. ๑/๑๓๒)
  • 90.
    มังคลัตถวิภาวินี ๗๖ พระเถระ จึงกลาวฯ ไมมีอิติ “วา” มารับตอเลย ฉะนั้น ถาแปลตามสำนวน นี้ก็ตองยอม “ผิดความนิยม” อนึ่ง คำวา กลัวตอ ถาถือเครงครัดแลว ควรแปลวา กลัวแต คือแปล หักฉัฏฐีวิภัตติเปนปญจมีวิภัตติในที่ประกอบดวยศัพทที่มีอรรถวาเสื่อม และ กลัว (ปริหานิภยตฺถโยเค)๑ สํานวนที ๒ (คำบาลีตรงกับมังคลัตถทีปนี) อุณฺหภเยเนว อาห อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวาติ ฯ...เอวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา [พระเถระกลาววา อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ดังนี้ เพราะกลัวความ รอนนั่นเอง ฯ อธิบายวา (พระเถระ) พิจารณาอยางนี้วา...] อาจารยผูแปลสำนวนนี้ คงเห็นขอบกพรองของสำนวนที่ ๑ จึง พยายามยักเยื้องหาทางออก โดยใช อาห เปดถอยหลังเขาไปใน อิติ วา พระ เถระกลาววา อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ดังนี้ และแปลประโยคตอไปวา อธิบายวา (พระเถระ) พิจารณาอยางนี้วา...ฯ ทานแปลอยางนี้ก็เปนอันวาหมดปญหาเรื่องการใช อาห และไมตอง ยายเครื่องหมาย “ ฯ ” ไปหลัง อาห, ซึ่งทานคงเห็นวาวางไวถูกแลว อยางไรก็ตาม ถึงแปลสำนวนที่ ๒ นี้ ก็ยังมีปญหาอยูอีก คือมีปญหา ตรงที่ พระเถระกลาว วา อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ดังนี้ เพราะคำวา อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ไมใชคำกลาวของเถระ แตเปนคำกลาวของผู เลาเรื่องคือพระอรรถกถาจารย ขอใหกลับไปดูที่มาของศัพทในอรรถกถาอีก ครั้งวา เถโร อุณฺหภเยเนวมฺหิ อาวุโส อิธ นิสินฺโนติ อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา นิสีทิเยวฯ [พระเถระกลาววา “คุณ ผมนั่งในที่นี้ เพราะกลัว ความรอนนั่นเอง” ดังนี้แลว ก็นั่งพิจารณาอเวจีมหานรกเรื่อยไป] ๑ รูปสิทฺธิ. สูตร ๓๑๘.
  • 91.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๗๗ ที่จริงคำพูดของพระเถระมีเพียงวา อุณฺหภเยเนวมฺหิ อาวุโส อิธ นิสินฺโนติ [คุณ ผมนั่งในที่นี้ เพราะกลัวความรอนนั่นเอง] สวนคำวา อวีจิ- มหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา นิสีทิเยวฯ [ก็นั่งพิจารณาอเวจีมหานรกเรื่อยไปฯ] นี้ เปนคำกลาวของผูเลาเรื่องคือพระอรรถกถาจารย ฉะนั้น ถาแปลตามสำนวน ที่ ๒ นี้ก็ตองยอม “ผิดความหมาย” แตบางทานอาจจะแยงตอไปอีกวา ถาอยางนั้นก็เปลี่ยนคำแปลจาก เดิมวา [พระเถระกลาววา อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ดังนี้ เพราะกลัว ความรอนนั่นเอง ฯ] เปลี่ยนประธานใหมใหเปน [พระอรรถกถาจารย กลาววา อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ดังนี้ เพราะกลัวความรอนนั่นเอง ฯ] ขอแยงนี้ก็มีปญหาอีก เพราะคำวา อุณฺหภเยเนว [เพราะกลัวความ รอนนั่นเอง] เปนเหตุใหพระเถระนั่งพิจารณาอเวจีมหานรก ไมใชเปนเหตุให พระเถระหรือพระอรรถกถาจารยกลาวคำวา อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา นี้ก็ “ผิดความหมาย” สำนวนที่ ๓ (สำนวนฎีกา คำบาลีตางจากมังคลัตถทีปนี) อุณฺหภเยเนวาติ นรกคฺคิอุณฺหภเยเนว. เตนาห "อวีจิมหานิรยํ ปจฺจ- เวกฺขิตฺวา"ติ๑ [บทวา อุณฺหภเยเนว ไดแก เพราะกลัวความรอนแหงไฟนรกนั่นเอง ฯ เพราะเหตุนั้น พระอรรถกถาจารยจึงกลาววา อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ดังนี้] สำนวนนี้ไมมีปญหาเรื่องความนิยมและความหมาย แตมีปญหาที่ คำ บาลีไมตรงกับหนังสือเรียน ซึ่งอาจารยผูตรวจขอสอบอาจจะถือวาแปล ขอความอื่นจากหนังสือเรียนก็ได ๑ ม.ฏี. ๑/๒๑๓.
  • 92.
    มังคลัตถวิภาวินี ๗๘ นี้เปนตัวอยางที่บอกชัดวา เมื่อคำบาลีตกหลนเพียงเล็กนอย หรือไม ตรงกันเพียงบางสวนก็เปนเหตุใหคำแปลมีปญหาตามไปดวย และยิ่งแกไข ก็ยิ่งยุงกันใหญ ผูศึกษาจึงพึงระลึกเสมอวา จะศึกษาดวยความระมัดระวัง ที่แสดงนี้ มิไดมุงหมายกลาวตูหรือวารายทานที่แปลไวกอนนั้นวา ผิดพลาด ในทางตรงกันขามกลับมีแตขอบพระคุณที่ทานทำงานแปลไวให ศึกษาดวยความเพียรพยายามและปรารถนาดี บนฐานของขอมูลที่ทานทำไว นั้น ผูทำงานในยุคหลังก็ยอมมีโอกาสเห็นสวนที่ตองเติมไดมากกวา ถึงตอนนี้จึงเปนภาระของครูอาจารยและนักเรียนจะรวมกันพิจารณา และเลือกทางออกที่ดีที่สุด โดยตั้งอยูบนฐานของความรูเทาทันขอมูล และ ศรัทธาที่มีตอการศึกษาเพื่อรักษาพระศาสนา วโจ : แปลง อํ ทุติยาวิภัตติ เป็ น โอ (มงฺคล. ๒/๔๒๗/๓๓๓) วโจ ในขอวา ภยา หิ เสสฺส วโจ ขเมถ [บุคคล พึงอดทนถอยคำ ของผูประเสริฐได เพราะความกลัวแล] วโจ ศัพทเดิมเปน วจ จัดเขาใน มโนคณะ, ลง อํ ทุติยาวิภัตติ แปลง อํ เปน โอ๑, ตัวอยางที่นักเรียนคุนเคย เชน ยโส ลทฺธา น มชฺเชยฺย. ตสฺสา อตฺถิตายาติ (มงฺคล. ๒/๔๓๐/๓๓๖) ตสฺสา ในที่นี้ นักศึกษาควรโยค ปุนปฺปุนํ อุปฺปนฺนาย ขนฺติยา, เพื่อใหแปลไดงาย ควรประกอบศัพท ดังตอไปนี้ ตสฺสา อตฺถิตายาติ ตสฺสา [ปุนปฺปุนํ อุปฺปนฺนาย ขนฺติยา] อปรา- ปรุปฺปตฺติสมุปจิตาย มารเสนาวิธมนิยา ขนฺติเสนาย อตฺถิตาย ฯ ๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๓๗๗ หนา ๒๖๙.
  • 93.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๗๙ พึงไข ตสฺสา [ปุนปฺปุนํ อุปฺปนฺนาย ขนฺติยาย] ที่ขึ้นมาใหมนั้นไปที่ อปราปรุปฺปตฺติสมุปจิตาย มารเสนาวิธมนิยา ขนฺติเสนาย ทั้งสองชุดเปน ภาวาทิสมฺพนฺธ ใน อตฺถิตาย ขตฺติยวคฺคฏีกา (มงฺคล. ๒/๔๓๐/๓๓๖) นักเรียนสงสัยวา ขัตติยวรรค ที่ทานกลาวถึงในมังคลัตถทีปนีนี้ มา จากคัมภีรไหน ขอความในมังคลัตถทีปนีวา จกฺกาทิติกํ สามฺเน เสนายํ เสนงฺเค จ ฯ กริยเต วิคฺคโห เยนาติ จกฺกํ ฯ พล สํวรเณ ฯ อน สทฺเท อีโกติ ขตฺติยวคฺคฏีกา ฯ๑ [ฎีกาขัตติยวรรค วา ศัพท ๓ ศัพท มี จกฺก ศัพท เปนตน ยอมเปนไป ในเสนาดวย ในองคแหงเสนาดวย โดยความเสมอกัน ฯ การชิงชัย อันเสนา ยอมกระทำ ดวยวัตถุใด เหตุนั้น วัตถุนั้น จึงชื่อวา จักร ฯ พล ธาตุ ในความ ปองกัน ฯ อน ธาตุ ในความสงเสียง ลง อีก ปจจัย] คำวา ขัตติยวรรค ที่พระสิริมังคลาจารย อางในมังคลัตถทีปนีนั้น ก็ คือ ขัตติยวรรค แหงคัมภีรอภิธานัปปทีปกา นั่นเอง เฉพาะเรื่อง จกฺก เปนตนนี้ มาในคาถาที่ ๓๘๑ แหงคัมภีรอภิธานัปปทีปกา นักศึกษาพึงทราบวา คัมภีรอภิธานัปปทีปกานี้ มีคัมภีรอธิบาย เรียกวา อภิธานปฺปทีปกาฏีกา๒ ซึ่งฎีกานี้ สมเด็จพระวันรัต (เขมจารี)๓ เรียกชื่อวา จตุรงฺคธารินี ๑ ธาน.ฏีกา. ๑/๓๘๑/๒๗๑. ๒ อภิธานปฺปทีปกาฏีกา ที่ใชในไทย พระศรีสุทธิพงศ วัดชนะสงคราม ปริวรรต, วัดปากน้ำ จัดพิมพ พ.ศ. ๒๕๒๗ ๓ สมเด็จพระวันรัต (เขมจารีมหาเถระ), มังคลัตถทีปนี ยกศัพทแปล คาถาที่ ๘, (กรุงเทพฯ : ส. ธรรมภักดี, ๒๔๙๗?), หนา ๕๐.
  • 94.
    มังคลัตถวิภาวินี ๘๐ จกฺกาทิติกํ (มงฺคล. ๒/๔๓๐/๓๓๖) นักเรียนสงสัยวา“ศัพท ๓ ศัพท มี จกฺก ศัพท เปนตน” นั้น เมื่อมี เปนตน ก็ตองมีทามกลางและที่สุด ในที่นี้มีอะไรเปนทามกลางและที่สุด อาทิ ศัพท ในคำวา จกฺกาทิติกํ [จกฺก+อาทิ+ติก] ที่แปลวา “ศัพท ๓ ศัพท มี จกฺก ศัพท เปนตน” รวมศัพทวา พล และ อนีก เขาไปดวยจึงเปน ๓ ศัพท (คือ จกฺก พล และ อนีก) ในคาถาที่ ๓๘๑ แหงคัมภีรอภิธานัปปทีปกา วา วาหินี ธชินี เสนา จมู จกฺกํ พลํ ตถา อนีโก วาถ วินฺยาโส พฺยูโห เสนาย กถฺยเต ฯ๑ เฉพาะศัพทนามนาม ในคาถานี้ ถาเริ่มนับ จกฺกํ เปนที่ ๑ ก็จะมี พลํ เปนที่ ๒ และ อนีโก เปนที่ ๓ [ไมนับ ตถา] จึงตอบนักเรียนวา จกฺก ศัพท เปนตน มี พล ศัพทเปนทามกลาง และ อนีก ศัพท เปนที่สุด ฉะนั้นในขอวา จกฺกาทิติกํ สามฺเน เสนายํ เสนงฺเค จ ฯ โดย สาระสำคัญ สื่อความไทยวา จกฺก พล และ อนีก นี้มีความหมายเหมือนกัน วา “กองทัพ” และ “องคประกอบกองทัพ” ตอจากนั้นทานก็วิเคราะห จกฺก ศัพท และบอกธาตุ/ปจจัยของ พล และ อนีก ตสฺเสว เตน ปาปิ โย (มงฺคล. ๒/๔๓๑/๓๓๖) ในคาถาวา ตสฺเสว เตน ปาปโย โย กุทฺธํ ปฏิกุชฺฌติ กุทฺธํ อปฺปฏิกุชฺฌนฺโต สงฺคามํ เชติ ทุชฺชยํ ฯ ตสฺเสว วิเสสนะของ ปุคฺคลสฺส ดวยอำนาจบทวา ปาปโย จึงแปล ตสฺเสว ปุคฺคลสฺส ซึ่งเปนฉัฏฐีวิภัตติใชในอรรถปญจมีวิภัตติ แปลวา กวา ๑ อภิธานัปปทีปกา, คาถา ๓๘๑.
  • 95.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๘๑ บุคคลนั้นเสียอีก (ฎีกาวา ตสฺเสว โยคบทวา ปฏิกุชฺฌนกสฺส ขอใหดู คำอธิบายบทวา ปาปกตรสฺส มติที่ ๒ ตอจากนี้) ทั้งนี้ มีหลักการหักฉัฏฐีวิภัตติเปนปญจมีวิภัตติวา เมื่อมีคุณนามชั้น วิเสส อติวิเสส และเสฏฐตัทธิต ตลอดถึง มีศัพทจำพวกที่แปลวา “เลิศ” เชน อคฺค, “ประเสริฐ” เชน วร, ปวร, วุฑฺฒ บังคับฉัฏฐีวิภัตติใหลงในอรรถ แหงปญจมีวิภัตติ แปลวา กวา๑ ปาปโย ในคาถานี้ หนังสือบางเลมทานแปลวา ความลามก เพราะ ทานถือตามอรรถกถาวา ปาป โหติ กตรสฺสาติ แตอรรถกถาที่ถูกคัดมาใน หนังสือมังคลัตถทีปนีนี้เปน ปาปกตรสฺส ดังจะอธิบายตอไป ปาปกตรสฺส (มงฺคล. ๒/๔๓๑/๓๓๗) คำวา ปาปกตรสฺส ในขอวา เตน โกเธน ตสฺเสว ปุคฺคลสฺส ปาปกตรสฺส โย กุทฺธํ ปฏิกุชฺฌติ มีประเด็นที่ตองพิจารณา ๒ มติ คือ ๑) ปาปกตรสฺส ตัดบทเปน ปาปกตโร อสฺส ๒) ปาปกตรสฺส ตัดบทเปน ปาป กตรสฺส มติที่ ๑ ในขอวา เตน โกเธน ตสฺเสว ปุคฺคลสฺส ปาปกตรสฺส คำวา ปาปกตรสฺส ตัดบทเปน ปาปกตโร-อสฺส การตัดบทเชนนี้ มีปรากฏอยูบาง เชน ยตสฺส=ยโต อสฺสฯ๒ ทานทำเชิงอรรถบอกวา ปาปกตรสฺส ตางกับ อรรถกถาสารัตถปกาสินี สวนสองบทวา ตสฺเสว ปุคฺคลสฺส เปนฉัฏฐีวิภัตติ ใชในอรรถปญจมี- วิภัตติ แปลวา กวาบุคคลผูโกรธนั้นเสียอีก, ถาถือตามมตินี้ ตองขึ้น โส ปฏิกุชฺฌนโก มาเปนประธาน และ เรียงประโยคใหเต็มวา ๑ พระราชเวที (สมพงษ พฺรหฺมวํโส), คูมือแปลมคธเปนไทย, (กรุงเทพฯ: วัดเบญจม- บพิตร, ๒๕๔๗), หนา ๔๐. ๒ วินย.อ. ๒/๒๐๕; วินย. โย.๑/๕๔๗.
