computer
- 3. 1.ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (Supercomputer) เป็น
คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพในการทางานสูงสุด จึงมีราคา
แพงมาก ความสามารถในการประมวลผลที่ทาได้ถึงพันล้าน
คาสั่งต่อวินาที ตัวอย่างการใช้งานคอมพิวเตอร์ประเภทนี้
เช่น การพยากรณ์อากาศ การทดสอบทางอวกาศ และ
งานอื่นๆ ที่มีการคานวณที่ซับซอน ปัจจุบันมีการนา
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ไปใช้กับงานออกแบบชิ่นส่วน
รถยนต์ งานวิเคราะห์สิงค้าคงคลัง หรือแม้แต่การออกแบบ
งานด้านศิลปะ หน่วยงานที่มีการใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์
ได้แก่ องค์การนาซา (NASA) และหน่วยงานธุรกิจขนาด
ใหญ่ เช่น บริษัท General Motorsและ AT&T เป็น
ต้น
- 4. 2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe
Computer) หรือ คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ เป็น
คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพรองจากซูเปอร์
คอมพิวเตอร์ สามารถรองรับการทางานจากผู้ใช้ได้หลาย
ร้อยคนในเวลาเดียวกัน ประมวลผลด้วยความเร็วสูง มี
หน่วยความจาหลักขนาดใหญ่ ตลอดจนการจัดเก็บข้อมูลได้
เป็นจานวนมาก คอมพิวเตอร์เมนเฟรมนิยมใช้กับองค์กร
ขนาดใหญ่ที่มีการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้จานวนมากในเวลาเดียวกัน
(Multiple Users) เช่น งานธนาคาร การจอง
ตั๋ว เครื่องบิน การลงทะเบียนและการตรวจสอบผลการ
เรียนของนักศึกษาเป็นต้น
- 5. 3. มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer) หรือ
คอมพิวเตอร์ขนาดกลาง เป็นคอมพิวเตอร์ที่มี
ประสิทธิภาพในการทางานด้านความเร็วและความสามารถใน
การจัดเก็บข้อมูลน้อยกว่าเมนเฟรม แต่สูงกว่าคอมพิวเตอร์
ตั้งโต๊ะ (Desktop computer) และสามารถรองรับ
การทางานจากผู้ใช้ได้หลายคนในการทางานที่แตกต่างกัน
จากจุดเริ่มต้นในการพัฒนาที่ต้องการให้คอมพิวเตอร์ประเภท
นี้ทางานเฉพาะอย่าง เช่น บริษัทที่ให้บริการ
โทรศัพท์เคลื่อนที่ โรงงานผลิตปูนซีเมนต์ ตลาด
หลักทรัพย์สถานศึกษา รวมทั้งการให้บริการข้อมูลแก้
ลูกค้า เช่น การจองห้องพักของโรงแรม เป็นต้น
- 6. 4. คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (Desktop
C0mputer) หรือเดสก์ท็อปเป็นคอมพิวเตอร์ส่วน
บุคคล (Personal Computer หรือ PC) ที่มี
ขนาดเล็กเหมาะกับโต๊ะทางานใน
สานักงาน สถานศึกษา และที่บ้าน รูปทรง ของตัวเครื่อง
คอมพิวเตอร์จะมีทั้งแบบวางนอน และแบบแนวตั้งที่เรียกว่า
ทาวเวอร์ (Tower) เพื่อประหยัดเนื้อที่เป็นการวางทั้งบน
โต๊ะและที่พื้น
- 7. 5. คอมพิวเตอร์
โน้ตบุ๊ค (Notebook Computer) หรือบางครั้ง
เรียกว่า แลปท็อปคอมพิวเตอร์
(Laptop Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มี
ขนาดเล็กกว่าเครื่องพีซีแบบตั้งโต๊ะน้าหนักเบา จึงสามารถ
นาติดตัวไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ เครื่องโน้ตบุ๊คมีสมรรถนะ
ในการทางานเทียบเท่าเครื่องพีซีแบบตั้งโต๊ะ และมีแผง
แป้นพิมพ์และจอภาพติดกับตัวเครื่องรวมทั้งมีแบตเตอรี่
ภายในเครื่อง จึงสามารถทางานได้ในช่วงเวลาหนึ่งโดยไม่
ต้องใช้ไฟบ้าน เหมาะกับงานส่วนบุคคลและงานสานักงานที่
จาเป็นต้องออกนอกสถานที่
นอกจากโน้ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ที่เห็นและใช้งานกันทั่วไป
แล้ว ยังมีคอมพิวเตอร์พกพาที่เริ่มได้ รับความนิยมมากขึ้น
- 8. 6. คอมพิวเตอร์ฝ่ามือ (Hand-
held Personal Computer) หรือเครื่องพีซีขนาด
มือถือ หรือเครื่องพีดีเอ
(Personal Digital Assistant-PDA) เป็น
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเท่ากับเครื่องคิดเลขขนาด
เล็ก น้าหนักเบามาก จึงสามารถวางบนฝ่ามือได้โดยมี
สมรรถนะในการทางานเฉพาะกับโปรแกรมสาหรับงานส่วน
บุคคล เช่น การรับส่งอีเมล์ การบันทึกตารางนัดหมาย
และการเข้าถึงข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต เครื่อง PDA
(Personal Digital Assistant) บางครั้ง
ก็ เรียกว่า Pen-based Computer เนื่องจากเป็น
คอมพิวเตอร์แบบพกพาที่ใช้ปากกาที่เรียกว่า สไตลัส