  • 96.
    มังคลัตถวิภาวินี ๘๒ (โส ปฏิกุชฺฌนโก) เตนโกเธน ตสฺเสว ปุคฺคลสฺส ปาปกตโร อสฺส, โย กุทฺธํ ปฏิกุชฺฌติ ฯ [ผูใดโกรธตอบบุคคลผูโกรธ, ผูโกรธตอบนั้น พึงเปนผูเลวกวาบุคคลผู โกรธนั้นเสียอีก เพราะความโกรธนั้น] มตินี้ไมตรงกับอรรถกถาและฎีกา แตนิยมแปลกันในปจจุบัน ขอให ศึกษา มติที่ ๒ ตอไป มติที ๒ ในอาคตสถาน คืออรรถกถาชื่อสารัตถปกาสินีทานวาตาง ออกไปวา ปาปกตรสฺส ในที่นี้ คือ ปาป+กตรสฺส เรียงเต็มประโยควา เตน โกเธน ตสฺเสว ปุคฺคลสฺส ปาป โหติ ฯ กตรสฺสาติ ฯ โย กุทฺธํ ปฏิกุชฺฌติ ฯ๑ ในฎีกาทานแนะไวตอไปอีกวาให ตสฺเสว โยค ปฏิกุชฺฌนกสฺส๒ จึงเรียง ใหมตามฎีกาวา เตนโกเธนตสฺเสว ปฏิกุชฺฌนกสฺส ปุคฺคลสฺส ปาป โหติ ฯกตรสฺสาติ ฯ โย กุทฺธํ ปฏิกุชฺฌติ ฯ ถาถือตามมตินี้ ก็ให ปาป เปนประธานไดเลย ในมังคลัตถทีปนีแปล ฉบับมหาธาตุวิทยาลัย ทานแปลตามมติอรรถกถานี้ และฉบับ มมร. แปล ก็ แปลตามมตินี้ในเชิงอรรถวา [ความลามกยอมมีแกบุคคลผูโกรธตอบนั้นนั่นแล เพราะความโกรธ นั้น ฯ ถามวา แกใคร ฯ แกวา แกบุคคลผูโกรธตอบ] แปลตามมตินี้อีกสำนวนวา [ปาปยอมมีแกบุคคลนั้นนั่นแหละ เพราะความโกรธนั้น ฯ ถามวา ปาปมีแกใคร ฯ ตอบวา บุคคลใดโกรธตอบ (บาปยอมมีแกบุคคลนั้น) ฯ] โบราณเรียกวา “แปลประโยคงวงชาง” (นาคโสณฺฑิ) ๑ สํ.อ. ๑/๔๖๕. ๒ สํ.ฏี. ๑/๓๕๔.
  • 97.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๘๓ ตตฺถฏฺิโตเยว (มงฺคล. ๒/๔๓๒/๓๓๗) ตตฺถโตเยว ตัดบทเปน ตตฺถ+โต+เอว, ในคำนั้น ตตฺถ โยค อธิวาสนกฺขนฺติยํ แปลวา “ในอธิวาสนขันตินั้น” เวเทหิกา (มงฺคล. ๒/๔๓๒/๓๓๗) คำวา เวเทหิกา เปนคำเรียกชาววิเทหรัฐ หรือหมายถึง ผูที่ดำเนิน ชีวิตดวยปญญา ดังที่อรรถกถาอธิบายวา เวเทหิกาติ วิเทหรวาสิกสฺส กุลสฺส ธีตา, อถวา เวโทติ ปฺา วุจฺจติ, เวเทน อีหติ อิริยตีติ เวเทหิกา ปณฺฑิตาติ อตฺโถ๑ [บทวา เวเทหิกา นี้เปนชื่อกุลธิดาผูอาศัยอยูในเวเทหรัฐ, อีกอยาง- หนึ่ง ทานเรียกปญญาวาเวทะ, หญิงใดยอมไป ยอมดำเนินไป ดวยปญญา เหตุนั้น หญิงนั้นชื่อวา เวเทหิกา อธิบายวา บัณฑิต] คหปตานี (มงฺคล. ๒/๔๓๒/๓๓๗) คหปตานี อิต. [คห+ปติ+อินี] ผูเปนใหญในเรือน, แมเจาเรือน, ดวย อำนาจ อินี ปจจัย (ปจจัยประกอบศัพทใหเปนอิตถีลิงค) เอา อิ ที่ ปติ เปน อ, คหปต+อินี ลบสระหลัง ทีฆะสระหนา)๒ วิ. คณฺหาติ ปุริเสน อานีตํ ธนนฺติ คหํ [คห อุปาทาเน+อ] วิ. ปริวารํ ปาติ รกฺขตีติ ปติ [ปา รกฺขเณ+ติ] หรือ๓ วิ. คเห ปติ คหปติ, ใน อิต. ลง อินี เปน คหปตานี อรรถกถาและฎีกาแกวา คหปตานีติ ฆรสามินี เคหสามินี ฯ๔ คหปตานี คือ ผูเปนใหญในเรือน ฯ ๑ ม.อ. ๒/๑๖๖. ๒ กจฺจายน. สูตร ๙๑, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๒๔๘ หนา ๑๙๔. ๓ อภิธานวรรณนา, คาถา ๒๐๖, ๗๒๕. ๔ ม.อ. ๒/๑๖๖, ม.ฏี. ๒/๙๘.
  • 98.
    มังคลัตถวิภาวินี ๘๔ อผาสุ, อผาสุกํ (มงฺคล.๒/๔๓๒/๓๓๗) อผาสุ (อิต.) [น+ผส สิเนหเน+ณุ] ความสบาย, ความสุข วิ. ผสฺสติ สิเนหตีติ ผาสุ (ลบ ณฺ แปลง อ ที่ ผ เปน อา) ผุสติ วา พาธติ ทุกฺขนฺติ ผาสุ (ผุส พาธเน+อุ, อาเทศ อุ เปน อา)๑ วิ. น ผาสุ อผาสุ อผาสุกํ (นปุ.) อผาสุ+ก สกตฺถ อยฺเย ในคำวา ปสฺสถยฺเย (มงฺคล. ๒/๔๓๒/๓๓๘) อยฺเย ในคำวา ปสฺสถยฺเย ทานแปลเปน พหุวจนะ วา คุณแม ทั้งหลาย, แมเจาทั้งหลาย, แมพอทั้งหลาย, ทำไมทานแปล อยฺเย เปนพหุ- วจนะ หนังสือแปล ฉบับมหาธาตุวิทยาลัย แปลเปนเอกวจนะวา ดูกอนแมเจา เรียนกันมาวา อยฺเย เปนอาลปนะ เอกวจนะ เดิมเปน อยฺยา เปน อิตถีลิงค แจกแบบ กฺา๒ เมื่อใชเปนอาลปนะ เอก. ไดรูปเปน อยฺเย-ขา แตแมเจา, พหุ. อยฺยาโย อยฺยา-ขาแตแมเจาทั้งหลาย เชน อยฺเย ปพฺพตเทวเต สจาหํ สามิเกน สทฺธึ อโรคา ชีวิตํ ลภิสฺสามิ พลิกมฺมํ เต กริสฺสามิ...ฯ๓ อุทฺทิา โข อยฺยาโย อ ปาราชิกา ธมฺมา...ตตฺถยฺยาโย ปุจฺฉามิ กจฺจิตฺถ ปริสุทฺธา ฯ๔ แตในที่นี้ทานใช อยฺเย เสมือนเปนพหุวจนะ, เปนไปไดหรือไมวา (๑) อยฺยา เมื่อใชเปนอาลปนะ ในอิตถีลิงคทานแปลงวิภัตติทั้งสองฝายเปน เอ ซึ่งเทียบกับ ปุงลิงค ที่ทานแปลงเปน โอ ดังจะแสดงตอไป (๒) เปนไปได หรือไมวา ทานใช อยฺเย เปนนิบาต เหมือน ภทฺเท ซึ่งใชไดทั้งเอกวจนะและ ๑ อภิธานวรรณนา, คาถา ๘๘. ๒ บุญสืบ อินสาร, พจนานุกรมบาลี-ไทย ธรรมบทภาค ๑-๔, หนา ๙๔. ๓ มงฺคล. ๒/๓๗๒/๒๘๓. ๔ วินย. ๓/๓๐/๒๒.
  • 99.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๘๕ พหุวจนะ (๓) เปนไปไดหรือไมวา ประโยคนี้ความจริงก็เปนเอกวจนะ นั่นแหละ แตทานใชในความเคารพจึงใชกิริยาคุมพากยวา ปสฺสถ โดยแยก พูดกันทีละคน ขอฝากใหศึกษากันตอไป สวน อยฺย ที่เปนปุงลิงคนั้น ในสัททนีติ๑ ทานอธิบายวา อยฺย ศัพท ใน ปุงลิงค เมื่อใชเปนอาลปนะ ใหแปลงวิภัตติทั้งฝายเอกวจนะและพหุวจนะ เปน โอ เชน โภ อยฺโย ตฺวํ คจฺฉ, ภวนฺโต อยฺโย ตุมฺเห คจฺฉถ ฯ๒ ยโต=ยทา (มงฺคล. ๒/๔๓๓/๓๓๘) ในขอ ๔๓๓ พึงเพิ่ม น ปฏิเสธ เขาไปในขอวา ยาว ตํ อมนาปา วจนปถา ผุสนฺติ ใหตรงกับขอความในพระไตรปฎกวา ยาว น อมนาปา วจนปถา ผุสนฺติ ฯ๓ (ไมมี ตํ) ยโต และ อถ ใชในกาล เปน ยทา และ ตทา โสรโต (มงฺคล. ๒/๔๓๔/๓๓๘) ในขอวา โสรตโสรโตติ เปนตน นักศึกษาควรขึ้น โหติ มาหลัง โสรโต เปน อติวิย โสรโต โหติ และแปลไขไปจนถึง วตฺตพฺพตํ อาปชฺชติ กุรุรา/กุรูรา (มงฺคล. ๒/๔๓๔/๓๓๘) คำวา กุรุรา ในขอวา กิมฺพิสาติ กุรุรา ฯ [บทวา กิมฺพิสา ไดแก ต่ำชา] ตางกับฎีกานิดหนอย คือในฎีกาวา กิพฺพิสาติ กุรูรา ฯ (ม.ฏี. ๒/๙๘) กุรูรา วิเคราะหวา อกฺโกสตีติ กุรูรา (อิตฺถี) [กุร ธาตุ อกฺโกเส ในความดา+อูร ปจจัย] สตรีที่ดาชื่อวา กุรูรา (ผูดา, ผูหยาบคาย) กิพฺพิสํ กโรตีติ กุรูรา (อิตฺถี) [กร ธาตุ วเธ/หึสายํ ในความเบียดเบียน+ อูร ปจจัย, อาเทศ อ เปน อุ] สตรีที่ทำรายชื่อวา กุรูรา (ผูชั่วชา)๔ ๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๔๘๓ หนา ๓๓๘. ๒ สุภาพรรณ ณ บางชาง, รองศาสตราจารย, ดร., ไวยากรณบาลี, พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘), หนา ๒๐๒. ๓ ม.มู. ๑๒/๒๖๖/๒๕๕. ๔ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๓๑๖, โมคฺ. สูตร ๗.๑๗๒, อภิธานวรรณนา, คาถา ๗๑๔.
  • 100.
    มังคลัตถวิภาวินี ๘๖ โสวจสฺสตากถา -๐- สุวโจ (ปุ.) (มงฺคล.๒/๔๓๕/๓๔๐) วิ. สุเขน วตฺตพฺโพ อนุสาสิตพฺโพติ สุวโจ (ปุคฺคโล) [สุ+วจ+ข] บุคคล อันเขาพึงกลาวคือพึงสั่งสอนไดโดยงาย ชื่อวา สุวโจ โสวจสฺสํ (มงฺคล. ๒/๔๓๕/๓๔๐) วิ. สุวจสฺส ภาโว โสวจสฺสํ (นปุ.) [สุวจ+ณฺย] แปลง อุ เปน โอ ลบ ณฺ ลง สฺ อาคม แปลง ย เปน ส หรือ แปลง สฺย เปน สฺส๑ โสวจสฺสตา (มงฺคล. ๒/๔๓๕/๓๔๐) วิ. โสวจสฺสสฺส ภาโว โสวจสฺสตา (อิตฺ) [โสวจสฺส+ตา] ปุรกฺขิตฺวา (มงฺคล. ๒/๔๓๕/๓๔๐) ปุรกฺขิตฺวา [ปุร+กร+อิ+ตฺวา] แปลง กร เปน ข ธาตุ ซอน กฺ ลง อิ อาคม๒ วิปฺปจฺจนีกสาเต : ทันตเฉทนนัย/ทันตโสธนนัย (มงฺคล. ๒/๔๓๕/๓๔๐) วิ. วิปฺปจฺจนีกฺจ ตํ สาตฺจาติ วิปฺปจฺจนีกสาตํ (กมฺมํ) วิ. วิปฺปจฺจนีกสาตํ ยสฺส โส วิปฺปจฺจนีกสาโต (ปุคฺคโล) สำนวนฎีกา ในมังคลัตถทีปนี ขอ ๔๓๖ วา ตสฺสาเอววิปฺปจฺจนีกํ ทุปฺปฏิปตฺติ สาตํ อิ เอตสฺสาติวิปฺปจฺจนีกสาโตฯ ตสฺมึ ฯ ๑ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ-ไทย, หนา ๗๗๔. ๒ กจฺจายน. สูตร ๕๙๔, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๑๙๘. โมคฺ. สูตร ๕.๑๓๔.
  • 101.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๘๗ ในขอนี้ นักเรียนสงสัยวา ทำไมทานเรียง ตสฺมึ ไวโดดๆ เรียงไวเพื่อ อะไร สื่อถึงนัยอะไร, จึงตอบนักเรียนดังตอไปนี้ การอธิบายบทตั้งในบางกรณี อาจจะอธิบายดวยวิภัตติตางกัน และ เมื่ออธิบายเสร็จแลวก็คืนวิภัตติใหตรงกับบทตั้งนั้น การอธิบายบทตั้งดวย วิภัตติตางกันนี้ เรียกวา ทันตเฉทนนัย (นัยเหมือนการตัดงาชาง) และการ คืนวิภัตติเดิมใหตรงกับบทตั้ง เรียกวา ทันตโสธนนัย (นัยเหมือนการตอ งาชาง)๑ เชนในที่นี้ คำวา วิปฺปจฺจนีกสาเต ในขอ ๔๓๕ เปนสัตตมีวิภัตติ ทาน อธิบายไวในขอ ๔๓๖ วา ตสฺสา เอว วิปฺปจฺจนีกํ ทุปฺปฏิปตฺติ สาตํ อิ เอตสฺสาติ วิปฺปจฺจนีกสาโต ฯ ในขั้นนี้เปน ทันตเฉทนนัย คือตัดจาก สัตตมี- วิภัตติ (วิปฺปจฺจนีกสาเต) เปนปฐมาวิภัตติ (วิปฺปจฺจนีกสาโต) เมื่ออธิบายโดยการวิเคราะหศัพทเสร็จแลว ทานจึงคืนปฐมาวิภัตติ (วิปฺปจฺจนีกสาโต) ใหเปนสัตตมีวิภัตติ โดยขึ้น ตสฺมึ มารับ ในขั้นนี้เปน ทันตโสธนนัย คือตอปฐมาวิภัตติใหกลับคืนเปนสัตตมีวิภัตติ ฉะนั้น จึงสรุปไดวา คำวา ตสฺสา เอว ฯลฯ วิปฺปจฺจนีกสาโต เปน ทันตเฉทนนัย สวน ตสฺมึ เปน ทันตโสธนนัย อนุโลมสาเต (มงฺคล. ๒/๔๓๖/๓๔๑) วิ. อนุโลมฺจ ตํ สาตฺจาติ อนุโลมสาตํ (กมฺมํ) วิ. อนุโลมสาตํ ยสฺส โส อนุโลมสาโต (ปุคฺคโล) หรือ วิ. อนุโลมํ สุปฏิปตฺติ สาตํ อิ เอตสฺสาติ อนุโลมสาโต ๑ พระธัมมานันทเถร (แปล), เนตติหารัตถทีปนี อุปจาร และ นย, (กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๓), หนา ๖๙-๗๐.
  • 102.
    มังคลัตถวิภาวินี ๘๘ ขโม (มงฺคล. ๒/๔๓๘/๓๔๑) วิ.ขมตีติ ขโม, ขมนํ วา ขโม [ขมฺ หรือ ขมุ สหเน+อ] ผูอดทน ชื่อวา ขโม (ผูอดทน), อีกอยางหนึ่ง การอดทน ชื่อวา ขโม (การอดทน) ขโม ในเรื่องโสวจัสสตานี้ ทานอธิบายวา ขโมติ ขนฺตา จึงใชใน อรรถกัตตา แปลวา ผูอดทน ขนฺตา (มงฺคล. ๒/๔๓๘/๓๔๑) วิ. ขมตีติ ขนฺตา [ขมฺ หรือ ขมุ สหเน+ตุ] ผูอดทน ชื่อวา ขนฺตา ลบ อุ ธาตุมี ม เปนที่สุดอยูหนา เอาที่สุดธาตุเปน นฺ๑ แจกแบบ สตฺถุ ลง สิ ปฐมา- วิภัตติ, ในสัททนีติธาตุมาลา วา ขมุ ธาตุในอรรถภาวะ เชน ขนฺติ, ขโม, ขมนํ (ความอดทน), ใชในอรรถกัตตา เชน ขนฺตา, ขมิตา (ผูอดทน)๒ ปฏานิภาเวน (มงฺคล. ๒/๔๓๘/๓๔๑) วิ. ปฏิอนตีติ ปฏาโน [ปฏิ+อน สทฺเท+ณ] ผูสงเสียงโตแยง ชื่อวา ปฏาน (ขาศึก) (สบสระหนา ทีฆะสระหลัง) วิ. ปฏานสฺส ภาโว ปฏานิภาโว [ปฏาน+อิ+ภู] ความเปนแหงผูสงเสียง ตอบชื่อวา ปฏานิภาโว (อาคม อิ วัณณะ หนา ภู ธาตุ)๓ วิเสสาธิคมสฺส ทูเร/อทูเร (มงฺคล. ๒/๔๔๑/๓๔๓) นักเรียนสงสัยวา คำวา วิเสสาธิคมสฺส ควรแปลวา จาก หรือ แหง ไดตอบนักเรียนวา ถาชอบสำนวนเฉลยของกองบาลีสนามหลวง ซึ่งเขากับภาษาไทยสนิทดีและฟงไมขัดหู ใหแปลวา จาก แตถาชอบรักษา ไวยากรณ ใหแปลวา แหง หรือแปลไมออกสำเนียงอายตนิบาต ๑ พระมหาศักรินทร ศศพินทุรักษ, หลักควรจำบาลีไวยากรณ, หนา ๑๙๒. ๒ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๓๖๒. ๓ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๓๓๘ หนา ๑๑๖๗.
  • 103.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๘๙ ใน ๓ ขอความดังตอไปนี้ คือ ๑) อปจ วิเสสาธิคมสฺส อวิทูริภาวโต มงฺคลํ ฯ ๒) โส วิเสสาธิคมสฺส ทูเร โหติ ฯ ๓) โส วิเสสาธิคมสฺส อทูเร โหติ คำวา วิเสสาธิคมสฺส เปนฉัฏฐีวิภัตติ แตในเฉลยขอสอบสนามหลวง ครั้งที่ ๒ ขอ ๒ พ.ศ. ๒๕๔๘ ทานแปลเปนปญจมีวิภัตติวา ไกล/ไมไกล จาก การบรรลุคุณวิเสส เสมือนหนึ่งวา วิเสสาธิคมสฺส ในที่นี้ใชในอรรถปญจมี- วิภัตติ (หนังสือฉบับแปลโดย อาจารยบุญสืบ อินสาร และฉบับแปลโดย พระมหาสมบูรณ ทสฺสธมฺโม แปลตามสำนวนสนามหลวง ซึ่งถือเปนเรื่อง ปกติ) ที่สนามหลวงทานแปลเชนนี้ ก็อาจจะมีหลักของทานเปนธรรมดา, นี้ สำนวนที่ ๑ แตในหนังสือแปลฉบับ มมร. แปลโดย พระมหานาค อุปนาโค ทาน แปลวา ไกล/ไมไกล การบรรลุคุณวิเสส, (แปลไมออกสำเนียงวิภัตติ) นี้ สำนวนที่ ๒ สวนฉบับมหาธาตุวิทยาลัย แปลโดย สมเด็จพระวันรัต (เขมจารีมหา- เถระ) ทานแปลวา ไกล/ไมไกล แหงอันบรรลุซึ่งคุณวิเสส (ตนฉบับทาน เขียน บัลลุ ในที่นี้ไดสะกดตามที่นิยมในปจจุบัน), สำนวนนี้ ทานยึดหลัก บาลีไวยากรณอยางเครงครัด ดังจะอธิบายตอไป, นี้สำนวนที่ ๓ ผูเขียนนี้ แนะนำใหนักเรียนของตน แปลตามสำนวนที่ ๒ และ ๓ เพราะมุงไมใหเสียหลักไวยากรณ สวนสำนวนที่ ๑ ยกไวเปนกรณีศึกษาโดย เคารพ โดยทั่วไปฉัฏฐีวิภัตตินิยมใชในอรรถแหงปญจมีวิภัตติ (แต,จาก) ในที่ ประกอบดวยบทที่มีอรรถวา เสื่อมและกลัว (เสื่อมจาก, กลัวแต) [ปฺจมิยตฺเถ ปริหานิภยตฺถโยเค] พึงดู ปทรูปสิทธิ สูตรที่ ๓๑๘ เชน อสฺสวนตา ธมฺมสฺส ปริหายนฺติ (สัตวทั้งหลายยอมเสื่อมจากธรรม เพราะการไมฟง), สพฺเพ ตสนฺติ ทณฺฑสฺส (สัตวทั้งปวงกลัวแตการลงโทษ)
  • 104.
    มังคลัตถวิภาวินี ๙๐ แตในที่นี้คำวา วิเสสาธิคมสฺส เปนฉัฏฐีวิภัตติไมไดประกอบดวยบท ที่มีอรรถวา เสื่อมและกลัว แตประกอบดวย ทูร ศัพท ทำไมทานแปลวา จากการบรรลุคุณวิเสส ในปทรูปสิทธิ (อธิบาย สูตรที่ ๓๑๖) ทานอธิบายไวคอนขางชัดวา ลง ฉัฏฐีวิภัตติในคำที่เกี่ยวเนื่องกับที่ใกล (สมีปสมฺพนฺเธ) เชน อมฺพวนสฺส อวิทูเร [ในที่ไมไกลแหงปามะมวง] นิพฺพานสฺเสว สนฺติเก [ในที่ใกลแหงพระนิพพาน นั่นเอง] ถึงแมคำแปลวา ไกล/ไมไกล แหงอันบรรลุซึ่งคุณวิเสส จะฟงขัดหู แต ก็ถูกหลักไวยากรณ ฉะนั้น จึงแนะนำใหนักเรียนเลือกแปลตามสำนวนที่ ชอบใจเถิด กตฺวา เปนกิริยาปธานนัย (มงฺคล. ๒/๔๔๖/๓๔๗) กตฺวา ในขอความวา อถ เชยกฺขินี เชวาณิชํ อวเสสยกฺขินิโย อวเสสวาณิเช สามิเก กตฺวา รตฺติภาเค เตสุ นิทฺทูปคเตสุ อุาย คนฺตฺวา กรณฆเร มนุสฺเส ขาทิตฺวา อาคมึสุ ฯ เปนกิริยาปธานนัย อกโรนฺตา จตสฺโส ปริสา: อกโรนฺตา/อกโรนฺตี ? (มงฺคล. ๒/๔๔๗/๓๔๗-๘) คำวา อกโรนฺตา ในขอวา อกโรนฺตา จตสฺโส ปริสา ตามหลักบาลี- ไวยากรณที่เรียนกันนี้ ตองเปน อกโรนฺตี เพราะ อนฺต ปจจัยที่เปนอิตถีลิงค แจกแบบ นารี แตในสัททนีติปทมาลา ทานอธิบายวา มหนฺต ศัพทที่เปนอิตถีลิงค แจกตามแบบ อิตฺถี อีกนัยหนึ่งแจกแบบ กฺา ก็ได๑ ฉะนั้น จึงเปนไปไดวา อกโรนฺตา ในที่นี้ทานแจกแบบ กฺา โดย อนุวัตนตาม มหนฺต ศัพทที่แสดงไวในสัททนีตินั้น ๑ สัททนีติปทมาลา, หนา ๕๘๘.
  • 105.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๙๑ ลักษณะเชนนี้ นักเรียนเคยพบมาแลว เมื่อครั้งเรียน ประโยค ป.ธ. ๔ ในมังคลัตถทีปนี ภาค ๑ ขอ ๑๒๔ หนา ๑๔๒ ที่วา เตเนว สา สจฺฉิ- กิริยาภิสมเยน วิภูตํ ปากฏํ กโรนฺตา ปสฺสติ ปจฺจกฺขํ กโรติ...ฯ มีขอสังเกตวา อกโรนฺตา จตสฺโส ปริสา นี้ในอรรถกถาชาดกซึ่งเปน ตนแหลงเดิม ที่ทานนำมาอางในมังคลัตถทีปนีนี้ ทานแสดงตางออกไปวา อกโรนฺตา ภิกฺขูป ภิกฺขุนิโยป อุปาสกาป อุปาสิกาโยปฯ๑ จตูสุ อปาเยสุ [อบาย ๔] (มงฺคล. ๒/๔๔๗/๓๔๘) อบาย, อบายภูมิ ภูมิกำเนิดที่ปราศจากความเจริญ มี ๔ อยาง คือ นิรยะ นรก ติรัจฉานโยนิ กำเนิดดิรัจฉาน ปตติวิสัย ภูมิแหงเปรต และ อสุรกาย พวกอสุรกาย๒ ๑. นิรยะ นรก ไดแก (๑) มหานรก (๒) อุสสทนรก (๓) ยมโลกนรก (๔) โลกันตริกนรก ๒. ติรัจฉานโยนิ กำเนิดสัตวเดรัจฉาน (๑) อปทะ จำพวกที่ไมมีขา (๒) ทวิปทะ จำพวกที่มี ๒ ขา (๓) จตุปปทะ จำพวกที่มี ๔ ขา (๔) พหุปปทะ จำพวกที่มีมากกวา ๔ ขาขึ้นไป ๓. ปตติวิสัย ภูมิแหงเปรต (๑) ปรทัตตูปชีวิกเปรต เปรตที่เลี้ยงชีวิต ดวยสวนบุญที่เขาอุทิศให (๒) ขุปปปาสิกเปรต เปรตที่อดอยาก หิวขาวน้ำ อยูตลอดเวลา (๓) นิชฌามตัณหิกเปรต เปรตที่ถูกไฟเผาใหรอนรนอยูเสมอ (๔) กาลกัญจิกเปรต เปรตในจำพวกอสุรกาย ๔. อสุรกาย พวกอสูร (๑) เทวอสุรา อสุรกายที่เปนเทวดา (๒) เปติ- อสุรา อสุรกายที่เปนพวกเปรต (๓) นิรยอสุรา อสุรกายที่เปนพวกสัตวนรก ๑ ชา.อ. ๓/๒๐๒. ๒ ขุ.อิติ. ๒๕/๒๗๓/๓๐๑.
  • 106.
    มังคลัตถวิภาวินี ๙๒ ป ฺจวิธพนฺธนกมฺมกรณฏฺานาทีสุ (มงฺคล.๒/๔๔๗/๓๔๘) ปฺจวิธพนฺธนํ (เครื่องผูก ๕ อยาง) ในคำวา ปฺจวิธพนฺธนกมฺม- กรณานาทีสุ คือ การใชตะปูรอนลุกโชนตรึงที่ มือขวา มือซาย เทาขวา เทาซาย และอก๑ กาหนฺติ (มงฺคล. ๒/๔๔๗/๓๔๘) กาหนฺติ [กร+โอ+สฺสนฺติ] แปลวา จักกระทำ ไมควรแปลวา ยอม กระทำ เชน ในขอวา เย น กาหนฺติ โอวาท นรา พุทฺเธน เทสิตํ [นระเหลา ใดจักไมกระทำตามโอวาทที่พระพุทธเจาทรงแสดงแลว] แปลง กร กับ โอ เปน กาห ลง สฺสนฺติ วิภัตติ แลวลบ สฺส หรือ เอา ร แหง กร กับ โอ และ สฺส เปน อาห๒ สวนในหนังสืออธิบายบาลีไวยากรณทานวา กร ธาตุ อา ปจจัย สฺสติ วิภัตติ เพราะภวิสฺสนฺติ วิภัตติ แปลง กรฺ เปน กาห ลบ สฺส แหง สฺสติ วิภัตติ เสีย คงไวแต ติ๓  ๑ เชน ม.อุ. ๑๔/๔๗๕/๓๑๕. ๒ กจฺจายน. สูตร ๔๘๑, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๙๖๒, โมคฺ. สูตร ๖.๒๕ ๓ มหามกุฏราชวิทยาลัย, อธิบายบาลีไวยากรณ อาขยาต, หนา ๘๕.
  • 107.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๙๓ สมณทสฺสนกถา -๐- ตถาสมาหิตํ (มงฺคล. ๒/๔๔๙/๓๕๑) สมาหิตํ [สํ+อา+ธา+อิ+ต] ในขอวา ตถาสมาหิตํ จิตฺตํ แปลวา จิตที่ตั้ง มั่นแลวอยางนั้น, ธา ธาตุ จัดลงในหมวด ภู ธาตุ ถา อา เปนบทหนาใชใน ความหมายวายกขึ้น, ตั้งขึ้น (อาโรปเน)๑, แปลง ธา เปน ห, อิ อาคม๒ สวนในคัมภีรโมคคัลลานะ ทานอธิบายวา ลง ต ปจจัยแลว แปลง ธา ธาตุ เปน หิ๓, แมคำวา ปณิหิตํ, นิหิต- ก็พึงทราบลง ธา ธาตุ แปลง ธา เปน ห หรือ หิ โดยนัยนี้เหมือนกัน อชฺฌุเปกฺขิตา (มงฺคล. ๒/๔๔๙/๓๕๑) อชฺฌุเปกฺขิตา [อธิ+อุป+อิกฺข ทสฺสนงฺเกสุ+ตุ+สิ] อชฺฌุเปกฺขตีติ อชฺฌุเปกฺขิตา ผูเพง, ผูเพงดู (อธิ เปน อชฺฌ, อิ เปน เอ, อิ อาคม, อุ การันต กับ สิ เปน อา) นิสินฺนสฺส (มงฺคล. ๒/๔๕๓/๓๕๓) บทวา นิสินฺนสฺส ในขอ ๔๕๓ หนา ๓๕๓ พึงสัมพันธเขากับบทวา อนุสฺสรณํ และในขอ ๔๕๔ ก็นัยนี้เหมือนกัน ตตฺถาปิ ตโต (มงฺคล. ๒/๔๕๖/๓๕๖) ตฺตถาป ตโต ในขอ ๔๕๖ พึงนำศัพทในขอ ๔๕๔ มาประกอบ ดังนี้ ๑ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๒๐๐ หนา ๒๐๙. ๒ พจนานุกรมกิริยากิตต ฉบับธรรมเจดีย, หนา ๒๕๑. ๓ โมคฺ. สูตร ๔.๗๒.
  • 108.