(Stylus) เป็นอุปกรณ์ในการบันทึกข้อมูล ในบางครั้ง
- 9. 7. คอมพิวเตอร์แบบ
ฝัง (Embedded Computer) หรือ
ไมโครคอนโทรลเลอร์ (Micro Controller) เป็น
คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กมากที่ใช้ไมโครโพรเซสเซอร์ชนิดพิเศษ
เพื่อฝัง (Embed) ไว้ในอุปกรณ์ประเภทต่างๆ เช่น บัตร
สมาร์ทการ์ด (Smart Card ) โทรศัพท์มือถือ ตู้เย็น
เตาไมโครเวฟ และรถยนต์ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มคุณลักษณะและ
ความสามารถพิเศษบางประการ เช่น การเก็บข้อมูลส่วน
บุคคล การให้บริการด้านบันเทิง การค้นหาข้อมูลบน
เครือข่ายอินเทอร์เน็ต การควบคุมเรื่องเวลาและ
อุณหภูมิ และการให้ข้อมูลเพื่อช่วยในการเดินทาง เป็น
ต้น
- 12. ในเรื่องต่างๆ จากการสังเกตสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์ หรือสิ่งต่างๆ รอบตัว ปัญหาที่จะนามาพัฒนา
โครงงานคอมพิวเตอร์ได้จากแหล่งต่างๆ กัน ดังนี้
1. การอ่านค้นคว้าจากหนังสือ เอกสาร หนังสือพิมพ์ หรือวารสารต่างๆ
2. การไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ
3. การฟังบรรยายทางวิชาการ รายการวิทยุและโทรทัศน์ รวมทั้งการสนทนาอภิปรายแลกเปลี่ยนความ
คิดเห็นระหว่างเพื่อนนักเรียนหรือกับบุคคลอื่นๆ
4. กิจกรรมการเรียนการสอนในโรงเรียน
5. งานอดิเรกของนักเรียน
6. การเข้าชมงานนิทรรศการหรืองานประกวดโครงงานคอมพิวเตอร์
ในการตัดสินใจเลือกหัวข้อที่จะนามาพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์ ควรพิจารณาองค์ประกอบสาคัญ ดังนี้
1. ต้องมีความรู้และทักษะพื้นฐานอย่างเพียงพอในหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา
2. สามารถจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องได้
3. มีแหล่งความรู้เพียงพอที่จะค้นคว้าหรือขอคาปรึกษา
4. มีเวลาเพียงพอ
5. มีงบประมาณเพียงพอ
- 14. รายงาน รายละเอียดที่ต้องระบุ
ชื่อโครงงาน ทาอะไร กับใคร เพื่ออะไร
ประเภทโครงงาน วิเคราะห์จากลักษณะของประโยชน์หรือผลงานที่ได้
ชื่อผู้จัดทาโครงงาน
ผู้รับผิดชอบโครงงาน อาจเป็นรายบุคคล หรือราย
กลุ่มก็ได้
ครูที่ปรึกษา
โครงงาน
ครู-อาจารย์ผู้ทาหน้าที่เป็นที่ปรึกษา และควบคุมการ
ทาโครงงานของนักเรียน
ครูที่ปรึกษาร่วม
ครู-อาจารย์ผู้ทาหน้าที่เป็นที่ปรึกษาร่วม ให้
คาแนะนาในการทาโครงงานของนัีกเรียน
ระยะเวลา
ดาเนินงาน
ระยะเวลาการดาเนินงานโครงงาน ตั้งแต่เริ่มต้นจน
สิ้นสุด กาหนดเป็นวัน หรือ เดือนก็ได้
แนวคิด ที่มา และ
ความสาคัญ
สภาพปัจจุบันที่เป็นความต้องการและความคาดหวังที่
จะเกิดผล
วัตถุประสงค์
สิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดโครงงานทั้งในเชิง
กระบวนการ และผลผลิต
3. องค์ประกอบของเค้าโครงของโครงงาน
- 15. 4. การลงมือทาโครงงาน
เมื่อเค้าโครงของโครงงานได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว ก็เสมือนว่าการจัดทาโครงงานได้
ผ่านพ้นไปแล้วมากกว่าครึ่ง ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการลงมือพัฒนาตามขั้นตอนที่วางแผนไว้ ดังนี้
4.1 การเตรียมการ
การเตรียมการ ต้องเตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และวัสดุอื่นๆ ที่จะใช้ในการพัฒนาให้พร้อมด้วย
และควรเตรียมสมุดบันทึกหรือบันทึกเป็นแฟ้มข้อความไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ สาหรับบันทึกการทากิจกรรมต่างๆ ระหว่าง
ทาโครงงาน ได้แก่ ได้ปฏิบัติอย่างไร ได้ผลอย่างไร มีปัญหาและแก้ไขได้หรือไม่อย่างไร รวมทั้งข้อสังเกตต่างๆ ที่พบ
4.2 การลงมือพัฒนา
1. ปฏิบัติตามแผนงานที่วางไว้ในเค้าโครง แต่อาจเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมได้ถ้าพบว่าจะช่วยทาให้
ผลงานดีขึ้น
2. จัดระบบการทางานโดยทาส่วนที่เป็นหลักสาคัญๆ ให้แล้วเสร็จก่อน จึงค่่อยทา ส่วนที่เป็น
ส่วนประกอบหรือส่วนเสริมเพื่อให้โครงงานมีความสมบูรณ์มากขึ้น และถ้ามีการแบ่งงานกันทา ให้ตกลงรายละเอียดในการ
ต่อเชื่อมชิ้นงานที่ชัดเจนด้วย
3. พัฒนาระบบงานด้วยความละเอียดรอบคอบ และบันทึกข้อมูลไว้อย่างเป็นระบบและครบถ้วน
4.3 การทดสอบผลงานและแก้ไข