    มังคลัตถวิภาวินี ๙๔ ๑. ตตฺถ=เตสุป รตฺติานทิวาาเนสุ[ในที่พักกลางคืนและที่พัก กลางวันแมนั้น] ๒. ตโต=ตมฺหา อริยสนฺติกา [จากสำนักของพระอริยเจานั้น] สตสหสฺสมตฺตา (มงฺคล. ๒/๔๕๖/๓๕๖) ขอวา สตสหสฺสมตฺตา อเหสุ สมนฺตปาสาทิกตฺตา ปหสฺส ขึ้น ประธาน ตามขอความในขอ ๔๕๕ ใหเต็มประโยควา (มหากสฺสปตฺเถรสฺส อนุปฺปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตา กุลปุตฺตา) สตสหสฺส- มตฺตา อเหสุ สมนฺตปาสาทิกตฺตา ปหสฺส แปล [(กุลบุตรทั้งหลายผูบวชตามพระมหากัสสปะเถระ) ไดมี ประมาณแสนหนึ่ง เพราะการบวชของพระมหากัสสปะเถระนำความ เลื่อมใสมาโดยรอบดาน] มหินฺท...ปพฺพชนฺติ นาม (มงฺคล. ๒/๔๕๖/๓๕๖) ขอวา มหินฺท...ปพฺพชนฺติ นาม นักศึกษานำศัพทในขอ ๔๕๕ หนา ๓๕๕ มาเติมใหเต็มวา มหินฺทตฺเถรสฺเสว ปพฺพชฺชํ อนุปฺปพฺพชนฺติ นาม [(กุลบุตรทั้งหลาย) ชื่อวายอมบวชตามพระมหินทเถระนั่นแหละ] ปาตุกมฺมาย (มงฺคล. ๒/๔๖๐/๓๕๙) ในประโยควา โก ปจฺจโย สิตสฺส ปาตุกมฺมาย ฯ คำวา ปาตุกมฺมาย ลง ส จตุตถีวิภัตติ แตใชในอรรถแหงวิภัตติอื่น, หนังสือฉบับแปล นิยมแปลวา แหงการทรงทำการแยมพระสรวลใหปรากฏ
  • 109.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๙๕ และสัมพันธวา สิตสฺส ฉีกมฺม ใน -กมฺมาย ปาตุกมฺมาย สามีสมฺพนฺธ ใน ปจฺจโย๑, ปาตุกมฺมาย เปนจตุตถีวิภัตติใชในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ๒ อีกมติหนึ่ง ปาตุกมฺมาย มีวิภัตติวิปลาส คือลง ส จตุตถีวิภัตติ แตใช ในอรรถสัตตมีวิภัตติ๓ โดยอางสูตรในสัททนีติ๔ ไดรูปเปน ปาตุกมฺมาย= ปาตุกมฺเม ฉะนั้น จึงแปลวา ในการทรงทำการแยมพระสรวลใหปรากฏ อตีวมหา : บทว่า มหา เป็ นได้ ๓ ลิงค์(มงฺคล. ๒/๔๖๒/๓๖๐) ในขอวา อตีวมหา อโหสิ ปหาโร [ไดเปนการประหารอยางถนัดยิ่ง] อตีวมหา [อตีว+มหา], อตีว เปนนิบาต แปลวา ดี, ยิ่ง, ดียิ่ง, ยิ่งนัก, เหลือเกิน, อยางยิ่ง๕, มหา เปนคุณนาม แปลวา ใหญ, มาก, กวาง เปนตน มหา ศัพทเดิมเปน มหนฺต ตามมติของสัททนีติปทมาลา ทานอาศัย ตัวอยางจากพระบาลี จึงแจก มหนฺต ศัพทไดรูปเปน มหา ครบทั้ง ๓ ลิงค๖ เชน อุปาสก มหา เต ปริจฺจาโค๗ [อุบาสก การบริจาคของทาน ยิ่งใหญ] พาราณสีรชฺชํ นาม มหา๘ [ชื่อวาแควนพาราณสี กวางใหญนัก] เสนา สา ทิสฺสเต มหา๙ [กองทัพนั้น ปรากฏเปนกองทัพที่ยิ่งใหญ] ๑ พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และคณะ, วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๘ ฉบับ สมบูรณ, (กรุงเทพฯ : ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๘), หนา ๒๐. ๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๖๗๒ หนา ๕๗๑-๕๗๒. ๓ สุภาพรรณ ณ บางชาง, ไวยากรณบาลี, หนา ๓๔๑. ๔ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๖๗๒ หนา ๕๗๑. ๕ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ-ไทย, (กรุงเทพฯ สำนักเรียนวัดปากน้ำ, ๒๕๔๐), หนา ๒๖. ๖ สัททนีติปทมาลา, หนา ๕๘๗-๕๙๐. ๗ ชา.อ. ๖/๒๑๓. ๘ อุ.อ. ๑/๓๖๙. ๙ ขุ.ชา. ๒๘/๖๗๙/๒๔๓.
  • 110.
    มังคลัตถวิภาวินี ๙๖ อฑฺฒฏฺรตนํ (มงฺคล. ๒/๔๖๒/๓๖๐) อฑฺฒรตนํ[อฑฺฒ+อ+รตนํ] (นาคํ) ชางตัวมีประมาณ ๗ ศอก ครึ่ง, ชางตัวมีประมาณ ๗ ศอกคืบ วิ. อฑฺฒมรตนนฺติ อฑฺเฒน อนฺนํ ปูรณนฺติ อฑฺฒมานิ ฯ อฑฺฒมานิ รตนานิ ปมาณํ เอตสฺสาติ อฑฺฒมรตโน (นาโค) ฯ ตํ ฯ๑ นาค ศัพท์เดียว แปลได้หลายอย่าง (มงฺคล. ๒/๔๖๒/๓๖๐) นาค ในขอนี้ หมายถึง หตฺถินาคํ แปลวา ชาง, ความจริง นาค ศัพทนี้ แปลไดหลายอยาง นาค แปลไดหลายอยาง ดังนี้ ๑) ผูประเสริฐ ไดแก พระราชา ๒) สัตวประเสริฐ ไดแก ชาง ๓) ตนกากะทิง ๔) ผูหมดกิเลส ไดแก พระพุทธเจา หรือ พระอรหันต และ ๕. งู เชน ในวชิรสารัตถสังคหะวา๒ นาโคว นาคมารุยฺห นาคมูลํ อุปาคมิ นาคปุปฺผํ คเหตฺวาน นาคสฺส อภิปูชยิ [พระราชานั่นแหละ ทรงชาง เขาไปใกลโคนตน กากะทิงเก็บดอกกากะทิงนอมบูชาพระพุทธเจา] ทานอธิบายดวยคาถานี้วา ติณคฺคํ ขาทติ เภกํ คิลติ กาลปุปฺผิโต นาโค เทวมนุสฺสานํ ธมฺมํ เทเสติ เกวลํ [นาค ๑ เคี้ยวยอดหญา (ชาง) นาค ๑ กลืนกิน กบ (งู) นาค ๑ มีดอกบานตามฤดูกาล (ตน กากะทิง) นาค ๑ แสดงธรรม (พระพุทธเจา)] ๑ การอธิบายเชนนี้ เรียกวา ทันตเฉทนนัย และ ทันตโสธนนัย ๒ พระสิริรัตนปญญาเถระ (รจนาเสร็จ พ.ศ. ๒๐๗๘), แยม ประพัฒนทอง (แปล), วชิรสารัตถสังคหะ, (กรุงเทพฯ: วัดปากน้ำ, ๒๕๕๖), หนา ๙๒, ๑๗๙.
  • 111.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๙๗ วิธีแปล ขมนียํ/ยาปนียํ (มงฺคล. ๒/๔๖๒/๓๖๑) คำวา ขมนียํ, ยาปนียํ ในชั้นประโยค ป.ธ. ๕ นี้ แปลโดยอรรถวา พอทนได, พอใหเปนไปได เชน ขมนียํ เม อาวุโส โมคฺคลฺลาน, ยาปนียํ เม อาวุโส โมคฺคลฺลาน [โมคคัลลานะผูมีอายุ เราพอทนได, โมคคัลลานะผูมีอายุ เราพอ ใหเปนไปได] ในขอนี้ คำวา ขมนียํ, ยาปนียํ เปนกิริยา ถานักเรียนประสงคจะขึ้น ประธาน ขอใหถือตามอรรถกถาวินัย ซึ่งทานแนะใหขึ้น อิทํ จตุจฺจกฺกํ นวทฺวารํ สรีรยนฺตํ๑ มาเปนประธาน จึงไดรูปประโยคเชนนี้วา [อิทํ เม จตุจฺจกฺกํ นวทฺวารํ สรีรยนฺตํ] ขมนียํ อาวุโส โมคฺคลฺลาน, [อิทํ เม จตุจฺจกฺกํ นวทฺวารํ สรีรยนฺตํ] ยาปนียํ อาวุโส โมคฺคลฺลาน [โมคคัลลานะผูมีอายุ ยนตคือสรีระ มีสี่ลอ เกาประตูนี้ เราพอทนได, โมคคัลลานะผูมีอายุ ยนตคือสรีระ มีสี่ลอ เกา ประตูนี้ เราพอใหเปนไปได] นิทฺทํ อุปคตสฺส (มงฺคล. ๒/๔๖๒/๓๖๑) ขอวา อนฺโตสมาปตฺติยํ อปฺปฺายมานทุกฺขฺหิ กายนิสฺสิตตฺตา นิทฺทํ อุปคตสฺส มกสาทิชนิตํ วิย ปฏิพุทฺธสฺส โถกํ ปฺายิตฺถ ฯ เรียงเต็มประโยควา อนฺโตสมาปตฺติยํ อปฺปฺายมานทุกฺขฺหิ กายนิสฺสิตตฺตา [นิทฺทํ อุปคตสฺส มกสาทิชนิตํ อปฺปฺายมานทุกฺขํ วิย ปฏิพุทฺธสฺส โถกํ ปฺายนฺตํ] โถกํ ปฺายิตฺถ ฯ ๑ เชน วินย.อ. ๑/๗๐๕, สมนฺตปาสาทิกา ภาค ๑ ที่ใชเปนหนังสือเรียน หนา ๕๘๙.
  • 112.
    มังคลัตถวิภาวินี ๙๘ [ความจริง ทุกขที่ไมปรากฏอยู ในภายในแหงสมาบัติ ปรากฏแลวหนอยหนึ่งเพราะความเปนสภาพอาศัยกาย (ดุจ ทุกขที่เกิดขึ้นเพราะยุงเปนตน ไมปรากฏอยูแกบุคคลผูเขาถึง ความหลับ ปรากฏแกเขาผูตื่นแลวเพียงเล็กนอย ฉะนั้น)] ฑยฺหามิ (มงฺคล. ๒/๔๖๒/๓๖๑) ฑยฺหามิ เราเรารอน, เราอันความรอนแผดเผา [ทห ธาตุในความเผา ภสฺมีกรเณ+ย กรรมวาจก+มิ] แปลง ท เปน ฑ๑ สลับ ย ไปไวหนา ห๒ เปน กัมมวาจก ในกัตตุวาจก ไดรูปเปน ทหติ เชน อคารานิ อคฺคิ ทหติ ฯ นักศึกษาพึง ศึกษารูปกิริยากิตก เชน อคฺคินา ทฑฺฒํ เคหํ ฯ ธมฺมสากจฺฉากถา -๐- ใน ธมฺมสากจฺฉากถา มีเนื้อความชัดเจน ไมมีเนื้อความที่ตองอธิบาย เพิ่มเติม ทั้งนักเรียนก็ไมไดสงสัยอะไร จึงขอขามไปอธิบาย ตปกถา เลย  ๑ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๕๑๕. ๒ นิรุตติทีปนี, หนา ๕๒. พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และคณะ, วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๕ ฉบับแกไข/ปรับปรุง, (กรุงเทพฯ : ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๒), หนา ๑๕๙.
  • 113.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๙๙ นวมคาถายตฺถวณฺณนา ตปกถา -๐- ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา : วิเสสลาภี (มงฺคล. ๒/๔๗๑/๓๖๖) ตีติกฺขา วิเสสลาภี ของ ขนฺตี ฯ๑ แปลวา ขันติคือความอดกลั้น แปล ยกศัพทวา ขนฺตี ความอดทน คือ ตีติกฺขา ความอดกลั้น ตโป โหติ เปนตบะ ปรมํ อยางยิ่ง๒ ตีติกฺขา (มงฺคล. ๒/๔๗๑/๓๖๖) ติติกฺขา (อิต.) [ติชฺ ขนฺติยํ+ข] ความอดทน, ความอดกลั้น, ความ- ทนทาน, ความอดใจ, ความบึกบึน. ติชฺ ขนฺติยํ, โข. เทฺวภาว ติ แปลง ชฺ เปน กฺ อา อิต. เปน ตีติกฺขา บาง๓ มหาหํสชาตก (มงฺคล. ๒/๔๗๑/๓๖๗) ทานยกขอความแหงมหาหังสชาดกมาแสดงเพียงบางสวน ในหนังสือ ฉบับแปลทานนำขอความมาเติมใหเต็มประโยค ขอความเต็มมีดังตอไปนี้ ทานํ สีลํ ปริจฺจาคํ อาชฺชวํ มทฺทวํ ตป [อกฺโกธํ อวิหึสฺจ ขนฺตึ จ อวิโรธนํ อิจฺเจเต กุสเล ธมฺเม เต ปสฺสามิ อตฺตนีติ]๔ มหาหํสชาตเก อุโปสถกมฺมํ ฯ ๑ พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และคณะ, วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๖ ฉบับ สมบูรณ, (กรุงเทพฯ : ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๗), หนา ๒๕๘. ๒ อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒, หนา ๔. ๓ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๙๐๖, พจนานุกรม มคธ-ไทย, หนา ๓๐๖. ๔ ชา.อ. ๘/๒๘๑.
  • 114.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๐๐ แปล อุโบสถกรรม ชื่อวาตบะ ในมหาหังสชาดกวา เรา พิจารณาเห็นกุศลธรรมเหลานั้น คือ ทาน ๑ ศีล ๑ บริจาค ๑ ความซื่อตรง ๑ ความออน โยน ๑ ตบะ ๑ [ความไมโกรธ ๑ ความไม เบียดเบียน ๑ ความ อดทน ๑ ความไมยินราย ๑ ซึ่งตั้งอยูแลวในตน] ยตฺวาธิกรณเมนํ (มงฺคล. ๒/๔๗๓/๓๖๘) ยตฺวาธิกรณเมนํ [ยตฺวาธิกรณํ+เอนํ], กอนอื่น ขอใหนักเรียนทำความ เขาใจหลักการเบื้องตนกอนวา ๑. ย, ต สัพพนาม ไมวาจะประกอบวิภัตติไหน เมื่อเขาสมาสแลว นิยมลงนิคคหิตอาคมหรือซอนพยัญชนะ๑ เปน ยํ, ตํ อุ. ยสฺส การณา=ยํ การณา ๒. ปฐมาวิภัตติที่ ยํ, ตํ ดังกลาวนั้น แปลงเปน โต เชน ยโต, ตโต ได บาง อุ. ตํนิทานํ=ตโตนิทานํ (ดูอางอิงในเชิงอรรถเดียวกันกับขอ ๕) ๓. บทวา เหตุ, อธิกรณํ เปนปฐมาวิภัตติใชอรรถการณะ ๔. บางมติวา ยํการณา, ตโตนิทานํ เปนตน เปนนิบาต จึงไม จำเปนตองแจกดวยวิภัตติ ๕. บางมติวา เอนํ เปนปทปูรณะ๒ คำวา ยตฺวาธิกรณํ ในวิสุทธิมรรคอธิบายวา ยํการณา, ยสฺส จกฺขุนฺทฺริยาสํวรสฺส เหตุ, ฎีกาอธิบายวา ยสฺส จกฺขุนฺทฺริยสฺส การณา ๑ พระราชเวที, ศัพท-สำนวน มังคลัตถทีปนี, พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ: เลี่ยงเชียง, ๒๕๓๔), หนา ๒๔; สัททนีติปทมาลา, หนา ๘๙๒, ๙๐๑. ๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๔๙๗, ๖๔๙, ๖๕๕. และ หนา ๑๒๔๕.
  • 115.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๑๐๑ ฉะนั้น คำวา ยตฺวาธิกรณํ จึงแปลวา เพราะเหตุการไมสำรวมอินทรีย คือจักษุใด ยตฺวาธิกรณํ ตัดบทเปน ยโต-อธิกรณํ๑ แปลวา เพราะเหตุ...ใด, อธิกรณํ เปนปฐมาวิภัตติใชในอรรถการณะ แปลวา เพราะเหตุ, ยโต คือรูป ของ ยํ ที่เปลี่ยนไปตามหลักการวา เมื่อ นิทาน ศัพทเปนตน อยูหลัง ให เปลี่ยนปฐมาวิภัตติที่ ยํ, ตํ เปน โต๒ (ยโต ตโต), ยํอธิกรณํ เปลี่ยนเปน ยโต- อธิกรณํ ฉะนั้นทานจึงแก ยโต อธิกรณํ วา ยํการณา และอธิบายตอวา ยสฺส จกฺขุนฺทฺริยสฺส การณา, (ยํ ในที่นี้คือ ยสฺส) ยสฺส เขาสมาสจึงกลายเปน ยํ ในที่นี้โยค จกฺขุนฺทฺริยสฺส, นักศึกษาพึงเห็นลำดับการเปลี่ยนรูป ยโต-ยํ-ยสฺส สรุปการจำแนกศัพทโดยลำดับดังนี้ ยตฺวาธิกรณํ - ยโต อธิกรณํ [ตัดบทเปน ยโต-อธิกรณํ] ยโต อธิกรณํ - ยํอธิกรณํ [ยํ เปลี่ยนปฐมาที่ ยํ เปน โต] ยํอธิกรณํ - ยํการณา [อธิกรณํ ปฐมา. ในอรรถการณะ] ยํการณา - ยสฺส จกฺขุนฺทฺริยสฺส การณา [ยสฺส เขาสมาสจึงเปน ยํ] หรือ ยสฺส จกฺขุนฺทฺริยาสํวรสฺส เหตุ [เหตุ ปฐมา. ในอรรถการณะ] หตฺถปาทสิตหสิตกถิตวิโลกิตาทิเภทํ: ต ปจจัย ๔ สาธนะ(มงฺคล.๒/๔๗๔/๓๖๙) บทวา สิตหสิตกถิตวิโลกิต ลง ต ปจจัย, ในที่นี้ทานใชเปนนามนาม ไมใชเปนคุณนามหรือกิริยากิตต แปลวา การหัวเราะ ยิ้มแยม เจรจา และ เหลียวดู ต ปจจัยในที่นี้ทานใชเปนภาวสาธนะ วิ. หสนํ หสิตํ (การหัวเราะ ชื่อ วา หสิตะ), ทั้งนี้มีหลักการวา ต ปจจัยมีความหมายได ๔ สาธนะ คือ ๑ ปทวิจารทีปนี, หนา ๑๓๓. ๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๖๔๙, ๔๙๗.
  • 116.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๐๒ ๑. กัตตุสาธนะ เชนคโต (ผูไป), นิสินฺโน (ผูนั่ง) ๒. กัมมสาธนะ เชน อภิภูโต (อันเขาครอบงำแลว) ๓. ภาวสาธนะ เชน คตํ (การไป), นิสินฺนํ (การนั่ง), สยิตํ (การนอน) ๔. อธิกรณสาธนะ เชน อาสีตํ (ที่นั่ง), นิปนฺนํ (ที่นอน)๑ ต ปจจัยที่ใชเปนนามนามนี้ มีตัวอยางใหเห็นอยูบาง เชน อาคตนฺติ อาคมนํ ฯ๒ หิ ศัพท์ (มงฺคล. ๒/๔๗๕/๓๗๑) หิ ศัพทในขอความวา ยตฺวาธิกรณนฺติ หิ ยสฺส จกฺขุนฺทฺริยสฺส การณาติ อตฺโถ ฯ ทานแปลวา นัยหนึ่ง นักเรียนรูสึกแปลกใจ ที่ทานแปล หิ วา นัยหนึ่ง (อปรนัย) เพราะ เทาที่เรียนกันมาไมเคยพบเจอ, หิ ในขอความนี้ เทาที่พบทานแปลไว ๓ สำนวน ดังนี้วา ๑. ก็ (วากฺยารมฺภ) [เฉลยสนามหลวง ป ๒๕๑๕] ๒. อีกนัยหนึ่ง (อปรนย) ๓. เพราะ (การณโชตก) สำนวนที่ ๑ และ ๒ ที่แปลวา ก็, อีกนัยหนึ่ง นั้นไมยาก นักเรียนแปล ไดทันที สวนสำนวนที่ ๓ ที่แปล หิ วา เพราะเหตุใด นี้นาสนใจ สำนวนนี้ ทานพระมหาสมบูรณ ทสฺสธมฺโม แปล หิ วา เพราะ และไขไปที่ การณา วา ยตฺวาธิกรณนฺติ หิ ยสฺส จกฺขุนฺทฺริยสฺส การณาติ อตฺโถ ฯ ๑ พระคันธสาราภิวงศ เรียบเรียง, พระธรรมโมลี และเวทย บรรณกรกุล ชำระ, สังวรรณนามัญชรี และ สังวรรณนานิยาม, (นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช- วิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๕), หนา ๙๓. ศึกษาเพิ่มเติมที่ ปทรูปสิทธิ (อธิบายสูตร ๖๐๖, ๖๑๒, ๖๒๒, ๖๓๓) ๒ ที.อ. ๒/๑๕๕.
  • 117.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๑๐๓ [บทวา ยตฺวาธิกรณํ คือ เพราะเหตุใด ไดแก เพราะเหตุแหงอินทรีย คือจักษุใด] ความจริง ในคัมภีรคันถาภรณมัญชรี๑ ทานวา หิ ศัพทใชในอรรถ ๙ อยาง คือ วากยารัมภะ (ก็), วิตถาระ (ความพิสดารวา), ทัฬหีกรณะ (จริงอยู), ผล (ดวยวา), การณะ (เพราะวา), ตัปปากฎีกรณะ (เหมือนอยางวา), วิเสสะ (แตวา), อันวยะ (อัน) และพยติเรกะ (อัน) ยถา=ยสฺมา (มงฺคล. ๒/๔๘๑/๓๗๗) ยถา ในคาถาวา ยถา อุคฺคตป สนฺต อิสึ โลมสกสฺสป ปตุ อตฺถาย จนฺทวตี วาชเปยฺย อยาชยีติ ฯ [เพราะพระนางจันทวดีไดนำพระโลมสกัสสป ฤษี ผูมีตบะสูงสงบแลว มาบูชายัญเพื่อ ประโยชนแกพระราชบิดาได] ถา ปจจัยในที่นี้ลงในอรรถเหตุ มีคาเทากับ ยสฺมา (เหตุใด), เทาที่ คนพบ ทานอธิบายไววา ถา ปจจัย ใชแทน ปการ ศัพท๒ อาจลงวิภัตติไดทั้ง ๗ หมวด แตลบวิภัตติที่ลงนั้นเสียเพราะเปนอัพยยตัทธิต๓ ในที่ไดลงตติยา หรือปญจมีวิภัตติ จึงแปลวา เหตุ, เพราะ วิ. ยสฺมา ปการา ยถา เพราะประการใด ชื่อวา ยถา๔ ๑ พระอริยวงศ รจนา, พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร แปล, คันถาภรณมัญชรี, (กรุงเทพฯ: พิทักษอักษร, ๒๕๔๕), หนา ๙. ๒ มหามกุฏราชวิทยาลัย, อธิบายบาลีไวยากรณ สมาสและตัทธิต, หนา ๘๙. ๓ ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๓ (ตัทธิต), หนา ๔๗๑. ๔ วิเคราะห ยถา ศัพทนี้ ไดเทียบเคียงกับวิเคราะห ตถา, ดู สุภาพรรณ ณ บางชาง, รองศาสตราจารย, ดร., ไวยากรณบาลี, พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิมหามกุฏราช- วิทยาลัย, ๒๕๓๘), หนา ๔๕๕.
  • 118.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๐๔ อกมฺม ฺโ (มงฺคล.๒/๔๘๓/๓๗๙) อกมฺมฺโ แปลวา ไมควรแกการงาน ฯ เชน ในขอความวา ตสฺส เม กาโย กิลนฺโต อกมฺมฺโ ฯ [กายของเรานั้นเหน็ดเหนื่อยแลว ไมควรแก การงาน] อกมฺมฺโ ประกอบดวย น+กมฺม+ณฺย๑ หรือ ฺ๒ ปจจัย ในตัทธิต ใชแทนความหมายวา ดี ในที่นี้แทนความหมายวา เหมาะ วิ. กมฺมนิ สาธุ กมฺมฺ ฯ วิ. นตฺถิ ตสฺส กมฺมฺนฺติ อกมฺมฺโ (กาโย) ฯ ม ฺเ=วิย (มงฺคล. ๒/๔๘๓/๓๘๐) นักเรียน เรียนกันมาวา มฺเ แปลวา เห็นจะ เรียกสัมพันธวา สํสยตฺถ, แต มฺเ ในขอวา มาสาจิตํ มฺเ แปลวา เหมือน ลงในอรรถ เปรียบเทียบ เชน นชฺโช มฺเ วิสฺสนฺทนฺตีติ นทิโย วิย วิสฺสนฺทนฺติ ฯ๓  ๑ โมคฺ. สูตร ๔.๗๒, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๗๘๓ หนา ๗๘๑. ๒ โมคฺ. สูตร ๔.๗๓. ๓ องฺ.อ. ๓/๔๔๒.
  • 119.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๑๐๕ พฺรหฺมจริยกถา -๐- อห ฺจ ภริยา จ : ปโรปุริส (มงฺคล. ๒/๔๙๔/๓๙๑) ในขอ ๔๙๔ ขอความวา อหฺจ ภริยา จ ... อหุมฺหา ทานขึ้น มยํ เปนประธาน, พึงสัมพันธ อหํ และ ภริยา สรูปใน มยํๆ สยกตฺตา ใน อหุมฺหา ในทางไวยากรณอธิบายไววา ในกรณีที่ประธานมีบุรุษตางกัน ทำ กิริยาในกาลเดียวกัน ใหกระจายกิริยาเปนบุรุษที่อยูหลัง เรียกวา ปโรปุริส๑ และนิยมฝายพหุวจนะ (เปนเอกวจนะก็มีบาง) เชน ๑. ถาประธานบุรุษที่ ๑ และบุรุษที่ ๒ ใหกระจายกิริยาเปน บุรุษที่ ๒ ฝายพหุวจนะ เชน โส จ ตฺวฺจ ปจถ [๑ และ ๒ ใช ๒ พหุ.] ๒. ถาประธานบุรุษที่ ๑ และที่ ๓ ใหกระจายกิริยาเปน บุรุษที่ ๓ ฝาย พหุวจนะ เชน โส จ อหฺจ ปจาม [๑ และ ๓ ใช ๓ พหุ.] ๓. ถาประธานบุรุษที่ ๒ และที่ ๓ ใหกระจายกิริยาเปน บุรุษที่ ๓ ฝาย พหุวจนะ เชน ตฺวฺจ อหฺจ ปจาม [๒ และ ๓ ใช ๓ พหุ.] ๔. ถาประธานบุรุษที่ ๑, ๒ และที่ ๓ ใหกระจายกิริยาเปน บุรุษที่ ๓ ฝายพหุวจนะ เชน โส จ ตฺวฺจ อหฺจ ปจาม [๑, ๒ และ ๓ ใช ๓ พหุ.] ยัง มีตัวอยางอีกมาก นักศึกษาพึงตรวจดูที่ นิรุตฺติทีปนี อธิบายสูตรที่ ๕๖๓ ในขอวา อหฺจ ภริยา จ...อหุมฺหา นี้ ภริยา เปนบุรุษที่ ๑ อหํ เปน บุรุษที่ ๓ จึงกระจายกิริยาเปนบุรุษที่ ๓ ฝายพหุวจนะเปน อหุมฺหา ๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๘๖๘, กจฺจายน. สูตร ๔๐๙, รูปสิทฺธิ. สูตร ๔๔๑, นิรุตติทีปนี, สูตร ๕๖๓.
  • 120.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๐๖ อริยสจฺจทสฺสนกถา -๐- ทุกฺขํ อริยสจฺจํ :วิเสสลาภี (มงฺคล. ๒/๕๓๑/๔๑๑) ทุกฺขํ วิเสสลาภี ของ อริยสจฺจํ แปลวา อริยสัจ คือทุกข, แมคำวา ทุกฺขสมุทโย ทุกฺขนิโรโธ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา ก็เปนวิเสสลาภี ของ อริยสจฺจํ๑ (วิเสสลาภี ควรแปลวา คือ ทุกตัว) ภวา (มงฺคล. ๒/๕๔๒/๔๒๐) คำวา ภวา ทานอธิบายวา วตฺตมานา สัมพันธเขากับ เอกา ธาตุ ทิธมฺมิกา เปนอิตถีลิงค เอกวจนะ, นาสงสัยวา ภวา ทำตัวอยางไร เรื่องนี้ ตองรอทานผูรูแนะนำ, เทาที่คนพบหลักฐาน ไดขอสันนิษฐานวา ๑. ภวา ศัพทเดิมเปน ภว (ภู+อ) ภวตีติ ภโว แปลวา มี ใชเปน คุณนาม แจกได ๓ ลิงค แจกแบบ ปุริส, กฺา, กุลํ ตามลำดับ เชน ตํสมฺปยุตฺตตาย มนสิ ภโวติ ราโค มานโส ฯ คุณปริปุณฺณตาย ปุเร ภวาติ โปรี ฯ๒ เจตสิ ภวํ ตทายตฺตวุตฺติตายาติ เจตสิกํ ฯ๓ อุทเร ภวํ อุทริยํ๔ ๒. ขอใหพิจารณา อรหนฺต และ มหนฺต ศัพท ที่ไดรูปเปน อรหา และ มหา ใชเปนอิตถีลิงค ตามแนวที่ทานแสดงไวสัททนีติปทมาลา เชน อิตฺถี อรหา อโหสิ ฯ๕ เสนา สา ทิสฺสเต มหา ฯ๖ เปนไปไดหรือไมวา ภวา ศัพท เดิมคือ ภวนฺต (ภู+อนฺต) ทำตัวเหมือน อรหา, มหา นั้น ๑ อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒, หนา ๔. ๒ มงฺคล. ๒/๕๖๒/๔๓๓ และ มงฺคล. ๒/๖๑/๕๕. ๓ สงฺคห.ฏี. ๑/๖๗. ๔ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๗๗๔ หนา ๗๗๔. ๕ สัททนีติปทมาลา, หนา ๕๖๗, ๕๘๗-๕๘๘. ๖ ขุ.ชา. ๒๘/๖๗๙/๒๔๓.
  • 121.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๑๐๗ นิพฺพานสจฺฉิกิริยากถา -๐- ก ฺจิ ธมฺมํ อุปาทิยติ : แปลแลวยกขึ้นตั้งอรรถ (มงฺคล. ๒/๕๔๔/๔๒๒) คำวา กฺจิ ธมฺมํ อุปาทิยติ ทำหนาที่ ๒ อยาง คือ (๑) เปนสวนหนึ่ง ของประโยคหนา โดย อุปาทิยติ ทำหนาที่กิริยาคุมพากยและ กฺจิ ธมฺมํ เปนบทที่เนื่องกับกิริยาคุมพากย (๒) กฺจิ ธมฺมํ อุปาทิยติ เปนบทตั้งอรรถ ของประโยคหลัง นักเรียนจึงควรแปลซ้ำ ๒ ครั้ง คือ แปลไปจนจบประโยคที่ กฺจิ ธมฺมํ อุปาทิยติ แลวยก กฺจิ ธมฺมํ อุปาทิยติ นั้นขึ้นแปลเปนบทตั้ง ขึ้น อตฺโถ มาเปนตัวเปด อิติ ทาย อุปาทิยติ ทั้ง ๒ บท และไข สหิตํ ไปที่ ปวตฺตํ วา น จ อุปาทานสมฺปยุตฺตนฺติ อุปาทาเนหิ สหิตํ เอกสฺมึ ปติตวเสนาป อุปาทาเนหิ สห ปวตฺตํ หุตฺวา น จ กฺจิ ธมฺมํ อุปาทิยตีติ กสฺสจิ ธมฺมสฺส อารมฺมณกรณวเสน อุปาทิยตีติ ฯ บทวา น จ อุปาทานสมฺปยุตฺตํ ความวา พระอรหัตผลนั้น หาเปนธรรมชาตประกอบดวยอุปาทานทั้งหลาย คือ เปนไปกับ ดวยอุปาทานทั้งหลาย แมดวยสามารถที่ตกไปในอุปาทานอยาง หนึ่ง ยึดมั่นธรรมอะไรๆ ไมฯ หลายบทวา กฺจิ ธมฺมํ อุปาทิยติ ความวา ยอมยึดมั่น ดวยสามารถการทำธรรมอะไรๆ ใหเปนอารมณ (หามิได) ฯ ลักษณะประโยคอยางนี้ นักเรียนเคยพบมาบางแลว ในหนังสือธัมม- ปทัฏฐกถา ภาค ๖ อตฺตทตฺถตฺเถรวตฺถุ แกอรรถที่วา สทตฺถปฺปสุโต สิยาฯ๑ ๑ ธ.อ. ๖/๒๗.
  • 122.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๐๘ อาลมฺเพติ (มงฺคล. ๒/๕๕๒/๔๒๖) อาลมฺเพติ[อา+ลพิ อวสํสเน๑+เอ+ติ, ลงนิคคหิตกลางธาตุ แปลง เปน มฺ๒] ยอมหนวงเหนี่ยว, ในขอเดียวกันนี้ พึงแก อารมฺเพยฺยุ เปน อาลมฺเพยฺยุ อาโท ลง สฺมึ สัตตมีวิภัตติ (มงฺคล. ๒/๕๕๔/๔๒๗) อาโท ในขอวา อิธ ปนาโท ปาทตฺตยํ นวนวกฺขริกํ ฯ [ก็ในคาถานี้ ๓ บาทขางตน มีอักษรบาทละ ๙], นักเรียนสงสัยวา อาโท ลงวิภัตติอะไร อาโท ศัพทเดิมเปน อาทิ ลง สฺมึ สัตตมีวิภัตติ แปลง สฺมึ กับ อิ เปน โอ ไดรูปเปน อาโท แปลวา ในเบื้องตน ทั้งนี้ มีหลักการวา หลัง อาทิ ศัพทเปนตน แปลง สฺมึ วิภัตติ เปน อํ เปน โอ บาง๓ เชน อาทึ, อาโท ในเบื้องตน, รตฺโต ในเวลากลางคืน อาทิ ศัพท วิเคราะหวา อาทียเต ปมํ คณฺหียเตติ อาทิ สวนที่ถูก ถือเอากอน ชื่อวาอาทิ (อา+ทา+อิ, ลบสระหนา)๔  ๑ สัททนีติธาตุมาลา, หนา ๓๓๙. ๒ กจฺจายน. สูตร ๓๑, ปฺจิกา.โย. ๑/๑๖๔. ๓ กจฺจายน. สูตร ๖๙, รูปสิทฺธิ สูตร ๑๘๖ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๒๑๘ หนา ๑๗๖. ๔ อภิธานวรรณนา, คาถา ๗๑๕ หนา ๘๗๗.
  • 123.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๑๐๙ ทสมคาถายตฺถวณฺณนา อกมฺปตจิตฺตกถา -๐- อุปายาเสหิ : อุปายาส คืออะไร (มงฺคล. ๒/๕๖๖/๔๓๗) ในขอวา โส เอวํ อนุโรธวิโรธสมาปนฺโน น ปริมุจฺจติ ชาติยา ชรา- มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุกฺเขหิ โทมนสฺเสหิ อุปายาเสหิ ฯ [เขาถึงพรอมดวยความยินดีและความยินรายอยางนี้ ยอม ไมพนจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส] นักเรียนสงสัยวา อุปายาส คืออะไร โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส ตางกันอยางไร อุปายาส [อุป+อายาส] แปลกันวา ความคับแคนใจ, คำวา อุปายาส เปนกัมมธารยสมาส วิ. ภูโส อายาโส อุปายาโส๑ [ความลำบากใจอยางมาก ชื่อวา อุปายาส] อุป ในที่นี้หมายความวา ภูส/ภุส๒ หรือ พลว แปลวา กลา, รุนแรง, มาก, มีกำลัง อายาส [อา ยา คติยํ ส] แปลวา “ความลำบากใจ” ทานอธิบายวา อายาโสติ สํสีทนวิสีทนาการปฺปตฺโต จิตฺตกิลมโถ ฯ พลว- ภาเวน อายาโส อุปายาโส ฯ ๑ อุ.อ. ๑/๖๔. (ฉบับพมาเปน ภุโส) ๒ ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑, หนา ๘๗๐.
  • 124.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๑๐ [อายาส คือความลำบากใจซึ่งเปนไปโดยอาการใจหายใจ คว่ำ, ความลำบากใจเหลือกำลังชื่อวาอุปายาส] อุปายาส มีลักษณะติดของงวนอยูกับอารมณที่ใหเกิดความไมสบาย ใจ (พฺยาสตฺติลกฺขโณ) ทำใหเกิดการทอดถอนหมดอาลัย (นิตฺถุนนรโส) และ ปรากฏผลเปนความเศราใจ (วิสาทปจฺจุปาโน) ขอใหนักเรียนอานเรื่องในอรรถกถามหานิเทส ดังตอไปนี้ จะเห็น ความตางของ ทุกข (ทุกขกาย) โทมนัส (ทุกขใจ) โสกะ ปริเทวะ อุปายาส ความโศก พึงเห็นเหมือนการหุงตมภายในภาชนะดวยไฟออนๆ ปริเทวะ พึงเห็นเหมือนการลนออกนอกภาชนะของอาหารที่หุงตมดวย ไฟแรง อุปายาส พึงเห็นเหมือนการเคี้ยวอาหารที่เหลือจากลนออกภายนอก ลนออกไมไดอีก เคี่ยวภายในภาชนะนั่นแหละจนกวาจะหมด๑ จริงอยู เมื่อบุคคลถูกพระราชากริ้วแลวก็ทรงถอดยศ ทั้งบุตรและ พี่ชายนองชายของเขาก็ถูกประหาร ทั้งตัวเขาเองก็ถูกสั่งประหาร เพราะเขา กลัวจึงหลบหนีไปในดง ถึงความเปนผูเศราใจอยางใหญหลวง เกิดทุกขะ (ทุกขกาย) มีกำลังเพราะยืนเปนทุกขนอนเปนทุกขนั่งเปนทุกข เมื่อคิดอยูวา พวกญาติของเราเทานี้ โภคทรัพยเทานี้ ฉิบหายแลว ดังนี้ โทมนัส (ทุกขใจ) มีกำลังก็ยอมเกิดขึ้น จริงอยู เมื่อบุคคลประสบทุกข โดยทุกขคือการถูกตัดมือตัดเทา และ ตัดหูตัดจมูกซึ่งนอนวางกระเบื้องเกาไวขางหนาขออาหารในศาลาของคน- อนาถา เมื่อมีหมูหนอนออกจากแผลทั้งหลาย ทุกขกายเหลือกำลังยอม เกิดขึ้น โทมนัสรุนแรงก็ยอมเกิดเพราะเห็นมหาชนผูมีเสื้อผายอมดวยสีตางๆ ประดับไดตามชอบใจเลนงานนักษัตรอยู ๑ นิทฺ.อ. ๑/๑๐๔.
  • 125.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๑๑๑ อโสกจิตฺตกถา -๐- อนฺโต ลงแลวลบวิภัตติ (มงฺคล. ๒/๕๗๐/๔๔๐) อนฺโต เปนนิบาต ลงแลวลบวิภัตติ คงรูปเปน อนฺโต อยางเดิม เชน อนฺโต ลงแลวลบ อํ ทุติยาวิภัตติ ในขอวา อพฺภนฺตรนฺติ อตฺตภาวสฺส อนฺโต อตฺตโน ลูขภาวตาย โสเสนฺโต ถามคมเนน สมนฺตโต โสสนวเสน ปริโสเสนฺโต [บทวา อพฺภนฺตรํ เปนตน ความวา ความโศกนั้น ชื่อวา ยังภายในอัตภาพใหแหงเหือด เพราะความที่ตนมีภาวะเศรา- หมอง ชื่อวา ยังภายในอัตภาพใหแหงผาก ดวยอำนาจความ- แหงเหือดโดยรอบ เพราะถึงความรุนแรง] อนฺโต เดิมเปน นิบาต ในที่นี้ใชเปนนามนาม ลง อํ ทุติยาวิภัตติแลว ลบ อํ นั้นเสีย คงเปน อนฺโต เรียกสัมพันธวา การิตกมฺม ใน โสเสนฺโต และ ปริโสเสนฺโต, อนฺโต ในที่นี้สองอรรถ อพฺภนฺตร การลบวิภัตติหลังอุปสัคและนิบาต เปนตนนี้ นักศึกษาพึงคนควาจาก คัมภีรไวยากรณทั้งหลาย เชน คัมภีรปทรูปสิทธิ สูตรที่ ๒๘๒ วา สพฺพาสมาวุโสปสคฺคนิปาตาทีหิ จ [ลบวิภัตติทั้งปวงทาย อาวุโส อุปสัค และนิบาต เปนตนนั่นเทียว]๑ ตัวอยางการลบวิภัตติหลังอุปสัคและนิบาต เชน นโม ที่เปนนิบาต๒ เมื่อจะใชเปนนามนาม ใหลงวิภัตติแลวลบ คงรูปเปน นโม เชน ๑ กจฺจายน. สูตร ๒๒๑, รูปสิทฺธิ. สูตร ๒๘๒, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๔๔๘ หนา ๓๑๐. ๒ นโม เปน นิบาต ดู อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒, หนา ๑๑๔.
  • 126.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๑๒ นโม อตฺถุ๑ (ลบสิ ที่ นโม) [ขอความนอบนอม จงมี] นโม กโรหิ นาคสฺส๒ (ลบ อํ ที่ นโม) [ทานจงกระทำความนอบนอมแดพระอรหันต] ฌาเปสิ (มงฺคล. ๒/๕๗๒/๔๔๒) ฌาเปสิ เปนทั้งกัตตุวาจกและเหตุกัตตุวาจก ที่เปนกัตตุวาจก ประกอบดวย ฌป ธาตุ (จุราทิคณะ)+เณ ปจจัย+ส อาคม+ อี วิภัตติ สวนที่ เปนเหตุกัตตุวาจก ประกอบดวย เฌ ธาตุ (ภูวาทิคณะ)+ณาเป ปจจัย+ส อาคม+ อี วิภัตติ เฌ ธาตุใชในอรรถวา สองสวาง,ลูกโพลง, เรารอน, ไหม (ทิตฺติยํ, ทหนทิตฺตีสุ) จัดลงในหมวด ภู ธาตุ ในกัตตุวาจกมีรูปเปน ฌายติ สวนใน เหตุกัตตุวาจกมีรูปเปน ฌาเปติ ฌป ธาตุใชในอรรถวา เผา, เรารอน, ไหม (ทาเห, วิทาเห) จัดลงใน หมวด ภู ธาตุและ จุร ธาตุ ในกัตตุวาจกมีรูปเปน ฌปติ (ลง อ ปจจัยประจำ หมวด ภู ธาตุ) และ ฌาเปติ (ลง เณ ปจจัยประจำหมวด จุร ธาตุ) สวนในเหตุกัตตุวาจกมีรูปเปน ฌาปาเปติ, ฌาปาปยติ สวนในคัมภีร สัททนีติ ธาตุมาลา ฉบับแปล หนา ๘๒๙ กลาววา ฌาป ธาตุ ที่ประกอบใน เหตุกัตตุวาจกลงปจจัยได ๒ ตัว คือ ณาเป และ ณาปย๓ ๑ วิมติ.ฏี. ๑/๓. ๒ ม.มู. ๑๒/๒๘๙/๒๘๑. ๓ พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และคณะ, วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๕ ฉบับ แกไข/ปรับปรุง, (กรุงเทพฯ : ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๒), หนา ๑๕๐.
  • 127.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๑๑๓ อาคา (มงฺคล. ๒/๕๗๔/๔๔๓) อาคา [อา+คม/คมุ ธาตุ+อ ปจจัย+อี อัชชัตตนีวิภัตติ], อาคา ในขอ วา อนวฺหาโต ตโต อาคา แปลวา มาแลว, เอา อี กับที่สุดธาตุเปน อา ในคัมภีรโมคคัลลานะวา เมื่อลง อา หิยัตตนีวิภัตติ และ อี อัชชัตตนี- วิภัตติแลว เอาตัวทายแหง คม ธาตุเปน อา๑ กาลกเต (มงฺคล. ๒/๕๗๓/๔๔๓) ผูเขียนนี้ไดตรวจสอบหลักฐานแลว เห็นวาควรแก กาลากเต เปน กาลกเต ดังแสดงในคาถานี้วา อุรโคว ตจํ ชิณฺณํ หิตฺวา คจฺฉติ สนฺตนุ เอวํ สรีเร นิพฺโภเค เปเต กาลกเต สติ ฯ๒ ตสฺส [ตํ อสฺส] (มงฺคล. ๒/๕๗๓/๔๔๓) ตสฺส ดังจะแสดงตอไปนี้ ตัดบทเปน ตํ-อสฺส เมื่อมีสระหรือ พยัญชนะอยูเบื้องหลัง ลบนิคคหิตซึ่งอยูหนาบางก็ได จึงตอเปน ตสฺส มี อุ. วา วิทูนํ-อคฺคํ เปน วิทูนคฺคํ๓, ขอใหพิจารณา ตสฺส ในคาถานี้ ฑยฺหมาโน น ชานาติ าตีนํ ปริเทวิตํ ฯ ตสฺมา เอตํ ม โสจามิ คโต โส ตสฺส ยา คตีติ ฯ๔ [บุตรของขาพระองคนั้นอันพวกขาพระองค ประชุมกันเผาอยู ยอม ไมรูถึงความคร่ำครวญของพวกญาติ เพราะฉะนั้น ขาพระองคจึงไมเศราโศก ถึงเขา เขาไปสูคติของเขาแลว] ๑ โมคฺ. สูตร ๖.๒๙. ๒ เปต.อ. ๘๙. ๓ รูปสิทฺธิ. สูตร ๕๓. ๔ เปต.อ. ๘๙.
  • 128.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๑๔ พึงทราบวา ตสฺส ในคาถานี้ตัดบทเปน ตํ-อสฺส ซึ่งสอดคลองกับที่ ทานอธิบายไวในแกอรรถวา ยา จสฺส อตฺตโน คติ ตํ โส คโต [และคติใดเปน คติของตนของเขา เขาไปสูคตินั้นแลว] แม ตสฺส ในคาถา ขอที่ ๕๗๔-๕๗๗ ก็ตัดตอบทเชนเดียวกับที่แสดง มาแลวนี้ ปริณเต (มงฺคล. ๒/๕๘๐/๔๔๗) ปริณเต [ปริ+นมุ+ต+สฺมึ] ปริ บทหนา นมุ ธาตุ นมเน ในความนอม, นอบนอม ต ปจจัย ลบ มุ ที่สุดธาตุ แปลง น เปน ณ ดังที่คัมภีรปทรูปสิทธิ วา ตถา โณ นสฺส ปปริอาทิโต [หลังอุปสัค ป ปริ เปนตน แปลง น เปน ณ]๑ ลง สฺมึ สัตตมีวิภัตติ ไดรูปเปน ปริณเต  ๑ รูปสิทฺธิ. อธิบายสูตร ๔๒.
  • 129.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๑๑๕ วิรชจิตฺตกถา -๐- ภยมนฺตรโต (มงฺคล. ๒/๕๘๘/๔๕๓) ภยมนฺตรโต [ภยํ+อนฺตรโต], โต ปจจัยในมังคลัตถทีปนี ภาค ๒ ขอ ๕๘๘ ดังจะแสดงตอไปนี้ ใชในอรรถสัตตมีวิภัตติ แปลวา ใน ภยมนฺตรโต ชาตํ ตฺชโน นาวพุชฺฌติ [ชนยอมไมรูสึกถึงภัยนั้นอันเกิดแลวในภายใน] ในขอตอไปทานแกวา อนฺตรโต อพฺภนฺตเร อตฺตโน จิตฺเตเยว และวา อนฺตรโตติ อพฺภนฺตรโต จิตฺตโต วา นักเรียนบาลี เรียนกันมาวา โต ปจจัย เปนเครื่องหมายตติยาวิภัตติ และปญจมีวิภัตติ๑ แตที่จริงปรากฏวา ทานใช โต ปจจัย ในอรรถวิภัตติอื่นๆ อีก เชน โต ปจจัยใชในอรรถสัตตมีวิภัตติ ดังที่ทานอธิบายไว เนปาติกปท แหงปทรูปสิทธิวา โต สตฺตมฺยตฺเถป๒ [โต ปจจัยลงในอรรถสัตตมีก็ได]  ๑ บาลีไวยากรณ วจีวิภาค ภาคที่ ๒ นามและอัพยยศัพท, หนา ๑๐๔. ๒ ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑, หนา ๘๙๑.
  • 130.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๑๖ เขมจิตฺตกถา -๐- ราช ฺโ (มงฺคล.๒/๕๙๙/๔๖๒) ราชฺโ [ราช+ฺ+สิ] เจานคร, พระราชาที่ยังไมไดราชาภิเษก; ลง ฺ ปจจัยในโคตตตัทธิตหรืออปจจตัทธิต (ปจจัยนอกแบบ) ลงหลัง ราช ศัพท ใชแทน อปจฺจ ศัพท, วิ. รฺโ อปจฺจํ ราชฺโ๑ อิยตมกิเอสานมนฺตสฺสโร (มงฺคล. ๒/๖๑๒/๔๗๐) ในหนังสือเรียน ขอ ๖๑๒ ทานวิเคราะหและอธิบายคำวา อีทิสานิ ไว จับสาระสำคัญไดวา อีทิสานิ ประกอบดวย อิม+ทุสฺ เปกฺขเน+กฺวิ+โย ลบ ม ที่ อิม แลว ทีฆะ อิ เปน อี, แปลง อุ ที่ ทุสฺ เปน อิ, แปลง สฺ ที่ ทุสฺ เปน ส, ลบ กฺวิ และ ลง โย ปฐมาวิภัตติ วิธีการ “ทีฆะ อิ เปน อี” เปนตนนั้น ทานทำตามวิธีที่แสดงในสูตร ๖๔๒ แหงคัมภีรกัจจายนะ ซึ่งคัมภีรนยาสะอธิบายไวอีกทอดหนึ่ง สูตรดังกลาวนั้น ทานแสดงไวอยางยอ และซอนคำซอนความ ผูเขียน นี้จึงขอนำสูตรมาแสดงแลวแปลโดยพยัญชนะ โดยอรรถ อธิบายและแสดง การทำตัวไวดวย ๏ สูตร อิยตมกิเอสานมนฺตสฺสโร ทีฆํ กฺวจิ ทุสสฺส๒ คุณํ โท รํ สกฺขี จ๓ ๑ โมคฺ. สูตร ๔.๖. ๒ กจฺจายน. สูตร ๖๔๒; รูปสิทฺธิ. สูตร ๕๘๘; สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๒๖๙. ๓ กจฺจายน. สูตร ๖๔๒ วา ทุสสฺส, สวนใน รูปสิทฺธิ. สูตร ๕๘๘ วา ทิสสฺส
  • 131.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๑๑๗ ๏ แปลโดยพยัญชนะ อนฺตสฺสโร อ. สระที่สุด อิ-ย-ต-ม-กิ-เอ-สานํ แหง อิ-ย-ต- ม-กิ-เอ และ ส ศัพท ท. (อาปชฺชเต) ยอมถึง ทีฆํ ซึ่งความเปน ทีฆะ (จ ดวย), (อุกาโร) อ. อุ อักษร ทุสสฺส ของ ทุสฺ ธาตุ (อาปชฺชเต) ยอมถึง คุณํ ซึ่งความเปนสระขั้นคุณ (คือเปน อิ), โท อ. ท อักษร (ทุสสฺส) ของ ทุสฺ ธาตุ (อาปชฺชเต) ยอมถึง รํ ซึ่งความเปน ร กฺวจิ บาง (จ ดวย), (อาเทสา) อ. การแปลง ท. (ธาตุอนฺตสฺส) ซึ่งที่สุดธาตุ สกฺขี (โหนฺติ) เปน ส, กฺข และ อี ยอมมี จ ดวย๑ ๏ แปลโดยอรรถ สระที่สุดแหง อิ-ย-ต-ม-กิ-เอ และ ส ให ทีฆะ, แปลง อุ แหง ทุสฺ ธาตุ เปนสระขั้นคุณ (คือเปน อิ), แปลง ท แหง ทุสฺ ธาตุ เปน ร ไดบาง และแปลง สฺ แหง ทุสฺ ธาตุ เปน ส, กฺข และ อี ไดบาง ๏ อธิบายสูตร อิยตมกึเอสอิจฺเจเตสํ สพฺพนามานมนฺโต สโร ทีฆมาปชฺชเต, กฺวจิ ทุสอิจฺเจตสฺสธาตุสฺส อุกาโร คุณมาปชฺชเต, ทกาโร รการมาปชฺชเต, ธาตุอนฺตสฺส จ สกฺข อี จาเทสา โหนฺติ๒ สระอันเปนที่สุดแหงสรรพนามเหลานี้คือ อิ-ย-ต-ม-กิ-เอ และ ส ศัพท ยอมถึงการทีฆะ, แปลง อุ ของ ทุสฺ ธาตุนั้นเปน คุณสระ, แปลง ท เปน ร บาง, และอาเทส ที่สุดธาตุเปน ส, กฺข และ อี บาง ๑ ปรับจาก สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๒๖๙. ซึ่งแปลโดย จำรูญ ธรรมดา ๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๒๖๙ หนา ๑๑๒๖.
  • 132.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๑๘ อิ-ย-ต-ม-กิ-เอ และ สในที่นี้เปนศัพทที่ถูกลดรูปแลว ไดแก อิ คือ อิม ที่ลบ ม แลว เหลือ อิ ย และ ต ก็คือ ย และ ต สัพพนามนั่นเอง ม คือ อมฺห ที่แปลงเปน ม กิ คือ กึ ที่ลบ นิคคหิตแลว เปน กิ เอ คือ เอต ที่ลบ ต แลว เหลือ เอ ส คือ สมาน ที่แปลงเปน ส สอดคลองกับคัมภีรสัททนีติ อธิบายสูตร ๑๒๖๙ นั้นวา ในสูตรนี้ คำ วา อิ หมายเอา อิม ศัพท, คำวา ม หมายเอา อมฺห ศัพท, คำวา เอ หมาย เอา เอต ศัพท, คำวา ส หมายเอา สมาน ศัพท ศัพทเหลานี้ เมื่อขยาย ทุส ธาตุ และ ลง กฺวิ ปจจัยแลว ใหทีฆะ เชน อิม+ทุสฺ+กฺวิ=อีทิส (ลบ ม ทีฆะ อิ เปน อี) ในเรื่องดังกลาวนี้ สรุปสาระสำคัญได ดังนี้ ๑. ทำทีฆะสระ เชน อิม+ทุสฺ+กฺวิ ทีฆะเปน อีทิส ๒. แปลง อุ แหง ทุสฺ เปนคุณสระ (คือเปน อิ) ไดรูปเปน ทิสฺ [คุณสระ หรือสระขั้นคุณจะอธิบายตอไป] ๓. แปลงที่สุดธาตุ แปลง สฺ เปน ส ไดรูปเปน -ทิส แปลง สฺ เปน กฺข ไดรูปเปน -ทิกฺข แปลง สฺ เปน อี ไดรูปเปน -ที เชน ตาที ๔. แปลง ท แหง เปน ร ไดรูปเปน -ริส, -ริกฺข ๕. ลบ กฺวิ ปจจัย ๏ ตัวอยาง อิม+ทุสฺ+กฺวิ=อีทิส, อีทิกฺข, อีที, อีริส วิ. อยํ วิย โส ทิสฺสตีติ อีทิโส, อีทิกฺโข, อีที, อีริโส (ปุริโส)
  • 133.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๑๑๙ ย+ทุสฺ+กฺวิ=ยาทิส, ยาทิกฺข, ยาที, ยาริส วิ. โย วิย โส ทิสฺสตีติ ยาทิโส, ยาทิกฺโข, ยาที, ยาริโส (ปุริโส) ต+ทุสฺ+กฺวิ=ตาทิส, ตาทิกฺข, ตาที, ตาริส วิ. โส วิย โส ทิสฺสตีติ ตาทิโส, ตาทิกฺโข, ตาที, ตาริโส (ปุริโส) อมฺห+ทุสฺ+กฺวิ=มาทิส, มาทิกฺข, มาที, มาริส วิ. อหํ วิย โส ทิสฺสตีติ มาทิโส, มาทิกฺโข, มาที, มาริโส (ปุริโส) กึ+ทุสฺ+กฺวิ=กีทิส, กีทิกฺข, กีที, กีริส วิ. โก วิย โส ทิสฺสตีติ กีทิโส, กีทิกฺโข, กีที, กีริโส (ปุริโส) เอต+ทุสฺ+กฺวิ=เอทิส, เอทิกฺข, เอที, เอริส วิ. เอโส วิย โส ทิสฺสตีติ เอทิโส, เอทิกฺโข, เอที, เอริโส (ปุริโส) สมาน+ทุสฺ+กฺวิ=สาทิส, สาริกฺข, สาที, สาริส หรือ สทิส, สริส, สริกฺข วิ. สมาโน วิย โส ทิสสตีติ สาทิโส ฯลฯ (ปุริโส) ๏ ตัวอยางการทำตัว อีทิสานิ อิม บทหนา ทุสฺ ธาตุในการเห็น กฺวิ ปจจัย โย วิภัตติ อิม+ทุสฺ+กฺวิ อิ+ทุสฺ+กฺวิ [ลบ ม] อี+ทุสฺ+กฺวิ [ทีฆะ อิ เปน อี] อีทิส+กฺวิ [แปลง อุ ที่ ทุ เปนคุณสระคือ อิ, แปลง สฺ เปน ส] อีทิส [ลบ กฺวิ ปจจัย] อีทิส+โย [เอา อ กับ โย เปน อานิ] อีทิสานิ [สำเร็จรูปเปน อีทิสานิ] ๏ คุณสระ-สระขั้นคุณ ในสูตรที่วา “ทุสสฺส คุณํ (อุกาโร) แปลง อุ แหง ทุสฺ ธาตุ เปนสระ ขั้นคุณ (คือเปน อิ)” นั้น ไดอธิบาย คุณสระ-สระขั้นคุณ คางไว
  • 134.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๒๐ คุณสระ หรือ สระขั้นคุณในที่นี้ หมายถึง สระ อ เปนตน ซึ่งเปน ลำดับขั้นสระที่จัดตามแนวคิดที่ไดรับอิทธิพลจากไวยากรณสันสกฤต การจัดขั้นสระตามไวยากรณสันสกฤต แบงสระเปน ๓ ขั้น ไดแก ขั้นสามัญ ไดแก อ อิ อุ ขั้นคุณ ไดแก อา อี อู ขั้นวุทธิ ไดแก เอ โอ แตสำหรับในสูตรบาลีไวยากรณนี้ จัดเปน ๒ ไดแก คุณสระ ไดแก อ อิ อุ วุทธิสระ ไดแก อา อี อู เอ โอ ดังที่คัมภีรสัททนีติ อธิบายสูตร ๑๒๖๙ นั้นวา ก็ในสูตรนี้ คำวา “คุณํ” หมายเอารัสสะมี อิ เปนตน เพราะ อา อักษรเปนตนถูกถือเอาดวย คำวาวุทธิ ฉะนั้น อุ ที่ ทุสฺ ธาตุ จึงถูกแปลงเปน อิ เชน อีทิส 
  • 135.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๑๒๑ เอกาทสมคาถายตฺถวณฺณนา -๐- คจฺเฉ (มงฺคล. ๒/๖๒๗/๔๘๑) ในคาถา หนา ๔๘๑ ขอความวา สเจ เนตฺถ ผลํ คจฺเฉ แปลวา ถา ขาพเจาไมพึงบรรลุอรหัตผลในชาตินั้น คจฺเฉ [คม+อ+เอยฺยํ] (อหํ) เราพึงไป, ถึง, บรรลุ แปลง ม เปน จฺฉ แปลง เอยฺยํ เปน เอ ในคัมภีรปทรูปสิทธิ ทานอธิบายวา แปลง เอยฺย เอยฺยาสิ เอยฺยามิ เอยฺยํ เปน เอ๑ เมื่อทำตัวตามวิธีนี้ คจฺเฉ จึงเปนกิริยาของประธานฝายเอกวจนะครบ ๓ บุรุษ ไดรูปตางๆ ดังนี้ โส คจฺเฉ-โส คจฺเฉยฺย, เขาพึงไป ตฺวํ คจฺเฉ-ตฺวํ คจฺเฉยฺยาสิ, ทานพึงไป อหํ คจฺเฉ-อหํ คจฺเฉยฺยามิ, คจฺเฉยฺยํ, เราพึงไป คจฺเฉ ในที่นี้ มีรูปเหมือน คจฺเฉ ที่ลง เอ วัตตมานา อุตตมบุรุษ เอก- วจนะ เชน วนฺเท-วนฺทามิ อหํ คจฺเฉ, อหํ คจฺฉามิ เรายอมไป อุรุ ศัพท์ ในคำวา สิรฺยาทิมงฺคลภิธานยุโตรุเถโร (มงฺคล. ๒/๖๒๖/๔๗๙) สิรฺยาทิมงฺคลภิธานยุโตรุเถโร [สิริ-อาทิ-มงฺคล-อภิธาน-ยุโต-อุรุ-เถโร] ทานแปลวา “พระเถระผูประเสริฐ (มหาเถระ) ประกอบดวยนามวา มงคล มี สิริ ศัพท เปนบทตน”, คำวา ผูประเสริฐ (มหาเถระ) เปนคำแปลของศัพท วา อุรุ ๑ รูปสิทฺธิ. อธิบายสูตร ๔๔๒, ๔๕๔.
  • 136.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๒๒ ในพจนานุกรมมคธ-ไทย ทานแปล อุรุศัพทนี้วา ใหญ, หนา, มาก, เลิศ, ประเสริฐ, ยิ่ง, ยิ่งใหญ, มีคา๑ สอดคลองกับวิมติวิโนทนีฎีกาวา อุรุ ศัพท สองอรรถวา ใหญ เชน อุรุ ศัพท ในคำวา อุรุเวลา [อุรุเวลายนฺติ เอตฺถ อุรุสทฺโท มหนฺตวาจี]๒ บันทึกท้ายเล่ม ๑. หนังสือนี้เกิดขึ้นเพราะคำถามของนักเรียนก็จริงอยู แตเพราะ ตองการความกระชับและไดหนังสือเลมบาง ฉะนั้น ในที่บางแหงจึงตัด คำถามนั้นออก คงไวแตคำตอบ ผูศึกษาพึงกำหนดไดเปนธรรมดาวา คำตอบ ก็โยงไปถึงคำถามนั่นเอง ๒. เนื่องจากมีผูรอเปนเจาภาพพิมพอยูแลว ผูเขียนนี้จึงไมควรยื้อ เวลาออกไปมากนัก เพื่อใหหนังสือเสร็จออกมาขั้นหนึ่งกอน จึงไดกันเนื้อหา บางสวนออกไปรอไวพิมพครั้งตอไป เนื้อหาที่กันออกไปรอไวนั้น เชน ยงฺกิฺจิ (มงฺคล. ๒/๕/๓) กึ ที่มี ย นำหนา มี จิ ตอทาย แปลวา ทั้งหมด (สกล) เชน อนฺนนฺติ ยงฺกิฺจิ ขาทนียํ โภชนียํ ฯ๓ อมา ศัพท (มงฺคล. ๒/๑๐๗/๙๒) เปนอัพยยศัพท จำพวกนิบาต ใชใน อรรถเดียวกันกับ สห, สทฺธึ (ใชในอรรถทำพรอมกัน)๔ สพฺพลหุโส (มงฺคล. ๒/๑๘๘/๑๔๖) ส ในที่นี้ใชเปนสกัตถ (ส สกตฺเถ)๕ ภิยฺโยโส มตฺตาย (มงฺคล. ๒/๓๒๕/๒๕๕) มตฺตาย ลง ส จตุตถีวิภัตติ ใช ในอรรถปญจมีวิภัตติหรือตติยาวิภัตติ แปลวา กวาประมาณ หรือ โดยประมาณ๖ ๑ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ-ไทย, (กรุงเทพฯ สำนักเรียนวัดปากน้ำ, ๒๕๔๐), หนา ๑๔๐. ๒ วิมติ.ฏี. ๒/๑๐๗. ๓ สารัตถทีปนีฎีกา มหาวรรควรรณนา แปล, หนา ๑๒๗. ๔ สัททนีติสุตตมาลา, จตุปทวิภาค หนา ๑๒๗๓. ๕ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๘๓๙. ๖ สัททนีติสุตตมาลา, อธิบายสูตร ๖๗๒ หนา ๕๗๐.
  • 137.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๑๒๓ บรรณานุกรม  กองตำรา มหามกุฏราชวิทยาลัย, อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๔๘๓. ............,อธิบายบาลีไวยากรณ อาขยาต, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๔๘๓. ............,อธิบายบาลีไวยากรณ สมาสและตัทธิต, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราช- วิทยาลัย, ๒๔๘๓. ............,อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๔๘๓. บุญสืบ อินสาร, คูมือแปลมังคลทีปนี ภาค ๒, พิมพครั้งที่ ๓, กรุงเทพฯ: สืบสาน- พุทธศาสน, ๒๕๕๖. ............,พจนานุกรมบาลี-ไทย ธรรมบทภาค ๑-๔, กรุงเทพฯ: มูลนิธิสงเสริม- สามเณร ในพระสังฆราชูปถัมภ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก, ๒๕๕๕. แผนกตำรา มหามกุฏราชวิทยาลัย, อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๔๙๓. พระเจาวรวงศเธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน สมเด็จพระสังฆราชเจา, อภิธานัปปทีปกา, พิมพครั้งที่ ๔, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑. พระคันธสาราภิวงศ แปลและอธิบาย, ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑, นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๗. ............,ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๓ (ตัทธิต), กรุงเทพฯ: หางหุนสวนจำกัด ประยูร- สาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๔. ............,วุตโตทยมัญชรี, พิมพครั้งที่ ๒, กรุงเทพฯ: พิทักษอักษร, ๒๕๔๕. ............,สังวรรณนามัญชรี และ สังวรรณนานิยาม, นครปฐม: มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๕. ............,สารัตถทีปนีฎีกา มหาวรรควรรณนา แปล, กรุงเทพฯ: โครงการแปล คัมภีรพุทธศาสน, ๒๕๕๑.
  • 138.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๒๔ พระญาณกิตติเถระ แหงเชียงใหม, อภิธมฺมตฺถวิภาวินิยาปฺจิกา นาม อตฺถ- โยชนา, พิมพครั้งที่ ๗, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑. พระญาณธชเถระ รจนา, สมควร ถวนนอก ปริวรรต, นิรุตติทีปนี, นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๘. พระญาณาลังการเถระ (รจนา), จำรูญ ธรรมดา (แปล), ปทวิจาร, นครปฐม : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาลีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๔. พระธรรมกิตติวงศ, หลักการแปลไทยเปนมคธ, กรุงเทพฯ: เลี่ยงเชียง, ๒๕๔๑. พระธัมมปาลเถระ แหงชมพูทวีป, ปรมตฺถมฺชุสา นาม วิสุทฺธิมคฺคสํวณฺณนา มหาฏีกาสมฺมตา (ตติโย ภาโค), พิมพครั้งที่ ๖, กรุงเทพฯ: มหามกุฏ- ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘. พระธัมมานันทเถร (แปล), เนตติหารัตถทีปนี อุปจาร และ นย, กรุงเทพฯ: มหา- จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๓. พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท, พิมพครั้งที่ ๑๑, กรุงเทพฯ: บริษัท เอส.อาร.พริ้นติ้ง แมส โปรดักส จำกัด, ๒๕๕๑. พระพุทธัปปยเถระ แหงชมพูทวีปตอนใต รจนา, ปทรูปสิทฺธิ, กรุงเทพฯ: ชมรม- นิรุตติศึกษา, ๒๕๔๓. พระพุทธรักขิตาจารย (ชาวศรีลังกา), ชินาลงฺการฏีกา, กรุงเทพฯ: โรงพิมพ วิญญาณ, ๒๕๔๕. พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และคณะ, วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๕ ฉบับ แกไข/ปรับปรุง, กรุงเทพฯ : ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๒. ............,วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๖ ฉบับสมบูรณ, กรุงเทพฯ: ไทยรายวัน- การพิมพ, ๒๕๔๗. ............,วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๗ ฉบับแกไข/ปรับปรุง, กรุงเทพฯ: ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๒. พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร,วิชา สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๘ ฉบับสมบูรณ, กรุงเทพฯ : ไทยรายวัน การพิมพ, ๒๕๔๘. ............, ปทวิจารทีปนี, กรุงเทพฯ: ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๗.
  • 139.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๑๒๕ พระมหาศักรินทร ศศพินทุรักษ, หลักควรจำบาลีไวยากรณ, กรุงเทพฯ: เลี่ยง- เชียงจงเจริญ, ๒๕๑๕. พระมหาสมบูรณ ทสฺสธมฺโม, มังคลัตถทีปนี แปลไทย ภาคที่ ๒, กาญจนบุรี: ธรรมเมธี-สหายพัฒนาการพิมพ, ๒๕๔๙. พระมหาสมปอง มุทิโต, อภิธานวรรณนา, พิมพครั้งที่ ๒, กรุงเทพฯ: บริษัท ประยูรวงศพริ้นทติ้ง, ๒๕๔๗. พระราชเวที (สมพงษ พฺรหฺมวํโส), คูมือแปลมคธเปนไทย, กรุงเทพฯ: วัดเบญจม- บพิตร, ๒๕๔๗. ............,ศัพท-สำนวน มังคลัตถทีปนี, พิมพครั้งที่ ๒, กรุงเทพฯ: เลี่ยงเชียง, ๒๕๓๔. พระวิสุทธาจารมหาเถระ รจนาที่พมา, พระราชปริยัติโมลี (อุปสโม) และคณะ ปริวรรต, ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราช- วิทยาลัย, ๒๕๓๕. พระสัทธัมมโชติปาลเถระ รจนา, พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร ปริวรรต, กัจจายน- สุตตนิเทส, กรุงเทพฯ: ไทยรายวัน, ๒๕๔๕. พระสิริมังคลาจารย, จกฺกวาฬทีปนี, พิมพครั้งที่ ๒, กรุงเทพฯ: สำนักหอสมุด- แหงชาติ กรมศิลปากร, ๒๕๔๘. พระสิริรัตนปญญาเถระ (รจนาเสร็จ พ.ศ. ๒๐๗๘), แยม ประพัฒนทอง (แปล), วชิรสารัตถสังคหะ, กรุงเทพฯ: วัดปากน้ำ, ๒๕๕๖. พระอริยวงศ รจนา, พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร แปล, คันถาภรณมัญชรี, กรุงเทพฯ: พิทักษอักษร, ๒๕๔๕. พระอัคควังสเถระ รจนา, พระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) ตรวจชำระ, สัททนีติ- สุตตมาลา, นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยา- เขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๕. ............,สัททนีติธาตุมาลา, นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช- วิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๖. พระอัคควังสมหาเถระ รจนา, พระมหาประนอม ธมฺมาลงฺกาโร ปริวรรต, สทฺท- นีติปฺปกรณํ (สุตฺตมาลา), กรุงเทพฯ: ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๙.
  • 140.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๒๖ พระอัครวังสเถระ รจนา, พระมหานิมิตรธมฺมสาโร และจำรูญ ธรรมดา แปล, สัททนีติปทมาลา, นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๖. พระอุดรคณาธิการ (ชวินทร สระคำ), ศ.พิเศษ ดร.จำลอง สารพัดนึก, พจนานุกรม บาลี-ไทย สำหรับนักศึกษา ฉบับปรับปรุงใหม, พิมพครั้ง ที่ ๖, กรุงเทพฯ: บริษัท ธรรมสาร จำกัด, ๒๕๕๒. พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ-ไทย, กรุงเทพฯ: สำนักเรียนวัดปากน้ำ, ๒๕๔๐. ............,พจนานุกรมกิริยากิตต ฉบับธรรมเจดีย, กรุงเทพฯ: เรืองปญญา, ม.ป.ป. ............,พจนานุกรมกิริยาอาขยาต ฉบับธรรมเจดีย, กรุงเทพฯ: เรืองปญญา, ๒๕๔๕. มหามกุฏราชวิทยาลัย, อุภัยพากยปริวัตน, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๔๓๖. ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, กรุงเทพฯ: นานมีบุคสพับลิเคชั่น, ๒๕๔๖. สทฺทปารคูหิ โปราณิเกหิ อาจริยวเรหิ รจิตานิ, เอกตฺตึส จูฬสทฺทปฺปกรณานิ ประมวลจูฬสัททศาสตร ๓๑ คัมภีร, กรุงเทพฯ: บริษัท ซีเอไอ เซ็นเตอร จำกัด, ๒๕๕๑. สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, บาลีไวยากรณ วจีวิภาค ภาคที่ ๒ อาขยาต และกิตก, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๒. ............,บาลีไวยากรณ วจีวิภาคที่ ๒ นามและอัพยยศัพท, กรุงเทพฯ: มหา- มกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๑. สมเด็จพระวันรัต (เขมจารีมหาเถระ), มังคลัตถทีปนี ยกศัพทแปล คาถาที่ ๘, กรุงเทพฯ : ส. ธรรมภักดี, ๒๔๙๗?. สิริมหาจตุรงคพล มหาอำมาตย (ชาวพมา) รจนา, พระศรีสุทธิพงศ (อุปสโม) ปริวรรต, อภิธานปฺปทีปกาฏีกา, กรุงเทพฯ : วัดปากน้ำ, ๒๕๒๗. สุภาพรรณ ณ บางชาง, รองศาสตราจารย, ดร., ไวยากรณบาลี, พิมพครั้งที่ ๒, กรุงเทพฯ: มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘. T. W. Rhys Davids and William Stede, The Pali text Society Pali- English Dictionary, London: The Pali Text Society, 2004.
  • 141.
    พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์)๑๒๗ หนังสือที่พิมพ์เป็นทาน *** ดินสีอรุณ : นิทานธรรมบท สำนวนอีสาน จายผญาธรรม : พุทธศาสนสุภาษิต บาลี-ไทย-อีสาน เอิ้นสั่งเสียงผญา : มรณกถา เพื่อความไมประมาท หลักสัมพันธไทย : สำหรับทองจำ ประโยคโบราณ : ในธัมมปทัฏฐกถา ภาคที่ ๑-๘ มงคลวิเสสกถาปกาสินี : สำนวนตัวอยาง วิชา แตงไทยเปนมคธ เลือดลางบัลลังกทอง : นิทานธรรมบท สำนวนอีสาน คาถาธัมมปทัฏฐกถา : ภาคที่ ๕-๘ แปลโดยพยัญชนะ มังคลัตถวิภาวินี : ไขสงสัยใหนักเรียน ป.ธ. ๕ 
  • 142.
    มังคลัตถวิภาวินี ๑๒๘ รายนามผู้ร่วมพิมพ์หนังสือ พลเรือเอกชัยณรงค เจริญรักษ ๑๐๐เลม สายบุญของคุณฐิติมา วิทยานนทเอกทวี ๑๐๐ เลม คุณมีณชญภัทร เนียมหอม ๓๖ เลม คุณภาณุวัฒณ มีสัตย ๒๔ เลม นางสาวเกณิกา วุฒิกรกัลยาณี ๑๒ เลม นางสาวพิตะวัน ยุพดีรังสีกุล ๑๐ เลม คุณเกษม-คุณอาทร พิรพัฒน ๒๐ เลม คุณกนกพร มณีรอด ๑๐ เลม นางสาวกิรณา ศุภสินฐาโนดม นายสมชาย-ด.ญ.ณิชา จอมสงาวงษ ๑๐ เลม นายยุทธพงศ-สมศรี จิตตวิริยะกุล และครอบครัว ๘ เลม คุณจำนงค-คุณสมหวัง อนุมา และครอบครัว ๘ เลม นางสาวจตุพร ประชุมพันธ และครอบครัว ๕ เลม นายภาคภูมิ นันทนิตยวรกุล และ ครอบครัว ๕ เลม คุณชมปภัคคม ธรรมวิสุธีร และครอบครัว ๕ เลม คุณอาภรณ สาวิโร และครอบครัว ๕ เลม นายลั่นทม สิงหทอง ๔ เลม นาวาโทสมภพ-คุณกิตติมา พิรพัฒน ๔ เลม นายปวันศิลปชัย-บุศพร จิตตวิริยะกุล ๔ เลม คุณพิเชษฐ ทองปากน้ำ ๔ เลม นางสาวหยกธรณ ยิ่งยวดหิรัญกุล ๓ เลม คุณภานุมาศ มีสมงาม ๓ เลม คุณกานดา ธรรมมานุสรณ ๒ เลม คุณเอนกพร พิรพัฒน ๒ เลม นางสาวอนงค เอี่ยมมา ๒ เลม คุณสุชาดา หนอสิงหา และครอบครัว ๒ เลม คุณเอื้อมพร อปปะตะ ๒ เลม คุณวาสนา มณีใหม-ด.ช.ปยะ สังสมศักดิ์ ๒ เลม คุณปองนุช เถื่อนศิริ ๒ เลม นาวาตรีหญิงวรนุช มีสัตย ๒ เลม นายโอภาส มีสัตย ๒ เลม นางภัชชภร เศรษฐวรางกูร ๑ เลม นองน้ำตาล ๑ เลม (รวมจำนวน ๔๐๐ เลม, เลมละ ๕๕ บาท รวมเปนเงิน ๒๒,๐๐๐ บาท) ผูสมทบทุนคาออกแบบปกหนังสือ: พระมหาสงวน สุทฺธิาโณ ๕๐๐ บาท พระมหาอภิญ อภิลาโภ และคุณ Laura Bruneau ๑,๐๐๐ บาท